Categories
LIFESTYLE

รู้จัก “ป้านิ” ผู้เชิดชูภูมิปัญญา ผ้าปักมือ สตรีดีเด่นปี 68

นิธี สุธรรมรักษ์: สตรีผู้รักษาภูมิปัญญาผ้าปักมือบ้านสันกอง จากสาวโรงงานสู่ผู้นำกลุ่มผ้าปัก อนุรักษ์ศิลปะพื้นถิ่นให้มีชีวิต

แรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เกิดกลุ่มผ้าปักบ้านสันกอง

นิธี สุธรรมรักษ์ ประธานกลุ่มอาชีพผ้าปักด้วยมือบ้านสันกอง จ.เชียงราย ได้รับเลือกให้เป็น สตรีดีเด่นด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม เนื่องในวันสตรีสากล ประจำปี 2568 เธอเป็นบุคคลสำคัญที่นำภูมิปัญญาท้องถิ่นกลับมาสร้างคุณค่า สร้างอาชีพ และส่งเสริมให้ชุมชนมีรายได้

“ตอนแรกเราแค่ลองเอาผ้าปักของผู้สูงอายุในชุมชนไปขายที่ตลาดไนท์บาซาร์เชียงราย ไม่คิดว่าจะมีคนสนใจมากขนาดนี้” นิธีกล่าว

ผลงานของกลุ่มได้รับความนิยมจากทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ จุดประกายให้เธอตั้งกลุ่มผ้าปักบ้านสันกองขึ้น เพื่อสร้างโอกาสให้กับผู้สูงอายุที่เคยว่างงานให้กลับมามีรายได้อีกครั้ง

การรวมกลุ่มผู้สูงวัย: งานฝีมือที่มากกว่ารายได้

นิธีรวบรวมผู้สูงอายุที่อยู่บ้านเฉย ๆ มาฝึกปักผ้า โดยใช้ระยะเวลาเรียนรู้ตั้งแต่ 10 วันถึง 3 เดือน ขึ้นอยู่กับทักษะของแต่ละคน

“คนที่ไม่เคยปักผ้ามาก่อนก็มี เราสอนทุกขั้นตอนจนเขาทำได้”

หลังจากฝึกจนสามารถปักผ้าได้แล้ว กลุ่มจะจ่ายค่าตอบแทนตามขนาดของชิ้นงาน ผู้สูงอายุสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยเดือนละ 1,000-2,500 บาท ทำให้พวกเขามีความภูมิใจและลดภาระของลูกหลาน

“บางคนบอกว่าพอได้เงินจากงานปักผ้า เขาเอาไปซื้อของใช้ส่วนตัวเอง ไม่ต้องขอเงินลูกหลาน”

เอกลักษณ์ของผ้าปักบ้านสันกอง

จุดเด่นของผลงานคือ ความละเอียด ประณีต และลวดลายที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของชุมชน ลวดลายที่นิยม ได้แก่

  • ลายเมล็ดข้าวสาร สื่อถึงความอุดมสมบูรณ์
  • ลายใบไม้และดอกไม้ ถ่ายทอดความงามของธรรมชาติ
  • ลายสายน้ำและก้นหอย เป็นสัญลักษณ์ของความต่อเนื่องและความสงบ

“ผลงานแต่ละชิ้นไม่มีแบบซ้ำกันเลย เพราะมันเกิดจากจินตนาการของคนปัก”

กลุ่มสามารถผลิตผลงานได้กว่า 300-400 ชิ้นต่อเดือน ชิ้นเล็กใช้เวลาปัก 2-3 วัน ส่วนชิ้นใหญ่ใช้เวลาถึง 2-3 เดือน

สตรีดีเด่นแห่งเชียงราย: นางนิธี สุธรรมรักษ์ ผู้สืบสานผ้าปักมือ สู่รางวัลระดับประเทศ

การได้รับรางวัลในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถและความทุ่มเทของนางนิธี ในการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะการปักผ้าด้วยมือ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นบ้านสันกอง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ผลงานของนางนิธี ไม่เพียงแต่สร้างชื่อเสียงให้กับชุมชน แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับสตรีในท้องถิ่น ในการพัฒนาตนเองและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม

การพัฒนาและการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น

นิธีวางแผนพัฒนาให้สินค้าของกลุ่มสอดคล้องกับ แนวคิด BCG (Bio-Circular-Green Economy) โดยนำเศษวัสดุกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“เศษด้าย เศษผ้า ไม่เคยถูกทิ้ง ทุกอย่างถูกนำมาใช้ใหม่หมด”

นอกจากนี้เธอยังต้องการให้ กระทรวงพาณิชย์เข้ามาช่วยสนับสนุนด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาด

การถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับผู้ต้องขัง

นิธีไม่ได้สอนแค่ในชุมชน แต่ยังนำความรู้ด้านผ้าปักเข้าไปถ่ายทอดให้กับผู้ต้องขังชายในเรือนจำกลางเชียงราย

“ช่วงแรกไม่มีใครเชื่อว่าผู้ต้องขังชายจะปักผ้าได้ แต่พอเริ่มฝึก ฝีมือก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ”

จากเดิมที่มีผู้สนใจเข้าเรียน 80 คน เพิ่มขึ้นเป็น 200 คน ตอนนี้ เรือนจำกลางเชียงรายตั้งกองงาน “ผ้าปัก” อย่างเป็นทางการ และเป็นแหล่งผลิตชิ้นงานให้กับกลุ่ม

สถิติที่เกี่ยวข้องกับงานผ้าปักบ้านสันกอง

  • กลุ่มผ้าปักบ้านสันกองมีสมาชิกกว่า 100 คน อายุตั้งแต่ 55-88 ปี
  • สามารถผลิตได้ 300-400 ชิ้นต่อเดือน
  • เป็นสินค้า OTOP ระดับ 5 ดาวของเชียงราย และได้รับมาตรฐาน มผช.249/2557
  • โครงการสอนผ้าปักในเรือนจำกลางเชียงรายมีผู้เข้าร่วมกว่า 200 คน

สรุป: นิธี สุธรรมรักษ์ ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง

นิธี สุธรรมรักษ์ ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำกลุ่มอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับชุมชน แต่ยังเป็นผู้ที่ผลักดันให้ผ้าปักไทยได้รับการยอมรับในระดับสากล เธอเป็นตัวอย่างของสตรีที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นอาชีพที่ยั่งยืน และยังคงสานต่อภารกิจนี้ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

คุณสมบัติสตรีดีเด่น: นางนิธี สุธรรมรักษ์

การคัดเลือกสตรีดีเด่นด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม จัดโดยกระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับคณะกรรมการดำเนินงานวันสตรีสากล กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีเกณฑ์การคัดเลือกที่เข้มงวด เพื่อให้ได้สตรีที่ทรงคุณค่าและเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม ซึ่งนางนิธี สุธรรมรักษ์ มีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ที่กำหนด ดังนี้

  1. ความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญ: นางนิธีมีความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญในด้านศิลปะและวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปักผ้าด้วยมือ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
  2. คุณธรรมและจริยธรรม: นางนิธีเป็นสตรีที่มีคุณธรรมและจริยธรรม เป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่วไปและสังคม
  3. การมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม: นางนิธีได้รับการยอมรับและมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมในสังคม มีการริเริ่มแผนงาน/โครงการ และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์อย่างต่อเนื่อง
  4. ความสามารถในการถ่ายทอดและผลักดัน: นางนิธีมีความสามารถในการถ่ายทอด ผลักดัน และเชื่อมโยงประสบการณ์ให้เกิดประโยชน์ในชุมชนและสังคม
  5. บทบาทในการส่งเสริมความเสมอภาค: นางนิธีมีบทบาทในการส่งเสริม เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติในการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ การคุ้มครองสิทธิสตรี หรือการพัฒนาศักยภาพของสตรี
  6. ไม่เคยได้รับรางวัลในรอบ 5 ปี: นางนิธีไม่เคยได้รับรางวัลเนื่องในวันสตรีสากลของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว พม. ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา

จากภูมิปัญญาท้องถิ่น สู่รางวัลระดับประเทศ

นางนิธี สุธรรมรักษ์ เป็นแบบอย่างของสตรีที่ประสบความสำเร็จในการอนุรักษ์และสืบสานศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่น ด้วยความมุ่งมั่นและความทุ่มเท นางนิธีได้พัฒนาฝีมือการปักผ้าด้วยมือ จนเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ และได้รับรางวัลสตรีดีเด่นด้านศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม ประจำปี 2568

รางวัลที่นางนิธีได้รับในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเกียรติประวัติส่วนตัว แต่ยังเป็นเกียรติประวัติของชุมชนบ้านสันกอง และจังหวัดเชียงราย ที่มีสตรีผู้ทรงคุณค่าและเป็นแบบอย่างที่ดีในสังคม

นางนิธี สุธรรมรักษ์ เป็นแรงบันดาลใจให้กับสตรีไทย ในการพัฒนาตนเองและสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ด้วยความสามารถและความมุ่งมั่น สตรีไทยสามารถสร้างชื่อเสียงและสร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / ผ้าปัก by นิธี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

แพเปียก ‘แม่สรวย’ เปิดแล้ว อบจ.เชียงราย หนุนท่องเที่ยวชุมชน

เชียงรายพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว ล่องแพเปียกแม่สรวย เปิดฤดูกาลปี 2568

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัวกิจกรรมท่องเที่ยวโดยชุมชน “การล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย” อย่างเป็นทางการ โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายร่วมเป็นเจ้าภาพในพิธีเปิดกิจการดังกล่าว เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

พิธีเปิดกิจกรรมล่องแพเปียกแม่สรวย

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.00 น. ณ บริเวณลำน้ำแม่สรวย อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย นายรามิล พัฒนมงคลเชฐ ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ปฏิบัติหน้าที่นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นางสาวณิชาภา สันธิ หัวหน้าฝ่ายกิจการคณะผู้บริหาร และ นางสาวสุมิตรา บางขะกูล หัวหน้าฝ่ายการท่องเที่ยว ร่วมเปิดตัวกิจกรรมสำคัญนี้

ในพิธีเปิดได้รับเกียรติจาก นางสาวสุภาภรณ์ ยาลังคำ ปลัดอำเภอแม่สรวย เป็นประธานกล่าวเปิดงาน พร้อมรับฟังรายงานจาก นายประดิษฐ์ สุวรรณ์ ประธานกลุ่มแพเปียก และมีผู้นำท้องที่และท้องถิ่นเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้

การส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน

กิจกรรม ล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย – ลำน้ำแม่ลาว จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 15 พฤษภาคม 2568 ซึ่งถือเป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมอาชีพและการพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชน เป็นเวทีสำคัญในการสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชนในพื้นที่ให้สามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

นอกจากนี้ การจัดงานยังมุ่งเน้นการสร้างเอกลักษณ์และวัฒนธรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในชุมชนมาสร้างมูลค่าเพิ่ม ทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ล่องแพเปียก ท่ามกลางความงดงามของธรรมชาติสองฝั่งแม่น้ำ

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กิจกรรมการล่องแพเปียกได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิด การสร้างงานและรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ อย่างยั่งยืน ไม่เพียงแต่เจ้าของแพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านค้าท้องถิ่น และธุรกิจบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

นายประดิษฐ์ สุวรรณ์ ประธานกลุ่มแพเปียก กล่าวว่าการท่องเที่ยวรูปแบบนี้ได้สร้างรายได้หมุนเวียนให้กับชุมชนเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและเกิดความร่วมมือระหว่างชาวบ้านในการพัฒนาการท่องเที่ยวให้เป็นไปอย่างยั่งยืน

แนวทางการพัฒนาในอนาคต

อบจ.เชียงราย มีแผนพัฒนาโครงการล่องแพเปียกให้มีความปลอดภัยและยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้น โดยมีแผนพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้แก่:

  • การเพิ่มมาตรการความปลอดภัย – กำหนดมาตรฐานอุปกรณ์ช่วยชีวิตและการอบรมไกด์นำเที่ยว
  • การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ – ส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน – ปรับปรุงท่าเทียบแพ จุดจอดรถ และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว

สรุป

การเปิดตัว ล่องแพเปียกลำน้ำแม่สรวย 2568 ถือเป็นก้าวสำคัญของการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่สามารถสร้างรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐและการมีส่วนร่วมของประชาชน ทำให้กิจกรรมนี้กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การล่องแพเปียกแม่สรวยมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่?
    ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับแพ็คเกจท่องเที่ยวที่เลือก โดยสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากกลุ่มแพเปียกแม่สรวยได้
  2. การล่องแพเปียกเหมาะกับทุกวัยหรือไม่?
    กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับทุกวัย แต่ควรมีการดูแลเด็กและผู้สูงอายุเป็นพิเศษเพื่อความปลอดภัย
  3. นักท่องเที่ยวควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง?
    ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสม เตรียมอุปกรณ์กันน้ำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย
  4. สามารถจองล่องแพล่วงหน้าได้หรือไม่?
    สามารถจองล่วงหน้าผ่านกลุ่มแพเปียกแม่สรวย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อความสะดวก
  5. มีมาตรการด้านความปลอดภัยอะไรบ้าง?
    มีอุปกรณ์ชูชีพ การอบรมไกด์นำเที่ยว และการตรวจสอบสภาพแพเป็นประจำเพื่อให้มั่นใจถึงความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ชาวบ้านร้อง! ย้ายทะเบียนบ้านกระทบ 3 ชุมชน วอนแก้ไขด่วน

ฝ่ายปกครองเชียงรายเร่งแก้ปัญหาย้ายทะเบียนบ้าน 3 ชุมชน หลังชาวบ้านวิตกกังวลผลกระทบ

เชียงราย, 23 กุมภาพันธ์ 2568 – ฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงรายรับฟังปัญหาจากชาวบ้าน 3 ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งทางปกครองให้ย้ายทะเบียนบ้านออกจากเขตเทศบาลนครเชียงราย พร้อมหาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน

การประชุมหารือกับประชาชน

วันนี้ (23 กุมภาพันธ์ 2568) เวลา 13.00 น. ณ อาคารพบโชคคอมเพล็กซ์ บ้านห้วยปลากั้ง ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายชิตวัน ชินอนุวัฒน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เชียงราย เขต 1 ว่าที่ร้อยตรี สมชาติ เตชถาวรเจริญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองระดับสูง ได้ร่วมรับฟังปัญหาจากชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งดังกล่าว

ชาวบ้านจาก ชุมชนห้วยปลากั้ง ชุมชนบ้านดอย และชุมชนทวีรัตน์ (บางส่วน) แสดงความวิตกกังวลต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการย้ายทะเบียนราษฎร์โดยไม่มีการหารือหรือแจ้งข้อมูลล่วงหน้า ทำให้เกิดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน วิถีชีวิต และการเข้าถึงบริการสาธารณะของพวกเขา

ต้นเหตุของปัญหาและกระบวนการเปลี่ยนแปลงแนวเขต

พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตเทศบาลเมืองเชียงราย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2538 ได้กำหนดให้หมู่บ้านน้ำลัดได้รับการจัดตั้งเป็นชุมชนภายในเขตเทศบาลเมืองเชียงราย ต่อมาเมื่อเทศบาลเมืองเชียงรายได้รับการยกฐานะเป็นเทศบาลนครเชียงรายในปี 2547 ได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมและจัดตั้งชุมชนย่อยเพิ่มเติม ได้แก่ ชุมชนน้ำลัด ชุมชนบ้านห้วยปลากั้ง ชุมชนบ้านดอย และชุมชนทวีรัตน์ เพื่อรองรับการพัฒนาพื้นที่เมือง

อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 กระทรวงมหาดไทยได้ออกคำสั่งที่ 133/2566 แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และต่อมา สำนักทะเบียนท้องถิ่นเทศบาลนครเชียงรายได้มีหนังสือแจ้งไปยังเจ้าบ้านในพื้นที่ดังกล่าว โดยระบุว่าพื้นที่นี้ไม่สอดคล้องกับแนวเขตเทศบาลนครเชียงราย และให้เจ้าบ้านไปพบนายทะเบียนท้องถิ่นของพื้นที่ข้างเคียงเพื่อดำเนินการแก้ไข

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน

ชาวบ้านทั้ง 3 ชุมชนจำนวน 3,579 คน ไม่ประสงค์ย้ายทะเบียนราษฎร์เนื่องจากกังวลถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งรวมถึง:

  • ปัญหาทางกฎหมายและธุรกรรม – การเปลี่ยนทะเบียนบ้านส่งผลต่อสิทธิในที่ดินและการทำธุรกรรมทางกฎหมาย
  • การเข้าถึงบริการสาธารณะ – อาจมีผลกระทบต่อสิทธิด้านสาธารณสุขและการศึกษา
  • วิถีชีวิตและเศรษฐกิจ – การเปลี่ยนแปลงนี้อาจส่งผลต่ออาชีพและสวัสดิการที่ชาวบ้านได้รับ

นอกจากนี้ ในวันแรกของการโอนย้ายทะเบียนบ้าน พบว่าชาวบ้านที่ไปทำใบขับขี่ที่สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงราย ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ยังไม่ได้รับการอัปเดต ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้

