Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ธนารักษ์เอื้อราษฎร์ รมช.คลัง มอบที่ดินทำกิน-ที่อยู่ ลดเหลื่อมล้ำแม่สาย

รมช.คลังมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” แก่ชาวแม่สาย หนุนความมั่นคงที่ดิน ลดเหลื่อมล้ำ สู่เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – นับเป็นอีกก้าวสำคัญของนโยบายด้านที่ดินเพื่อประชาชน เมื่อกระทรวงการคลัง โดยนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชร.1154 ให้กับประชาชนตามโครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน ลดความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สิน และขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชนฐานราก

พิธีมอบสัญญาเช่า สู่ชีวิตใหม่ของ 200 ครอบครัวแม่สาย

บรรยากาศที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอแม่สายในวันนี้อบอวลด้วยรอยยิ้มและความปลื้มปีติของประชาชน 196 รายที่ได้รับสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุอย่างเป็นทางการ อีก 4 รายได้รับการอนุมัติเพิ่มเติม รวมทั้งสิ้น 200 ราย รวมพื้นที่ประมาณ 31 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา การส่งมอบสัญญาเช่าในครั้งนี้ นอกจากจะสร้างหลักประกันด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้แก่ชาวบ้านแล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนเจตนารมณ์ของรัฐในการจัดการทรัพยากรเพื่อสาธารณะอย่างเป็นธรรม

โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นเกียรติ ร่วมแสดงความยินดีกับประชาชนผู้รับสัญญาเช่า

จากนโยบายสู่ความเปลี่ยนแปลงจริง

โครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ตอบโจทย์ปัญหาการถือครองที่ดินราชพัสดุในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือกลุ่มที่อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่มาก่อนวันที่ 4 ตุลาคม 2546 โดยการให้สิทธิ์เช่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในอัตราที่เหมาะสม ลดความกังวลเรื่องที่ดินไร้สถานะและปัญหาข้อพิพาท ช่วยสร้างความมั่นคงและเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมธนารักษ์ได้ขับเคลื่อนโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนฐานรากมีความมั่นใจในชีวิตและอนาคต สามารถเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโต

รมช.คลัง ชู “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” สร้างสังคมแห่งความเสมอภาค

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เน้นย้ำเจตนารมณ์ของรัฐบาลและกระทรวงการคลังในการสร้างความมั่นคงด้านที่ดิน พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานที่ผลักดันและสนับสนุนโครงการจนเกิดผลสำเร็จ ยืนยันว่าจะบริหารจัดการที่ราชพัสดุให้เกิดประโยชน์สูงสุดในด้านที่อยู่อาศัย โอกาสทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียม

ตรวจติดตามแผนป้องกันอุทกภัย เสริมความปลอดภัยระยะยาว

ในโอกาสเดียวกัน คณะรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ยังได้ลงพื้นที่สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 เพื่อติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างคันกั้นน้ำในแผนป้องกันอุทกภัยของอำเภอแม่สาย โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมซ้ำซาก สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและยกระดับคุณภาพชีวิตในพื้นที่ชายแดน

สู่สังคมที่มั่นคงและยั่งยืน

การมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุในวันนี้ จึงเป็นทั้งสัญลักษณ์และกลไกขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของประชาชนแม่สาย นำไปสู่ความมั่นคงด้านที่ดิน การอยู่อาศัยที่ปลอดภัย การทำกินที่ยั่งยืน และการเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ในเศรษฐกิจฐานราก ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเสมอภาคในสังคมไทยอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย (12 มิถุนายน 2568)
  • กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง
  • กระทรวงการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ธนารักษ์เลิกสัญญาเช่าริมน้ำสาย 3 รายไม่ยอม รื้อถอนคืบหน้า 20%

แม่สายเร่งเจรจารื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำลำน้ำสาย เปิดทางสร้างพนังกั้นน้ำก่อนฤดูฝน ด้านกรมธนารักษ์ยกเลิกสัญญาเช่า เหลืออีก 3 รายยังไม่ยินยอม

เชียงราย, 13 พฤษภาคม 2568 – จังหวัดเชียงราย โดยอำเภอแม่สาย พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อเร่งผลักดันโครงการป้องกันอุทกภัยบริเวณแนวลำน้ำสาย ซึ่งเป็นแนวเขตชายแดนไทย-เมียนมา หลังเข้าสู่ช่วงฤดูฝนที่อาจก่อให้เกิดน้ำหลากและกระทบต่อชุมชนริมฝั่ง

แม้ว่าเจ้าของสิ่งปลูกสร้างริมฝั่งแม่น้ำหลายรายได้ยินยอมให้ดำเนินการรื้อถอนเพื่อเปิดทางให้หน่วยงานทหารและวิศวกรเข้าปรับพื้นที่แล้วกว่า 11 จุด แต่ยังคงมีอีก 3 รายที่ยังไม่ยินยอมให้รื้อถอนอาคาร ส่งผลให้การดำเนินงานพนังกั้นน้ำอาจล่าช้าและไม่ทันฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง

นายอำเภอแม่สายรุดหน้าเจรจา หวั่นชุมชนถูกน้ำท่วมซ้ำ

นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ได้นำทีมเจ้าหน้าที่จากหลากหลายหน่วยงาน ได้แก่ กรมการทหารช่าง กองทัพบก กรมธนารักษ์ กรมที่ดิน เทศบาลตำบลแม่สาย และเทศบาลตำบลเวียงพางคำ ลงพื้นที่เจรจากับเจ้าของอาคารและสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำสาย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่จุดผ่อนปรนบริเวณสายลมจอยไปจนถึงสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2

เป้าหมายหลักของการเจรจาคือการขอความร่วมมือให้เจ้าของอาคารยินยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ราชพัสดุ เพื่อให้กรมการทหารช่างสามารถเข้าพื้นที่และก่อสร้างพนังกั้นน้ำกึ่งถาวร-ชั่วคราวได้ทันก่อนถึงช่วงน้ำหลาก

ความคืบหน้ารื้อถอน 11 รายยินยอม เหลืออีก 3 รายยังขัดข้อง

จนถึงขณะนี้ การเจรจาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและได้รับความร่วมมือจากเจ้าของอาคารหลายราย โดยเฉพาะรายใหญ่ในพื้นที่ ซึ่งยินยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการรื้อถอนแล้วมากกว่า 11 จุด

อย่างไรก็ตาม ยังคงมี 3 รายที่ยังไม่ยินยอม ได้แก่

  • 2 รายในชุมชนหัวฝาย ซึ่งเป็นบ้านของผู้สูงอายุที่ครอบครองพื้นที่มานาน
  • 1 รายในชุมชนสายลมจอย ที่ยังคงพักอาศัยอยู่ในอาคาร แม้จะได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าจากกรมธนารักษ์แล้วก็ตาม

แม้ทางกรมธนารักษ์จะดำเนินการบอกเลิกสัญญาเช่า และแจ้งให้ผู้เช่าย้ายออกพร้อมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง แต่เจ้าของอาคารรายหนึ่ง ซึ่งเป็นชายสูงอายุ ยังคงอาศัยอยู่ในอาคาร และเฝ้าดูการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่จากภายนอก

ดำเนินการตามกรอบข้อตกลงไทย-เมียนมา หวังป้องกันน้ำหลากซ้ำ

แนวทางการก่อสร้างพนังกั้นน้ำครั้งนี้ สืบเนื่องจากข้อตกลงความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและเมียนมา ในการบริหารจัดการลำน้ำสายและแม่น้ำรวก ซึ่งกำหนดกรอบเวลาการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน ถึง 20 มิถุนายน 2568

เจ้าหน้าที่จึงต้องเร่งรื้อถอนอาคารที่ได้รับความยินยอมไปก่อน เพื่อให้สามารถดำเนินงานตามกรอบเวลาได้ และหากการเจรจากับอีก 3 รายสำเร็จ จะดำเนินการรื้อถอนในลำดับถัดไป

ความคืบหน้าการก่อสร้างพนังและขุดลอกลำน้ำ

ฝั่งไทย

  • ความคืบหน้าการก่อสร้างพนังกั้นน้ำริมฝั่งแม่น้ำสายฝั่งไทย ปัจจุบันเสร็จไปแล้ว ประมาณ 20%
  • ดำเนินการโดย กรมการทหารช่าง กองทัพบก ด้วยการฝังเสาเข็มห่างกัน 1 เมตร ลึกลงดิน 4 เมตร สูงเหนือดิน 3 เมตร ครอบคลุมระยะทางราว 3 กิโลเมตร

แม่น้ำรวก (ใต้แม่น้ำสายลงไป)

  • ทหารกองทัพภาคที่ 3 ขุดลอกระยะทาง 14 กิโลเมตร
  • กรมการทหารช่าง ขุดลอกระยะทาง 18 กิโลเมตร
  • รวมระยะทางการขุดลอก 32 กิโลเมตร
  • ความคืบหน้าในส่วนนี้อยู่ที่ ประมาณ 9%

ฝั่งเมียนมา

  • ยังไม่มีการขุดลอกแม่น้ำสาย แต่ยืนยันว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จตามกรอบเวลา

นายอำเภอย้ำต้องเร่งสร้างให้ทันฤดูฝน

นายวรายุทธระบุว่า “ขณะนี้กำลังเข้าสู่ฤดูฝน หากไม่สามารถรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่รุกล้ำได้ทัน อาจส่งผลให้การก่อสร้างพนังกั้นน้ำล่าช้าและเกิดความเสี่ยงน้ำท่วมในเขตชุมชนซ้ำอีกในปีนี้” พร้อมยืนยันว่าจะยังคงใช้แนวทางเจรจาอย่างสันติ และหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการทางกฎหมายเว้นแต่ในกรณีที่จำเป็น

วิเคราะห์สถานการณ์ การบริหารพื้นที่ชายแดนกับความจำเป็นด้านความปลอดภัย

กรณีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างริมแม่น้ำสายเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนที่มีความซับซ้อน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับทั้งสิทธิในการเช่าที่ราชพัสดุ การดำรงชีวิตของประชาชนในพื้นที่ และความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการภัยพิบัติ

แม้การรื้อถอนจะกระทบต่อผู้ที่อยู่อาศัยในพื้นที่โดยตรง แต่ในภาพรวมแล้ว การสร้างพนังกั้นน้ำถือเป็นภารกิจเชิงยุทธศาสตร์ที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จ เพื่อป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • พื้นที่แนวแม่น้ำสายที่อยู่ในแผนดำเนินการสร้างพนังกั้นน้ำ: มากกว่า 3 กิโลเมตร (ข้อมูลจากกรมการทหารช่าง)
  • ระยะเวลาที่กำหนดในข้อตกลงไทย-เมียนมา: 15 เม.ย. – 20 มิ.ย. 2568 (แหล่งที่มา: สำนักงานความร่วมมือชายแดนไทย-เมียนมา)
  • ความคืบหน้าในการก่อสร้างพนังกั้นน้ำฝั่งไทย: 20% ณ วันที่ 13 พฤษภาคม 2568
  • ความคืบหน้าในการขุดลอกแม่น้ำรวกฝั่งไทย: 9% จากเป้าหมายรวม 32 กิโลเมตร
  • จำนวนสิ่งปลูกสร้างริมแม่น้ำสายที่ยินยอมรื้อถอนแล้ว: 11 จุด
  • จำนวนอาคารที่ยังไม่ยินยอมรื้อถอน: 3 จุด

สรุป ความพยายามของจังหวัดเชียงรายในการจัดระเบียบพื้นที่ริมแม่น้ำสาย และการก่อสร้างพนังกั้นน้ำเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการจัดการเชิงยุทธศาสตร์ที่คำนึงถึงทั้งความปลอดภัยและผลกระทบต่อชุมชน หากสามารถเจรจากับผู้ที่ยังไม่ยินยอมได้อย่างราบรื่น จะช่วยให้โครงการสามารถดำเนินการได้ทันฤดูฝน และลดความเสี่ยงของอุทกภัยในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืนในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานที่ดินจังหวัดเชียงราย
  • กรมธนารักษ์
  • กรมการทหารช่าง
  • อำเภอแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE