Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

“พันดวงประทีป ธ ประดับสวรรคาลัย” ร่วมน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

แสงศรัทธาประดับสวรรคาลัย เชียงรายร่วมรำลึก “สมเด็จพระพันปีหลวง” ด้วยพันดวงประทีปและพิธีบำเพ็ญกุศล สองเวที–หนึ่งความหมาย บึงทัพฟ้าสว่างไสว และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายก้องสะท้อนกตัญญู–สามัคคี–จงรักภักดี

เชียงราย, 4 พฤศจิกายน 2568 — ยามเย็นริม “บึงทัพฟ้า” ลมหนาวต้นเดือนพฤศจิกายนพัดผ่านเหนือผืนน้ำที่สงบนิ่งก่อนเปลวไฟนับพันดวงจะถูกจุดขึ้นพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ ตะเกียงแต่ละใบค่อย ๆ ส่องสว่างรอบคุ้งน้ำ ดั่งริ้วคลื่นแห่งความกตัญญูที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา ณ ชั่วขณะนั้น เมืองเชียงรายทั้งเมืองเหมือนหยุดหายใจเพื่อร่วม “วาระเดียวกัน”—รำลึกพระมหากรุณาธิคุณของ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้ทรงเป็นแรงบันดาลใจและร่มพระบารมีของประชาชนไทยมายาวนาน

บนพื้นที่เดียวกัน เทศบาลนครเชียงราย นำโดย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้ผนึกกำลังกับ กองทัพอากาศ จัดพิธี “พันดวงประทีป ธ ประดับสวรรคาลัย” อย่างสมพระเกียรติ โดยมี พลอากาศเอก ประภาส สอนใจดี ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นประธานพิธี และมีผู้แทนหน่วยราชการ ทหาร ข้าราชการท้องถิ่น ตลอดจนประชาชนจำนวนมากเข้าร่วม ท่ามกลางบรรยากาศเรียบสง่า แต่เข้มขลังด้วย “แสงศรัทธา” ที่ทุกคนร่วมกันจุดถวายเพื่อแสดงความจงรักภักดีและขอบคุณในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น

ขณะเดียวกัน ในเขตตัวเมืองอีกฟากหนึ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย) จัดพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย ณ หอประชุมใหญ่ โดยมี พระราชวชิรคณี เจ้าคณะจังหวัดเชียงราย/เจ้าอาวาสวัดพระธาตุผาเงา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ รองศาสตราจารย์ ดร.ไพโรจน์ ด้วงนคร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร คณาจารย์ บุคลากร นักศึกษา หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง ภาพของพุทธศาสนิกชนที่สงบนิ่งในหอประชุมตัดสลับกับแสงประทีปรอบบึงทัพฟ้าในยามค่ำ กลายเป็น “สองเวที–หนึ่งความหมาย” ที่สะท้อนพลังร่วมของเมืองทั้งเมือง

บึงทัพฟ้า—เมื่อ “หนึ่งเปลวไฟ” สานเป็น “พันดวงประทีป”

พิธีเริ่มขึ้นโดยขั้นตอนระเบียบเรียบร้อยตามแบบแผนราชพิธีร่วมสมัย เสียงเพลงเบา ๆ ผสานกับเสียงลมเหนือผืนน้ำ ผู้คนหลากวัยสวมชุดสุภาพร่วมจุดตะเกียงทีละดวง ลำดับแถวเรียงรายรอบบึงก่อเกิดเป็น “วงแหวนแห่งแสง” ซึ่งบันทึกความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณผ่านภาพที่เรียบง่ายแต่ตราตรึง การจัดวางพื้นที่และการกำกับดูแลความปลอดภัยดำเนินไปอย่างรัดกุม สะท้อนความร่วมมือของเทศบาล หน่วยงานความมั่นคง และจิตอาสาในพื้นที่

สาระของพิธี เน้นย้ำสามมิติสำคัญคือ “กตัญญู–จงรักภักดี–เสียสละ” ประชาชนที่เข้าร่วมต่างตั้งใจให้ “แสงแห่งความดีงาม” นี้เป็นสัญลักษณ์นำทางการดำรงตนในชีวิตประจำวัน ตามรอย พระราชปณิธาน ของพระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยเฉพาะด้านงานหัตถศิลป์และการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งทรงวางรากฐานไว้ให้สังคมไทยยึดถือและสืบสานต่อมาอย่างยาวนาน

หอประชุมใหญ่ มรภ.เชียงราย—ความศรัทธาที่กลั่นเป็น “บุญกุศล”

ขณะบึงทัพฟ้าสุขุมด้วยแสงไฟ หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยความสงบงามของพิธีสงฆ์ พระราชวชิรคณี นำประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย โดยมี รศ.ดร.ไพโรจน์ ด้วงนคร เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ภายในพิธีประกอบด้วยบทสวดมนต์ อนุโมทนา และการร่วมใจภาวนาของผู้เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ความพร้อมหน้าของ คณาจารย์–บุคลากร–นักศึกษา–หัวหน้าส่วนราชการ–ผู้นำท้องถิ่น–ประชาชน บอกเล่า “พลวัตการมีส่วนร่วม” ที่บ่มเพาะในสถาบันการศึกษา เพื่อส่งต่อ “จิตสำนึกพลเมือง” เข้าสู่สังคมวงกว้าง

สาระสำคัญ ของพิธีที่มหาวิทยาลัย คือการให้พื้นที่กับ “ความทรงจำร่วม” ผ่านรูปแบบที่แสดงออกได้อย่างเหมาะสม—ทั้งด้านพุทธศาสนา (พิธีบำเพ็ญกุศล) และด้านพลเมือง (การรวมพลังทำความดี) นี่ไม่ใช่เพียง “พิธีกรรม” หากเป็น “บทเรียนสาธารณะ” ที่ทำให้นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้คุณค่าของความกตัญญูและการเสียสละ ผ่านการลงมือปฏิบัติและสัมผัสบรรยากาศจริง

ทำไม “พันดวงประทีป” จึงทรงพลัง อ่านสัญลักษณ์ในสามระดับ

  1. ระดับปัจเจก — เปลวไฟหนึ่งดวงคือคำมั่น ผู้จุดตะเกียง “ประกาศภายใน” ว่าจะเดินตามรอยความดีงาม ความอ่อนน้อม และความเสียสละของพระองค์
  2. ระดับชุมชน — เมื่อไฟนับพันดวงรวมเป็นวงแหวนรอบบึงทัพฟ้า เมืองทั้งเมืองได้ “เห็นกันและกัน” ว่าสังคมยังมีแก่นค่านิยมร่วมที่จับต้องได้—ความกตัญญูและความสามัคคี
  3. ระดับประเทศ — รูปธรรมของพิธีที่เชียงรายสอดรับจารีตการรำลึกในหลากพื้นที่ของไทย เชื่อม “ความทรงจำทางสังคม” เข้ากับ “อัตลักษณ์ร่วม” ที่ยืนยาวกว่าความต่างในรายละเอียด

เชียงรายในมุมความทรงจำ เมือง–ศรัทธา–งานหัตถศิลป์

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชื่อ “เชียงราย” เด่นชัดในบทสนทนาเรื่องวัฒนธรรมและหัตถศิลป์ล้านนา ตั้งแต่งานทอผ้า งานจักสาน งานแกะสลัก ไปจนถึงงานศิลป์ร่วมสมัย แก่นค่านิยมหนึ่งที่สะท้อนชัดจากพิธีในวันนี้คือ การสืบสานอย่างมีชีวิต” ไม่ใช่เพียงการเก็บรักษา แต่คือการทำให้มี “ผู้สืบทอด” อยู่เสมอ ซึ่งสอดคล้องกับพระราชปณิธานของพระบรมราชชนนีพันปีหลวงในการทรงทำนุบำรุงงานหัตถศิลป์และศิลปวัฒนธรรมพื้นถิ่น

เมื่อ เทศบาลนครเชียงราย ผนึกกำลังกับ กองทัพอากาศ และหน่วยงานท้องถิ่น การจัดพิธีที่เรียบง่ายแต่เปี่ยมความหมายจึงไม่ใช่ “งานครั้งคราว” หากเป็น “กลไก” ในการก่อรูปความทรงจำและบ่มเพาะความเป็นพลเมืองร่วมสมัยให้แข็งแรงขึ้น

มหาวิทยาลัยคือสะพาน เชื่อมความทรงจำสู่อนาคตของคนรุ่นใหม่

บทบาทของ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในค่ำคืนนี้ ไม่เพียงแสดงความพร้อมทางวิชาการและพิธีการ แต่ยังตอกย้ำบทบาทของ “สถาบันอุดมศึกษา” ในฐานะ “พื้นที่กลางของชุมชน” ที่เปิดรับคนทุกวัย ทุกสาขาอาชีพเข้าสู่พิธีกรรมทางสังคมที่มีความหมาย การได้เห็นนักศึกษา “เรียนบทเรียนพลเมือง” ผ่านการมีส่วนร่วมจริง—ตั้งแต่เตรียมงาน อำนวยความสะดวก ไปจนถึงร่วมภาวนา—คือการส่งต่อทุนสังคมชุดสำคัญ ความรับผิดชอบ–ความอ่อนน้อม–ความเคารพในสถาบันหลักของชาติ

สถิติ–สัญญะ–ส่วนร่วม (Reading the Impact)

แม้พิธีเชิงสัญลักษณ์จะวัดค่าเชิงปริมาณได้ยาก แต่สามองค์ประกอบต่อไปนี้ช่วย “อ่านผลลัพธ์” ได้ชัดเจนขึ้น

  • สถิติในเชิงโครงสร้าง มี “สองเวทีพิธีหลัก” ในวันเดียวกัน—บึงทัพฟ้า (พิธีประทีป) และ มรภ.เชียงราย (พิธีบำเพ็ญกุศล) ดึงผู้มีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน ทั้งทหาร ส่วนท้องถิ่น ส่วนกลาง ชุมชน นักศึกษา และประชาชน
  • สัญญะของแสง “พันดวงประทีป” ไม่ใช่เพียงจำนวน แต่คือ “การรวมพลัง” ที่มองเห็นได้ด้วยตา—การที่ไฟแต่ละดวงต้อง “ถูกจุดด้วยมือ” ทำให้ทุกคนเป็น “เจ้าของพิธี” เท่า ๆ กัน
  • ส่วนร่วมอย่างมีคุณภาพ พิธีทั้งสองไม่ใช่กิจกรรมแบบผู้จัด–ผู้ชม หากเป็นกิจกรรมที่ “ทุกฝ่ายมีบทบาท” ตั้งแต่เตรียมงาน ดูแลความปลอดภัย ไปจนถึงร่วมภาวนา—มิตินี้คือหัวใจของ “ความเข้มแข็งทางสังคม”

เชื่อมโยงพระราชปณิธาน จากงานศิลป์–หัตถกรรม สู่ความดีงามในชีวิตประจำวัน

หนึ่งในรากฐานที่ทำให้พิธีค่ำคืนนี้ทรงความหมายคือการได้ “น้อมระลึก” ถึงพระราชปณิธานด้านการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม งานหัตถกรรม และภูมิปัญญาพื้นถิ่น—สิ่งที่ส่งผลจริงต่อวิถีชีวิตประชาชน ทั้งการสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความภาคภูมิใจให้ชุมชน เมื่อประชาชนและนิสิตนักศึกษาลุกขึ้นมาร่วมพิธีอย่างพร้อมเพรียง สิ่งที่ซึมลึกกว่าความงามของเปลวไฟ คือ “แรงบันดาลใจจะทำความดีต่อเนื่อง” ในหน่วยเล็ก ๆ ของสังคม ครอบครัว โรงเรียน วัด ชุมชน

บทเรียนสำหรับเมือง ทำอย่างไรให้ “ความทรงจำร่วม” ดำรงอยู่ยาวนาน

  1. ปฏิทินพิธีกรรมประจำปี – เมืองสามารถกำหนด “จังหวะเวลา” ให้ประชาชนคุ้นเคยและรอคอย เหมือนฤดูกาลของความดีงามที่กลับมาเสมอ
  2. การมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง – เปิดพื้นที่ให้ภาคีหลากหลายได้ “ทำ” ไม่ใช่แค่ “มาดู” เช่น กลุ่มเยาวชน องค์กรชุมชน โรงเรียน อาสาสมัคร
  3. สื่อสารสาระอย่างเข้าใจง่าย – อธิบายความหมายของพิธีและสัญลักษณ์ เช่น ทำไมต้อง “ตะเกียงนับพันดวง” ทำไมต้อง “บำเพ็ญกุศล”—ยิ่งเข้าใจ ยิ่งมีพลัง
  4. เชื่อมงานบุญกับงานชุมชน – ต่อท่อกิจกรรมจาก “พิธี” ไปสู่ “โครงการย่อย” เช่น เวิร์กช็อปงานหัตถกรรม อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรอบบึงทัพฟ้า ทุนการศึกษาด้านศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ

สองพื้นที่—หนึ่งใจเดียว

ค่ำคืนที่ “บึงทัพฟ้า” เมืองได้เห็นแสงประทีปนับพันดวงโอบกอดผืนน้ำ ขณะที่ “หอประชุมใหญ่ มรภ.เชียงราย” เปล่งเสียงสวดกังวานด้วยความสงบเยือกเย็น—สองภาพนี้คือ บทกวีร่วมสมัยของเชียงราย ที่ร้อยเรียงด้วยเส้นด้ายเดียวกันคือ ความกตัญญูและความจงรักภักดี ต่อ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเมื่อเปลวไฟสุดท้ายค่อย ๆ มอดดับ ผู้คนแยกย้ายกลับบ้านพร้อม “แสงเล็ก ๆ ในใจ” ที่ยังอุ่นอยู่—แสงที่เตือนว่า ในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน ยังมีค่าหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน: การระลึกคุณและการทำความดีร่วมกัน

KEY TAKEAWAYS (สำหรับผู้อ่านเชิงนโยบาย/การจัดการเมือง)

  • สองเวทีหลัก: พิธีประทีป ณ บึงทัพฟ้า (เทศบาลฯ–กองทัพอากาศ) และพิธีบำเพ็ญกุศล ณ มรภ.เชียงราย (ฝ่ายสงฆ์–ฝ่ายฆราวาส–สาธารณะ)
  • สาระกลาง: ความกตัญญู–ความจงรักภักดี–การสืบสานพระราชปณิธานด้านวัฒนธรรมและหัตถศิลป์
  • ผลลัพธ์ทางสังคม: เกิดพื้นที่ส่วนร่วมของพลเมืองอย่างกว้างขวาง สร้างความเชื่อมโยงระหว่างรัฐ–สถาบันการศึกษา–ศาสนา–ชุมชน
  • ข้อเสนอเชิงระบบ: ทำปฏิทินพิธีประจำปี—เปิดโอกาสให้ “ทำ” มากกว่า “ดู”—สื่อสารความหมายให้เข้าใจง่าย—เชื่อมพิชญ์กรรมกับกิจกรรมชุมชนเชิงยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • กองทัพอากาศ
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรภ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย-ม.ราชภัฏ-ครูบาอริยชาติผนึก! “เพชรล้านนา” มอบทุน 1.7 ล้าน ปั้นพลเมืองคุณภาพ

 “เพชรล้านนา 2568” กลับมาอย่างยิ่งใหญ่! ครูบาอริยชาติ เทศบาลนครเชียงราย และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ผนึกกำลังเฟ้นหา “คนดี-คนเก่ง” มอบทุนการศึกษากว่า 1.7 ล้านบาท จุดไฟความหวังให้เยาวชนภาคเหนือ

เชียงราย, 21 กรกฎาคม 2568 – หลังหยุดชะงักจากวิกฤตโควิด-19 และเหตุการณ์ไฟไหม้วัดแสงแก้วโพธิญาณที่สร้างความสูญเสียต่อศรัทธาชาวพุทธในพื้นที่ โครงการ “เพชรล้านนา” กลับมาอีกครั้งในปี 2568 อย่างทรงพลัง โดยได้รับการขับเคลื่อนจากความร่วมมือระหว่าง พระภาวนารัตนญาณ วิ. (ครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดแสงแก้วโพธิญาณ จังหวัดเชียงราย, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

พิธีแถลงข่าวเปิดตัวโครงการและลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างสามหน่วยงานหลักจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมเทศบาลนครเชียงราย ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นและความคาดหวังจากผู้แทนเครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคการศึกษา ศาสนา ผู้ปกครอง ตลอดจนสื่อมวลชนและเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ

จุดยืน “เพชรล้านนา” สร้างคนดีควบคู่คนเก่ง สู่การพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน

รองศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง กล่าวย้ำถึงเป้าหมายสูงสุดของโครงการว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายดำเนินงานโครงการเพชรล้านนาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560 ด้วยความเมตตาของครูบาอริยชาติและการสนับสนุนจากเทศบาลนครเชียงราย โดยเราเน้นการคัดเลือกเยาวชนที่มีความประพฤติดี มีจิตอาสา เป็นแบบอย่างแก่สังคม พร้อมกับความเป็นเลิศทางวิชาการ เพื่อหล่อหลอม ‘คนดี คนเก่ง’ ที่พร้อมจะเติบโตเป็นพลเมืองคุณภาพของท้องถิ่นและประเทศ”