แนวทางแก้ไขปัญหา

ว่าที่ร้อยตรี สมชาติ เตชถาวรเจริญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้รับหนังสือร้องเรียนจากตัวแทนชาวบ้านเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระเร่งด่วน โดยมีการหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • คณะกรรมาธิการกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ
  • รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  • ผู้อำนวยการคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเชียงราย
  • กำนันตำบลบ้านดู่ และกำนันตำบลแม่ยาว
  • นายทะเบียนท้องถิ่นของเทศบาลนครเชียงราย บ้านดู่ และแม่ยาว

โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันพิจารณาแนวทางแก้ไขให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชน และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงแนวเขตเทศบาล

สรุป

ปัญหาการย้ายทะเบียนบ้านของ 3 ชุมชนในเขตเทศบาลนครเชียงรายส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อประชาชน ทำให้ฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงรายต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย การประชุมหารือครั้งนี้ถือเป็นก้าวแรกของการรับฟังความคิดเห็นและหาทางออกที่เหมาะสม

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. เหตุใดจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงแนวเขตเทศบาลนครเชียงราย?
    การเปลี่ยนแปลงเกิดจากแนวทางการจัดทำและแก้ไขแนวเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดโดยกระทรวงมหาดไทย
  2. ชาวบ้านสามารถคัดค้านคำสั่งย้ายทะเบียนบ้านได้หรือไม่?
    สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนผ่านหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือร้องเรียนผ่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาปรับแก้ไขได้
  3. การเปลี่ยนแปลงทะเบียนบ้านส่งผลกระทบอย่างไร?
    อาจส่งผลต่อสิทธิทางกฎหมาย การเข้าถึงบริการสาธารณะ และการดำเนินธุรกรรมทางกฎหมายของประชาชน
  4. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างไร?
    กำลังมีการประชุมหารือและยื่นเรื่องเข้าสภาผู้แทนราษฎรเพื่อหาทางออกที่เป็นธรรม
  5. ชาวบ้านควรทำอย่างไรหากต้องการให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือร้องเรียน?
    สามารถติดต่อฝ่ายปกครองจังหวัดเชียงราย หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมและร้องเรียน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเมืองสุขภาพ! ม.แม่ฟ้าหลวงร่วมพัฒนา สู่ต้นแบบแม่กำปอง

พช.เชียงราย ผนึกกำลังมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เดินหน้าโครงการ Chiang Rai Wellness City ผลักดันเชียงรายสู่เมืองแห่งสุขภาพ

เชียงราย, 22 กุมภาพันธ์ 2568 – มุ่งส่งเสริมสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม สร้างต้นแบบชุมชนสุขภาวะยั่งยืน

เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดเชียงราย (พช.เชียงราย) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จัดกิจกรรมภายใต้โครงการ พัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งสุขภาพ (Chiang Rai Wellness City)บ้านไร่กองขิง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่พัฒนาชุมชน ทีมวิทยากรจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และผู้นำชุมชนจากอำเภอเมืองเชียงราย เข้าร่วม

โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อ พัฒนาเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาวะ โดยนำแนวทางของ บ้านแม่กำปอง ซึ่งเป็นชุมชนต้นแบบด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแนวทางในการพัฒนาเชียงราย ให้เป็นเมืองที่มีความสมดุลระหว่างวิถีชีวิตชุมชน วัฒนธรรม และการดูแลสุขภาพ

กิจกรรมสร้างสรรค์เชิงสุขภาพและวัฒนธรรม มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน

ภายในงาน มีกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับสุขภาพและวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือ ประชาชนบ้านป่าอ้อ หมู่ที่ 11 ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมืองเชียงราย และประชาชนบ้านถ้ำผาตอง หมู่ที่ 6 ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ได้แก่

กิจกรรมเพ้นท์แก้วดินเผาโบราณ

  • สร้างสรรค์งานศิลปะบนเครื่องปั้นดินเผาตามภูมิปัญญาพื้นบ้าน
  • ส่งเสริมให้ชุมชนสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว
  • กระตุ้นเศรษฐกิจสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน

กิจกรรมทำลูกประคบสมุนไพร

  • ถ่ายทอดความรู้เรื่องสรรพคุณของสมุนไพรไทยในการบำบัดรักษาสุขภาพ
  • ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด
  • สร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับชุมชนผ่านการแปรรูปสมุนไพรเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ

กิจกรรมเชิงสุขภาพและวัฒนธรรมสำหรับนักท่องเที่ยว

  • สนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบองค์รวม เช่น การนวดแผนไทย อาหารพื้นเมืองเพื่อสุขภาพ และโยคะสมาธิ
  • ผสมผสานวิถีชุมชนเข้ากับกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาวะ เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่มีคุณค่าแก่ผู้มาเยือน
  • ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่มองหาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ

Chiang Rai Wellness City แนวคิดสู่การพัฒนาเมืองแห่งสุขภาพแบบยั่งยืน

โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “Chiang Rai Wellness City” ซึ่งมุ่งเน้นให้เชียงรายเป็น เมืองแห่งสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ โดยอาศัยจุดแข็งของพื้นที่ ได้แก่

  • ภูมิประเทศที่มีธรรมชาติสมบูรณ์
  • วัฒนธรรมล้านนาที่เป็นเอกลักษณ์
  • วิถีชีวิตที่เรียบง่ายและเหมาะกับการพักผ่อนฟื้นฟูสุขภาพ
  • ทรัพยากรสมุนไพรที่หลากหลาย สามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ

นางอำไพ บัวระดก พัฒนาการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงแนวทางในการขับเคลื่อนโครงการนี้ว่า

การพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งสุขภาพไม่ใช่เพียงแค่การส่งเสริมการท่องเที่ยว แต่คือการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้คนในพื้นที่ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เราต้องการให้ประชาชนเข้าถึงการดูแลสุขภาพในรูปแบบที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตล้านนา ควบคู่ไปกับการส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตผ่านแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ”

เชียงรายมุ่งสู่ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในระดับนานาชาติ

เชียงรายถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงในการเป็น ศูนย์กลางด้านสุขภาพและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาวะในระดับนานาชาติ เนื่องจาก

  • เป็นเมืองที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านการออกแบบจาก UNESCO
  • มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะแก่การฟื้นฟูสุขภาพ เช่น บ่อน้ำพุร้อน เชียงราย เทอราพี รีสอร์ท และเส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
  • เป็นศูนย์กลางการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรล้านนา
  • มีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงในการพัฒนาองค์ความรู้ด้านสุขภาพและสมุนไพร

ทั้งนี้ ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังมีแผนผลักดันเชียงรายให้เข้าสู่เครือข่ายเมืองสุขภาพระดับโลก (Global Wellness Cities) ในอนาคต

สรุปผลสำเร็จของโครงการ และแนวทางในอนาคต

  • กิจกรรมภายใต้โครงการ Chiang Rai Wellness City ได้รับความสนใจจากประชาชนและผู้นำชุมชนอย่างกว้างขวาง
  • การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนผ่านผลิตภัณฑ์สุขภาพ และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจะเป็นศูนย์กลางในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพจากสมุนไพรท้องถิ่น
  • มีแผนต่อยอดความร่วมมือกับภาคเอกชนในการส่งเสริมสินค้าสุขภาพจากเชียงรายไปสู่ตลาดต่างประเทศ

โครงการนี้ถือเป็น จุดเริ่มต้นที่สำคัญ ในการทำให้เชียงรายกลายเป็น เมืองแห่งสุขภาพที่สมบูรณ์แบบ” ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของเชียงราย และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงรายร่วมพัฒนาวัฒนธรรมชุมชน หนุนท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

เชียงรายร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายวัฒนธรรม สืบสานศาสตร์พระราชา

เชียงราย, 9 กุมภาพันธ์ 2568 – เครือข่ายวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายเข้าร่วม โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายทางวัฒนธรรมและผู้นำชุมชนคุณธรรมฯ เพื่อ สืบสาน รักษา ต่อยอดศาสตร์พระราชา ประจำปีงบประมาณ 2568 ระหว่างวันที่ 7-11 กุมภาพันธ์ 2568พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี

กระทรวงวัฒนธรรมจัดโครงการนี้เพื่อ ส่งเสริมองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรม สร้างชุมชนต้นแบบ “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยมี นางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วย นายพัฐศิษฏ์ ธนชวาลย์ ผู้อำนวยการกองตรวจราชการ เป็นผู้กล่าวรายงาน และ นางศศิฑอณร์ สุวรรณมณี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม รวมถึงผู้แทนจาก 26 ชุมชน เข้าร่วมงาน

เสริมพลังชุมชน ผ่านการพัฒนาศักยภาพผู้นำ

กิจกรรมภายในโครงการประกอบด้วย การบรรยายและฝึกปฏิบัติด้านการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชนเชิงวัฒนธรรม ได้แก่:

  • แนวทางการพัฒนา “ชุมชนท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม” โดย หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม และวิทยากรจากกองตรวจราชการ
  • การบริหารจัดการการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดย ผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
  • กลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยวและการตลาด โดย วิทยากรจากองค์กรด้านการพัฒนาท่องเที่ยว
  • เทคนิคการประชาสัมพันธ์และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรด้านการท่องเที่ยว เพื่อเพิ่มโอกาสการดึงดูดนักท่องเที่ยวสู่ชุมชน

นอกจากนี้ คณะวิทยากรจาก พิพิธภัณฑ์การเกษตรเฉลิมพระเกียรติฯ ยังได้ให้ความรู้เรื่อง การถ่ายทอดเรื่องราวและการเล่าเรื่อง (Storytelling) ให้เกิดแรงจูงใจในการท่องเที่ยว

เชียงรายส่งตัวแทนเข้าร่วม เสริมแกร่งเครือข่ายวัฒนธรรม

นาย พิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ได้มอบหมายให้ นายจิรัฏฐ์ ยุทธ์ธนประวิช นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ นำทีมผู้แทนชุมชน 3 คน ได้แก่ นางอิ่ม คำแสง, นางอ่อน ปัญญา และนายทิพย์ เมืองยอด เข้าร่วมกิจกรรมนี้เพื่อ เสริมสร้างศักยภาพและนำองค์ความรู้มาพัฒนาชุมชนเชียงราย

ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากผ่านวัฒนธรรม

โครงการนี้ถือเป็น ก้าวสำคัญในการนำทุนทางวัฒนธรรมมาต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ชุมชน และเป็นแนวทางขับเคลื่อนให้เกิด ชุมชนท่องเที่ยวที่ยั่งยืน สอดรับกับนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรมที่มุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากผ่านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ม.พะเยา สืบสานสายใย เก็บดอกฝ้ายหลวง อนุรักษ์ฝ้ายพื้นเมือง

มหาวิทยาลัยพะเยาจัดกิจกรรม “สืบสานสายใย เก็บดอกฝ้ายหลวง” อนุรักษ์ฝ้ายพื้นเมืองและสืบสานประเพณี

พะเยา, 5 กุมภาพันธ์ 2568 –  มหาวิทยาลัยพะเยาจัดกิจกรรม “สืบสานสายใย เก็บดอกฝ้ายหลวง” ณ “สวนฝ้ายหลวง มหาวิทยาลัยพะเยา” โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.สุภกร พงศบางโพธิ์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยพะเยา เป็นประธานในพิธีเปิดป้าย “สวนฝ้ายหลวง มหาวิทยาลัยพะเยา” และร่วมเก็บดอกฝ้ายกับคณะผู้บริหาร บุคลากร นิสิต และเครือข่ายฝ้ายหลวง

ความร่วมมือในการอนุรักษ์ฝ้ายหลวง

กิจกรรม “สืบสานสายใย เก็บดอกฝ้ายหลวง” จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างกองกิจการนิสิต และโครงการวิจัย “โครงการวิจัยและพัฒนาฝ้ายหลวงเพื่อสร้างรายได้และความยั่งยืนสู่ชุมชน” ซึ่งได้รับทุนวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ประจำปี พ.ศ. 2567 โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพันธุ์ฝ้ายหลวง ซึ่งเป็นฝ้ายพื้นเมืองประเภทฝ้ายยืนต้นในภาคเหนือ เพื่อรวบรวมอนุรักษ์พันธุ์ฝ้ายหลวง ตลอดจนส่งเสริมพัฒนายกระดับฝ้ายหลวงสู่เศรษฐกิจฐานรากของชุมชนท้องถิ่น

การเก็บดอกฝ้ายเพื่อสืบสานประเพณี

กิจกรรม “สืบสานสายใย เก็บดอกฝ้ายหลวง” เป็นการเก็บดอกฝ้ายที่กำลังออกผลผลิตเต็มที่ตามฤดูกาล เพื่อส่งมอบให้กับเครือข่ายวิจัยฝ้ายหลวงจาก 10 กลุ่มชุมชน นำไปจัดทำเป็น “ต้นฝ้ายหลวงปูรณฆฏะ” อันเป็นเครื่องสักการะที่จะใช้ในพิธีสรงน้ำและห่มผ้าพระธาตุเจ้าจอมทอง เวียงพะเยา เนื่องในประเพณีไหว้พระธาตุเดือนหกเป็งต่อไป

ประเพณีไหว้พระธาตุเดือนหกเป็ง

ประเพณีสรงน้ำและห่มผ้าพระธาตุจอมทอง ถือเป็นประเพณีที่ดีงามและเก่าแก่ของเมืองพะเยา จัดขึ้นในเดือน ๖ เป็ง (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖) ตามปฏิทินของล้านนา ขบวนแห่เครื่องสักการะและผ้าห่มองค์พระธาตุ จะถูกนำขึ้นไปเพื่อสักการะองค์พระธาตุจอมทอง ซึ่งเป็นองค์พระธาตุคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดพะเยา มีอายุมากกว่า 700 ปี

ความสำคัญของดอกฝ้ายคำหรือดอกสุพรรณิการ์

ดอกฝ้ายคำ หรือดอกสุพรรณิการ์ มีถิ่นกำเนิดจากทวีปอเมริกาใต้ ดอกจะบานในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ของทุกปี มีความเชื่อกันว่า หากปลูกต้นสุพรรณิการ์ไว้ประจำบ้าน จะช่วยทำให้ผู้ปลูกได้รับความเจริญรุ่งเรืองทางด้านเงินทองและโภคทรัพย์

สรุป

กิจกรรม “สืบสานสายใย เก็บดอกฝ้ายหลวง” เป็นกิจกรรมที่สำคัญในการอนุรักษ์ฝ้ายหลวง ซึ่งเป็นฝ้ายพื้นเมืองของภาคเหนือ และเป็นการสืบสานประเพณีอันดีงามของเมืองพะเยา นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : งานสื่อสารองค์กร ม.พะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

องค์มนตรีติดตามโครงการพระราชดำริที่เชียงราย

องค์มนตรีติดตามโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะในเชียงราย

เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2568 นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี พร้อมคณะ ได้ลงพื้นที่เพื่อติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะที่โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอเชียงของ โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ ร่วมให้การต้อนรับ

การเยี่ยมชมในครั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อติดตามผลการดำเนินงานของโครงการที่มีความสำคัญในด้านการพัฒนาชุมชนและการเกษตรกรรมในพื้นที่ โดยองค์มนตรีได้เยี่ยมชมผลผลิตและผลิตภัณฑ์จากราษฎรในพื้นที่โครงการ พร้อมกับทำการปล่อยปลากระแห จำนวน 2,000 ตัว ปลานวลจันทร์ 500 ตัว และปลาบึก 19 ตัว ในแหล่งน้ำของหมู่บ้าน เพื่อนำไปสนับสนุนกิจกรรมการประมงในพื้นที่

พื้นที่โครงการและความสำคัญของโครงการ

อำเภอเชียงของ ตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงราย เป็นพื้นที่ชายแดนที่มีอาณาเขตติดต่อกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มีแม่น้ำโขงเป็นเส้นกั้นระหว่างประเทศ โดยอำเภอเชียงของมีพื้นที่ปกครองแบ่งออกเป็น 7 ตำบล 102 หมู่บ้าน มีประชากรประมาณ 64,000 คน ซึ่งประกอบอาชีพเกษตรกรรมและประมง

อำเภอเชียงของมีความสำคัญในด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปลายทางของรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และตั้งอยู่ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สาย เชียงแสน เชียงของ ซึ่งตำแหน่งนี้ถือเป็น “Logistic City” ที่สำคัญของประเทศ นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการพัฒนาสังคมและชุมชนควบคู่กับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะและประโยชน์ที่ได้รับ

โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ตั้งอยู่ในตำบลห้ายซ้อ หมู่บ้านเวียหมอก เป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่มีประชากร 336 ครัวเรือน หรือประมาณ 2,036 คน ซึ่งเป็นหมู่บ้านหลักที่ได้รับประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำนี้ ประชาชนในพื้นที่ใช้ประโยชน์จากน้ำในอ่างเก็บน้ำในการทำการเกษตรกรรม ทั้งการปลูกพืชผัก ทำไร่ ทำนา และทำสวน ผลกระทบจากโครงการนี้ได้ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้นอย่างมาก

ในปีที่ผ่านมา ส่วนราชการ ภาคเอกชน และชุมชนได้ร่วมกันเพิ่มพื้นที่สีเขียวในพื้นที่โดยการปลูกป่าและต้นไม้ในโครงการต่างๆ เช่น โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติในวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 และโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกับกรมป่าไม้และบริษัทต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคต

โครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจก

ในปี 2564 โครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติในหมู่บ้านเวียหมอกได้ปลูกต้นไม้รวม 1,000 ต้น เช่น ต้นขี้เหล็ก มะขามป้อม ต้นเสี้ยวขาว และต้นพะยุง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างพื้นที่สีเขียวและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ในปี 2565 ได้มีการดำเนินโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจร่วมกับกรมป่าไม้และบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) โดยการปลูกป่าบนพื้นที่ 140.21 ไร่ และจะมีการดำเนินการต่อเนื่องจนถึงปี พ.ศ. 2574 ในปี 2567 มีโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมกับบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บนพื้นที่ 144.38 ไร่ ซึ่งจะเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2576

บทสรุป

โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยโป่งแงะอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ตั้งอยู่ในอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนในด้านการเกษตรและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำในการเกษตรกรรมและการพัฒนาพื้นที่สีเขียวผ่านโครงการปลูกป่าลดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน และชุมชนได้ช่วยสนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืนและตรงตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งที่ 8 เปิดให้บริการประชาชนเชียงราย

กิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งที่ 8 ประจำปี 2568 จังหวัดเชียงราย

เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2568 ที่ตลาดกลางเทศบาลตำบลป่าก่อดำ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานเปิดกิจกรรม “หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งที่ 8 ประจำปี 2568” ซึ่งจัดขึ้นเพื่อให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชนในจังหวัดเชียงราย โดยกิจกรรมครั้งนี้มีการรวมกลุ่มของคณะบุคลากรทางการแพทย์และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ เพื่อให้บริการด้านสุขภาพที่ครอบคลุมและเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ด้อยโอกาสและกลุ่มเปราะบางในชุมชน

การจัดกิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีและความมุ่งมั่นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนองพระปณิธานในการรักษาพยาบาล ฟื้นฟูสุขภาพ และส่งเสริมสุขภาพแก่ประชาชนในจังหวัดเชียงราย ซึ่งจะส่งผลให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้นและลดปัญหาสุขภาพในระยะยาว

การเปิดกิจกรรมและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

ในกิจกรรมนี้มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก รวมทั้งนางวนิดา หล้าอ่อน รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย, นายแพทย์คงศักดิ์ ชัยชนะ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, นายรุ่งโรจน์ ตันวุฒิ นายอำเภอแม่ลาว, หัวหน้าส่วนราชการ, ทหาร, ตำรวจ, ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น และอาสาสมัคร พอ.สว. พร้อมประชาชนในตำบลป่าก่อดำ ที่ให้ความร่วมมือในกิจกรรมอย่างดี

การจัดกิจกรรมครั้งนี้เน้นการให้บริการทางการแพทย์ต่างๆ ทั้งการตรวจสุขภาพเบื้องต้น การให้คำแนะนำด้านสุขภาพ และการรักษาพยาบาลทั่วไป รวมถึงการมอบสิ่งของและเครื่องมือทางการแพทย์ให้กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

บูรณาการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ

นอกจากนี้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัด, รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย, ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์, นายอำเภอแม่ลาว และหัวหน้าส่วนราชการยังได้ร่วมลงพื้นที่เยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุ จำนวน 5 ราย ในพื้นที่ตำบลป่าก่อดำ โดยมอบความช่วยเหลือและดูแลสุขภาพให้แก่ผู้ที่ต้องการการดูแลพิเศษ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับประชาชนในท้องถิ่น

การบริการที่เข้าถึงชุมชน

กิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งที่ 8 เป็นกิจกรรมที่ได้รับความสนใจและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการให้บริการที่เข้าถึงประชาชนในทุกกลุ่ม ทั้งในด้านการดูแลสุขภาพที่จำเป็นและการให้คำแนะนำในการป้องกันโรค รวมถึงการฟื้นฟูสุขภาพหลังการเจ็บป่วยหรือจากภาวะที่ต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่อง

การให้บริการทางการแพทย์ที่ครอบคลุมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนโดยรวม ซึ่งทำให้ประชาชนรู้สึกถึงความห่วงใยจากภาครัฐและหน่วยงานต่างๆ

ความสำคัญของการสนับสนุนและการดูแลจากภาครัฐ

การจัดกิจกรรมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ในครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จที่เกิดจากการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะจากหน่วยงานทางการแพทย์และองค์กรต่างๆ ที่ให้การสนับสนุนการให้บริการในด้านสุขภาพ ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางการแพทย์ในพื้นที่ห่างไกล แต่ยังช่วยให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ

บทสรุป

การเปิดกิจกรรม “หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. ครั้งที่ 8 ประจำปี 2568” ในครั้งนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งการดำเนินงานของภาครัฐในการให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชน โดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสและกลุ่มเปราะบางในชุมชน เพื่อส่งเสริมสุขภาพและลดปัญหาสุขภาพในระยะยาว โดยกิจกรรมดังกล่าวได้รับการตอบรับจากประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดีและได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างเต็มที่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มฟล. นำบุญถวายผ้าพระกฐิน สืบสานประเพณี

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง นำชุมชนร่วมถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน สืบสานประเพณีอันดีงาม

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 บรรยากาศแห่งความศรัทธาและความสามัคคีเปี่ยมล้น ณ วัดเชตวัน (วัดพระนอน) อำเภอเมืองเชียงราย เมื่อมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ร่วมกับชุมชน และหน่วยงานภาครัฐ จัดพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ประจำปี 2567 โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เป็นประธานในพิธี และนายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยาน

สืบทอดประเพณีอันดีงาม

พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานในครั้งนี้ ถือเป็นประเพณีอันดีงามที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการสนับสนุนพระพุทธศาสนา และส่งเสริมให้บุคลากร นักศึกษา และชุมชนได้ร่วมกันทำบุญกุศล นอกจากนี้ ยังเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

พระราชทานผ้าพระกฐินจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า

ผ้าพระกฐินที่นำมาถวายในครั้งนี้ เป็นพระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ต่อพุทธศาสนิกชนชาวไทย และเป็นเกียรติอย่างสูงแก่ชาวจังหวัดเชียงราย

ยอดเงินบริจาคสูงเกินเป้าหมาย

จากการร่วมแรงร่วมใจของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง คณะศรัทธาวัดเชตวัน และพุทธศาสนิกชน ทำให้ยอดเงินบริจาคในการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานในครั้งนี้สูงถึง 1,515,824.29 บาท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยแบ่งเป็นเงินบริจาคจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จำนวน 753,240.29 บาท และจากคณะศรัทธาวัดเชตวัน และพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธา จำนวน 762,584 บาท

ความสำคัญของการทำบุญ

การทำบุญถวายผ้าพระกฐิน เป็นการสร้างกุศลแก่ตนเองและครอบครัว นอกจากนี้ ยังเป็นการสนับสนุนพระภิกษุสามเณรในการปฏิบัติธรรม และช่วยให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสืบไป

เสียงสะท้อนจากผู้เข้าร่วมพิธี

นายประสงค์ หล้าอ่อน รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานในครั้งนี้ รู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง และขอชื่นชมมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่ได้จัดกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมเช่นนี้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มัชฌิมา นราดิศร อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าวว่า การจัดพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน เป็นกิจกรรมที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยที่มุ่งเน้นการพัฒนาคน พัฒนาสังคม และพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมให้บุคลากร นักศึกษา และชุมชน ได้ตระหนักถึงคุณค่าของพระพุทธศาสนา และร่วมกันทำบุญกุศล

บทส่งท้าย

พิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ไม่เพียงแต่เป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามัคคีของชุมชน และความตั้งใจในการทำความดีของทุกคน ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุข ความเจริญ และความสงบสุขแก่ทุกหมู่เหล่า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายคว้ารางวัลเมืองสีเขียวระดับประเทศ

เชียงรายคว้ารางวัลเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับดีเยี่ยม ก้าวสู่การเป็นเมืองน่าอยู่

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 เทศบาลนครเชียงรายสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดอีกครั้ง หลังได้รับการประเมินผลให้เป็น “เมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับดีเยี่ยม” ในการประเมินเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับประเทศ ประจำปี 2567 ผลการประเมินดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเทศบาลนครเชียงรายในการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความยั่งยืน

ความสำเร็จจากการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างมีประสิทธิภาพ

การที่เทศบาลนครเชียงรายได้รับการประเมินให้เป็นเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับดีเยี่ยมนั้น เกิดจากความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามกรอบความคิด “เมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน” ซึ่งประกอบด้วย 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ เมืองอยู่ดี คนมีสุข สิ่งแวดล้อมยั่งยืน และเมืองแห่งการเรียนรู้และการบริหารจัดการที่ดี โดยเทศบาลนครเชียงรายได้ดำเนินการตามองค์ประกอบทั้ง 4 อย่างอย่างครอบคลุม

การประเมินที่เข้มข้นและรอบด้าน

กระบวนการประเมินของเทศบาลนครเชียงรายเป็นไปอย่างเข้มข้นและรอบด้าน โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้พิจารณาข้อมูลและเอกสารผลงานที่เทศบาลนครเชียงรายส่งเข้าประกวด รวมถึงการลงพื้นที่ตรวจสอบผลงานจริง เช่น มหาวิทยาลัยวัยที่ 3 นครเชียงราย, บ่อบำบัดน้ำเสียเทศบาลนครเชียงราย และชุมชนดอยสะเก็น ป่าใจเมืองนครเชียงราย ซึ่งเป็นตัวอย่างของการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมและสามารถนำไปเป็นแบบอย่างได้

เป้าหมายสู่การเป็นเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับประเทศ

การได้รับการประเมินระดับดีเยี่ยมในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของเทศบาลนครเชียงรายในการก้าวสู่การเป็นเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับประเทศ โดยเทศบาลนครเชียงรายจะนำผลการประเมินนี้ไปปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป เพื่อให้เชียงรายเป็นเมืองที่น่าอยู่ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความยั่งยืนในระยะยาว

ความหมายของรางวัล

การได้รับรางวัล “เมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนยอดเยี่ยม ระดับประเทศ ประจำปี 2567” จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพราชสุดาสยามบรมราชกุมารี นับเป็นเกียรติสูงสุดของเทศบาลนครเชียงราย และเป็นแรงบันดาลใจให้หน่วยงานอื่นๆ ในการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

เสียงจากนายกเทศมนตรีนครเชียงราย

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย กล่าวว่า “ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นผลมาจากความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนชาวเชียงราย ที่ร่วมกันสร้างสรรค์เมืองให้เป็นเมืองที่น่าอยู่และยั่งยืน ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนและร่วมกันสร้างสรรค์เมืองเชียงรายให้เป็นเมืองที่น่าอยู่”

การเผยแพร่ผลการประเมิน

ผลการประเมินดังกล่าว จะมีการประกาศอย่างเป็นทางการภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 และจะได้รับการเผยแพร่ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป เพื่อเป็นแบบอย่างในการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองที่ยั่งยืน

บทสรุป

ความสำเร็จของเทศบาลนครเชียงรายในการได้รับการประเมินให้เป็นเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืนระดับดีเยี่ยม เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเมืองเชียงรายให้เป็นเมืองที่น่าอยู่และมีความยั่งยืนในระยะยาว การดำเนินงานตามหลักการของเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน จะช่วยให้เชียงรายเป็นเมืองที่น่าอยู่ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความสามารถในการแข่งขันในระดับนานาชาติ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News