Categories
ECONOMY

โลจิสติกส์บูม! คลังสินค้าไทยผงาดเป็นศูนย์กลางโลก พร้อมปลดล็อกเชียงแสน

ไทยผงาดเป็นศูนย์กลางคลังสินค้าโลก รับแรงส่งการลงทุนต่างชาติ EEC-โลจิสติกส์บูม ขณะเชียงแสนเร่งปลดล็อกศักยภาพประตูการค้าจีน

กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2568 – ในยุคที่ห่วงโซ่อุปทานโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยกำลังย่างก้าวขึ้นสู่บทบาทใหม่ที่สำคัญในฐานะ “ศูนย์กลางคลังสินค้าโลก” โดยได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากกระแสการย้ายฐานการผลิตและการจัดจำหน่ายของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น จีน และยุโรป ที่มองหาจุดยุทธศาสตร์ที่มั่นคงสำหรับการจัดเก็บและกระจายสินค้า

การเติบโตของภาคโลจิสติกส์ไทยในครึ่งปีแรกของ 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและศักยภาพของประเทศ ด้วยทำเลที่ตั้งที่เป็นประโยชน์ โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และมาตรฐานคลังสินค้าที่เทียบเท่าระดับสากล ซึ่งสะท้อนผ่านการลงทุนขยายพื้นที่คลังสินค้าของภาคเอกชนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญอย่างแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นประตูสู่ท่าเรือและเชื่อมโยงกับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ภาคเอกชนเร่งขยายลงทุน รับดีมานด์พุ่งทะยาน

การเติบโตของธุรกิจคลังสินค้าไทยปรากฏชัดเจนจากผลการดำเนินงานของผู้เล่นรายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอย่างน่าประทับใจ

SCX Corporation บริษัทลูกในเครือ SC Asset ที่มุ่งเน้นธุรกิจสร้างรายได้ประจำ ได้ประกาศแผนการลงทุน 20,000 ล้านบาทระหว่างปี 2568-2572 โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทสามารถปล่อยเช่าพื้นที่คลังสินค้าได้สูงถึง 110,000 ตารางเมตร เพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 260% เมื่อเทียบกับปีก่อน และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะทะลุ 150,000 ตารางเมตร

ความสำเร็จของ SCX ปรากฏชัดจากโครงการ SCX Logistics Bangna Km.23 ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ซึ่งพื้นที่อาคารทั้งหมดถูกเช่าเต็ม 100% ทันทีที่เปิดตัว จุดแข็งของ SCX อยู่ที่กลุ่มลูกค้าที่หลากหลายทั้งสัญชาติ (ญี่ปุ่น 25%, จีน 23%) และประเภทธุรกิจ (โลจิสติกส์ 45%, การผลิต 25%, ดาต้าเซ็นเตอร์ 16%) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงและตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางซัพพลายเชนระดับภูมิภาค

ขณะเดียวกัน บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจคลังสินค้าให้เช่ามากว่า 60 ปี ได้เปิดตัวคลังสินค้า “พูลพิพัฒน์ สาขาแหลมฉบัง 1 (LCB1)” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 คลังสินค้าแห่งใหม่นี้มีพื้นที่กว่า 34,200 ตร.ม. ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง โดยได้รับการออกแบบตามมาตรฐานสากลและมุ่งสู่การเป็น “Green Warehouse” เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยยึดหลัก ESG พร้อมแผนก่อสร้างเพิ่มอีก 2 แห่ง รวมพื้นที่กว่า 100,000 ตร.ม.

นอกจากนี้ บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) เร่งขยายพื้นที่คลังสินค้าปลอดอากร (Free Zone) ในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังอีกเกือบ 6,000 ตารางเมตร นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SINO กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นความต้องการเช่าพื้นที่จัดเก็บที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากกลุ่มยานยนต์และโลจิสติกส์นำเข้า-ส่งออกที่ต้องการสิทธิประโยชน์ด้านภาษี เมื่อรวมพื้นที่เดิม คลังสินค้าปลอดอากรของ SINO จะเพิ่มขึ้นเป็น 23,000 ตารางเมตร จากพื้นที่ทั้งหมด 33,000 ตารางเมตร และมั่นใจว่าจะสามารถปล่อยเช่าได้เต็มพื้นที่ภายในปี 2569

ข้อมูลจากตลาดโลจิสติกส์ไทยชี้ว่า ในปี 2568 คาดว่าจะมีพื้นที่คลังสินค้าใหม่ 150,686 ตร.ม. เข้าสู่ตลาด โดย EEC จะคิดเป็น 72% ของอุปทานในอนาคต ซึ่งเป็นผลจากการลงทุนต่อเนื่องในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอุปโภคบริโภคที่เคลื่อนไหวเร็ว

เชียงแสน-เชียงของ ประตูการค้าเหนือที่กำลังปลดล็อกศักยภาพ

ขณะที่ภาคกลางและตะวันออกเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ภาคเหนือก็กำลังเขียนบทใหม่ด้วยการยกระดับท่าเรือเชียงแสนและเชียงของให้เป็นประตูการค้าและโลจิสติกส์สำคัญ การพัฒนาครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานธรรมดา แต่คือการวางแผนยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้ง เพื่อเชื่อมโยงประเทศไทยเข้ากับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างจีนและอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) อย่างไร้รอยต่อ

ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่าในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 การค้าชายแดนและผ่านแดนผ่านท่าเรือเชียงแสนมีมูลค่ารวม 5,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยการส่งออกผ่านท่าเรือมีมูลค่า 5,650 ล้านบาท ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 312 ล้านบาท

ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 (CSP2) ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของการขนส่งสินค้าทางน้ำกับจีน ด้วยขีดความสามารถที่สูงถึง 6 ล้านตันต่อปี มากกว่าท่าเรือเดิมถึง 10 เท่าตัว แต่การใช้ประโยชน์จากศักยภาพอันมহาศาลนี้ยังคงไม่เต็มที่ สาเหตุหลักมาจาก “ความท้าทายในการเดินเรือ” ในแม่น้ำโขง ทั้งในเรื่องกระแสน้ำเชี่ยวในฤดูน้ำหลากและระดับน้ำที่ตื้นเขินในฤดูแล้ง

อย่างไรก็ตาม ความหวังใหม่ได้ปรากฏขึ้นจากการประกาศของสำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2567 ที่อนุมัติให้ “ท่าเรือกวนเหล่ย” ในมณฑลยูนนานของจีน มีสถานะเป็น “ด่านเฉพาะเพื่อการนำเข้าผลไม้” อย่างเป็นทางการ นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของภาคการส่งออกไทย เพราะนับจากนี้เป็นต้นไป “ผลไม้ไทย” จะสามารถเดินทางจากท่าเรือเชียงแสนตรงไปยังจีนทางแม่น้ำได้โดยไม่ต้องผ่านพิธีการหลายขั้นตอนเหมือนในอดีต

การอนุมัติครั้งนี้ถือเป็นการแก้ไขปัญหาคอขวดที่เคยเป็นอุปสรรคสำคัญ และคาดการณ์ว่าปริมาณการนำเข้าผลไม้ผ่านท่าเรือกวนเหล่ยจะพุ่งสูงถึง 150,000 ตัน ในปี 2568 และแตะ 300,000 ตัน ภายในปี 2573 โดยผลไม้สด เช่น ทุเรียน มังคุด และลำไย คิดเป็นสัดส่วนกว่า 88% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดจากภาคเหนือไปยังจีนผ่านเส้นทาง R3A

ควบคู่ไปกับการพัฒนาท่าเรือเชียงแสน อำเภอเชียงของ กำลังถูกวางตำแหน่งให้เป็น “ศูนย์กลางโลจิสติกส์หลายรูปแบบ” (Multimodal Logistics Hub) และ “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” (SEZ) ที่สำคัญ โดยมีจุดเด่นจากการเชื่อมโยงโครงข่ายการขนส่งทั้งทางถนน (สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 4), ทางน้ำ และในอนาคตอันใกล้นี้คือทางรถไฟ

การแข่งขันจากรถไฟจีน-ลาว บทท้าทายที่เป็นโอกาส

การเปิดให้บริการ “รถไฟจีน-ลาว” เมื่อปลายปี 2564 ได้สร้างคลื่นใต้น้ำครั้งใหญ่ในแวดวงโลจิสติกส์ภาคเหนือ เส้นทางใหม่นี้ไม่ใช่แค่คู่แข่ง แต่คือ “ตัวเร่ง” ให้ท่าเรือเชียงแสนและเชียงของต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน เพราะรถไฟจีน-ลาวมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าในหลายด้าน คาดการณ์ว่าจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้ถึง 50% เมื่อเทียบกับการขนส่งทางถนน R3A และ 42% เมื่อเทียบกับเส้นทางแม่น้ำโขง นอกจากนี้ยังลดเวลาการขนส่งผลไม้สดจากคุนหมิงสู่กรุงเทพฯ ให้เหลือเพียง 55 ชั่วโมง เร็วกว่าการขนส่งแบบเดิมถึง 1 วัน

ข้อมูลปี 2566 แสดงให้เห็นว่ามูลค่าการค้าไทย-จีนอยู่ที่ 126.28 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนเป็นตลาดส่งออกหลักสำหรับผลิตภัณฑ์เกษตรไทย โดยดูดซับผลิตภัณฑ์เกษตรของไทยมากกว่า 40% นักวิเคราะห์จากหลายสำนักมองว่าการเกิดขึ้นของรถไฟจีน-ลาว คือการเปลี่ยนเกมครั้งสำคัญที่จะผลักดันให้การค้าและการลงทุนมุ่งไปสู่ระบบรางมากขึ้น และจะทำให้เส้นทางการค้าทางน้ำต้องหันมาเน้นการขนส่งสินค้าเฉพาะทางหรือสินค้าที่มีต้นทุนต่ำเป็นหลัก

ประโยชน์มหาศาลต่อประชาชนและเศรษฐกิจไทย

การขยายตัวครั้งใหญ่ในธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์นี้ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของภาคธุรกิจเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลต่อประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในหลายมิติ

การลงทุนขนาดใหญ่ในคลังสินค้าและโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ สร้างความต้องการแรงงานจำนวนมาก ทั้งในส่วนของการก่อสร้าง การบริหารจัดการคลังสินค้า และบริการสนับสนุนอื่นๆ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างงานใหม่และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่และใกล้เคียง การที่ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มากขึ้น ไม่เฉพาะในธุรกิจคลังสินค้า แต่ยังรวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น การผลิต การค้า และอีคอมเมิร์ซ

ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดต้นทุนการขนส่งและการจัดเก็บสินค้า ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่นำเข้าหรือผลิตในประเทศลดลง ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้ในราคาที่ยุติธรรมมากขึ้น การมุ่งเน้นการสร้าง “Green Warehouse” การใช้พลังงานสะอาด และรถขุดไฟฟ้าเพื่อลดมลภาวะ สะท้อนถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในระยะยาว

ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เพื่อปลดล็อกศักยภาพของท่าเรือเชียงแสนและเชียงของให้เป็นประตูการค้าสำคัญของประเทศอย่างยั่งยืน ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งเจรจากับฝ่ายจีนเพื่อยกเลิกข้อจำกัดการนำเข้าสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (cold chain) ที่ท่าเรือกวนเหล่ย รวมถึงประสานงานกับลาวเพื่อปรับปรุงเวลาทำการของด่านให้สอดคล้องกัน

การเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยดำเนินการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของ และโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ให้แล้วเสร็จตามกำหนด เพื่อบูรณาการระบบขนส่งให้ครบทุกรูปแบบก็เป็นสิ่งสำคัญ

การแก้ไขปัญหาแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน โดยรัฐบาลควรส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศในอนุภูมิภาคในการจัดการน้ำอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของชุมชนริมแม่น้ำอย่างรอบด้าน รวมถึงการใช้โอกาสจากการที่ท่าเรือกวนเหล่ยเปิดเป็นด่านผลไม้ เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกผลไม้ไทยให้สูงสุด และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน cold chain เพื่อรองรับสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ประเทศไทยไม่เพียงแต่กำลังเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่ครบวงจรและยั่งยืน สร้างประโยชน์ที่จับต้องได้แก่ประชาชนทุกคนในทุกมิติ การปรับตัวและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีวิสัยทัศน์ของประเทศไทย จะช่วยให้เราสามารถคว้าโอกาสทองจากความเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกได้อย่างเต็มที่ และตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญของภูมิภาคอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • SC Asset Corporation (SCX Corporation) – รายงานผลการดำเนินงานครึ่งปี 2568
  • Bangkok Post – รายงานการค้าชายแดน 10 เดือนแรก 2567
  • Knight Frank Thailand – รายงานตลาดโลจิสติกส์ไทย ครึ่งปีหลัง 2567
  • China Briefing – ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจไทย-จีน 2568
  • บริษัท พูลพิพัฒน์ จำกัด – ข่าวประชาสัมพันธ์การเปิดคลังสินค้าแหลมฉบัง
  • บริษัท ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น – แผนขยายคลังสินค้าปลอดอากร
  • สำนักงานศุลกากรแห่งชาติจีน (GACC) – ประกาศอนุมัติท่าเรือกวนเหล่ย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE TOP STORIES

