Categories
ECONOMY

ตลาดคอนโดไทยซบ ลูกค้าจีนหาย แผ่นดินไหวซ้ำ

พิษเศรษฐกิจ-ดินไหว-ทุนเทา ฉุดตลาดคอนโดต่างชาติ ลูกค้าจีนหาย 90%

เชียงราย, 28 พฤษภาคม 2568 – ความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงต้นปี 2568 สะท้อนถึงแรงสั่นสะเทือนจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เหตุการณ์ภัยธรรมชาติ และความเข้มงวดของภาครัฐต่อทุนต่างชาติ ส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับต่างชาติเกิดภาวะชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่เคยเป็นตลาดหลัก กลับหายไปถึงร้อยละ 90

ปัจจัยสะเทือนตลาด เศรษฐกิจโลก ดินไหว และความไม่แน่นอน

นายไซม่อน ลี ประธานกรรมการ บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด เผยว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อกลุ่มนักลงทุนชาวจีนอย่างรุนแรง ซึ่งซ้ำเติมจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทำให้กำลังซื้อหายไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น พัทยา ที่เคยได้รับความนิยม

ข้อมูลล่าสุดชี้ว่า ลูกค้าจีนและพม่าหายไปจากกรุงเทพฯ ถึงร้อยละ 90 ในขณะที่สมุยและภูเก็ตยังคงมีความเคลื่อนไหวบ้าง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 10-20 ซึ่งอาจมาจากเสน่ห์ของเมืองท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อมที่ยังไม่ถูกกระทบเท่าเขตเมืองหลัก

ห้องชุดรอโอนสะสม-แนวโน้มการซื้อระวังตัวมากขึ้น

ในกรุงเทพฯ มีห้องชุดรอโอนจำนวนหลักร้อยยูนิต ราคาต่อยูนิตอยู่ที่ 4-6 ล้านบาท ส่วนเชียงใหม่ มีห้องชุดรอโอนกว่า 200 ยูนิต ราคาประมาณ 2.5-3 ล้านบาท ขณะที่ภูเก็ตมีจำนวนสูงกว่า 400 ยูนิต คาดว่าจะโอนได้ในปี 2569 ราคายูนิตละ 2.5-4 ล้านบาท

นายวิทย์ กุลธนวิภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด และเคลเลอร์ วิลเลี่ยม ไทยแลนด์ ระบุว่า แม้ตลาดจะยังมีการซื้อจากกลุ่มต่างชาติในเมืองท่องเที่ยว แต่ปริมาณยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19 โดยเฉพาะจากนักลงทุนจีนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ

อีกทั้งยังมีปัจจัยค่าเงินบาทที่ผันผวน ส่งผลต่อความไม่แน่นอนในการคำนวณต้นทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งทำให้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อกระตุ้นตลาดต่างชาติ

นายวิทย์เสนอว่า หากรัฐบาลสามารถเปิดการเจรจาเพื่อดึงดูดฐานการผลิตจากต่างชาติมาไทยได้สำเร็จ อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมอาจกลายเป็นจุดขายใหม่ อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีนโยบายสนับสนุนการถือครองอสังหาริมทรัพย์ของชาวต่างชาติ เช่น วีซ่าระยะยาว หรือการปรับปรุงข้อจำกัดด้านการโอนกรรมสิทธิ์

ความเข้มงวดของภาครัฐดาบสองคมของตลาดอสังหา

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุว่า แม้จะมีการลดลงของยอดโอนคอนโดจากชาวจีน แต่ความเข้มงวดของกรมที่ดินต่อการซื้อบ้านผ่านบริษัทที่มีต่างชาติร่วมถือหุ้นกลับเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันการครอบครองที่ดินของกลุ่มทุนเทา

หลายโครงการในนิคมอุตสาหกรรมที่ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนแม้ได้รับการส่งเสริมก็ยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งเป็นทั้งอุปสรรคและกลไกป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาระยะยาวกับโครงสร้างประชากรในอนาคต

สร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์และความมั่นคง

ข้อเสนอเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อจากชาวต่างชาติอย่างยั่งยืนมีดังนี้

  1. คัดเลือกกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ เช่น นักวิจัย วิศวกรระดับสูง ผู้เกษียณอายุรายได้สูง
  2. ขยายระยะเวลาวีซ่าพำนักในไทย เช่น วีซ่า 10 ปี หรือวีซ่าดิจิทัลโนแมด
  3. ปรับอัตราภาษีการซื้ออสังหาริมทรัพย์และการเช่าอย่างเหมาะสม เพื่อสร้างรายได้ภาครัฐ
  4. ผลักดันร่างกฎหมาย “ทรัพย์อิงสิทธิ์” เพื่อให้สิทธิ์เช่าที่อยู่อาศัยได้นานถึง 60 ปี

สถิติสะท้อนภาพรวมตลาดแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงานข้อมูลไตรมาส 1 ปี 2568 ดังนี้

  • ยอดโอนห้องชุดของต่างชาติ: 3,919 หน่วย ลดลง 0.5% จากปีก่อน
  • มูลค่าการโอน 16,392 ล้านบาท ลดลง 9%

3 อันดับประเทศที่โอนมากที่สุด:

  1. จีน 1,481 หน่วย ลดลง 7.2% มูลค่า 6,117 ล้านบาท ลดลง 19.2%
  2. พม่า 439 หน่วย เพิ่มขึ้น 12% มูลค่า 1,587 ล้านบาท ลดลง 28.1%
  3. รัสเซีย 288 หน่วย ลดลง 2.4% มูลค่า 987 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9%

จุดเปลี่ยนที่ประเทศไทยต้องตัดสินใจ

การลดลงของนักลงทุนต่างชาติในตลาดคอนโดไทยเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึงความจำเป็นในการปรับยุทธศาสตร์อสังหาริมทรัพย์แห่งชาติให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก

แม้การป้องกันทุนเทาจะยังเป็นสิ่งจำเป็น แต่การสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายคุณภาพและสร้างสิทธิประโยชน์ที่สมดุลจะช่วยให้ไทยยังคงเป็นศูนย์กลางอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC)
  • บริษัท แองเจิล เรียลเอสเตท คอนซัลแทนซี่ จำกัด
  • สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร
  • บริษัท แคปปิตอล วัน เรียลเอสเตท จำกัด
  • กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทยโต 3% ไตรมาส 3 ปัจจัยบวกการท่องเที่ยวหนุน

เศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ปี 2567 ขยายตัว 3% แม้เผชิญปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายเศรษฐกิจโลก

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปี 2567 ว่า GDP ขยายตัว 3% เร่งตัวขึ้นจาก 2.2% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยที่ 2.3% การเติบโตนี้ได้รับแรงหนุนจากภาคบริการที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ภาคการผลิตและเกษตรกรรมยังชะลอตัวลง

สัญญาณการฟื้นตัวในภาคบริการและการท่องเที่ยว

นายดนุชากล่าวว่า สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัว 8.4% ในไตรมาสนี้ จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยกว่า 8.58 ล้านคน สร้างรายรับจากการท่องเที่ยวรวมกว่า 5.82 แสนล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 29.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการท่องเที่ยวภายในประเทศยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สร้างรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทย 2.25 แสนล้านบาท

ความท้าทายในปี 2568 จากปัจจัยเสี่ยงภายนอก

สศช. คาดการณ์ว่าในปี 2567 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.6% ส่วนปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวในกรอบ 2.3-3.3% โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและภาคการผลิตของไทย ทั้งนี้ ยังคงต้องจับตาการกีดกันทางการค้าและสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ

เพื่อเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน สศช. แนะนำให้รัฐบาลผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าแปรรูป รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และการสนับสนุนธุรกิจ SMEs ที่กำลังประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง เน้นการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้เข้าถึงแหล่งทุนมากขึ้น

การปรับตัวของภาคเอกชนและการบริโภค

คาดการณ์ว่าในปี 2568 การลงทุนของภาคเอกชนจะขยายตัว 2.8% และการบริโภคจะเพิ่มขึ้น 3% ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการใช้จ่ายของประชาชน

ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองในอนาคต

นายดนุชาเน้นย้ำว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักอย่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงการดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้อย่างยั่งยืน

สรุปภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2568

เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่องในปีหน้า แต่ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายจากภาวะเศรษฐกิจโลกและปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นในการผลักดันนโยบายและมาตรการที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ตลาดอสังหาฯ เชียงรายทรุดหนัก พิษน้ำท่วมหนักคาดฟื้นตัวปี 2569

 

เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2567 กรุงเทพธุรกิจได้ให้ข้อมูลว่า นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงราย โดยระบุว่า จากข้อมูลของสำนักงานที่ดินพบว่า ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 (ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงสิงหาคม) มูลค่าและจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ในจังหวัดเชียงรายลดลงประมาณ 20-25% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา รวมทั้งตัวเลขการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงินที่สูงถึง 70-80% ของผู้ที่ยื่นขอสินเชื่อ ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงรายซบเซาอย่างชัดเจน

เชียงรายถือเป็นจังหวัดเมืองรองที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็ก ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวและเกษตรกรรมเป็นหลัก เมื่อเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและไม่กล้าตัดสินใจเป็นหนี้ระยะยาว โดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ซึ่งปัจจุบันผลกระทบเริ่มลุกลามไปถึงกลุ่มบ้านระดับราคา 4-5 ล้านบาทแล้ว

นายชินะกล่าวว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงรายในปีนี้ ซึ่งถือว่าหนักที่สุดในรอบ 70 ปี เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในแง่ของผลกระทบเชิงจิตวิทยาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 3-6 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงรายคาดว่าน่าจะทรงตัวได้ในปี 2568 และอาจฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งในปี 2569

จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 พบว่ามีจำนวนที่อยู่อาศัยในจังหวัดเชียงรายที่เสนอขายทั้งสิ้น 2,758 หน่วย ลดลงร้อยละ 11.9 จากปีที่แล้ว มูลค่ารวมอยู่ที่ 10,872 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 13.0 ทั้งหมดเป็นโครงการบ้านจัดสรร โดยไม่มีการเปิดขายโครงการอาคารชุดใหม่ในช่วงนี้ ในจำนวนดังกล่าว พบว่ามีโครงการที่เปิดขายใหม่เพียง 47 หน่วย ลดลงถึงร้อยละ 90.3 คิดเป็นมูลค่า 155 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 92.2 หน่วยขายใหม่มีเพียง 102 หน่วย ลดลงร้อยละ 55.5 มูลค่า 372 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 61.1

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ที่อยู่อาศัยเหลือขายในจังหวัดเชียงรายมีจำนวนถึง 2,656 หน่วย ลดลงร้อยละ 8.5 คิดเป็นมูลค่า 10,499 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9.0 ทำเลที่อยู่อาศัยที่เสนอขายสูงสุดในจังหวัดเชียงรายคือ โซนอำเภอเมืองเชียงราย มีจำนวน 1,338 หน่วย มูลค่า 5,884 ล้านบาท ตามด้วยโซนสนามบิน-มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มีจำนวน 1,245 หน่วย มูลค่า 4,377 ล้านบาท และโซนอำเภอแม่สาย มีจำนวน 159 หน่วย มูลค่า 543 ล้านบาท ทั้งหมดอยู่ในกลุ่มระดับราคา 2-5 ล้านบาท โดยเป็นที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว ไม่มีโครงการอาคารชุดเสนอขายในพื้นที่เลย

นายชินะกล่าวปิดท้ายว่า แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงรายจะซบเซาลงในช่วงนี้ แต่ยังมีความหวังว่าตลาดจะเริ่มฟื้นตัวในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย / กรุงเทพธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News