ความท้าทายในการคัดเลือก “เพชรล้านนา” จึงไม่ใช่เพียงการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา แต่ยังต้องค้นหาเยาวชนที่มีหัวใจงดงาม รู้จักเสียสละ มีจิตสาธารณะ และสามารถนำความรู้กลับไปพัฒนาชุมชน สอดคล้องกับแนวทาง “บ่มเพาะคุณธรรม-ปัญญา” ของครูบาอริยชาติ และหลักคิด “พัฒนาคน พัฒนาชาติ” ที่ยังยืนหยัดในทุกบริบทสังคมยุคใหม่

เทศบาลนครเชียงราย ขยายโอกาส-ลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษา

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวเสริมว่า เทศบาลมุ่งมั่นที่จะสร้างเชียงรายให้เป็น “นครแห่งการศึกษา” ผ่านการผนึกเครือข่ายกับสถาบันการศึกษาท้องถิ่นและครูบาอริยชาติในการกระจายโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง “เมื่อครูบาอริยชาติริเริ่มโครงการเพชรล้านนา เทศบาลฯ จึงพร้อมผลักดันให้ขยายสู่ 8 จังหวัดภาคเหนือ เพราะเราเชื่อว่าการสร้าง ‘คนดี’ ที่พร้อมทั้งจริยธรรมและความรู้ จะเป็นรากฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งมอบทุนการศึกษาฟรีตลอดหลักสูตรระดับอุดมศึกษา จัดสร้างหอพักนักเรียนที่ได้มาตรฐาน และพัฒนาสวัสดิการรองรับ”

เทศบาลนครเชียงรายยืนยันจะขยายเครือข่ายและแรงสนับสนุนไปสู่ 16 จังหวัดภาคเหนือในอนาคต ด้วยเป้าหมายลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและสร้างสังคมแห่งโอกาสอย่างแท้จริง

กลไกคัดเลือก “โปร่งใส-รอบด้าน” กว่า 272 ทุน รวม 1.7 ล้านบาท

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ยิ่งศักดิ์ เพชรนิล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เปิดเผยว่า โครงการเพชรล้านนา 2568 เปิดรับสมัครเยาวชนใน 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย, เชียงใหม่, ลำปาง, ลำพูน, พะเยา, แพร่, น่าน, และแม่ฮ่องสอน แบ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย คัดเลือกเข้มข้น 3 รอบ ได้แก่

  1. รอบคัดเลือกเบื้องต้น: โรงเรียนเสนอรายชื่อเยาวชนที่มีศักยภาพ ทั้งด้านวิชาการและคุณธรรม กลุ่มสาระละไม่เกิน 5 คน
  2. รอบทดสอบความรู้: มหาวิทยาลัยร่วมกับเทศบาลฯ จัดสอบวัดผลวิชาการ (คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ พระพุทธศาสนา ศาสตร์ไทย และในระดับมัธยมปลายเพิ่ม ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา)
  3. รอบพิจารณาความเหมาะสม: คณะกรรมการคัดเลือกตามคุณสมบัติครบถ้วน

รวมรางวัลทุนการศึกษาทั้งสิ้น 272 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 1,785,000 บาท แบ่งเป็นรางวัล “เพชรล้านนา” 136 รางวัล (ทั้งประเภทชนะเลิศ รองชนะเลิศ และชมเชย) และรางวัลเพชรล้านนาระดับจังหวัดอีก 136 รางวัล

โดยรับสมัครถึง 30 กันยายน 2568 เชิญชวนผู้บริหารโรงเรียน และภาคีเครือข่ายร่วมกันส่งเสริมเยาวชนสมัครเข้าร่วมคัดเลือก เพื่อสืบสานเจตนารมณ์ “ครูบาอริยชาติ” ในการกระจายโอกาสอย่างเท่าเทียม

 “เพชรล้านนา” โมเดลต้นแบบ สร้างชาติด้วย “คนดี-คนเก่ง”

โครงการเพชรล้านนา 2568 เป็นกรณีศึกษาชั้นดีของการผนึกกำลังทุกภาคส่วนในการพัฒนาเยาวชน โดยเฉพาะการบูรณาการบทบาทของศาสนา การศึกษา และท้องถิ่น จุดเด่นที่สำคัญคือ

  • เน้นคุณธรรมควบคู่วิชาการ: ให้ความสำคัญกับการบ่มเพาะจิตอาสา ความรับผิดชอบ และแบบอย่างที่ดี โดยไม่มองข้ามความเก่งเชิงวิชาการ
  • ขยายเครือข่ายสู่ภูมิภาค: การประสานมหาวิทยาลัยราชภัฏหลายแห่งและเทศบาลนครใน 8 จังหวัด สะท้อนพลังร่วมที่ยั่งยืน
  • สนับสนุนต่อเนื่องจากพระศาสนา: ครูบาอริยชาติอุทิศทุนกว่า 1.7 ล้านบาท เป็นพลังใจให้สังคมมุ่งมั่นสืบทอดโครงการ
  • กลไกคัดเลือกโปร่งใส: พิจารณารอบด้าน ไม่ยึดติดแค่ผลการเรียน แต่ดูที่ศักยภาพและความเหมาะสมจริง

ความท้าทาย อยู่ที่การประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงเยาวชนชนบทห่างไกล และการติดตามผลความก้าวหน้าของเด็กทุนหลังรับรางวัลแล้ว เพื่อประเมินความสำเร็จและต่อยอดการสนับสนุนในอนาคต