รมช.เกษตรฯ หนุนส่งออกโคเนื้อ เชียงรายสู่ตลาดโลก

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ เยี่ยมชมท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน พร้อมตรวจเยี่ยมโครงการส่งเสริมการเลี้ยงโคเนื้อเชียงราย

เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 เวลา 10.30 น. ณ ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน จังหวัดเชียงราย นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ ลงพื้นที่เยี่ยมชมการดำเนินงานของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าปศุสัตว์และผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ที่สำคัญของประเทศไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสหภาพเมียนมา

การสนับสนุนการส่งออกปศุสัตว์ไทย

ปัจจุบันท่าเรือพาณิชย์เชียงแสนมีบทบาทสำคัญในการส่งออกโค กระบือ และสุกร โดยในช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2567 มีการส่งออกโคจำนวน 424 ตัว กระบือ 95 ตัว สุกร 42,894 ตัว และลูกสุกร 8,055 ตัว รวมถึงซากสุกร 919,553 กิโลกรัม ซากไก่ 573,942 กิโลกรัม และซากโค 1,400 กิโลกรัม

นายอิทธิ ได้กล่าวชื่นชมการทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมในการผลักดันการส่งออกสัตว์และผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมทั้งฝากถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ให้ใส่ใจดูแลสุขภาพสัตว์ ฉีดวัคซีนให้ครบถ้วน และหลีกเลี่ยงการใช้สารเร่งเนื้อแดง

เยี่ยมชมเครือข่ายโคเนื้อล้านนา

ในช่วงบ่าย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยัง สวนลุงดี อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อเยี่ยมชมการดำเนินงานของเครือข่ายโคเนื้อล้านนา ซึ่งริเริ่มโดยนายนเรศ รัศมีจันทร์ ประธานเครือข่ายฯ โดยเครือข่ายฯ มีเป้าหมายในการพัฒนาสายพันธุ์โคเนื้อบีฟมาสเตอร์ให้มีคุณภาพสูง เพื่อสนับสนุนการเลี้ยงโคเนื้อในจังหวัดเชียงราย

เครือข่ายฯ ได้ดำเนินการพัฒนาสายพันธุ์โคเนื้อตั้งแต่การนำตัวอ่อนพันธุ์บีฟมาสเตอร์จากต่างประเทศ มาย้ายฝากและเลี้ยงดูจนได้พ่อพันธุ์ที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังมีการรีดน้ำเชื้อแจกจ่ายให้เกษตรกรในเครือข่ายกว่า 800 รายในพื้นที่ภาคเหนือ

นายนเรศ ได้กล่าวถึงความสำเร็จในการสร้างตลาดรองรับโคขุน โดยการจัดตั้งคอกกลางเพื่อรับซื้อโคจากสมาชิกเครือข่ายในราคารับประกัน ก่อนนำไปขุนและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อโคขุนคุณภาพในแบรนด์ ลานนาบีฟ ซึ่งจำหน่ายทั่วประเทศ รวมถึงในร้านอาหาร “สวนลุงดี”

ปัญหาและแนวทางแก้ไขในอุตสาหกรรมโคเนื้อ

นายนเรศ ระบุว่า อุตสาหกรรมโคเนื้อในประเทศไทยยังคงเผชิญปัญหาหลายประการ เช่น การแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกับเนื้อโคนำเข้า การขาดมาตรฐานและการตรวจสอบย้อนกลับ ต้นทุนการผลิตสูง และการสนับสนุนจากภาครัฐที่ไม่เพียงพอ

เพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เครือข่ายฯ ได้เสนอแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน เช่น

  1. การพัฒนาพันธุกรรมและการเลี้ยงดูที่มีประสิทธิภาพ
  2. การสร้างระบบผลิตเนื้อกล่อง (Boxed Beef)
  3. การจัดทำระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability System)
  4. การส่งเสริมการรวมกลุ่มเกษตรกร
  5. การกระตุ้นการบริโภคเนื้อโคในประเทศ

นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ได้รับทราบสถานการณ์และราคาเนื้อโคในปัจจุบันซึ่งน่าเห็นใจผู้เลี้ยงโคและผู้ประกอบการ ขอให้กำลังใจส่วนปัญหาต่างๆที่นำเสนอ จะได้นำไปปรึกษาเพื่อช่วยกันแก้ไขต่อไป

ตรวจเยี่ยมด่านกักกันสัตว์เชียงราย

จากนั้น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยังด่านกักกันสัตว์เชียงราย ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ เพื่อรับฟังข้อมูลและตรวจเยี่ยมโครงการสถานกักกันสัตว์สำหรับส่งออกไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน ด่านกักกันสัตว์แห่งนี้มีความสามารถในการกักสัตว์ชนิดโค-กระบือจำนวน 200-300 ตัว และเป็นจุดพ่นยาฆ่าเชื้อยานพาหนะขนส่งสัตว์

นายอิทธิ  ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า วันนี้มาดูสถานที่กักกันสัตว์ เพื่อดูสถานที่ที่จะก่อสร้างที่กักกันสัตว์ ก่อนที่จะส่งออก และฝากถึงผู้เลี้ยงโคกระบือ ช่วยดูแลโค กระบือ ไม่ให้เกิดโรค ต้องพยายามฉีดวัคซีนให้ครบ และอย่าใช้สารเร่งเนื้อแดง พร้อมขอบคุณเกษตรกรผู้เลี้ยงโค กระบือ และสุกรที่ให้ความร่วมมือกับทางกรมปศุสัตว์ด้วย สินค้าส่งออกที่สำคัญของท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ได้แก่ เมล็ดถั่วและธัญพืช  เบียร์  สินค้าอุปโภค บริโภคและรถยนต์  สำหรับการส่งออกสัตว์และซากสัตว์ ตั้งแต่เดือนมกราคม – ตุลาคม 2567 มีการส่งออกสัตว์ ได้แก่ โค  424  ตัวกระบือ 95 ตัว สุกร  42,894 ตัว ลูกสุกร 8,055 ตัว การส่งออกซากสัตว์ สุกร 919,553 กิโลกรัม  ไก่ 573,942 กิโลกรัม และโค 1,400 กิโลกรัม

ปัจจุบัน ด่านกักกันสัตว์เชียงรายมีแผนการขยายพื้นที่เพื่อสร้างสถานกักกันสัตว์ปลอดโรคเพิ่มเติม โดยมีพื้นที่ขออนุญาตใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน (สปก.) ประมาณ 37 ไร่ เพื่อรองรับการส่งออกสัตว์ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน

สรุปและข้อเสนอแนะ

นายอิทธิ ศิริลัทธยากร กล่าวปิดท้ายว่า การพัฒนาการส่งออกสัตว์และผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ถือเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างรายได้ให้เกษตรกร พร้อมยืนยันว่าจะผลักดันแนวทางแก้ไขปัญหาที่ได้รับฟังจากเกษตรกรในพื้นที่ เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยต่อไป

สำหรับด่านกักกันสัตว์เชียงราย มีสถานที่ปฏิบัติงานจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย ปฏิบัติงานด้านสารบัญ อำนวยการ และการตรวจสอบสินค้าปศุสัตว์เข้า – ออก เขตด่านศุลกากรแม่สาย และท่าปศุสัตว์เชียงแสน ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน เป็นจุดตรวจสอบส่งออกสัตว์มีชีวิต ชนิด โค กระบือ สุกร และเป็นที่ตั้งของจุดทำความสะอาดยานพาหนะขนส่งสัตว์ และด่านกักกันสัตว์เชียงราย ตำบลครึ่ง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ใช้เป็นสถานที่กักกันสัตว์ซึ่งสามารถกักสัตว์ชนิด โค – กระบือ ได้จำนวน 200 ถึง 300 ตัว ซึ่งที่อำเภอเชียงของ สามารถส่งออก โค กระบือ สุกร และแพะมีชีวิต ซากสัตว์ และอาหารสัตว์ ผ่านทางสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 เชียงของ – ห้วยทราย และส่งออกสัตว์ปีก ซากสัตว์ และอาหารสัตว์ ไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ผ่านทางท่าเรือผาถ่าน ตำบลเวียง 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE