Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

ความเชื่อปะทะกฎหมาย เชียงรายคลี่คลายปมสุสานลาหู่ในที่ดิน ส.ป.ก. ชั่วคราว

ความเชื่อปะทะกฎหมาย “สุสานบนที่ทำกิน” ปมฝังศพลาหู่ในที่ดิน ส.ป.ก. แม่จัน คลี่คลายชั่วคราวด้วยคำมั่นตั้งสุสานสาธารณะ

เชียงราย, 8 กันยายน 2568 –ที่ว่าการอำเภอแม่จันเต็มไปด้วยคนกว่า 300 คนที่ยืนแน่นในเช้าวันจันทร์อึมครึม ฝนพรำเบาๆ แต่ป้ายผ้ากลับชัดเจน พวกเขามาเรียกร้อง “หยุดขุดหลุมศพบรรพบุรุษ” และขอให้รัฐ “มองเห็นความเชื่อ” ของชุมชนชาติพันธุ์บนดอยบ้านเล่าชีก๋วย ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน เหตุเริ่มจากคำสั่งทางปกครองให้ย้ายร่าง “พ่อเฒ่าจะแก จิตเอื้ออังกูร” ผู้อาวุโสชาวลาหู่ ที่ครอบครัวฝังไว้ในสวน 15 ไร่ซึ่งเป็นที่ดิน ส.ป.ก. และ ส.ท.ก. ตามคำสั่งเสียของผู้ตายเมื่อเมษายน 2567 ก่อนเกิดข้อพิพาทยืดเยื้อเกือบสองปี

ช่วงบ่าย วันเดียวกัน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ เข้าพบชาวบ้านและให้คำมั่น “ระงับการขุดย้ายศพ” พร้อมเร่งวางแผน “ตั้งสุสานสาธารณะ” เพื่อเป็นทางออกเฉพาะพื้นที่ ชาวบ้านจึงแยกย้ายด้วยความหวัง แต่รู้ว่าศึกหลักยังอยู่ในชั้นกฎหมายและศาลปกครองเชียงใหม่ที่เริ่มรับเรื่องร้องทุกข์ไว้พิจารณาแล้ว ซึ่งเหตุการณ์ชุมนุมครั้งนี้มีรายงานโดยสื่อท้องถิ่นหลายสำนัก เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2568 เช่น สยามรัฐ และมติชนออนไลน์ ซึ่งสะท้อนแรงกดดันของสังคมต่อการจัดการศพในพื้นที่เกษตรกรรมปฏิรูปของรัฐอย่างชัดเจน

ปมขัดแย้ง 3 ชั้น ที่ดิน ส.ป.ก., กฎหมายสุสาน และความเชื่อชาติพันธุ์

แก่นเรื่องไม่ได้มีเพียง “หลุมศพหนึ่งหลุม” แต่คือการทับซ้อนกันของกฎหมายที่ดินเพื่อเกษตรกรรม, กฎหมายสาธารณสุขด้านสุสาน, และสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์

ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 เป็นสิทธิทำกินเพื่อเกษตรกรรม ห้ามใช้ผิดวัตถุประสงค์ และห้ามโอนเว้นมรดก การใช้เพื่อกิจการอื่นต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ของ ส.ป.ก. และหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง ข้อเท็จจริงนี้ชี้ว่าการตั้งสุสานถาวรในที่ ส.ป.ก. ต้องผ่านการพิจารณาและอนุญาตตามขั้นตอน ไม่ใช่เพียงความยินยอมของชุมชนฝ่ายเดียว  การฝังศพนอกสุสานที่ได้รับอนุญาตเป็นเรื่องอ่อนไหวตาม พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถาน พ.ศ. 2528 ซึ่งกำหนดให้การเก็บ ฝัง หรือเผาศพ ต้องทำในสุสานสาธารณะหรือเอกชนที่ได้รับอนุญาต เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีเฉพาะจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น (มาตรา 10) อำนาจอนุญาตอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรี หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพื้นที่ หากฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย และสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์เป็นหัวใจที่รัฐต้องรับฟัง ชาวลาหู่มีธรรมเนียมฝังศพในที่ทำกินของตนเอง โดยประกอบพิธี “เสี่ยงทายไข่” เพื่อขอความยินยอมจากวิญญาณผู้ตาย และมีพิธี “ส่งผี” เพื่อให้ดวงวิญญาณไม่กลับมารบกวนคนเป็น ขณะเดียวกัน ชาวเมี่ยน (อิ้วเมี่ยน) ให้ความสำคัญกับชัยภูมิแบบจีน หรือ “เขาหัว–หางมังกร” ตามหลักฮวงจุ้ย เพื่อความสวัสดิมงคลของสายตระกูล ความเชื่อทั้งสองชุดล้วนจริงจัง และมีฐานทางมานุษยวิทยารองรับ

เสียงจากสองฟากความเชื่อ “วิญญาณต้องพัก” ปะทะ “พลังชี่ของหมู่บ้าน”

ฝั่งครอบครัวผู้ตายยืนยันว่าการฝังในสวนตามคำสั่งเสียและพิธีกรรมชุมชนคือ “การส่งคนกลับบ้าน” เป็นวิถีสืบทอดหลายชั่วอายุคน และไม่ได้กระทบสิ่งแวดล้อมหรือความสงบสุขของใคร ขณะที่ฝ่ายคัดค้านซึ่งเป็นชาวเมี่ยนในพื้นที่ใกล้เคียงมองว่า จุดฝังอยู่ในแนว “หัว–หางมังกร” และ “หมอนหมู่บ้าน” ซึ่งเป็นตำแหน่งค้ำชูพลังของชุมชน การมีหลุมศพ ณ จุดนั้นเท่ากับรบกวนกระแส ชี่ ที่เกื้อหนุนลูกหลาน

ข้อมูลทางชาติพันธุ์แสดงว่า ชาวเมี่ยนรับอิทธิพลลัทธิเต๋าและศาสตร์ฮวงจุ้ยอย่างเข้มข้น การเลือกทำเลสุสานจึงเป็นการ “ลงทุนทางจิตวิญญาณ” ระยะยาว เพื่อความรุ่งเรืองของตระกูล ในบางพื้นที่ยังใช้การเสี่ยงทายประกอบการพิจารณาชัยภูมิด้วย ขณะเดียวกัน เอกสารภาคสนามเกี่ยวกับชาวลาหู่ระบุพิธีกรรมเสี่ยงทายไข่และชุดพิธี “กักกันวิญญาณ” หลังฝังศพไว้อย่างละเอียด ซึ่งทำให้เข้าใจแรงผลักดันของทั้งสองชุมชนได้ดีขึ้น

ทำไม “ย้ายศพ” จึงกลายเป็นชนวนใหญ่

ปัญหาขยายตัวเมื่อคำสั่งทางปกครองให้ “ขุดย้ายศพ” ถูกมองว่าเป็นการละเลยกระบวนการมีส่วนร่วมและความเชื่อท้องถิ่น อีกทั้งอาจกลายเป็น “บรรทัดฐาน” ให้ใครก็ตามใช้กฎหมายกดดันกันในอนาคต หากฝ่ายหนึ่งถือข้อกฎหมายที่แข็ง อีกฝ่ายย่อมยึด “สิทธิทางวัฒนธรรม” ที่ยืนยาวกว่าในความทรงจำรวมหมู่

ตาม พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 คำสั่งทางปกครองต้องชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรม มีเหตุผล สนองประโยชน์สาธารณะ และคู่กรณีมีสิทธิอุทธรณ์ได้ ขณะเดียวกัน ศาลปกครอง มีอำนาจออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อบรรเทาทุกข์ก่อนพิพากษา หากการบังคับตามคำสั่งจะก่อให้เกิดความเสียหายยากแก่การเยียวยาภายหลัง กลไกนี้มักถูกใช้ในคดีชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่มี “ความเสียหายถาวร” เป็นเดิมพัน ซึ่งเข้ากรอบคดีนี้อย่างชัดเจน

 “เบรกชั่วคราว” แต่โจทย์ใหญ่ยังอยู่

คำมั่นของรองผู้ว่าฯ ที่จะระงับการขุดย้าย และผลักดัน “สุสานสาธารณะ” เป็นทางออกระยะสั้นที่ลดแรงปะทะทันที แต่การตั้งสุสานต้องผ่านการอนุญาตและการจัดสรรพื้นที่ตามกฎหมายสุสาน อีกทั้งต้องดู ฐานสิทธิ ของที่ดิน หากอยู่ในเขต ส.ป.ก. การใช้เพื่อกิจการสาธารณะอาจทำได้ แต่ต้องผ่านการเห็นชอบและจัดกระบวนการตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้ผิดวัตถุประสงค์หลักด้านเกษตรกรรม

ในทางปฏิบัติ จังหวัดจำเป็นต้องวางขั้นตอน 3 ช่วง คือ จัดพื้นที่, จัดสิทธิ, และ จัดการ

  1. จัดพื้นที่ คัดเลือกที่เหมาะสมโดยใช้เกณฑ์ด้านสาธารณสุข ภูมิประเทศ และผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งรับฟังความเชื่อของชุมชนโดยตรงผ่านวงปรึกษาหารือหลายชาติพันธุ์
  2. จัดสิทธิ ตรวจฐานสิทธิที่ดิน หากใช้ที่ ส.ป.ก. ต้องขอความเห็นชอบตามระเบียบ และออกใบอนุญาตสุสานตาม พ.ร.บ.สุสานฯ ให้ครบถ้วน
  3. จัดการ กำหนดระเบียบการใช้สุสานร่วม วางแนวทางพิธีกรรมที่เคารพความหลากหลาย แต่ไม่กระทบสาธารณสุข

เรื่องเล่าจากชายแดน เมื่อ “สุสาน” คือแผนที่ของชุมชน

ผู้เฒ่าชาวลาหู่เคยสรุปสั้นๆ ว่า “ฝังศพไว้ที่ดินกิน ที่ดินจะจำเรา” ประโยคเดียวบอกความหมาย “สุสานบนที่ทำกิน” ว่าไม่ใช่แค่หลุมฝังศพ แต่เป็นหมุดหมายของสายตระกูล เป็นบันทึกเชิงพื้นที่ของความเป็นเจ้าของและการสืบสาน การย้ายศพจึงถูกมองว่าเป็นการตัดราก “ตัวตน” ของครอบครัว ขณะที่ชาวเมี่ยนมองภูเขาเป็น “สรีระของมังกร” สุสานที่วางถูกตำราไม่เพียงคุ้มครองผู้จากไป แต่ส่งพลังเกื้อหนุนลูกหลาน นี่จึงไม่ใช่เพียงข้อพิพาทเรื่องตำแหน่งทางกายภาพ หากคือ “ภูมิทัศน์จิตวิญญาณ” ที่สองวัฒนธรรมอ่านต่างกัน

เอกสารชาติพันธุ์ยืนยันความซับซ้อนนี้ เช่น ฐานข้อมูลชาติพันธุ์ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ที่แสดงรากวัฒนธรรมเมี่ยนและบทบาทพิธีกรรมตามคติเต๋า รวมถึงงานวิชาการและบันทึกภาคสนามที่อธิบายพิธีศพลาหู่ตั้งแต่การเสี่ยงไข่จนถึงพิธี “ส่งผี” หลังการฝัง ซึ่งทำให้การออกแบบทางออกจำเป็นต้องให้ “ความรู้วัฒนธรรม” เป็นข้อมูลตั้งต้น ไม่ใช่เพียงภาคผนวก

นโยบาย “สามวงแหวน” เพื่อคลี่คลายอย่างยั่งยืน

วงแหวนที่ 1: กฎหมายต้องชัด
จังหวัดควรตั้งคณะทำงานกฎหมายแบบบูรณาการ ระหว่าง ส.ป.ก., อปท., สาธารณสุข, ที่ดิน และฝ่ายปกครอง เพื่อถอดบทเรียนคดีนี้เป็น “แนวปฏิบัติ” สำหรับพื้นที่ ส.ป.ก. ที่มีสุสานชุมชนดั้งเดิมอยู่ก่อน พร้อมจัดทำคู่มืออนุญาตกรณีสุสานในหรือใกล้เขต ส.ป.ก. ให้สอดคล้องทั้ง พ.ร.บ.สุสานฯ และระเบียบ ส.ป.ก. ลดดุลพินิจที่เสี่ยงต่อความขัดแย้ง

วงแหวนที่ 2: วัฒนธรรมต้องนำ

ให้มี “เวทีพิธีกรรมร่วม” ระหว่างผู้นำลาหู่และเมี่ยน เพื่อออกแบบวิธีปฏิบัติที่เคารพกัน เช่น แนวกันชนทางพิธีกรรม, พื้นที่เซ่นไหว้ร่วม, หรือการย้ายหลุมในกรณีจำเป็นตามคติแต่ละฝ่าย โดยรัฐรับรองพิธีกรรมเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอนุญาต ไม่ใช่ขั้นตอนนอกแบบ

วงแหวนที่ 3: การสื่อสารต้องจริงใจ
สื่อสารข้อกฎหมายและผลกระทบอย่างตรงไปตรงมา ตั้งศูนย์ข้อมูลชุมชนภาคสนามที่แปลภาษากฎหมายเป็นภาษาเข้าใจง่าย พร้อมสายด่วนประสานศูนย์ดำรงธรรม สนับสนุนการไกล่เกลี่ยเชิงวัฒนธรรมเพื่อลดการปะทุในอนาคต

ทางออกเฉพาะหน้า “พักคำสั่ง – ตั้งสุสานร่วม – ทำข้อตกลงชุมชน”

ระยะสั้น ควร “พักการบังคับคำสั่งย้ายศพ” จนกว่าศาลจะมีคำสั่งชั่วคราวหรือมีผลคำพิพากษา และเดินหน้ากระบวนการตั้ง “สุสานสาธารณะ” ที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายพร้อมแผนบริหารจัดการ หมุดหมายนี้ต้องเกิดจากข้อตกลงที่รับรองพิธีกรรมของทั้งสองกลุ่ม มีแผนบำรุงรักษา และระบบอนุญาตรายกรณีในอนาคต เพื่อไม่ปล่อยให้ความขัดแย้งกลับมาซ้ำเดิม

ภาพรวมในเชิงสังคม คดีเล็กที่สะท้อนโจทย์ใหญ่ของประเทศ

ปมแม่จันสะท้อนโจทย์ใหญ่ที่ไทยกำลังเผชิญ นั่นคือการจัดการความหลากหลายทางวัฒนธรรมบนฐานสิทธิและกฎหมายสมัยใหม่ กฎหมายที่ออกแบบเพื่อความเป็นระเบียบ เช่น พ.ร.บ.สุสานฯ และระบบที่ดิน ส.ป.ก. มีเหตุผลเชิงสาธารณสุขและยุทธศาสตร์เกษตร แต่เมื่อปะทะกับความทรงจำยาวนานของชุมชน ชุดกฎหมายเดียวกันอาจกลายเป็น “ความไม่ยุติธรรมที่มองไม่เห็น” หากไม่มีเวทีรับฟังและกระบวนการปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบท

ดังนั้น ทางออกจึงไม่ใช่ “ชนะ–แพ้” หากคือการยอมรับว่าพื้นที่เกษตรก็เป็นพื้นที่จิตวิญญาณของผู้คน และสุสานก็เป็นสาธารณูปโภคอย่างหนึ่ง ที่ต้องวางแผนเชิงระบบไม่ต่างจากถนนหรือโรงเรียน

วันนี้ คำมั่น “ระงับการขุดหลุมศพ” และแนวคิด “ตั้งสุสานสาธารณะ” ทำให้ความตึงเครียดคลี่ตัวลง แต่โจทย์ใหญ่ยังคงอยู่ ระหว่างกฎหมายที่ดิน, กฎหมายสุสาน, และสิทธิทางวัฒนธรรม การขับเคลื่อนแบบ “สามวงแหวน” ที่ชัดเจน จะช่วยให้เชียงรายสร้างแบบอย่างการอยู่ร่วมต่างวัฒนธรรมที่เป็นธรรม และส่งสัญญาณไปยังพื้นที่อื่นที่มีชุมชนหลากหลายว่า ประเทศไทยสามารถจัดการ “แผนที่จิตวิญญาณ” ของผู้คนได้ด้วยกฎหมายที่เข้าใจมนุษย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถาน พ.ศ. 2528
  • แนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดิน ส.ป.ก.
  • กฎหมายปกครองและศาลปกครอง
  • ฐานข้อมูลชาติพันธุ์และพิธีกรรมงานศพ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (อิ้วเมี่ยน/เมี่ยน) และเอกสารภาคสนามเกี่ยวกับพิธีศพลาหู่และการเสี่ยงทายไข่
  • Jatenipat JKboy Ketpradit
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

“บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ถึงที่! เชียงราย-พอ.สว. ลุย “ขุนตาล” เสริมแกร่ง “Chiangrai Clinic Center”

บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ถึงที่! จังหวัดเชียงรายและ พอ.สว. ลุย “ขุนตาล” มอบบริการถึงบ้าน พร้อมเสริมแกร่ง “Chiangrai Clinic Center”

เดินหน้าสู่ชุมชน สร้างสุขใกล้ตัว

เชียงราย, 17 กรกฎาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายยังคงยืนหยัดในนโยบาย “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 16-17 กรกฎาคม 2568 นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำทีมคณะทำงานเดินทางสู่บ้านทุ่งศรีเกิด หมู่ 3 ตำบลยางฮอม อำเภอขุนตาล จัดกิจกรรม “จังหวัดเคลื่อนที่” ควบคู่กับหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ครั้งที่ 18 ประจำปี 2568 เพื่อส่งมอบบริการภาครัฐถึงมือประชาชนในพื้นที่ห่างไกล ลดภาระค่าใช้จ่ายและเวลาในการเดินทาง พร้อมเสริมคุณภาพชีวิตและสร้างโอกาสใหม่

กิจกรรมในวันนี้ได้รับความร่วมมืออย่างอบอุ่นจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอขุนตาล คณะกรรมการและสมาชิกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย กิ่งกาชาดอำเภอขุนตาล และหน่วยงานราชการต่างๆ ที่พร้อมใจตั้งบูธบริการแบบครบวงจร

บริการครบวงจรถึงบ้าน เพื่อคนทุกกลุ่ม

หัวใจของ “จังหวัดเคลื่อนที่” คือการนำบริการหลากหลายของภาครัฐสู่หน้าประตูบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลที่การเข้าถึงบริการพื้นฐานเป็นเรื่องท้าทาย

  • ด้านสุขภาพ: หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. นำทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุข ให้บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป ทันตกรรม ฉีดวัคซีน และให้คำปรึกษาสุขภาพแก่ประชาชนในพื้นที่
  • เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง-ผู้สูงอายุ: คณะรองผู้ว่าฯ เชียงราย พร้อมนายแพทย์เอกชัย คำลือ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุในบ้านหนองข่วง หมู่ 3 ตำบลยางฮอม จำนวน 5 ราย มอบกำลังใจและถุงยังชีพ สะท้อนถึงความห่วงใยต่อกลุ่มเปราะบาง
  • เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย: มอบถุงยังชีพ 100 ชุดแก่ประชาชนในพื้นที่ และเปิดรับบริจาคดวงตา-อวัยวะ สร้างโอกาสแห่งชีวิตใหม่
  • ส่งเสริมอาชีพ: กรมประมงมอบพันธุ์ปลาให้แก่ผู้นำชุมชน เพื่อเสริมสร้างแหล่งอาหารโปรตีนและสนับสนุนการเลี้ยงชีพในพื้นที่

อบจ.เชียงราย เสริมแกร่ง “Chiangrai Clinic Center” เคลื่อนที่

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทหลักในการบูรณาการพัฒนาท้องถิ่น โดยนางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการนายก อบจ.เชียงราย พร้อมนายนิรันดร์ ไร่แดง สมาชิก อบจ.ขุนตาล เขต 1 ได้เข้าร่วมเปิดงานและร่วมกิจกรรมอย่างใกล้ชิด

ภายในงานมีการจัดตั้ง “Chiangrai Clinic Center เคลื่อนที่” เพื่อรับเรื่องร้องทุกข์ แก้ไขปัญหา และอำนวยความสะดวกด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ อบจ.เชียงราย ยังนำเครือข่ายโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในอำเภอขุนตาลมาร่วมให้บริการอย่างครบวงจร ทั้งการรักษา ป้องกัน ส่งเสริม และฟื้นฟูสุขภาพ โดยเน้นกลุ่มเปราะบางและประชาชนในถิ่นทุรกันดาร

ความร่วมมือในวันนี้จึงเป็นภาพสะท้อนของการประสานงานระหว่างภาครัฐ ผู้นำท้องถิ่น ภาคประชาชน และอาสาสมัครพอ.สว. ที่ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังเพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตคนเชียงราย

“จังหวัดเคลื่อนที่” โมเดลเข้าถึงบริการภาครัฐอย่างแท้จริง

“หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้กับประชาชน” และหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดช่องว่างการเข้าถึงบริการในพื้นที่ห่างไกลของเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่และมีภูมิประเทศที่หลากหลาย ประเด็นสำคัญที่เด่นชัดจากกิจกรรมนี้ ได้แก่

  • ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการ: การนำบริการของรัฐถึงบ้านโดยตรง โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ที่เดินทางลำบาก ลดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายของประชาชนได้อย่างเป็นรูปธรรม
  • บูรณาการความร่วมมือทุกระดับ: การทำงานร่วมกันของผู้ว่าราชการจังหวัด อำเภอ อบจ. รพ.สต. เหล่ากาชาด และภาคเอกชน แสดงถึงความพร้อมและความร่วมมือที่จริงจังของทุกภาคส่วน
  • เข้าถึงกลุ่มเปราะบางอย่างใกล้ชิด: การเยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ สะท้อนความใส่ใจและการบริการที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
  • พลังของ อบจ.: การจัดตั้งศูนย์คลินิกเคลื่อนที่และเครือข่าย รพ.สต. มาร่วมให้บริการ สะท้อนถึงบทบาทนำขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สำคัญ คือการผลักดันกิจกรรมให้มีความต่อเนื่อง มีทรัพยากรสนับสนุนเพียงพอ และติดตามผลลัพธ์ระยะยาวเพื่อปรับปรุงบริการให้ตอบโจทย์ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น

ข้อเสนอแนะและมุมมองอนาคต

ในอนาคต โครงการนี้ควรขยายขอบเขตบริการ เช่น การให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การส่งเสริมอาชีพใหม่ การดูแลสุขภาพจิต และสร้างศูนย์ข้อมูลให้ประชาชนเข้าถึงบริการรัฐได้ง่ายขึ้น ทุกภาคส่วนควรร่วมขับเคลื่อนกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ “รอยยิ้มและสุขภาพดี” ไม่ใช่เพียงแค่วันนี้ แต่กลายเป็นวิถีชีวิตที่ยั่งยืนของคนเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • เหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • อำเภอขุนตาล
  • หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำสาย-รวก-โขง สารหนูเกินมาตรฐานคุกคามชีวิต คนเชียงรายจี้รัฐเร่งเจรจาเมียนมา

แม่น้ำสาย-รวก-โขง สารหนูเกินมาตรฐานคุกคามชีวิต คนเชียงรายรวมพลังจี้รัฐบาลไทยเร่งเจรจาเมียนมา

เชียงราย, 16 กรกฎาคม 2568 – วิกฤต “สารหนู” สะท้อนวิกฤตข้ามพรมแดน โดยเฉพาะ “สารหนู” ในแม่น้ำสาย รวก โขง และกก ของจังหวัดเชียงราย กำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่สะท้อนถึงความเปราะบางของทรัพยากรน้ำและวิถีชีวิตประชาชนในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา โดยแม่น้ำเหล่านี้เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของชีวิตและการเกษตรของคนเชียงราย ซึ่งปัจจุบันต้องเผชิญภัยเงียบที่คาดว่ามีต้นตอจากเหมืองแร่ในฝั่งเมียนมา

ประชุมเวทีรับฟังเสียงประชาชนจุดเริ่มต้นของการผลักดันเชิงนโยบาย


ณ ห้องประชุมเทศบาลตำบลแม่สาย เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 ได้มีการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำปนเปื้อนโลหะหนัก โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ท่ามกลางผู้เข้าร่วมอย่างคับคั่งจากหน่วยงานราชการ นักวิชาการ ภาคประชาชน และสื่อมวลชน เวทีนี้ได้เปิดพื้นที่ให้ชุมชนระบายความกังวลและเรียกร้องให้รัฐแก้ปัญหาอย่างจริงจัง

รองผู้ว่าฯ เชียงรายยืนยันว่า หน่วยงานราชการไม่นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีการตรวจสอบคุณภาพน้ำเดือนละ 2 ครั้ง ทั้งในแม่น้ำสายหลักและสาขา รวมถึงน้ำประปาและพืชผลทางการเกษตรอย่างต่อเนื่อง พร้อมเผยแพร่ข้อมูลต่อสาธารณชนผ่านช่องทางเพจประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย และศูนย์ข้อมูล AIM เพื่อสร้างความมั่นใจในความโปร่งใสของภาครัฐ

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกษตรกรรม และสุขภาพ

แม้จะได้รับคำยืนยันเรื่องคุณภาพน้ำประปาและพืชผลว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย แต่ชาวบ้านและนักวิชาการยังคงวิตกกังวลถึงผลกระทบระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่เกาะช้าง ซึ่งเป็นแหล่งเกษตรกรรมสำคัญ ชาวบ้านเกรงว่าการใช้น้ำปนเปื้อนโลหะหนักจะกระทบต่อคุณภาพพืชผลและสุขภาพในอนาคต

เวทีนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตถึง “โครงการเขื่อนปากแบง” ซึ่งอาจทำให้สารพิษตกตะกอนสะสมมากขึ้น เมื่อแม่น้ำโขงนิ่งตัว เกิดอ่างน้ำขนาดใหญ่ นักวิชาการและประชาชนจึงเสนอให้รัฐให้ความสำคัญกับการวิจัยและหามาตรการแก้ไขปัญหาระยะยาว

บทบาทของชุมชนและความโปร่งใสของข้อมูล

ภาคประชาชนและนักวิชาการเสนอแนวทางให้รัฐเร่งวิจัยหาต้นตอและแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในระยะยาว รวมถึงสร้างฐานข้อมูลคุณภาพน้ำและดินที่เป็นระบบ สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวังมลพิษ และเสนอให้รัฐรายงานสถานการณ์ต่อเนื่องและโปร่งใส

สิทธิมนุษยชนข้ามพรมแดน ยื่นหนังสือถึง AICHR – ก้าวสู่เวทีเจรจาระดับภูมิภาค

ในช่วงท้ายของเวที ได้มีการยื่นหนังสือผ่าน ผศ.ดร.ภาณุภัทร จิตเที่ยง จาก AICHR (ASEAN Intergovernmental Commission on Human Rights) เพื่อขอให้คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนอาเซียนเข้าตรวจสอบกรณีนี้ ถือเป็นการยกระดับปัญหาจากพื้นที่ท้องถิ่นสู่เวทีระดับภูมิภาค โดย AICHR พร้อมสนับสนุนพื้นที่ต้นแบบด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมในกรอบอาเซียน

นอกจากนี้ ยังมีข่าวดีจากฝั่งรัฐบาลไทย เมื่อ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แจ้งว่า รัฐบาลเมียนมาตอบรับคำเชิญของไทยในการหารือที่กรุงเนปิดอว์ ระหว่างวันที่ 4-8 สิงหาคมนี้ โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะผู้แทน นับเป็นการแสดงความสำคัญของรัฐบาลต่อการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

ปัญหาสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน กับอนาคตความมั่นคงของชุมชนลุ่มน้ำ

กรณีสารหนูปนเปื้อนในลุ่มน้ำชายแดนเชียงรายนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารจัดการทรัพยากรข้ามพรมแดนที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ข้อมูลจากทั้งฝั่งไทยและเมียนมาชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างในมาตรฐานและแนวทางตรวจวัดคุณภาพน้ำ ยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นในการยกระดับการเจรจาระดับรัฐและอาเซียน พร้อมทั้งต้องสร้างระบบฐานข้อมูลและเครือข่ายเฝ้าระวังที่แข็งแกร่งให้ประชาชนมีบทบาทนำ

ขณะที่ความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน และรัฐ จะเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย และสร้างแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน ไม่เพียงแต่ลดผลกระทบในระยะสั้น แต่ยังปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของคนลุ่มน้ำในระยะยาว

ในอนาคต หากสามารถยกระดับกลไกการแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และมนุษยชนได้จริง เชียงรายและลุ่มน้ำชายแดนไทย-เมียนมาจะเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการปัญหาข้ามพรมแดนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ข้อมูลจาก เวทีฟังเสียงประชาชนลุ่มน้ำสาย รวด โขง ผลกระทบจากสายน้ำปนเปื้อน เหมืองแร่ที่ต้นน้ำ
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • เพจ AIM ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์น้ำเชียงราย
  •  
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ที่ปรึกษาศูนย์ฯ ชงแผนเด็ด แก้มลพิษน้ำเชียงราย ผสานสื่อสาร-เยียวยา-ข้ามแดน

 “สารปนเปื้อนในน้ำ” วิกฤตซ้ำซ้อนของลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการฯ เสนอแนวคิดสื่อสาร-เยียวยา พร้อมดันมาตรการข้ามพรมแดน

น้ำที่เคยมั่นใจ กลายเป็นความกังวลของคนเชียงราย

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 — ฤดูฝนวนกลับมาอีกครั้งในจังหวัดเชียงราย ทว่าแทนที่จะนำความชุ่มชื้นและชีวิตชีวาสู่ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำ สายน้ำในปีนี้กลับกลายเป็นแหล่งแห่งความวิตกกังวล เมื่อสารปนเปื้อนที่มองไม่เห็นได้แทรกซึมเข้าสู่แม่น้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ประชาชนในพื้นที่และภาคส่วนต่าง ๆ ต่างเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ล่าสุด นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) จังหวัดเชียงราย ณ ห้องประชุมอูหลง ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ เพื่อสรุปข้อเสนอเชิงลึกที่หวังจะแก้ไขวิกฤตน้ำที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

ประเด็นร้อนกลางวงประชุม “ประชาชนต้องการชัดเจน-มีส่วนร่วม”

เสียงสะท้อนจากภาคประชาชน ภาควิชาการ และตัวแทนภาคเอกชนต่างเน้นย้ำว่า “ข้อมูลที่โปร่งใส-เข้าถึงได้” คือหัวใจสำคัญของการจัดการวิกฤตน้ำครั้งนี้ โดยเฉพาะ 5 คำถามสำคัญที่ต้องการคำตอบเร่งด่วนจากภาครัฐ

  • รัฐบาลมีไทม์ไลน์ชัดเจนหรือไม่ในการควบคุมมลพิษที่ต้นทาง?
  • จะลดสารหนูและสารพิษอื่นในแม่น้ำด้วยวิธีใด?
  • จะมีคู่มือรับมือภาวะน้ำปนเปื้อนสำหรับประชาชนหรือไม่?
  • แหล่งน้ำทางเลือกและการเข้าถึงน้ำสะอาดมีทางออกอย่างไร?
  • จะมีเวทีวงสนทนาเปิดพื้นที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้อย่างไร?

คณะที่ปรึกษาฯ ยังเสนอให้ภาครัฐดำเนินการ “Social Listening” รับฟังเสียงและความกังวลจากโซเชียลมีเดียอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างฐานข้อมูลปัญหาและแนวทางแก้ไขที่แท้จริง

สื่อสาร-แก้ข้ามพรมแดน-เยียวยาอย่างยั่งยืน

การประชุมมีข้อเสนอสำคัญที่ต้องเร่งขับเคลื่อน ดังนี้

  1. สื่อสารความเสี่ยงแบบโปร่งใสและจริงใจ

ที่ประชุมเน้นให้ภาครัฐเผยแพร่แผนตรวจสอบและรายงานคุณภาพน้ำฉบับเต็มบนเว็บไซต์หน่วยงาน เช่น กรมควบคุมมลพิษ เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ตลอดเวลา สื่อสารข้อมูลให้สม่ำเสมอและชัดเจน รวมถึงอธิบายข้อจำกัดและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระหว่างรัฐและประชาชน

  1. เปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมา

สารพิษจำนวนมากในแม่น้ำมีต้นกำเนิดข้ามพรมแดน คณะที่ปรึกษาฯ เสนอให้รัฐบาลไทยผลักดันการเปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมา ทั้งที่ตั้ง จำนวน และประเภทของเหมือง เพื่อวางแผนรับมือและเจรจากับเพื่อนบ้านอย่างเป็นทางการ

  1. แผนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

เสนอให้สำรวจผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ ผู้ใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในพื้นที่เสี่ยง ชาวประมงที่ต้องหยุดกิจการ ผู้ประกอบการร้านอาหารและแพท่องเที่ยว รวมถึงกำหนดมาตรการเยียวยาและชดเชยภายใน 2 เดือน

  1. แผนรับมือน้ำท่วมที่มีสารพิษ

ทุกชุมชนควรได้รับคู่มือและความรู้ในการป้องกันตัวเมื่อต้องเผชิญน้ำท่วมที่มีสารโลหะหนัก เช่น วิธีหลีกเลี่ยงสัมผัสน้ำปนเปื้อน การล้างบ้านหลังน้ำลด และการจัดการโคลนที่มีสารพิษ

  1. เฝ้าระวังผลผลิตทางการเกษตร

แผนเฝ้าระวังและตรวจสอบผลผลิตเกษตรกรรมที่ใช้น้ำจากแม่น้ำที่มีสารปนเปื้อน เช่น การจัดทำห่วงโซ่อุปทาน และการตรวจสอบผลผลิตก่อนออกสู่ตลาด โดยเฉพาะข้าวนาปี หากพบการปนเปื้อนต้องมีมาตรการเยียวยาและดึงผลผลิตออกจากระบบ

  1. จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบสารโลหะหนักประจำจังหวัด

ยกระดับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์ตรวจมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพิ่มศักยภาพการตรวจสอบในจังหวัด ลดเวลารอผลและต้นทุน

  1. สร้างพลเมืองวิทยาศาสตร์-แก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

ผลักดันการสอนวิชาพลเมืองวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน-มหาวิทยาลัย และจัดกิจกรรมสัปดาห์เรียนรู้สำหรับประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย

  1. เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน

ภาครัฐควรเพิ่มสัดส่วนภาคประชาชนในคณะทำงาน แทนที่จะเน้นประชาสัมพันธ์ ควรเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างแท้จริง

วิกฤตข้ามพรมแดนต้องอาศัยพลังของ “ความโปร่งใส-ความร่วมมือ”

การประชุมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในเชียงรายไม่ใช่เรื่องในประเทศอีกต่อไป หากแต่โยงใยกับมลพิษข้ามพรมแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อุปสรรคสำคัญคือ การเปิดเผยข้อมูลและการเจรจากับเมียนมา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามจากทุกฝ่าย

ขณะเดียวกัน แม้จะมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่หลากหลาย การผลักดันให้เป็นรูปธรรมยังต้องการทรัพยากร บุคลากร งบประมาณ และระบบติดตามที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

“ความเชื่อมั่น” ของประชาชนในพื้นที่จะฟื้นคืนได้ ก็ต่อเมื่อรัฐแสดงให้เห็นความโปร่งใส จริงใจ และสามารถขับเคลื่อนข้อเสนอเหล่านี้ให้เกิดผลจริงทั้งระยะสั้นและระยะยาว

จุดเปลี่ยนของลุ่มน้ำเชียงรายบนเส้นทางความร่วมมือใหม่

การประชุมครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของการจัดการปัญหาน้ำในเชียงรายอย่างบูรณาการ ทุกข้อเสนอจะต้องถูกขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริง ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค หากคุณคือผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ คุณจะให้ความสำคัญกับข้อเสนอใดเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิ่งแวดล้อมภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ไทม์ไลน์ระบุเงินช่วย ‘ค่าล้างโคลน’ “เชียงราย” รับเงินก่อน 10 เม.ย. นี้

จังหวัดเชียงรายเร่งจัดสรรเงินทดรองราชการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ปี 2568

เชียงราย, 21 มีนาคม 2568 – จังหวัดเชียงรายได้ดำเนินการจัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 โดยมีวงเงินรวมทั้งสิ้น 292,147,249 บาท แบ่งเป็นเงินช่วยเหลือสำหรับอำเภอแม่สาย จำนวน 134,776,273 บาท และอำเภอเมืองเชียงราย จำนวน 157,770,976 บาท การจัดสรรครั้งนี้เกิดขึ้นตามคำสั่งด่วนจากนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัด รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้ลงนามในหนังสือด่วนที่สุด ที่ ชร 0021/ว 749 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2568 เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงที

การจัดสรรเงินทดรองราชการครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยครอบคลุมค่าใช้จ่ายด้านการดำรงชีพตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2563 รวมถึงค่าใช้จ่ายในการล้างทำความสะอาดดินโคลนและซากวัสดุบริเวณที่อยู่อาศัยของผู้ประสบภัยที่เป็นเจ้าของบ้าน โดยกำหนดวงเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาท เงินจำนวนนี้เป็นส่วนหนึ่งของวงเงินขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติตามระเบียบกระทรวงการคลัง ข้อ 8 (8) และข้อ 8 วรรคสอง เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมความเสียหายที่เกิดขึ้น

ความเป็นมาของการจัดสรรเงินช่วยเหลือ

เหตุอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงฤดูฝนของปี 2567 โดยเฉพาะในพื้นที่อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นเขตที่มีความเสี่ยงสูงต่อน้ำท่วมเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ลุ่มน้ำสำคัญ เช่น แม่น้ำโขงและแม่น้ำสายอื่น ๆ ที่ไหลผ่านจังหวัด ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานสาธารณะ เช่น ถนน ระบบระบายน้ำ และสถานที่ราชการบางแห่งด้วย อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงรายได้ยื่นขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมจากจังหวัดเชียงราย ตามหนังสือด่วนที่สุดจากอำเภอแม่สาย ที่ ชร 1018.3/1105 และ ชร 1018.3/1106 รวมถึงจากอำเภอเมืองเชียงราย ที่ ชร 0118.3/1460 ลงวันที่ 20 มีนาคม 2568 เพื่อนำไปใช้ในการช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน

จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่ามีครัวเรือนจำนวนมากในทั้งสองอำเภอที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำและบริเวณใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งดินโคลนและซากวัสดุที่ถูกน้ำพัดพามาได้สร้างความเสียหายต่อที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินของประชาชน ด้วยเหตุนี้ จังหวัดเชียงรายจึงได้เร่งดำเนินการจัดสรรเงินทดรองราชการเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้นายอำเภอทั้งสองอำเภอดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนด

รายละเอียดการจัดสรรและขั้นตอนการเบิกจ่าย

ตามหนังสือที่ส่งถึงนายอำเภอแม่สายและนายอำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงรายได้กำหนดให้มีการจัดส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินทดรองราชการ เช่น ใบสำคัญรับเงินและรายงานการใช้จ่าย ไปยังสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) ภายใน 15 วันนับจากวันที่ได้รับเงินจากคลังจังหวัด เพื่อให้สามารถติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายได้อย่างโปร่งใส นอกจากนี้ ยังขอให้ทั้งสองอำเภอรายงานผลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวกลับมาที่จังหวัด เพื่อประเมินผลกระทบและความครอบคลุมของการช่วยเหลือ

วงเงินที่จัดสรรทั้งหมด 292,147,249 บาท ถือเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณขยายเพิ่มเติม 300 ล้านบาท ซึ่งได้รับการอนุมัติเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในกรณีฉุกเฉิน โดยเงินจำนวนนี้จะถูกนำไปใช้ตามหลักเกณฑ์ที่ระบุในระเบียบกระทรวงการคลัง พ.ศ. 2563 ซึ่งครอบคลุมหมวดหมู่ต่าง ๆ เช่น การช่วยเหลือด้านการดำรงชีพ (ข้อ 5.1.4 ถึง 5.1.16) และการอนุมัติการปฏิบัติที่นอกเหนือจากหลักเกณฑ์ในกรณีจำเป็น โดยเฉพาะการล้างทำความสะอาดดินโคลนและซากวัสดุ ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ประชาชนในพื้นที่เผชิญอยู่

แผนการเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือ

เพื่อให้การช่วยเหลือถึงมือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว จังหวัดเชียงรายได้กำหนดกรอบระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ โดยคาดการณ์ว่าจะใช้เวลา 13 วันทำการ (ไม่รวมวันหยุดราชการ) ดังนี้

  • 20 มีนาคม 2568: ประชุมคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติจังหวัดเชียงราย (กชภจ.) เพื่อพิจารณาแผนการช่วยเหลือ
  • 21 มีนาคม 2568: ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายอนุมัติการจัดสรรเงินให้อำเภอแม่สายและอำเภอเมืองเชียงราย
  • 22-24 มีนาคม 2568: สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) เสนอขออนุมัติเงินยืมจากคลังจังหวัด
  • 24-25 มีนาคม 2568: ผู้ว่าราชการจังหวัดอนุมัติเงินยืมให้ทั้งสองอำเภอ
  • 26-27 มีนาคม 2568: ปภ.จ.เชียงรายดำเนินการเบิกเงินและโอนให้อำเภอ
  • 27-28 มีนาคม 2568: อำเภอรับเงินยืมจากจังหวัด
  • 29 มีนาคม – 10 เมษายน 2568: อำเภอเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือให้ผู้ประสบภัยตามรายชื่อที่ได้รับการสำรวจและอนุมัติ

กรอบระยะเวลานี้แสดงถึงความพยายามของจังหวัดในการเร่งรัดกระบวนการเพื่อให้ประชาชนได้รับเงินช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม หากความเสียหายในพื้นที่มีมูลค่าเกินกว่าวงเงินที่จัดสรร อำเภอสามารถยื่นขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากจังหวัดได้ตามความจำเป็น

ความสำคัญของการช่วยเหลือครั้งนี้

เหตุอุทกภัยในจังหวัดเชียงรายไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากจังหวัดนี้ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำท่วมและน้ำป่าไหลหลากในช่วงฤดูฝน การช่วยเหลือผู้ประสบภัยในครั้งนี้จึงมีจุดมุ่งหมายเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะสั้น และฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชนให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาทสำหรับการล้างดินโคลนและซากวัสดุ ถือเป็นมาตรการที่ตอบโจทย์ความต้องการพื้นฐานของผู้ประสบภัย ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับบ้านเรือนที่เต็มไปด้วยโคลนและสิ่งสกปรกหลังน้ำลด

นอกจากนี้ การจัดสรรเงินทดรองราชการยังสะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ ตามที่ระบุในระเบียบกระทรวงการคลัง ซึ่งกำหนดให้การช่วยเหลือต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมและให้ความช่วยเหลือถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างแท้จริง

บริบทของน้ำท่วมในประเทศไทยและจังหวัดเชียงราย

น้ำท่วมเป็นภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำซากในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนมิถุนายนถึงตุลาคมของทุกปี เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ซึ่งส่งผลกระทบต่อ 65 จังหวัด และสร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 1.43 ล้านล้านบาท ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้มีการออกพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ (พ.ศ. 2561-2580) เพื่อกำหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในระยะยาว

สำหรับจังหวัดเชียงราย อุทกภัยในปี 2567 ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นจุดที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา และมักเผชิญกับน้ำท่วมจากแม่น้ำสายและแม่น้ำโขงที่เอ่อล้น รวมถึงอำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งเป็นศูนย์กลางการปกครองและเศรษฐกิจของจังหวัด การที่ทั้งสองอำเภอนี้ได้รับเงินช่วยเหลือจำนวนมาก แสดงถึงความรุนแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้น และความจำเป็นในการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน

การบริหารจัดการงบประมาณน้ำท่วมในอดีต

หากย้อนดูงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำท่วมในประเทศไทย จะพบว่ารัฐบาลได้จัดสรรเงินจำนวนมหาศาลเพื่อรับมือกับภัยพิบัตินี้ ในปีงบประมาณ 2566 ซึ่งเป็นปีล่าสุดที่มีข้อมูลครบถ้วน งบประมาณทั้งหมดของประเทศอยู่ที่ 3.185 ล้านล้านบาท โดยมีงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมรวม 53,377.55 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 1.68% ของงบประมาณทั้งหมด งบประมาณส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการก่อสร้างโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม เช่น เขื่อนป้องกันตลิ่ง (19,821.42 ล้านบาท) ระบบระบายน้ำและประตูระบายน้ำ (6,899.69 ล้านบาท) และฝายต่าง ๆ (5,441.61 ล้านบาท) ซึ่งดำเนินการโดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหลัก

นอกจากนี้ ยังมีงบกลางที่ถูกนำมาใช้ในกรณีฉุกเฉิน โดยในช่วงปี 2560-2566 มีการอนุมัติงบกลางเพื่อน้ำท่วมรวม 97,832.80 ล้านบาท โดยปี 2566 เป็นปีที่มีการเบิกจ่ายสูงเป็นอันดับ 3 ซึ่งส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการก่อสร้างและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน (8,171.60 ล้านบาท) การช่วยเหลือผู้ประสบภัย (6,258.54 ล้านบาท) และการฟื้นฟูถนนที่เสียหาย (3,786.55 ล้านบาท) การจัดสรรเงินทดรองราชการในครั้งนี้จึงสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการภัยพิบัติของรัฐบาลที่ผ่านมา ซึ่งเน้นทั้งการป้องกันและการเยียวยา

ความท้าทายและข้อกังวล

ถึงแม้ว่าการจัดสรรเงินทดรองราชการครั้งนี้จะเป็นการตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชนอย่างทันท่วงที แต่ก็ยังมีความท้าทายหลายประการที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของการช่วยเหลือ หนึ่งในนั้นคือความล่าช้าในกระบวนการเบิกจ่าย ซึ่งอาจเกิดจากขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารหรือการประสานงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ แม้ว่าจะมีการกำหนดกรอบระยะเวลา 13 วันทำการ แต่หากเกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เช่น การขาดแคลนบุคลากรหรือความล่าช้าในการสำรวจผู้ประสบภัย อาจทำให้เงินถึงมือประชาชนช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

อีกประเด็นหนึ่งคือความเพียงพอของวงเงินช่วยเหลือ เงินครัวเรือนละ 10,000 บาทอาจเพียงพอสำหรับการล้างดินโคลนและซากวัสดุในบางครัวเรือน แต่สำหรับบ้านที่มีความเสียหายหนักหรือมีพื้นที่กว้างขวาง อาจไม่เพียงพอต่อการฟื้นฟูทั้งหมด ผู้ประสบภัยบางรายอาจต้องใช้เงินส่วนตัวเพิ่มเติม ซึ่งอาจสร้างภาระให้กับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยอยู่แล้ว

ทัศนคติเป็นกลาง: มุมมองทั้งสองฝั่ง

จากมุมมองของผู้สนับสนุนการจัดสรรเงินทดรองราชการ การดำเนินการครั้งนี้แสดงถึงความรับผิดชอบของรัฐบาลในการดูแลประชาชนในยามวิกฤต การกำหนดวงเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ 10,000 บาท และการจัดสรรเงินเกือบ 300 ล้านบาทให้สองอำเภอที่ได้รับผลกระทบหนัก เป็นหลักฐานถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ การกำหนดกรอบระยะเวลาและขั้นตอนที่ชัดเจนยังช่วยเพิ่มความโปร่งใสและลดความเสี่ยงต่อการทุจริต ผู้ที่เห็นด้วยอาจมองว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการฟื้นฟู และหากวงเงินไม่เพียงพอ อำเภอยังสามารถขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมได้ ซึ่งแสดงถึงความยืดหยุ่นของระบบ

ในทางกลับกัน ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์อาจมองว่าการช่วยเหลือครั้งนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ โดยไม่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว เงิน 10,000 บาทต่อครัวเรือนอาจดูเหมือนเป็นจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และการที่ต้องรอถึงวันที่ 29 มีนาคมถึง 10 เมษายน 2568 กว่าผู้ประสบภัยจะได้รับเงิน อาจช้าเกินไปสำหรับบางครอบครัวที่ต้องการความช่วยเหลือทันที นอกจากนี้ การที่งบประมาณส่วนใหญ่ในอดีตถูกใช้ไปกับการก่อสร้างมากกว่าการพัฒนาระบบเตือนภัยหรือการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อาจทำให้เกิดคำถามถึงประสิทธิภาพของนโยบายการจัดการน้ำท่วมโดยรวมของรัฐบาล

ทั้งสองมุมมองมีเหตุผลในตัวเอง การช่วยเหลือฉุกเฉินเป็นสิ่งจำเป็นและควรได้รับการชื่นชมในแง่ของความรวดเร็วในการตอบสนอง แต่การป้องกันภัยพิบัติในอนาคตและการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การสร้างสมดุลระหว่างการเยียวยาระยะสั้นและการลงทุนระยะยาวจึงเป็นสิ่งที่จังหวัดเชียงรายและรัฐบาลต้องพิจารณาต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (ปภ.) และสำนักงบประมาณ:

  • ปี 2567: อุทกภัยในประเทศไทยระหว่างวันที่ 4 สิงหาคม – 2 กันยายน 2567 ส่งผลให้มีพื้นที่น้ำท่วมรวม 1,231,323 ไร่ ครอบคลุม 11 จังหวัด และมีผู้ได้รับผลกระทบ 241,875 ครัวเรือน (ที่มา: ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหารจัดการพื้นที่น้ำท่วม, GISTDA)
  • ปี 2566: งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับน้ำท่วมทั้งหมด 53,377.55 ล้านบาท โดยงบก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งสูงสุดที่ 19,821.42 ล้านบาท คิดเป็น 37.13% ของงบน้ำท่วมทั้งหมด (ที่มา: รายงานงบประมาณลงพื้นที่จังหวัด ปีงบประมาณ 2566, สำนักงบประมาณ)
  • ปี 2554: มหาอุทกภัยสร้างความเสียหายมูลค่า 1.43 ล้านล้านบาท พื้นที่เกษตรกรรมเสียหาย 11,798,241 ไร่ และกระทบประชาชนกว่า 13 ล้านคน (ที่มา: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)

สถิติเหล่านี้สะท้อนถึงความรุนแรงและความถี่ของปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทย รวมถึงความพยายามของรัฐบาลในการจัดสรรงบประมาณเพื่อรับมือกับภัยพิบัติ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้รับการรวบรวมและวิเคราะห์โดยหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น GISTDA และสำนักงบประมาณ

การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย แต่ยังคงต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มั่นใจว่าความช่วยเหลือจะถึงมือผู้เดือดร้อนอย่างทั่วถึงและทันเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย)
  • สำนักงบประมาณ
  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • Rocket Media Lab
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE