Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ทุเรียนไทย” ดันค้าผ่านแดนเชียงรายพุ่งสวนทางค้าชายแดนที่หดตัวหนัก

การค้าชายแดนเชียงรายหดตัวหนัก แต่การค้าผ่านแดนพุ่งสวนทาง “ทุเรียนไทย” เป็นพระเอกพยุงเศรษฐกิจ—รัฐเร่งอัดฉีดงบฟื้นโลจิสติกส์ชายแดน

เชียงราย, 6 กันยายน 2568ด่านพรมแดนเชียงของ รถบรรทุกต่อคิวเรียงยาวริมแม่โขง ภาพที่คุ้นตาในช่วงฤดูส่งออกผลไม้ไปจีน แต่ปีนี้มีสิ่งที่ต่างออกไปอย่างมีนัยสำคัญ ตัวเลขการค้าผ่านแดนของเชียงรายทะยานขึ้น ขณะที่การค้าชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านกลับสะดุดแรง

รายงานการวิเคราะห์ครึ่งแรกของปี 2568 (ม.ค.–มิ.ย.) ระบุชัดว่า มูลค่าการค้ารวมของจังหวัดเชียงรายอยู่ที่ 54,258.61 ล้านบาท ทว่าเมื่อแยกโครงสร้าง จะพบความจริงที่สองด้านในภาพเดียวกัน—การค้าผ่านแดน (Transit Trade) มีมูลค่า 38,438.22 ล้านบาท คิดเป็น 70.84% ของทั้งหมด ขับเคลื่อนโดยด่านศุลกากรเชียงของและเส้นทาง R3A สู่จีน ขณะที่ การค้าชายแดน (Border Trade) ซึ่งเป็นการซื้อขายกับเมียนมาและ สปป.ลาว มีมูลค่า 15,820.39 ล้านบาท หรือเพียง 29.16% และยังมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องในหลายเดือน

ภาพรวมที่ “บวกและลบ” อยู่ในจังหวัดเดียวกัน ทำให้เชียงรายกลายเป็นกรณีศึกษาที่น่าจับตา—โอกาสเศรษฐกิจใหม่กำลังก่อตัวในเวลาเดียวกับที่ความเปราะบางบางด้านกำลังกัดกร่อนความมั่นใจของผู้ประกอบการชายแดน

แรงขับเคลื่อน “ทุเรียนสด” เส้นเลือดใหญ่ของการค้าผ่านแดน

หัวใจของการเติบโตครึ่งปีแรก คือคลื่นส่งออก ทุเรียนสด” สู่สาธารณรัฐประชาชนจีนผ่านด่านเชียงของ—ประตูการค้าบนระเบียงเศรษฐกิจเหนือ–ใต้ (R3A) ที่เชื่อมไทย–ลาว–จีน ข้อมูลยืนยันว่าเฉพาะผลไม้ชนิดนี้ได้ดันมูลค่าการค้าผ่านแดนให้พุ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้สัดส่วนของ Transit Trade ต่อการค้ารวมแตะเกิน 70% เป็นครั้งสำคัญ

อย่างไรก็ดี จุดแข็งข้างต้นก็แฝง “ความเสี่ยงตามฤดูกาล” ไว้ในตัวเอง เดือนมิถุนายน 2568 เป็นตัวอย่างชัดเจน—มูลค่าส่งออกหดตัวลงถึง 4,556.17 ล้านบาท โดย กว่า 4,450 ล้านบาท มาจากทุเรียนที่สิ้นสุดฤดูผลิต การเติบโตที่ผูกกับสินค้าไม่กี่ชนิด จึงทำให้กราฟการค้าเหวี่ยงตัวแรงระหว่าง “ฤดูกาล–นอกฤดูกาล” และกลายเป็นโจทย์สำคัญต่อการบริหารกระแสเงินสดของผู้ส่งออก ตลอดจนการวางแผนเสถียรภาพรายได้ของจังหวัด

ด้านมืดของกราฟ การค้าชายแดนสะดุด—เมียนมา–ลาวชะงักจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์

ในอีกฟากหนึ่งของจังหวัด เส้นแดนที่แม่สายและเชียงแสนเผชิญแรงกดดันอย่างต่อเนื่อง การค้าชายแดนกับเมียนมาและลาวหดตัว ตามข้อมูลที่บันทึกไว้ในหลายเดือน สาเหตุหลักถูกชี้ไปยัง สถานการณ์ความไม่สงบภายในเมียนมา และ การตรวจสอบสินค้าที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งทำให้การขนส่งติดขัด เกิดต้นทุนแฝงจากการรอคิว การเสี่ยงต่อความเสียหายของสินค้า และความไม่แน่นอนในการปิด–เปิดด่านโดยไม่มีกำหนด

เมื่อนำปัจจัยดังกล่าวมารวมกับความผันผวนของค่าเงินเพื่อนบ้านและกำลังซื้อที่อ่อนแรง ภาพรวมฝั่งชายแดนจึงออกมาในเชิงลบ แม้ความต้องการของตลาดปลายทางในเมียนมาจะยังมีอยู่ก็ตาม

ภาพจำแนกตามด่านตัวเลขที่เล่าเรื่อง

เพื่อมองเห็นโครงสร้างการค้าของเชียงรายอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ข้อมูลครึ่งปีแรก 2568 แยกตามด่านมีดังนี้ 

  • ด่านศุลกากรเชียงของ (ค้าผ่านแดนกับจีน):
    • ส่งออก 32,299.41 ล้านบาท
    • นำเข้า 7,572.54 ล้านบาท
    • มูลค่ารวม 39,871.95 ล้านบาท
    • โครงสร้างสินค้าส่งออก: ผลไม้สด (โดยเฉพาะทุเรียน) 96.88%, สินค้าอุปโภค–บริโภค 1.64%, สินค้าเกษตรอื่น 0.98%
    • นำเข้าหลัก: ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 58.06%, สินแร่ 29.53%, และผลไม้สดบางส่วน
  • ด่านศุลกากรแม่สาย (ค้าชายแดนกับเมียนมา):
    • ส่งออก 5,496.64 ล้านบาท
    • นำเข้า 833.48 ล้านบาท
    • มูลค่ารวม 6,330.12 ล้านบาท
    • สินค้าส่งออกเด่น: น้ำมันเชื้อเพลิงและผลิตภัณฑ์ 49.56%, น้ำมันเบนซิน/ดีเซล 18.58%, เครื่องอุปโภค–บริโภค 17.51%
    • นำเข้าหลัก: เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย เมล็ดงา และสุราต่างประเทศ
  • ด่านศุลกากรเชียงแสน (ค้าชายแดนกับลาว/ทางน้ำ):
    • ส่งออก 6,896.43 ล้านบาท
    • นำเข้า 1,160.10 ล้านบาท
    • มูลค่ารวม 8,056.52 ล้านบาท
    • สินค้าส่งออกเด่น: เครื่องอุปโภค–บริโภค 17.51%, รถยนต์นั่ง 2.46%, อุปกรณ์ก่อสร้าง 5.08%
    • นำเข้าหลัก: ผักสด 59.01%, ปูนซีเมนต์ 11.81%, แร่พลวง 6.91%

เมื่อรวมทั้งสามด่าน จะได้ภาพรวม ส่งออก 44,692.48 ล้านบาท / นำเข้า 9,566.12 ล้านบาท / รวม 54,258.61 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนชัดเจนว่าการค้าของเชียงรายเอนตัวไปทาง “ผ่านแดนสู่จีน” มากกว่าค้าชายแดนกับเพื่อนบ้านโดยตรง

สัญญาณเชิงโครงสร้างเมื่อเชียงราย “เปลี่ยนบทบาท”

ข้อมูลอัปเดตเดือนกรกฎาคม 2568 (ที่ผู้ใช้จัดเตรียมไว้) ยิ่งตอกย้ำแนวโน้มการเปลี่ยนผ่าน: การค้าผ่านแดนเติบโต 32.5% ขณะที่ การค้าชายแดนหดตัว -20% นัยสำคัญคือเชียงรายกำลังขยับจาก “ศูนย์กลางการค้าภูมิภาค” ไปเป็น ประตูการค้าโลก” ที่เชื่อมไทยเข้ากับตลาดจีนโดยตรงผ่านโครงข่ายคมนาคมเหนือ–ใต้

ข้อดีของการเปลี่ยนบทบาทคือการเข้าถึงตลาดขนาดใหญ่และห่วงโซ่โลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ข้อท้าทายคือ ความเข้มข้นของสินค้า (concentration risk) หากสินค้าเอกชน เพียงชนิดเดียว—เช่นทุเรียน—สะดุดจากปัญหาฤดูกาล โรคพืช หรือมาตรการกีดกันทางการค้า ผลกระทบจะสะเทือนทั้งระบบอย่างที่เห็นในเดือนมิถุนายน

นโยบายภาครัฐ อัดฉีดงบ 363.62 ล้านบาท ฟื้นโครงสร้างพื้นฐานชายแดน

เพื่อเสริม “เสถียรภาพกระดูกสันหลัง” ของเศรษฐกิจชายแดน คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ งบกลาง 363.62 ล้านบาท สำหรับฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากอุทกภัยปลายปี 2567 โดยมุ่งเน้นอำเภอแม่สายและแนวเชื่อมโยงโลจิสติกส์หลักในจังหวัด มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อ:

  1. ซ่อม–เสริมถนน โป๊ะ ท่า และระบบระบายน้ำที่เป็นจุดอ่อน
  2. เพิ่มความพร้อมด่านให้รองรับการตรวจปล่อยสินค้าอย่างรวดเร็ว (ลดเวลารอ ลดต้นทุน)
  3. เสริมความยืดหยุ่นของระบบห่วงโซ่อุปทานในครึ่งปีหลัง

การลงทุนดังกล่าวถูกคาดหวังให้เป็น “กันชน” หลังวิกฤตน้ำท่วม และเป็นฐานเร่งเครื่องการค้ารอบใหม่ในช่วงไฮซีซันของผลไม้ปลายปี

ความเสี่ยงที่ต้องระวัง ภูมิรัฐศาสตร์ ค่าเงิน และฤดูกาล

  1. ภูมิรัฐศาสตร์เมียนมา – ความไม่สงบภายในและการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเฉียบพลัน ส่งผลโดยตรงต่อด่านแม่สาย ทั้งต่อเวลาและต้นทุนขนส่ง การปิด–เปิดด่านอย่างไม่แน่นอนเป็นความเสี่ยงเชิงระบบของผู้ประกอบการ
  2. ค่าเงินกีบและจ๊าด – การอ่อนค่าของสกุลเงินเพื่อนบ้าน บั่นทอนกำลังซื้อและความสามารถชำระเงิน ส่งผลต่อคำสั่งซื้อสินค้าจากฝั่งไทย
  3. ฤดูกาลสินค้าเกษตร – ทุเรียนและผลไม้สดสร้างรายได้ก้อนใหญ่ แต่หากไร้สินค้าทดแทนในช่วง “หลุม” นอกฤดู การค้าโดยรวมจะเหวี่ยงตัวแรง

โอกาสในความเปราะบาง ทางรอดที่เริ่มต้นได้ทันที

แม้ความท้าทายจะชัด แต่ข้อมูลครึ่งปีแรกก็เปิดหน้าต่างโอกาสหลายบาน

  • กระจายพอร์ตสินค้า: ใช้เส้นทาง R3A ที่พิสูจน์ประสิทธิภาพแล้ว เพื่อดันสินค้า ที่ต้องการสม่ำเสมอทั้งปี เช่น วัสดุก่อสร้าง เครื่องจักร และชิ้นส่วนอุตสาหกรรม ควบคู่ผลไม้ตามฤดูกาล
  • ยกระดับการแปรรูปผลไม้: เพิ่มมูลค่าและยืดอายุสินค้า—แช่แข็ง อบแห้ง หรือสกัดสารสำคัญ—เพื่อสร้างรายได้ข้ามฤดูกาล ลดแรงเหวี่ยงของกราฟส่งออก
  • บริหารความเสี่ยงโลจิสติกส์: ใช้เทคโนโลยีติดตามตู้สินค้าแบบเรียลไทม์ ประกันภัยด้านความเสี่ยงชายแดน และวางเส้นทางสำรอง (re-routing) รองรับเหตุไม่แน่นอน
  • การทูตเชิงพาณิชย์: ใช้กลไกความร่วมมือด่าน–ด่าน เพื่อบรรเทาอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) กับฝ่ายเมียนมา ลด “ความไม่แน่นอน” ซึ่งเป็นต้นทุนที่มองไม่เห็น
  • ทุนมนุษย์และมาตรฐาน: อบรมผู้ประกอบการขนาดกลาง–เล็ก ด้านมาตรฐานสุขอนามัย/กฎระเบียบจีน และการตลาดข้ามพรมแดนเพื่อเพิ่มศักยภาพสู้ตลาดใหญ่

เรื่องเล่าจากสามด่านสามบทบาท–หนึ่งเป้าหมาย

  • เชียงของ เป็น “สายพานส่งออก” เชื่อมไทย–ลาว–จีน ที่พิสูจน์แล้วว่าขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้จริง ตัวเลขมูลค่ารวมเกือบ 4 หมื่นล้านบาท ใน 6 เดือนแรกสะท้อนประสิทธิภาพโลจิสติกส์—แต่ก็เตือนให้ระวังการพึ่งพาทุเรียนมากเกินไป
  • แม่สาย คือ “ด่านใจกลางชุมชนการค้า” ที่โยงตลาดเมียนมาซึ่งยังต้องการสินค้าไทยหลายชนิด หากโครงสร้างความมั่นคงภายในเมียนมาดีขึ้น ด่านนี้พร้อมดีดตัวได้ทันที เพราะมีฐานผู้ประกอบการท้องถิ่นเข้มแข็งและคุ้นชินการค้าชายแดนมาอย่างยาวนาน
  • เชียงแสน เป็น “ท่าเชื่อมแม่น้ำโขง” ที่มีศักยภาพเติบโตในสินค้าก่อสร้าง เครื่องจักร และเกษตรสด การปรับปรุงท่าขนส่งและระบบตรวจปล่อยสินค้าให้ง่าย–เร็ว–โปร่งใส จะยิ่งเพิ่มบทบาทของด่านทางน้ำในห่วงโซ่ไทย–ลาว–จีน

สามด่าน สามจังหวะ แต่มี หนึ่งเป้าหมายร่วม—ทำให้เชียงรายเป็น “โหนด” การค้าที่แข่งขันได้ในลุ่มน้ำโขงและเชื่อมตรงสู่จีนได้อย่างยั่งยืน

จาก “ฤดูกาล” สู่ “ความยั่งยืน”

ข้อมูลครึ่งปีแรก 2568 ของเชียงรายให้บทเรียนสำคัญว่า “การเติบโตอย่างรวดเร็ว” และ “เสถียรภาพระยะยาว” ต้องพัฒนาไปพร้อมกัน การวิ่งแรงด้วยทุเรียนทำให้มูลค่าการค้าพุ่ง แต่การหดตัวทันทีที่หมดฤดูทำให้เห็นหลุมลึกในโครงสร้าง การค้าชายแดนกับเมียนมาที่ซบเซาเพราะปัจจัยนอกอำนาจควบคุม ยิ่งตอกย้ำว่าจังหวัดจำเป็นต้อง กระจายความเสี่ยงทั้งสินค้า เส้นทาง และตลาด

การอัดฉีดงบโครงสร้างพื้นฐาน 363.62 ล้านบาท ของภาครัฐ เป็นก้าวแรกที่ถูกทิศ—ซ่อม “รางวิ่ง” ของเศรษฐกิจชายแดนให้พร้อม—แต่ก้าวต่อไปที่ต้องทำควบคู่คือ แพ็กเกจเสริมสภาพคล่อง ให้ผู้ประกอบการโลจิสติกส์และ SME, ยกระดับมาตรฐาน–กฎระเบียบ ให้สอดรับข้อกำหนดจีน, และ เร่งเครื่องการทูตชายแดน เพื่อลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี

หากทำได้ เชียงรายจะไม่ใช่แค่ประตูผ่านฤดูกาลผลไม้ แต่จะกลายเป็น จุดตั้งหลักเศรษฐกิจข้ามแดน ที่ยืดหยุ่น ทนทาน และเติบโตบนฐานอุตสาหกรรม–เกษตรแปรรูปที่หลากหลายกว่าเดิม

สรุปสถิติโดยย่อ (ม.ค.–มิ.ย. 2568)

  • มูลค่าการค้ารวมจังหวัดเชียงราย: 54,258.61 ล้านบาท
  • โครงสร้าง: การค้าผ่านแดน 38,438.22 ล้านบาท (70.84%) / การค้าชายแดน 15,820.39 ล้านบาท (29.16%)
  • มูลค่าตามด่าน:
    • เชียงของ 39,871.95 (ส่งออก 32,299.41 / นำเข้า 7,572.54) ล้านบาท
    • แม่สาย 6,330.12 (ส่งออก 5,496.64 / นำเข้า 833.48) ล้านบาท
    • เชียงแสน 8,056.52 (ส่งออก 6,896.43 / นำเข้า 1,160.10) ล้านบาท
  • สินค้าหลักส่งออกผ่านเชียงของ: ทุเรียนสด (สัดส่วน ~96.88% ของหมวดผลไม้สด)
  • เหตุการณ์เด่น: เดือนมิถุนายน มูลค่าส่งออกลด 4,556.17 ล้านบาท จากการสิ้นสุดฤดูทุเรียน
  • แนวโน้มเดือนกรกฎาคม: การค้าผ่านแดน +32.5%, การค้าชายแดน -20%

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สถิติการค้าจริงของจังหวัดเชียงราย ครึ่งปีแรก 2568 (ม.ค.–มิ.ย.) จำแนกตามด่านแม่สาย–เชียงของ–เชียงแสน, โครงสร้างส่งออก/นำเข้า, รายการสินค้า, และสัญญาณเดือนกรกฎาคม 2568
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • กรมศุลกากร
  • สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี/สำนักงบประมาณ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทุเรียนเหนือผงาด! เชียงรายปั้น ‘ทุเรียนถิ่นหนาว’ ชูรสชาติเอกลักษณ์ สู่ตลาดสากล

เชียงรายเปิดตัว “ทุเรียนถิ่นหนาว” ผลไม้เศรษฐกิจใหม่สู่ตลาดโลก

พัฒนาจากการทดลองเพียง 80 ต้น สู่อุตสาหกรรมกว่า 3,700 ไร่ ชูจุดแข็งรสชาติหวานมัน เนื้อแน่น กลิ่นหอมเฉพาะตัว

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัว “ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย” อย่างเป็นทางการ ในกิจกรรมสัมมนาสื่อมวลชนและเครือข่ายการประชาสัมพันธ์ ผู้บริหารสื่อ สานสัมพันธ์ ครั้งที่ 3 ณ สวนธวานันท์รุ่งเรือง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง โดยมีนายสุพจน์ แสนมี ปลัดจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน

การเปิดตัวผลไม้เศรษฐกิจตัวใหม่ของภาคเหนือครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการยกระดับเกษตรกรรมไทยสู่มิติใหม่ เมื่อพื้นที่ที่เคยถูกมองว่าไม่เหมาะสมกับการปลูกทุเรียน กลับกลายเป็นแหล่งผลิทุเรียนคุณภาพสูงที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว

สุพจน์ แสนมี ปลัดจังหวัดเชียงราย

จากการทดลอง 5 ไร่ สู่อุตสาหกรรมหลักของจังหวัด

เรื่องราวของทุเรียนเชียงรายเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2552 เมื่อเกษตรกรอำเภอเวียงเชียงรุ้งได้ทดลองปลูกทุเรียนแซมในสวนผลไม้ชนิดต่างๆ โดยมีพื้นที่ปลูกเพียง 5 ไร่ จำนวน 80 ต้น การทดลองครั้งนี้เต็มไปด้วยความท้าทาย เนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นของเชียงรายที่แตกต่างจากแหล่งปลูกทุเรียนทั่วไป

นางสุพรรณี แสงอรุณ เกษตรกรผู้บุกเบิกการปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองในพื้นที่เวียงเชียงรุ้งมากว่า 17 ปี เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า “จริงๆ แล้วเราอาจจะเป็นผู้บุกเบิกในเรื่องของการปลูกทุเรียน อาจจะเป็นเจ้าแรกของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอำเภอเวียงเชียงรุ้ง เมื่อเข้าสู่ปีที่ 3-4 เริ่มได้เห็นผลผลิต แต่ก็มีปัญหาให้คอยแก้ไขตลอด”

ความมุ่งมั่นและการเรียนรู้จากประสบการณ์ทำให้การปลูกทุเรียนในเชียงรายประสบความสำเร็จ จากจุดเริ่มต้นเพียงไม่กี่ต้น ปัจจุบันได้ขยายเป็นแปลงปลูกขนาดใหญ่ โดยข้อมูลจากสำนักงานเกษตรจังหวัดระบุว่า ปัจจุบันอำเภอเวียงเชียงรุ้งมีพื้นที่ปลูกทุเรียนประมาณ 468 ไร่ ขณะที่ทั่วจังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ปลูกรวมกว่า 3,711 ไร่

จุดเด่นเฉพาะตัวของทุเรียนถิ่นหนาว

ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงรายมีจุดเด่นที่แตกต่างจากทุเรียนภูมิภาคอื่นอย่างชัดเจน ด้วยรสชาติหวานมัน เมล็ดลีบ เนื้อแน่น กลิ่นหอมเฉพาะตัว และเปลือกบาง ความแตกต่างนี้เกิดจากสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง คือการปลูกในพื้นที่สูงเฉลี่ย 400-600 เมตรจากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ระหว่าง 10-35 องศาเซลเซียส

สภาพอากาศที่เย็นสบายนี้ส่งผลให้ทุเรียนออกดอกและติดผลได้ดี โดยช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมของทุกปี ซึ่งไม่ซ้ำกับช่วงเวลาของทุเรียนภาคตะวันออกและภาคใต้ ทำให้สามารถขายได้ในราคาที่ดี

นางสุพรรณี อธิบายถึงข้อได้เปรียบนี้ว่า “ทุเรียนของเรามันจะไม่ค่อยชนกับทางภาคตะวันออก เพราะทุเรียนมันจะไล่ผลไม้จากข้างล่างขึ้นมา เราเป็นภาคเหนือ ของเขาเริ่มหมดแล้ว ของเราก็เริ่มออกสู่ตลาด เพราะของเราจะออกในช่วงกรกฎา-สิงหา”

ต้นทุนต่ำ ผลกำไรสูง

หนึ่งในจุดแข็งสำคัญของการปลูกทุเรียนในเชียงรายคือต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างต่ำ นางสุพรรณี เปิดเผยว่า “เราทำในระบบการปลูกทุเรียนแบบครอบครัว ซึ่งต้นทุนจะไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ในเรื่องของแรงงาน และการใช้ปุ๋ยใช้ยาเราสามารถควบคุมได้ ถ้าเราทำเองน่าจะอยู่ที่ประมาณต้นละไม่เกิน 1,000 บาทต่อปี”

เมื่อคิดเป็นต้นทุนต่อไร่ ซึ่งมีประมาณ 30 ต้น จะมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 21,000-30,000 บาทต่อไร่ต่อปี ในขณะที่ราคาขายทุเรียนอยู่ที่ 150-200 บาทต่อกิโลกรม ทำให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ปลูกอย่างรวดเร็วยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่ ปัญหาสภาพอากาศหนาวเย็นที่ทำให้ต้นทุเรียนมีปัญหาในช่วงฤดูหนาว ปัญหาแหล่งน้ำที่มีไม่เพียงพอกับความต้องการ และปัญหาการจัดการสวนที่ไม่เหมาะสม

ยุทธศาสตร์สร้างแบรนด์และพัฒนาคุณภาพ

เพื่อแก้ไขปัญหาและยกระดับมาตรฐานการผลิต จังหวัดเชียงรายได้วางแผนยุทธศาสตร์หลายด้าน เริ่มจากการสร้างแบรนด์ “ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย” ภายใต้การสนับสนุนของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นางสุพรรณี กล่าวว่า “ทางกลุ่มของผู้ปลูกทุเรียนเชียงราย ภายใต้ชื่อทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย กำลังสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้มาเยี่ยมชมสวน และได้บอกว่าเราน่าจะผลิตทุเรียนให้มันมีคุณภาพ เพราะฉะนั้นเกษตรกรจะต้องทำทุเรียนให้มันมีคุณภาพ สามารถแข่งขันกับเขาได้”

การพัฒนาคุณภาพจะเน้นไปที่การตัดทุเรียนให้มีอายุการตัดที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ทุเรียนที่แก่พอดี มีรสชาติเต็มที่ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่เชียงรายสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นได้

เครือข่ายความรู้และการถ่ายทอดประสบการณ์

การพัฒนาทักษะและให้ความรู้แก่เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ โดยการสร้างเครือข่ายของนักวิชาการและผู้มีความชำนาญในการทำเกษตร โดยเฉพาะทุเรียน เพื่อเข้ามาให้ความรู้กับชาวสวนและช่วยดูแลกันในเบื้องต้น

นางสุพรรณี อธิบายว่า “ชาวสวนที่ปลูกก่อนมีประสบการณ์ ใช้ประสบการณ์ถิ่นของเรามาช่วยกัน ช่วยดูแลกันให้มันมีคุณภาพ ส่งต่อความรู้ตามประสบการณ์” การถ่ายทอดประสบการณ์แบบเกษตรกรสู่เกษตรกรนี้ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น

โอกาสการส่งออกและการเชื่อมต่อตลาดโลก

ด้วยตำแหน่งที่เป็นเมืองชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เชียงรายมีโอกาสสำคัญในการเป็นประตูการส่งออกทุเรียนไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นางสุพรรณี มองว่า “ในอนาคตมันจะมีรถไฟ เป็นเมืองชายแดนติดต่อ เรามองว่าตรงนี้มันน่าจะมีโอกาสที่ดีในเรื่องของการส่งออก และในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงเกษตร”

การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเป็นอีกหนึ่งมิติที่จังหวัดเชียงรายให้ความสำคัญ โดยการผสมผสานระหว่างการเกษตรและการท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและชุมชนในพื้นที่

สุพรรณี แสงอรุณ เกษตรกรสวนทุเรียน

การสนับสนุนจากภาครัฐและแผนการส่งเสริม

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายได้จัดกิจกรรมดังกล่าวโดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลไม้เศรษฐกิจทางเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้เตรียมผลักดันทุเรียนเชียงรายออกสู่ตลาดให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ด้วยการจัดกิจกรรมเทศกาลกินทุเรียนเชียงรายในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการสู่สาธารณชน

นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง กล่าวว่า “ตอนนี้อำเภอเวียงเชียงรุ้งของเราได้ผลักดันเกษตรกรในการปลูกทุเรียน และตอนนี้อัตลักษณ์ของเราก็คือทุเรียนเวียงเชียงรุ้ง เป็นของดีของเรา ตอนนี้เรากำลังผลักดันทุเรียนอำเภอเวียงเชียงรุ้งให้ดังในระดับทั่วประเทศ”

ความท้าทายและแนวทางแก้ไข

แม้จะมีศักยภาพสูง แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมทุเรียนเชียงรายยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ปัญหาหลักที่พบได้แก่ สภาพอากาศหนาวเย็นที่ทำให้ต้นทุเรียนมีปัญหาในช่วงฤดูหนาว ปัญหาแหล่งน้ำที่มีไม่เพียงพอกับความต้องการ และปัญหาการจัดการสวนที่ไม่เหมาะสม

เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่มีองค์ความรู้ในการทำทุเรียนให้มีคุณภาพ โดยจะเน้นแค่ติดลูกได้ และมีปัญหาด้านการจัดการที่ไม่เหมาะสม เช่น ตัดอ่อน ตัดเบียด ซึ่งจะทำให้ทุเรียนไม่มีคุณภาพและราคาตกต่ำ

การรวมกลุ่มของเกษตรกรจึงเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยจะช่วยเสริมความรู้ในการผลิต การใช้ปุ๋ย ยา การลดต้นทุน และการควบคุมคุณภาพ ทำให้เกษตรกรสามารถผลิตทุเรียนที่มีมาตรฐานและแข่งขันได้ในตลาด

มินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง

บริบทระดับชาติและระดับภูมิภาค

การพัฒนาทุเรียนเชียงรายเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านทุเรียนในระดับโลก เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดเผยว่า คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพสินค้าทุเรียน โดยมีรัฐมนตรีเป็นประธาน

การจัดตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทย ให้การพัฒนาคุณภาพทุเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพได้มาตรฐานสากล และเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของทุเรียนไทยในระดับโลก

รัฐมนตรีเกษตรฯ ยังได้ประเมินสถานการณ์ผลไม้ปี 2568 โดยคาดว่าทุเรียนและลำไยจะเริ่มออกสู่ตลาดในเดือนกรกฎาคม และมีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน ทุเรียนมีผลผลิตรวมประมาณ 606,958 ตัน เพิ่มขึ้น 14.46% จะออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม

การเชื่อมต่อกับความร่วมมือระดับอาเซียน

ในมิติของความร่วมมือระหว่างประเทศ ปัจจุบันมีการหารือเกี่ยวกับการจัดตั้ง “สมาพันธ์ทุเรียนอาเซียน” ซึ่งจะเป็นการจับมือร่วมกันระหว่างไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ที่ล้วนเป็นผู้ผลิตหลักที่ครองตลาดทุเรียนมากกว่า 90% ของอาเซียน

สมาพันธ์ฯ จะทำหน้าที่ใน 6 ด้านหลัก ได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูลการผลิตและแนวโน้มตลาด การถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกและองค์ความรู้ การกำหนดมาตรฐานสินค้า การสร้างแบรนด์ร่วม การกำหนดการรายงานราคารูปแบบรายเดือน และการสนับสนุนการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการ

ความร่วมมือในระดับภูมิภาคนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าทุเรียนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สร้างระบบข้อมูลการตลาดที่โปร่งใส พัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว และสร้างเครือข่ายการจำหน่ายที่แข็งแกร่งในตลาดโลก

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและแนวโน้มอนาคต

การพัฒนาอุตสาหกรรมทุเรียนในเชียงรายมีผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างชัดเจน จากพื้นที่ปลูกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันทุกอำเภอของจังหวัดเชียงรายมีการปลูกทุเรียนประมาณ 10,000 ไร่ สายพันธุ์ที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นพันธุ์หมอนทอง ซึ่งเป็นที่นิยมของตลาด นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์อื่นๆ เช่น มูซังคิง หนามดำ ก้านยาว

การเติบโตของอุตสาหกรรมทุเรียนไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรโดยตรง แต่ยังกระตุ้นเศรษฐกิจในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการขนส่ง การแปรรูป การจำหน่าย และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร

นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมงานที่เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ และได้ให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและการถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกร

ก้าวสู่การเป็นผู้นำทุเรียนระดับโลก

การเปิดตัว “ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย” เป็นเครื่องหมายสำคัญของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเกษตรของภาคเหนือ จากพื้นที่ที่เคยไม่เหมาะสมกับการปลูกทุเรียน กลับกลายเป็นแหล่งผลิตทุเรียนคุณภาพสูงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างความมุ่งมั่นของเกษตรกร การสนับสนุนจากภาครัฐ และความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมท้องถิ่น ซึ่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมูลค่าสูง สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

ด้วยแผนการพัฒนาที่ชัดเจน การสร้างแบรนด์ที่เข้มแข็ง และการเชื่อมต่อกับความร่วมมือในระดับภูมิภาค ทุเรียนเชียงรายมีโอกาสที่จะกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เกษตรหลักของประเทศไทย และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของจังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

จับตา ลำไยเหนือเจอพิษซัลเฟอร์ฯ ลิ้นจี่-ทุเรียน-มะม่วง วางแผนรับมือ

เชียงรายเข้าร่วมสัมมนาจัดทำข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ ปี 2568 มุ่งพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อการบริหารจัดการแบบยั่งยืน

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย มอบหมายผู้แทนเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การจัดทำข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ ปี 2568” ณ โรงแรมฮอลิเดย์ การ์เดน จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจัดโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 (สศท.1) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาระบบข้อมูลไม้ผลสำคัญของภาคเหนือ ได้แก่ ลิ้นจี่ ลำไย ทุเรียน และมะม่วงน้ำดอกไม้ ให้มีความแม่นยำ ครบถ้วน และสามารถสะท้อนสถานการณ์จริงในพื้นที่เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของภาครัฐในการบริหารจัดการผลผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

เป้าหมายการสัมมนาสู่ระบบข้อมูลไม้ผลแบบบูรณาการ

การสัมมนาครั้งนี้อยู่ภายใต้การกำกับของคณะทำงานย่อยพัฒนาระบบข้อมูลและโลจิสติกส์ ภาคเหนือ โดยมีหน่วยงานร่วมดำเนินงานหลากหลาย อาทิ สศท.1, สศท.2, สศท.12, ศูนย์สารสนเทศการเกษตร, สำนักงานเกษตรจังหวัด 17 จังหวัดภาคเหนือ, สำนักงานวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขต 1 และ 2 รวมถึงสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่

การจัดทำข้อมูลเชิงระบบในครั้งนี้เน้นการพยากรณ์ผลผลิตและสถานการณ์การผลิต รวมถึงการเชื่อมโยงกับข้อมูลด้านตลาด เพื่อให้สามารถบริหารจัดการโลจิสติกส์ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายคือการสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความเป็นเอกภาพ ถูกต้อง และสะท้อนสภาพพื้นที่จริง

ลิ้นจี่ ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศเอื้ออำนวย ตลาดยังคงมั่นคง

สำหรับสถานการณ์ลิ้นจี่ในภาคเหนือปี 2568 แหล่งผลิตสำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และน่าน ข้อมูลคาดการณ์ระบุว่า

  • พื้นที่ยืนต้นลดลง 6.40% เหลือ 66,260 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลลดลง 6.39% เหลือ 66,173 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้น 155.49% เป็น 465 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 139.13% เป็น 30,745 ตัน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นคือสภาพอากาศที่ไม่แห้งแล้งและไม่มีพายุลูกเห็บเหมือนปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเก็บเกี่ยวแล้วราว 10% (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พ.ค. 2568) ผลผลิตส่วนใหญ่จำหน่ายให้พ่อค้าในพื้นที่โดยตรง ราคาขายเฉลี่ยของพันธุ์ฮงฮวยเกรด AA ห่อ อยู่ที่ 120 บาท/กิโลกรัม ขณะที่พันธุ์นครพนม 1 เกรด A จำหน่ายที่ 60 บาท/กิโลกรัม

ลำไย ผลผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่เผชิญปัญหาส่งออกจีนจากสารตกค้าง

ลำไยยังคงเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคเหนือ โดยมีแหล่งผลิตใหญ่ในเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา และน่าน โดยข้อมูลปี 2568 ระบุว่า

  • พื้นที่ยืนต้นลดลงเล็กน้อย 0.62% อยู่ที่ 1,243,784 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลเพิ่มขึ้น 0.13% อยู่ที่ 1,237,830 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 12.27% อยู่ที่ 860 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 12.36% เป็น 1,064,242 ตัน

แม้ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในที่ประชุมมีข้อกังวลเกี่ยวกับการส่งออกไปยังประเทศจีน หลังตรวจพบสารซัลเฟอร์ตกค้างในลำไยอบแห้ง ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาที่เกษตรกรจะได้รับ โดยที่ประชุมเสนอให้สำนักงานเกษตรในพื้นที่เร่งจัดทำข้อมูลผลผลิตลำไยที่คาดว่าจะเกินอีก 140,000 ตัน เพื่อเสนอคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) กำหนดมาตรการรองรับ

ทุเรียน ศักยภาพเพิ่มขึ้นชัดเจน จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ผลผลิตคุณภาพ

ทุเรียนในภาคเหนือ โดยเฉพาะจากจังหวัดอุตรดิตถ์ สุโขทัย แพร่ และพิษณุโลก กำลังเติบโตเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ มีข้อมูลดังนี้

  • พื้นที่ยืนต้นเพิ่มขึ้น 9.51% เป็น 121,829 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลเพิ่มขึ้น 7.21% เป็น 81,857 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6.27% เป็น 729 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 13.88% เป็น 59,660 ตัน

ขณะนี้ผลผลิตออกสู่ตลาดแล้ว 9% โดยการบริหารจัดการในที่ประชุมได้เสนอแนวทางหลากหลาย เช่น การอบรมเกษตรกรเรื่องการดูแลสวน การสร้างนักคัดผลมืออาชีพ และการส่งเสริมการตลาดโดยใช้ Influencer รวมถึงการตั้งชื่อแบรนด์ให้กับทุเรียนแต่ละแหล่ง เช่น “ทุเรียนหลงลับแล” และ “หมอนพระร่วง”

มะม่วงน้ำดอกไม้ ผลผลิตสูงขึ้นแต่ราคาน่ากังวล

ข้อมูลมะม่วงน้ำดอกไม้ ปี 2568 แสดงให้เห็นว่า

  • พื้นที่ยืนต้นเพิ่มขึ้น 0.46% เป็น 145,145 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลเพิ่มขึ้น 1.93% เป็น 134,686 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13.46% เป็น 809 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 15.71% เป็น 108,993 ตัน

แม้ผลผลิตจะเพิ่มขึ้น แต่อัตราราคาจำหน่ายในช่วงต้นฤดูอยู่ในระดับต่ำเพียง 30 บาท/กิโลกรัม ทำให้เกิดความกังวลในกลุ่มเกษตรกร โดยที่ประชุมเสนอให้มีการแจ้งข้อมูลไปยัง คพจ. เพื่อหามาตรการรองรับอย่างเร่งด่วนในระดับจังหวัด

ข้อเสนอเชิงนโยบายและบทวิเคราะห์

  1. สร้างระบบฐานข้อมูลกลาง ที่บูรณาการระหว่าง สศท. สำนักงานเกษตรจังหวัด และหน่วยงานวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำแบบ Real-Time
  2. พัฒนาช่องทางการตลาดใหม่ เช่น ตลาดออนไลน์ การส่งออกโดยตรง และการจับคู่ธุรกิจ
  3. ปรับกลยุทธ์โลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มมูลค่าให้กับไม้ผล เช่น การทำโรงคัดบรรจุหรือระบบความเย็นในพื้นที่
  4. ขยายการใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อพยากรณ์และติดตามสถานการณ์การผลิตแบบแม่นยำ
  5. เร่งสร้างแบรนด์และมูลค่าผลไม้เฉพาะถิ่น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและตลาดต่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • รายงานสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 ปี 2568
  • สรุปสถานการณ์ผลผลิตไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ จากการสัมมนา 7-8 พฤษภาคม 2568
  • สถาบันคลังสมองของชาติ: รายงานแรงงานเกษตรภาคเหนือ ปี 2567
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์: ระบบข้อมูลการผลิตไม้ผลเศรษฐกิจ (www.moac.go.th)
  • กรมส่งเสริมการเกษตร: www.doae.go.th
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ยึด 2,800 กล้าทุเรียน เตรียมส่งข้ามโขง สปป.ลาว

นรข.เชียงรายตรวจยึดต้นกล้าทุเรียนกว่า 2,800 ต้น ลักลอบส่งออกข้ามแดนปลายทาง สปป.ลาว ผ่านแม่น้ำโขง

การขยายตัวของพืชเศรษฐกิจและความเคลื่อนไหวในพื้นที่ชายแดน

ประเทศไทย, 4 พฤษภาคม 2568 – เจ้าหน้าที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย ได้ดำเนินการตรวจยึดต้นกล้าทุเรียนจำนวนกว่า 2,800 ต้น ที่ถูกลักลอบขนส่งผ่านแม่น้ำโขงเพื่อส่งออกไปยัง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) โดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายศุลกากรและกฎหมายควบคุมพืชพรรณของประเทศ

เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวที่มีความซับซ้อนมากขึ้นของขบวนการลักลอบค้าพืชเศรษฐกิจข้ามพรมแดน ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นตามความต้องการของตลาดประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในฤดูเพาะปลูกและฤดูแล้งที่การขนส่งทางน้ำมีความสะดวกมากกว่าช่วงอื่น

ปฏิบัติการตรวจยึดของกลางริมแม่น้ำโขง

เจ้าหน้าที่ทหารเรือจากสถานีเรือเชียงของ นำโดย ร.ท.สัญญา จันจี รักษาราชการแทนหัวหน้าสถานีฯ ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวในพื้นที่ว่า จะมีการลักลอบนำต้นกล้าทุเรียนออกนอกราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากร บริเวณริมแม่น้ำโขง พื้นที่บ้านดอนมหาวัน หมู่ 9 ตำบลเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

หลังได้รับแจ้งดังกล่าว หน่วยลาดตระเวนจึงจัดกำลังพลพร้อมเรือจู่โจมทางน้ำออกปฏิบัติหน้าที่ทันที ต่อมาในช่วงค่ำ เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบเรือยนต์ขนาดเล็กหรือ “เรือกาบ” สีดำ ลอยลำและจอดอยู่บริเวณดอนกรวด ใกล้หมู่บ้านที่ได้รับแจ้ง โดยมีชายผู้ต้องสงสัย 1 คนกำลังควบคุมเรือ

เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าใกล้จุดตรวจสอบ ชายคนดังกล่าวได้ไหวตัวทันและหลบหนีขึ้นฝั่งไปอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่จึงเข้าตรวจค้นภายในเรือ และพบตะกร้าบรรจุต้นกล้าทุเรียนจำนวนมาก คาดว่าทั้งหมดมีจำนวนกว่า 2,800 ต้น บรรจุอยู่ในตะกร้าพลาสติกสีแดงรวม 21 ตะกร้า

ส่งของกลางให้ด่านศุลกากรเชียงของดำเนินคดีตามกฎหมาย

หลังการตรวจยึดเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ได้นำเรือและต้นกล้าทุเรียนของกลางทั้งหมด ส่งมอบให้ด่านศุลกากรเชียงของเพื่อดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507

ทั้งนี้ การส่งออกต้นกล้าพันธุ์พืชจะต้องมีการตรวจสอบและได้รับใบอนุญาตจากกรมวิชาการเกษตร และผ่านพิธีการศุลกากรอย่างถูกต้องก่อน จึงจะสามารถเคลื่อนย้ายข้ามแดนได้ หากไม่ปฏิบัติตามจะเข้าข่ายเป็นการลักลอบนำออกนอกราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย

ความเคลื่อนไหวของตลาดทุเรียนในภูมิภาค

ทุเรียนถือเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจหลักของไทย โดยเฉพาะในตลาดส่งออก ซึ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศจีน เวียดนาม และ สปป.ลาว โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงของลาวเริ่มหันมาปลูกทุเรียนเชิงพาณิชย์มากขึ้น ส่งผลให้เกิดความต้องการต้นกล้าคุณภาพสูงจากฝั่งไทย ซึ่งขึ้นชื่อในด้านสายพันธุ์และการเพาะเลี้ยง

ขบวนการลักลอบนำเข้าต้นกล้าทุเรียนจึงมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของตลาดทุเรียนในลาวและภูมิภาคอาเซียน ซึ่งนับเป็นช่องทางที่มิจฉาชีพใช้เป็นโอกาสในการแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่สนใจผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของพรมแดน

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ พันธุกรรมพืช และความมั่นคงด้านเกษตร

การลักลอบส่งออกต้นกล้าพันธุ์พืช นอกจากจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหาการสูญเสียพันธุกรรมพืชท้องถิ่น ซึ่งเป็นทรัพยากรทางเกษตรที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจและวิทยาศาสตร์สูง หากสายพันธุ์พืชสำคัญตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี หรือไม่มีการควบคุมที่ดี อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรไทยในอนาคต

นอกจากนี้ หากมีการนำต้นกล้าปลอม หรือมีเชื้อโรคแฝงออกไป อาจสร้างปัญหาด้านสุขอนามัยพืชในภูมิภาค และทำให้ไทยถูกลดอันดับมาตรฐานการส่งออกในตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเกษตรกรรมไทย

ความพยายามร่วมของหน่วยงานความมั่นคงชายแดน

หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในลำน้ำโขง โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือที่ติดกับชายแดนลาว การลาดตระเวนเชิงรุกและการประสานข่าวกรองกับชุมชนในพื้นที่ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสกัดกั้นการลักลอบค้าของผิดกฎหมาย รวมถึงสินค้าการเกษตร

การจับกุมในครั้งนี้จึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของความร่วมมือระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชุมชน ที่ช่วยแจ้งเตือนภัยและร่วมกันเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งต้นทางของการกระทำผิดกฎหมายข้ามชาติ

ข้อมูลสถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจาก กรมวิชาการเกษตร (2566) ระบุว่า ประเทศไทยมีการขออนุญาตส่งออกต้นกล้าทุเรียนไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างถูกต้องเฉลี่ยเพียง 9,400 ต้นต่อปี ในขณะที่พบการลักลอบนำออกกว่า 3,000-5,000 ต้น/ปี
  • ศูนย์บัญชาการป้องกันชายแดนภาคเหนือ (2567) รายงานว่าในรอบปีงบประมาณ 2567 มีการตรวจยึดต้นกล้าทุเรียนลักลอบส่งออกในภาคเหนือรวม 12 ครั้ง คิดเป็นมูลค่าของกลางกว่า 3.2 ล้านบาท
  • สำนักงานศุลกากรภาคที่ 3 เปิดเผยว่า การลักลอบส่งออกพืชเศรษฐกิจโดยไม่ผ่านพิธีการศุลกากรในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 17% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดในรอบทศวรรษ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมวิชาการเกษตร
  • ศูนย์บัญชาการป้องกันชายแดนภาคเหนือ
  • สำนักงานศุลกากรภาคที่ 3
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เทศกาลทุเรียนและของดีตำบลห้วยไคร้ ศูนย์กลางการพัฒนาทุเรียน เชียงราย

 

 

เมื่อวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม 2567 ณ ลานกีฬาอเนกประสงค์ บ้านสันต้นปุย ตำบลห้วยไคร้ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานเปิดโครงการของดีตำบลห้วยไคร้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 โดยมีนายอนุภาส ปฏิเสน ส.อบจ.เชียงราย อำเภอแม่สาย เขต 3 หัวหน้าส่วนราชการ ภาคีเครือข่าย ผู้นำท้องที่ ท้องถิ่น และประชาชนร่วมเฉลิมฉลองในพิธีเปิดครั้งนี้

 

นางสาววรนัน รัตรวิภัคกุน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยไคร้ เป็นผู้กล่าวรายงานว่า อบจ.เชียงราย ได้สนับสนุนงบประมาณในการจัดโครงการของดีตำบลห้วยไคร้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อส่งเสริมสนับสนุนและประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร และเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ในเชิงรุกให้ประชาชนทั่วไป รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ได้รับรู้และรู้จักผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการต่าง ๆ ของประชาชนในตำบลห้วยไคร้

กลุ่มเป้าหมายในโครงการนี้ประกอบด้วยกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ เช่น สับปะรดและทุเรียนดอยนางนอน รวมถึงกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยไคร้ และพื้นที่ใกล้เคียง การจัดกิจกรรมนี้เป็นการเสริมสร้างอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืนให้กับประชาชนในท้องถิ่น รวมถึงการเสริมสร้างความสามัคคีของประชาชนในชุมชน

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวในพิธีเปิดว่า “โครงการของดีตำบลห้วยไคร้ ไม่เพียงแต่ส่งเสริมการท่องเที่ยวและการรู้จักผลิตภัณฑ์ชุมชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้กับชุมชนในตำบลห้วยไคร้ โดยการสร้างโอกาสในการจำหน่ายสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ทำให้ประชาชนมีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน”

โครงการนี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ตำบลห้วยไคร้ ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่นให้เติบโตยิ่งขึ้น และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับตำบลห้วยไคร้ในฐานะศูนย์กลางการพัฒนาทุเรียนและผลิตภัณฑ์ชุมชน

การจัดงานในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและสินค้าท้องถิ่น รวมถึงการจัดกิจกรรมการแสดงศิลปวัฒนธรรมและการสาธิตการผลิตสินค้าเกษตร นับเป็นการสร้างสรรค์พื้นที่ตลาดใหม่และขยายพื้นที่ตลาดเดิมให้กับกลุ่มผู้ผลิตและผู้ประกอบการในชุมชน

ทั้งนี้ การจัดโครงการของดีตำบลห้วยไคร้ยังเป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืนและการสร้างเสริมเศรษฐกิจในระดับฐานรากให้กับชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนและการสร้างเสริมอาชีพให้กับประชาชนในท้องถิ่นทั่วประเทศ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ทุเรียนแชมป์ส่งออกรถไฟเร็วสูงจีน – สปป.ลาว ลดเวลาขนส่งเหลือ 15 ชั่วโมง

 

วันที่ 20 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยไปจีนผ่านรถไฟความเร็วสูงจีน – สปป.ลาว เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 เดือนแรก (มกราคม – พฤษภาคม) ของปี 2566 มี มูลค่ารวม 2,848.41 ล้านบาท ขยายตัวกว่าร้อยละ 260 จากปี 2565 โดยผลไม้ไทยได้รับความนิยมในตลาดจีนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งการใช้รถไฟจีน-ลาว สามารถช่วยลดระยะเวลาการขนส่ง จากที่เคยใช้เวลาผ่านถนนเส้นทาง R3A ประมาณ 2 วัน เหลือใช้เวลาบนรถไฟไม่เกิน 15 ชั่วโมง ทั้งนี้ รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนแผนเชื่อมโยงระบบราง ไทย-สปป.ลาว-จีน เพื่อเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าไทย ปูทางสู่การเป็นศูนย์กลางคมนาคมขนส่งของภูมิภาคในอนาคต
 
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ พบว่า 10 อันดับแรกของสินค้าที่ส่งออกทางด่านหนองคายผ่านแดน สปป.ลาว ไปจีนมีมูลค่าการส่งออกและขยายตัวสูงที่สุด ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 ได้แก่ 1) ทุเรียนสด อยู่ที่ 2,073.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 364 เมื่อเทียบกับช่วงกันของปี 2565 2) มังคุดสด 378.65 ล้านบาท 3) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ 315.21 ล้านบาท 4) ลำไยสด 37.40 ล้านบาท 5) สินค้าแร่ และเชื้อเพลิงอื่น ๆ 17.89 ล้านบาท 6) สับปะรดแปรรูป 11.43 ล้านบาท 7) ส้มโอสด 2.99 ล้านบาท 8) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 2.72 ล้านบาท 9) มะม่วงสด 1.79 ล้านบาท และ 10) ผลไม้อื่น ๆ 1.52 ล้านบาท ตามลำดับ 
 
ทั้งนี้ รัฐบาลเดินหน้าขับเคลื่อนแผนเชื่อมโยงระบบราง ไทย-สปป.ลาว-จีน อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (กรุงเทพฯ – หนองคาย) เพื่อเชื่อมโยงภูมิภาค สำหรับระยะที่ 1 (กรุงเทพฯ – นครราชสีมา) มีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จ ในปี 2569 ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพระบบคมนาคมขนส่งทางรางของไทย เชื่อมโยงภูมิภาค ตลอดจนเป็นโอกาสของไทยในการส่งออกสินค้าไปตลาดจีนได้มากขึ้น โดยใช้ระยะเวลาการขนส่งน้อยลง และยังสามารถใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี ในการส่งออกสินค้าไปจีนได้อีกด้วย
 
“รัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในทุกด้าน โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานทางราง ซึ่งเป็นการขนส่งที่สามารถลดต้นทุน เวลา และค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ ช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ผู้ส่งออกไทย พร้อมเชื่อมั่นว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้อย่างครอบคลุมตามที่รัฐบาลได้ดำเนินการ จะมีส่วนสำคัญ ส่งต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศ และส่งเสริมให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคได้” นางสาวรัชดาฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News