Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

เดิมพันอนาคต รัฐเร่งลดค่าบริการสนามบิน ดันไฟลต์ตรงสู่เชียงราย ชู “เมืองปลอดภัยอันดับ 2 โลก”

เดิมพันอนาคต “เชียงรายพร้อมรับไฮซีซัน” รัฐเร่งลดค่าบริการสนามบิน ดันไฟลต์ตรงสู่เมืองรอง–เปิดเกมจีน พร้อมชู “เมืองปลอดภัยระดับโลก + Soft Power” เป็นแม่เหล็กดึงนักท่องเที่ยว

เชียงราย, 18 ตุลาคม 2568 — ลมหนาวลูกแรกเริ่มปะทะปลายเทือกเขาเขตเหนือสุดแดนสยาม ขณะเดียวกัน “นาฬิกาเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลก็เดินเร่ง ก่อนเส้นตายยุบสภาช่วงมกราคม 2569 จะมาถึง ภารกิจเร่งด่วนจึงถูกโยนเข้าสู่สนามท่องเที่ยวอย่างเต็มกำลัง—อุตสาหกรรมที่ยังทำเงินสดหมุนให้ชุมชนเร็วที่สุดในยามเศรษฐกิจต้องการแรงกระตุ้น

เชียงราย ถูกจับตาเป็นพิเศษ เพราะกำลังเข้าสู่ช่วง ไฮซีซัน (พฤศจิกายน–กุมภาพันธ์) และมี “ปัจจัยหนุน” หลายด้านเกิดพร้อมกัน ตั้งแต่นโยบาย ลดค่าบริการสนามบิน เพื่อจูงใจสายการบินเปิดเส้นทางใหม่, แคมเปญเชิงรุก Airline Focus ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ที่ทำให้ ไตรมาส 4/2568 มีไฟลต์ใหม่กว่า 80 เส้นทาง เข้าสู่ไทย, ไปจนถึงการชู “ความปลอดภัยระดับโลก” และ “Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์” เป็นข้อได้เปรียบเชิงภาพลักษณ์ที่ยากต่อการเลียนแบบ

รายงานชิ้นนี้จึงชวนผู้อ่าน “ไล่ปม–คลี่คลาย” แบบเจาะลึกเชียงรายพร้อมแค่ไหนกับการเป็น สนามรับดีมานด์ใหม่” จากท้องฟ้า? และเมื่อรัฐบาลมีเวลาจำกัด “เกมเร็ว” ใดบ้างที่ต้องเดินให้ทัน เพื่อแปลงนโยบายบนโต๊ะเจรจาให้กลายเป็น รายได้เข้าชุมชน อย่างเป็นรูปธรรม

คณะรัฐ–ททท. บินปักกิ่ง เปิดเกมเร่งฟื้นจีน และ จ่อชง “ลดค่าบริการสนามบิน”

17 ตุลาคม 2568, กรุงปักกิ่งร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี (กำกับดูแลกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) พร้อม นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และผู้บริหารระดับสูง เดินสายพบพันธมิตรหัวขบวนตลาดจีนอย่าง UTour, Caissa, Qunar, Tongcheng, CCT, CTG, 6renyou, ZX-Tour รวมถึง Hainan Airlines และ Air China เป้าหมายชัดเจน “รับฟัง–รีดข้อเสนอ–ทำจริง” เพื่อดึง นักท่องเที่ยวจีน กลับสู่ไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี

สารหลักของรองนายกฯ ในครั้งนี้มีสองแกน
(1) ความปลอดภัยต้องมาก่อน — รัฐบาลย้ำบูรณาการทำงานร่วม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว, สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อดูแลชีวิตและทรัพย์สินนักท่องเที่ยว “ให้รู้สึกปลอดภัยทุกก้าว”
(2) ลดต้นทุนสายการบินอย่างตรงจุด — มอบหมาย กรมท่าอากาศยาน พิจารณามาตรการ ลดค่าบริการสำหรับไฟลต์ใหม่ ทั้ง ค่าขึ้น–ลงอากาศยาน (Landing Charge) และ ค่าจอดอากาศยาน (Parking Charge) ที่สนามบินในกำกับ ท่าอากาศยานไทย (AOT) ทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย, ภูเก็ต, หาดใหญ่ เพื่อ “กดต้นทุน–เปิดเส้นทาง–เพิ่มเที่ยวบิน” โดยตรง

“มาตรการนี้เป็นแรงจูงใจสำคัญให้สายการบินต่างประเทศเพิ่มเที่ยวบินมายังประเทศไทย ช่วยกระจายตัวนักท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาคให้เติบโตต่อเนื่อง” — สารจาก ร.อ.ธรรมนัส ในวงหารือกับพันธมิตรจีน

ฝั่ง ททท. โดย น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการฯ เสริมแรงด้วยข้อมูลจากแคมเปญ Airline Focus และ Thailand Summer Blast ที่ร่วมผลักดันทั้ง ไฟลต์ประจำ (Scheduled) และ ไฟลต์เช่าเหมาลำ (Charter) ส่งผลให้ ช่วงไตรมาส 4/2568 มีการ เปิดเส้นทางบินใหม่กว่า 80 เส้นทาง จากทั้งเอเชีย ยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลาง—สัญญาณตรงที่สะท้อน ดีมานด์เดินทางเข้าประเทศไทยกำลังเร่งตัว ในฤดูกาลท่องเที่ยวปลายปี

แปลเชิงยุทธศาสตร์ ถ้าไทย “กดค่าใช้จ่ายสนามบิน” ให้ไฟลต์ใหม่ Breakeven เร็วขึ้น ขณะที่ ททท. ช่วยการตลาด–จับมือเอเยนต์–แพลตฟอร์มจอง อัดดีมานด์ฝั่งผู้โดยสาร โอกาสเปิดเส้นทางตรงสู่เมืองรองอย่าง เชียงราย ก็ “จับต้องได้” มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

จุดแข็งที่คู่แข่งเลียนแบบยาก “เชียงรายเมืองปลอดภัยระดับโลก” + “Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์”

ถ้าถามว่า “ขายอะไร” ให้สายการบินและผู้โดยสารเชื่อมั่น? เชียงรายมี “การ์ดทรงพลัง” อย่างน้อยสองใบ

1) ความปลอดภัยเชิงสถิติโลก

การจัดอันดับของ Holidu (อ้างอิงฐานข้อมูล Nomads.com) ยกให้ เชียงราย เป็น เมืองที่ปลอดภัยที่สุดอันดับ 2 ของโลกสำหรับผู้หญิง Digital Nomad (ปี 2025) โดยพิจารณาหลายมิติ ตั้งแต่ “ความปลอดภัยกลางวัน–กลางคืน” “ความเป็นมิตรต่อผู้หญิงและชาวต่างชาติ” ไปจนถึง “กรอบกฎหมายคุ้มครอง” ขณะที่ฐานข้อมูล Numbeo (อัปเดต 2 มีนาคม 2025) สะท้อนตัวเลข “ความปลอดภัยกลางวัน ~97.92% / กลางคืน ~95.83%” และ “ความกังวลต่อการถูกทำร้ายอยู่ระดับต่ำมาก”

แปลเศรษฐศาสตร์การท่องเที่ยวเมืองที่ รู้สึกปลอดภัย” คือเมืองที่ผู้โดยสาร ตัดสินใจง่าย” และพักนานขึ้น—โดยเฉพาะกลุ่ม ครอบครัว, ผู้หญิงเดินทางเดี่ยว, Digital Nomad ซึ่งเป็น ตลาดคุณภาพ ที่กระจายรายจ่ายสู่คาเฟ่–โคเวิร์กกิง–งานศิลป์ดีกว่ามวลชนระยะสั้น

2) Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์

เชียงรายไม่ใช่แค่ประตูชายแดน แต่เป็น เมืองศิลปะมีชีวิต” ที่บ่มเพาะกิจกรรมต่อเนื่อง—ตั้งแต่งานดอกไม้–ดนตรีในสวน, วัฒนธรรมล้านนาร่วมสมัย, ไปถึงการผลักดันแนวคิด Garden City และการจัด Walking Street / Walking Map โซนดาวน์ทาวน์ (เชื่อม วัดมิ่งเมือง–หอนาฬิกา–ศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยว) เพื่อยืดเวลาพำนักยามค่ำคืนอย่างปลอดภัยและเป็นระเบียบ

Soft Power ที่จับต้องได้ + ความปลอดภัยที่พิสูจน์ด้วยตัวเลข—สองขานี้ทำให้เชียงรายมี “ตำแหน่งทางการตลาด” ชัดเจนในสายตาเอเยนต์และสายการบินเมืองรองคุณภาพ–ปลอดภัย–คุ้มต้นทุน

จุดเชื่อมจีน” ที่เห็นจริงคาราวานมิตรภาพไทย–จีน 2025 และการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก

ปี 2569 คือวาระ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน โครงการเชื่อมโยงอย่าง คาราวานมิตรภาพไทย–จีน กรุงเทพฯ–ปักกิ่ง 2025” จึงถูกออกแบบทั้งเพื่อสื่อสารภาพบวกและทดสอบเส้นทางทางบกใหม่ ๆ ขบวนกว่า 15 คัน ใช้รถพลังงานสะอาด BYD Sealion 6 DM-i วิ่งกว่า 5,000 กม. ใน 16 วัน โดยมี อำเภอเชียงของ เป็นจุดพักสำคัญก่อนข้ามแดน

แม้นี่ไม่ใช่ไฟลต์บิน แต่คือ สัญลักษณ์ของ “Strategic Connectivity” ที่รัฐบาลไทย–จีนต้องการย้ำ “ความเชื่อม–ความง่าย–ความปลอดภัย” ของการเดินทาง ซึ่งต่อยอดสู่ ตลาดจีนคุณภาพ ได้ทั้งทางบกและอากาศ หากเชียงรายมีไฟลต์ตรง/เชื่อมต่อที่สะดวก ก็ยิ่งปิดจุดอ่อน “การเดินทางหลายต่อ” ของนักท่องเที่ยวจีนเมืองรอง

ฝั่งปฏิบัติการในพื้นที่ ททท.เชียงรายคนใหม่ “วางหมุด–ทำแผน–ยกระดับประสบการณ์”

9 ตุลาคม 2568คุณยุรีพรรณ แสนใจยา เข้ารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานเชียงราย พร้อมวิสัยทัศน์ “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวเชียงรายได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ” ที่สอดคล้องยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ของจังหวัด แผนงานสำคัญประกอบด้วย

  • สร้าง “ศูนย์กลางประสบการณ์” เขตดาวน์ทาวน์ : ปักหมุด วัดมิ่งเมือง–หอนาฬิกา–ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยว เป็นแกนกิจกรรมกลางคืนที่ปลอดภัย เดินได้จริง มีสื่อสารทิศทางชัด ผ่าน Walking Map
  • ยกระดับพื้นที่กรีน–อาร์ต : ผลักดัน Garden City และพื้นที่สีเขียวชุมชน เช่น เกาะทอง–หนองน้ำ–สวนสาธารณะ ให้กลายเป็น แลนด์มาร์กเดินเล่น–ปั่นจักรยาน รองรับกลุ่ม ครอบครัว–Senior–Digital Nomad
  • ปฏิทินเทศกาลต่อเนื่อง : งานดอกไม้–ดนตรีในสวน–ตักบาตรดอกไม้–เทศกาลชาติพันธุ์—ช่วย ยืดระยะพำนัก, กระจายเที่ยวไป ทุกอำเภอ
  • เชื่อมภาคเอกชน–ชุมชน : ใช้ แพ็กเกจเส้นทางศิลป์–ชุมชน–กาแฟ–ไร่ชา สร้างรายได้ตรงสู่ฐานราก

ความท้าทาย ของผู้อำนวยการคนใหม่จึงไม่ใช่ “สร้างข่าว” แต่คือ “จัดประสบการณ์หน้างาน” ให้ สมมาตรกับความคาดหวัง จากดีมานด์ใหม่ที่กำลังหลั่งไหล—ทั้งในมาตรฐานบริการ, ป้ายสื่อสารหลายภาษา, ความสะอาด–ปลอดภัย, และ การจราจร/จุดจอด ในช่วงพีก

ลดค่าบริการสนามบิน” จะช่วยเชียงรายอย่างไร? มองผ่านแว่นสายการบิน

สำหรับสายการบิน การเปิดเส้นทางใหม่คือการชั่งน้ำหนัก ต้นทุน–ดีมานด์–ความเสี่ยง ปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจเร็วขึ้นมี 4 ข้อหลัก

  1. ต้นทุนสนามบิน (AOT charges) — การลด Landing / Parking สำหรับไฟลต์ใหม่ ช่วยให้ ค่าเฉลี่ยต่อชั่วโมงบิน ลดลงในช่วงสำคัญของเส้นโค้งการเรียนรู้ (ramp-up)
  2. ความต้องการเดินทาง (Demand Visibility) — ททท.รับบท Demand Maker ผ่านโคโปรโมชันกับสายการบิน/ OTA และการสื่อสารตลาดเป้าหมาย (จีนระยะใกล้, ยุโรปหนีหนาว ฯลฯ)
  3. ภาพลักษณ์–ความปลอดภัยปลายทาง — เชียงรายมีแต้มต่อชัดเจนด้วย เรตติ้งความปลอดภัย และภาพจำเมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์—ลดความเสี่ยงฝั่ง perception
  4. โครงสร้างรองรับภาคพื้น — ความพร้อมของ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง–เชียงราย ในมิติ ground handling, immigration, taxi/รถรับส่ง, เวลาเปิดใช้งาน (operational hours) ช่วงพีก จะเป็นตัว “ล็อกคุณภาพ” ให้ไฟลต์ใหม่เลี่ยงความล่าช้าต้นน้ำ

บทเรียนจากเมืองรองอื่น ชี้ว่า เมื่อไฟลต์ทดลอง เริ่มเต็ม–รักษาตรงเวลา–รีวิวผู้โดยสารดี สายการบินมักเพิ่มความถี่/ขยายฤดูกาลอย่างรวดเร็ว ดังนั้นมาตรการลดค่าบริการสนามบินจึงควร ผูกกับ KPI เติมผู้โดยสาร (Load Factor) และ ความถี่ต่อเนื่อง (Sustained Frequency) เพื่อให้เม็ดเงินรัฐสร้าง “ผลถาวร” ไม่ใช่ “ผลชั่วคราว”

ไฮซีซันนี้ต้อง “ทำสั้น–ได้ผลไกล”  เช็กลิสต์ 6 ข้อที่เชียงรายควรล็อกให้ทัน

  1. แพ็กเกจ “บิน–เที่ยว–นอน” ที่ปิดจุดปวด : ร่วมเอกชนทำดีล สนามบิน–โรงแรม–การเดินทางในเมือง สำหรับนักท่องเที่ยวจีน/อาเซียน ภาษา–สื่อสาร–ชำระเงิน ต้องลื่น
  2. ศูนย์ข้อมูลหลายภาษา + เจ้าหน้าที่อาสา : โซนดาวน์ทาวน์–หอนาฬิกา–ท่าอากาศยาน—ตั้ง Information Kiosk ภาษา จีน–อังกฤษ–ไทย ช่วย “จบปัญหาหลงทาง–เข้าไม่ถึงข้อมูล”
  3. เส้นทาง “ปลอดภัย–เดินได้” กลางคืน : ปูทางเท้า, ไฟส่องสว่าง, กล้อง, จุดนั่งพัก, ป้ายทาง, ห้องน้ำมาตรฐาน—คือ “ประสบการณ์จำ” มากกว่าภาพถ่ายแลนด์มาร์ก
  4. เทศกาลแบบ “รันคิวสวย–ลดรอคอย” : ใช้ระบบจองเวลา/ QR ต่อคิวในเทศกาลยอดฮิต—ลดความแออัด–เพิ่มความประทับใจ
  5. โปรไฟล์สื่อออนไลน์เทศกาล–แผนที่จริง : เว็บไซต์/โซเชียลหลักของจังหวัดต้องมี ภาษาอังกฤษ–จีน พร้อม Walking Map ที่โหลดง่าย–อัปเดตสด
  6. เชื่อม “กาแฟ–ชา–อาร์ต–ชุมชน” : สร้างเส้นทาง 1–3 วัน (ตัวอย่าง) เมือง–แม่ลาว–แม่จัน–แม่สาย ให้เลือกได้ตามเวลาพำนัก

มองอนาคต หากไฟลต์ตรงเกิดจริง—เศรษฐกิจท้องถิ่นจะเห็นอะไร

  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย/ทริปสูงขึ้น : กลุ่มเป้าหมายที่เชื่อใน “เมืองปลอดภัย–ศิลปะ–สโลว์ไลฟ์” มีแนวโน้มใช้จ่าย ที่พักบูทีค–คาเฟ่–กิจกรรมชุมชน–ศิลปหัตถกรรม มากกว่าซื้อของฝากแบบเร่งด่วน
  • ห่วงโซ่อุปทานดิจิทัลโต : โคเวิร์กกิง–อินเทอร์เน็ต–ซิม/อีซิม–บริการเช่ารถไฟฟ้า–จักรยาน—จะตามมารองรับ Digital Nomad และนักเดินทางทำงานได้
  • แรงงานบริการคุณภาพ : ความต้องการมัคคุเทศก์–ล่ามภาษาจีน–บาริสต้า–ช่างภาพท่องเที่ยว—เพิ่มขึ้น “เชิงทักษะ” มากกว่าแรงงานปริมาณ
  • การกระจายสู่รอบนอก : เมื่อดาวน์ทาวน์จัดการดี เม็ดเงินจะไหลต่อสู่ อำเภอแม่จัน–แม่ฟ้าหลวง–เชียงของ–เทิง ผ่านเส้นทางชา–กาแฟ–ชุมชนชาติพันธุ์

Risk & Reality Check: สิ่งที่ต้องเฝ้าดูอย่างเป็นกลาง

  1. ตารางเวลาอนุมัติมาตรการลดค่าบริการสนามบิน — จำเป็นต้องชัดเจน–คาดการณ์ได้ เพื่อให้สายการบินวาง slot ล่วงหน้า
  2. ความต่อเนื่องหลังยุบสภา — นโยบายควรผูกกับ กรอบปฏิบัติราชการ มากกว่าบุคคล เพื่อให้ไฟลต์ใหม่ไม่สะดุด
  3. สมดุลความหนาแน่นท่องเที่ยว–คุณภาพชีวิตท้องถิ่น — เมืองปลอดภัยต้องไม่แลกด้วยความแออัดจราจร–ขยะ–เสียงดังเกินควร
  4. การสื่อสารเหตุการณ์ไม่คาดฝัน — ระบบแจ้งเตือนหลายภาษา–ศูนย์ประสานงานนักท่องเที่ยว–เบอร์ติดต่อฉุกเฉิน ต้องพร้อมเสมอ

เดิมพันไฮซีซันบน “สามแรงส่ง–สองการ์ดเด็ด”

เมื่อนำทุกเส้นเรื่องมาร้อยรวมกัน “สมการไฮซีซันเชียงราย” จึงชัดเจนขึ้น

  • สามแรงส่ง (จากส่วนกลาง) :
    (1) นายกฯ–รองนายกฯ–รมว.ท่องเที่ยว เดินเกม Big Impact, Act Fast กับพันธมิตรจีน
    (2) นโยบาย ลดค่าบริการสนามบินสำหรับไฟลต์ใหม่ (อยู่ระหว่างการพิจารณา)
    (3) แคมเปญ Airline Focus ของ ททท. ซึ่งส่งผลให้ ไตรมาส 4/2568 มีเส้นทางบินใหม่กว่า 80 เส้นทาง เข้าสู่ไทย
  • สองการ์ดเด็ด (ของเชียงรายเอง) :
    (1) เมืองปลอดภัยระดับโลก” สำหรับผู้หญิง Digital Nomad (จัดอันดับโดย Holidu/อิง Nomads.com; สนับสนุนด้วยสถิติ Numbeo)
    (2) Soft Power เมืองศิลปะ–สโลว์ไลฟ์ + ปฏิทินเทศกาล–พื้นที่สีเขียว–Walking Map ที่กำลังยกระดับ

เมื่อแรงส่งบนฟ้าบรรจบกับการ์ดเด็ดหน้างาน โอกาสที่เชียงรายจะ แปลงไฟลต์ใหม่ให้เป็นรายได้กระจายสู่ชุมชน ในไฮซีซันนี้ย่อมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ—ตราบใดที่ การจัดการภาคพื้น ทำได้ “ดี–ละเอียด–ต่อเนื่อง” ตามเช็กลิสต์ที่เสนอ

คำถามสุดท้ายจึงไม่ใช่ “จะมีนักท่องเที่ยวไหม” แต่คือ เราพร้อมพานักท่องเที่ยวให้ประทับใจและกลับมาอีกหรือยัง” ซึ่งคำตอบอยู่ในมือของทุกภาคส่วน—ตั้งแต่หน่วยงานกลาง, ท่าอากาศยาน, ททท., เทศบาล, ผู้ประกอบการ, ไปจนถึงชุมชนเจ้าบ้าน

ไฮซีซันปีนี้ จึงไม่ใช่แค่หน้าหนาวแรก แต่เป็น เดิมพันอนาคต ที่เชียงรายมีโอกาส “ยิงให้เข้าเป้า” ในเวลาจำกัด—ทำสั้น แต่ให้ได้ผลไกล

เสียง–สถิติ–แผนงาน

  • รัฐบาลพบพันธมิตรจีนที่ปักกิ่ง (17 ต.ค. 2568)  ย้ำ ความปลอดภัยนักท่องเที่ยว และ ลดค่าบริการสนามบินสำหรับไฟลต์ใหม่ (Landing / Parking) ที่สนามบิน AOT รวมถึง แม่ฟ้าหลวง–เชียงราย
  • ททท.ชี้สัญญาณบวก  ไตรมาส 4/2568 สายการบินระหว่างประเทศ เพิ่มเส้นทางใหม่ > 80 เส้นทาง สู่ไทย จากเอเชีย–ยุโรป–อเมริกา–ตะวันออกกลาง
  • เชียงราย = เมืองปลอดภัยระดับโลกอันดับ 2 สำหรับผู้หญิง Digital Nomad (Holidu / Nomads.com) สนับสนุนด้วยสถิติ Numbeo (ความปลอดภัยกลางวัน ~97.92% กลางคืน ~95.83%)
  • คาราวานมิตรภาพไทย–จีน 2025  วิ่ง 5,000 กม. ใช้เชียงของเป็นจุดผ่าน—สัญลักษณ์ “การเชื่อมไทย–จีน” รับวาระ 50 ปีทางการทูต
  • ททท.เชียงราย (ผอ.คนใหม่)  ปักหมุดดาวน์ทาวน์–Walking Map–Garden City–เทศกาลต่อเนื่อง—มุ่ง “เที่ยวได้ทุกสไตล์ เที่ยวได้ทั้งปี มีดีทุกอำเภอ”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • ท่าอากาศยานไทย (AOT) / กรมท่าอากาศยาน
  • Holidu (อ้างอิงฐานข้อมูล Nomads.com)
  • Numbeo
  • ททท. สำนักงานเชียงราย
  • ภาคีปฏิบัติการพื้นที่/สื่อท้องถิ่นเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ททท. ชู 3 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน ดึงนักท่องเที่ยว 7 ชาติ พร้อมปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง”

ททท.ชู 3 ยุทธศาสตร์เร่งด่วน ดึงนักท่องเที่ยว 7 ชาติ–ปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ย้ำกรอบความปลอดภัย–กระจายรายได้สู่เมืองรอง รับดีมานด์จีนฟื้นช่วง Golden Week

กรุงเทพฯ, 10 ตุลาคม 2568 — ในจังหวะที่เศรษฐกิจโลกยังแกว่งตัวและกำลังซื้อครัวเรือนบางกลุ่มในประเทศยังไม่ฟื้นเต็มที่ ภาครัฐเลือก “เกียร์สูง” กับเครื่องยนต์การท่องเที่ยว โดย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผย นโยบายเร่งด่วน 4 เดือน ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์หลัก  (1) ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 7 ตลาดศักยภาพ, (2) กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ ด้วยแนวคิด ต่อยอด “เที่ยวไทยคนละครึ่ง/ทัวร์ไทยคนละครึ่ง”, และ (3) ยกระดับคุณภาพ–ความปลอดภัย–การกระจายรายได้ไปสู่ เมืองรอง เพื่อให้เม็ดเงินท่องเที่ยวหมุนเวียนอย่างทั่วถึง

ภาพใหญ่ของการขับเคลื่อนเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อฝ่ายนโยบายกำหนดเป้า 7 ตลาดหลักที่ “จับจ่ายสูง” ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และ กลุ่มตะวันออกกลาง อาทิ กาตาร์ คูเวต โอมาน พร้อมเดินหมากการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก—ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีหมายกำหนดการ เดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการในเร็ว ๆ นี้ เพื่อตอกย้ำความร่วมมือและดึงดีมานด์นักท่องเที่ยวกลับไทย

ขณะที่ฝั่งสัญญาณหน้างาน ตลาดจีน โชว์แรงส่งช่วง Golden Week (1–8 ต.ค. 2568) โดย นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. เปิดเผยว่า เป้า 2 แสนคน ในช่วงดังกล่าว “ตัวเลขปรับตัวดีขึ้นจากเป้าหมายที่วางไว้” และคาดว่าจะเห็นภาพชัดขึ้นภายในไม่กี่วัน สะท้อนการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของดีมานด์เดินทางจากจีน—ฐานรายได้สำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย

“เรามั่นใจในการทำงานร่วมกับทุกหน่วยงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว และขอให้คนไทยทุกคนช่วยกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับและดูแลนักท่องเที่ยวอย่างอบอุ่น” — นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท.

ยุทธศาสตร์ที่ 1 เจาะ 7 ตลาดศักยภาพ–เร่งทวงแชร์

จีน–ญี่ปุ่น–เกาหลีใต้–อินเดีย คือ ตลาดแกน” ที่มีฐานเที่ยวบินและโครงสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ–สังคมยาวนาน ขณะที่ ซาอุดีอาระเบีย–UAE–ตะวันออกกลาง ถูกจัดวางเป็น ตลาดกำลังซื้อสูงที่มีช่องว่างใหม่” ทั้งในมิติการบินเชื่อมต่อ การตลาดเฉพาะกลุ่ม (ครอบครัว รายได้สูง กลุ่มสุขภาพ/Medical Wellness และ Halal-friendly) และฤดูกาลท่องเที่ยวที่ สวนทาง” กับไทยบางช่วง ทำให้สามารถบริหาร Load Factor ฝั่งสายการบินและ Seasonality ฝั่งผู้ประกอบการได้ดีขึ้น

หมากสำคัญคือ การเยือนจีนอย่างเป็นทางการ ของรองนายกฯ และ รมว.การท่องเที่ยวฯ เพื่อเจรจาความร่วมมือระดับรัฐ–เอกชน ทั้งด้าน โควตาเที่ยวบิน, แคมเปญร่วมการตลาด (co-promotion) กับแพลตฟอร์ม/เอเจนซีรายใหญ่, และ ความปลอดภัยปลายทาง ที่เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวจีนในระยะสั้น–กลาง

Golden Week ทำหน้าที่เสมือน สัญญาณนำ (leading indicator)” ของไตรมาสสุดท้าย เมื่อ ททท. ประเมินไว้ที่ 2 แสนคน และตัวเลขจริง เกินกว่าเป้า ย่อมสะท้อน Elasticity ของดีมานด์ ที่ยังตอบสนองต่อโปรโมชั่น–ความสะดวกด้านวีซ่า–ความมั่นใจด้านความปลอดภัย หากสามารถต่อยอดสู่ ตารางบินฤดูหนาว และ เทศกาลปลายปี ได้อย่างต่อเนื่อง ก็มีโอกาสดัน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป ให้ขยับขึ้นตาม

ยุทธศาสตร์ที่ 2 ปัดฝุ่น “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ในเงื่อนไขกำลังซื้ออ่อน

ฝั่งอุปสงค์ในประเทศ รัฐบาลกำลังกลับมาใช้ “กลไกความร่วมจ่าย (co-pay)” เพื่อขยับ กำลังซื้อที่ถูกกดทับ ให้เกิดการเดินทางจริง โดยแนวคิด เที่ยวไทยคนละครึ่ง/ทัวร์ไทยคนละครึ่ง” ถูกออกแบบให้ สอดรับโครงการ “คนละครึ่ง” (เปิด 29 ต.ค. นี้) พร้อมพิจารณา สิทธิประโยชน์ทางภาษี ร่วมกับกระทรวงการคลัง เช่น ลดหย่อนภาษีท่องเที่ยวหมู่คณะ หรือ สิทธิคืนภาษีปลายปี สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ

ในเชิงกลไกเศรษฐกิจ แนวทางนี้สามารถเพิ่ม ตัวคูณ (multiplier) ของเม็ดเงินรัฐ หากออกแบบให้ “เงินรัฐ 1 บาท ดึง เงินเอกชนหลายบาท” ผ่านเพดานสิทธิ–ร่วมจ่าย–การกำหนดช่วงเวลา/ปลายทางที่ นอกพีก/เมืองรอง เพื่อแก้ปัญหา “แออัดในเมืองหลัก–โลว์โหลดเมืองรอง” ควบคู่กับการคัดกรองกิจกรรมที่มี Local Content สูง (โฮมสเตย์–ทัวร์ชุมชน–งานเทศกาลท้องถิ่น) เพื่อให้ รายได้กระจาย ไม่กระจุกในห่วงโซ่หลัก

คำถามเชิงนโยบายสำคัญคือ จะมีประสิทธิภาพเพียงพอไหม หากกำลังซื้อครัวเรือนยังอ่อน?” เงื่อนไขความสำเร็จจึงขึ้นกับ

  • การตั้งสัดส่วนร่วมจ่าย ที่จูงใจพอ (แต่ไม่บิดเบือนราคา)
  • การล็อกช่วงเวลา/พื้นที่ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายกระจายรายได้
  • การเชื่อมมาตรการภาษี กับองค์กร/สหกรณ์/ชุมชน เพื่อดึง ดีมานด์กลุ่มใหญ่
  • การสื่อสารความปลอดภัย และ มาตรฐานบริการ เพื่อสร้าง ความคุ้มค่าเชิงประสบการณ์ (Value for Experience) มากกว่าราคาอย่างเดียว

ยุทธศาสตร์ที่ 3 คุณภาพ–ความปลอดภัย–เมืองรอง คือแกนถ่วงดุล

ททท. ระบุชัดว่า ความปลอดภัย เป็นวาระเร่งด่วน โดยบูรณาการกับ ตำรวจท่องเที่ยว, กองบัญชาการตำรวจนครบาล, และ หน่วยงานความมั่นคง เพื่อดูแลพื้นที่ท่องเที่ยว โดยเฉพาะช่วงเทศกาลที่มีคนหนาแน่น การจัดการ จุดเสี่ยง–จุดอ่อนไหว, ระบบ แจ้งเหตุ/สายด่วนหลายภาษา, และ การลาดตระเวนเชิงป้องกัน เป็นคีย์เวิร์ดของความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ด้าน คุณภาพและการกระจายรายได้ ททท. จะทำงานกับภาคเอกชนและพันธมิตรในพื้นที่ จัดกิจกรรม/อีเวนต์ เมืองหลัก–เมืองรอง” โดยเน้นเมืองรองเป็นพิเศษ เพื่อขยายความหลากหลายสินค้า–ประสบการณ์ (จากแค่ทะเล–ภูเขา ไปสู่ อาหาร–เทศกาล–สุขภาพ–กีฬา–MICE ท้องถิ่น) ให้สอดรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวหลังโควิดที่นิยม ทริปสั้นถี่–คอนเทนต์เฉพาะกลุ่ม–คุณค่าเชิงวัฒนธรรม

คำให้สัมภาษณ์และสัญญาณจากหน้างาน

  • ผู้ว่าการ ททท. ย้ำ “ความร่วมมือข้ามหน่วยงาน” และ บทบาทเจ้าบ้านที่ดีของคนไทย เป็นแกนสร้างความเชื่อมั่น—องค์ประกอบสำคัญไม่แพ้ราคา/โปรโมชั่น
  • รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียฯ ให้ข้อมูล Golden Week จีน ว่าตัวเลขเข้าประเทศ ปรับตัวดีขึ้นจากเป้า 2 แสนคน สะท้อนว่าตลาดจีน ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้ไทย กลับไปทวงแชร์ ในไตรมาสสุดท้าย

ผลกระทบต่อผู้ประกอบการ–ชุมชน–แรงงานท่องเที่ยว

  1. ผู้ประกอบการโรงแรม–ทัวร์–ร้านอาหาร ควรเตรียม แพ็กเกจร่วมจ่าย ให้สอดรับ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” (เงื่อนไข–ระยะเวลา–ปลายทางเมืองรอง) และ แคมเปญจีน/เอเชีย ที่มักผูกการจองผ่านแพลตฟอร์ม ผู้ประกอบการที่ลงทุนใน บริการหลายภาษา–ชำระเงินหลากสกุล–รีวิวคุณภาพ จะได้เปรียบ
  2. ชุมชน–เมืองรอง โอกาสในการจัด เทศกาลท้องถิ่น/เส้นทางวัฒนธรรม/โฮมสเตย์มาตรฐาน เพื่อรับเม็ดเงินตรงสู่พื้นที่ ควรร่วมมือกับ ททท.–อปท.–เอกชน สร้าง ปฏิทินกิจกรรม ที่สอดรับฤดูกาลและเส้นทางบิน/รถไฟ/รถโดยสาร
  3. แรงงานท่องเที่ยว เมื่อดีมานด์เร่งตัว บทบาท มัคคุเทศก์/พนักงานต้อนรับ/คนขับรถ/ไกด์ท้องถิ่น จะเพิ่มสูง ควรเร่ง อัปสกิลภาษา–ดิจิทัล–มาตรฐานบริการ–ความปลอดภัย เพื่อรองรับทั้งตลาดจีน–เอเชียและตะวันออกกลางที่มีความต้องการเฉพาะทาง (อาหาร/วัฒนธรรม/ศาสนา)

จะ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เอาอยู่ไหม? — เงื่อนไขความสำเร็จในสภาวะกำลังซื้ออ่อน

แม้มาตรการร่วมจ่ายช่วย ปลดล็อกการตัดสินใจ ได้ดีในกลุ่มที่มีศักยภาพใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่ในกลุ่มที่ รายได้ตึงตัว/หนี้สูง การ “เพิ่มแรงจูงใจ” ต้องทำมากกว่าราคา เช่น

  • ผูกสิทธิภาษี สำหรับการเดินทางแบบ หมู่คณะ/องค์กร/สหกรณ์ เพื่อดึง ดีมานด์เป็นชุด
  • เล็งฤดูกาล–พื้นที่ ที่รัฐอยากกระจายรายได้ เช่น นอกพีก–เมืองรอง พร้อม คูปองกิจกรรมท้องถิ่น
  • คุมคุณภาพ/ความปลอดภัย ให้ “คุ้มค่าความรู้สึก” ถึงแม้กำลังซื้อจำกัด นักท่องเที่ยวจะยอมจ่ายหากมั่นใจว่าจะได้ ประสบการณ์คุ้มราคา
  • สื่อสารง่าย–จองสะดวก–โปร่งใส ลดต้นทุนเวลาและความสับสนของผู้ใช้สิทธิ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง นโยบายร่วมจ่ายจะคุ้มค่า เมื่อทำหน้าที่เป็น “สะพาน” พาคนไทยจาก “อยากไป” สู่ “ตัดสินใจไปจริง” ในจุดที่ตลาดเอกชนเพียว ๆ ยังไปไม่ถึง โดยไม่บิดเบือนตลาดจนเกินไป

เชื่อม “ความปลอดภัย–คุณภาพ” กับ “การดึงต่างชาติ” ให้เดินพร้อมกัน

ในจังหวะเร่งเครื่องต่างชาติ ประเด็น ความปลอดภัย จะถูก จับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะตลาดจีนที่อ่อนไหวต่อข่าว/กระแสโซเชียล การประกาศบูรณาการกับ ตำรวจท่องเที่ยว–กองบัญชาการตำรวจนครบาล–หน่วยงานความมั่นคง จึงเป็น ประกันความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่น ควบคู่กับการยกระดับ มาตรฐานสถานบริการ–การคุ้มครองผู้บริโภค–การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจะกลายเป็น ทรัพย์สิน (asset) ระยะยาวของแบรนด์ “Thailand”

ระยะต่อไป ตัวชี้วัดความสำเร็จที่ควรติดตาม

  • จำนวน–ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยนักท่องเที่ยวจาก 7 ตลาด และ สัดส่วนตลาดจีน ในไตรมาสสุดท้าย
  • สัดส่วนการเดินทางสู่นอกพีก/เมืองรอง ภายใต้โครงการร่วมจ่าย
  • ดัชนีความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย และ เวลาการตอบสนองเหตุ ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ
  • การเติบโตของรายได้ผู้ประกอบการชุมชน และ การจ้างงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เทียบฐานก่อนมาตรการ

นโยบายท่องเที่ยวรอบนี้วางเกมเป็น “สามเหลี่ยมถ่วงดุลต่างชาติ–ในประเทศ–ความปลอดภัย/คุณภาพ/เมืองรอง โดยมีการทูตเศรษฐกิจ (เยือนจีน) เป็นคันเร่งฝั่งอินบาวนด์ และ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” เป็นตัวค้ำฝั่งดีมานด์ภายใน การจะ “เอาอยู่” หรือไม่ จึงขึ้นกับ การออกแบบกลไก ให้ เงินรัฐ 1 บาท ดึง เม็ดเงินเอกชนหลายบาท, กระตุ้น การเดินทางที่ต้องการ (นอกพีก–เมืองรอง–กิจกรรมท้องถิ่น), และสร้าง ความเชื่อมั่น ว่าไทยพร้อมทั้งด้าน ความปลอดภัย และ คุณภาพประสบการณ์

จากสัญญาณ Golden Week จีน ที่ดีกว่าเป้า และทิศทางเยือนจีนในเร็ว ๆ นี้ ภาพรวมบอกเราว่า ดีมานด์พร้อมตอบสนอง หากนโยบาย “จับจุดถูก” ส่วนฝั่งในประเทศ หาก เที่ยวไทยคนละครึ่ง ถูกแบบมาอย่างพอดี–โปร่งใส–ใช้ง่าย ก็มีศักยภาพ “แก้ปัญหาถูกที่–ถูกเวลา” ให้เม็ดเงินท่องเที่ยวหมุนไปในพื้นที่ที่ต้องการได้จริง

แก่นสำคัญของไตรมาสสุดท้ายจึงไม่ใช่แค่ “ดึงนักท่องเที่ยวให้มากที่สุด” แต่คือ “ดึง ให้ถูกที่–ถูกช่วง–ถูกกลุ่ม และ ปลอดภัย” เพื่อให้การท่องเที่ยวทำหน้าที่เป็น หัวจักรเศรษฐกิจ ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนเชิงบวกไปถึงชุมชนฐานรากอย่างทั่วถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
  • Golden Week โดย นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ (รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้)
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา — นโยบายบูรณาการเพื่อฟื้นตัวภาคท่องเที่ยว, หมายกำหนดการเยือนจีนของ รองนายกรัฐมนตรี ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รัฐมนตรีว่าการ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร เพื่อผลักดันความร่วมมือทวิภาคีด้านการท่องเที่ยว
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ / ตำรวจท่องเที่ยว / กองบัญชาการตำรวจนครบาล
  • กระทรวงการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตผลไม้ไทย ทุเรียนราคาดิ่ง มะม่วงหลุดผู้นำ ผวาเวียดนามครองตลาดจีน

ไทยเสียแชมป์ผลไม้ส่งออก สัญญาณวิกฤตศักยภาพเกษตรไทยในตลาดโลก

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – ประเทศไทยซึ่งเคยได้รับการยอมรับว่าเป็น “เจ้าตลาดผลไม้เมืองร้อน” โดยเฉพาะในตลาดจีน ซึ่งถือเป็นผู้นำด้านการส่งออกทุเรียน มังคุด และมะม่วง กลับต้องเผชิญความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในปี 2568 เมื่อเวียดนามก้าวขึ้นมาครองพื้นที่ทางการตลาดอย่างน่าเกรงขาม ด้วยกลยุทธ์ที่เฉียบคมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดปลายทาง

จากอดีตที่ผลไม้ไทยแทบไม่มีคู่แข่งในตลาดจีน วันนี้สถานการณ์กลับพลิกผันในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

จุดเริ่มต้นของการเสียความเป็นผู้นำทุเรียนไทยถูกแทนที่

ต้นปีที่ผ่านมา ทุเรียนไทยซึ่งเคยเป็นผลไม้เรือธงในการส่งออก ถูกเวียดนามแซงหน้าขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในตลาดจีน ด้วยสัดส่วนการนำเข้าทุเรียนเวียดนามกว่า 64% ขณะที่ทุเรียนไทยหดตัวเหลือเพียงราว 30% เท่านั้น

สาเหตุหลักเกิดจากความสามารถในการจัดการด้านโลจิสติกส์ของเวียดนามที่มีประสิทธิภาพกว่า ต้นทุนต่ำกว่า และการเจรจาแบบรัฐต่อรัฐที่มีประสิทธิภาพสูง โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างเวียดนามกับรัฐบาลจีนในด้านการเปิดจุดผ่านแดนและการเร่งพิธีการศุลกากร ซึ่งช่วยให้ผลไม้เวียดนามเข้าเมืองจีนได้เร็วขึ้นและสดใหม่กว่า

ราคาตกต่ำ – ความเชื่อมั่นสั่นคลอน

ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ระบุว่า ราคาทุเรียนหน้าสวนไทยในปี 2568 ตกต่ำสุดในรอบ 5 ปี เหลือเพียงกิโลกรัมละ 80-95 บาท จากเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 120-150 บาท ส่วนหนึ่งมาจากภาวะล้นตลาด ขาดการวางแผนการผลิต และการกระจายสินค้าที่ไร้เอกภาพ

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าขบวนการในเวียดนามบางกลุ่มพยายาม “สวมสิทธิ์” ทุเรียนไทยเพื่อหลอกตลาดจีน โดยอ้างว่าเป็นผลไม้ที่ผ่านการรับรองจากประเทศไทย สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของผลไม้ไทยอย่างร้ายแรง รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการสืบสวนข้อเท็จจริง

มะม่วงไทยร่วงพ้น Top 5 – เวียดนามครองตลาด 97%

อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ มะม่วงไทยที่เคยติด Top 3 ผู้ส่งออกอันดับต้น ๆ ของจีน กลับมีส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือไม่ถึง 3% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ขณะที่เวียดนามกลับขึ้นมาครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 97% ด้วยคุณภาพที่คงเส้นคงวา ราคาสมเหตุสมผล และการส่งออกอย่างมีระบบ

นักวิเคราะห์ตลาดระบุว่า จุดแข็งของเวียดนามอยู่ที่การสนับสนุนจากภาครัฐในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว การควบคุมคุณภาพ และการพัฒนามาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practice) อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ผลไม้เวียดนามผ่านด่านการตรวจสอบของจีนได้รวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ไทยกำลังสูญเสียข้อได้เปรียบดั้งเดิมในเวทีโลก

การเสียตำแหน่งในตลาดจีนของทุเรียนและมะม่วงไม่ใช่แค่เรื่องการแข่งขันด้านผลไม้เท่านั้น แต่เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมถอยในความสามารถในการแข่งขันของภาคการเกษตรไทยในภาพรวม ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทยมาช้านาน

หลายปัจจัยสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการที่ล่าช้า การขาดความเป็นเอกภาพระหว่างหน่วยงาน ความล่าช้าในการปรับตัวต่อมาตรฐานการค้าระหว่างประเทศ และการพึ่งพาตลาดส่งออกแบบกระจุกตัว

หากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการปรับยุทธศาสตร์ ไทยอาจสูญเสียรายได้จากการส่งออกผลไม้ ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสูงกว่า 144,000 ล้านบาทต่อปี (ข้อมูลปี 2566 จากกรมศุลกากร) และจะกระทบตั้งแต่เกษตรกรรายย่อยไปจนถึงห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจมหภาค

ทางออกไทยต้องคิดใหม่ ทำใหม่ทั้งระบบ

ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ไทยควรปรับทิศทางนโยบายการเกษตรใหม่ใน 3 ด้าน ได้แก่:

  1. ยกระดับมาตรฐานการผลิต: พัฒนาคุณภาพตั้งแต่ต้นทางด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ระบบ Smart Farming การจัดการดิน น้ำ และปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ
  2. พัฒนาการตลาดเชิงรุก: เร่งสร้างแบรนด์ผลไม้ไทยผ่านการตลาดดิจิทัล และการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐที่มีเป้าหมายชัดเจน
  3. สร้างเครือข่ายความร่วมมือภูมิภาค: เปิดตลาดใหม่ในอาเซียน ตะวันออกกลาง และยุโรปเพื่อลดการพึ่งพาตลาดจีนเพียงช่องทางเดียว

บทสรุป

สถานการณ์ในปี 2568 ไม่ได้สะท้อนแค่การเปลี่ยนแปลงในตลาดผลไม้ แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งทุกประเทศต่างต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ไทยในฐานะประเทศเกษตรกรรมอันดับต้น ๆ ของโลก จำเป็นต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” อย่างจริงจัง หากไม่อยากถูกผลักให้กลายเป็นผู้เล่นรายรองในเวทีที่เคยเป็นเจ้าภาพ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมศุลกากร (www.customs.go.th)
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
  • Vietnam Trade Promotion Agency (VIETRADE)
  • สำนักข่าว Xinhua (China)
  • ข้อมูลรายงานการค้าผลไม้ไทย-จีน ประจำไตรมาส 1 ปี 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News