Categories
NEWS UPDATE

ททท.เผยข่าวดี นักท่องเที่ยวมาเลเซียพุ่ง แซงจีนนำตลาดไทย

ททท. เผยตลาดท่องเที่ยวสัญญาณดี นักท่องเที่ยวยุโรป-ตะวันออกกลางเติบโตสูง มาเลเซียแซงจีน ขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งต่างชาติเที่ยวไทย

ประเทศไทย, 15 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยส่งสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติในตลาดศักยภาพสูง ล่าสุด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานสถิติและแนวโน้มเชิงบวก ทั้งในด้านจำนวนและคุณภาพของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยช่วงต้นปี 2568 ถึงเดือนมิถุนายน โดยพบว่าตลาดนักท่องเที่ยวจากยุโรปและตะวันออกกลาง มีอัตราเติบโตอย่างโดดเด่น สะท้อนโอกาสและศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในช่วง Green Season

มาเลเซียแซงจีน ขึ้นแท่นนักท่องเที่ยวเบอร์หนึ่ง

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยถึงแนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงวันที่ 1-9 มิถุนายน 2568 ว่า ตลาดมาเลเซียได้เปลี่ยนสถานะเป็นประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทยสูงสุด แซงหน้าตลาดจีนที่เคยครองอันดับหนึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยช่วงต้นเดือนมิถุนายน นักท่องเที่ยวมาเลเซียเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นถึง 13.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว สะท้อนศักยภาพของการเดินทางข้ามแดนและความเชื่อมั่นในแหล่งท่องเที่ยวไทย

ยุโรปและตะวันออกกลาง “ขาขึ้น” ตลาดคุณภาพกำลังซื้อสูง

นอกจากตลาดเอเชียใกล้บ้านแล้ว ททท.ยังเปิดเผยสัญญาณบวกจากตลาดยุโรป ซึ่งโดยรวมเติบโตขึ้น 13% จากปีก่อน โดยเฉพาะตลาดเยอรมนีที่มีการขยายตัวสูงถึง 71% อิตาลีโต 28% สวิตเซอร์แลนด์ 24% เช่นเดียวกับตลาดตะวันออกกลางที่กำลังเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว พบการเติบโตถึง 55% โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย (+61%) โอมาน (+54%) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (+51%) อิสราเอล (+32.49%) รวมถึงตลาดฟิลิปปินส์ (+24%) ซึ่งถือเป็นตลาดดาวรุ่งที่น่าจับตา

สถิติยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 15 ล้านคน

ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 9 มิถุนายน 2568 ระบุว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว 15,543,344 คน โดยในจำนวนนี้ ตลาดหลักที่มีการเติบโตสูงต่อเนื่อง ได้แก่

  • อินเดีย 1,042,304 คน (+15.4%)
  • รัสเซีย 983,579 คน (+12.96%)
  • สหราชอาณาจักร 531,030 คน (+19.3%)
  • สหรัฐอเมริกา 492,659 คน (+10.2%)
  • เยอรมนี 476,356 คน (+11.82%)
  • ญี่ปุ่น 462,647 คน (+9.94%)
  • ฝรั่งเศส 429,516 คน (+19.27%)
  • ออสเตรเลีย 350,851 คน (+14.67%)

สำหรับกลุ่มตลาดศักยภาพขนาดกลางที่เติบโตอย่างโดดเด่น เช่น

  • อิสราเอล 165,602 คน (+74.65%)
  • อิตาลี 136,209 คน (+28.45%)
  • แคนาดา 134,095 คน (+7.12%)
  • โปแลนด์ 120,944 คน (+31.07%)
  • เนเธอร์แลนด์ 119,992 คน (+12.69%)
  • สวีเดน 117,434 คน (+10.47%)

ปัจจัยหนุนกระแส “เที่ยวไทย” ให้โตต่อเนื่อง

ความสำเร็จนี้สะท้อนจากการดำเนินนโยบายส่งเสริมตลาดท่องเที่ยวเชิงรุก ทั้งการกระจายตลาดออกนอกกลุ่มหลักเดิม การจัดแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยว Green Season การพัฒนาเส้นทางบินตรงใหม่ๆ และการขยายกิจกรรมและแหล่งท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ทั้งตลาดกำลังซื้อสูงและกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ นอกจากนี้ การเพิ่มความสะดวกในด้านวีซ่า มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม ตลอดจนความร่วมมือกับสายการบินและพันธมิตรในอุตสาหกรรม ได้ช่วยหนุนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยอย่างชัดเจน

จับตาตลาด “ขุมทอง” ใหม่ ดึงรายได้สู่เศรษฐกิจท่องเที่ยวไทย

ททท. มองว่า การเปลี่ยนแปลงของตลาดสำคัญ เช่น การที่มาเลเซียก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แทนจีน และตลาดยุโรป-ตะวันออกกลางเติบโตโดดเด่น จะเป็นโอกาสสำคัญในการกระจายรายได้สู่ภูมิภาคต่างๆ ของไทย โดยเฉพาะตลาดคุณภาพสูงที่เน้นการใช้จ่ายกับประสบการณ์พิเศษ กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

บทวิเคราะห์และแนวโน้มในอนาคต

จากการเติบโตของกลุ่มตลาดศักยภาพในยุโรปและตะวันออกกลาง ททท. ประเมินว่านโยบายการสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง และการรักษาความปลอดภัยควบคู่ไปกับมาตรการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง จะเป็นหัวใจในการรักษาแรงส่งของตลาดระยะยาว ขณะเดียวกันยังต้องปรับตัวรับความท้าทายจากตลาดจีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด และเฝ้าระวังความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลกอย่างใกล้ชิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
  • สำนักข่าวไทย
  • รายงานสถิติการท่องเที่ยว 2568 (อัปเดต 15 มิถุนายน 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

“เวียดนาม” แรงท่องเที่ยวพุ่ง ติดอันดับโลก แซงไทย

เวียดนาม ขึ้นแท่นจุดหมายท่องเที่ยวโลก ค้นหาพุ่งทะยานติดอันดับ 7

การท่องเที่ยวเวียดนามกระแสแรงต่อเนยื่อง

ในช่วงต้นปี 2568 กระแสการท่องเที่ยวเวียดนามกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยสถิติการค้นหาข้อมูลการเดินทางไปเวียดนามเพิ่มสูงขึ้นราว 10-25% จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้ประเทศเวียดนามทะยานขึ้นสู่อันดับที่ 7 ของประเทศที่ได้รับความสนใจด้านการท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก เป็นเพียงชาติเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติด 10 อันดับแรก และทิ้งห่างประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฟิลิปปินส์ (อันดับที่ 18), สิงคโปร์ (อันดับที่ 25), ไทย (อันดับที่ 36), อินโดนีเซีย (อันดับที่ 37) และมาเลเซีย (อันดับที่ 39)

10 เมืองยอดนิยม จุดหมายท่องเที่ยวระดับโลก

สำหรับเมืองท่องเที่ยวที่นักเดินทางสนใจมากที่สุดในเวียดนาม 10 อันดับแรกประกอบด้วย โฮจิมินห์, ฮานอย, ดานัง, ฟูก๊วก, นาตรัง, ฮอยอัน, หวุงเต่า, ดาลัต, ฟานเทียต และเว้ แต่ละเมืองล้วนมีจุดเด่นเฉพาะตัวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม เมืองที่น่าจับตามองเป็นพิเศษในปีนี้ ได้แก่ เมืองหวุงเต่า และนิญบิ่ญ ที่มีการค้นหาข้อมูลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 75% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่า นักท่องเที่ยวทั่วโลกเริ่มสนใจจุดหมายใหม่ๆ ในเวียดนามนอกเหนือจากเมืองหลักมากขึ้น

ตลาดนักท่องเที่ยวสหรัฐฯ ครองแชมป์สนใจเวียดนามมากสุด

ตลาดนักท่องเที่ยวที่ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเวียดนามสูงสุดในปีนี้ คือ สหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยอินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร ไต้หวัน มาเลเซีย และฮ่องกง ซึ่งล้วนเป็นตลาดสำคัญและมีศักยภาพสูงสำหรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยวเวียดนามในอนาคต

รูปแบบท่องเที่ยวหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ

ปัจจัยสำคอญที่ทำให้เวียดนามกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม คือ ความหลากหลายของรูปแบบการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวสามารถเลือกเดินทางไปสัมผัสประสบการณ์ต่างๆ ได้ตามความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่เน้นการเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมโบราณ การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและการท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงาม นอกจากนี้ เวียดนามยังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวใหม่ๆ เช่น การท่องเที่ยวเชิงเกษตร การเดินทางด้วยรถไฟแบบหรูหรา การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ตอบสนองกลุ่มเป้าหมายหลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหนุนการเติบโต

สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม เปิดเผยว่า รัฐบาลเวียดนามได้เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับและรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะระบบขนส่งที่ทันสมัย ครอบคลุมทั้งทางอากาศ ทางบก และทางทะเล ขณะเดียวกันสายการบินต่างๆ ได้เปิดเส้นทางบินตรงเชื่อมโยงเมืองสำคัญทั่วโลกกับเวียดนามมากขึ้น ทำให้การเดินทางสะดวกและรวดเร็ว ส่งผลบวกอย่างมากต่อภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศ

แคมเปญการตลาดกระตุ้นนักท่องเที่ยวโลก

ในส่วนของการตลาดและการประชาสัมพันธ์ เวียดนามได้ดำเนินแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้นในตลาดต่างประเทศ เป้าหมายหลักคือ การสร้างแบรนด์การท่องเที่ยวเวียดนามให้เป็นที่รู้จักและดึงดูดนักเดินทางจากทั่วโลก ผลลัพธ์จากแคมเปญนี้ปรากฏชัดเจนผ่านจำนวนการค้นหาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุเป้าหมาย

จากการเปิดเผยของสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งชาติเวียดนาม ช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 เวียดนามต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 7.67 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 23.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยตั้งเป้าหมายยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ 22-23 ล้านคน ภายในสิ้นปี 2568

บทวิเคราะห์และแนวโน้ม

จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและแนวโน้มที่แข็งแกร่งของการท่องเที่ยวเวียดนาม การที่เวียดนามขึ้นสู่อันดับ 7 ของโลก สะท้อนให้เห็นความสำเร็จของแผนยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการสร้างแบรนด์และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งผลให้เวียดนามสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ หากรัฐบาลเวียดนามยังคงเดินหน้าในแนวทางนี้อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าภายในปี 2570 เวียดนามมีโอกาสจะติดอันดับ Top 5 ของโลกในการเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมได้อย่างแน่นอน

สถิติอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนค้นหาข้อมูลการเดินทางไปเวียดนาม เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10-25% ในปี 2568 (ที่มา: Google Trends, 2025)
  • นักท่องเที่ยวต่างชาติเยือนเวียดนามเดือน ม.ค.-เม.ย. 2568 รวม 7.67 ล้านคน โต 23.8% (ที่มา: Vietnam National Administration of Tourism, VNAT, 2025)
  • อันดับความนิยมเวียดนามอันดับ 7 ของโลกด้านการท่องเที่ยว (ที่มา: ForwardKeys, 2025)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • Google Trends, 2025
  • Vietnam National Administration of Tourism, VNAT, 2025
  • ForwardKeys, 2025
  • vnexpress
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

ต่างชาติเที่ยวไทยน้อยลง เหตุราคาแพงขึ้น ร้านสายเขียวเยอะ

วิกฤตการท่องเที่ยวไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติร้องราคาแพง ระบบล้าหลัง และปัญหากัญชา กระทบภาพลักษณ์เชียงรายและจุดหมายอื่นๆ

เชียงราย, 30 เมษายน 2568 – อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของชาติ กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติแสดงความไม่พอใจต่อประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอย่างเชียงราย กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียและสื่อต่างๆ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาหลัก 4 ประการ ได้แก่ ราคาที่พุ่งสูงเกินเหตุ ระบบราคาสองมาตรฐาน ระบบการท่องเที่ยวที่ล้าหลัง และผลกระทบจากกลิ่นกัญชาที่แพร่กระจายในแหล่งท่องเที่ยว ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยว แต่ยังทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความรุ่งเรืองและความท้าทายของการท่องเที่ยวไทย

ประเทศไทยเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ “คุ้มค่า” ที่สุดในโลก ด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชายหาดที่สวยงาม อาหารรสเลิศ และการต้อนรับที่อบอุ่น จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดร่องขุ่น แม่น้ำโขง และชุมชนชาติพันธุ์ที่เต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม ได้กลายเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่แสวงหาประสบการณ์ที่แตกต่างจากเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างกรุงเทพฯ หรือภูเก็ต

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเริ่มเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะหลังจากการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 การเพิ่มขึ้นของราคาค่าบริการ ระบบที่ล้าสมัย และปัญหาใหม่ๆ เช่น การแพร่กระจายของกัญชาในที่สาธารณะ ได้จุดกระแส “คนต่างชาติไม่เที่ยวไทย” ซึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะจากโพสต์ของเพจ Bangkok Post Learning ที่มีชื่อว่า Thailand faces lower tourist numbers ซึ่งได้รับความคิดเห็นเกือบ 2,000 ข้อความ ส่วนใหญ่สะท้อนถึงความไม่พอใจต่อประสบการณ์การท่องเที่ยวในปัจจุบัน

สี่ปัญหาหลักที่ทำลายความน่าสนใจของการท่องเที่ยวไทย

จากการสำรวจของ กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งคัดเลือกความคิดเห็นประมาณ 800 ข้อความจากโพสต์ดังกล่าว และใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดกลุ่มปัญหา พบว่ามี 4 ปัญหาหลักที่นักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยเองแสดงความกังวล

  1. ราคาที่พุ่งสูงเกินเหตุ นักท่องเที่ยวจำนวนมากระบุว่า ประเทศไทยไม่ใช่จุดหมายที่ “คุ้มค่า” อีกต่อไป โดยเฉพาะราคาที่พักและอาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด นักท่องเที่ยวชาวยุโรปรายหนึ่งเล่าว่า โรงแรมที่เกาะสมุยที่เขาเคยพักในราคาคืนละ 2,000 บาทเมื่อ 5 ปีก่อน ขณะนี้มีราคาสูงถึง 6,000 บาทต่อคืน อีกคนระบุว่า ค่ารับประทานอาหารเย็นสำหรับสองคนในพัทยาสูงถึง 7,000 บาท โดยไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ ค่าตั๋วเครื่องบินก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สร้างความกังวล นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันกล่าวว่า เขาเคยจ่ายเพียง 300 ดอลลาร์สำหรับตั๋วไปไทย แต่ปัจจุบันต้องจ่ายเกือบ 1,000 ดอลลาร์ ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษต้องจ่ายถึง 1,200 ปอนด์ (ประมาณ 54,000 บาท) สำหรับตั๋วเครื่องบินในปีนี้ คนไทยเองก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน ชายไทยรายหนึ่งระบุว่า “แม้แต่คนไทยอย่างผมยังไม่สามารถเที่ยวในประเทศตัวเองได้ ราคาที่พักสูงเกินไป โดยเฉพาะช่วงวันหยุด” หญิงไทยอีกคนเสริมว่า “เป็นคนไทยแท้ๆ แต่ฉันยังแทบไม่มีปัญญาซื้อตั๋วเครื่องบินหรือจองโรงแรมดีๆ ไปเที่ยวชายหาดทางภาคใต้”
  2. ระบบราคาสองมาตรฐาน ระบบ “ราคาไม่มีมาตรฐาน” ที่แบ่งแยกระหว่างคนไทยและชาวต่างชาติเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกวิจารณ์อย่างหนัก นักท่องเที่ยวชาวเยอรมันเล่าว่า เขาต้องจ่าย 200 บาทเพื่อเข้าอุทยานแห่งชาติ ขณะที่แฟนของเขาจ่ายเพียง 40 บาทเพราะหน้าตาคล้ายคนไทย “นี่คือการเลือกปฏิบัติชัดๆ” เขากล่าว ปัญหานี้ยังขยายไปถึงร้านอาหารและบริการขนส่ง ซึ่งมักเรียกเก็บราคาสูงจากชาวต่างชาติ
  3. ระบบที่ล้าหลังและยุ่งยาก ระบบวีซ่าและการเข้าเมือง เช่น ระบบ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) และการลงทะเบียนออนไลน์ที่ต้องทำล่วงหน้า 3 วันก่อนเดินทาง ถูกมองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญ นักท่องเที่ยวชาวเยอรมันระบุว่า “มันเป็นความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี” การลดระยะเวลาวีซ่าท่องเที่ยวจาก 60 วันเหลือ 30 วันยังสร้างความไม่พอใจให้กับนักท่องเที่ยวระยะยาว
  4. ปัญหากัญชาและภาพลักษณ์ การเปิดเสรีกัญชาในประเทศไทยถูกมองว่าส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว คุณแม่ชาวออสเตรเลียเล่าว่า “ครอบครัวเราไม่สนุกกับการได้กลิ่นกัญชาทุกที่ที่เราไป โดยเฉพาะกับลูกเล็ก” นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษเสริมว่า “มันไม่ใช่ประเทศไทยที่ผมจำได้ ตอนนี้มีคนเมากัญชาอยู่ทั่วไป” ปัญหานี้ถูกมองว่าดึงดูด “นักท่องเที่ยวไม่มีคุณภาพ” และทำลายบรรยากาศของแหล่งท่องเที่ยว

ความพยายามแก้ไขและโอกาสในการฟื้นฟู

เพื่อตอบสนองต่อปัญหาเหล่านี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เริ่มดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์และดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ

นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า การลดลงของนักท่องเที่ยวจากตลาดหลักอย่างจีน ซึ่งลดลงเฉลี่ย 17% ในไตรมาสแรกของปี 2568 สร้างความกังวลอย่างมาก เนื่องจากจีนเป็นตลาดที่สร้างรายได้สำคัญให้กับไทย อย่างไรก็ตาม เธอมองว่าวิกฤตนี้เป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ โดยเฉพาะการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากยุโรป เช่น สวีเดน ซาอุดีอาระเบีย ออสเตรีย และสหราชอาณาจักร ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 10% ในไตรมาสที่สองของปี 2568

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ททท. ได้ดำเนินแคมเปญเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ สวัสดี หนีห่าว ที่ใช้ศิลปินชื่อดังอย่างหลัวอวิ๋นซีเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ รวมถึงการจัดงานฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปี นอกจากนี้ ททท. ยังสนับสนุนนโยบาย เที่ยวไทยคนละครึ่ง ซึ่งรัฐบาลจะสมทบค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว 50% เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ

นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการกิตติมศักดิ์ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เสนอว่า ประเทศไทยควรพิจารณานโยบายคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติในลักษณะเดียวกับจีนและญี่ปุ่น ซึ่งสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่จีนอนุญาตให้คืนภาษี 13% และญี่ปุ่นมีระบบช้อปปิ้งปลอดภาษีที่ฟื้นตัวถึง 219% ในปี 2568 เป็นตัวอย่างที่ไทยควรศึกษา

นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว เช่น การจัดการขยะและมลพิษ รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางเท้าและระบบขนส่งสาธารณะ จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว การควบคุมการใช้กัญชาในที่สาธารณะและการกำหนดมาตรฐานราคาที่เป็นธรรมจะเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของไท

7 เหตุผลหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยว “เชียงราย” น้อยลง

ทางนครเชียงรายนิวส์ได้ เปิดโอกาสให้โลกโซเชียลได้ลองแสดงความเห็นการท่องเที่ยงในจังหวัดเชียงรายว่ามองเห็นในด้านไหนบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่มองเป็นเรื่องการขาดการจัดการและวิสัยทัศน์อย่างเป็นระบบ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง ฟื้นฟูธรรมชาติ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสร้างแผนประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงโลก เชียงรายจะกลับมาเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศได้อีกแน่นอน โดยพบ 7 เหตุผลหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยว “เชียงราย” น้อยลง ดังนี้

  1. เที่ยวได้แค่ฤดูหนาว ไม่มีกิจกรรมตลอดปี
    จังหวัดเชียงรายยังคงพึ่งพา “ฤดูหนาว” เป็นจุดขายหลัก งานเทศกาลดอกไม้ ลอยกระทง หรือกิจกรรมที่จัดขึ้นมักมีแค่ช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ฤดูกาลอื่นแทบไม่มีการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นักท่องเที่ยวต่างชาติจึงไม่เห็นความคุ้มค่าในการเดินทางมาเที่ยวตลอดทั้งปี
  2. ขนส่งสาธารณะไม่เอื้ออำนวย
    จากสนามบินไปตัวเมือง หรือจากในเมืองไปแหล่งท่องเที่ยว ขนส่งสาธารณะขาดประสิทธิภาพ รถสองแถวมีน้อย รถแท็กซี่แทบไม่มี ตุ๊กตุ๊กราคาแพง รถเช่าก็ไม่ครอบคลุม ทำให้การเดินทางต้องพึ่งพารถส่วนตัวเป็นหลัก นักท่องเที่ยวที่ไม่มีข้อมูลหรือไม่มีคนพาไป จะรู้สึกว่า “เชียงรายเที่ยวยาก”
  3. สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมและไร้การดูแล
    หมอกควัน PM2.5 น้ำเสียจากการจัดร้านอาหารริมแม่น้ำ การรุกพื้นที่ป่าเพื่อสร้างคาเฟ่หรือรีสอร์ต รวมถึงอากาศเป็นพิษจากไฟป่า ล้วนทำลายความงามของธรรมชาติแบบดั้งเดิม นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการเที่ยวเชิงอนุรักษ์จึงเบือนหน้าหนี
  4. ไม่มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่
    สถานที่ที่ยังคงได้รับความนิยม เช่น วัดร่องขุ่น บ้านดำ สิงห์ปาร์ค หรือดอยตุง ถูกกล่าวถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีจุดขายใหม่ๆ เพิ่มเติม ในขณะที่จังหวัดอื่นอย่างเชียงใหม่หรือแม่ฮ่องสอนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมใหม่ตลอดเวลา เชียงรายกลับยังย่ำอยู่กับที่
  5. ขาดการประชาสัมพันธ์และความเข้าใจการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
    หลายงานในพื้นที่ไม่มีการโปรโมตที่ดี ชาวบ้านบางคนไม่รู้แม้แต่ว่ามีกิจกรรมจัดขึ้น การสื่อสารไม่ทั่วถึง นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ไม่รู้ว่าควรไปไหน ไม่มีภาษาอังกฤษประกอบ ไม่มีแพลตฟอร์มดิจิทัลรองรับการค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
  6. ราคาสูง คุณภาพไม่ตามราคา
    อาหารในหลายพื้นที่แพงเกินคุณภาพ โรงแรมบางแห่งราคาไม่สมเหตุสมผล อาหารไม่มีความโดดเด่นด้านรสชาติ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “ไม่คุ้มค่า” แม้ค่าที่พักจะถูกกว่าจังหวัดอื่นแต่ประสบการณ์โดยรวมกลับไม่ประทับใจ
  7. ระบบราชการขาดวิสัยทัศน์และความจริงใจในการพัฒนา
    หน่วยงานราชการที่ควรจะเป็นตัวขับเคลื่อนกลับขาดเป้าหมาย ขาดรสนิยม และไม่มีความเข้าใจจริงต่อการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปในยุคปัจจุบัน แหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่กลับถูกทำลาย หรือพัฒนาแบบผิดทิศผิดทาง เช่น การสร้างร้านอาหารในแม่น้ำ แพอาหารในน้ำตก โดยไม่คำนึงถึงระบบนิเวศ

