Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกฯ ขึ้นเชียงราย เร่งช่วยน้ำท่วม ย้ำฟื้นฟูยั่งยืน พร้อมรับฟังประชาชน

นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่เชียงราย ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม เร่งช่วยเหลือ-เยียวยา เดินหน้าฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย

เชียงราย, 28 มิถุนายน 2568 – นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูง เดินทางถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มมวลชนเสื้อแดงที่มาให้กำลังใจและแสดงความหวังใจต่อผู้นำรัฐบาล ก่อนนายกรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัยในอำเภอพญาเม็งรายและพื้นที่ประสบภัยอื่น ๆ ของจังหวัด

รับฟังรายงานและสำรวจพื้นที่จริง

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้รายงานสถานการณ์ล่าสุดให้กับนายกรัฐมนตรีและคณะทราบ โดยเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ส่งผลกระทบต่อ 5 อำเภอ 10 ตำบล 32 หมู่บ้าน มีประชาชนได้รับผลกระทบถึง 4,405 ครัวเรือน ถนนเสียหาย 3 จุด สถานพยาบาล 2 แห่ง และพื้นที่เกษตรกรรม โดยเฉพาะนาข้าว ได้รับความเสียหายกว่า 500 ไร่

จังหวัดเชียงรายได้บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเร่งอพยพประชาชนจากพื้นที่เสี่ยงเข้าสู่ศูนย์พักพิงชั่วคราว พร้อมจัดส่งถุงยังชีพ สิ่งของจำเป็น และให้หน่วยงานด้านการเกษตรสำรวจความเสียหายเพื่อดำเนินการช่วยเหลือต่อไป

ลงพื้นที่พบปะ-มอบถุงยังชีพ สร้างพลังใจ

นายกรัฐมนตรีและคณะได้ลงพื้นที่บ้านสบเปา ตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย เพื่อพบปะประชาชนผู้ประสบภัย มอบถุงยังชีพ และกล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และจิตอาสาที่ปฏิบัติงานอย่างใกล้ชิด โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า

“ดิฉันเดินทางมาในวันนี้เพื่อให้กำลังใจพี่น้องประชาชน เพราะปีนี้ฝนตกมากกว่าปกติ หลายพื้นที่ไม่เคยประสบเหตุลักษณะนี้มาก่อน ธรรมชาติที่แปรปรวนได้สร้างสถานการณ์ยากลำบาก แต่ขอให้มั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่เพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของประชาชน จะเร่งฟื้นฟูและช่วยเหลือทุกคนให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุด”

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชื่นชมการร่วมแรงร่วมใจของชาวบ้านในการฟื้นฟูพื้นที่ และเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเยียวยาและส่งความช่วยเหลือให้ถึงมือประชาชนโดยเร็ว พร้อมกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ปฏิบัติงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด

วางแผนระยะสั้น-กลาง-ยาว เพื่อรับมือภัยพิบัติซ้ำซาก

จากสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนรับมือทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำ โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นของระบบเตือนภัยล่วงหน้า การจัดเตรียมศูนย์พักพิงที่มีประสิทธิภาพ การบริหารจัดการน้ำ การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน และการสนับสนุนเกษตรกรในระยะยาว

ทั้งนี้ การบูรณาการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และท้องถิ่น ถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการเร่งสำรวจ เยียวยา และฟื้นฟูผู้ประสบภัยให้กลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ โดยไม่ละเลยกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง

ประชาชนสะท้อนปัญหาและข้อเสนอแนะต่อผู้นำรัฐบาล

ในระหว่างภารกิจลงพื้นที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้พูดคุย สอบถามความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อยู่อาศัย น้ำดื่ม อาหาร เครื่องใช้จำเป็น รวมถึงเงินเยียวยาจากเหตุอุทกภัยครั้งก่อนที่บางครอบครัวยังไม่ได้รับ พร้อมทั้งรับฟังข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการฟื้นฟูศูนย์เด็กเล็กที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขโดยไม่ให้ประชาชนต้องรอนาน

บรรยากาศอบอุ่น สะท้อนพลังใจคนเชียงราย

บรรยากาศการลงพื้นที่ตลอดทั้งวันเป็นไปอย่างอบอุ่นและเป็นกันเอง โดยเฉพาะการต้อนรับจากประชาชนที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงและบ้านสบเปา หลายคนสวมเสื้อแดงและนำดอกกุหลาบ พวงมาลัยมาให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี รวมทั้งร่วมถ่ายภาพเซลฟี่และส่งเสียงเชียร์ “สู้ๆ นะเจ้า” อย่างต่อเนื่อง นายกรัฐมนตรีตอบรับด้วยรอยยิ้มและถ้อยคำให้กำลังใจกลับไป

ภารกิจในพื้นที่ยังรวมถึงการเดินทางไปยังวัดสันติคีรี อำเภอพญาเม็งราย เพื่อมอบถุงยังชีพและให้กำลังใจประชาชน พร้อมย้ำว่าวิกฤตนี้จะผ่านพ้นไปด้วยความร่วมมือและพลังใจจากทุกฝ่าย

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางการเยียวยา

การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ เน้นย้ำบทบาทของรัฐบาลและหน่วยงานทุกระดับในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยอย่างจริงจัง ทั้งการแจกจ่ายถุงยังชีพ การดูแลกลุ่มเปราะบาง การวางแผนฟื้นฟูและจัดสรรงบประมาณเพื่อเยียวยาในระยะยาว ขณะเดียวกันยังเป็นเวทีรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะโดยตรงจากประชาชน เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงการบริหารจัดการภัยพิบัติและเยียวยาให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

“ขอมาให้กำลังใจให้ทุกคนและหวังเป็นอย่างยิ่งวันนี้ได้พบปะกันจะมีกำลังใจกันมากขึ้นและหวังว่าวิกฤตนี้จะผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว รัฐบาลเห็นความสำคัญของประชาชนเสมอ วันนี้มาให้กำลังใจมาพูดคุย ขอให้ทุกคนทำตัวสบายๆ ถ่ายรูปเจอกันได้ อย่างน้อยๆให้เป็นช่วงเวลาดีๆที่ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ดิฉันมาที่นี่ก็ได้กำลังใจจากพี่น้องประชาชนเช่นกันตั้งแต่ที่สนามบินแล้ว รู้สึกอบอุ่นใจมากๆขอมาเป็นกำลังใจและขอรับกำลังใจจากประชาชนด้วย” นายกรัฐมนตรีกล่าวในช่วงท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ทำเนียบรัฐบาล
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

วิกฤตสารหนูแม่น้ำกก-สาย รัฐบาลสั่งเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังด่วน! ชี้แจงประชาชนทันที

เชียงรายเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ หลังพบสารหนูเกินมาตรฐานในแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย

ปมปัญหาสารหนูสะสมในลำน้ำสำคัญของภาคเหนือขยายวงกว้าง รัฐบาลสั่งตั้งหน่วยเฝ้าระวังและสื่อสารข้อมูลต่อสาธารณะอย่างเร่งด่วน

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์การปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำสำคัญของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ทวีความน่ากังวลมากขึ้น หลังกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานผลตรวจสอบล่าสุดว่าค่าความเข้มข้นของสารหนูในน้ำและตะกอนดินบางจุดเกินมาตรฐานความปลอดภัย ส่งผลให้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

ประชุมด่วนระดับชาติเพื่อกำหนดแนวทางรับมือ

ภายใต้ข้อสั่งการดังกล่าว ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ เรียกประชุมด่วน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีการเชิญหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งในส่วนกลางและพื้นที่ พร้อมผู้แทนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เข้าร่วมหารือผ่านระบบออนไลน์ ณ ห้องประชุมกระทรวงฯ

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ซึ่งมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยเน้นการตอบสนองต่อความวิตกของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง 3 จุด สร้างระบบรับเรื่องร้องเรียนและสื่อสารเชิงรุก

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า มีข้อสรุปเบื้องต้นให้จัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม” จำนวน 3 จุด คือที่จังหวัดเชียงราย 2 จุด และจังหวัดเชียงใหม่ 1 จุด เพื่อทำหน้าที่ตรวจวัดคุณภาพน้ำ แจ้งผลผ่านป้ายแสดงผลในพื้นที่แบบ Real-time และเป็นจุดรับแจ้งปัญหาจากประชาชนในกรณีพบความผิดปกติหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์จะประกอบด้วยผู้แทนจากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงสาธารณสุข และฝ่ายปกครองท้องถิ่น โดยกำหนดให้ศูนย์ฯ ต้องสามารถดำเนินงานได้จริงภายในเวลาอันใกล้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดความตื่นตระหนกของชุมชน

เร่งสร้างความเข้าใจผ่านการสื่อสารแบบมืออาชีพ

อีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่กรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายคือ การจัดทำ “ชุดข้อมูลอธิบายผลตรวจ” โดยร่วมมือกับกรมอนามัย เพื่อแจกแจงว่า ค่าสารหนูที่ตรวจพบในน้ำและตะกอนดินแต่ละระดับ ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ การใช้น้ำ และกิจกรรมต่าง ๆ ของประชาชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ข้อมูลชุดนี้จะเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมถึงการแถลงข่าวกรณีที่สังคมเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยกำหนดให้กรมควบคุมมลพิษเป็น “หน่วยงานหลักในการสื่อสาร” เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพของข้อมูล และลดช่องว่างความเข้าใจระหว่างภาครัฐกับประชาชน

วางมาตรการดักตะกอนเร่งด่วนในแม่น้ำต้นน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน

ในด้านมาตรการเชิงเทคนิค กระทรวงฯ มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำเร่งออกแบบและติดตั้ง “ฝายดักตะกอน” ในจุดที่มีสารหนูปนเปื้อนสูง โดยเฉพาะบริเวณต้นแม่น้ำกก ณ ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดที่น้ำไหลเข้าจากฝั่งประเทศเมียนมาเข้าสู่ประเทศไทย

ทั้งนี้ ได้มีการประสานงานเบื้องต้นกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ซึ่งเคยมีการศึกษารูปแบบฝายดักตะกอนเพื่อใช้ข้อมูลร่วมวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำข้ามแดนที่ไหลผ่านชายแดนไทย-เมียนมา ณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย การติดตั้งฝายดักตะกอนจะต้องพิจารณาร่วมกับหน่วยงานของจังหวัดเชียงราย และอาจต้องเจรจาในระดับระหว่างประเทศ เนื่องจากลักษณะของแม่น้ำที่มีอธิปไตยร่วมในบางช่วง

