Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ชี้ ห้วยส้านพัฒนา แหล่งน้ำร่วมสองอำเภอต้องมีธรรมาภิบาล

อบจ.เชียงรายเปิด “วาระน้ำเร่งด่วน” ลงมือแก้ปัญหาอ่างเก็บน้ำห้วยส้านพัฒนา จุดเชื่อมโยงแหล่งน้ำร่วมแม่สรวย แม่ลาว ขับเคลื่อนจากนโยบายสู่ผลลัพธ์ “ถึงมือประชาชน”

เชียงราย, 24 พฤศจิกายน 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย ประกาศยกระดับ “วาระน้ำเร่งด่วน” เป็นภารกิจสำคัญของจังหวัด เดินหน้าจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบ เพื่อลดปัญหาขาดแคลนน้ำทั้งเพื่ออุปโภคบริโภคและการเกษตร โดยเริ่มปฏิบัติการที่ อ่างเก็บน้ำห้วยส้านพัฒนา ตำบลแม่สรวย อำเภอแม่สรวย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ ประชาชนสองอำเภอ แม่สรวยและแม่ลาว ใช้ร่วมกัน สะท้อนโจทย์ใหญ่ของ “การจัดการน้ำข้ามเขต” ที่ต้องการกลไกเชิงนโยบายและการบูรณาการหน่วยงานอย่างจริงจัง

การขับเคลื่อนครั้งนี้อยู่ภายใต้บทบาทของ นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ในฐานะ รองประธานคณะกรรมการติดตามและขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาที่ดิน แหล่งน้ำ และเกษตรกรรม ระดับจังหวัด ซึ่งทำหน้าที่เชื่อม “นโยบาย” กับ “การลงมือทำ” ให้เป็นเนื้อเดียวกัน โดยได้มอบหมายให้ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ร่วมกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 เพื่อสำรวจสภาพแหล่งน้ำ รับฟังปัญหา และหารือแนวทางพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม

บทนำแบบเรื่องเล่า แหล่งน้ำเดียวกัน แต่ความต้องการต่างกัน

เช้าตรู่ปลายพฤศจิกายน หมอกบางๆ ลอยต่ำเหนือน้ำในอ่างห้วยส้านพัฒนา เสียงเครื่องสูบน้ำจากไร่นาใกล้เคียงดังสลับกับการพูดคุยของชาวบ้านสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งอยู่เขตแม่สรวย อีกฝั่งอยู่เขตแม่ลาว ทุกสายตาจับจ้องไปยังคันอ่างและท่อส่งน้ำที่เป็นเส้นเลือดหลักของชุมชน หลายคนกังวลว่าพอถึงหน้าแล้งน้ำจะพอหรือไม่ ขณะที่อีกหลายคนห่วงระบบระบายน้ำหน้าแล้ง หน้าฝนที่ผันผวนหนักขึ้นตามสภาพอากาศ

ภาพเล็กๆ ตรงคันอ่างห้วยส้านสะท้อน “โจทย์ใหญ่ของจังหวัดเชียงราย” อย่างชัดเจน ทรัพยากรน้ำที่ใช้ร่วมกัน หากไร้กติกาและกลไกดูแลที่ดี ย่อมนำไปสู่ความขัดแย้งได้ง่าย ในทางกลับกัน หากมีกระบวนการประสานงานที่เป็นธรรมและโปร่งใส แหล่งน้ำเดียวกันก็จะแปลงเป็น “ความมั่นคงทางน้ำ” ของทั้งสองอำเภอร่วมกันได้

จากนโยบาย 7 เรือธง สู่ภารกิจ “ถึงมือชุมชน”

นโยบาย “7 เรือธง” ของ อบจ.เชียงราย โดยเฉพาะ เรือธงที่ 1 กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้การแก้ไขปัญหาเกิดขึ้นได้เร็วและตรงจุด หลักคิดคือ “ไม่รอให้ปัญหาลุกลาม” แต่เข้าถึงจุดวิกฤตด้วยเครื่องจักร บุคลากร และกระบวนการตัดสินใจที่ชัดเจน เพื่อเปลี่ยนการแก้เฉพาะหน้าให้เป็นการซ่อมแบบถาวรตามหลักวิศวกรรม

กรณี ห้วยส้านพัฒนา จึงถูกวางเป้าหมายเป็น 3 ระดับต่อเนื่องกัน ได้แก่

  1. ปรับปรุงตัวอ่างเก็บน้ำ เพื่อความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้าง,
  2. ยกเครื่องระบบส่งน้ำ ลดการสูญเสียและความคับคังในท่อ คลอง เพื่อจ่ายน้ำถึงเกษตรกรอย่างทั่วถึง, และ
  3. เพิ่มศักยภาพการกักเก็บ ผ่านการขุดลอก เสริมคันดินในแนวทางที่ไม่กระทบสิ่งแวดล้อมและชุมชน

แนวทางดังกล่าวสอดรับกับบทเรียนที่ อบจ.เคยทำในหลายพื้นที่ อาทิ การซ่อมเร่งด่วนคันอ่างห้วยสัก ที่มีการวางแผนซ่อมแบบถาวรตามหลักวิศวกรรม เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำปริมาณมากในช่วงรอยต่อฤดูกาล และ ปฏิบัติการกู้ชีพหนองหลวง อำเภอเวียงชัย ที่ระดมเครื่องจักรกำจัดวัชพืชน้ำกว่า 9,800 ไร่ เพื่อฟื้นระบบนิเวศและเตรียมพื้นที่รองรับกิจกรรมท่องเที่ยวระดับจังหวัด ทั้งหมดนี้คือ “รูปธรรมของความเร็วและความละเอียด” ที่ อบจ.ต้องการนำมาปรับใช้กับห้วยส้าน

น้ำร่วม” ข้ามเขต ความท้าทายเชิงธรรมาภิบาล

จุดสำคัญของห้วยส้านคือเป็น แหล่งน้ำร่วม (Joint-use Resource) ของสองอำเภอ ดังนั้นความสำเร็จจึงไม่ได้วัดเพียงตัวเลขปริมาณน้ำ แต่ต้องวัดจาก “ข้อตกลงร่วมกัน” ที่ทำให้การใช้น้ำยุติธรรมและยั่งยืน อบจ.เชียงรายจึงผลักดันข้อเสนอเชิงนโยบาย 3 ประการ เพื่อจัดวางรากฐานธรรมาภิบาล ได้แก่

  1. MOU ระดับจังหวัดสำหรับแหล่งน้ำร่วม   กำหนดโควตาการใช้น้ำช่วงปกติ หน้าแล้ง บทบาทการบำรุงรักษา และการจัดสรรงบประมาณร่วมของ อปท. แต่ละฝ่าย เพื่อป้องกันข้อขัดแย้ง และสร้างความชัดเจนตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
  2. มาตรฐานความปลอดภัยทางวิศวกรรม   พื้นที่แม่ลาว แม่สรวยเคยเผชิญเหตุแผ่นดินไหวปี 2557 จึงต้องออกแบบ ซ่อมแซมอ่างให้ทนทานต่อแรงสั่นสะเทือน การทรุดตัว รวมถึงระบบระบายน้ำ (Drainage & Relief) และการป้องกันการพังทลายของคันอ่าง (Piping) เพื่อความเชื่อมั่นของประชาชนท้ายน้ำ
  3. กลไกสนับสนุนทางเทคนิคหลังถ่ายโอน   เมื่อแหล่งน้ำขนาดเล็กถูกถ่ายโอนให้ อปท. ระดับล่างที่งบจำกัด อบจ.ควรตั้งหน่วยสนับสนุนถาวร (เครื่องจักร ช่าง แผนบำรุงรักษา) เพื่อไม่ให้สินทรัพย์เสื่อมโทรมกลับไปที่เดิม

ข้อเสนอทั้งสามเป็น “จิ๊กซอว์” ที่เติมเต็มนโยบายการกระจายอำนาจของรัฐ ซึ่งมุ่งให้การดูแลแหล่งน้ำขนาดเล็กอยู่ใกล้ชิดชุมชนมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยกำลังเสริมจาก อบจ.ในเชิงเทคนิคและงบประมาณ เพื่อให้การถ่ายโอนภารกิจเดินหน้าอย่างมีคุณภาพ

เติมเต็ม “ช่องว่างระยะสุดท้ายของน้ำ” (Last Mile Water Gap)

แม้โครงการขนาดใหญ่ระดับชาติ เช่น การก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ใกล้เคียง หรือกรอบงบประมาณด้านน้ำระดับจังหวัด จะเพิ่ม “แหล่งน้ำต้นทุน” ให้ระบบโดยรวม แต่ในความเป็นจริง ชุมชนจำนวนมากยัง ไกลกว่าที่น้ำจะไปถึง” ช่องว่างจึงอยู่ที่ “ระยะสุดท้ายของการส่งน้ำ” ท่อ คลอง ระบบกระจายน้ำ และความพร้อมของผู้ดูแลในพื้นที่

งานของ อบจ.เชียงรายที่ห้วยส้าน จึงเปรียบเหมือน “ตัวเร่งถ่ายทอดประโยชน์” จากการลงทุนก้อนใหญ่ให้เปลี่ยนเป็นน้ำที่ไหลถึงก๊อกและไร่นาจริง โดยตั้งเป้า เพิ่มความสามารถกักเก็บและลดการสูญเสียน้ำในระบบส่ง ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ทั้งในฤดูแล้ง (มีน้ำสำรอง) และฤดูฝน (ระบายน้ำได้ดี ลดน้ำท่วมขัง)

สาระสำคัญ โครงการใหญ่ทำหน้าที่ “สร้างต้นทุน” ขณะที่ อบจ.ทำหน้าที่ “แปลงต้นทุนให้เป็นน้ำถึงมือ” เมื่อสองชั้นงานทำงานร่วมกัน “ความมั่นคงทางน้ำ” จึงเกิดจริง

การทำงานเชิงบูรณาการ “สามพี่น้องท้องถิ่น” บวกหน่วยงานกลาง

จากประสบการณ์ภาคสนามของ อบจ.ในหลายพื้นที่ การทำงานที่ได้ผลต้องอาศัย “การผนึกกำลังของสามพี่น้องท้องถิ่น” อบจ., เทศบาล/อบต., และชุมชน ร่วมกับหน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ กรมทรัพยากรน้ำ กรมพัฒนาที่ดิน และกรมชลประทาน

โมเดลนี้ทำให้

  • ข้อมูลพื้นที่ จากชุมชน ผู้นำท้องถิ่น ถูกยกขึ้นมาใช้กำหนดแบบ ขนาดงานอย่างเหมาะสม,
  • ข้อจำกัดทางกฎหมาย แนวเขต ได้รับการคลี่คลายร่วมกับหน่วยงานป่าไม้และที่ดิน, และ
  • ทรัพยากรเครื่องจักร บุคลากร ของ อบจ. ถูกนำไปวางให้ตรงจุดวิกฤตได้รวดเร็ว

เมื่อหันกลับมาที่ห้วยส้าน กระบวนการลงพื้นที่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 จึงไม่ใช่เพียง “การไปดูงาน” แต่เป็น “การตั้งต้นข้อมูลจริง” เพื่อขับเคลื่อนขั้นตอนถัดไป การออกแบบ การประมาณการงบประมาณ การจัดลำดับความสำคัญ และการสื่อสารทำความเข้าใจกับชุมชน ให้เดินหน้าอย่างมีส่วนร่วม

มิติความปลอดภัย ภูมิอากาศ ออกแบบวันนี้ เพื่อรับมือความเสี่ยงพรุ่งนี้

เชียงรายเป็นจังหวัดที่ต้องรับมือทั้ง ความเสี่ยงแผ่นดินไหว และ ความผันผวนของอากาศ ที่ทำให้วงรอบน้ำท่วม แล้งเข้มข้นขึ้น การเพิ่มศักยภาพกักเก็บ ระบายน้ำที่ห้วยส้าน จึงเป็นการลงทุนที่ป้องกันความเสียหายในอนาคต ขณะเดียวกันการออกแบบต้องคำนึงถึง

  • วัสดุ โครงสร้างคันอ่าง ให้ทนต่อแรงสั่นสะเทือน,
  • ระบบระบายน้ำสำรอง เพื่อคลายแรงดันตอนน้ำหลาก, และ
  • การป้องกันการกัดเซาะ เพื่ออายุใช้งานยาวขึ้น

มาตรฐานเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง “ซ่อมถาวร” ที่ อบจ.ใช้กับอ่างน้ำอื่นๆ และต้องถูกยกระดับเป็นมาตรฐานเดียวกันที่ห้วยส้าน เพื่อให้ประชาชนท้ายน้ำมั่นใจอย่างยั่งยืน

การเงินท้องถิ่น ลงทุนครั้งเดียว แต่ต้องดูแลระยะยาว

ประเด็นที่ผู้กำหนดนโยบายต้องจับตาคือ ภาระทางการคลังหลังการถ่ายโอน แหล่งน้ำขนาดเล็กไปยัง อปท. ระดับล่าง หากไม่มี หน่วยสนับสนุนทางเทคนิคถาวร จาก อบจ. งานซ่อมบำรุงประจำปี ขุดลอกใหญ่ ซ่อมคันดิน ซ่อมคอนกรีต อาจเกินกำลังของเทศบาล/อบต. ขนาดเล็ก นำไปสู่การเสื่อมโทรมซ้ำ การวางแผน แบ่งเขตรับผิดชอบบำรุงรักษา (Maintenance Zoning) และ บัญชีสินทรัพย์ดิจิทัล ที่บันทึกสภาพ ประวัติซ่อม รอบบำรุง จะช่วยให้การดูแลเกิดความต่อเนื่องและโปร่งใส

เสียงจากภาคสนาม “เร็ว จริง ร่วม”

ระหว่างการหารือกับชุมชน รองนายก อบจ.เชียงราย ย้ำหลักคิดสั้นๆ แต่ชัดเจนว่า อบจ.พร้อมสนับสนุนทุกแนวทางที่แก้ปัญหาได้จริง และต้องเร็วพอที่ประชาชนสัมผัสได้” ประโยคนี้ไม่ใช่ถ้อยคำสวยหรู หากแต่สะท้อน “วัฒนธรรมการทำงาน” ที่ อบจ.ต้องการสถาปนา การตัดสินใจบนข้อมูลจริง การสื่อสารโปร่งใส และการลงมือทำโดยเร็วที่สุดเท่าที่กฎหมายและงบประมาณเอื้ออำนวย

สรุปภาพใหญ่ เมื่อ “นโยบาย” วิ่งถึง “คันอ่าง”

กรณีห้วยส้านพัฒนาคือจุดตัดระหว่าง “นโยบายระดับจังหวัด” กับ “ความต้องการระดับชุมชน” อย่างแท้จริง ด้านหนึ่ง เรามีกรอบการกระจายอำนาจและการถ่ายโอนแหล่งน้ำขนาดเล็กที่รัฐผลักดัน อีกด้านหนึ่ง เรามีความเป็นจริงภาคสนามที่ต้องการการประสานงาน เครื่องจักร บุคลากรและมาตรฐานวิศวกรรม การที่ อบจ.เชียงรายลงมือในจุดที่เป็น ระยะสุดท้ายของน้ำ” จึงทำให้ภาพใหญ่ของการลงทุนด้านน้ำมีความหมายต่อชีวิตคนมากขึ้น

เมื่อกระบวนการ MOU แหล่งน้ำร่วมเกิดขึ้น มาตรฐานความปลอดภัยถูกยกระดับ หน่วยสนับสนุนบำรุงรักษาถูกจัดตั้ง และระบบข้อมูลสินทรัพย์ถูกทำให้โปร่งใส น้ำหนึ่งอ่าง จะหล่อเลี้ยง สองอำเภอ อย่างเป็นธรรม ลดความขัดแย้ง เพิ่มคุณภาพชีวิต และเสริมภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจฐานรากให้แข็งแรง

ในระยะกลาง ยาว หากโมเดลห้วยส้านประสบผลสำเร็จ เชียงรายจะได้ “แบบเรียน” สำหรับแหล่งน้ำร่วมอื่นๆ ทั่วจังหวัด และอาจกลายเป็น ตัวอย่างระดับประเทศ ของการทำงานร่วมกันระหว่าง อบจ. อปท. หน่วยงานกลาง ที่เปลี่ยนแปลงได้จริงตั้งแต่ระดับคันอ่างไปจนถึงโต๊ะประชุม

กลไก ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ

  1. ทำ MOU แหล่งน้ำร่วม แม่สรวย–แม่ลาว ระบุโควตาน้ำ ฤดูแล้ง/ฤดูฝน บทบาทบำรุงรักษา และการแบ่งภาระงบ
  2. สำรวจ ออกแบบซ่อมถาวรตามมาตรฐานแผ่นดินไหว (Geo-Hydro-Structural) ครอบคลุมคันอ่าง ระบายน้ำ ป้องกันพังทลาย
  3. บัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลแหล่งน้ำ  เก็บข้อมูลสภาพ ประวัติซ่อม รอบบำรุง เพื่อความโปร่งใสในการถ่ายโอนและตั้งงบระยะยาว
  4. Maintenance Zoning โดย อบจ. เป็น “แบ็กอัพเทคนิค” ให้ อปท. ที่รับโอน มีทีม เครื่องจักรช่วยงานหนักตามรอบ
  5. เวทีสื่อสารสาธารณะ รายไตรมาสกับชุมชนสองอำเภอ เพื่ออัปเดตความคืบหน้า ปัญหา ตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ (เช่น ปริมาณกักเก็บที่เพิ่มขึ้น ระยะเวลาจ่ายน้ำเฉลี่ยต่อครัวเรือนในหน้าแล้ง)

น้ำคือชีวิตของคนเชียงราย และก็เป็นนโยบายที่ต้องจับต้องได้ ห้วยส้านพัฒนาเผยให้เห็นว่า เมื่อ นโยบาย คน เครื่องมือ ถูกจัดวางบนฐานข้อมูลจริงและความร่วมมือที่เป็นธรรม ปมเรื่องน้ำร่วม ก็สามารถคลี่คลายได้อย่างยั่งยืน “วาระน้ำเร่งด่วน” ของ อบจ.เชียงราย จึงไม่ใช่เพียงแผนงานบนกระดาษ หากเป็น สัญญาประชาคม ที่เริ่มต้นแล้ว ณ คันอ่างเล็กๆ แห่งนี้

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สภาผู้บริโภครับลูกชาวบ้าน ทวงถามความรับผิดชอบปม “ขยะฝังดินล่องหน” ทต.แม่ยาว

สังคมเงียบงันทต.แม่ยาวยังไร้คำตอบ ปม “ขยะฝังดินล่องหน” หลังสภาองค์กรของผู้บริโภค รับลูกชาวบ้าน ยื่นหนังสือจี้ความรับผิดชอบและความโปร่งใส

เชียงราย, 22 พฤศจิกายน 2568 — เสียงเรียกร้อง “ขอคำตอบที่ตรงไปตรงมา” จากชาวตำบลแม่ยาว จังหวัดเชียงราย กำลังก้องอยู่ท่ามกลางความเงียบของหน่วยงานท้องถิ่น เมื่อกรณี “ขยะฝังดินล่องหน” ที่ถูกกล่าวหาว่าเทศบาลตำบลแม่ยาว (ทต.แม่ยาว) นำไปฝังกลบโดยมิชอบ ยังไม่มีคำชี้แจงที่ชัดเจนต่อสาธารณะ ทั้งๆ ที่ สภาองค์กรของผู้บริโภคจังหวัดเชียงราย ได้รับเรื่องร้องเรียนและประกาศจะส่งหนังสือสอบถามอย่างเป็นทางการแล้ว

“หลังชาวบ้านมาร้องเรียน เราจะทำหนังสือถึงเทศบาลตำบลแม่ยาว ขอคำชี้แจงและติดตามคำตอบเพื่อนำไปสู่ขั้นตอนต่อไปตามลำดับ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้บริโภค” — ธนชัย ฟูเฟื่อง หัวหน้าหน่วยงานประจำจังหวัดเชียงราย สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวย้ำต่อทีมข่าว

แม้ทต.แม่ยาวจะมีแนวทางแก้ไขระยะยาว เช่น การเตรียมทำบันทึกข้อตกลง (MOU) เรื่องการขนและปลายทางของขยะกับหน่วยงานอื่น แต่สำหรับชาวบ้าน โดยเฉพาะในพื้นที่ บ้านห้วยทรายขาว หมู่ 4 คำถามเร่งด่วนกลับอยู่ที่ “ต้นสายปลายเหตุ” ใครเป็นผู้สั่งการให้ฝังกลบ, ขยะที่ฝังกลบนั้นคืออะไร, และ มาตรการตรวจสอบความปลอดภัยได้ทำจริงหรือไม่ ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีคำตอบสาธารณะจากผู้มีอำนาจในเทศบาล

ฉากหลังของความเงียบ เมื่อ “การจัดการระยะยาว” เดินหน้า แต่ “คำอธิบายอดีต” ยังไม่มี

เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อชาวบ้านในพื้นที่พบการนำขยะมาพักและฝังกลบในบริเวณใกล้ชุมชนและแหล่งน้ำ โดยอ้างว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหลังการย้ายเขตการปกครองของชุมชนบางแห่ง อย่างไรก็ดี การดำเนินการลักษณะดังกล่าวก่อให้เกิดคำถามด้าน ความชอบด้วยกฎหมาย, ความปลอดภัยด้านสาธารณสุข, และ ความรับผิดชอบทางปกครอง ในหลายมิติ

“สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่คำถามว่า ‘ต่อจากนี้ขยะจะไปไหน’ แต่คือคำถามว่า ‘ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ใครรับผิดชอบ’” ตัวแทนชาวบ้านสะท้อนประเด็นหลัก หลังทราบข่าวการทำ MOU จัดการขยะในอนาคต แต่ยังไม่เห็นการชี้แจงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในพื้นที่

ในหนังสือร้องเรียนของชาวบ้านที่ส่งถึงนายกเทศบาลตำบลแม่ยาวและคณะผู้บริหาร มี 3 คำถามสำคัญ ที่ต้องการคำตอบเป็นลำดับแรก ได้แก่

  1. ขยะที่ถูกฝังกลบไปแล้วและถูกขุดขึ้นมา มีสิ่งของอันตรายหรือไม่   หากมี ต้องเปิดเผยรายการและผลตรวจอย่างโปร่งใส
  2. ขยะที่ยังเหลืออยู่ ได้ตรวจสอบแล้วหรือยังว่าเป็นขยะอันตรายหรือไม่   ต้องมีเอกสารและหน่วยตรวจสอบที่เชื่อถือได้
  3. ขอรายละเอียดวัน เวลา สถานที่ และวิธีการขนทิ้ง   เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าร่วมสังเกตการณ์หรือรับรู้ข้อมูลได้โดยตรง ลดความกังวลและข้อสงสัย

ขณะที่ฝ่ายชุมชนเห็นว่า “การทำ MOU เรื่องปลายทางของขยะ” เป็นเพียงวิธีแก้ปัญหา ปลายเหตุ การฟื้นฟูความเชื่อมั่นจำเป็นต้องเริ่มที่ การอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และ การแสดงความรับผิดชอบของผู้มีอำนาจ ในฐานะผู้ดูแลพื้นที่สาธารณะ

บทบาทของสภาองค์กรของผู้บริโภค  กดปุ่มตรวจสอบ “สิทธิผู้บริโภคด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ”

การที่ สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาฯ) เข้ามารับเรื่องถือเป็น “กลไกภายนอก” ที่ช่วยตรวจสอบความโปร่งใสของกระบวนการในระดับท้องถิ่น โดยมีจุดประสงค์เพื่อคุ้มครอง สิทธิผู้บริโภคในการได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และทันเวลา เมื่อปัญหาอาจกระทบต่อคุณภาพน้ำ อากาศ สิ่งแวดล้อม และสุขภาวะของประชาชน

ธนชัย ฟูเฟื่อง ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า สภาฯ จังหวัดเชียงรายจะดำเนินการทำหนังสืออย่างเป็นทางการถึงทต.แม่ยาว เพื่อขอคำชี้แจงในประเด็นที่ประชาชนร้องเรียน พร้อมติดตามคำตอบและ เปิดเผยความคืบหน้าอย่างเป็นระบบ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อให้หน่วยงานรัฐ อธิบายเหตุผล-ข้อเท็จจริง และ ระบุผู้รับผิดชอบ ต่อการตัดสินใจในอดีตให้ชัดเจน

ในหนังสือร้องเรียนเดียวกัน ชุมชนยังระบุรายชื่อผู้เกี่ยวข้อง ตั้งแต่นายกเทศบาล ปลัดเทศบาล ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พร้อมเรียกร้อง “การแสดงความจริงใจ” ในการแก้ไขปัญหา โดยให้ ชี้แจงต่อประชาชนในที่ประชุมอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่การสื่อสารผ่านช่องทางไม่เป็นทางการเพียงอย่างเดียว

ทำไม “คำอธิบายต้นเหตุ” จึงสำคัญกว่าการประกาศแนวทางใหม่

1) ความเชื่อมั่นของสาธารณะ

ในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับขยะมูลฝอยและแหล่งน้ำ ความไว้เนื้อเชื่อใจเป็นทุนทางสังคมที่สำคัญที่สุด การสื่อสารแต่ “มาตรการในอนาคต” โดยไม่ทบทวน “บทเรียนที่ผ่านมา” จะไม่สามารถกู้ความเชื่อมั่นได้เต็มที่ เพราะประชาชนยังไม่ทราบว่า ความเสี่ยงที่เคยเกิดขึ้นได้ถูกประเมินและแก้ไขอย่างไร และ ใครรับผิดชอบทางนโยบาย-ปฏิบัติ

2) การป้องกันซ้ำรอยเชิงระบบ

การอธิบายต้นเหตุอย่างโปร่งใสทำให้สังคมเห็น ช่องโหว่อำนาจ-ขั้นตอน-ความรู้ ที่ต้องอุด เพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดซ้ำ อาทิ ช่องว่างการสื่อสารระหว่างหน่วยงาน การอนุญาตการใช้พื้นที่ผิดประเภท การขาดระบบตรวจสอบภายใน หรือการประเมินความเสี่ยงต่อแหล่งน้ำที่ไม่เพียงพอ

3) ฐานข้อมูลเพื่อการเยียวยา

หากมีผู้ประกอบการหรือประชาชนได้รับผลกระทบ (เช่น ยอดสั่งซื้อสินค้าที่ลดลง หรือค่าใช้จ่ายในการจัดหาน้ำสะอาด) การมี “คำอธิบายต้นเหตุ” และ “ข้อมูลตรวจสอบขยะ” ที่เป็นลายลักษณ์อักษร จะช่วยให้การเยียวยาเป็นไป บนหลักฐาน ไม่ใช่ความรู้สึก

ภาพใหญ่ว่าด้วย “ขยะกับแหล่งน้ำ”  ความเสี่ยงที่ชาวบ้านกังวล

แม้ปริมาณขยะที่ถูกฝังกลบ และชนิดของขยะในกรณีนี้ยังรอผลตรวจที่เป็นทางการ แต่ความกังวลของชุมชนสะท้อนความรู้พื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมที่ถูกต้อง การฝังกลบโดยไม่มีมาตรการทางวิศวกรรม (เช่น พื้นรองกันรั่วซึม ระบบรวบรวมน้ำชะขยะ และระบบบำบัด) อาจก่อให้เกิด น้ำชะขยะ (leachate) ไหลปะปนลงสู่ดินและแหล่งน้ำผิวดิน/ใต้ดิน จนส่งผลต่อคุณภาพน้ำในครัวเรือน การเกษตร และสุขภาพสาธารณะ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่แหล่งน้ำอยู่ใกล้ชุมชน

ความเสี่ยงอีกด้านคือ การสับสนของข้อมูล   หากหน่วยงานไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าขยะที่ฝังเป็น “ขยะทั่วไป” หรือ “ขยะอันตราย” และไม่ได้มีผลตรวจจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ ความหวาดระแวงของประชาชนจะสูงขึ้น และกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชุมชนในระยะยาว

องค์ประกอบของคำชี้แจงที่สังคมคาดหวัง (และตรวจสอบได้)

เพื่อให้ข้อเท็จจริงเดินหน้าและความเชื่อมั่นกลับคืน การชี้แจงของทต.แม่ยาวควรมีองค์ประกอบ ครบ-ชัด-ตรวจสอบได้ อย่างน้อย 7 ข้อ ดังนี้

  1. ไทม์ไลน์เหตุการณ์ — วันที่ เวลา สถานที่ การตัดสินใจ และผู้สั่งการในแต่ละช่วง
  2. ชนิดและปริมาณขยะ — เอกสารกำกับการขนถ่าย (ถ้ามี) พร้อมผลตรวจวิเคราะห์จากหน่วยงาน/ห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรอง
  3. ผลตรวจพื้นที่ฝังกลบ/พื้นที่โดยรอบ — คุณภาพน้ำดิบ ดิน และกลิ่น ในระยะก่อน-ระหว่าง-หลังการขุดคืน พร้อมแผนติดตาม
  4. มาตรการควบคุมความเสี่ยงทันที (containment) — วิธีการเก็บกู้ออกจากพื้นที่ การป้องกันน้ำฝนชะล้าง การจัดพื้นที่พักวัสดุชั่วคราวอย่างถูกวิธี
  5. ปลายทางของขยะที่ขุดคืน — โรงงาน/สถานที่ปลายทางที่ได้รับอนุญาต รอบเวลา/เส้นทางขนส่ง และหลักฐานการรับมอบ
  6. การมีส่วนร่วมของประชาชน — ช่องทางสังเกตการณ์ รายงานผล และการรับข้อร้องเรียนพร้อมกำหนดเวลาตอบสนอง (SLA)
  7. ผู้รับผิดชอบและบทเรียน — ระบุบทเรียนเชิงกระบวนการ/บุคลากร และแผนป้องกันซ้ำ

หากสาระสำคัญทั้ง 7 ข้อนี้ปรากฏอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร กอปรกับการพบปะชี้แจงสาธารณะ จะช่วย “ปลดล็อก” วิกฤตความเชื่อมั่นที่กำลังเกิดขึ้นได้มาก

จากประเด็นท้องถิ่น สู่บรรทัดฐานธรรมาภิบาล

กรณีแม่ยาวมิได้เป็นเพียงเรื่อง “ขยะกองหนึ่ง” แต่สะท้อนโจทย์ใหญ่ของการบริหารจัดการพื้นที่สาธารณะในระดับท้องถิ่น กฎหมายและมาตรฐานมีอยู่แล้ว แต่การสื่อสารและการบังคับใช้ต้องปรากฏจริง การนำขยะไปฝังกลบในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะใกล้แหล่งน้ำหรือชุมชน เป็นเรื่องที่ทุกหน่วยงานทราบดีว่ามีความเสี่ยงสูง การตัดสินใจดังกล่าวจึงต้องมี หลักฐานทางวิชาการ และ กระบวนการมีส่วนร่วม รองรับอย่างเคร่งครัด

ในทางปกครอง หลักธรรมาภิบาลกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อเกิดเหตุที่กระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะในชุมชน หน่วยงานรัฐต้อง ชี้แจง-รับฟัง-แก้ไข-ติดตาม อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันชุมชนเองก็มีหน้าที่ ตั้งคำถามบนข้อเท็จจริง และร่วมตรวจสอบอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งบทบาทของสภาองค์กรของผู้บริโภคในครั้งนี้จึงถือเป็น “สะพาน” เชื่อมข้อเรียกร้องของประชาชนกับกระบวนการราชการให้เดินหน้า

ทางออกเชิงระบบ  ไม่ใช่แค่ “ย้ายที่ทิ้ง” แต่ต้อง “ยกระดับทั้งห่วงโซ่”

แม้การทำ MOU กับหน่วยงานปลายทางจะช่วยลดแรงกดดันเฉพาะหน้า แต่การแก้ปัญหาที่ยั่งยืนควรมองทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่ แหล่งกำเนิด-การคัดแยก-การขนส่ง-สถานที่พักชั่วคราว-ปลายทางกำจัด รวมถึงการบริหารความเสี่ยงในสถานการณ์ฉุกเฉิน แนวทางที่จับต้องได้ อาทิ

  • ระบบคัดแยกต้นทางระดับชุมชน พร้อมการเก็บแยกประเภทและรอบเวลาที่แน่นอน ลดภาระฝังกลบ
  • สถานที่พักขยะชั่วคราวมาตรฐาน มีหลังคา พื้นรองกันรั่วซึม รางรวบรวมน้ำชะขยะ และบ่อบำบัด
  • แผนขนส่งโปร่งใส ระบุเส้นทาง-เวลาขนย้าย พร้อมบันทึก/หลักฐานการรับมอบปลายทาง
  • แดชบอร์ดข้อมูลสาธารณะ รายงานตัวชี้วัด (จำนวน/ชนิดขยะ ผลตรวจคุณภาพน้ำ/กลิ่น/เสียง ข้อร้องเรียน และการแก้ไข)
  • เวทีพบปะชุมชนรายไตรมาส เพื่อติดตามผล ข้อเสนอแนะ และสรุป “แก้แล้ว-กำลังดำเนินการ-เสร็จเมื่อไร”

การยกระดับเช่นนี้ทำให้ “ความเสี่ยง” ถูกจัดการเป็นระบบ ไม่ขึ้นกับดุลยพินิจรายบุคคล และที่สำคัญคือ ตรวจสอบได้ ซึ่งเป็นหัวใจของการอยู่ร่วมกันในสังคมประชาธิปไตย

จากความเงียบ สู่ความจริง

ความเงียบของหน่วยงานรัฐในประเด็นที่กระทบต่อ น้ำที่ดื่ม-อากาศที่หายใจ-ผืนดินที่เพาะปลูก ไม่ใช่ทางออกในปี 2568 ที่ข้อมูลเดินทางเร็วกว่าเดิม สังคมคาดหวังคำชี้แจงอย่างเป็นทางการที่มี ข้อมูลรองรับ และ แผนแก้ไขที่ตรวจสอบได้ ยิ่งสภาองค์กรของผู้บริโภคเข้าสู่กระบวนการแล้ว ยิ่งเป็นโอกาสของทต.แม่ยาวที่จะ เปิดข้อมูล-รับฟัง-ลงมือ เพื่อพาเรื่องนี้ไปสู่ จุดคลี่คลาย อย่างมีศักดิ์ศรีทุกฝ่าย

ในระยะสั้น สังคมต้องการคำตอบ 3 ข้อของชาวบ้านอย่างเร่งด่วน ในระยะกลาง ต้องการเห็นไทม์ไลน์รับผิดชอบ-แก้ไข-ติดตาม ในระยะยาว ต้องการเห็นระบบจัดการขยะที่ไม่นำพาความเสี่ยงกลับมาวนซ้ำ

เมื่อคำตอบเกิดขึ้นบนข้อมูลและความโปร่งใส ความสงสัยจะกลายเป็นความร่วมมือ และแม่ยาวจะได้ทั้ง “สิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย” และ “การบริหารที่น่าเชื่อถือ” ควบคู่กัน

Fact Box ประเด็นที่ต้องจับตา 

  • หนังสือสอบถามของสภาองค์กรของผู้บริโภค ถึงทต.แม่ยาว ออกเมื่อใด เนื้อหาขอข้อมูลอะไร และกำหนดเวลาตอบภายในกี่วัน
  • ผลตรวจชนิดขยะและพื้นที่ ใครเป็นผู้ตรวจ ห้องปฏิบัติการใด มาตรฐานอะไร และเผยแพร่สู่สาธารณะเมื่อใด
  • ปลายทางขยะที่ขุดคืน ชื่อสถานที่/โรงงานที่ได้รับอนุญาต รอบเวลาขนย้าย หลักฐานการรับมอบ
  • การสื่อสารสาธารณะ มีเวทีชี้แจง/ระบบรับข้อร้องเรียน/แดชบอร์ดข้อมูลแบบเปิดหรือไม่
  • บทเรียนและผู้รับผิดชอบ มีการระบุ/ทบทวนกระบวนการตัดสินใจเดิม และมาตรการป้องกันซ้ำรอยหรือไม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • หน่วยงานประจำจังหวัดเชียงราย สภาองค์กรของผู้บริโภค
  • หนังสือร้องเรียนของชาวบ้านบ้านห้วยทรายขาว หมู่ 4 ถึงนายกเทศบาลตำบลแม่
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

กำนันแม่ยาวตั้ง 7 คำถามจี้ “นายกพงษ์” เคลียร์ปม “บ่อขยะเถื่อน” ใกล้โรงน้ำดื่ม

วิกฤตศรัทธาในแม่ยาว กำนันตั้ง 7 คำถามจี้ “นายกพงษ์” เคลียร์ปม “บ่อขยะเถื่อน” ใกล้โรงน้ำดื่ม เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ใครรับผิดชอบ?

เชียงราย, 20 พ.ย. 2568 – ความขัดแย้งเรื่องการจัดการขยะในตำบลแม่ยาวปะทุสู่ “วิกฤตศรัทธา” หลังมีข้อกล่าวหาว่าเทศบาลตำบลแม่ยาวนำขยะไป “พัก/ฝังกลบ” ในพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำและโรงน้ำดื่มชุมชน ตั้งแต่ 11 พ.ย. 2568 จนประชาชนขาดความเชื่อมั่น กำนันตำบลแม่ยาว “ปรัตถกร การเร็ว” ทำหนังสือถึงเทศบาล ยื่น 7 คำถามเร่งด่วน ตั้งหลักธรรมาภิบาลและการเยียวยาผู้เสียหาย ขณะที่กรอบกฎหมายไทยชี้ชัด หากการกระทำเข้าข่ายละเมิดหรือทุจริต หน่วยงานรัฐต้องชดใช้–แก้ไข และอาจเรียกคืนความเสียหายจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องได้

กลิ่นขยะที่ลอยมากับคำถามเรื่องความรับผิดชอบ

บทเรียนเรื่อง “ขยะ” มักเริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่คนพยายามมองข้าม แต่ผลสะสมกลับใหญ่เกินปล่อยผ่าน เมื่อชุมชนบ้านดอยถูก “ย้ายเขตการปกครอง” จากเทศบาลนครเชียงรายไปสังกัดเทศบาลตำบลแม่ยาว การเปลี่ยนมือ “ผู้รับผิดชอบ” กลายเป็นรอยต่อที่สะดุด จนขยะไม่ถูกเก็บตามรอบ เกิดการกองสุม ส่งกลิ่น และนำไปสู่ข้อกล่าวหาว่ามีการ “นำขยะมาพักหรือฝังกลบ” ในพื้นที่เทศบาลแม่ยาวใกล้แหล่งน้ำและโรงน้ำดื่มของชุมชน

นับจากวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 กระแสวิตกในพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่คือ “ศรัทธา” ต่อกลไกท้องถิ่นที่ควรปกป้องสาธารณะ โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจน้ำดื่มชุมชน วิสาหกิจชุมชนน้ำดื่มปกครองตำบลแม่ยาว ถูกลูกค้ายกเลิกออเดอร์จากความกังวลเรื่องคุณภาพน้ำ คำถามจึงไม่ใช่เพียง “ทิ้งที่ไหน” แต่คือ “ใครสั่ง ใครทำ และใครรับผิดชอบ”

ไทม์ไลน์ จาก “ย้ายเขต” สู่ “บ่อขยะเถื่อน” และหนังสือ 7 คำถาม

  • ก่อน ต.ค.–พ.ย. 2568 ชุมชนบ้านดอยเดิมอยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลนครเชียงราย มีการเก็บขยะถี่เป็นประจำ
  • ช่วงย้ายเขตการปกครอง บ้านดอยถูกจัดให้อยู่ในหมู่ 17 ตำบลแม่ยาว การเก็บขยะปรับเป็นทุก 7–10 วัน ส่งผลให้ขยะตกค้างริมทางเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • 11 พ.ย. 2568 เกิดเหตุที่ชาวบ้านและฝ่ายปกครองชี้ว่ามีการ “นำขยะมาพักหรือฝังกลบ” ในเขตเทศบาลตำบลแม่ยาว บริเวณใกล้แหล่งน้ำและโรงน้ำดื่มชุมชน
  • 12 พ.ย. 2568 ความกังวลสาธารณะพุ่งสูง วิสาหกิจชุมนุมน้ำดื่มได้รับผลกระทบจากการยกเลิกออเดอร์จำนวนมาก สะท้อน “ความเชื่อมั่นที่หายไป”
  • ถัดมา กำนันตำบลแม่ยาว “ปรัตถกร การเร็ว” โพสต์และเตรียมทำหนังสือถึงเทศบาล ยื่น 7 คำถามหลัก เพื่อขอคำชี้แจง–มาตรการ–เยียวยา และเร่งวาระ MOU ด้านการจัดการขยะกับเทศบาลนครเชียงราย

ไทม์ไลน์นี้ชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง การเปลี่ยนผ่าน “ผู้รับผิดชอบ” โดยไม่มีระบบรองรับที่รัดกุมเพียงพอ และการตัดสินใจเชิงปฏิบัติการที่ขาดหลักวิชาการ จนพาไปสู่วิกฤตศรัทธาที่จับต้องได้

จุดแตกหัก ความเสียหายที่มองเห็นและความกลัวที่มองไม่เห็น

ความเสียหายเชิงเศรษฐกิจ เกิดขึ้นทันทีและชัดเจน โรงน้ำดื่มชุมชนซึ่งเป็นแหล่งน้ำบริโภคสำคัญของชาวบ้านต้องเผชิญการยกเลิกออเดอร์ “จากความกังวล” ไม่ว่าผลตรวจจะออกมาว่าอย่างไรในภายหลัง “ความกลัว” ได้ทำงานก่อนแล้ว

ความเสียหายเชิงสังคม คือความเสื่อมถอยของความไว้วางใจต่อรัฐท้องถิ่น ประชาชนตั้งคำถามว่า “เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ก่อปัญหาเสียเอง” แล้วกลไกไหนจะปกป้องพวกเขา

ความเสี่ยงเชิงสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แม้ยังรอการยืนยันจากผลตรวจผู้เชี่ยวชาญภายนอก แต่บทเรียนทั่วประเทศชี้ให้เห็นแนวโน้มเดียวกัน การพัก/ฝังขยะโดยไม่ผ่านระบบมาตรฐาน มักนำไปสู่ น้ำชะขยะ (Leachate) ปนเปื้อนลงดินและน้ำ รุกล้ำห่วงโซ่อาหารและสุขภาวะในระยะยาว

7 คำถามของกำนัน แผนที่ทางออกด้วย “ธรรมาภิบาล”

กำนันปรัตถกร การเร็ว ยื่น 7 คำถาม ถึงเทศบาลตำบลแม่ยาว เป็นหมุดหมายสำคัญของการทวงคืนความเชื่อมั่น

  1. จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร ต่อการจัดการขยะที่ผิดพลาด ทั้งระดับนโยบายและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ
  2. มีผู้เชี่ยวชาญภายนอกตรวจคุณภาพน้ำ–อากาศ–กลิ่น แล้วหรือยัง และผลจะสื่อสารสาธารณะอย่างโปร่งใสเมื่อใด
  3. มีหนังสือชี้แจงผู้บริโภคน้ำดื่ม ของโรงน้ำดื่มแม่ยาวแล้วหรือยัง เพื่อคลี่คลายความวิตก
  4. มาตรการสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว ให้กับผู้บริโภคน้ำดื่มคืออะไร จะจัดระบบสุ่มตรวจ/ประกาศผลถี่เพียงใด
  5. การเยียวยาผู้ประกอบการโรงน้ำดื่ม ที่ถูกยกเลิกออเดอร์จำนวนมาก จะประเมิน–จ่าย–ติดตามอย่างไร
  6. แผนจัดการขยะระยะยาวของบ้านดอย หลังย้ายเขต จะใช้วิธีใด ที่ไหน ใครกำกับ และมีการรับฟังชุมชนหรือไม่
  7. ความคืบหน้า MOU ระหว่างเทศบาลตำบลแม่ยาว–เทศบาลนครเชียงราย จะลงนามเมื่อใด และมีข้อกำหนดบริการ/ความถี่/งบประมาณที่ชัดเจนเพียงใด

คำถามเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการ “ทวงคำตอบ” แต่คือ มาตรวัดธรรมาภิบาล ความโปร่งใส (Transparency) ความรับผิดรับชอบ (Accountability) และการมีส่วนร่วม (Participation) ที่จะพาชุมชนกลับสู่สภาวะไว้วางใจ

กฎหมายว่าอย่างไร เมื่อ “ทิ้งถูก” แต่ “ที่ทิ้งไม่ถูก”

จากข้อมูลเชิงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมักถูกอ้างถึงในคดีลักษณะเดียวกันทั่วประเทศ แนวทางตีความความรับผิดมี 3 มิติ ซ้อนทับกัน

1) อาญา ฐานละเว้น/ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

หากพบว่ามีการ สั่งการ/ยินยอม/รู้เห็น ให้พักหรือฝังกลบขยะในที่ที่ไม่เหมาะสมหรือใกล้แหล่งน้ำ อาจเข้าข่าย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (ปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือโดยทุจริต) และกรณีที่มีพยานหลักฐานเรื่อง ทุจริต ในการจัดซื้อจัดจ้างหรือใช้ดุลยพินิจโดยทุจริต อาจเข้าข่ายกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 172 ได้

2) วินัย ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง

เมื่อ ป.ป.ช. ชี้มูลหรือปรากฏข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ การลงโทษทางวินัยอย่างร้ายแรงสามารถดำเนินการได้ แม้เจ้าหน้าที่ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งแล้ว (ภายใต้กรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด)

3) ปกครอง/ละเมิด ชดใช้ความเสียหายให้ประชาชน

ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 หากการกระทำของเจ้าหน้าที่ก่อความเสียหายแก่ประชาชน หน่วยงานรัฐต้องรับผิดชอบชดใช้ก่อน จากนั้น หากเกิดจากเจตนาหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานรัฐมีสิทธิ “เรียกคืน” จากเจ้าหน้าที่ผู้นั้นได้บางส่วน นี่คือ กลไกยับยั้งเชิงการเงิน ที่ทำให้ผู้มีอำนาจต้องระวังต่อการตัดสินใจผิดหลักวิชาการ

บทเรียนจากคดีตัวอย่าง (ตามข้อมูลที่ผู้ให้ข่าวอ้างถึง)

  • คดีบ่อขยะเกาะสมุย (ศาลปกครอง นศ. คดีแดง ส.1/2566) ศาลสั่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกำจัดขยะคงค้าง–บำบัดน้ำเสียให้เสร็จภายใน 120 วัน เน้นย้ำหน้าที่รัฐต้องแก้ไขเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน
  • คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด อส.2/2564 วินิจฉัยให้ อปท. ชดใช้ค่าสินไหม จากกรณีก่อให้เกิดน้ำเสียไหลลงพื้นที่เกษตรของประชาชน ถือเป็น “ละเมิด” จากการปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความระมัดระวังตามหลักวิชาการ

สองกรณีข้างต้น ตามที่ถูกยกเป็นกรอบอ้างอิงในข้อมูล สะท้อนหลักกว้างๆ ว่า หากการกระทำของรัฐ/เจ้าหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายจริง ศาลสามารถบังคับให้แก้ไข–ชดใช้–และปรับปรุงระบบ เพื่อไม่ให้เกิดซ้ำ

บ่อขยะเถื่อนใกล้แหล่งน้ำ” ทำไมถึงเสี่ยง? วิทยาศาสตร์ของน้ำชะขยะ

การพัก/ฝังกลบขยะโดยไม่ผ่านระบบป้องกันมาตรฐาน (เช่น แผ่นรองกันซึม, ระบบเก็บน้ำชะขยะ, บ่อบำบัด, แนวกันน้ำท่วม) มีความเสี่ยงอย่างน้อย 3 ชั้น

  1. น้ำชะขยะ (Leachate) ละลายสารอินทรีย์–โลหะหนัก ไหลซึมลงดิน เข้าสู่แหล่งน้ำตื้น
  2. การกระจายกลิ่น–เชื้อโรค–แมลง สร้างภาวะรบกวนและเสี่ยงต่อสุขภาพชุมชน
  3. ความเสียหายต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น ธุรกิจที่พึ่งพา “ความสะอาด–ความเชื่อมั่น” อย่างน้ำดื่ม–อาหาร–ท่องเที่ยว จะถูกกระทบทันทีแม้ยังไม่ยืนยันผลตรวจ

ด้วยเหตุนี้ มาตรฐานสากลและกฎหมายไทยจึงเข้มงวดต่อที่ตั้งบ่อฝังกลบ ห้ามใกล้แหล่งน้ำ และต้องออกแบบรองรับตั้งแต่วันแรก

ทางออกที่จับต้องได้ 5 ชุดมาตรการ “หยุดเลือด–เยียวยา–ป้องกันซ้ำ”

เพื่อคลี่คลายวิกฤตศรัทธาและกู้ระบบให้เดินต่ออย่างยั่งยืน บทความนี้สรุปทางเลือกเชิงปฏิบัติการจากประสบการณ์พื้นที่อื่นและกรอบกฎหมายที่มีอยู่ ดังนี้

1) มาตรการฉุกเฉิน (ภายใน 7–14 วัน)

  • หยุดทันที ต่อการพัก/ฝังกลบขยะในพื้นที่เสี่ยงใกล้แหล่งน้ำ พร้อมปิดกั้นทางน้ำผิวดิน–ผิวใต้ดินชั่วคราว
  • ดึงผู้เชี่ยวชาญภายนอกตรวจคุณภาพน้ำ–อากาศ–กลิ่น ตามจุดเสี่ยง และประกาศผลแบบเปิดเผยเป็นระยะ (เช่น รายสัปดาห์ใน 1–2 เดือนแรก)
  • หนังสือชี้แจงต่อผู้บริโภคน้ำดื่ม อธิบายมาตรการ–ผลตรวจ–แนวทางป้องกันซ้ำ พร้อมตั้ง ศูนย์สื่อสารความเสี่ยง กลางชุมชน

2) การเยียวยาเศรษฐกิจท้องถิ่น

  • สำรวจความเสียหายเชิงธุรกิจ ของวิสาหกิจน้ำดื่ม (ออเดอร์ที่ถูกยกเลิก–ต้นทุนตรวจเพิ่ม–ค่าใช้จ่ายฟื้นความเชื่อมั่น) และกำหนดเกณฑ์เยียวยาที่ชัดเจน
  • กองทุนชั่วคราว ร่วมภาครัฐ–ท้องถิ่น เพื่อบรรเทาผลกระทบเฉียบพลัน พร้อมแผน กู้ภาพลักษณ์ ด้วยตรารับรองคุณภาพน้ำ (ผ่านแล็บกลาง) 3–6 เดือนติดต่อกัน

3) สัญญาประชาคม–MOU จัดการขยะ

  • ลงนาม MOU ระหว่างเทศบาลตำบลแม่ยาว–เทศบาลนครเชียงราย ระบุความถี่เก็บขยะ, เส้นทาง, จุดทิ้งปลายทางที่ได้มาตรฐาน, งบประมาณ, กลไกตรวจสอบ และ ผู้รับผิดชอบชัดเจน
  • ตั้ง แดชบอร์ดสาธารณะ แสดงตารางเก็บ–ปริมาณขยะ–ผลตรวจ–ข้อร้องเรียน–สถานะการแก้ไข ให้ชาวบ้านติดตามแบบเรียลไทม์

4) ปรับโครงสร้างระยะยาว

  • ยึดหลักวิชาการ ในการเลือกจุดพัก/ฝังกลบ–สถานีคัดแยก–ศูนย์รวบรวม รีไซเคิล และสัญญากำจัดปลายทาง
  • ตั้งคณะทำงานร่วมภาคประชาชน มีสิทธิร่วมตรวจสถานที่–สัญญา–รายงานผลการตรวจวัดสิ่งแวดล้อม
  • สร้างวินัยต้นทาง ผ่านอบรม/แรงจูงใจคัดแยกครัวเรือน–ผู้ประกอบการ ลดปริมาณขยะเป้าหมายรายไตรมาส

5) ธรรมาภิบาลและความรับผิด

  • หากผลสอบชี้ว่ามีการสั่งการ/รู้เห็นที่มิชอบ ให้ ดำเนินการตามกฎหมาย ครบทุกมิติ อาญา, วินัย, ละเมิด และพิจารณา เรียกคืนความเสียหาย จากผู้เกี่ยวข้อง
  • ตั้ง คณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริง มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อม–สาธารณสุข–ผังเมือง–ตัวแทนชุมชน พร้อมกำหนดกรอบเวลา–เผยแพร่รายงานต่อสาธารณะ

เสียงจากพื้นที่ “ปัญหาอาจจบ แต่ความรู้สึกยังอยู่”

สารจากกำนันปรัตถกรสะท้อนความจริงเชิงสังคมที่สำคัญ ความเชื่อใจสร้างยากและพังง่าย แม้การจัดการเชิงเทคนิคจะกลับเข้ารูปเร็วเพียงใด แต่หากไม่มี “สำนึกความรับผิดและการสื่อสารที่โปร่งใส” วิกฤตศรัทธาจะค้างคาและกลายเป็น ต้นทุนความร่วมมือ ที่แพงยิ่งกว่าค่าจัดการขยะเสียอีก

วิกฤตครั้งนี้คือ “โอกาสทบทวนระบบ”

เหตุการณ์ในแม่ยาวไม่ได้ถามเพียงว่า “ขยะอยู่ไหน” แต่ถามลึกไปถึง ระบบรับผิดชอบร่วม ของรัฐท้องถิ่น ตั้งแต่การวางแผน การสื่อสาร การตัดสินใจภายใต้ข้อจำกัด ไปจนถึงการยอมรับความผิดพลาดและการเยียวยา

ทางออกที่ยั่งยืนจึงต้องทำพร้อมกัน 3 ชั้น

  1. หยุดความเสี่ยงทันที (Stop the bleeding) ด้วยการห้ามพัก/ฝังกลบในพื้นที่เสี่ยง ตรวจ–ประกาศผล–สื่อสารความเสี่ยง
  2. เยียวยาความเสียหายจริง (Make it right) ชดเชยเศรษฐกิจชุมชน กู้ความเชื่อมั่นด้วยผลตรวจต่อเนื่องและตรารับรอง
  3. ป้องกันซ้ำด้วยระบบ (Fix the system) ผ่าน MOU ที่มีเขี้ยวเล็บ, แดชบอร์ดโปร่งใส, การมีส่วนร่วมของประชาชน และกลไกความรับผิดตามกฎหมาย

สุดท้าย “เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐกระทำผิด ใครรับผิดชอบ” คำตอบในกรอบกฎหมายไทยชัดเจน หน่วยงานรัฐต้องรับผิดชอบต่อสาธารณะก่อน และหากพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากเจตนาหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หน่วยงานมีสิทธิ เรียกคืนจากเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ได้ นี่คือหลักความเป็นธรรมที่ต้องเดินคู่กับหลักวิชาการและหัวใจของชุมชน

วิกฤตศรัทธาในแม่ยาว จึงอาจกลายเป็น จุดพลิกระบบ หากทุกฝ่ายยืนอยู่บนความจริง กล้ารับผิด แก้ไขอย่างโปร่งใส และให้ชุมชนเป็นเจ้าของข้อมูลและอนาคตร่วมกัน

ภาคผนวก 7 คำถามของกำนันตำบลแม่ยาว (สรุปสาระ)

  1. รูปธรรมการแสดงความรับผิดชอบของเทศบาลต่อเหตุผิดพลาดครั้งนี้
  2. ผลตรวจคุณภาพน้ำ–อากาศ–กลิ่น โดยผู้เชี่ยวชาญภายนอก และการสื่อสารต่อสาธารณะ
  3. หนังสือชี้แจงผู้บริโภคน้ำดื่มของโรงน้ำดื่มแม่ยาว
  4. มาตรการสร้างความเชื่อมั่นระยะยาว (เช่น แผนตรวจถี่/ประกาศผล/ตรารับรอง)
  5. รูปแบบ–เกณฑ์การเยียวยาผู้ประกอบการน้ำดื่มที่ถูกยกเลิกออเดอร์จำนวนมาก
  6. แผนจัดการขยะระยะยาวของบ้านดอยหลังย้ายเขต (วิธี–สถานที่–ผู้รับผิดชอบ–การมีส่วนร่วม)
  7. โรดแมป MOU กับเทศบาลนครเชียงราย (วันลงนาม–ข้อกำหนดบริการ–ความถี่–งบประมาณ–กลไกตรวจสอบ)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คำถาม 7 ข้อของ นายปรัตถกร การเร็ว กำนันตำบลแม่ยาว
  • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (ปฏิบัติหรือละเว้นหน้าที่โดยมิชอบ)
  • พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 172 (การปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต)
  • พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (หลักการชดใช้และสิทธิเรียกคืนจากเจ้าหน้าที่เมื่อมีเจตนาหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง)
  • คดีบ่อขยะเกาะสมุย ศาลปกครองนครศรีธรรมราช คดีหมายเลขแดงที่ ส.1/2566 (คำสั่งให้ อปท. กำจัดขยะ–บำบัดน้ำเสียภายใน 120 วัน)
  • คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด อส.2/2564 (ยืนยันความรับผิดทางละเมิดของ อปท. จากน้ำเสียไหลกระทบพื้นที่เกษตร)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News