บทสรุป การฟื้นฟูการท่องเที่ยวเชียงราย ต้องเริ่มที่ราก

เชียงรายมีศักยภาพด้านธรรมชาติและวัฒนธรรมที่โดดเด่นไม่แพ้จังหวัดใดในประเทศ แต่วิธีคิด การบริหารจัดการ และการเชื่อมโยงกับนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นล้าหลังเกินไป
หากต้องการให้เชียงรายกลับมาเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก รัฐต้องลงมาจัดการจริงจัง ประชาชนต้องร่วมขับเคลื่อน และภาคธุรกิจต้องมีความรับผิดชอบต่อธรรมชาติ
มิฉะนั้น “เชียงราย” จะกลายเป็นเพียงความทรงจำในหน้าหนาว…ที่ไม่มีใครอยากกลับมาอีก

ความท้าทายและโอกาส

ปัญหาที่นักท่องเที่ยวหยิบยกขึ้นมาสะท้อนถึงความท้าทายที่ซับซ้อนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ในหลายมิติ:

มิติด้านเศรษฐกิจ การเพิ่มขึ้นของราคาค่าบริการเป็นผลจากภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกและต้นทุนที่สูงขึ้นหลังโควิด-19 อย่างไรก็ตาม การที่ราคาเพิ่มขึ้นเกินกว่าอัตราเงินเฟ้อปกติอาจทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับเวียดนาม ฟิลิปปินส์ หรือกัมพูชา ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าและโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว

มิติด้านภาพลักษณ์ การแพร่กระจายของกัญชาและระบบราคาสองมาตรฐานทำให้ประเทศไทยถูกมองว่าไม่เป็นมิตรกับครอบครัวและนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง การที่นักท่องเที่ยวเปรียบเทียบไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งมีบริการที่สะอาด ปลอดภัย และมีมาตรฐานสูงกว่า สะท้อนถึงความจำเป็นในการยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยว

มิติด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบวีซ่าและการลงทะเบียนที่ยุ่งยาก รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย เช่น ทางเท้าที่ชำรุดและชายหาดที่สกปรก เป็นอุปสรรคที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การลงทุนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยว

โอกาสในการฟื้นฟู การลดลงของนักท่องเที่ยวจากจีนเป็นโอกาสให้ไทยหันไปเจาะตลาดยุโรปและตะวันออกกลาง ซึ่งมีกำลังซื้อสูงและสนใจประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เน้นวัฒนธรรมและความยั่งยืน นโยบายคืนภาษีและการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ความกังวลของนักท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยเองมีเหตุผลที่สมควรในการแสดงความไม่พอใจต่อราคาที่สูงเกินเหตุ ระบบที่ล้าหลัง และปัญหากัญชา ความคาดหวังของพวกเขาคือการได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่าและสะดวกสบาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยเคยทำได้ดีในอดีต

ความพยายามของหน่วยงานไทย


หน่วยงานอย่าง ททท. และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แสดงถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาผ่านแคมเปญประชาสัมพันธ์และนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง และการเจาะตลาดใหม่ การที่ไทยยังคงมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 9.5 ล้านคนในไตรมาสแรกของปี 2568 แสดงถึงศักยภาพที่ยังคงแข็งแกร่ง

ทัศนคติเป็นกลาง ความกังวลของนักท่องเที่ยวเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ ซึ่งหน่วยงานไทยควรใช้เป็นโอกาสในการปรับปรุงคุณภาพการท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน ความพยายามของหน่วยงานในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและพัฒนานโยบายใหม่เป็นก้าวที่ถูกต้อง การแก้ไขปัญหาจะต้องเน้นที่การสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความคุ้มค่าและการยกระดับคุณภาพ เพื่อให้ประเทศไทยกลับมาเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกชื่นชอบ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทย ในไตรมาสแรกของปี 2568 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 9.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน สร้างรายได้ 471,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2568)
  2. การลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ตลาดนักท่องเที่ยวจากจีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ และเวียดนาม ลดลงเฉลี่ย 17% ในไตรมาสแรกของปี 2568 เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยและจำนวนเที่ยวบินที่ลดลง (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2568)
  3. มูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว การใช้จ่ายปลอดภาษีในญี่ปุ่นฟื้นตัว 219% ในเดือนมีนาคม 2568 เมื่อเทียบกับปี 2562 โดย 50% มาจากนักท่องเที่ยวจีน (ที่มา: Global Blue, 2568)
  4. ผลกระทบของโครงสร้างพื้นฐานต่อการท่องเที่ยว การสำรวจของ World Travel & Tourism Council (WTTC) ในปี 2567 พบว่า 65% ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เช่น ระบบวีซ่าออนไลน์และการคมนาคมที่สะดวก (ที่มา: WTTC Global Tourism Report, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

ท่องเที่ยวสะดุด สงกรานต์ปีนี้ ต่างชาติลดจองโรงแรมร่วง

สมาคมโรงแรมไทยเผยสงกรานต์ 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติลด 6.8 แสนคน ยอดจองห้องพักทรุด 25%

ประเทศไทย, 3 เมษายน 2568 – สมาคมโรงแรมไทยเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่อาจส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของประเทศในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 โดยระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในช่วงวันที่ 11–17 เมษายน 2568 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญถึงร้อยละ 25 เมื่อเทียบกับปี 2567 หรือคิดเป็นตัวเลขลดลงกว่า 689,282 คน สะท้อนถึงสถานการณ์ที่ท้าทายของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยในปีนี้

ยอดจองห้องพักลดลงทั่วประเทศ ยกเว้นภูเก็ตและเชียงราย

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยผลการสำรวจจากโรงแรมสมาชิกใน 7 จังหวัดหลักที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กระบี่ ชลบุรี เชียงราย เชียงใหม่ ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี รวมทั้งหมด 52 แห่ง พบว่า จำนวนยอดจองห้องพักโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 32,244 ห้อง ลดลงจากปี 2567 ที่มียอดจอง 42,761 ห้อง หรือคิดเป็นร้อยละ 24.68

ยอดจองห้องพักในแต่ละจังหวัด

  • กรุงเทพมหานคร: โรงแรม 22 แห่ง มียอดจอง 13,371 ห้อง ลดลง 31.57% จากปีก่อน
  • กระบี่: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 1,063 ห้อง ลดลง 3.68%
  • ชลบุรี: โรงแรม 8 แห่ง มียอดจอง 2,208 ห้อง ลดลงถึง 67.14%
  • เชียงใหม่: โรงแรม 8 แห่ง มียอดจอง 2,414 ห้อง ลดลง 10.92%
  • สุราษฎร์ธานี: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 552 ห้อง ลดลง 18.58%

ในขณะที่มีเพียงสองจังหวัดเท่านั้นที่มียอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น คือ

  • เชียงราย: โรงแรม 1 แห่ง มียอดจอง 77 ห้อง เพิ่มขึ้น 102.63% จาก 38 ห้องในปี 2567
  • ภูเก็ต: โรงแรม 11 แห่ง มียอดจอง 12,600 ห้อง เพิ่มขึ้น 4.87% จาก 12,015 ห้องในปี 2567

จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงเกือบ 7 แสนคนในเดือนเมษายน

จากสถิติของสมาคมฯ คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยตลอดทั้งเดือนเมษายน 2568 จะลดลงจากปี 2567 ประมาณ 25% หรือคิดเป็น 689,282 คน เหลือเพียง 2,067,846 คน จากจำนวน 2,757,128 คนในปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจโรงแรมและบริการในหลายพื้นที่

กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักยังคงเป็นเอเชีย ยุโรป และอเมริกา

การสำรวจของสมาคมโรงแรมไทยยังระบุว่า นักท่องเที่ยว 3 กลุ่มหลักที่เดินทางเข้าประเทศไทยมากที่สุดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ได้แก่

  1. นักท่องเที่ยวจากเอเชีย
  2. นักท่องเที่ยวจากยุโรป
  3. นักท่องเที่ยวจากทวีปอเมริกา

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ลดลงในปีนี้อาจสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เน้นการเลือกจุดหมายปลายทางใหม่ ๆ หรือได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ

สมาคมโรงแรมไทยเรียกร้องรัฐเร่งกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ

นายเทียนประสิทธิ์ ระบุว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนี้แตกต่างจากช่วงสงกรานต์ในปี 2566 และ 2567 อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทยเพิ่งเปิดประเทศหลังการระบาดของโควิด-19 และนักท่องเที่ยวมีความตื่นตัวสูง ส่งผลให้ยอดจองห้องพักพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“สงกรานต์ปีนี้ไม่คึกคักเหมือนที่ผ่านมา รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งดำเนินโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายและเสริมรายได้ให้กับผู้ประกอบการโรงแรมและท่องเที่ยว” นายเทียนประสิทธิ์ กล่าว

ภาพสะท้อนในจังหวัดเชียงราย: โอกาสท่ามกลางวิกฤต

แม้ในภาพรวมตัวเลขจะลดลง แต่จังหวัดเชียงรายกลับเป็นหนึ่งในสองจังหวัดที่มีตัวเลขการจองห้องพักเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีที่แล้ว สะท้อนถึงแนวโน้มการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้เชียงรายพัฒนาเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

ความเห็นจากสองมุม: มองต่างแต่ร่วมทางได้

ฝ่ายสนับสนุนการกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ มองว่า รัฐบาลควรเร่งผลักดันโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่งและการลดภาษีธุรกิจท่องเที่ยวให้เร็วที่สุด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ลดภาระผู้ประกอบการโรงแรมและภัตตาคาร และรักษาการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

ฝ่ายระมัดระวังงบประมาณรัฐ เห็นว่าการอัดฉีดงบประมาณจำนวนมากในช่วงเวลาที่รายได้ภาครัฐลดลง อาจไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสม ควรมุ่งเน้นการพัฒนากลยุทธ์ระยะยาว เช่น พัฒนาคุณภาพบริการ เพิ่มความปลอดภัย และปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาวมากกว่าเพียงแค่กระตุ้นตัวเลขในช่วงเทศกาล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนเมษายน 2567: 2,757,128 คน
  • คาดการณ์นักท่องเที่ยวต่างชาติเดือนเมษายน 2568: 2,067,846 คน (ลดลง 25%)
  • ยอดจองห้องพักรวมใน 7 จังหวัด: 32,244 ห้อง (ลดลงจาก 42,761 ห้องในปี 2567)
  • จังหวัดที่ยอดจองห้องพักเพิ่มขึ้น: เชียงราย (เพิ่ม 102.63%), ภูเก็ต (เพิ่ม 4.87%)
  • จังหวัดที่ยอดจองลดลงมากที่สุด: ชลบุรี (ลดลง 67.14%)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สมาคมโรงแรมไทย (THA)
  • กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • รายงานการท่องเที่ยวเดือนมีนาคม 2568, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘เชียงราย’ ปี 67 เที่ยวสุดคุ้ม “ชาวต่างชาติ” พักนานเฉลี่ย 5.74 คืน

เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติและไทย สร้างรายได้ท่องเที่ยวกว่า 38,493 ล้านบาทในปี 2567

เชียงราย, 9 มีนาคม 2568 – รายงานข้อมูลจาก TAT Intelligence Center และ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยให้เห็นว่า จังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในจังหวัดที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากประเทศมาเลเซีย ฝรั่งเศส สเปน สหรัฐอเมริกา และอิตาลี ซึ่งเลือกพักในเชียงรายโดยเฉลี่ย 5.74 คืน ส่งผลให้จังหวัดมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 38,493 ล้านบาท ในปี 2567

เชียงราย: จุดหมายปลายทางที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

เชียงรายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจาก มาเลเซีย (12.67%) ฝรั่งเศส (11.69%) สเปน (8.93%) สหรัฐอเมริกา (6.65%) และอิตาลี (5.62%) ที่เลือกเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายด้วยเหตุผลหลายประการ ทั้งในด้านของธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม และความเงียบสงบที่เป็นเอกลักษณ์

รายงานระบุว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดเชียงรายมีระยะเวลาเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 5.74 คืน ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับจังหวัดอื่นในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ (5.56 คืน) และ ลำปาง (4.32 คืน)

 

พฤติกรรมนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567

โครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567 ได้ศึกษาค่าเฉลี่ยจำนวนคืนที่นักท่องเที่ยวแต่ละคนพำนักในจังหวัดต่างๆ โดยมีข้อมูลจาก TAT Intelligence Center พบว่า กรุงเทพมหานคร มีค่าเฉลี่ยพัก 5.52 คืน โดยตลาดนักท่องเที่ยวหลักมาจาก จีน (23.29%) อินเดีย (6.33%) เกาหลีใต้ (6.04%) มาเลเซีย (4.99%) และเวียดนาม (4.26%)

ในขณะที่ จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอื่นๆ มีค่าเฉลี่ยการพำนักดังนี้:

  1. ชลบุรี – ค่าเฉลี่ย 6.34 คืน (จีน 26.13%, อินเดีย 13.58%, รัสเซีย 13.38%, เกาหลีใต้ 5.65%, เวียดนาม 4.34%)
  2. ภูเก็ต – ค่าเฉลี่ย 5.72 คืน (จีน 22.59%, อินเดีย 9.08%, รัสเซีย 5.86%, สหราชอาณาจักร 4.71%, สหรัฐฯ 4.62%)
  3. กระบี่ – ค่าเฉลี่ย 3.11 คืน (จีน 13.59%, อินเดีย 10.16%, มาเลเซีย 7.79%, สหราชอาณาจักร 7.1%, ฝรั่งเศส 5.99%)
  4. สงขลา – ค่าเฉลี่ย 5.05 คืน (มาเลเซีย 94.34%, สิงคโปร์ 2.33%, อินโดนีเซีย 1.38%, จีน 0.5%, ลาว 0.14%)
  5. เชียงใหม่ – ค่าเฉลี่ย 5.56 คืน (จีน 13.59%, สหราชอาณาจักร 8.02%, สหรัฐฯ 8.00%, ฝรั่งเศส 6.88%, มาเลเซีย 6.62%)
  6. สุราษฎร์ธานี – ค่าเฉลี่ย 7.14 คืน (เยอรมนี 14.31%, สหราชอาณาจักร 11.35%, ฝรั่งเศส 8.8%, อิสราเอล 6.79%, ออสเตรเลีย 5.1%)
  7. พังงา – ค่าเฉลี่ย 2.70 คืน (จีน 13.19%, มาเลเซีย 10.6%, เยอรมนี 9.33%, ฝรั่งเศส 6.93%, เกาหลีใต้ 5.43%)
  8. เชียงราย – ค่าเฉลี่ย 5.74 คืน (มาเลเซีย 12.67%, ฝรั่งเศส 11.69%, สเปน 8.93%, สหรัฐฯ 6.65%, อิตาลี 5.62%)
  9. ประจวบคีรีขันธ์ – ค่าเฉลี่ย 6.11 คืน (สหราชอาณาจักร 9.2%, รัสเซีย 7.63%, ไต้หวัน 6.76%, จีน 6.15%, เยอรมนี 5.8%)

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชียงรายเป็นที่นิยม

  1. ธรรมชาติและวัฒนธรรม
    • เชียงรายเป็นจังหวัดที่มีภูมิประเทศสวยงาม โดดเด่นด้วยภูเขา ป่าไม้ และแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรม เช่น วัดร่องขุ่น วัดร่องเสือเต้น และพระตำหนักดอยตุง ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก
  2. การเดินทางสะดวกขึ้น
    • สนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีเที่ยวบินตรงจากหลายประเทศ เช่น จีน มาเลเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งช่วยกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น
  3. แหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและเชิงอนุรักษ์
    • มีการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ อาทิ สปา ธรรมชาติบำบัด และโยคะ รวมถึงแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น

สถิติท่องเที่ยวประเทศไทย ปี 2567

รายงานจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ปี 2567 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทย 35.54 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26.27% จากปี 2566 สร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.67 ล้านล้านบาท

10 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุดในปี 2567

  1. จีน 6,733,162 คน
  2. มาเลเซีย 4,952,078 คน
  3. อินเดีย 2,129,149 คน
  4. เกาหลีใต้ 1,868,945 คน
  5. รัสเซีย 1,745,327 คน
  6. ลาว 1,124,202 คน
  7. ไต้หวัน 1,089,910 คน
  8. ญี่ปุ่น 1,050,904 คน
  9. สหรัฐอเมริกา 1,030,733 คน
  10. สิงคโปร์ 1,009,640 คน

ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศ นักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศ มีจำนวนรวม 198.69 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 7.02% จากปีก่อน สร้างรายได้ 950,000 ล้านบาท

เชียงราย: หนึ่งในจังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงสุด

เชียงรายเป็น หนึ่งใน 5 จังหวัดที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยสูงสุด โดยอยู่ในอันดับที่ 5 ด้วยรายได้ 38,493 ล้านบาท รองจาก กรุงเทพฯ (173,181 ล้านบาท) ชลบุรี (103,987 ล้านบาท) เชียงใหม่ (60,783 ล้านบาท) และประจวบคีรีขันธ์ (43,066 ล้านบาท)

ในส่วนของตลาดนักท่องเที่ยวไทยเที่ยวในประเทศ มีจำนวนรวม 198.69 ล้านคน-ครั้ง เพิ่มขึ้น 7.02% เทียบกับปีที่ผ่านมา สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศ 950,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.03%

5 อันดับจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปมากที่สุด:

  1. กรุงเทพมหานคร – 30.80 ล้านคน
  2. ชลบุรี – 15.51 ล้านคน
  3. กาญจนบุรี – 14.70 ล้านคน
  4. ประจวบคีรีขันธ์ – 10.83 ล้านคน
  5. เพชรบุรี – 10.72 ล้านคน

ข้อคิดเห็นและมุมมองที่แตกต่าง

จากข้อมูลที่ได้รวบรวมมา มีข้อคิดเห็นจากสองมุมมองที่เกี่ยวกับสถานการณ์การท่องเที่ยวในเชียงราย ได้แก่:

  1. มุมมองเชิงบวก:
  • เชียงรายกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องในฐานะแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ
  • การเดินทางที่สะดวกขึ้นช่วยเพิ่มศักยภาพของจังหวัดให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวภาคเหนือ
  • รายได้จากการท่องเที่ยวสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น และสร้างอาชีพให้กับประชาชน
  1. มุมมองเชิงกังวล:
  • การเติบโตของนักท่องเที่ยวอาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากไม่มีมาตรการจัดการที่ดี
  • เชียงรายยังคงเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศจากไฟป่าและหมอกควัน ซึ่งอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดในสายตานักท่องเที่ยว
  • จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้ค่าครองชีพในพื้นที่สูงขึ้น

ภาพรวของเชียงราย

เชียงรายยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทย โดยเฉพาะในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรปและเอเชียที่เลือกเข้าพักเฉลี่ย 5.74 คืน ซึ่งสูงกว่าหลายจังหวัดในภาคเหนือ ข้อมูลจากปี 2567 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่ก็ต้องมีการพัฒนามาตรการรักษาสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเติบโตของนักท่องเที่ยวในระยะยาว

สรุปภาพรวมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

เมื่อรวมรายได้จากทั้งตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวในประเทศ ประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวม 2.62 ล้านล้านบาท ในปี 2567 แม้ว่าจะยังต่ำกว่าเป้าหมายของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ตั้งไว้ 3 ล้านล้านบาท แต่ถือเป็นแนวโน้มเชิงบวกที่แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวหลังสถานการณ์โควิด-19

ในอนาคต ผู้เชี่ยวชาญมองว่า การพัฒนาการท่องเที่ยวแบบยั่งยืนและการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรองจะเป็นกุญแจสำคัญ ในการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรักษาความสมดุลของระบบนิเวศทางการท่องเที่ยวของประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา / TAT Intelligence Center / โครงการสำรวจเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ปี 2567

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ไทยดึงนักท่องเที่ยว 35 ล้านคน สร้างรายได้ทะลุเป้า 1.8 ล้านล้านบาท

ไทยแลนด์ครองเป้าหมายการท่องเที่ยวปี 2567 เตรียมพร้อมสู่ปี Amazing Thailand Grand Tourism 2025

เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 35,047,501 คน ในปี 2567 ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ สร้างรายได้กว่า 1.8 ล้านล้านบาท จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

มาตรการเสริมศักยภาพการท่องเที่ยว
ความสำเร็จในปี 2567 เป็นผลมาจากมาตรการที่หลากหลาย เช่น

  • ยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) สำหรับ 93 ประเทศ
  • ยกเว้นบัตร ตม.6 สำหรับ 16 ด่านชายแดนทางบกและน้ำ
  • ความร่วมมือกับสายการบินระหว่างประเทศในการเปิดเส้นทางบินใหม่ เพิ่มเที่ยวบิน และขยายความจุที่นั่งสายการบิน

โดยเฉพาะช่วงไฮซีซั่น มีสายการบินเปิดเส้นทางบินใหม่ถึง 311 เที่ยวบิน เพิ่มความจุที่นั่งกว่า 70,000 ที่นั่ง

ตลาดนักท่องเที่ยวที่เติบโตสูง
ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทำสถิติสูงสุด (New High) เมื่อเทียบกับปี 2562 ได้แก่

  • จีน: 6,667,610 คน
  • มาเลเซีย: 4,898,496 คน
  • อินเดีย: 2,100,645 คน
  • เกาหลีใต้: 1,847,276 คน
  • รัสเซีย: 1,705,198 คน
    นอกจากนี้ ตลาดนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางและยุโรปยังคงเติบโตต่อเนื่อง

กิจกรรมเด่นดึงดูดนักท่องเที่ยว


ในปีที่ผ่านมา ททท. จัดกิจกรรมและอีเวนต์ระดับโลก เช่น

  • Amazing Thailand Countdown 2024
  • เทศกาลสงกรานต์ระดับชาติ
  • การท่องเที่ยวตามรอยซีรีส์และภาพยนตร์ไทย
  • โครงการ Amazing Thailand Passport Privileges

แผนงานปี 2568 สู่การเป็น Tourism Hub ของเอเชีย

ททท. วางเป้าหมายปี 2568 ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 36-39 ล้านคน สร้างรายได้ 1.98 – 2.23 ล้านล้านบาท ภายใต้แผนงาน Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 โดยเน้นเสน่ห์ไทยที่แตกต่าง เช่น

  • จัดอีเวนต์ระดับโลก
  • เสริมประสบการณ์การเดินทางใหม่
  • เพิ่มสิทธิพิเศษให้กับนักท่องเที่ยว
  • เชิญผู้มีชื่อเสียงระดับโลกเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์

การเปิดเส้นทางบินใหม่ในปี 2568
สายการบินจากทั่วโลกเตรียมเปิดเส้นทางใหม่ ได้แก่

  • Ruili Airlines: คุนหมิง-เชียงใหม่
  • British Airways: ลอนดอน-กรุงเทพฯ
  • Thai Airways: บรัสเซลส์-กรุงเทพฯ
  • Air Canada: แวนคูเวอร์-กรุงเทพฯ

การมุ่งสู่การเป็น Tourism Hub

การผสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเน้นความสะดวกและสิทธิพิเศษให้กับนักท่องเที่ยว จะผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับภูมิภาคอย่างแท้จริง

บทสรุป

ความสำเร็จในปี 2567 เป็นก้าวสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ที่สะท้อนถึงความสามารถในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง โดยปี 2568 จะเป็นปีที่ประเทศไทยเดินหน้าสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมในการก้าวสู่การเป็น Tourism Hub ของเอเชีย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 31 ล้านคน สร้างรายได้มหาศาล

กระทรวงการท่องเที่ยวเผย นักท่องเที่ยวต่างชาติทะลุ 31 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.46 ล้านล้านบาท

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เปิดเผยสถานการณ์ท่องเที่ยวล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 24 พฤศจิกายน 2567 โดยพบว่าประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาแล้วทั้งสิ้น 31,313,787 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นมูลค่าประมาณ 1,466,408 ล้านบาท

นักท่องเที่ยว 5 อันดับแรกที่เดินทางเข้าไทย

  1. จีน จำนวน 6,096,010 คน
  2. มาเลเซีย จำนวน 4,443,173 คน
  3. อินเดีย จำนวน 1,868,802 คน
  4. เกาหลีใต้ จำนวน 1,647,328 คน
  5. รัสเซีย จำนวน 1,455,398 คน

นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short Haul) มีการฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางสะสมมากกว่า 6 ล้านคน และชาวเกาหลีใต้ที่มีการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึง 14.28% จากสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกล (Long Haul) มีการชะลอตัวด้านการเดินทาง ซึ่งถือเป็นแนวโน้มปกติช่วงก่อนฤดูท่องเที่ยวในเดือนธันวาคม

จำนวนนักท่องเที่ยวประจำสัปดาห์ (18-24 พฤศจิกายน 2567)

  • จำนวนนักท่องเที่ยวรวม: 749,306 คน
  • เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า: 1,362 คน หรือ 0.18%
  • ค่าเฉลี่ยต่อวัน: 107,044 คน

5 อันดับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยประจำสัปดาห์

  1. จีน: 122,020 คน (+7.18%)
  2. มาเลเซีย: 81,886 คน (ปรับลดลงเล็กน้อย)
  3. รัสเซีย: 50,071 คน (+3.37%)
  4. อินเดีย: 46,259 คน (+1.88%)
  5. เกาหลีใต้: 38,959 คน (+14.28%)

ปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยว

  1. เข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ของตลาดระยะไกล โดยเฉพาะภูมิภาคยุโรป
  2. เพิ่มจำนวนที่นั่งเข้าไทย (Seat Capacity) ซึ่งเพิ่มขึ้น 10% ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม
  3. มาตรการ Ease of Traveling เช่น การยกเว้นบัตร ตม.6 ในด่านทางบก
  4. การเพิ่มเที่ยวบิน โดยรัฐบาลได้กระตุ้นสายการบินให้เพิ่มจำนวนเที่ยวบิน

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้คาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนธันวาคม โดยเฉพาะกลุ่มตลาดยุโรปและตลาดระยะไกล เนื่องจากเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว และมาตรการส่งเสริมการเดินทางที่เอื้อต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทย

การเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในปี 2567 ช่วยเสริมสร้างเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งขึ้น ทั้งในแง่ของรายได้จากนักท่องเที่ยวและการกระจายรายได้สู่ภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยว ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

Agoda เผยท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวแรง นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เที่ยวไทย

ท่องเที่ยวไทยฟื้นตัวแรง นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่เที่ยวไทย

เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวของไทยกำลังกลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากหันมาเลือกประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยว

Agoda ชี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติแห่ค้นหาที่พักในไทย

จากข้อมูลของ Agoda พบว่าการค้นหาที่พักในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้นถึง 18% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการค้นหาเพิ่มขึ้นถึง 25% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเดินทางท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นกลุ่มหลัก

นักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ยังคงเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยมีอัตราการเติบโตของการค้นหาที่พักสูงถึง 21% 22% และ 21% ตามลำดับ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีนโยบายยกเว้นวีซ่า เช่น อินเดีย จีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวัน และซาอุดีอาระเบีย ก็มีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ญี่ปุ่นยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของคนไทย

แม้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเดินทางมาเที่ยวไทยกันมากขึ้น แต่คนไทยเองก็ยังคงนิยมเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นถึง 26% โดยโตเกียวเป็นเมืองที่ได้รับความนิยมสูงสุด รองลงมาคือโอซาก้าและซัปโปโร

เวียดนามและจีน กลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ที่น่าสนใจ

นอกจากญี่ปุ่นแล้ว เวียดนามก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวไทย โดยมีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้นถึง 5% และเมืองดานังก็กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน ส่วนประเทศจีนก็มีการเติบโตของการค้นหาที่พักอย่างรวดเร็วถึง 206% ซึ่งเป็นผลมาจากการยกเว้นวีซ่าและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

ท่องเที่ยวภายในประเทศคึกคัก กรุงเทพฯ ยังคงเป็นอันดับ 1

สำหรับการท่องเที่ยวภายในประเทศนั้น ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยมีการค้นหาที่พักเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว โดยกรุงเทพมหานครยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมสูงสุด รองลงมาคือพัทยา และหัวหิน/ชะอำ

Agoda มั่นใจว่าการท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวเต็มที่

Agoda มองว่าการท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ในปี 2568 และคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะสูงกว่า 39 ล้านคน ซึ่งเป็นเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้

5 อันดับประเทศจุดหมายปลายทางต่างประเทศที่คนไทยนิยมมากที่สุด

1.ญี่ปุ่น

2.เวียดนาม

3.เขตปกครองพิเศษฮ่องกง

4.จีน

5.มาเลเซีย

 

5 อันดับเมืองจุดหมายปลายทางต่างประเทศที่คนไทยนิยมมากที่สุด

1.โตเกียว

2.โอซาก้า

3.โซล

4.ไทเป

5.ฮ่องกง

 

5 อันดับกิจกรรมที่คนไทยนิยมมากที่สุดในต่างประเทศ

1.ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์ (สิงคโปร์)

2.พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ศิลปะ (สิงคโปร์)

3.ดิสนีย์แลนด์ (ฮ่องกง)

4.พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (สิงคโปร์)

5.ตั๋วท่องเที่ยวรอบโอซาก้า (ญี่ปุ่น)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อโกด้า (Agoda)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

นักท่องเที่ยวทะลุ 28 ล้าน สร้างรายได้ 1.3 ล้านล้านบาท

สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยดีขึ้น ต้อนรับนักท่องเที่ยวทะลุ 28 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 1.3 ล้านล้านบาท

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยในปีนี้ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 27 ตุลาคม 2567 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกสะสมรวมกว่า 28,378,473 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติมูลค่ากว่า 1,325,359 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจาก 5 ประเทศที่เดินทางมาเยือนประเทศไทยมากที่สุด ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ซึ่งนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนมีจำนวนสูงสุดถึง 5,660,242 คน

แนวโน้มท่องเที่ยวช่วงไฮซีซัน กระแสเติบโตต่อเนื่อง 5 สัปดาห์

นายสรวงศ์กล่าวถึงการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) ของภูมิภาคยุโรปและอเมริกา ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะไกล (Long haul) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-27 ตุลาคม) มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 5.15% จากสัปดาห์ก่อนหน้า ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดระยะใกล้ (Short haul) โดยเฉพาะมาเลเซียซึ่งเป็นตลาดหลัก มีจำนวนผู้มาเยือนสะสมแล้วกว่า 4 ล้านคน

ทั้งนี้ ในช่วงสัปดาห์ดังกล่าว ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามารวมทั้งสิ้น 584,462 คน คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ยวันละ 83,495 คน โดยนักท่องเที่ยวจาก 5 ประเทศหลัก ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย รัสเซีย และเกาหลีใต้

ปัจจัยส่งเสริมการท่องเที่ยวในไตรมาสสุดท้าย

การเติบโตของนักท่องเที่ยวในช่วงนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลายปัจจัยสำคัญ อาทิ วันหยุดเทศกาลดิวาลีในหลายประเทศ เช่น มาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งช่วยกระตุ้นการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังได้มีมาตรการอำนวยความสะดวกด้านการเดินทาง (Ease of traveling) ซึ่งรวมถึงการยกเว้นการกรอกบัตร ตม.6 ที่ด่านชายแดน เพื่อให้กระบวนการตรวจคนเข้าเมืองมีความรวดเร็วและลดภาระของนักท่องเที่ยว

นอกจากนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวยังได้ประสานงานกับสายการบินต่าง ๆ เพื่อเพิ่มจำนวนเที่ยวบินเข้าสู่ประเทศไทย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปีที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางระหว่างประเทศจากภูมิภาคยุโรป

การพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยว

นายสรวงศ์ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งยืนยันว่ากระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการเตรียมความพร้อมทั้งด้านสิ่งอำนวยความสะดวก และมาตรการรองรับนักท่องเที่ยว เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นประสบการณ์ที่ดี สร้างความประทับใจและปลอดภัยสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคน

การที่ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงไฮซีซันนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างรายได้ให้กับประเทศ กระตุ้นเศรษฐกิจภายในและสร้างอาชีพให้กับคนไทยในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ไทยเตรียมเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน นักท่องเที่ยวต่างชาติ 300 บาท

ไทยเตรียมจัดเก็บ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

“ค่าเหยียบแผ่นดิน” ต้อนรับนักท่องเที่ยว เติมเต็มกองทุนดูแลการท่องเที่ยวไทย

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2567 นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยแผนเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้พิจารณาการจัดเก็บ “ภาษีท่องเที่ยว” หรือที่รู้จักในชื่อ “ค่าเหยียบแผ่นดิน” โดยมีเป้าหมายที่จะเรียกเก็บจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย ในอัตรา 150-300 บาทต่อคน เพื่อนำเงินเข้ากองทุนสนับสนุนการดูแลนักท่องเที่ยวและส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

รายละเอียดการจัดเก็บและการบริหารกองทุนเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

แผนดังกล่าวได้กำหนดไว้ว่าภาษีท่องเที่ยวนี้จะถูกจัดเก็บตามวิธีการเดินทาง โดยเก็บจากการเดินทางทางอากาศที่ 300 บาทต่อคน และการเดินทางทางบกหรือทางน้ำที่ 150 บาทต่อคน ทั้งนี้ยังมีการจัดเตรียมระบบประกันที่ครอบคลุมสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาเยือนไทย ด้วยวงเงินคุ้มครองการเสียชีวิต 1 ล้านบาท และวงเงินคุ้มครองการบาดเจ็บ 5 แสนบาท ซึ่งจะมีการเปิดประมูลบริษัทประกันเพื่อดูแลระบบการจัดเก็บประกันภัยนี้

เตรียมระบบจัดเก็บผ่านแอปพลิเคชันและธนาคารกรุงไทย

การเก็บค่าเหยียบแผ่นดินจะถูกเชื่อมโยงผ่านซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันซึ่งจะควบคุมดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวได้ประสานกับธนาคารกรุงไทยเพื่อรองรับระบบการชำระเงิน โดยคาดว่าภาษีท่องเที่ยวในปีแรกจะสร้างรายได้ราว 36,000 ล้านบาทจากการคาดการณ์นักท่องเที่ยวกว่า 36 ล้านคน

ลดปัญหาการเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อรักษาภาพลักษณ์ท่องเที่ยว

ภาษีท่องเที่ยวใหม่นี้จะมีการเปิดใช้ในสองระยะ เพื่อให้การจัดเก็บทำได้อย่างราบรื่นและโปร่งใส ระยะแรกจะเน้นการเก็บเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยทางอากาศ ซึ่งครอบคลุมกว่า 70% ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด ส่วนระยะที่สองจะเพิ่มการเก็บจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านทางบกและทางน้ำ พร้อมทั้งชี้แจงรายละเอียดเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติ

เสริมสร้างความปลอดภัยและสิทธิประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยว

การใช้ระบบจัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดินมีเป้าหมายหลักในการนำรายได้เข้าสู่กองทุนเพื่อดูแลและส่งเสริมความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวของไทยให้แข็งแกร่งและตอบโจทย์นักท่องเที่ยวในปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News