บทสรุปและบทวิเคราะห์

เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนของผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดน (Transboundary Pollution) ที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพประชาชนและระบบนิเวศในพื้นที่รับน้ำของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ

การจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังในระดับพื้นที่ การสื่อสารเชิงรุก และการออกแบบระบบดักตะกอนแบบมีหลักฐานทางวิชาการรองรับ ถือเป็นก้าวสำคัญในการบริหารจัดการวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาค และเป็นบทเรียนสำคัญในการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้การสื่อสารและการแก้ไขปัญหามีความรวดเร็ว ตรงจุด และยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังอยู่ที่การประสานงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในกรณีที่แหล่งกำเนิดสารมลพิษอยู่ในพื้นที่นอกเขตอธิปไตยไทย ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในระดับรัฐมนตรีและความต่อเนื่องของนโยบายเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดซ้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • การประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน, 4 มิถุนายน 2568
  • สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรน้ำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

PM2.5 วาระแห่งชาติ นายกฯ เร่งทุกฝ่ายแก้ปัญหา

นายกรัฐมนตรีติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ย้ำบูรณาการทุกหน่วยงาน คุมเข้มการเผา พร้อมสั่งเตรียมแผนงานรองรับปีหน้า

กรุงเทพฯ, 19 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตลอดจนปลัดกระทรวง อธิบดีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมประชุม

นายกฯ สั่งเข้มมาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ทุกระดับ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้รับฟังรายงานจากนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ โดยระบุว่า รัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ผ่านมาตรการบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้สถานการณ์ฝุ่นละอองในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังการลักลอบเผาป่า ซึ่งอาจทำให้ปัญหากลับมารุนแรงขึ้น โดยต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานภาครัฐและระดับพื้นที่

นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมแผนงานเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นละอองในปีหน้า รวมถึงต้องขับเคลื่อนการบังคับใช้มาตรการอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่สำคัญ

สั่งคุมเข้มการเผาในพื้นที่เกษตร – ดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนอย่างจริงจัง

นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศให้เร่งควบคุมการลักลอบเผาในพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พบจุดความร้อน (Hotspot) มากที่สุด พร้อมสั่งให้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับผู้กระทำผิด

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ติดตามสถานการณ์และรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ พร้อมให้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งประสานงานกับกองทัพบกและกองทัพอากาศ เพื่อสนับสนุนเครื่องมืออากาศยานในการดับไฟป่าและเฝ้าระวังการลักลอบเผา

ในส่วนของการป้องกันปัญหาฝุ่นจากภาคอุตสาหกรรม นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ กระทรวงอุตสาหกรรม ควบคุมมลพิษจากโรงงาน พร้อมกำชับให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รณรงค์ลดการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและส่งเสริมให้เกษตรกรใช้วิธีการไถกลบแทน

รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเครื่องมือและมาตรการเพิ่มเติมในปีหน้า

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในปีหน้า โดยขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลและเสนอแผนงานที่จำเป็น เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปีนี้เราอาจมีข้อจำกัดหลายด้าน แต่ปีหน้าเราจะต้องทำให้ดีขึ้น เพื่อให้สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ลดความรุนแรงลง และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า รัฐบาลมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศหารือเพื่อนบ้าน ร่วมแก้ปัญหาฝุ่นข้ามแดน

เนื่องจากปัญหาฝุ่น PM2.5 มีสาเหตุจากไฟป่าและการเผาในประเทศเพื่อนบ้านด้วย นายกรัฐมนตรีจึงมอบหมายให้ กระทรวงการต่างประเทศ ประสานงานกับรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ลาว และกัมพูชา เพื่อหารือแนวทางป้องกันการเผาข้ามแดน รวมถึงจัดทำข้อตกลงร่วมกันในการลดปัญหาฝุ่นละอองในระดับภูมิภาค

นายกฯ รับข้อเสนอ กทม. เสริมมาตรการลดฝุ่นในเมือง

สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นศูนย์กลางของปัญหาฝุ่นละอองจากภาคขนส่งและอุตสาหกรรม นายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอจาก ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งรวมถึงการเพิ่มจุดตรวจวัดค่าฝุ่น การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง และการเข้มงวดการตรวจสอบรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเกินค่ามาตรฐาน โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่าจะนำข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาและหารือเพิ่มเติมในการประชุมครั้งต่อไป

สรุปแนวทางปฏิบัติและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี

  1. ควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมอย่างจริงจัง บังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน
  2. ประสานความร่วมมือกับกองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมไฟป่า
  3. ควบคุมการปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมและขนส่ง
  4. สนับสนุนเครื่องมือและงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาในปีหน้า
  5. ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อป้องกันปัญหาฝุ่นข้ามแดน
  6. รับข้อเสนอจากกรุงเทพมหานครเพื่อเสริมมาตรการลดฝุ่นในเขตเมือง

การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรการระยะยาวที่รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน โดยนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้ประชาชนได้รับอากาศที่สะอาดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทุกหน่วยงานต้องทำงานเชิงรุก อย่ารอให้ปัญหารุนแรงแล้วค่อยแก้ไข เราต้องเตรียมการล่วงหน้า และป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ” นายกรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้าย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกฯ มอบบัตรประชาชน 72 ชาติพันธุ์ เชียงราย ลดขั้นตอนเหลือ 5 วัน

นายกรัฐมนตรีมอบบัตรประชาชนให้กลุ่มชาติพันธุ์ 72 ราย ชูความสำเร็จในการเร่งกระบวนการลดปัญหาสถานะทางทะเบียน

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ GMS เชียงราย ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย เพื่อเป็นประธานในพิธีมอบบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่ตัวแทนบุคคลที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์จำนวน 72 ราย โดยมีประชาชนเข้าร่วมเป็นสักขีพยานกว่า 2,000 คน

ในงานนี้มีผู้บริหารระดับสูงของจังหวัดเชียงรายเข้าร่วม ได้แก่ นายประเสริฐ จิตพลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย รวมถึงผู้แทนจากองค์การสหประชาชาติ เช่น UNHCR และองค์การยูนิเซฟ ที่ให้การสนับสนุนการจัดงานครั้งนี้ด้วย

นโยบายให้สัญชาติ: ความหวังของกลุ่มชาติพันธุ์

นายกรัฐมนตรีกล่าวในพิธีว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสถานะทางทะเบียนของกลุ่มชาติพันธุ์และผู้ที่ไม่มีบัตรประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มดำเนินการสำรวจและขึ้นทะเบียนกลุ่มเป้าหมายมาตั้งแต่ปี 2527 ตามมติคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญ เช่น บุคคลต้องมีชื่อในทะเบียนบ้าน มีเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก พำนักอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 15 ปี และไม่มีประวัติอาชญากรรมร้ายแรง

“วันนี้เป็นก้าวสำคัญที่พี่น้องชาติพันธุ์ทั้ง 72 คน ได้รับบัตรประชาชน และขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่รอคอยมานาน รัฐบาลจะยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหานี้อย่างต่อเนื่อง และจะจัดสรรทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในทุกด้าน” น.ส.แพทองธารกล่าว

การลดขั้นตอนการขอสัญชาติ: ความเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้

ในอดีต กระบวนการขอสัญชาติและบัตรประชาชนของผู้ที่ไม่ได้เกิดในประเทศไทยใช้เวลานานถึง 270 วัน ขณะที่ผู้ที่เกิดในประเทศไทยต้องรอประมาณ 180 วัน แต่ปัจจุบัน คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักเกณฑ์ใหม่ที่ลดระยะเวลาดำเนินการเหลือเพียง 5 วัน เพื่อสร้างความหวังให้กับกลุ่มชาติพันธุ์และลดความซับซ้อนของกระบวนการ

“มาตรการใหม่นี้ไม่ได้ลดเพียงขั้นตอน แต่ยังเพิ่มกลไกตรวจสอบความปลอดภัย เพื่อให้กระบวนการเป็นธรรมและโปร่งใสมากขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าวเสริม

บรรยากาศในงาน: ความหวังและความสุขของผู้ได้รับบัตร

บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้นของกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับบัตรประชาชนครั้งแรก ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับบัตรในครั้งนี้มาจากหลายเผ่า เช่น ไทใหญ่ อาข่า ลาหู่ และลีซู พวกเขาแสดงความขอบคุณต่อรัฐบาลที่ช่วยให้พวกเขาได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานในฐานะพลเมืองไทย

หนึ่งในตัวแทนผู้ได้รับบัตรกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันที่รอคอยมานาน ผมดีใจที่ในที่สุดก็ได้รับบัตรประชาชน เพราะมันหมายถึงความเท่าเทียมในฐานะคนไทยและอนาคตที่มั่นคงขึ้น”

ปัญหาที่รอการแก้ไข: เป้าหมายต่อไปของรัฐบาล

แม้จะมีความคืบหน้าในครั้งนี้ แต่ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์อีกเกือบ 500,000 คน ที่ยังไม่ได้รับบัตรประชาชนและยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะเร่งรัดการแก้ไขปัญหานี้ โดยเน้นการทำงานร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“รัฐบาลจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับสิทธิที่พึงมี และจะเร่งผลักดันให้ปัญหานี้หมดไปโดยเร็วที่สุด” น.ส.แพทองธารกล่าว

ความสำคัญของการให้สัญชาติ

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวปิดท้ายว่า การมอบสัญชาติไทยและบัตรประชาชนไม่ได้เป็นเพียงการให้สิทธิขั้นพื้นฐานแก่บุคคล แต่ยังส่งเสริมให้พวกเขามีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศในฐานะประชาชนที่มีความภาคภูมิใจ

“สัญชาติไทยคือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ ทั้งในด้านการศึกษา การทำงาน และการมีส่วนร่วมในชุมชน เราจะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศนี้” นายกรัฐมนตรีกล่าวอย่างมั่นใจ

ในอนาคต การดำเนินงานด้านนี้ยังต้องการการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและความเท่าเทียมในสังคมไทยอย่างแท้จริง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIAL & LIFESTYLE

นายกฯ ตรวจพื้นที่น้ำท่วมแม่สาย จ.เชียงราย พร้อมทีมแพทย์ช่วยประชาชน”

 

เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2567 เวลา 07.00 – 12.00 น. ณ โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช จังหวัดเชียงราย พ.อ. กิติพันธ์ เฮงสนั่นกูล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช ร่วมกับหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (มทบ.37) และหน่วยงานในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ให้การต้อนรับ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในโอกาสเดินทางมาตรวจเยี่ยมการฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายหมู่บ้านและพื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง

น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะผู้บริหารระดับสูงและทีมงาน ได้เดินทางเข้าตรวจสอบสถานการณ์ในพื้นที่โดยละเอียด เพื่อประเมินความเสียหายและวางแผนการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน โดยมีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันในการให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาฉุกเฉินเพื่อความปลอดภัยของประชาชนเป็นอันดับแรก โดยเน้นการอพยพผู้ประสบภัยออกจากพื้นที่เสี่ยง และจัดหาสถานที่พักพิงชั่วคราวที่มีความปลอดภัย นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างละเอียด ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ถนน สะพาน ระบบสาธารณูปโภค และพื้นที่การเกษตร เพื่อให้การฟื้นฟูดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและครอบคลุมในทุกด้าน

ในระหว่างการตรวจเยี่ยม น.ส. แพทองธาร ยังได้พบปะพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานช่วยเหลือการฟื้นฟู พร้อมทั้งสอบถามถึงความต้องการเร่งด่วนและปัญหาต่าง ๆ ที่พบระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด นอกจากนี้ โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราชยังได้จัดชุดแพทย์เคลื่อนที่ออกให้บริการตรวจสุขภาพและให้คำแนะนำด้านสุขภาพแก่ประชาชนในพื้นที่ประสบภัย รวมทั้งเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครผู้ปฏิบัติงานช่วยเหลือการฟื้นฟู เพื่อดูแลสุขภาพและป้องกันการเจ็บป่วยที่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่มีสภาพอากาศแปรปรวนและภาวะน้ำท่วมขัง

โดยทีมแพทย์ได้เน้นการตรวจสุขภาพเบื้องต้น เช่น การตรวจความดันโลหิต การตรวจหาโรคทางเดินหายใจ และโรคผิวหนัง รวมถึงการแจกจ่ายยาสามัญประจำบ้านและอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่าง ๆ เช่น หน้ากากอนามัย และเจลล้างมือ เพื่อป้องกันโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นหลังน้ำท่วม เช่น โรคฉี่หนู โรคตาแดง และโรคน้ำกัดเท้า นอกจากนี้ยังได้ให้ความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในช่วงหลังน้ำลด เพื่อให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพของตนเองและครอบครัวได้อย่างถูกวิธี

น.ส. แพทองธาร ชินวัตร ได้กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการฟื้นฟูความเสียหายจากอุทกภัยในครั้งนี้อย่างเต็มที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติในเร็ววัน โดยได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดทำแผนการฟื้นฟูระยะยาว เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในอนาคต โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น อ.แม่สาย และพื้นที่ลุ่มน้ำอื่น ๆ ในจังหวัดเชียงราย และใกล้เคียง

นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชนท้องถิ่น ในการฟื้นฟูและป้องกันการเกิดอุทกภัยในระยะยาว โดยการจัดทำระบบการเตือนภัยล่วงหน้า การจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่ม และการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการรับมือกับภัยพิบัติต่าง ๆ เพื่อให้สามารถปรับตัวและฟื้นฟูได้อย่างยั่งยืน

สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมใน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ขณะนี้ยังคงมีบางพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังและต้องการความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมทันที เพื่อให้การฟื้นฟูดำเนินไปอย่างรวดเร็วและครอบคลุมทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ในขณะเดียวกันประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงก็ได้มีการร่วมมือกันให้ความช่วยเหลือผ่านการบริจาคสิ่งของและเงินสนับสนุน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงเวลาวิกฤตนี้

การลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมครั้งนี้ของ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร ไม่เพียงแต่แสดงถึงความห่วงใยของรัฐบาลที่มีต่อประชาชน แต่ยังเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ปฏิบัติงานทุกคนที่ทุ่มเทและเสียสละในการช่วยเหลือฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวย้ำว่า “เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” และพร้อมจะให้ความช่วยเหลือประชาชนในทุกพื้นที่อย่างเต็มที่ เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ปภ. จับมือ กสทช. ยกระดับแจ้งเตือนภัยผ่าน SMS แบบเจาะจงพื้นที่

 

เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยต่อสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นหลายพื้นที่ จึงได้กำชับให้เร่งยกระดับการแจ้งเตือนประชาชนรับมือภัยพิบัติ เพื่อลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ตนจึงได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อยกระดับแจ้งเตือนภัยประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยระดับตำบล/หมู่บ้าน ให้ครบทุกมิติ ทั้งวัน เวลา สถานที่ ระดับความรุนแรง รวมถึงแนะนำการปฏิบัติตัวให้ปลอดภัย เพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที โดยมีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เป็นผู้จัดทำข้อมูล และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิเช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจสังคม กรมอุตุนิยมวิทยา สำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) สนับสนุน และจัดส่งให้ทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช) ประสานไปยังผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทั้ง AIS True และบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) วางแนวทางการส่งข้อความการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าผ่านโทรศัพท์มือถือ (SMS)

โดยนายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยถึงความคืบหน้าว่า ทันทีที่ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเป็นหน่วยงานเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ ได้รับข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลและส่งข้อความแจ้งเตือนภัยให้ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ เพื่อทำการส่ง SMS ไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย โดยมีการแจ้งเตือนภัยผ่านระบบข้อความสั้น (SMS) 2 รูปแบบ ทั้งการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า 12- 24 ชั่วโมง และการแจ้งเตือนภัยแบบฉุกเฉิน 6 -12 ชั่วโมง โดยเจ้าหน้าที่จะใช้ระดับการแจ้งเตือนภัยตามที่แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติกำหนด (5 ระดับ) ภายหลังการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นที่และสถานการณ์ความเสี่ยงภัยแล้วจะทำการส่งข้อความตามเกณฑ์ตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป ดังนี้ 

1. ระดับ 3 (สีเหลือง) ให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์และปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และเตรียมพร้อมอพยพกลุ่มเปราะบาง 
2. ระดับ 4 (สีส้ม) ให้อพยพและปฏิบัติตามคำแนะนำของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ให้อพยพกลุ่มเปราะบางออกจากพื้นที่น้ำท่วม และขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูง 
และ 3. ระดับ 5 (สีแดง) ต้องอพยพและปฏิบัติตามข้อสั่งการทันที ซึ่งการแจ้งเตือนภัยผ่านข้อความ SMS ขณะนี้พร้อมดำเนินการได้ทันที

ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง หากมีประกาศแจ้งเตือนภัยหรือได้รับข้อความ SMS แจ้งเตือนภัยจาก ปภ. ขอให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ที่สายด่วนสำนักนายกรัฐมนตรี 1111 สายด่วนมหาดไทย 1784 และ 1567 สายด่วนนิรภัย 1784 และทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้จากกรมประชาสัมพันธ์ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ NBT และออนไลน์ทางเพจ NBT Connext

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“นิด้าโพล” เผยรัฐบาล ‘นายกฯอิ๊งค์’ จะไม่บริหารโดยปราศจากทักษิณ

 

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2567 ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง บทบาทอดีตนายกฯ ทักษิณ ในรัฐบาลอุ๊งอิ๊งค์” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 20-21 สิงหาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับบทบาททางการเมืองของคุณทักษิณ ชินวัตร ในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

 

                จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความเป็นไปได้ที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร จะบริหารประเทศโดยปราศจากคุณทักษิณ ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 59.01 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย รองลงมา ร้อยละ 15.42 ระบุว่า ไม่น่าเป็นไปได้ ร้อยละ 14.96 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ ร้อยละ 9.77 ระบุว่า เป็นไปได้แน่นอน และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

                ด้านบทบาทที่คุณทักษิณ ชินวัตร ควรมีในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 37.79 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก รองลงมา ร้อยละ 28.85 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร ร้อยละ 26.95 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้นายกฯ แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 6.03 ระบุว่า ดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

 

                ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงบทบาทของ คุณทักษิณ ชินวัตร ในความเป็นจริงที่ประชาชนจะได้เห็นในรัฐบาลนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตรพบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 39.39 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธารรองลงมา ร้อยละ 31.91 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก ร้อยละ 18.70 ระบุว่า ไม่ดำรงตำแหน่งใด ๆ ไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้นายกฯ แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 9.08 ระบุว่าดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร และร้อยละ 0.92 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ


                เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 8.55 มีภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพฯ ร้อยละ 18.63 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลาง ร้อยละ 17.86 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคเหนือ ร้อยละ 33.35 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 13.82 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคใต้ และร้อยละ 7.79 มีภูมิลำเนาอยู่ภาคตะวันออก ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 96.26 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 2.75 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.99 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 35.42 สถานภาพโสด ร้อยละ 62.75 สมรส และร้อยละ 1.83 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 12.83 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 27.63 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 11.22 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 39.16 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 9.16 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 12.90 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 16.34 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 23.83 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 6.79 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 14.50 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 20.53 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.11 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

 

                ตัวอย่าง ร้อยละ 17.71 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 13.74 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 29.54 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 14.20 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 6.95 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 8.32 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 9.54 ไม่ระบุรายได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

รัฐบาลเล็งใช้เวทีแม่โขง-ล้านช้าง ผลักดันกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยย้ำว่า เป็นวาระที่สำคัญ พร้อมได้มอบหมายให้นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ประสานร่วมกับประเทศเพื่อบ้าน เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเปิดเผยว่า ตนเองมีกำหนดการเข้าร่วมประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC ครั้งที่ 9 ด้วยตนเอง ระหว่างวันที่ 15-16 สิงหาคมนี้ ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยจะเน้นย้ำความมุ่งมั่นใจการปราบปรามปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติร่วมกัน

ขณะที่ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ย้ำว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค เป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งการลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไปได้ เพราะจำเป็นต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ

ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลของกัมพูชา, สปป.ลาว, จีน และอินเดีย ต่างให้ความสำคัญ และคำมั่นที่จะทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น ไทยในฐานะประเทศศูนย์กลางในลุ่มน้ำโขง จึงพร้อมผลักดันวาระดังกล่าวร่วมกับประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ที่กำลังจะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่

นายมาริษยังขอบคุณฝ่าย สปป.ลาว โดยเฉพาะนายทองจัน มะนีไซ เจ้าแขวงบ่อแก้วคนใหม่ ที่ได้ประกาศกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุกกิจการภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวในทุกระดับ พร้อมมั่นใจว่า ฝ่ายลาว ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมาก และยืนยันว่า ทางการไทย ก็พร้อมร่วมมือกับ สปป.ลาวในระดับพื้นที่ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ ทั้งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีกำหนดเข้าร่วมกำหนดการในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong-Lancang Cooperation : MLC) ครั้งที่ 9 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในวันศุกร์ที่ 16 สิงหาคมนี้ ที่โรงแรมแมริออท เชียงใหม่ โดยนายกรัฐมนตรี จะการกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “Towards Safer and Cleaner Mekong Lancang” และจะมีการแถลงข่าวร่วมกัน (Joint Press Conference)

หลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 9 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย และนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน

สำหรับกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และจีน ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือที่ริเริ่มโดยประเทศไทย ในปี 2555 เพื่อพัฒนากรอบความร่วมมือในเขตเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เน้นให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมกระบวนการพัฒนาอาเซียน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวสื

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นายกฯ สั่งติดตามการค้าชายแดน 6 เดือน ส่งออก 534,316 ล้านบาท

 

เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการหน่วยงานเกี่ยวข้อง ดำเนินนโยบายระหว่างประเทศด้วยความเป็นมิตร ส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกันในทุกระดับ เพื่อเพิ่มตัวเลขมูลค่าการค้าชายแดน-ผ่านแดน โดยให้ติดตามสถานการณ์การค้าอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าเป็นตลาดที่สำคัญของการส่งออกสินค้าของไทย เพื่อต่อยอดเพิ่มพูนประโยชน์ทางด้านการค้าระหว่างประเทศกับเพื่อนบ้านและประเทศคู่ค้าและความสัมพันธ์ที่ดีของประชาชนในพื้นที่ และเพิ่มมูลค่าการค้าให้เศรษฐกิจไทย

โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดน-ผ่านแดน ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งสัญญาณบวก ขยายตัวที่ 3.6% จึงสนับสนุนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าชายแดนในงานมหกรรมการค้าชายแดนปี 2567 กระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดน สร้างพันธมิตรทางการค้าระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน และประเทศคู่ค้า สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจไทย

นายชัยกล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินนโยบายตามแนวทางของนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ ติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนและผ่านแดนอย่างใกล้ชิด จากการดำเนินงานที่ผ่านมา ในช่วง 6 เดือนแรก ปี 2567 ที่มีสัญญาณที่ดี อยู่ในแดนบวก มีมูลค่าการค้ารวม 912,283 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยไทยส่งออก 534,316 ล้านบาท ส่วนมูลค่าการนำเข้าของไทยอยู่ที่ 377,968 ล้านบาท โดยที่ไทยได้ดุลการค้า 156,348 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ในช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการค้ารวม 493,470 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้าสูงสุดตามลำดับ ได้แก่ ลาว มีมูลค่าสูงสุด 150,697 ล้านบาท มาเลเซีย 149,361 ล้านบาท เมียนมา 106,630 ล้านบาท และกัมพูชา 86,783 ล้านบาท ซึ่งจากมูลค่าการค้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็นการส่งออก 305,452 ล้านบาท ในส่วนของการนำเข้าอยู่ที่ 188,019 ล้านบาท ทำให้ไทยได้ดุลการค้ารวม 117,433 ล้านบาท จากสินค้าส่งออกชายแดนที่สำคัญ ได้แก่ น้ำมันดีเซล 23,109 ล้านบาท น้ำมันสำเร็จรูปอื่นๆ 10,432 ล้านบาท และน้ำยางข้น 8,221 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าการค้าผ่านแดนไปประเทศที่สาม ช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่าการค้ารวม 418,813 ล้านบาท โดยการค้าผ่านแดนไปจีนมีมูลค่าสูงสุดที่ 244,175 ล้านบาท สิงคโปร์ 53,137 ล้านบาท และเวียดนาม 36,269 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งจากมูลค่าการค้ารวมทั้งหมด แบ่งเป็นการส่งออก 228,864 ล้านบาท และการนำเข้า 189,949 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.0% โดยสินค้าส่งออกผ่านแดนสำคัญ ได้แก่ ทุเรียนสด 67,601 ล้านบาท ฮาร์ด ดิสก์ ไดรฟ์ 40,957 ล้านบาท และยางแท่ง TSNR 19,500 ล้านบาท

นายชัยกล่าวว่า มูลค่าทางการค้าเพิ่มมากขึ้น เป็นข้อพิสูจน์ถึงการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดกิจกรรม ส่งเสริมการค้าชายแดน-ผ่านแดน งานมหกรรมการค้าชายแดนปี 2567 ระหว่างวันที่ 15-18 ส.ค.ที่ จ.สงขลา บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการค้าภายใน ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เข้าร่วม โดยจัดแสดงและจำหน่ายสินค้า ประชุมติดตามสถานการณ์การค้าชายแดน เจรจาจับคู่ธุรกิจออนไลน์ และสัมมนาให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าชายแดน

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

รัฐบาลเดินหน้าฟื้นฟูประเทศ 3 เดือน ลดรายจ่าย กระตุ้นเศรษฐกิจไทย

 

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหา เสริมขีดความสามารถให้กับประชาชนผ่านการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่าในระหว่างที่รัฐบาลกำลังดำเนินการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ในช่วงไตรมาส 4 โครงการนี้จะลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เพิ่มช่องทางการซื้อขาย ซึ่งเป็นการบรรเทาค่าใช้จ่ายที่ประชาชนจับต้องได้ในช่วงเวลานี้ จัดทำ 3 โครงการร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชน


     นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ได้จัดทำโครงการฯ ด้วยแนวความคิดตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือแบ่งเบา ผู้ประกอบการรายเล็ก เติมเงินในกระเป๋าให้กับประชาชน และลดภาระค่าครองชีพครั้งใหญ่ กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยจะขับเคลื่อนโครงการฯ กำหนดระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 20 สิงหาคม – 20 พฤศจิกายน 2567 แบ่งเป็น 3 โครงการ ดังนี้ 


 1. ลดต้นทุนผู้ประกอบการรายเล็ก จะร่วมกับภาครัฐทุกกระทรวง ทำการลดค่าเช่าร้านค้า ค่าเช่าแผงตลาด กว่า 30,000 แผง โดยมีตลาดที่อยู่ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และตลาดในสังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่สำคัญ รวมทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์ เจรจากับกระทรวงมหาดไทยใช้ศาลากลางจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์ประสานงาน มีพาณิชย์จังหวัดขับเคลื่อน และใช้สถานที่ท่องเที่ยว ตลาดใหญ่ ต่างๆ ทั่วประเทศ กระทรวงกลาโหมมีพื้นที่ 3,000 กว่าแห่งที่สามารถเข้าไปใช้ได้ รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวขายสินค้าเป็นกรณีพิเศษกระทรวงสาธารณสุขจะใช้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ลงพื้นที่ประสานงานท้องที่ และสำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีรถธงฟ้า จะส่งเสริมให้ประชาชนขายผ่านรถพุ่มพวง โดยจะส่งสินค้า อาทิ หมู ไก่ น้ำตาล น้ำมัน สินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน


 2. จัดตลาดนัดพาณิชย์ทั่วประเทศ กำหนดไว้ 4 รูปแบบ คือ 
1) ตลาดพาณิชย์ ให้ผู้ประกอบการรายเล็ก โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัด 76 จังหวัด จะร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนจัดหาพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันในราคาถูก อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ทั้ง 76 จังหวัด ระยะเวลา 3 เดือน 
2) ตลาดนัดพาณิชย์บวกการจำหน่ายสินค้าธงฟ้า เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายเล็กได้ขายสินค้าและให้ผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าราคาถูก กำหนดจัดในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ศาลากลางจังหวัด สถานที่ท่องเที่ยว นิคมอุตสาหกรรม ปั๊มน้ำมัน มหาวิทยาลัย ลานหน้าห้างค้าส่ง-ปลีก ลานหน้าห้างท้องถิ่น หมู่บ้านจัดสรร 
3) ตลาดพาณิชย์ บวกธงฟ้า และหอการค้าแฟร์ จะเป็นงานใหญ่ ลดทั้งจังหวัด 
4) ตลาดพาณิชย์เคลื่อนที่ บวกรถโมบายธงฟ้า จะส่งเข้าถึงพื้นที่ชุมชนห่างไกลทั่วประเทศ


    3. ร่วมมือผู้ผลิตและผู้ค้าส่งรายใหญ่ จัดมหกรรมลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ ภายใต้ Campaign “ลดกระหน่ำทั้งประเทศ” และในช่วงเทศกาล โดยมีผู้ประกอบการเอกชนพร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการส่วนนี้กับรัฐบาล 
ประเมินลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนได้ 7,000 ล้านบาท


    หลังจากวันที่ 20 สิงหาคม 2567 จะเปิดพร้อมกันทั่วประเทศ ทุกจังหวัด เป็นความร่วมมือกันของภาครัฐ กระทรวงต่างๆ ภาคเอกชนและสมาคมต่างๆ สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย กลุ่มบริษัทผู้ผลิตสินค้า ยูนิลิเวอร์ ไทยเบฟเวอเรจ เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยให้ไม่กระทบกับร้านค้ารายย่อย และจะดึงร้านค้ารายย่อยให้มีส่วนร่วมในโครงการฯ “ประเมินขั้นต้นว่าสามารถลดค่าใช้จ่ายให้พี่น้องประชาชนได้ประมาณ 7,000 ล้านบาท จะเป็นพื้นฐานก่อนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตออก ให้ประชาชนสามารถเพิ่มการลงทุน ค้าขายได้ทั่วประเทศ ถือเป็นมติให้ดำเนินการและกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานทั้งหมด” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News