Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

วิกฤตสารหนูแม่น้ำกก-สาย รัฐบาลสั่งเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังด่วน! ชี้แจงประชาชนทันที

เชียงรายเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ หลังพบสารหนูเกินมาตรฐานในแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย

ปมปัญหาสารหนูสะสมในลำน้ำสำคัญของภาคเหนือขยายวงกว้าง รัฐบาลสั่งตั้งหน่วยเฝ้าระวังและสื่อสารข้อมูลต่อสาธารณะอย่างเร่งด่วน

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์การปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำสำคัญของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ทวีความน่ากังวลมากขึ้น หลังกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานผลตรวจสอบล่าสุดว่าค่าความเข้มข้นของสารหนูในน้ำและตะกอนดินบางจุดเกินมาตรฐานความปลอดภัย ส่งผลให้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

ประชุมด่วนระดับชาติเพื่อกำหนดแนวทางรับมือ

ภายใต้ข้อสั่งการดังกล่าว ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ เรียกประชุมด่วน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีการเชิญหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งในส่วนกลางและพื้นที่ พร้อมผู้แทนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เข้าร่วมหารือผ่านระบบออนไลน์ ณ ห้องประชุมกระทรวงฯ

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ซึ่งมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยเน้นการตอบสนองต่อความวิตกของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง 3 จุด สร้างระบบรับเรื่องร้องเรียนและสื่อสารเชิงรุก

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า มีข้อสรุปเบื้องต้นให้จัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม” จำนวน 3 จุด คือที่จังหวัดเชียงราย 2 จุด และจังหวัดเชียงใหม่ 1 จุด เพื่อทำหน้าที่ตรวจวัดคุณภาพน้ำ แจ้งผลผ่านป้ายแสดงผลในพื้นที่แบบ Real-time และเป็นจุดรับแจ้งปัญหาจากประชาชนในกรณีพบความผิดปกติหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์จะประกอบด้วยผู้แทนจากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงสาธารณสุข และฝ่ายปกครองท้องถิ่น โดยกำหนดให้ศูนย์ฯ ต้องสามารถดำเนินงานได้จริงภายในเวลาอันใกล้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดความตื่นตระหนกของชุมชน

เร่งสร้างความเข้าใจผ่านการสื่อสารแบบมืออาชีพ

อีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่กรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายคือ การจัดทำ “ชุดข้อมูลอธิบายผลตรวจ” โดยร่วมมือกับกรมอนามัย เพื่อแจกแจงว่า ค่าสารหนูที่ตรวจพบในน้ำและตะกอนดินแต่ละระดับ ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ การใช้น้ำ และกิจกรรมต่าง ๆ ของประชาชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ข้อมูลชุดนี้จะเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมถึงการแถลงข่าวกรณีที่สังคมเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยกำหนดให้กรมควบคุมมลพิษเป็น “หน่วยงานหลักในการสื่อสาร” เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพของข้อมูล และลดช่องว่างความเข้าใจระหว่างภาครัฐกับประชาชน

วางมาตรการดักตะกอนเร่งด่วนในแม่น้ำต้นน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน

ในด้านมาตรการเชิงเทคนิค กระทรวงฯ มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำเร่งออกแบบและติดตั้ง “ฝายดักตะกอน” ในจุดที่มีสารหนูปนเปื้อนสูง โดยเฉพาะบริเวณต้นแม่น้ำกก ณ ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดที่น้ำไหลเข้าจากฝั่งประเทศเมียนมาเข้าสู่ประเทศไทย

ทั้งนี้ ได้มีการประสานงานเบื้องต้นกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ซึ่งเคยมีการศึกษารูปแบบฝายดักตะกอนเพื่อใช้ข้อมูลร่วมวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำข้ามแดนที่ไหลผ่านชายแดนไทย-เมียนมา ณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย การติดตั้งฝายดักตะกอนจะต้องพิจารณาร่วมกับหน่วยงานของจังหวัดเชียงราย และอาจต้องเจรจาในระดับระหว่างประเทศ เนื่องจากลักษณะของแม่น้ำที่มีอธิปไตยร่วมในบางช่วง

บทสรุปและบทวิเคราะห์

เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนของผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดน (Transboundary Pollution) ที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพประชาชนและระบบนิเวศในพื้นที่รับน้ำของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ

การจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังในระดับพื้นที่ การสื่อสารเชิงรุก และการออกแบบระบบดักตะกอนแบบมีหลักฐานทางวิชาการรองรับ ถือเป็นก้าวสำคัญในการบริหารจัดการวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาค และเป็นบทเรียนสำคัญในการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้การสื่อสารและการแก้ไขปัญหามีความรวดเร็ว ตรงจุด และยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังอยู่ที่การประสานงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในกรณีที่แหล่งกำเนิดสารมลพิษอยู่ในพื้นที่นอกเขตอธิปไตยไทย ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในระดับรัฐมนตรีและความต่อเนื่องของนโยบายเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดซ้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • การประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน, 4 มิถุนายน 2568
  • สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรน้ำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

เชียงรายสองขั้ว ‘ภาษีพุ่ง’ ธุรกิจซบเซา ท้าทายเศรษฐกิจฐานราก

เศรษฐกิจเชียงราย: การเติบโตท่ามกลางความท้าทาย สะท้อนสองขั้วแห่งความจริง

เชียงราย ในช่วง เดือนพฤษภาคม 2568 ที่ประเทศไทย – กำลังเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจทั้งในระดับโลกและภายในประเทศ รายงานล่าสุดจากกรมสรรพากรเผยให้เห็นถึงความสำเร็จในการจัดเก็บรายได้ภาษีประจำเดือนเมษายน 2568 ที่สูงเกินเป้าหมายถึง 7,732 ล้านบาท สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจในเชิงบวกในระดับมหภาค อย่างไรก็ตามเมื่อมองในระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ภาพที่ปรากฏกลับซับซ้อนกว่าที่ตัวเลขแสดง ตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจในไตรมาสแรกของปี 2568 สวนทางกับเสียงสะท้อนจากพ่อค้าแม่ค้าในท้องถิ่นที่เผชิญกับความยากลำบากในการค้าขาย และนี่จึงเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึง “เศรษฐกิจสองขั้ว” ที่กำลังก่อตัวขึ้นในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

เศรษฐกิจไทยในภาพรวม

ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – เมษายน 2568) กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้รวมถึง 1,138,182 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้า 47,325 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3 และสูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณถึง 17,950 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.6 โดยเฉพาะในเดือนเมษายน 2568 การจัดเก็บราย ได้ภาษีอยู่ที่ 171,921 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 11,052 ล้านบาท หรือร้อยละ 6.9

นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร ระบุว่า “ปัจจัยหลักที่ทำให้การจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าคือการเพิ่มขึ้นของภาษีมูลค่าเพิ่มจากการบริโภคภายในประเทศ (ภ.พ. 30) ซึ่งสูงกว่าปีก่อนถึงร้อยละ 11.0 รวมถึงภาษีเงินได้จากการจ่ายเงินปันผลและการจำหน่ายกำไรไปต่างประเทศ (ภ.ง.ด. 54) และภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าที่สูงกว่าประมาณการ”

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในบางภาคส่วน โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศและการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การเติบโตในระดับมหภาคนี้ ไม่ได้สะท้อนถึงความเป็นจริงในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างจังหวัดเชียงราย

เศรษฐกิจเชียงราย – การเติบโตที่ซ่อนความท้าทาย การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ สัญญาณบวกที่อาจเป็นภาพลวงตา

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม) จังหวัดเชียงรายมีการจดทะเบียนนิติบุคคลใหม่ถึง 241 ราย ครองอันดับที่ 2 ในภาคเหนือ รองจากจังหวัดเชียงใหม่ที่มีการจดทะเบียนถึง 991 ราย และสูงกว่าจังหวัดพิษณุโลกที่มี 135 ราย การเติบโตของการจดทะเบียนในเชียงรายส่วนใหญ่มาจากภาคบริการ ซึ่งมีถึง 143 ราย ตามมาด้วยภาคการค้าส่งและค้าปลีก 89 ราย และภาคการผลิตเพียง 9 ราย

ในแง่มูลค่าทุนจดทะเบียน ธุรกิจใหม่ในเชียงรายมีมูลค่ารวม 324.718 ล้านบาทในไตรมาสแรก โดยเดือนมกราคมมีมูลค่า 138.652 ล้านบาท เดือนกุมภาพันธ์ 105.23 ล้านบาท และเดือนมีนาคม 80.836 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ถึงความเคลื่อนไหวในภาคธุรกิจที่ดูเหมือนจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในระดับชุมชน เมื่อพิจารณาจากเสียงสะท้อนของผู้ประกอบการรายย่อยในพื้นที่ กลับพบว่าภาคธุรกิจขนาดเล็กและการค้าปลีกในท้องถิ่นกำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก

เสียงจากฐานราก ความยากลำบากของพ่อค้าแม่ค้า

ในเขตเมืองเชียงราย โดยเฉพาะในย่านตลาดชุมชน เช่น ถนนคนเดินทั้งในและนอกจังหวัดหรือกาดหลวง พ่อค้าแม่ค้าต่างสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างรุนแรง “ตอนนี้เศรษฐกิจเมืองเชียงรายย่ำแย่มาก ตลาดไม่มีคนเดิน พ่อค้าแม่ค้าขายของไม่ได้ คนไม่มีเงินซื้อของ รายได้เหลือวันละไม่กี่ร้อย” พ่อค้าจากตลาดกาดเกยระบุ ขณะที่แม่ค้าจากกาดหลวงกล่าวเสริมว่า “ยอดขายลดลงจากวันละ 1,000–2,000 บาท เหลือไม่ถึง 300 บาท ไม่มีนักท่องเที่ยว ถนนคนเดินเงียบเหงา”

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการท้องถิ่นบางรายตั้งยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า การจดทะเบียนธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้นอาจเกี่ยวข้องกับการลงทุนจากต่างถิ่นหรือกลุ่มทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะจากนักลงทุนชาวต่างชาติ ซึ่งไม่สะท้อนถึงสถานการณ์ของผู้ประกอบการในท้องถิ่น “ที่จดทะเบียนกันเยอะ อาจเป็นทุนจากต่างชาติหรือทุนจีนเทา คนไทยในพื้นที่ยังลำบากมาก” ผู้ประกอบการรายหนึ่งระบุ

ปัจจัยกดดันเศรษฐกิจเชียงราย

  1. การชะลอตัวของการท่องเที่ยว
    เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวสูง โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ เช่น วัดร่องขุ่น ดอยแม่สลอง และสามเหลี่ยมทองคำ อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลท่องเที่ยวที่สั้นและการลดลงของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศส่งผลให้รายได้จากภาคท่องเที่ยวไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวที่ถนนคนเดินและสถานที่ท่องเที่ยวเงียบเหงา
  2. ปัญหาหมอกควันและมลพิษทางอากาศ
    ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และหมอกควันที่รุนแรงในช่วงต้นปี ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว ผู้ประกอบการในพื้นที่ระบุว่า “นักท่องเที่ยวกลัวหมอกควัน มาเชียงรายแล้วเจออากาศแย่ ก็ไม่อยากกลับมาอีก” ปัญหานี้ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันและเพิ่มต้นทุนด้านสุขภาพของประชาชน
  3. ต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น
    ค่าครองชีพ ค่าไฟ ค่าขนส่ง และราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สวนทางกับกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมากต้องเผชิญกับภาระต้นทุนที่สูงขึ้นโดยไม่มีกำไรเพียงพอในการดำเนินธุรกิจต่อ
  4. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
    การเติบโตของแพลตฟอร์มออนไลน์และบริการจัดส่งสินค้าถึงบ้านทำให้ผู้บริโภคในเชียงรายหันไปซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ร้านค้าออฟไลน์ โดยเฉพาะในตลาดท้องถิ่น ได้รับผลกระทบอย่างหนัก “คนไม่เดินตลาดแล้ว สั่งของออนไลน์ถูกกว่า สะดวกกว่า” แม่ค้าจากกาดหลวงระบุ
  5. ขาดมาตรการสนับสนุน SME
    ผู้ประกอบการรายย่อยในเชียงรายเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงแหล่งทุนและมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ขาดกลไกประกันความเสี่ยง และการอบรมเพื่อพัฒนาทักษะในการปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล ส่งผลให้ธุรกิจขนาดเล็กจำนวนมากต้องปิดกิจการ
  6. ความเหลื่อมล้ำทางการค้า
    ในขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่และกลุ่มทุนจากต่างถิ่นยังคงเติบโตได้ ธุรกิจขนาดเล็กในท้องถิ่นกลับต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียม การจัดงานอีเวนต์และเทศกาลต่าง ๆ มักเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของสถานที่และผู้ประกอบการจากนอกพื้นที่ ขณะที่ร้านค้าในท้องถิ่นไม่ได้รับผลประโยชน์เท่าที่ควร

เศรษฐกิจสองขั้วของจังหวัดเชียงราย

จากข้อมูลทั้งในเชิงสถิติและข้อเท็จจริงในพื้นที่ เชียงรายกำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ “เศรษฐกิจสองขั้ว” ที่ชัดเจน

  • เศรษฐกิจบน (Upper Economy)
    เศรษฐกิจในระดับนี้ขับเคลื่อนโดยกลุ่มทุนใหญ่ การลงทุนจากต่างถิ่น และกิจกรรมเศรษฐกิจขนาดกลางถึงใหญ่ เช่น การค้าชายแดน ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การก่อสร้างถนนและทางรถไฟ ตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจใหม่ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคบริการและค้าส่ง/ค้าปลีก สะท้อนถึงความเคลื่อนไหวในระดับนี้
  • เศรษฐกิจล่าง (Lower Economy)
    เศรษฐกิจในระดับฐานราก ซึ่งรวมถึงตลาดสด ชุมชน และร้านค้าปลีกขนาดเล็ก กำลังเผชิญกับภาวะซบเซา ผู้ประกอบการรายย่อยต้องต่อสู้กับต้นทุนที่สูงขึ้น กำลังซื้อที่ลดลง และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปซื้อของออนไลน์ ส่งผลให้ร้านค้าจำนวนมากต้องปิดกิจการหรืออยู่ในสภาวะ “เสี่ยงตาย”

ปรากฏการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจที่วัดจากตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจหรือรายได้ภาษีในระดับมหภาคอาจไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงในระดับชุมชนได้อย่างครบถ้วน หากไม่มีการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและนโยบายที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการรายย่อย การเติบโตของเศรษฐกิจจังหวัดเชียงรายในระยะยาว อาจกลายเป็น “การเติบโตที่ไม่สมดุล” และเพิ่มความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ได้

ทางออกสำหรับเชียงรายและประเทศไทย

เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสองขั้วในจังหวัดเชียงรายและส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืน จำเป็นต้องมีนโยบายและมาตรการที่ครอบคลุมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ดังนี้

  1. การสนับสนุน SME และผู้ประกอบการรายย่อย
    ภาครัฐควรมอบเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ อบรมทักษะการค้าออนไลน์ และพัฒนาแพลตฟอร์มท้องถิ่นเพื่อให้ร้านค้าในจังหวัดเชียงรายสามารถแข่งขันกับแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ได้
  2. การจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ
    การแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 ต้องเป็นวาระเร่งด่วน โดยเฉพาะการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการควบคุมการเผาในที่โล่ง และการพัฒนาระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ
  3. การกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
    การส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงนอกฤดูกาล การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ๆ และการประชาสัมพันธ์เชิงรุกจะช่วยเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
  4. การลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ
    การลดค่าไฟ ค่าขนส่ง และการควบคุมราคาวัตถุดิบจะช่วยลดภาระของผู้ประกอบการรายย่อย และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
  5. การลดความเหลื่อมล้ำทางการค้า
    การจัดงานอีเวนต์และเทศกาลต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการท้องถิ่น โดยจัดสรรพื้นที่และโอกาสให้ร้านค้าในชุมชนได้รับผลประโยชน์อย่างเท่าเทียม

ในระดับชาติ การที่กรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเศรษฐกิจไทยในการฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม การกระจายผลประโยชน์จากการเติบโตนี้ไปสู่ระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีความหลากหลายทางเศรษฐกิจอย่างจังหวัดเชียงราย จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนและครอบคลุม

สถิติสำคัญประกอบข่าว

รายการ

มูลค่า / จำนวน

แหล่งข้อมูล

รายได้ภาษีเดือนเมษายน 2568

171,921 ล้านบาท

กรมสรรพากร

สูงกว่าประมาณการงบ

+7,732 ล้านบาท (4.7%)

กรมสรรพากร

รายได้สะสม 7 เดือนแรก (ต.ค. 2567 – เม.ย. 2568)

1,138,182 ล้านบาท

กรมสรรพากร

จดทะเบียนธุรกิจใหม่ (เชียงราย) ไตรมาส 1 ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

241 ราย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

จดทะเบียนธุรกิจใหม่ (เชียงใหม่) ไตรมาส 1 ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

991 ราย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ธุรกิจบริการ (เชียงราย) ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

143 ราย

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ธุรกิจขายส่ง/ค้าปลีก (เชียงราย) ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

89 ราย

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

มูลค่าทุนจดทะเบียน (เชียงราย) ปี 2568 (มกราคม – มีนาคม)

324.718 ล้านบาท

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า

ที่มา:

  • กรมสรรพากร (https://www.rd.go.th)
  • กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ (https://www.dbd.go.th)
  • ข้อมูลจากจำนวนนิติบุคคลจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

การเติบโตที่ต้องสมดุล

จังหวัดเชียงรายในวันนี้ กำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน แม้ว่าตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจใหม่และรายได้ภาษีในระดับชาติจะสะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ในระดับชุมชน ผู้ประกอบการรายย่อยกลับต้องต่อสู้กับความยากลำบากจากต้นทุนที่สูงขึ้น กำลังซื้อที่ลดลง และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสองขั้วในจังหวัดเชียงรายจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปได้อย่างสมดุลและครอบคลุมทุกกลุ่มในสังคม

บทความโดย : กันณพงศ์ ก.บัวเกษร Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ และ Business – Group Head MBCS Thailand (Mediabrands Contents Studio)

เรียบเรียงโดย : มนรัตน์ ก.บัวเกษร Co-Founder สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

ถ่ายภาพโดย : กีรติ ชุติชัย ทีมข่าว สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

รัฐบาลสั่งทุกหน่วยงาน บูรณาการ แก้ปัญหาสารพิษ วิกฤตแม่น้ำกก

วิกฤตสารหนูในแม่น้ำกก กระทบประชาชนสองจังหวัด รัฐเร่งบูรณาการแก้ไข

พบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกเกินมาตรฐาน

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์แม่น้ำกกกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังกรมควบคุมมลพิษรายงานผลตรวจสอบพบสารหนูปนเปื้อนในลำน้ำเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะช่วงที่ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในระดับชุมชนถึงความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

รัฐมนตรี ทส. ชี้ต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วม

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งต่อทรัพยากรน้ำ ระบบนิเวศ เศรษฐกิจชุมชน และสุขภาพประชาชน ซึ่งการดำเนินการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรในระดับนานาชาติ

ตั้งคณะอนุกรรมการระดับชาติขับเคลื่อนการแก้ไข

เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีระบบ ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 มีมติแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน” โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นรองประธาน พร้อมหน่วยงานอีก 29 แห่งในฐานะคณะทำงาน

ใช้กลไกการทูตและเทคโนโลยีทันสมัยร่วมแก้ปัญหา

รัฐบาลไทยเดินหน้าใช้กลไกความร่วมมือทางการทูตและการทหาร เจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษจากภายนอก โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำที่อาจมีการทำเหมืองแร่โดยไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำเทคโนโลยีดาวเทียมและระบบภูมิสารสนเทศมาช่วยตรวจสอบแหล่งที่มาของการปนเปื้อน

ผลการตรวจน้ำ-สัตว์น้ำ และร่างกายมนุษย์

แม้จะพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก แต่การประปาส่วนภูมิภาคและกรมอนามัยได้ตรวจสอบน้ำประปาแล้วพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย นอกจากนี้ กรมประมงได้สุ่มตรวจสัตว์น้ำในพื้นที่และไม่พบการสะสมของสารพิษ เช่นเดียวกับตัวอย่างปัสสาวะของประชาชนในพื้นที่ก็ไม่พบสารหนูตกค้างในร่างกาย

มาตรการเฉพาะหน้าและแผนระยะยาว

ในระยะเร่งด่วน กระทรวงมหาดไทยได้จัดหาน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคบริโภคชั่วคราวให้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมกันนี้ กรมควบคุมมลพิษได้เพิ่มความถี่ในการตรวจวัดคุณภาพน้ำเป็นเดือนละ 2 ครั้ง ส่วนกรมทรัพยากรน้ำได้ควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ และเตรียมความพร้อมเครื่องจักรป้องกันน้ำเสียไหลเข้าสู่ลำน้ำสาขา

ในระยะยาว จะมีการกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกันปัญหาซ้ำซาก พร้อมจัดทำแผนฟื้นฟูระบบนิเวศของแม่น้ำกกและแหล่งน้ำที่ได้รับผลกระทบ

ประชาชนต้องไม่ตื่นตระหนก พร้อมรับข้อมูลจากรัฐ

หน่วยงานต่าง ๆ ได้รับมอบหมายให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างโปร่งใส และสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ตื่นตระหนก โดยเฉพาะผ่านช่องทางสื่อสารชุมชนและเครือข่ายอาสาสมัครในระดับตำบล

ภาพถ่ายดาวเทียมและการข่าวสนับสนุนสืบหาต้นตอ

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ได้ร่วมมือกับกรมกิจการชายแดนทหาร ในการนำภาพถ่ายจากดาวเทียมและข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม มาประกอบการวิเคราะห์ต้นเหตุของการปนเปื้อน ซึ่งคาดว่าอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมของว้าเหนือ ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการทำเหมืองแร่ในระดับอุตสาหกรรมโดยไม่ผ่านการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม

บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต

สถานการณ์สารพิษในแม่น้ำกกเป็นสัญญาณเตือนด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ความชัดเจนของข้อมูล และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ผลการตรวจน้ำประปาในเขตเชียงใหม่และเชียงราย (กรมอนามัย, เมษายน 2568): ไม่พบการปนเปื้อนสารหนู
  • รายงานคุณภาพสัตว์น้ำจากกรมประมง (2568): ไม่มีการสะสมสารหนูในสัตว์น้ำตัวอย่าง
  • ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ: พบสารหนูเกินมาตรฐานเฉพาะในแม่น้ำกกช่วงต้นเดือนเมษายน 2568
  • รายงานจาก GISTDA: แหล่งที่มาสารหนูอาจมาจากการทำเหมืองในเขตชายแดนไทย-เมียนมา
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2566): ประชากรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรงในเชียงรายและเชียงใหม่รวมกันกว่า 1.3 ล้านคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย
  • กรมประมง
  • GISTDA
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
SOCIETY & POLITICS

การประชุมแก้ปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 รัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไข

การประชุมแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าและฝุ่น PM 2.5 โดยรองนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล

เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2568 อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รมว.มหาดไทย) เป็นประธานการประชุมกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.ช.) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อติดตามปัญหาหมอกควันจากไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 โดยมีหน่วยงานต่างๆ และผู้ว่าราชการจังหวัด 76 จังหวัด ร่วมประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เร้นซ์ เพื่อรับมอบนโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

นายกรัฐมนตรีห่วงใยสถานการณ์หมอกควัน

รองนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์หมอกควันและฝุ่น PM 2.5 และได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดแม้ในช่วงที่เดินทางไปต่างประเทศ โดยตลอดระยะเวลาที่นายกรัฐมนตรีอยู่ต่างประเทศ ได้มีการติดต่อประสานงานและเรียกประชุมหารือกับตนเองทุกเวลา เพื่อให้ทุกฝ่ายเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหานี้

การแต่งตั้งที่ปรึกษากองบัญชาการปภ.ช.

ในที่ประชุม นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งผู้แทนสำคัญหลายท่านเพื่อเป็นที่ปรึกษาของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ ได้แก่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม, นายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกฯ และ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, รวมทั้ง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะรับผิดชอบในการเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนรับทราบและเข้าใจสถานการณ์ รวมทั้งส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการลดมลพิษจากฝุ่น PM 2.5

สถานการณ์หมอกควันในภาคเหนือ

อนุทินกล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา ได้เดินทางไปที่จังหวัดเชียงใหม่เพื่อติดตามสถานการณ์ในพื้นที่ โดยเฉพาะใน 17 จังหวัดภาคเหนือที่มีการเผาวัชพืชและผลผลิตทางการเกษตรอย่างมาก ซึ่งเป็นพื้นที่ Hotspot ที่มีปัญหาหมอกควันฝุ่น PM 2.5 สูงที่สุด ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ประกาศห้ามเผาและกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อบรรเทาสถานการณ์ โดยใช้ระบบบริหารจัดการแบบ Single Command เพื่อให้การทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานมีความเข้มข้นและมีประสิทธิภาพ

การบูรณาการความร่วมมือของทุกภาคส่วน

รองนายกรัฐมนตรีเน้นย้ำถึงการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันเกิดผลอย่างแท้จริง โดยให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมมือกันและทำงานอย่างเป็นทีม โดยไม่มุ่งหวังให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดำเนินการเพียงลำพัง

มูลเหตุสำคัญจากการเผา

อนุทินยังกล่าวต่อว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดหมอกควันและมลพิษ PM 2.5 คือการเผาวัชพืชและซากพืชทางการเกษตร หากไม่ให้ประชาชนเผาทำลายซากพืชเหล่านี้ จะช่วยลดมลพิษได้อย่างมาก โดยการเผานั้นไม่ได้มีแค่ผลกระทบในประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย จึงมีการเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยและประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเกษตรกร

นายอนุทินกล่าวว่า การเกษตรในพื้นที่ภาคเหนือและทั่วประเทศได้รับการเปลี่ยนแปลง โดยเกษตรกรหันมาผลิตพืชระยะสั้นแทนพืชผลทางการเกษตรระยะยาว เช่น มะม่วง ทุเรียน หรือมังคุด ที่ต้องใช้เวลาหลายปีในการเก็บเกี่ยว ซึ่งทำให้เกิดการเผาเศษวัชพืชมากขึ้น เนื่องจากพืชผลเหล่านี้ไม่ได้ให้ผลทันที และต้องเร่งปลูกพืชใหม่จึงต้องใช้การเผาเป็นวิธีการจัดการที่สะดวกและรวดเร็ว

แนวทางในการลดมลพิษจากการเผา

สำหรับการลดมลพิษจากการเผา การใช้วิธีการใหม่ๆ เช่น การฝังกลบ หรือการแปรสภาพเศษวัชพืชไปเป็นพลังงานชีวภาพ หรืออาหารสัตว์ รวมทั้งการทำปุ๋ยชีวภาพ เป็นทางเลือกที่รัฐบาลสนับสนุน พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือในด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จำเป็น

ความเสียหายจากหมอกควันและฝุ่น PM 2.5

รองนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวถึงความเสียหายจากหมอกควันที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องการการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนเพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้รัฐบาลจะต้องมีมาตรการในการให้ความช่วยเหลือชาวบ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อสถานการณ์เริ่มเกิดผลกระทบต่อสุขภาพและชีวิตของประชาชน

มาตรการในการช่วยเหลือชาวบ้าน

การใช้เงินช่วยเหลือเป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อชดเชยความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควันฝุ่น PM 2.5 โดยรัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือในระยะยาว รวมทั้งมาตรการในการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติในอนาคต

บทสรุป

การแก้ไขปัญหาหมอกควันและฝุ่น PM 2.5 เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องได้รับการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล หน่วยงานท้องถิ่น และประชาชน เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนการดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้เกิดผลสำเร็จในการลดมลพิษและแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่าในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE