Categories
SOCIETY & POLITICS

ผู้เช่าเฮ! 4.88 บาท ต่อหน่วย คือเพดานสูงสุด ค่าไฟอพาร์ตเมนต์ ตามกฎหมายใหม่ สคบ.

รัฐบาลเดินหน้า “Quick Big Win” คุมค่าไฟหอพัก–อพาร์ตเมนต์ทั่วประเทศ ห้ามเกิน 4.88 บาทต่อหน่วย เชื่อมเกมคุมค่าครองชีพกับโครงสร้างตลาดเช่าเชียงราย

เชียงราย, 25 พฤศจิกายน 2568 – ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่ถาโถมเข้าหาแรงงานเมืองและนักศึกษาทั่วประเทศ “ค่าน้ำ–ค่าไฟ” ในหอพักและอพาร์ตเมนต์ได้กลายเป็นหนึ่งในค่าใช้จ่ายที่ผู้เช่ารู้สึกว่าควบคุมไม่ได้มากที่สุด โดยเฉพาะเมื่ออัตราที่เรียกเก็บมักสูงกว่าราคาที่รัฐกำหนด และมีการบวกกำไรส่วนต่างโดยที่ผู้เช่าไม่มีอำนาจต่อรอง

ในบริบทเช่นนี้ รัฐบาลจึงประกาศเดินหน้า ปฏิบัติการ “Quick Big Win” เพื่อคุมเพดานค่าไฟฟ้าสำหรับธุรกิจให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยทั่วประเทศ ทั้งหอพักและอพาร์ตเมนต์ โดย กำหนดอัตราสูงสุดไม่เกิน 4.88 บาทต่อหน่วย พร้อมทั้งห้ามเรียกเก็บค่าน้ำประปาและค่าไฟฟ้าเกินกว่าอัตราที่หน่วยงานรัฐกำหนด และห้าม “บวกกำไรส่วนต่าง” จากค่าสาธารณูปโภคดังกล่าว

มาตรการนี้ไม่ได้มองแค่ตัวเลขในใบแจ้งหนี้ แต่ต้องการวาง “บรรทัดฐานใหม่” ให้ตลาดเช่าที่อยู่อาศัยทั้งประเทศเดินอยู่ในกรอบที่เป็นธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีโครงสร้างตลาดเช่าพิเศษอย่างเชียงราย ซึ่งกำลังเผชิญทั้งภาวะเศรษฐกิจถดถอย การปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยในระดับสูง และการพึ่งพาที่อยู่อาศัยแบบเช่าเป็นหลักของประชากรกลุ่มใหญ่

เมื่อค่าไฟเกินจริงกลายเป็นคำถามใหญ่ ทำไมต้อง Quick Big Win

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การร้องเรียนเรื่อง “ค่าน้ำ–ค่าไฟแพงผิดปกติ” ในหอพักและอพาร์ตเมนต์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในย่านมหาวิทยาลัยและเมืองใหญ่ ที่ผู้เช่าส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและผู้มีรายได้จำกัด หลายคนพบว่าค่าไฟที่ถูกเรียกเก็บต่อหน่วยสูงกว่าราคาที่การไฟฟ้าฯ คิดกับเจ้าของอาคารอย่างมีนัยสำคัญ

รัฐบาลจึงใช้ปฏิบัติการ “Quick Big Win” เป็นเครื่องมือเร่งด่วน โดยกำหนดชัดว่า

  • อัตราค่าไฟฟ้าสำหรับหอพัก–อพาร์ตเมนต์ต้องไม่เกิน 4.88 บาทต่อหน่วย
  • การเรียกเก็บค่าน้ำ–ค่าไฟต้องอ้างอิงจากอัตราที่หน่วยงานรัฐกำหนด
  • ห้ามบวกกำไรส่วนต่างจากค่าสาธารณูปโภค ตาม ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัย พ.ศ. 2568

กล่าวอีกนัยหนึ่ง รัฐบาลกำลังส่งสัญญาณว่า “ค่าน้ำ–ค่าไฟ” ต้องสะท้อนต้นทุนจริงตามโครงสร้างของรัฐ ไม่ใช่เป็นแหล่งสร้างรายได้ส่วนเกินของผู้ประกอบการที่อยู่นอกสายตาผู้เช่า

จากตัวหนังสือสู่ภาคสนาม ตรวจเข้มพื้นที่นำร่องรอบธรรมศาสตร์ รังสิต

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ นายอรุณ คงเจริญ ที่ปรึกษาฯ ร่วมกับ นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หน่วยงานท้องถิ่น ตำรวจภูธรคลองหลวง และองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ลงพื้นที่ตรวจอพาร์ตเมนต์และหอพักโดยรอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีเป้าหมายหลัก 2 ประการ คือ

  1. รณรงค์และขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ให้ปรับอัตราค่าน้ำ–ค่าไฟให้สอดคล้องกับกฎหมายและเพดาน 4.88 บาทต่อหน่วย
  2. กวดขันการบังคับใช้กฎหมายจริง เพื่อให้ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา พ.ศ. 2568 ไม่ใช่เพียงกระดาษหนึ่งใบ แต่เป็นกรอบปฏิบัติที่ใช้ได้ในชีวิตจริงของผู้เช่า

นายอรุณย้ำว่า รัฐบาลเลือกย่านหอพักรอบธรรมศาสตร์ รังสิต เป็นพื้นที่นำร่อง เพราะเป็นจุดที่มีผู้เช่าจำนวนมากและสะท้อนปัญหาที่พบทั่วประเทศอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในเมืองมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาเจอแรงกดดันทั้งค่าเทอม ค่าเดินทาง และค่าที่พักไปพร้อมกัน

สคบ. ในบทบาท “เกราะกำบัง” ผู้เช่า จากรับเรื่องร้องเรียน สู่การทำงานเชิงรุก

เลขาธิการ สคบ. ระบุชัดว่า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคไม่ได้หยุดอยู่ที่การรอรับเรื่องร้องเรียน แต่จะเดินหน้าเชิงรุกเต็มรูปแบบ โดย

  • สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทั้งส่วนกลางและภูมิภาคเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการใหม่
  • ตรวจสอบรูปแบบสัญญาเช่าที่พักอาศัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่ออกใหม่
  • ป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภคตั้งแต่ “ก่อนเกิดปัญหา”

การปรับสัญญาเช่าตามมาตรฐาน สคบ. จึงไม่ใช่เพียง ข้อบังคับทางกฎหมาย แต่ยังสะท้อน มาตรฐานจริยธรรมของธุรกิจเช่าที่พัก ที่ต้องเคารพสิทธิของผู้บริโภคควบคู่กันไป

เมื่อผู้เช่าไม่ต้องยืนลำพัง ช่องทางร้องเรียนที่เข้าถึงได้จริง

เพื่อให้มาตรการ Quick Big Win มี “เขี้ยวเล็บ” ที่จับต้องได้ สคบ.ได้เปิดและเน้นย้ำช่องทางให้ประชาชนใช้ปกป้องสิทธิของตัวเอง หากพบว่าถูกเรียกเก็บค่าน้ำ–ค่าไฟเกินจริง หรือสัญญาเช่าไม่เป็นธรรม ผู้เช่าสามารถ

  • โทรศัพท์สายด่วน สคบ. 1166
  • ยื่นเรื่องผ่านแอปพลิเคชัน OCPB Connect
  • ส่งคำร้องผ่านเว็บไซต์ www.ocpb.co.th
  • ใช้ระบบ Traffy Fondue ในการแจ้งปัญหา

ช่องทางเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อลด “ช่องว่างเชิงอำนาจ” ระหว่างผู้เช่าและผู้ประกอบการ ทำให้ผู้เช่ามีที่พึ่งพิงที่ชัดเจน และมีหน่วยงานที่พร้อมรับเรื่องและดำเนินการตามกฎหมาย

เชียงรายในกระจกนโยบายค่าไฟ เมืองที่คนอยากซื้อแต่ต้องเช่า

เมื่อซูมจากนโยบายระดับชาติลงมาที่จังหวัดเชียงราย ภาพของตลาดที่อยู่อาศัยยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า มาตรการคุมเพดานค่าไฟ 4.88 บาทต่อหน่วย มีความหมายมากกว่าที่เห็นในตัวเลข

จาก รายงานการวิเคราะห์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าจังหวัดเชียงราย ปี 2567–2568 พบว่าในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม–สิงหาคม)

  • มูลค่าและจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยลดลงประมาณ 20–25% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • สถาบันการเงินมีนโยบายเข้มงวด ดันให้ อัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยพุ่งสูงถึง 70–80% ของผู้ยื่นขอสินเชื่อทั้งหมด

ผลลัพธ์คือประชาชนจำนวนมากที่ตั้งใจจะ “ซื้อบ้าน” กลับไม่สามารถผ่านการอนุมัติสินเชื่อ และถูก “ผลัก” ให้ต้องอยู่ในตลาดเช่าต่อไป สถานการณ์นี้สร้างสิ่งที่รายงานเรียกว่า อุปสงค์เช่าที่ถูกบังคับ” (Mandatory Rental Demand)

ขณะเดียวกัน ข้อมูล ณ ครึ่งแรกของปี 2567 ระบุว่า จังหวัดเชียงรายมีหน่วยที่อยู่อาศัยเสนอขายรวม 2,758 หน่วย แต่มีที่อยู่อาศัยเหลือขายสูงถึง 2,656 หน่วย ซึ่งสะท้อนภาวะอุปทานล้นตลาดในฝั่งโครงการบ้านจัดสรร และเป็นแรงจูงใจให้เจ้าของทรัพย์สินจำนวนหนึ่งหันมา “ปล่อยเช่า” แทนการขาย

กล่าวโดยสรุปคือ เชียงรายกำลังอยู่ในภาวะที่

  • คนจำนวนมาก “อยากซื้อแต่ซื้อไม่ได้”
  • บ้านจำนวนมาก “ขายไม่ออก ต้องเปลี่ยนมาให้เช่า”
  • ตลาดเช่ากลายเป็น “ทางออกหลัก” ของทั้งผู้บริโภคและผู้ถือครองทรัพย์สิน

ในบริบทเช่นนี้ ค่าคอนโด–ค่าหอพัก–ค่าน้ำ–ค่าไฟ จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นตัวกำหนดคุณภาพชีวิตและความมั่นคงทางการเงินของครัวเรือนระดับกลางและล่างจำนวนมากในจังหวัด

โครงสร้างตลาดเช่าเชียงราย เมืองแห่ง “ห้องเช่ารอบมหาวิทยาลัย”

รายงานการวิเคราะห์ตลาดเช่าฯ ระบุว่า อุปทานห้องพักให้เช่าในเชียงราย มีลักษณะกระจุกตัวสูงในเขต “ศูนย์กลางการศึกษา” โดยเฉพาะ

  1. คลัสเตอร์รอบมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.)
    • เป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นของหอพัก–อพาร์ตเมนต์สูงที่สุด
    • มีการลงทะเบียนที่พักให้เช่ามากถึง 60 รายการ
    • รองรับทั้งนักศึกษาและคนทำงานที่เกี่ยวข้องกับสนามบินแม่ฟ้าหลวง
  2. คลัสเตอร์วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย
    • มีจำนวนการลงทะเบียนที่พักให้เช่า 55 รายการ
    • รองรับนักศึกษาสายอาชีพและแรงงานในพื้นที่
  3. คลัสเตอร์มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
    • มีการลงทะเบียนที่พักให้เช่าจำนวน 32 รายการ
    • เป็นศูนย์รวมที่อยู่อาศัยเช่าระดับปานกลางในเขตเมืองรอง

กลุ่มผู้เช่าหลักของตลาดนี้คือ นักศึกษา ที่มีความอ่อนไหวต่อราคาอย่างมาก โดยช่วงค่าเช่าที่พบส่วนใหญ่อยู่ที่ 2,500–3,500 บาทต่อเดือน สำหรับหอพักและห้องสตูดิโอขนาดเล็กในเขตเมืองหรือใกล้สถานศึกษา

ในขณะที่ตลาดระดับกลางถึงสูง เช่น คอนโดมิเนียมหรืออพาร์ตเมนต์คุณภาพ จะอยู่ในช่วง 5,000–10,000 บาทต่อเดือน โดยมีผู้เช่าเป็นกลุ่มคนทำงานระดับมืออาชีพ ผู้บริหาร และชาวต่างชาติ ซึ่งมักกระจุกตัวในเขตอำเภอเมืองและโซนสนามบิน–บ้านดู่

จุดตัดสำคัญ เมื่อ “ค่าไฟไม่เกิน 4.88 บาท” มาบรรจบกับ “ค่าเช่าสำหรับคนที่ไม่มีทางเลือก”

หากพิจารณาจากโครงสร้างตลาดเช่าเชียงรายจะพบว่า

  • กลุ่มนักศึกษาและผู้มีรายได้เริ่มต้นจำนวนมาก เช่าอยู่ในตลาดหอพักราคาประหยัด 2,500–3,500 บาทต่อเดือน
  • กลุ่มคนทำงานที่ไม่ผ่านเกณฑ์สินเชื่อ ต้องเช่าในตลาดระดับกลาง 3,500–6,000 บาทต่อเดือน
  • ภาวะปฏิเสธสินเชื่อ 70–80% ทำให้คนจำนวนมาก “จำเป็นต้องเช่า” ต่อไปในระยะกลางถึงยาว

ในสภาพที่ประชาชนไม่สามารถเปลี่ยนสถานะจาก “ผู้เช่า” เป็น “ผู้ซื้อบ้าน” ได้อย่างที่หวัง ค่าใช้จ่ายคงที่ในแต่ละเดือนอย่างค่าน้ำ–ค่าไฟยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นในสมการชีวิต หากผู้ประกอบการคิดค่าไฟในอัตราที่สูงกว่าที่รัฐกำหนด หรือบวกกำไรจากสาธารณูปโภคโดยไม่มีความโปร่งใส คนเช่าก็แทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำยอมรับภาระนั้น

การที่รัฐบาลกำหนดเพดานค่าไฟ ไม่เกิน 4.88 บาทต่อหน่วย และห้ามบวกกำไรจากค่าน้ำ–ค่าไฟ จึงมีผลเป็น “เกราะชั้นแรก” ที่ช่วยให้

  • นักศึกษาในหอพักรอบมหาวิทยาลัย
  • ครอบครัวแรงงานในเมือง
  • คนทำงานที่กำลังผ่อนชำระค่าเช่าแทนค่าผ่อนบ้าน

สามารถวางแผนค่าใช้จ่ายรายเดือนได้ชัดเจนขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะถูกเอาเปรียบจากโครงสร้างราคาที่ไม่เป็นธรรม

มาตรฐานสัญญาเช่าใหม่ ปิดช่องโหว่ธุรกิจ “กินส่วนต่างสาธารณูปโภค”

การนำ ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัย พ.ศ. 2568 มาใช้ร่วมกับปฏิบัติการ Quick Big Win ทำให้สัญญาเช่าที่พักอาศัยในเชียงรายและทั่วประเทศ ต้องปรับตัวในหลายมิติ เช่น

  • ระบุอัตราค่าน้ำ–ค่าไฟ “ผูกกับอัตราหน่วยงานรัฐ”
  • ไม่เปิดช่องให้เรียกเก็บในอัตราเหมาจ่ายที่ไม่สะท้อนต้นทุนจริง
  • ทำให้ผู้เช่าสามารถตรวจสอบความถูกต้องของอัตราค่าสาธารณูปโภคได้จากเอกสารแยก

สำหรับเชียงราย ซึ่งมีทั้งอุปทานแบบทางการ (หอพัก–อพาร์ตเมนต์) และอุปทานแบบไม่เป็นทางการ (บ้านจัดสรรเหลือขายที่ถูกนำมาปล่อยเช่า) มาตรฐานสัญญาใหม่จะช่วยปิดช่องว่างระหว่างสองระบบ ลดความเสี่ยงที่เจ้าของทรัพย์สินบางรายจะใช้ “ช่องว่างความรู้ทางกฎหมาย” ของผู้เช่าเป็นโอกาสในการเก็บค่าน้ำ–ค่าไฟเกินจริง

ผลกระทบเชิงโครงสร้าง เมื่อกฎหมายแตะพร้อมกันทั้ง “ห้องเช่าเล็ก” และ “กลยุทธ์นักลงทุน”

ในเชิงโครงสร้างตลาดทุน รายงานวิเคราะห์ตลาดเช่าเชียงรายชี้ว่า ช่วงปี 2567–2568 ไม่ใช่เวลาของการลงทุนสร้างโครงการใหม่ขนาดใหญ่ แต่เป็นยุคของการ เพิ่มประสิทธิภาพสินทรัพย์เดิม” (Asset Optimization) เช่น การเข้าซื้อหอพักเก่า ปรับปรุงใหม่ แล้วปล่อยเช่าต่อในทำเลที่มีอุปสงค์สูงอย่างคลัสเตอร์ มฟล. และวิทยาลัยเทคนิคเชียงราย

เมื่อเพดานค่าไฟ 4.88 บาทต่อหน่วยและเพดานค่าน้ำตามอัตราหน่วยงานรัฐถูกบังคับใช้จริง นักลงทุนที่หวังจะสร้างผลตอบแทนเพิ่มจากการบวกกำไรค่าสาธารณูปโภคจะต้อง “ปรับโมเดลธุรกิจ” ไปเน้นที่

  • คุณภาพห้องพัก
  • การบริการและการจัดการมืออาชีพ
  • สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ระบบรักษาความปลอดภัย และการดูแลส่วนกลาง

กล่าวคือ รายได้ต้องมาจาก “มูลค่าเพิ่มที่แท้จริง” ไม่ใช่จาก “ส่วนต่างของบิลค่าน้ำ–ค่าไฟ”

ในอีกด้านหนึ่ง ผู้เช่าก็จะสามารถประเมินได้ชัดเจนขึ้นว่า ห้องพักที่มีค่าไฟตามเพดานกฎหมายและค่าน้ำตามมาตรฐาน แต่มีบริการและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า คุ้มค่ากว่าห้องที่คิดค่าสาธารณูปโภคแพงโดยไม่มีเหตุผลรองรับ

จากตัวเลข 4.88 บาท สู่คำถามเรื่อง “ความเป็นธรรมในเมืองที่คนต้องเช่า”

มาตรการคุมค่าไฟหอพัก–อพาร์ตเมนต์ไม่เกิน 4.88 บาทต่อหน่วย และการห้ามบวกกำไรจากค่าน้ำ–ค่าไฟ อาจถูกมองว่าเป็นเพียง “ตัวเลขเล็ก ๆ” ในใบแจ้งหนี้ แต่เมื่อพิจารณาจากบริบทของจังหวัดเชียงรายในปี 2567–2568 ซึ่ง

  • ตลาดบ้านเพื่อขายหดตัว มูลค่าและจำนวนโอนลดลง 20–25%
  • อัตราปฏิเสธสินเชื่อบ้านสูงถึง 70–80%
  • ที่อยู่อาศัยเหลือขายสูงถึง 2,656 หน่วย
  • ตลาดเช่ากลายเป็นทางเลือกหลักของนักศึกษา คนทำงาน และครัวเรือนรายได้ปานกลาง–ต่ำ

ตัวเลข 4.88 บาทต่อหน่วย จึงไม่ใช่เพียงค่าไฟ แต่คือ “สัญลักษณ์” ของความพยายามในการจัดสมดุลระหว่าง

  • สิทธิของผู้เช่าที่ต้องการความเป็นธรรมและสามารถวางแผนค่าใช้จ่ายได้
  • สิทธิของผู้ประกอบการที่ต้องปรับตัวให้ธุรกิจอยู่ได้ โดยไม่อาศัยช่องว่างกฎหมายเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค

ท้ายที่สุด ความสำเร็จของปฏิบัติการ Quick Big Win จะไม่ได้วัดเพียงจากจำนวนหอพักที่ถูกตรวจหรือจำนวนสัญญาเช่าที่ปรับแก้ แต่จะวัดจากจำนวนผู้เช่าที่ “รู้สิทธิ” ของตนเอง จำนวนผู้ประกอบการที่ยอมรับมาตรฐานใหม่ และจำนวนข้อพิพาทด้านค่าน้ำ–ค่าไฟที่ลดลงในระยะยาว

สำหรับเชียงราย เมืองที่คนจำนวนมากอยากมีบ้านของตนเองแต่ถูกบังคับให้เช่า การที่รัฐเข้ามาจัดระเบียบค่าใช้จ่ายพื้นฐานอย่างจริงจัง อาจเป็นหนึ่งใน “ก้าวเล็กเชิงตัวเลข” ที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านที่อยู่อาศัย และเป็นก้าวสำคัญของความเป็นธรรมด้านสาธารณูปโภคในชีวิตประจำวันของผู้คน

 

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) – ข้อมูลปฏิบัติการ “Quick Big Win” และการกำหนดอัตราค่าน้ำ–ค่าไฟสำหรับธุรกิจให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัย
  • ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัย พ.ศ. 2568 – กรอบกฎหมายที่กำหนดเพดานค่าสาธารณูปโภคและมาตรฐานสัญญาเช่า
  • สำนักนายกรัฐมนตรี – ข้อมูลการมอบหมายภารกิจของนายสันติ ปิยะทัต รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ตรวจอพาร์ตเมนต์รอบมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต
  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค – ข้อมูลช่องทางร้องเรียนและขอคำปรึกษา สายด่วน 1166, แอป OCPB Connect, เว็บไซต์ www.ocpb.co.th และระบบ Traffy Fondue
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
ECONOMY FEATURED NEWS

ค่าครองชีพพุ่ง-เงินเฟ้อติดลบ! ผลักคนไทยสู่หนี้นอกระบบดอกเบี้ยโหด

เปิดวงจร “หนี้นอกระบบ” อัตราดอกเบี้ยสุดโหด ซ่อนใต้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่ลดลง

ประเทศไทย, 12 สิงหาคม 2568 – แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่ำกว่า 90% เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่ครัวเรือนไทยจำนวนมากกลับถูกผลักออกจากสินเชื่อในระบบ จนพึ่งพาหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้นอย่างน่าห่วง ตัวเลขที่ดูดีอาจกำลังบัง “วิกฤตเงียบ” ที่ลุกลามสู่ชุมชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่เปราะบางอย่างภาคเหนือและชายขอบเมืองใหญ่

บ่ายวันฝนโปรยในเชียงราย เสียงโทรศัพท์ทวงหนี้ดังขึ้นตรงเวลา ความกังวลเรื่องรายได้และค่าครองชีพกลับมาทับซ้อนอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ตัวเลขมหภาคบอกว่าหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่อเนื่อง อยู่ที่ราว 88.4% สิ้นไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2563 ทว่า “ภาพรวมสีเขียว” ไม่ได้แปลว่าครัวเรือนแข็งแรงขึ้น เพราะปัจจัยสำคัญคือการเข้มงวดสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้คนจำนวนมากต้องออกจากระบบที่ปลอดภัย และเดินเข้าหาเงินกู้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยสูงผิดกฎหมายแทน.

ภาพสะท้อนที่สวนทางตัวเลขดีขึ้น แต่ชีวิตยากขึ้น

ข้อมูลทางการระบุว่า CPI เดือนมิถุนายน 2568 ติดลบ 0.25% ต่อปี และเดือนกรกฎาคมติดลบต่อเนื่อง 0.7% หลายฝ่ายจึงชี้ว่าไม่มีภาวะ “เงินเฟ้อพุ่ง” ในสถิติ ทว่าในชีวิตจริง ค่าใช้จ่ายจำเป็นกลับไม่ลด ประชาชนยังรู้สึกว่าค่าครองชีพสูงกดดันอย่างต่อเนื่อง.

ผลสำรวจผู้บริโภค Marketbuzzz ชี้ว่า “ค่าครองชีพ” คือความกังวลอันดับหนึ่งของคนไทย 42% สะท้อนความรู้สึกที่ “สวนทาง” กับตัวเลขราคาโดยรวมที่ลดลง ผู้บริหารบริษัทวิจัยชี้ว่าต้องมีมาตรวัดคุณภาพชีวิตที่ครอบคลุมกว่าเดิม จึงจะเห็นภาพจริงของครัวเรือน

ด้านรายจ่ายครัวเรือน สถิติระบุว่า ณ สิ้นปี 2567 ครัวเรือนไทยใช้จ่ายเฉลี่ยราว 18,207 บาทต่อเดือน โดยสัดส่วนสูงสุดยังเป็นอาหารและเครื่องดื่ม สะท้อนแรงกดดันด้านปัจจัยสี่ที่ยังหนักหน่วง.

หนี้นอกระบบพุ่งแตะ “จุดสูงสุดในรอบ 16 ปี”

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุสัดส่วน “หนี้นอกระบบ” ในภาพรวมเพิ่มขึ้นเป็น 30.1% สูงสุดในรอบ 16 ปี จากเดิม 21.7% ในปีก่อนหน้า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนความเปราะบางและการถูกปิดประตูสินเชื่ออย่างชัดเจน โดยหลายสำนักข่าวเศรษฐกิจรายงานสอดคล้องกัน.

ยังมีสัญญาณเตือนจาก “หนี้รอวันเสีย” หรือ Stage 2 (SML) ที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ธปท.รายงานอัตราส่วนสินเชื่อจัดชั้นพิเศษของธนาคารพาณิชย์เพิ่มเป็นราว 6.98% สิ้นปี 2567 ขณะที่หนี้เสีย (NPL) อยู่ที่ 532,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย หาก SML ทะลักเป็น NPL มากขึ้น ความเสี่ยงหลุดออกจากระบบย่อมสูงตาม.

ทำไมคนไทย “ต้อง” ไปพึ่งนอกระบบ

หนึ่ง ระบบเข้มงวดขึ้น วงเงินและเงื่อนไขสินเชื่อรัดกุม รายได้ไม่แน่นอนทำให้ผ่านเกณฑ์ยาก แม้ดอกเบี้ยต่ำกว่านอกระบบมาก แต่ “เข้าถึง” ยากกว่า

สอง ค่าครองชีพกดดันต่อเนื่อง แม้อัตราเงินเฟ้อโดยรวมติดลบหลายเดือน แต่ค่าใช้จ่ายจำเป็นยังสูง คนจำนวนมากจึงหมุนเงินไม่ทัน และต้องหาทางออกที่เร็วที่สุด แม้จะมีต้นทุนดอกเบี้ยมหาศาล.

สาม ความรู้สึก “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” ปรากฏชัดในผลสำรวจ UTCC ที่พบว่าคนไทย 46.3% อยู่ในภาวะหมุนเงินตึงมือ ขณะหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนยังอยู่ระดับสูง.

เปิดวงจรกลโกงดอกโหดคิดอย่างไร จึงหลุดไม่พ้น

1) ดอกเบี้ยรายเดือนหลอกตา
ตัวเลข 10–20% ต่อเดือนดูเหมือนไม่มาก แต่เมื่อคิดเป็นรายปี เท่ากับ 120–240% ต่อปี เงินต้นแทบไม่ลด เพราะต้องจ่ายดอกก่อนเสมอ ยิ่งช้า ยิ่งบาน ไม่มีเพดานคุ้มครองตามกฎหมายสำหรับเจ้าหนี้เถื่อน

2) “ดอกลอย” หรือหักดอกล่วงหน้า
เจ้าหนี้หักดอกจากเงินต้นตั้งแต่ต้น เช่น กู้ 10,000 บาท ได้เงินจริง 8,000 บาท แต่ต้องใช้คืน 10,000 บาท พร้อมดอกที่คำนวณจากยอดเต็ม ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงพุ่งสูงผิดปกติทันที.

3) สัญญาอำพราง
บางรายให้ใช้บัตรผ่อนซื้อสินค้าเกินความจำเป็น แล้วนำสินค้าไปแลกเงินสด ยอดหนี้กลับไปผูกกับผู้ให้บริการทางการเงินในระบบแทน แต่ลูกหนี้ได้รับเงินจริงต่ำกว่ายอดหนี้ที่ต้องชำระ วิธีนี้ทำให้ตรวจจับยากและสร้างภาระยืดเยื้อ

4) ทวงหนี้กดดันรายวัน
การโทร ข้อความ หรือเยี่ยมบ้านบ่อยครั้งทำให้เกิดแรงกดดันด้านจิตใจ หลายกรณีมีการข่มขู่หรือประจาน ซึ่งผิดกฎหมายโดยตรงตาม พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 และประกาศกำหนด “ทวงได้ไม่เกินวันละหนึ่งครั้ง” พร้อมกรอบเวลาชัดเจน.

กฎหมายคุ้มครองสิทธิขอบเขตที่ “เจ้าหนี้เถื่อน” ละเมิดอยู่เสมอ

กฎหมายไทยกำหนดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมระหว่างบุคคลไม่เกิน 15% ต่อปี ส่วนผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตมีเพดานเฉพาะ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับไม่เกิน 25% ต่อปี และบัตรเครดิตไม่เกิน 16% ต่อปี เกินจากนี้ถือว่าผิดกฎหมาย และมีโทษทั้งจำคุกและปรับตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา.

หากถูกคุกคาม ประจาน หรือใช้ความรุนแรง ลูกหนี้สามารถแจ้งความคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนทันที และใช้ช่องทางไกล่เกลี่ยของรัฐเพื่อยุติข้อพิพาทโดยสันติ ซึ่งมีหน่วยงานรองรับทั่วประเทศ.

มาตรการรัฐ อุดช่องว่างการเข้าถึงเงินกู้ “ที่เป็นธรรม”

รัฐบาลเดินหน้าช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ ผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของธนาคารรัฐ เช่น ออมสิน และ ธ.ก.ส. ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ได้รับความช่วยเหลือกว่า 77,000 ราย วงเงินรวมกว่า 2,400 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ผลักดัน “พิโกไฟแนนซ์” เพื่อให้รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อถูกกฎหมายมากขึ้น.

ข้อมูล ณ ต้นปี 2567 ระบุว่ามีผู้ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิราว 1,140 ราย ครอบคลุม 75 จังหวัด เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการปิดหนี้นอกระบบด้วยอัตราที่ตรวจสอบได้.

เสียงสะท้อนจากเศรษฐกิจมหภาคตัวเลขหนี้ลด แต่ความเสี่ยงยังสูง

แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่อเนื่อง แต่ยอดหนี้รวมยังสูงกว่า 16.4 ล้านล้านบาท และไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีหนี้ครัวเรือนสูงในเอเชีย นักวิเคราะห์และ ธปท. ต่างย้ำว่ามาตรการใด ๆ ต้องไม่บิดเบือนวินัยการเงิน และต้องรักษาเสถียรภาพระบบการเงินควบคู่กันไป.

วงจรที่ต้องตัดให้ขาด

เมื่อรายได้โตช้า ค่าครองชีพยังสูง การเข้าถึงเครดิตในระบบยากขึ้น ครัวเรือนจึงเลือก “ทางลัดที่แพง” คือเงินกู้นอกระบบ ดอกเบี้ยรายเดือนทำให้เงินต้นไม่ยอมลด ลูกหนี้ต้องกู้ใหม่มาโปะแทน เกิดการทบต้นทบดอก และความเสี่ยงเชิงสังคมตามมา ทั้งความรุนแรง การประจาน และความเครียดในครอบครัว หากปล่อยให้ “Stage 2” ล้นเป็น “NPL” มากขึ้น ผู้กู้ล็อตใหญ่จะถูกผลักออกจากระบบเพิ่ม วงจรนอกระบบจึงขยายตัวโดยอัตโนมัติ.

ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร…ถ้าแก้ให้ถูกจุด

หนึ่ง เข้าถึงสินเชื่อที่เป็นธรรม
เมื่อพัฒนาช่องทางในระบบให้ไวและยืดหยุ่นขึ้น คนตัวเล็กจะไม่ต้องยอมรับดอกเบี้ยที่เอาเปรียบ

สอง ลดภาระดอกเบี้ยทันที
รีไฟแนนซ์จากนอกระบบเข้าสู่สินเชื่อรัฐ ดอกเบี้ยต่อปีต่ำกว่าดอกนอกระบบหลายสิบเท่า เงินต้นเริ่มลดจริง

สาม คุ้มครองสิทธิอย่างมีพลัง
รู้กฎหมาย รู้ช่องทางร้องเรียน และมีเวทีไกล่เกลี่ยที่เข้าถึงได้ ทำให้ลูกหนี้ไม่ต้องเผชิญหน้าลำพัง.

ทางออกเชิงนโยบาย 3 เงื่อนไขที่ต้องทำพร้อมกัน

  1. รายได้และอาชีพ เพิ่มศักยภาพทำมาหากินในท้องถิ่น ลดรายจ่ายจำเป็น และสร้างกันชนเงินออมฉุกเฉิน
  2. เข้าถึงสินเชื่อในระบบ ลดขั้นตอน ตรวจสอบรายได้ไม่เป็นทางการด้วยข้อมูลดิจิทัล เปิดทางให้คนทำอาชีพอิสระเข้าถึงวงเงินเล็กไวขึ้น
  3. กำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมาย ปราบปรามทวงหนี้ผิดกฎหมาย สืบสวนสัญญาอำพราง และทำ “แพลตฟอร์มไกล่เกลี่ย” ให้ประชาชนใช้ได้จริงทุกอำเภอ

เช็กลิสต์เอาตัวรอดสำหรับครัวเรือน (ทำได้ทันที)

  • หยุดเลือด เจรจาขอลดดอก หรือขยายงวด หากถูกข่มขู่ให้รวบรวมหลักฐานทันที
  • ขอความช่วยเหลือ โทร 1567 ศูนย์ดำรงธรรม, 1599 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, 1359 สายด่วนการเงินนอกระบบ, 1111 กด 77 ศูนย์ไกล่เกลี่ย/คุ้มครองสิทธิ
  • หาช่องทางในระบบ พิจารณาสินเชื่อแก้หนี้นอกระบบของออมสินหรือ ธ.ก.ส. วงเงินตามมูลหนี้จริง กำหนดดอกชัด ตรวจสอบได้
  • รู้สิทธิของตน หากเจ้าหนี้ทวงหนี้เกินวันละหนึ่งครั้ง หรือประจาน ถือว่าผิดกฎหมาย มีโทษปรับสูงสุด 100,000 บาท แจ้งหน่วยงานกำกับได้ทันที.

สรุป

วิกฤตหนี้นอกระบบไม่ได้เกิดจาก “ความฟุ่มเฟือย” แต่จากโครงสร้างรายได้ ค่าครองชีพ และการเข้าถึงสินเชื่อในระบบที่ยังไม่ทั่วถึง แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลง แต่ยอดหนี้รวมยังสูงมาก และ “หนี้รอวันเสีย” กำลังก่อตัว หากไม่แก้ที่ต้นตอ วงจรนอกระบบจะยืดเยื้อ และต้นทุนทางสังคมจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ คำตอบจึงไม่ใช่เพียง “ปล่อยวงเงินใหม่” แต่เป็นการทำงานสามด้านพร้อมกัน คือเพิ่มรายได้ ขยายสินเชื่อในระบบที่เป็นธรรม และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อพาคนไทยกลับเข้าสู่ระบบการเงินที่ปลอดภัย และปิดฉาก “วงจรดอกโหด” ให้เด็ดขาด.

  • หากคุณมีปัญหาเสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำและดำเนินการร้องเรียนได้ฟรี

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้

Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

ติดต่อหน่วยงานช่วยเหลือ (สำหรับผู้อ่าน)

  • ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599
  • ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สศค. กระทรวงการคลัง 1359 / www.1359.go.th
  • กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ/ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 1111 กด 77 และ eMediation ระบบออนไลน์. khlongha.pathumthani.police.go.thinfo.go.th
#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ข้อมูลหนี้ครัวเรือน, SML/NPL และกรอบนโยบายการเงิน). Bot AppMae Fa LuangBot
  • สำนักข่าว Reuters และสื่อเศรษฐกิจไทย (อัตราเงินเฟ้อล่าสุด, สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP). Reuters+2Reuters+2
  • The Standard/NESDC (ยอดหนี้ครัวเรือนรวมและสัดส่วนต่อ GDP). THE STANDARDNESC Development Council
  • Marketbuzzz Consumer Pulse (ความกังวลค่าครองชีพ). DLA Piper
  • มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย/UTCC (สัดส่วนหนี้นอกระบบ 30.1% และภาวะหมุนเงินยาก 46.3%). กองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนX (formerly Twitter)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ และสื่อเศรษฐกิจ (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน). Bangkok Post
  • กฎหมายและการคุ้มครองผู้บริโภคด้านหนี้: กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ธปท., พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 และประกาศ “วันละ 1 ครั้ง”. Trading EconomicsBotreport.dopa.go.th
  • ช่องทางช่วยเหลือและโครงการรัฐ: สายด่วน 1359/เว็บไซต์ กพช., สินเชื่อแก้หนี้นอกระบบของออมสินและ ธ.ก.ส., สรุปผลดำเนินงาน 6 เดือนของรัฐบาล. กองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนgsb.or.thRoyal Thai Government
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตค่าครองชีพ! คนไทยเงินฝืด รัฐบาลแก้ศก.สหรัฐฯ ไม่มั่นใจ

ดุสิตโพลชี้คนไทยกังวลปัญหาเศรษฐกิจหนัก เงินสำรองฉุกเฉินไม่ถึง 1 เดือน กว่า 76% ไม่เชื่อมั่นรัฐบาลแก้ปัญหาภาษีนำเข้าสหรัฐ

ประเทศไทย, 11 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังคงเป็นที่กังวลของประชาชนอย่างต่อเนื่อง จากผลสำรวจความคิดเห็นของ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เรื่อง “คนไทยกับการรับมือปัญหาเศรษฐกิจ” ซึ่งดำเนินการระหว่างวันที่ 6-9 พฤษภาคม 2568 จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศจำนวน 1,229 ราย ทั้งผ่านช่องทางออนไลน์และภาคสนาม พบข้อมูลที่น่าตกใจและสะท้อนถึงความเปราะบางทางการเงินของประชาชนในวงกว้าง

ความกังวลด้านเศรษฐกิจและค่าครองชีพยังครองอันดับต้น

จากผลสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 48.32 ยอมรับว่าหากไม่มีรายได้เลย จะมีเงินสำรองฉุกเฉินใช้ได้ไม่ถึง 1 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าคนไทยจำนวนมากยังขาดความมั่นคงทางการเงิน และเผชิญกับภาวะ “ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ” อย่างเด่นชัด

แม้ในทางทฤษฎีประชาชนควรมีเงินสำรองไว้อย่างน้อย 3-6 เดือนสำหรับเหตุฉุกเฉิน แต่จากผลสำรวจกลับสะท้อนให้เห็นว่าความเป็นจริงนั้นต่างออกไปอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอน ทั้งจากสงครามการค้า ภัยพิบัติ และปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงเรื้อรัง

วิธีรับมือเศรษฐกิจของประชาชนลดรายจ่ายคือทางรอดเบื้องต้น

จากคำถามเกี่ยวกับแนวทางการรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจ พบว่า ร้อยละ 77.37 ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกที่จะ “ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น” เป็นกลยุทธ์หลัก ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมการปรับตัวของครัวเรือนไทยที่กำลังรับมือกับต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้น

ขณะเดียวกัน ร้อยละ 58.99 ระบุว่าตนเอง “มีการวางแผนทางการเงินแต่ไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง” ซึ่งปัญหานี้อาจมีรากมาจากรายได้ที่ไม่แน่นอน หรือค่าใช้จ่ายประจำที่สูงกว่าค่าครองชีพเฉลี่ย ทำให้ไม่สามารถออมเงินหรือวางแผนระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลตัวเลขที่สะท้อนความรู้สึกของประชาชน

หนึ่งในประเด็นที่สวนดุสิตโพลให้ความสนใจคือ ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเด็นระดับโลกที่ส่งผลโดยตรงต่อไทย โดยผลสำรวจพบว่า

  • ร้อยละ 76.06 ไม่เชื่อมั่น ว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ร้อยละ 23.94 เชื่อมั่น ในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงภาวะที่ประชาชนเริ่มขาดศรัทธาในประสิทธิภาพของภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจการต่างประเทศ ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปถึงความล่าช้าในการดำเนินนโยบาย หรือการสื่อสารที่ไม่สร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณชน

นักวิชาการเตือนหากไม่เร่งแก้ อาจเผชิญเศรษฐกิจถดถอย

ว่าที่ร้อยเอกศักดา ศรีทิพย์ อาจารย์ประจำโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ได้แก่

  1. ปัญหาการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ค้ารายใหญ่ของไทย
  2. การท่องเที่ยว ที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวเต็มที่จากผลกระทบของแผ่นดินไหวและภัยธรรมชาติอื่น ๆ ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง และรายได้เข้าประเทศหดตัว

ทั้งสองปัจจัยนี้ถือเป็นส่วนสำคัญของ GDP ประเทศไทย และการที่ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ยังอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราการบริโภคภายในประเทศ และนำไปสู่ความเสี่ยงของ “เศรษฐกิจถดถอย” (Economic Recession) ได้

ทางออกและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

เพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจในประเทศ นักวิชาการเสนอว่า รัฐบาลควรเร่งดำเนินการในประเด็นต่อไปนี้

  • เจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อย่างเร่งด่วน โดยต้องแสดงให้เห็นว่าไทยมีศักยภาพทางการค้า ไม่ใช่ประเทศที่สร้างภาระดุลการค้า
  • กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ผ่านการลงทุนภาครัฐ การสร้างงาน และการสนับสนุน SMEs ให้มีบทบาทมากขึ้น
  • ส่งเสริมการออมและวางแผนการเงิน ด้วยการให้ความรู้ทางการเงิน (financial literacy) แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องผ่านภาคการศึกษาและสื่อสารมวลชน
  • ควบคุมราคาสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน เพื่อลดภาระค่าครองชีพประชาชน

ภาพสะท้อนสังคมไทยในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน

ข้อมูลจากสวนดุสิตโพลในครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าประชาชนไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ความเปราะบางทางการเงินในระดับครัวเรือน การขาดเงินสำรองฉุกเฉิน และความเชื่อมั่นต่อรัฐที่ลดลง เป็นเรื่องที่ไม่สามารถมองข้าม

หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขอย่างจริงจัง ไทยอาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในระยะยาว และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้างอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • สัดส่วนผู้มีเงินสำรองฉุกเฉินไม่ถึง 1 เดือน: 48.32% (สวนดุสิตโพล, พ.ค. 2568)
  • ผู้ที่เลือก “ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น” เป็นวิธีรับมือเศรษฐกิจ: 77.37%
  • ผู้ที่มีแผนการเงินแต่ไม่ต่อเนื่อง: 58.99%
  • ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ:
    • ไม่เชื่อมั่น: 76.06%
    • เชื่อมั่น: 23.94%
  • สัดส่วนครัวเรือนที่ไม่มีเงินออมในประเทศไทย: 32.3% (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, รายงานปี 2566)
  • หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไทย: 90.6% (ธนาคารแห่งประเทศไทย, Q4 ปี 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

ลดค่าครองชีพ พาณิชย์คุมราคา เข้มสินค้าจำเป็นทั่วประเทศ

พาณิชย์เดินหน้าคุมราคาสินค้า จัดโครงการลดค่าครองชีพทั่วประเทศ รับมือเศรษฐกิจครัวเรือนช่วงต้นปี 2568

ประเทศไทย, 26 มีนาคม 2568 – กระทรวงพาณิชย์โดยการนำของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งออกมาตรการควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค พร้อมเดินหน้าโครงการลดราคาสินค้าจำเป็น เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในสังคมในช่วงที่เศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะฟื้นตัว

เฝ้าระวังราคาสินค้า – ย้ำไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ

นายพิชัย เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาหรือกักตุนสินค้า พร้อมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน 1569 โดยประชาชนสามารถร้องเรียนหากพบเห็นการจำหน่ายสินค้าในราคาสูงเกินสมควร

ราคาสินค้าสำคัญยังทรงตัว – อาหารสดหลายรายการปรับลดลง

จากข้อมูล ณ วันที่ 25 มีนาคม 2568 โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ราคาสินค้าหลายรายการยังทรงตัว หรือปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า เช่น

  • ไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 3.20 บาทต่อฟอง
  • ไข่ไก่เบอร์ 3 ราคาขายปลีกเฉลี่ย 3.50 บาทต่อฟอง
  • ไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 40-41 บาทต่อกิโลกรัม
  • น่องติดสะโพกไก่ ราคาเฉลี่ย 78.81 บาทต่อกิโลกรัม
  • อกไก่ติดหนัง ราคาเฉลี่ย 79.50 บาทต่อกิโลกรัม
  • สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 79.70 บาทต่อกิโลกรัม

ในกลุ่มผักสด ราคาส่วนใหญ่ทรงตัว โดยผักที่ราคาลดลง ได้แก่ ผักคะน้า กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว และมะละกอดิบ ขณะที่ผักบางชนิด เช่น ผักชีและกระชาย มีการปรับขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูกาลผลิต

ขับเคลื่อนโครงการลดค่าครองชีพ ครอบคลุมทุกกลุ่ม

เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น

  • โครงการชูใจ วัยเก๋า 60+ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 30 เมษายน 2568 มอบส่วนลดพิเศษให้ผู้สูงอายุ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาประหยัด โดยคาดว่าจะลดภาระค่าครองชีพรวมกว่า 10,000 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท
  • โครงการ Back to School 2025 เพื่อรองรับนักเรียน นักศึกษาในช่วงเปิดเทอม โดยร่วมกับร้านค้าทั่วประเทศ มอบส่วนลดสำหรับอุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบ และสินค้าไอที
  • รถโมบายธงฟ้าเคลื่อนที่ และงานธงฟ้า มีการจัดงานจำหน่ายสินค้าราคาประหยัดกว่า 50 จุดในเขตกรุงเทพฯ และขยายไปยังต่างจังหวัดอย่างครอบคลุมทุกภูมิภาค

คุมเข้มราคาสินค้า มีบทลงโทษชัดเจน

กระทรวงพาณิชย์ยังคงเข้มงวดกับการควบคุมราคาสินค้าและบริการ หากพบการกระทำผิด เช่น การฉวยโอกาสขึ้นราคา การกักตุน หรือปฏิเสธการขายสินค้า จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง

ความคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายสนับสนุน
เห็นว่ามาตรการของกระทรวงพาณิชย์มีส่วนช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและครอบครัวที่มีรายได้น้อย การออกโครงการลดราคาสินค้าในช่วงเปิดเทอมถือว่าตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดี ขณะที่การควบคุมราคาสินค้าพื้นฐานช่วยให้ตลาดยังคงสมดุลระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค

ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกต
แม้จะมีโครงการลดราคาสินค้า แต่ยังมีข้อท้วงติงว่าโครงการบางส่วนครอบคลุมพื้นที่จำกัด และไม่ได้ครอบคลุมสินค้าทุกหมวดที่จำเป็น เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัย ค่าเดินทาง หรือสินค้าสดบางประเภทที่ราคาผันผวนรวดเร็ว การติดตามและควบคุมราคาในตลาดจริงยังต้องอาศัยกลไกภาคประชาชนและเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้อง (มีนาคม 2568)

ประเภทสินค้า

ราคาขายเฉลี่ย

แนวโน้ม

ไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม

3.20 บาท/ฟอง

ทรงตัว

ไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม

40-41 บาท/กก.

ลดลงเล็กน้อย

น่องติดสะโพก

78.81 บาท/กก.

ลดลง

สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม

79.70 บาท/กก.

ทรงตัว

ผักคะน้า

25.00 บาท/กก.

ลดลง

ผักชี

120.00 บาท/กก.

เพิ่มขึ้น

กระชาย

90.00 บาท/กก.

เพิ่มขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ (ประกาศราคาสินค้ารายสัปดาห์ ณ วันที่ 25 มีนาคม 2568)

  • เว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์ www.commerce.go.th

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ – รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2568

  • สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

เผยค่าแรงปรับขึ้น 400 บาททั่วประเทศอาจทำให้ราคาสินค้าปรับขึ้นตาม

 

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจเปิดเผยว่าศูนย์พยากรณ์ฯได้เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) ประจำเดือนเมษายน 2567 อยู่ที่ระดับ 62.1 จาก 63.0 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากผู้บริโภค เริ่มกลับมากังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้า ประกอบกับราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน และกระแสข่าวการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อค่าครองชีพ รวมทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก ตลอดจนสงครามรัสเซียยูเครน กับ อิสราเอลและฮามาส ที่ยังส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบ ต่อกำลังซื้อ ต่อการท่องเที่ยว การส่งออก และการจ้างงานในอนาคต 

 

ขณะที่ ความคิดเห็นของภาคธุรกิจ จากสมาชิกหอการค้าไทยทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในเดือนเมษายน 2567 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 อยู่ที่ระดับ 55.3 แต่เป็นการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยจากระดับ 55.2 ในเดือนมีนาคม โดยความเชื่อมั่นถือว่า ดีขึ้นเกินกว่าค่ากลางระดับ 50 ในทุกภูมิภาค รวมทั้งตัวชี้วัดทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจโดยรวม การบริโภค การลงทุน ภาคท่องเที่ยว ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม  ภาคการค้า การค้าชายแดน และภาคบริการ รวมถึงการจ้างงาน ปรับตัวดีขึ้น แต่เป็นการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพียง 0.1-0.3% 

 

ทั้งนี้ ถือความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ยังคงทรงตัว เนื่องจากยังมีปัจจัยลบที่สำคัญจากต้นทุนทางการเงิน และต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงความกังวลปริมาณน้ำในเขื่อน เพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค ที่อาจจะไม่เพียงพอ ขณะที่ในภาคเหนือ ที่เจอผลกระทบ จากฝุ่น PM 2.5 และที่สำคัญ ผู้ประกอบการทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคใต้ มีความกังวลถึงเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาคบริการที่สูงแล้วให้สูงขึ้นอีก รวมถึงต้นทุนการผลิตสินค้าด้วย

 

โดยผู้ประกอบการ มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ให้เร่งบริหารจัดการน้ำให้มีใช้เพียงพอกับภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และภาคครัวเรือนรวมทั้งหาแนวทางการแก้ไขปัญหา หรือ มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ หากมีการค่าแรงขั้นต่ำตามที่รัฐบาลประกาศจริง และต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคู่ขนานกันไปด้วย ไปจนถึงการดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้เหมาะสมกับการค้าการลงทุน โดยภาคเอกชน มองปีนี้ เศรษฐกิจกลับมาฟื้นจากสถานการณ์โควิดที่เคยติดลบถึง 6.1% แต่น่าจะฟื้นตัวได้แบบอ่อนๆ และเริ่มมีความลังเล จากภาวะต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งค่าไฟ ราคาพลังงาน และที่สำคัญ คือ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ  ที่เอกชน ออกมาเสนอให้ขึ้นตามความเหมาะสมของแต่ละจังหวัด และรายอุตสาหกรรม ตามหลักการสากล ซึ่งหากภาครัฐ มีการปรับขึ้นค่าแรงตามที่ประกาศไว้จริง ก็ต้องมีมาตรการเยียวยาที่ชัดเจน เพราะเงินที่ใช้ในส่วนนี้เป็นของเอกชน 100% เต็ม

 

ขณะที่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งมีสัญญาณของการปรับตัวไม่โดดเด่น ปัจจัยหลักจะมาจากราคาพลังงาน มีผลต่อเนื่องกับค่าครองชีพรวมทั้งยังมีข่าวการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทมาเป็นปัจจัยบั่นทอนเพิ่มเติม และเสถียรภาพทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง หลังมีการทยอยลาออกของรัฐมนตรี ที่สำคัญคือเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้น แต่ยังเชื่อว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหลังจากนี้ จะดีขึ้นได้ จากนโยบายการคลังของรัฐบาล ทั้งงบลงทุน การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน ดังนั้นหากเม็ดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจได้ ภายในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม อย่างน้อยเดือนละ 50,000 ล้านบาท เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ 

 

อย่างไรก็ตาม โดยทางศูนย์ฯคาดว่า เศรษฐกิจจะมีสัญญาณดีขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จากเม็ดเงินภาครัฐ ทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง ภาคการเกษตรดีขึ้น จากฝนที่เริ่มตก บรรเทาสถานการณ์ภัยแล้ง คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโต 2.6%  ซึ่งต้องรอนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะมีผลให้เศรษฐกิจไทยกระเตื้องขึ้น เพราะยังต้องรอความชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการใช้เงิน รวมถึงความชัดเจนของการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศตั้งแต่เดือนตุลาคมด้วย เพราะจะมีผลให้ผู้ประกอบการ จะขึ้นราคาสินค้าและบริการ
 
 
นอกจากนี้ จากการคำนวณมีกลุ่มแรงงานที่ได้รับประโยชน์จากขึ้นค่าแรง 400 บาทประมาณ 7 ล้านคน และเฉลี่ยค่าแรงขั้นต่ำขณะนี้อยู่ที่ 360 บาท จะมีเงินเพิ่มเฉลี่ยเดือนละ 3,600 ล้านบาท รวมในไตรมาสสุดท้าย จะมีเงินเพิ่มประมาณ 10,000 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ได้ 0.3-0.4% แต่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของทั้งปีเพียง 0.05% เท่านั้น แต่ในทางกลับกันหากผู้ประกอบการผลักภาระไปยังราคาสินค้า จากการประเมินคาดว่า ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้น 10-15% กระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะกำลังแรงงานทั่วประเทศที่ 38 ล้านคน ซึ่งไม่ได้รับประโยชน์ตรงนี้ทุกคน กระทบต่อการบริโภคหดตัวลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก คาดว่าจะฉุดเศรษฐกิจปีนี้ ให้หดตัวจากที่ควรจะเป็น ประมาณ 0.1-0.2% เป็นต้น .-514-สำนักข่าวไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News