โครงการเพชรล้านนา 2568 จึงมิใช่เพียงการมอบทุน แต่เป็นกลไกสร้าง “พลเมืองคุณภาพ” ที่มีทั้งคุณธรรมและปัญญา เป็นแรงบันดาลใจแก่ท้องถิ่นและประเทศชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • วัดแสงแก้วโพธิญาณ
  • เทศบาลนครเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายจัด “ป๊ะกาด”! เปลี่ยนโฉมตลาด 100 ปี สู่แกลเลอรีศิลปะร่วมสมัย

ป๊ะกาด” ศิลปะบุกกาดหลวง เทศกาลที่จุดประกายชีวิตให้ตลาด 100 ปีแห่งเชียงราย

เชียงราย, 13 กรกฎาคม 2568 – ในใจกลางเมืองเชียงรายที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ตลาดกาดหลวง หรือที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ “ตลาดเทศบาล 1” ยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่เต้นไม่หยุดของชุมชนมานานกว่า 100 ปี ด้วยกลิ่นหอมของอาหารล้านนา เสียงเจรจาค้าขาย และสีสันของวัฒนธรรมท้องถิ่น ตลาดแห่งนี้ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางการค้า แต่ยังเป็นพื้นที่ที่สะท้อนวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของชาวเชียงรายอย่างลึกซึ้ง ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป ความคึกคักของกาดหลวงอาจลดลงตามยุคสมัย แต่ความทรงจำและเรื่องราวที่ฝังรากลึกยังคงรอวันถูกปลุกให้มีชีวิตอีกครั้ง

ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2568 นี้ เทศกาลศิลปะสุดสร้างสรรค์ “ป๊ะกาด” (Pagad) จะมาถึง เพื่อเปลี่ยนโฉมกาดหลวงให้กลายเป็นแกลเลอรีแห่งศิลปะร่วมสมัยที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการเชื่อมโยง ด้วยแนวคิด “ศิลปะ กับ กาลเวลา” เทศกาลนี้จะนำเสนอผลงานศิลปะหลากหลายแขนงใน 16 จุดทั่วทั้งตลาด พร้อมเชิญชวนผู้คนจากทุกมุมให้มาร่วม “ป๊ะ” หรือพบปะกันที่ “กาด” เพื่อค้นหาความหมายของวัฒนธรรมและความทรงจำร่วมกัน

จากกาดสู่แกลเลอรีการเดินทางของ “ป๊ะกาด”

คำว่า “ป๊ะกาด” มาจากภาษาเหนือที่แปลว่า “พบกันที่กาด” ซึ่งสะท้อนถึงจิตวิญญาณของงานนี้ที่มุ่งสร้างพื้นที่พบปะระหว่างศิลปะ ชุมชน และผู้มาเยือน เทศกาลนี้จัดโดย Everywhere Gallery กลุ่มศิลปะทางเลือกที่มุ่งมั่นนำศิลปะสู่ผู้คนในทุกพื้นที่ โดยในปีนี้ พวกเขาเลือกกาดหลวงเป็นผืนผ้าใบสำหรับการเล่าเรื่อง ด้วยการผสานศิลปะร่วมสมัยเข้ากับบริบทของชุมชนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน

เทศกาล “ป๊ะกาด” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม ถึง 8 สิงหาคม 2568 โดยมีกิจกรรมหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดทั้งคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น Art Fair ที่ชั้น 1 ของตึกโรงรับจำนำร้างใกล้หอนาฬิกาเก่า ซึ่งจะจัดแสดงผลงานจากศิลปินท้องถิ่นและศิลปินรับเชิญ, Workshop ที่ชวนผู้คนในชุมชนมาร่วมสร้างสรรค์งานศิลปะ, Group Show และ Art Exhibition ที่กระจายอยู่ใน 16 จุดแลนด์มาร์คทั่วกาดหลวง ผลงานเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการแสดงศิลปะ แต่ยังเป็นการสนทนาที่เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของชุมชน

หนึ่งในไฮไลต์ของงานคือ #ป๊ะกาด Art Matching ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จับคู่ศิลปินกับพื้นที่ในตลาด เพื่อสร้างผลงานที่สะท้อนเรื่องราวของกาดหลวง นอกจากนี้ยังมี กาด Talk เสวนาที่เปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าและคนในชุมชนมาร่วมแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตและอนาคตของตลาด ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง กิจกรรมเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนท้องถิ่น ซึ่งมองว่างานนี้เป็นการฟื้นฟูความมีชีวิตชีวาให้กับกาดหลวง

กาดหลวงหัวใจที่เต้นไม่หยุดของเชียงราย

กาดหลวง หรือตลาดเทศบาล 1 ไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อขายสินค้า แต่เป็นศูนย์รวมวิถีชีวิตที่สะท้อนอัตลักษณ์ของเชียงราย ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 100 ปี ตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งค้าขายหลักของชาวเชียงรายมาหลายชั่วอายุคน ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นกิจการครอบครัวที่สืบทอดกันมานาน บางร้านยังคงรักษาวิธีการค้าขายแบบดั้งเดิมไว้ สถาปัตยกรรมของอาคารยังคงสภาพดั้งเดิม สะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมล้านนาที่ฝังรากลึกในชุมชน

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวถึงความสำคัญของกาดหลวงว่า “ตลาดแห่งนี้เป็นมากกว่าพื้นที่การค้า แต่เป็นศูนย์กลางที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และความเป็นชุมชนของเรา การจัดงาน ‘ป๊ะกาด’ เป็นโอกาสสำคัญในการนำเสนออัตลักษณ์ของเชียงรายสู่สายตาคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยว”

ด้วยการดำเนินงานเกือบตลอด 24 ชั่วโมง กาดหลวงมีจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนไปตามช่วงเวลา ตั้งแต่การค้าส่งผักผลไม้ในยามเช้าตรู่ ไปจนถึงร้านอาหารริมทางที่คึกคักในยามค่ำคืน ความหลากหลายนี้ทำให้กาดหลวงเป็นสถานที่ที่ทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสวิถีชีวิตที่แท้จริงของภาคเหนือได้อย่างใกล้ชิด

ศิลปะจุดประกายอนาคต ผลกระทบของ “ป๊ะกาด”

เทศกาล “ป๊ะกาด” ไม่เพียงเป็นการเฉลิมฉลองศิลปะและวัฒนธรรม แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูและส่งเสริมกาดหลวงให้เป็นมากกว่าตลาดทั่วไป การนำศิลปะร่วมสมัยมาผสานกับพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ช่วยสร้างมุมมองใหม่ให้กับชุมชน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่อาจมองข้ามความสำคัญของตลาดดั้งเดิม การมีส่วนร่วมของศิลปินท้องถิ่น 16 คนและการจัดแสดงใน 16 จุดทั่วตลาด ยังเป็นการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมให้กับชุมชน

การวิเคราะห์ผลลัพธ์ของงานนี้ชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในการยกระดับกาดหลวงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่งขึ้น การที่นักท่องเที่ยวและคนในชุมชนมีปฏิสัมพันธ์ผ่านศิลปะและการเสวนา ช่วยสร้างความผูกพันและความเข้าใจในคุณค่าของมรดกท้องถิ่น นอกจากนี้ การจัดงานในพื้นที่ที่เข้าถึงง่าย เช่น ใกล้หอนาฬิกาเก่าและสถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น อนุสาวรีย์พญามังราย และศาลเจ้าปุงเถ่ากง ทำให้ “ป๊ะกาด” มีโอกาสดึงดูดผู้คนจากหลากหลายกลุ่ม

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของงานนี้อยู่ที่การรักษาความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์อัตลักษณ์ดั้งเดิมของกาดหลวงและการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ผ่านศิลปะร่วมสมัย การที่เทศกาลนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากชุมชนเป็นสัญญาณที่ดี แต่การจะรักษาความยั่งยืนของงานในระยะยาว จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ ทั้งในด้านการจัดการทรัพยากรและการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างต่อเนื่อง

สู่การค้นพบครั้งใหม่ที่กาดหลวง

“ป๊ะกาด” ไม่ใช่แค่เทศกาลศิลปะ แต่เป็นสะพานที่เชื่อมโยงผู้คนกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และอนาคตของกาดหลวงเชียงราย ผ่านผลงานศิลปะที่เล่าเรื่องราวของชุมชน และกิจกรรมที่ชวนให้ทุกคนมีส่วนร่วม ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคมนี้ กาดหลวงจะไม่ใช่แค่สถานที่ซื้อของ แต่จะกลายเป็นพื้นที่ที่ศิลปะและความทรงจำมาบรรจบกัน

สำหรับผู้ที่สนใจสัมผัสประสบการณ์นี้ สามารถเดินทางมากาดหลวงได้อย่างง่ายดาย ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางเมืองเชียงราย ใกล้ถนนธนาลัย อุตรกิจ ไตรรัตน์ และสุขสถิต พร้อมสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง เช่น หอนาฬิกาเชียงราย และวัดร่องขุ่น ที่รอให้คุณมาค้นพบ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย. (2568). ข้อมูลเกี่ยวกับกาดหลวงเชียงรายและการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่น.
  • Everywhere Gallery. (2568). รายละเอียดเทศกาล “ป๊ะกาด” และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง.
  • รายงานการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย, กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2567.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

วัดกลางเวียงจัดงานเดือน 8 เข้า 9 ออก เชียงราย

วัดกลางเวียงจัดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ฟื้นฟูรากเหง้าวัฒนธรรม สร้างความสามัคคีชุมชนเชียงราย

เชียงราย, 23 พฤษภาคม 2568 – ณ วัดกลางเวียง (จันทโลการาม) อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกบูชาสะดือเมืองเชียงราย” ระหว่างวันที่ 23–29 พฤษภาคม 2568 เพื่อฟื้นฟูประเพณีท้องถิ่นอันเก่าแก่ที่เคยเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเชียงราย พร้อมส่งเสริมความสามัคคีในชุมชนและอนุรักษ์อัตลักษณ์วัฒนธรรมท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป งานนี้ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ รวมถึงดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติให้มาร่วมสัมผัสคุณค่าสืบสานรากเหง้าวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าของเมืองเชียงราย

รากเหง้าที่ถูกลืมของสะดือเมืองเชียงราย

ในใจกลางเมืองเชียงราย วัดกลางเวียง (จันทโลการาม) ยืนหยัดเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตวิญญาณและประวัติศาสตร์ของชุมชนมานานหลายศตวรรษ วัดแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ “สะดือเมืองเชียงราย” หรือเสาหลักเมือง ซึ่งชาวบ้านในอดีตเชื่อว่าเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อท้องถิ่น การบูชาสะดือเมืองด้วยการถวายขันดอกและประกอบพิธีกรรมในช่วง “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” (ตามปฏิทินล้านนา) เป็นการแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาเมือง และเป็นโอกาสให้ชุมชนมารวมตัวกันเพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและความเป็นสิริมงคล

ประเพณีนี้เคยเป็นส่วนสำคัญของวิถีชีวิตชาวเชียงราย โดยชาวบ้านจะนำขันดอกที่ประดับด้วยดอกไม้สด ธูป เทียน และเครื่องบูชามาถวายที่เสาสะดือเมือง พร้อมประกอบพิธีทางพุทธศาสนาและการแสดงศิลปะพื้นบ้าน อย่างไรก็ตาม ประเพณีนี้ค่อยๆ เลือนหายไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากความวุ่นวายในสังคมและการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คน การขาดการสืบทอดทำให้ความทรงจำเกี่ยวกับประเพณีนี้กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าของผู้สูงวัยในชุมชน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ชุมชนในย่านเมืองเก่าเชียงรายเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ด้วยความร่วมมือจากวัดกลางเวียง สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย และกลุ่มผู้นำชุมชน จึงเกิดแนวคิดที่จะฟื้นฟูประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ขึ้นมาใหม่ เพื่อเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่กับรากเหง้าทางวัฒนธรรม และสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น การจัดงานในครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นการรื้อฟื้นพิธีกรรมโบราณ แต่ยังเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูจิตวิญญาณของชุมชนและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

งานประเพณีอันยิ่งใหญ่ที่วัดกลางเวียง

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 เวลา 09.00 น. วัดกลางเวียงได้เนรมิตพื้นที่ให้กลายเป็นศูนย์รวมของความศรัทธาและความสามัคคี ด้วยการจัดพิธีเปิดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก ใส่ขันดอกบูชาสะดือเมืองเชียงราย” อย่างยิ่งใหญ่ นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย เป็นประธานในพิธีอัญเชิญขันหลวงเข้าสู่หลักเมือง โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน พุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมาร่วมงานอย่างคับคั่ง บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบเรียบร้อยและความศรัทธา ขณะที่กลิ่นหอมของดอกไม้และควันธูปลอยอบอวลทั่วบริเวณ

พิธีเริ่มต้นด้วยการสวดมนต์โดยพระสงฆ์จากวัดกลางเวียง เพื่อความเป็นสิริมงคล ตามด้วยขบวนอัญเชิญขันหลวง ซึ่งประดับด้วยดอกบัว ดอกมะลิ และดอกดาวเรืองอย่างงดงาม ขบวนนี้ประกอบด้วยกลุ่มชาวบ้านที่แต่งกายด้วยชุดล้านนาแบบดั้งเดิม เดินจากหน้าวัดไปยังเสาสะดือเมืองท่ามกลางเสียงดนตรีพื้นเมืองที่ขับกล่อม นายวันชัยได้นำพุทธศาสนิกชนถวายขันดอกและเครื่องบูชา พร้อมจุดธูปเทียนเพื่อบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำเมือง ถือเป็นจุดเริ่มต้นของงานที่เชื่อมโยงชุมชนกับรากเหง้าทางจิตวิญญาณ

งานประเพณีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23–29 พฤษภาคม 2568 ตั้งแต่เวลา 07.00–24.00 น. โดยมีกิจกรรมหลากหลายที่ออกแบบมาเพื่อส่งเสริมวัฒนธรรมและความสามัคคีในชุมชน ได้แก่:

  • การใส่ขันดอก: ประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถร่วมถวายขันดอกที่ประดับด้วยดอกไม้สด เพื่อบูชาเสาสะดือเมือง โดยมีมัคทายกคอยให้คำแนะนำ
  • พิธีกรรมทางศาสนา: การสวดมนต์ เจริญพระพุทธมนต์ และการทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล
  • การแสดงศิลปะพื้นบ้าน: การแสดงฟ้อนล้านนา รำวงย้อนยุค และการบรรเลงดนตรีพื้นเมือง เช่น ซอและสะล้อ โดยเยาวชนและศิลปินท้องถิ่น
  • ตลาดวัฒนธรรม: ตลาดนัดที่จำหน่ายอาหารพื้นเมือง งานหัตถกรรม และผลิตภัณฑ์ชุมชน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น
  • นิทรรศการประวัติศาสตร์: การจัดแสดงเรื่องราวของสะดือเมืองและประวัติศาสตร์วัดกลางเวียง เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้าใจความสำคัญของประเพณี

นายวันชัย จงสุทธานามณี กล่าวในพิธีเปิดว่า “การฟื้นฟูประเพณี ‘เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก’ ไม่เพียงเป็นการรื้อฟื้นพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิء แต่ยังเป็นการจุดประกายให้คนเชียงรายตระหนักถึงคุณค่าของรากเหง้าทางวัฒนธรรม และสร้างความสามัคคีในชุมชน เราหวังว่างานนี้จะเป็นสะพานเชื่อมโยงคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ และส่งเสริมให้เชียงรายเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมที่ยั่งยืน”

นอกจากนี้ งานยังได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ซึ่งจัดอบรมเยาวชนในชุมชนให้เรียนรู้การทำขันดอกและการแสดงศิลปะพื้นบ้านก่อนวันงาน เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ภาคเอกชน เช่น หอการค้าจังหวัดเชียงราย และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวเชียงราย ก็เข้ามาสนับสนุนด้านงบประมาณและการประชาสัมพันธ์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาร่วมสัมผัสประสบการณ์ทางวัฒนธรรม

รอยยิ้มและความหวังของชุมชน

งานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ได้นำความคึกคักและรอยยิ้มกลับคืนสู่ย่านเมืองเก่าเชียงราย ชาวบ้านที่เข้าร่วมงานแสดงความดีใจที่ได้เห็นประเพณีเก่าแก่ฟื้นคืนชีพ โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่เคยมีส่วนร่วมในพิธีเมื่อหลายสิบปีก่อน นางสาวลำดวน สุวรรณวงศ์ อายุ 72 ปี ชาวบ้านในชุมชนวัดกลางเวียง กล่าวว่า “เมื่อก่อนงานนี้เป็นที่รวมใจของคนทั้งเมือง การได้เห็นขบวนขันดอกและการแสดงของเด็กๆ วันนี้ ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในวัยเด็ก รู้สึกภูมิใจที่ลูกหลานยังสานต่อสิ่งที่ปู่ย่าตาทวดเราทำมา”

นักท่องเที่ยวที่มาร่วมงานก็ประทับใจกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรมล้านนา นายจอห์น สมิธ นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ กล่าวว่า “ผมรู้สึกทึ่งกับความสวยงามของขันดอกและความหมายของพิธีนี้ มันทำให้ผมเข้าใจประวัติศาสตร์และจิตวิญญาณของเชียงรายมากขึ้น” การมีส่วนร่วมของนักท่องเที่ยวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะร้านค้าอาหารและงานหัตถกรรมในตลาดวัฒนธรรม ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงวันงาน

การแสดงของเยาวชนในชุมชน เช่น การฟ้อนล้านนาและการเล่นดนตรีพื้นเมือง ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้เข้าร่วมงาน สะท้อนถึงความสำเร็จในการส่งต่อภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่คนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ การจัดนิทรรศการประวัติศาสตร์ยังช่วยให้เด็กและเยาวชนในพื้นที่เข้าใจความสำคัญของสะดือเมืองและประเพณีนี้มากขึ้น โดยโรงเรียนในชุมชนได้นำนักเรียนมาร่วมเรียนรู้และถ่ายทอดเรื่องราวผ่านการวาดภาพและเขียนเรียงความ

ในระยะยาว วัดกลางเวียงและสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายมีแผนจัดงานประเพณีนี้เป็นประจำทุกปี พร้อมพัฒนากิจกรรมให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น การจัดเวิร์กช็อปศิลปะล้านนาและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในย่านเมืองเก่า เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของงานในครั้งนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจให้ชุมชนอื่นๆ ในเชียงรายเริ่มฟื้นฟูประเพณีท้องถิ่นของตนเอง เพื่อรักษาอัตลักษณ์และเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดงานประเพณี “เดือน 8 เข้า เดือน 9 ออก” ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การฟื้นฟูวัฒนธรรม การรื้อฟื้นประเพณีที่หายไปนานกว่า 70 ปีช่วยเชื่อมโยงชุมชนกับรากเหง้าทางวัฒนธรรม และสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ท้องถิ่น
  2. ความสามัคคีในชุมชน การมีส่วนร่วมของชาวบ้าน ผู้นำชุมชน และเยาวชนช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และความสามัคคีในชุมชน
  3. การส่งเสริมการท่องเที่ยว การดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะในย่านเมืองเก่า
  4. การส่งต่อภูมิปัญญา การอบรมเยาวชนและการจัดนิทรรศการช่วยให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงคุณค่าของมรดกทางวัฒนธรรม

อย่างไรก็ตาม การจัดงานยังเผชิญกับความท้าทายบางประการ:

  1. การขาดความรู้ในหมู่คนรุ่นใหม่ คนรุ่นใหม่บางส่วนยังขาดความเข้าใจในความหมายของประเพณี ซึ่งอาจทำให้การสืบทอดขาดความต่อเนื่อง
  2. ข้อจำกัดด้านงบประมาณ การจัดงานขนาดใหญ่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นภาระสำหรับชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่น
  3. การแข่งขันกับวัฒนธรรมสมัยใหม่ การดึงดูดเยาวชนให้สนใจประเพณีท้องถิ่นท่ามกลางกระแสวัฒนธรรมสมัยใหม่เป็นเรื่องท้าทาย
  4. การประชาสัมพันธ์ การโปรโมตงานไปยังนักท่องเที่ยวในวงกว้างยังมีข้อจำกัด เนื่องจากขาดการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อระดับชาติและสื่อออนไลน์

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • เพิ่มการศึกษาในชุมชน จัดเวิร์กช็อปและกิจกรรมในโรงเรียนเพื่อให้เยาวชนเรียนรู้เกี่ยวกับประเพณีและมีส่วนร่วมมากขึ้น
  • ระดมทุนจากภาคเอกชน ขอความสนับสนุนจากธุรกิจท้องถิ่นและองค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อเพิ่มงบประมาณสำหรับการจัดงาน
  • ใช้สื่อดิจิทัล สร้างแคมเปญประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์และเว็บไซต์ท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ
  • พัฒนากิจกรรมที่หลากหลาย เพิ่มกิจกรรมที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ เช่น การแข่งขันศิลปะหรือการแสดงดนตรีผสมผสาน เพื่อให้งานมีความทันสมัยแต่ยังคงเอกลักษณ์

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำคัญของการฟื้นฟูประเพณีและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย:
    • ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติรวม 2.5 ล้านคน โดย 30% เข้าเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
    • แหล่งอ้างอิง: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงราย. (2567). รายงานสถิตินักท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย.
  2. ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากงานวัฒนธรรม
    • งานประเพณีท้องถิ่นในภาคเหนือสร้างรายได้ให้ชุมชนเฉลี่ย 10–15 ล้านบาทต่องาน โดยเฉพาะจากร้านค้าท้องถิ่นและการท่องเที่ยว
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลกระทบทางเศรษฐกิจจากงานประเพณีท้องถิ่น.
  3. การมีส่วนร่วมของเยาวชน
    • การจัดอบรมศิลปะพื้นบ้านในจังหวัดเชียงรายในปี 2567 มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 1,200 คน เพิ่มการมีส่วนร่วมในงานวัฒนธรรมถึง 25%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลการอบรมเยาวชนด้านศิลปวัฒนธรรม.
  4. จำนวนวัดในจังหวัดเชียงราย
    • จังหวัดเชียงรายมีวัดทั้งหมด 1,200 แห่ง โดย 10% เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น วัดกลางเวียง
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานข้อมูลวัดในจังหวัดเชียงราย.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • วัดกลางเวียง (จันทโลการาม)
  • สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE