Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แม่สายน้ำท่วมหนัก ประปาเริ่มจ่ายน้ำช่วยเหลือประชาชน

แม่สายฟื้นตัวจากอุทกภัย: การประปาฯ และหน่วยงานท้องถิ่นระดมช่วยเหลือประชาชน

เชียงราย, 24 พฤษภาคม 2568 – อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เผชิญสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันจากฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงกลางดึกของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ส่งผลให้แม่น้ำสายเอ่อล้นตลิ่ง ท่วมชุมชนและพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ อย่างไรก็ตาม ด้วยความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น รวมถึงการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาแม่สาย ที่เริ่มทยอยจ่ายน้ำประปาให้ประชาชนได้ตั้งแต่เวลา 19.00 น. ของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์เริ่มคลี่คลาย พร้อมความหวังที่ชุมชนจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว การระดมกำลังจากกรมทรัพยากรน้ำ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย และหน่วยงานในพื้นที่ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบรรเทาความเดือดร้อนและปกป้องชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในยามวิกฤต

ฝนกระหน่ำและสายน้ำที่โหมกระพือ

ในช่วงค่ำของวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ท้องฟ้าเหนืออำเภอแม่สายเริ่มมืดครึ้มด้วยเมฆฝนหนาที่ยังคงเทน้ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำสาย เช่น บ้านปิยะพร และชุมชนใกล้ตลาดสายลมจอย เริ่มสังเกตเห็นระดับน้ำในแม่น้ำที่สูงขึ้นอย่างผิดปกติ ฝนที่ตกหนักในพื้นที่ตอนบนของลุ่มน้ำ รวมถึงในฝั่งเมียนมา ทำให้แม่น้ำสายรับน้ำปริมาณมหาศาลจนเกินกว่าพนังกั้นน้ำจะรับไหว ไม่นาน น้ำเริ่มล้นตลิ่ง ไหลเข้าท่วมถนน พื้นที่ลุ่มต่ำ และบ้านเรือนของประชาชนอย่างรวดเร็ว

สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อน้ำท่วมขยายวงกว้าง ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ เช่น ตลาดสายลมจอย และบริเวณด่านพรมแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ชาวบ้านจำนวนมากต้องเผชิญกับความสูญเสียทรัพย์สิน ขณะที่ระบบสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปาและไฟฟ้า ถูกตัดขาดจากน้ำท่วมและตะกอนโคลนที่ไหลเข้าปิดกั้นระบบ การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สายต้องหยุดจ่ายน้ำชั่วคราว เนื่องจากน้ำดิบมีความขุ่นสูงเกินกว่าที่จะนำมาผลิตน้ำประปาได้ ความหวังของประชาชนในพื้นที่เริ่มริบหรี่ ขณะที่หลายครอบครัวต้องอพยพไปยังที่สูงเพื่อความปลอดภัย

เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่สายต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากแม่น้ำสาย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พื้นที่นี้เผชิญกับน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูมรสุมที่ฝนตกหนักและน้ำจากลุ่มน้ำในเมียนมาไหลบ่าลงมา ชาวบ้านในชุมชนเริ่มตั้งคำถามถึงความพร้อมของโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมและการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ ขณะที่หน่วยงานท้องถิ่นและรัฐบาลต้องเร่งหาทางแก้ไขเพื่อลดความเสียหายและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน

การระดมกำลังช่วยเหลือและฟื้นฟู

เมื่อสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มรุนแรง หน่วยงานต่างๆ ในจังหวัดเชียงรายและระดับชาติไม่รอช้าที่จะลงมือปฏิบัติการช่วยเหลือทันที กรมทรัพยากรน้ำ ภายใต้การนำของนายธีระชุณ บุญสิทธิ์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ สั่งการให้สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 จัดเตรียมเครื่องจักรและกำลังพลเพื่อเข้าสนับสนุนพื้นที่ประสบภัยในอำเภอแม่สาย โดยนายนิทัศน์ สุดดีพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 มอบหมายให้นายศิริศักดิ์ เกษารัตน์ ผู้อำนวยการส่วนการจัดสรรน้ำที่ 1 ลำปาง นำทีมเจ้าหน้าที่ 15 คน พร้อมเครื่องจักร ได้แก่ เครื่องสูบน้ำขนาด 12 นิ้ว 2 ชุด เครื่องสูบน้ำขนาด 3 นิ้ว 3 ชุด และรถบรรทุกน้ำขนาด 6,000 ลิตร 1 คัน เข้าติดตั้งเครื่องสูบน้ำในจุดวิกฤต เช่น ตลาดสายลมจอย ชุมชนบ้านปิยะพร และพื้นที่ลุ่มต่ำ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่

ในขณะเดียวกัน องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ภายใต้การนำของนางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย และรองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ระดมทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือประชาชนอย่างเร่งด่วน โดยมอบหมายให้นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย พร้อมทีมงาน นำกระสอบทราย 9,000 ใบ รถบรรทุกน้ำ 4 คัน รวมถึงรถดับเพลิงที่บรรทุกน้ำได้ 12,000 ลิตร และเครื่องสูบน้ำ 4 ชุด เข้าสนับสนุนชุมชนในพื้นที่ประสบภัย นอกจากนี้ อบจ.เชียงรายยังส่งรถไถ 1 คัน เพื่อช่วยเคลียร์ตะกอนโคลนและสิ่งกีดขวางในพื้นที่น้ำท่วม

การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในการจัดหาน้ำสะอาดให้ประชาชน ทำงานอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูระบบน้ำประปา หลังจากน้ำดิบในแม่น้ำสายมีความขุ่นสูงจนไม่สามารถผลิตน้ำได้ในช่วงแรก เมื่อสถานการณ์น้ำเริ่มคลี่คลายและค่าความขุ่นลดลง ทีมงานของ กปภ.สาขาแม่สายสามารถเริ่มผลิตน้ำได้ในช่วงบ่ายของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 และทยอยจ่ายน้ำเข้าสู่ระบบท่อตั้งแต่เวลา 18.40 น. โดยคาดว่าจะสามารถให้บริการได้เต็มรูปแบบภายในเวลา 19.00 น. ของวันเดียวกัน กปภ.สาขาแม่สายออกแถลงการณ์ขออภัยในความไม่สะดวกและยืนยันความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูการให้บริการโดยเร็วที่สุด

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายบริเวณด่านพรมแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ร่วมกับนายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ และทีมงาน พบว่าระดับน้ำในแม่น้ำสายสูงเกินพนังกั้นน้ำ ส่งผลให้น้ำล้นผ่านกระสอบทรายแบบบิ๊กแบ็กที่กั้นไว้ใต้สะพาน ไหลเข้าท่วมชุมชนริมน้ำอย่างรวดเร็ว ผู้ว่าฯ สั่งการให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อเร่งระบายน้ำและป้องกันความเสียหายเพิ่มเติม พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนให้ติดตามข่าวสารและแจ้งเหตุฉุกเฉินผ่านหน่วยงานท้องถิ่น

การทำงานร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ไม่เพียงมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังรวมถึงการวางแผนป้องกันน้ำท่วมในระยะยาว เทศบาลตำบลแม่สายได้รับการสนับสนุนกระสอบทรายและเครื่องสูบน้ำเพิ่มเติมจาก อบจ.เชียงราย เพื่อใช้ในการบริหารจัดการน้ำในระดับชุมชน ขณะที่กรมทรัพยากรน้ำเตรียมประสานงานกับหน่วยงานข้ามพรมแดนในเมียนมา เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสายและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต

ความหวังและการฟื้นตัวของชุมชน

เมื่อถึงช่วงเย็นของวันที่ 24 พฤษภาคม 2568 สถานการณ์ในอำเภอแม่สายเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ระดับน้ำในแม่น้ำสายค่อยๆ ลดลง หลังจากฝนหยุดตกและเครื่องสูบน้ำทำงานอย่างต่อเนื่อง ชุมชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น บ้านปิยะพร และพื้นที่ใกล้ตลาดสายลมจอย เริ่มเห็นน้ำลดลงจากถนนและบ้านเรือน การกลับมาของระบบน้ำประปาจาก กปภ.สาขาแม่สาย ช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภคได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของการฟื้นตัว

การสนับสนุนจาก อบจ.เชียงราย เช่น รถบรรทุกน้ำและกระสอบทราย ช่วยให้ชุมชนสามารถจัดการกับน้ำท่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า “เราจะอยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกสถานการณ์ภัยพิบัติ และจะทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อให้แม่สายกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด” การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดและทีมงานยังช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

ในระยะยาว หน่วยงานต่างๆ มีแผนที่จะปรับปรุงโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม เช่น การเสริมพนังกั้นน้ำและการขุดลอกลำน้ำ เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต การประสานงานข้ามพรมแดนกับเมียนมาเพื่อจัดการลุ่มน้ำสายอย่างบูรณาการก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญ นอกจากนี้ ชุมชนในแม่สายจะได้รับการสนับสนุนด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เช่น การช่วยเหลือผู้ประกอบการในตลาดสายลมจอย เพื่อให้สามารถกลับมาเปิดร้านและดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการน้ำท่วมในอำเภอแม่สายครั้งนี้ประสบความสำเร็จในหลายด้าน ดังนี้:

  1. การตอบสนองอย่างรวดเร็ว การระดมเครื่องจักร กำลังพล และทรัพยากรจากกรมทรัพยากรน้ำ อบจ.เชียงราย และ กปภ.สาขาแม่สาย ช่วยลดผลกระทบและเร่งการฟื้นฟูได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การประสานงานระหว่างหน่วยงาน ความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น รวมถึงการทำงานร่วมกับชุมชน สร้างความเข้มแข็งในการรับมือภัยพิบัติ
  3. การฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค การกลับมาของน้ำประปาภายใน 24 ชั่วโมงหลังน้ำท่วมแสดงถึงความพร้อมของ กปภ.สาขาแม่สายในการจัดการวิกฤต
  4. การสร้างขวัญกำลังใจ การลงพื้นที่ของผู้นำท้องถิ่นและผู้ว่าราชการจังหวัดช่วยให้ประชาชนรู้สึกได้รับการดูแลและสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้ยังเผยให้เห็นความท้าทายที่ต้องแก้ไข:

  1. โครงสร้างป้องกันน้ำท่วมที่ไม่เพียงพอ พนังกั้นน้ำและกระสอบทรายแบบบิ๊กแบ็กไม่สามารถต้านทานน้ำปริมาณมากได้ แสดงถึงความจำเป็นในการลงทุนพัฒนาโครงสร้างที่แข็งแรงกว่า
  2. การพึ่งพาน้ำจากลุ่มน้ำข้ามพรมแดนnน้ำท่วมส่วนหนึ่งเกิดจากฝนตกหนักในเมียนมา ซึ่งต้องมีการประสานงานข้ามชาติเพื่อบริหารจัดการน้ำ
  3. ความเปราะบางของชุมชนลุ่มต่ำ ชุมชนริมแม่น้ำสายยังคงเสี่ยงต่อน้ำท่วมซ้ำซาก ต้องมีการยกระดับที่อยู่อาศัยและวางแผนผังเมืองใหม่
  4. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลาดสายลมจอยและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นในระยะสั้น

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • ลงทุนในโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม สร้างเขื่อนหรือพนังกั้นน้ำที่ทนทาน และขุดลอกลำน้ำเพื่อเพิ่มความจุน้ำ
  • พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า ใช้เทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชันแจ้งเตือนน้ำท่วม เพื่อให้ประชาชนเตรียมตัวได้ทันท่วงที
  • ประสานงานข้ามพรมแดน สร้างความร่วมมือกับเมียนมาในการบริหารจัดการลุ่มน้ำสาย เพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม
  • สนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ จัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการและให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของน้ำท่วมและความสำคัญของการจัดการภัยพิบัติ ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในแม่สาย
    • ในปี 2567 น้ำท่วมในอำเภอแม่สายส่งผลกระทบต่อครัวเรือนกว่า 51,865 ครัวเรือน โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำ
    • แหล่งอ้างอิง: กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดเชียงราย.
  2. ความเสียหายทางเศรษฐกิจ
    • น้ำท่วมในแม่สายเมื่อปี 2567 สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยเฉพาะในพื้นที่ตลาดสายลมจอยและชุมชนริมน้ำ
    • แหล่งอ้างอิง: หอการค้าไทย. (2567). รายงานผลกระทบน้ำท่วมต่อเศรษฐกิจจังหวัดเชียงราย.
  3. การสนับสนุนจากหน่วยงาน
    • ในปี 2567 หน่วยงานท้องถิ่นและรัฐบาลใช้เครื่องสูบน้ำกว่า 50 ชุดและกระสอบทรายกว่า 100,000 ใบในการจัดการน้ำท่วมทั่วภาคเหนือ
    • แหล่งอ้างอิง: กรมทรัพยากรน้ำ. (2567). รายงานการจัดการภัยพิบัติน้ำท่วมภาคเหนือ.
  4. ความถี่ของน้ำท่วมในแม่สาย
    • อำเภอแม่สายเผชิญน้ำท่วมจากแม่น้ำสายเฉลี่ย 3–4 ครั้งต่อปีในช่วงฤดูมรสุม (กรกฎาคม–ตุลาคม)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ. (2567). รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำสา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การประปาส่วนภูมิภาคสาขาแม่สาย
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

จังหวัดเคลื่อนที่เวียงเชียงรุ้ง ยกระดับสุขภาพและคุณภาพชีวิต

จังหวัดเชียงรายจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และ “จังหวัดเคลื่อนที่” มอบบริการและความช่วยเหลือแก่ชาวบ้านห้วยหมากเอียก

เชียงราย, 22 พฤษภาคม 2568 – ที่บ้านห้วยหมากเอียก หมู่ 14 ตำบลป่าซาง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย ได้มีการจัดกิจกรรมหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ครั้งที่ 13 ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อมด้วยโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” เพื่อนำบริการสาธารณสุขและความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐสู่ชุมชนห่างไกล งานนี้มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง ผ่านการมอบสิ่งของ บริการทางการแพทย์ และการหารือแนวทางการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน

 

ความท้าทายของชุมชนห่างไกลในบ้านห้วยหมากเอียก

ในพื้นที่ชนบทของจังหวัดเชียงราย บ้านห้วยหมากเอียก หมู่ 14 ตำบลป่าซาง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง เป็นชุมชนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 41 กิโลเมตร ด้วยประชากรเพียง 514 คน ใน 164 หลังคาเรือน ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและรับจ้างทั่วไป ซึ่งให้รายได้ไม่แน่นอนและมักไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ความห่างไกลจากศูนย์กลางเมืองทำให้การเข้าถึงบริการสาธารณสุขและสวัสดิการพื้นฐานเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และครอบครัวที่มีรายได้น้อย

ในช่วงฤดูฝน ชาวบ้านต้องเผชิญกับถนนที่ขรุขระและการเดินทางที่ยากลำบาก ส่งผลให้การไปโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสาธารณสุขในตัวอำเภอเป็นภาระทั้งด้านเวลาและค่าใช้จ่าย เด็กนักเรียนในชุมชนบางคนขาดแคลนทุนทรัพย์สำหรับการศึกษา ขณะที่ผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียงมักขาดการดูแลอย่างใกล้ชิด สถานการณ์เหล่านี้สะท้อนถึงความจำเป็นในการนำบริการของภาครัฐลงสู่พื้นที่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างโอกาสให้ชุมชน

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงให้ความสำคัญกับการแพทย์และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล จังหวัดเชียงรายจึงได้จัดกิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

กิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และจังหวัดเคลื่อนที่

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ณ บ้านห้วยหมากเอียก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมหน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ครั้งที่ 13 ประจำปีงบประมาณ 2568 พร้อมด้วยโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่ หน่วยบำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน” โดยมีนางสินีนาฎ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดเชียงราย นายแพทย์รัฐการ ปาระมี รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง รวมถึงหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องถิ่น อาสาสมัคร พอ.สว. และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

กิจกรรมครั้งนี้มุ่งเน้นการให้บริการด้านสาธารณสุขและสวัสดิการแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล โดยหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ได้จัดทีมแพทย์ พยาบาล และอาสาสมัครเพื่อตรวจสุขภาพทั่วไป ตรวจคัดกรองโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง รวมถึงให้คำแนะนำด้านการดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการทันตกรรมพื้นฐานและแจกยาสามัญประจำบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านสามารถดูแลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ได้นำหน่วยงานภาครัฐจากหลากหลายสาขามาให้บริการประชาชนถึงพื้นที่ เช่น การรับเรื่องร้องทุกข์ การให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย การออกบัตรประจำตัวประชาชน และการให้ความรู้ด้านการเกษตรและอาชีพ ภายในงานมีการมอบสิ่งของเพื่อช่วยเหลือประชาชน ได้แก่:

  • ถุงยังชีพจากสำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • ข้าวสารจากวัดห้วยปลากั้ง
  • ผ้าห่มกันหนาวจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • พันธุ์ปลาจากสำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • เงินสงเคราะห์สำหรับครอบครัวผู้มีรายได้น้อยจากสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย
  • ทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่ขาดแคลนจากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า “กิจกรรมครั้งนี้เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและความมุ่งมั่นในการสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงให้ความสำคัญกับการแพทย์และการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่ห่างไกล เราต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในชุมชนที่ห่างไกลจากการเข้าถึงบริการพื้นฐาน”

นอกจากนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดและคณะยังได้ร่วมปลูกต้นไม้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเน้นการปลูกต้นไม้พื้นถิ่นที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ เพื่อส่งเสริมความสมดุลของระบบนิเวศและสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชน ต่อจากนั้น ได้มีการประชุมหารือแนวทางการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ร่วมกับนายอำเภอ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชน เพื่อระบุปัญหาเร่งด่วน เช่น การขาดแคลนน้ำสะอาดในฤดูแล้ง และแนวทางส่งเสริมอาชีพที่ยั่งยืน

ไฮไลต์ของงานคือการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุจำนวน 5 รายในอำเภอเวียงเชียงรุ้ง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกเหล่ากาชาดได้มอบถุงยังชีพและให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด การเยี่ยมเยียนครั้งนี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาความเดือดร้อน แต่ยังสร้างความอบอุ่นใจให้กับครอบครัวที่ต้องดูแลผู้ป่วยในสภาวะที่จำกัด

รอยยิ้มและความหวังของชุมชน

กิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ได้นำรอยยิ้มและความหวังมาสู่ชาวบ้านห้วยหมากเอียก ชาวบ้านที่เข้ารับการตรวจสุขภาพแสดงความดีใจที่ไม่ต้องเดินทางไกลไปโรงพยาบาล ขณะที่ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและนักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษาต่างรู้สึกขอบคุณที่ได้รับโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต การมอบพันธุ์ปลาและการให้ความรู้ด้านการเกษตรยังช่วยให้ชาวบ้านสามารถสร้างรายได้เสริมในระยะยาว

การเยี่ยมเยียนผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุสร้างความประทับใจอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับครอบครัวที่ขาดแคลนทรัพยากรในการดูแลผู้ป่วย นางสาวคำปุน มีศรี ชาวบ้านที่ดูแลแม่วัย 78 ปี ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง กล่าวว่า “การที่ท่านผู้ว่าฯ และทีมงานมาเยี่ยมถึงบ้าน ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ถูกลืม และถุงยังชีพที่ได้รับช่วยแบ่งเบาภาระได้มาก”

การปลูกต้นไม้และการประชุมหารือแนวทางการพัฒนาชุมชนช่วยจุดประกายให้ชาวบ้านตระหนักถึงความสำคัญของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่น ผู้นำชุมชนในบ้านห้วยหมากเอียกแสดงความมุ่งมั่นที่จะนำข้อเสนอจากที่ประชุมไปปฏิบัติ เช่น การจัดตั้งกลุ่มเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร และการขอสนับสนุนงบประมาณสำหรับระบบน้ำสะอาดในหมู่บ้าน

ในระยะยาว จังหวัดเชียงรายมีแผนขยายกิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ไปยังพื้นที่ห่างไกลอื่นๆ ในจังหวัด เพื่อให้ครอบคลุมทุกชุมชนที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยตั้งเป้าลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนผ่านการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและชุมชน

ผลลัพธ์และความท้าทาย

กิจกรรมเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2568 ประสบความสำเร็จในการนำบริการและความช่วยเหลือสู่ชุมชนห้วยหมากเอียก ผลลัพธ์ที่สำคัญ ได้แก่:

  1. การเข้าถึงบริการสาธารณสุข: การตรวจสุขภาพและให้คำปรึกษาด้านสุขภาพช่วยลดภาระของชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล และเพิ่มโอกาสในการป้องกันและรักษาโรค
  2. การบรรเทาความเดือดร้อน: การมอบถุงยังชีพ เงินสงเคราะห์ และทุนการศึกษา ช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและนักเรียนที่ขาดแคลน
  3. การส่งเสริมความยั่งยืน: การปลูกต้นไม้และการให้ความรู้ด้านการเกษตรช่วยสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนอาชีพที่ยั่งยืน
  4. การสร้างความผูกพันในชุมชน: การเยี่ยมเยียนผู้ป่วยติดเตียงและการประชุมหารือช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและชุมชน

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการยังเผชิญกับความท้าทายบางประการ:

  1. ข้อจำกัดด้านทรัพยากร: การจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ต้องใช้บุคลากรและงบประมาณจำนวนมาก ซึ่งอาจจำกัดความถี่และขอบเขตของกิจกรรม
  2. การเข้าถึงพื้นที่ห่างไกล: แม้ว่าบ้านห้วยหมากเอียกจะอยู่ห่างจากอำเภอเพียง 4 กิโลเมตร แต่บางชุมชนในอำเภออื่นๆ อาจมีสภาพถนนที่ยากลำบากกว่า
  3. ความต่อเนื่องของการพัฒนา: การแก้ไขปัญหา เช่น การขาดแคลนน้ำสะอาด ต้องใช้เวลาและการลงทุนระยะยาว ซึ่งต้องอาศัยการประสานงานอย่างต่อเนื่อง
  4. การมีส่วนร่วมของชุมชน: การกระตุ้นให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่องอาจต้องใช้การสื่อสารและการสร้างแรงจูงใจเพิ่มเติม

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติมดังนี้:

  • เพิ่มการสนับสนุนทรัพยากร: ขอความร่วมมือจากภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนในการสนับสนุนงบประมาณและบุคลากร
  • พัฒนาการคมนาคม: ปรับปรุงถนนในพื้นที่ห่างไกลเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐเข้าถึงชุมชนได้ง่ายขึ้น
  • สร้างกลไกติดตามผล: จัดตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามความคืบหน้าของข้อเสนอจากการประชุม และประเมินผลกระทบของการช่วยเหลือ
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วม: จัดอบรมผู้นำชุมชนและเยาวชนเพื่อให้มีบทบาทในการขับเคลื่อนการพัฒนาท้องถิ่น

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความสำคัญของการจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่และโครงการ “จังหวัดเคลื่อนที่” ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. จำนวนผู้ได้รับบริการจากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.:
    • ในปี 2567 หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดเชียงรายให้บริการประชาชนในพื้นที่ห่างไกลกว่า 5,000 คน
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลการดำเนินงานหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว.
  2. อัตราความยากจนในจังหวัดเชียงราย:
    • ประชากรในจังหวัดเชียงรายที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนมีสัดส่วนประมาณ 12.5% โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานสถานการณ์ความยากจนในจังหวัดเชียงราย.
  3. จำนวนผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง:
    • อำเภอเวียงเชียงรุ้งมีผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ประมาณ 15% ของประชากรทั้งหมด และมีผู้ป่วยติดเตียงราว 200 ราย
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย. (2568). รายงานข้อมูลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง.
  4. ผลกระทบของการปลูกต้นไม้:
    • การปลูกต้นไม้พื้นถิ่นในพื้นที่ชนบทช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้ถึง 10–15% ต่อปี และลดการพังทลายของดินได้ 20%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย. (2567). รายงานผลกระทบจากการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ชนบท.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย
  • หน่วยแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI FOOD

MFU Coffee Fest 2025 ยกระดับกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน

มฟล. จัดงาน MFU Coffee Fest 2025 ดันอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน พร้อมเชื่อมโยงเกษตร-ธุรกิจ-นวัตกรรม

เชียงราย, 22 มีนาคม 2568 – มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง โดยส่วนจัดการทรัพย์สินทางปัญญาและนวัตกรรม สถาบันวิจัยและนวัตกรรม จัดงาน “MFU Coffee Fest 2025” อย่างคึกคัก ณ โรงแรมแสนโฮเทล จังหวัดเชียงราย เพื่อส่งเสริมการแปรรูปกาแฟอะราบิกาและยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติจากหน่วยงานราชการและภาคเอกชนเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง

งานนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-23 มีนาคม 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพืชกาแฟอะราบิกาผ่านการบูรณาการองค์ความรู้ด้านวิชาการ นวัตกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงเชื่อมโยงกับภาคธุรกิจเพื่อส่งเสริมการแปรรูปกาแฟในระดับชุมชนให้มีศักยภาพในระดับประเทศและสากล

ภาคเหนือ: หัวใจของกาแฟอะราบิกาไทย

จากข้อมูลของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ระบุว่า ภาคเหนือตอนบน 2 ซึ่งครอบคลุมจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน และแม่ฮ่องสอน เป็นพื้นที่เพาะปลูกกาแฟอะราบิกาที่สำคัญที่สุดในประเทศไทย โดยในปี 2567 ประเทศไทยมีผลผลิตกาแฟอะราบิการวมประมาณ 9,000 ตัน และกว่า 3,000 ตันมาจากกลุ่มจังหวัดในภาคเหนือตอนบนนี้

นายชรินทร์กล่าวว่า “การพัฒนากาแฟไทยต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย เกษตรกร และภาคธุรกิจ โดยการใช้องค์ความรู้จากสถาบันการศึกษาจะช่วยยกระดับคุณภาพกาแฟให้ตอบโจทย์ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

กิจกรรมวิชาการเข้มข้น เสริมทักษะผู้ประกอบการ-นักวิจัย

ภายในงาน MFU Coffee Fest 2025 มีกิจกรรมทางวิชาการที่หลากหลาย เช่น การประชุมวิชาการเรื่อง “ทิศทางการวิจัยกาแฟไทยสู่ความยั่งยืน” การเสวนาในหัวข้อสำคัญ เช่น การจัดการสวนกาแฟภายใต้ภาวะโลกร้อน การใช้วัสดุเหลือใช้จากกระบวนการแปรรูป และการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากกาแฟเพื่อเพิ่มมูลค่า

อีกทั้งยังมีกิจกรรมเวิร์กช็อปให้ประชาชนและผู้ประกอบการได้มีส่วนร่วม เช่น การผสมน้ำหอมจากกลิ่นกาแฟ การทำเทียนหอม และบอดี้ออยล์จากสารสกัดกาแฟ รวมถึงคราฟต์โซดาจากเปลือกเชอร์รี่กาแฟ ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดการใช้วัตถุดิบอย่างครบวงจร ลดของเสีย เพิ่มมูลค่าอย่างสร้างสรรค์

เวทีแข่งขันสร้างความตื่นตัว “MFU ท้าชงชวนดริป”

สำหรับผู้ชื่นชอบการชงกาแฟ งานนี้ยังมีกิจกรรมพิเศษอย่างการแข่งขันดริปกาแฟ “MFU ท้าชงชวนดริป 2025” ที่เปิดโอกาสให้นักชงกาแฟทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพได้ประชันฝีมือและสร้างชื่อเสียง พร้อมกับกิจกรรม Sensory Test และ Cupping Lab ที่เปิดให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสประสบการณ์วิเคราะห์รสชาติและกลิ่นของกาแฟสายพันธุ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด

Coffee Connect เวทีจับคู่ธุรกิจเชื่อมโยงตลาด-เกษตรกร

อีกหนึ่งไฮไลต์ของงานคือกิจกรรม Coffee Connect ซึ่งเปิดพื้นที่ให้ผู้ประกอบการกาแฟ โกโก้ และชา ได้พบปะ เจรจาธุรกิจ และสร้างเครือข่ายกับนักลงทุนและผู้ประกอบการจากต่างประเทศ โดยเน้นการสร้างความร่วมมือเชิงพาณิชย์และการต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้เข้าสู่ตลาดสากล

ตลอดสองวันของการจัดงาน มีผู้ประกอบการกว่า 40 รายจากทั่วประเทศมาออกร้านแสดงสินค้า ไม่ว่าจะเป็นกาแฟคั่วบด เมล็ดกาแฟสด ผลิตภัณฑ์แปรรูป รวมถึงอุปกรณ์การชงกาแฟและสินค้าจากวัตถุดิบท้องถิ่นในภาคเหนือ

มุมมองจากทั้งสองฝ่าย: โอกาส-ความท้าทายของกาแฟไทย

ฝ่ายสนับสนุน มองว่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเวทีให้แก่เกษตรกรและผู้ประกอบการกาแฟได้แสดงศักยภาพของตน ทั้งในด้านคุณภาพสินค้าและการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อก้าวสู่ตลาดที่มีการแข่งขันสูง อีกทั้งการส่งเสริมให้ปลูกกาแฟใต้ร่มเงาไม้ยังช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดการเผาป่า และเป็นเกษตรกรรมเชิงอนุรักษ์ที่ยั่งยืน

ในอีกด้านหนึ่ง นักวิชาการบางรายมีความเห็นว่า แม้การสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยจะช่วยสร้างนวัตกรรม แต่เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากยังขาดเครื่องมือและทุนในการเข้าถึงเทคโนโลยีดังกล่าว อีกทั้งตลาดกาแฟในประเทศไทยยังเผชิญกับปัญหาราคาผันผวน และความท้าทายในการเจาะตลาดต่างประเทศ ซึ่งต้องการมาตรฐานและคุณภาพระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ผลผลิตกาแฟอะราบิกาทั่วประเทศ ปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 9,000 ตัน
    (ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร, 2567)
  • พื้นที่เพาะปลูกกาแฟภาคเหนือตอนบน 2 คิดเป็นสัดส่วนกว่า 35% ของพื้นที่ปลูกกาแฟทั้งประเทศ
    (ที่มา: กรมส่งเสริมการเกษตร, 2567)
  • แนวโน้มการบริโภคกาแฟในประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 5-7% ต่อปี
    (ที่มา: ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, 2567)
  • การปลูกกาแฟใต้ร่มไม้สามารถช่วยลดการเผาป่าได้ถึง 60% และเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ปลูก
    (ที่มา: สำนักวิจัยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมป่าไม้, 2566)
  • ประเทศไทยมีผู้ประกอบการกาแฟรายย่อยกว่า 10,000 ราย ทั่วประเทศ
    (ที่มา: สมาคมกาแฟพิเศษไทย, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • กรมส่งเสริมการเกษตร
  • ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย
  • สำนักวิจัยการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมป่าไม้
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายลงพื้นที่ ช่วยผู้ประสบภัยพายุแม่ลาว

เชียงรายวิกฤต พายุถล่มหนัก รพ.เสียหาย ผู้ว่าฯ เร่งช่วยเหลือ


เชียงราย, 19 มีนาคม 2568 – พายุฤดูร้อนพัดถล่มหลายอำเภอในเชียงราย ส่งผลให้บ้านเรือนและสถานที่ราชการเสียหายหนัก นายรุ่งโรจน์ ตันวุฒิ นายอำเภอแม่ลาว ได้นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จิตอาสา และประชาชนในพื้นที่ เร่งช่วยเหลือผู้ประสบภัย จากเหตุพายุฤดูร้อนที่พัดถล่ม อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย โดยมุ่งเน้น การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เสียหายและซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน รวมถึงสถานที่ราชการ เช่น โรงเรียนอนุบาลป่าก่อดำ ตำบลป่าก่อดำ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนัก อาคารอเนกประสงค์และอาคารเรียนได้รับความเสียหายหลายจุด

พายุที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 18 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 18.20 น. ทำให้เกิดฝนตกหนักและพายุลูกเห็บพัดถล่มในพื้นที่อย่างรุนแรง หลายครอบครัวกำลังเร่งซ่อมแซมหลังคาบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายจากแรงลมที่พัดกระหน่ำ

ผู้ว่าฯ เชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจผู้ประสบภัย

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยม โรงพยาบาลแม่ลาว ซึ่งได้รับความเสียหายหนักจากพายุ อาคารผู้ป่วยในไม่สามารถรองรับผู้ป่วยเพิ่มเติมได้ โครงสร้างหลังคาของห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (ห้องแล็บ) เสียหายจนไม่สามารถให้บริการได้ และมีน้ำรั่วซึมในหลายจุด

มาตรการเร่งด่วนของโรงพยาบาลแม่ลาว

เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย โรงพยาบาลแม่ลาวได้ออกประกาศให้ผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้นสามารถกลับบ้านได้ก่อนกำหนด พร้อมทั้ง ประสานโรงพยาบาลเครือข่าย เพื่อรองรับผู้ป่วย ดังนี้:

  • โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ รับผู้ป่วยที่มีภาวะฉุกเฉิน
  • โรงพยาบาลสมเด็จพระญาณสังวร รับผู้ป่วยที่ต้องนอนพักรักษาตัวและมีอาการคงที่
  • โรงพยาบาลพาน ให้บริการตรวจเลือดเร่งด่วน

ทางโรงพยาบาลยังได้เคลื่อนย้าย อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีมูลค่าสูง ออกจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำฝนและไฟฟ้าลัดวงจร พร้อม ประสานเทศบาลตำบลป่าก่อดำ ในการจัดการกับสิ่งกีดขวางที่ส่งผลกระทบต่อการเดินทางเข้าออกโรงพยาบาล ทั้งนี้ ได้มีการ ตั้งศูนย์รายงานการบาดเจ็บ ณ ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลแม่ลาว เพื่อรับแจ้งเหตุและดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บจากพายุฤดูร้อน

แผนฟื้นฟูและการช่วยเหลือจากภาครัฐ

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า อำเภอแม่ลาวได้รับผลกระทบหนักที่สุด และทางจังหวัดพร้อมให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ โดยได้สั่งการให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งสำรวจความเสียหายและดำเนินการแจกจ่ายวัสดุก่อสร้าง เช่น กระเบื้องและอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้านเรือน ให้แก่ผู้ประสบภัย

ในส่วนของ โรงพยาบาลแม่ลาว จะเสนอของบประมาณจาก เขตตรวจสุขภาพ เพื่อเร่งซ่อมแซม ขณะที่ สถานศึกษา จะเสนอของบประมาณจาก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และ วัดที่ได้รับผลกระทบ จะได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ จังหวัดเชียงรายได้เปิดให้ประชาชน ลงทะเบียนผู้ประสบภัยผ่านแอปพลิเคชัน “พ้นภัย” เพื่อขอรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมจาก สภากาชาดไทย

รายงานความเสียหายจากสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย

สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.) รายงานว่าพายุครั้งนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ อำเภอแม่ลาว เป็นหลัก ครอบคลุม 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลจอมหมอกแก้ว, ตำบลป่าก่อดำ, ตำบลบัวสลี และตำบลดงมะดะ โดยส่งผลกระทบต่อ:

  • โรงพยาบาลแม่ลาว เสียหายหนักในหลายจุด
  • โรงเรียนอนุบาลจอมหมอกแก้ว หลังคาหอประชุมพังเสียหาย
  • ศาลาการเปรียญวัดดอนจั่น และห้องน้ำวัด ได้รับความเสียหาย
  • ป้ายปั๊ม ปตท. ถูกแรงลมพัดจนได้รับความเสียหาย

มี ผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย จากการถูกป้ายเวทีล้มทับบริเวณหัวไหล่

พายุยังส่งผลกระทบในพื้นที่ อำเภอพาน, อำเภอป่าแดด, อำเภอเวียงเชียงรุ้ง, อำเภอเมืองเชียงราย และเทศบาลนครเชียงราย โดยมีบ้านเรือนเสียหาย รวมอย่างน้อย 15 หมู่บ้านใน 8 ตำบล และมีหน่วยงานราชการเสียหาย 2 แห่ง รวมถึงวัดอีก 1 แห่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจเพิ่มเติม

สถิติที่เกี่ยวข้องกับพายุฤดูร้อนในภาคเหนือ

  • พายุฤดูร้อนในภาคเหนือมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 15% ต่อปี เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน
  • เชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อนบ่อยที่สุดในภาคเหนือ โดยเฉลี่ย 5-7 ครั้งต่อปี
  • ในปี 2567 พายุฤดูร้อนสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 500 ล้านบาททั่วประเทศ

สรุป

พายุฤดูร้อนที่พัดถล่มจังหวัดเชียงรายส่งผลให้หลายพื้นที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะ อำเภอแม่ลาว ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ทางจังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งเข้าช่วยเหลือประชาชนและดำเนินมาตรการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้โดยเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย / กรมอุตุนิยมวิทยา ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE