Categories
ECONOMY

วิกฤตผลไม้ไทย ทุเรียนราคาดิ่ง มะม่วงหลุดผู้นำ ผวาเวียดนามครองตลาดจีน

ไทยเสียแชมป์ผลไม้ส่งออก สัญญาณวิกฤตศักยภาพเกษตรไทยในตลาดโลก

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – ประเทศไทยซึ่งเคยได้รับการยอมรับว่าเป็น “เจ้าตลาดผลไม้เมืองร้อน” โดยเฉพาะในตลาดจีน ซึ่งถือเป็นผู้นำด้านการส่งออกทุเรียน มังคุด และมะม่วง กลับต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 2568 เมื่อเวียดนามก้าวขึ้นมาครองพื้นที่ทางการตลาดอย่างน่าเกรงขาม ด้วยกลยุทธ์ที่เฉียบคมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดปลายทาง

จากอดีตที่ผลไม้ไทยแทบไม่มีคู่แข่งในตลาดจีน วันนี้สถานการณ์กลับพลิกผันในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

จุดเริ่มต้นของการเสียความเป็นผู้นำทุเรียนไทยถูกแทนที่

ต้นปีที่ผ่านมา ทุเรียนไทยซึ่งเคยเป็นผลไม้เรือธงในการส่งออก ถูกเวียดนามแซงหน้าขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในตลาดจีน ด้วยสัดส่วนการนำเข้าทุเรียนเวียดนามกว่า 64% ขณะที่ทุเรียนไทยหดตัวเหลือเพียงราว 30% เท่านั้น

สาเหตุหลักเกิดจากความสามารถในการจัดการด้านโลจิสติกส์ของเวียดนามที่มีประสิทธิภาพกว่า ต้นทุนต่ำกว่า และการเจรจาแบบรัฐต่อรัฐที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับรัฐบาลจีนในด้านการเปิดจุดผ่านแดนและการเร่งพิธีการศุลกากร ซึ่งช่วยให้ผลไม้เวียดนามเข้าเมืองจีนได้เร็วขึ้นและสดใหม่กว่า

ราคาตกต่ำ – ความเชื่อมั่นสั่นคลอน

ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่า ราคาทุเรียนหน้าสวนไทยในปี 2568 ตกต่ำสุดในรอบ 5 ปี เหลือเพียงกิโลกรัมละ 80-95 บาท จากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 120-150 บาท ส่วนหนึ่งมาจากภาวะล้นตลาด ขาดการวางแผนการผลิต และการกระจายสินค้าที่ไร้เอกภาพ

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าขบวนการในเวียดนามบางกลุ่มพยายาม “สวมสิทธิ์” ทุเรียนไทยเพื่อหลอกตลาดจีน โดยอ้างว่าเป็นผลไม้ที่ผ่านการรับรองจากประเทศไทย สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของผลไม้ไทยอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการสืบสวนข้อเท็จจริง

มะม่วงไทยร่วงพ้น Top 5 – เวียดนามครองตลาด 97%

อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ มะม่วงไทยที่เคยติด Top 3 ผู้ส่งออกอันดับต้น ๆ ของจีน กลับมีส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือไม่ถึง 3% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ขณะที่เวียดนามกลับขึ้นมาครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 97% ด้วยคุณภาพที่คงเส้นคงวา ราคาสมเหตุสมผล และการส่งออกอย่างมีระบบ

นักวิเคราะห์ตลาดระบุว่า จุดแข็งของเวียดนามอยู่ที่การสนับสนุนจากภาครัฐในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว การควบคุมคุณภาพ และการพัฒนามาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice) อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ผลไม้เวียดนามผ่านด่านการตรวจสอบของจีนได้รวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ไทยกำลังสูญเสียข้อได้เปรียบดั้งเดิมในเวทีโลก

การเสียตำแหน่งในตลาดจีนของทุเรียนและมะม่วงไม่ใช่แค่เรื่องการแข่งขันด้านผลไม้เท่านั้น แต่เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมถอยในความสามารถในการแข่งขันของภาคการเกษตรไทยในภาพรวม ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทยมาช้านาน

หลายปัจจัยสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการที่ล่าช้า การขาดความเป็นเอกภาพระหว่างหน่วยงาน ความล่าช้าในการปรับตัวต่อมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศ และการพึ่งพาตลาดส่งออกแบบกระจุกตัว

หากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการปรับยุทธศาสตร์ ไทยอาจสูญเสียรายได้จากการส่งออกผลไม้ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสูงกว่า 144,000 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลปี 2566 จากกรมศุลกากร) และจะกระทบตั้งแต่เกษตรกรรายย่อยไปจนถึงห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจมหภาค

ทางออกไทยต้องคิดใหม่ ทำใหม่ทั้งระบบ

ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ไทยควรปรับทิศทางนโยบายการเกษตรใหม่ใน 3 ด้าน ได้แก่:

  1. ยกระดับมาตรฐานการผลิต: พัฒนาคุณภาพตั้งแต่ต้นทางด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ระบบ Smart Farming การจัดการดิน น้ำ และปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ
  2. พัฒนาการตลาดเชิงรุก: เร่งสร้างแบรนด์ผลไม้ไทยผ่านการตลาดดิจิทัล และการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐที่มีเป้าหมายชัดเจน
  3. สร้างเครือข่ายความร่วมมือภูมิภาค: เปิดตลาดใหม่ในอาเซียน ตะวันออกกลาง และยุโรปเพื่อลดการพึ่งพาตลาดจีนเพียงช่องทางเดียว

บทสรุป

สถานการณ์ในปี 2568 ไม่ได้สะท้อนแค่การเปลี่ยนแปลงในตลาดผลไม้ แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งทุกประเทศต่างต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ไทยในฐานะประเทศเกษตรกรรมอันดับต้น ๆ ของโลก จำเป็นต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” อย่างจริงจัง หากไม่อยากถูกผลักให้กลายเป็นผู้เล่นรายรองในเวทีที่เคยเป็นเจ้าภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมศุลกากร (www.customs.go.th)
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • Vietnam Trade Promotion Agency (VIETRADE)
  • สำนักข่าว Xinhua (China)
  • ข้อมูลรายงานการค้าผลไม้ไทย-จีน ประจำไตรมาส 1 ปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ทุเรียนแชมป์ส่งออกรถไฟเร็วสูงจีน – สปป.ลาว ลดเวลาขนส่งเหลือ 15 ชั่วโมง

 

วันที่ 20 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปจีนผ่านรถไฟความเร็วสูงจีน – สปป.ลาว เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม – พฤษภาคม) ของปี 2566 มี มูลค่ารวม 2,848.41 ล้านบาท ขยายตัวกว่าร้อยละ 260 จากปี 2565 โดยผลไม้ไทยได้รับความนิยมในตลาดจีนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งการใช้รถไฟจีน-ลาว สามารถช่วยลดระยะเวลาการขนส่ง จากที่เคยใช้เวลาผ่านถนนเส้นทาง R3A ประมาณ 2 วัน เหลือใช้เวลาบนรถไฟไม่เกิน 15 ชั่วโมง ทั้งนี้ รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนแผนเชื่อมโยงระบบราง ไทย-สปป.ลาว-จีน เพื่อเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าไทย ปูทางสู่การเป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งของภูมิภาคในอนาคต
 
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ พบว่า 10 อันดับแรกของสินค้าที่ส่งออกทางด่านหนองคายผ่านแดน สปป.ลาว ไปจีนมีมูลค่าการส่งออกและขยายตัวสูงที่สุด ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ได้แก่ 1) ทุเรียนสด อยู่ที่ 2,073.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 364 เมื่อเทียบกับช่วงกันของปี 2565 2) มังคุดสด 378.65 ล้านบาท 3) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 315.21 ล้านบาท 4) ลำไยสด 37.40 ล้านบาท 5) สินค้าแร่ และเชื้อเพลิงอื่น ๆ 17.89 ล้านบาท 6) สับปะรดแปรรูป 11.43 ล้านบาท 7) ส้มโอสด 2.99 ล้านบาท 8) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 2.72 ล้านบาท 9) มะม่วงสด 1.79 ล้านบาท และ 10) ผลไม้อื่น ๆ 1.52 ล้านบาท ตามลำดับ 
 
ทั้งนี้ รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนแผนเชื่อมโยงระบบราง ไทย-สปป.ลาว-จีน อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (กรุงเทพฯ – หนองคาย) เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค สำหรับระยะที่ 1 (กรุงเทพฯ – นครราชสีมา) มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี 2569 ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพระบบคมนาคมขนส่งทางรางของไทย เชื่อมโยงภูมิภาค ตลอดจนเป็นโอกาสของไทยในการส่งออกสินค้าไปตลาดจีนได้มากขึ้น โดยใช้ระยะเวลาการขนส่งน้อยลง และยังสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี ในการส่งออกสินค้าไปจีนได้อีกด้วย
 
“รัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกด้าน โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทางราง ซึ่งเป็นการขนส่งที่สามารถลดต้นทุน เวลา และค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ผู้ส่งออกไทย พร้อมเชื่อมั่นว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้อย่างครอบคลุมตามที่รัฐบาลได้ดำเนินการ จะมีส่วนสำคัญ ส่งต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ และส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคได้” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News