Categories
ECONOMY

วิกฤตค่าครองชีพ! คนไทยเงินฝืด รัฐบาลแก้ศก.สหรัฐฯ ไม่มั่นใจ

ดุสิตโพลชี้คนไทยกังวลปัญหาเศรษฐกิจหนัก เงินสำรองฉุกเฉินไม่ถึง 1 เดือน กว่า 76% ไม่เชื่อมั่นรัฐบาลแก้ปัญหาภาษีนำเข้าสหรัฐ

ประเทศไทย, 11 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์เศรษฐกิจไทยยังคงเป็นที่กังวลของประชาชนอย่างต่อเนื่อง จากผลสำรวจความคิดเห็นของ “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เรื่อง “คนไทยกับการรับมือปัญหาเศรษฐกิจ” ซึ่งดำเนินการระหว่างวันที่ 6-9 พฤษภาคม 2568 จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วประเทศจำนวน 1,229 ราย ทั้งผ่านช่องทางออนไลน์และภาคสนาม พบข้อมูลที่น่าตกใจและสะท้อนถึงความเปราะบางทางการเงินของประชาชนในวงกว้าง

ความกังวลด้านเศรษฐกิจและค่าครองชีพยังครองอันดับต้น

จากผลสำรวจพบว่า ประชาชนร้อยละ 48.32 ยอมรับว่าหากไม่มีรายได้เลย จะมีเงินสำรองฉุกเฉินใช้ได้ไม่ถึง 1 เดือน ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าคนไทยจำนวนมากยังขาดความมั่นคงทางการเงิน และเผชิญกับภาวะ “ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ” อย่างเด่นชัด

แม้ในทางทฤษฎีประชาชนควรมีเงินสำรองไว้อย่างน้อย 3-6 เดือนสำหรับเหตุฉุกเฉิน แต่จากผลสำรวจกลับสะท้อนให้เห็นว่าความเป็นจริงนั้นต่างออกไปอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอน ทั้งจากสงครามการค้า ภัยพิบัติ และปัญหาเงินเฟ้อที่ยังคงเรื้อรัง

วิธีรับมือเศรษฐกิจของประชาชนลดรายจ่ายคือทางรอดเบื้องต้น

จากคำถามเกี่ยวกับแนวทางการรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจ พบว่า ร้อยละ 77.37 ของผู้ตอบแบบสอบถามเลือกที่จะ “ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น” เป็นกลยุทธ์หลัก ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมการปรับตัวของครัวเรือนไทยที่กำลังรับมือกับต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้น

ขณะเดียวกัน ร้อยละ 58.99 ระบุว่าตนเอง “มีการวางแผนทางการเงินแต่ไม่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง” ซึ่งปัญหานี้อาจมีรากมาจากรายได้ที่ไม่แน่นอน หรือค่าใช้จ่ายประจำที่สูงกว่าค่าครองชีพเฉลี่ย ทำให้ไม่สามารถออมเงินหรือวางแผนระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลตัวเลขที่สะท้อนความรู้สึกของประชาชน

หนึ่งในประเด็นที่สวนดุสิตโพลให้ความสนใจคือ ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจากการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเด็นระดับโลกที่ส่งผลโดยตรงต่อไทย โดยผลสำรวจพบว่า

  • ร้อยละ 76.06 ไม่เชื่อมั่น ว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ร้อยละ 23.94 เชื่อมั่น ในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล

ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงภาวะที่ประชาชนเริ่มขาดศรัทธาในประสิทธิภาพของภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจการต่างประเทศ ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปถึงความล่าช้าในการดำเนินนโยบาย หรือการสื่อสารที่ไม่สร้างความเชื่อมั่นแก่สาธารณชน

นักวิชาการเตือนหากไม่เร่งแก้ อาจเผชิญเศรษฐกิจถดถอย

ว่าที่ร้อยเอกศักดา ศรีทิพย์ อาจารย์ประจำโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ได้แก่

  1. ปัญหาการส่งออก ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากนโยบายการจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่ค้ารายใหญ่ของไทย
  2. การท่องเที่ยว ที่ยังไม่สามารถฟื้นตัวเต็มที่จากผลกระทบของแผ่นดินไหวและภัยธรรมชาติอื่น ๆ ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง และรายได้เข้าประเทศหดตัว

ทั้งสองปัจจัยนี้ถือเป็นส่วนสำคัญของ GDP ประเทศไทย และการที่ประชาชนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ยังอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่ออัตราการบริโภคภายในประเทศ และนำไปสู่ความเสี่ยงของ “เศรษฐกิจถดถอย” (Economic Recession) ได้

ทางออกและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

เพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจในประเทศ นักวิชาการเสนอว่า รัฐบาลควรเร่งดำเนินการในประเด็นต่อไปนี้

  • เจรจาการค้ากับสหรัฐฯ อย่างเร่งด่วน โดยต้องแสดงให้เห็นว่าไทยมีศักยภาพทางการค้า ไม่ใช่ประเทศที่สร้างภาระดุลการค้า
  • กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ผ่านการลงทุนภาครัฐ การสร้างงาน และการสนับสนุน SMEs ให้มีบทบาทมากขึ้น
  • ส่งเสริมการออมและวางแผนการเงิน ด้วยการให้ความรู้ทางการเงิน (financial literacy) แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องผ่านภาคการศึกษาและสื่อสารมวลชน
  • ควบคุมราคาสินค้า โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน เพื่อลดภาระค่าครองชีพประชาชน

ภาพสะท้อนสังคมไทยในภาวะเศรษฐกิจไม่แน่นอน

ข้อมูลจากสวนดุสิตโพลในครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่าประชาชนไทยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ความเปราะบางทางการเงินในระดับครัวเรือน การขาดเงินสำรองฉุกเฉิน และความเชื่อมั่นต่อรัฐที่ลดลง เป็นเรื่องที่ไม่สามารถมองข้าม

หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไขอย่างจริงจัง ไทยอาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในระยะยาว และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในวงกว้างอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • สัดส่วนผู้มีเงินสำรองฉุกเฉินไม่ถึง 1 เดือน: 48.32% (สวนดุสิตโพล, พ.ค. 2568)
  • ผู้ที่เลือก “ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น” เป็นวิธีรับมือเศรษฐกิจ: 77.37%
  • ผู้ที่มีแผนการเงินแต่ไม่ต่อเนื่อง: 58.99%
  • ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ:
    • ไม่เชื่อมั่น: 76.06%
    • เชื่อมั่น: 23.94%
  • สัดส่วนครัวเรือนที่ไม่มีเงินออมในประเทศไทย: 32.3% (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, รายงานปี 2566)
  • หนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไทย: 90.6% (ธนาคารแห่งประเทศไทย, Q4 ปี 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ลดค่าครองชีพ พาณิชย์คุมราคา เข้มสินค้าจำเป็นทั่วประเทศ

พาณิชย์เดินหน้าคุมราคาสินค้า จัดโครงการลดค่าครองชีพทั่วประเทศ รับมือเศรษฐกิจครัวเรือนช่วงต้นปี 2568

ประเทศไทย, 26 มีนาคม 2568 – กระทรวงพาณิชย์โดยการนำของนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้เร่งออกมาตรการควบคุมราคาสินค้าอุปโภคบริโภค พร้อมเดินหน้าโครงการลดราคาสินค้าจำเป็น เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในสังคมในช่วงที่เศรษฐกิจยังอยู่ในภาวะฟื้นตัว

เฝ้าระวังราคาสินค้า – ย้ำไม่ให้ผู้บริโภคถูกเอาเปรียบ

นายพิชัย เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในและสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาหรือกักตุนสินค้า พร้อมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการแจ้งเบาะแสผ่านสายด่วน 1569 โดยประชาชนสามารถร้องเรียนหากพบเห็นการจำหน่ายสินค้าในราคาสูงเกินสมควร

ราคาสินค้าสำคัญยังทรงตัว – อาหารสดหลายรายการปรับลดลง

จากข้อมูล ณ วันที่ 25 มีนาคม 2568 โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ราคาสินค้าหลายรายการยังทรงตัว หรือปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า เช่น

  • ไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 3.20 บาทต่อฟอง
  • ไข่ไก่เบอร์ 3 ราคาขายปลีกเฉลี่ย 3.50 บาทต่อฟอง
  • ไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 40-41 บาทต่อกิโลกรัม
  • น่องติดสะโพกไก่ ราคาเฉลี่ย 78.81 บาทต่อกิโลกรัม
  • อกไก่ติดหนัง ราคาเฉลี่ย 79.50 บาทต่อกิโลกรัม
  • สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม อยู่ที่ 79.70 บาทต่อกิโลกรัม

ในกลุ่มผักสด ราคาส่วนใหญ่ทรงตัว โดยผักที่ราคาลดลง ได้แก่ ผักคะน้า กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ถั่วฝักยาว และมะละกอดิบ ขณะที่ผักบางชนิด เช่น ผักชีและกระชาย มีการปรับขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูกาลผลิต

ขับเคลื่อนโครงการลดค่าครองชีพ ครอบคลุมทุกกลุ่ม

เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น

  • โครงการชูใจ วัยเก๋า 60+ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 30 เมษายน 2568 มอบส่วนลดพิเศษให้ผู้สูงอายุ ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคในราคาประหยัด โดยคาดว่าจะลดภาระค่าครองชีพรวมกว่า 10,000 ล้านบาท และกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท
  • โครงการ Back to School 2025 เพื่อรองรับนักเรียน นักศึกษาในช่วงเปิดเทอม โดยร่วมกับร้านค้าทั่วประเทศ มอบส่วนลดสำหรับอุปกรณ์การเรียน เครื่องแบบ และสินค้าไอที
  • รถโมบายธงฟ้าเคลื่อนที่ และงานธงฟ้า มีการจัดงานจำหน่ายสินค้าราคาประหยัดกว่า 50 จุดในเขตกรุงเทพฯ และขยายไปยังต่างจังหวัดอย่างครอบคลุมทุกภูมิภาค

คุมเข้มราคาสินค้า มีบทลงโทษชัดเจน

กระทรวงพาณิชย์ยังคงเข้มงวดกับการควบคุมราคาสินค้าและบริการ หากพบการกระทำผิด เช่น การฉวยโอกาสขึ้นราคา การกักตุน หรือปฏิเสธการขายสินค้า จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง

ความคิดเห็นจากสองมุมมอง

ฝ่ายสนับสนุน
เห็นว่ามาตรการของกระทรวงพาณิชย์มีส่วนช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและครอบครัวที่มีรายได้น้อย การออกโครงการลดราคาสินค้าในช่วงเปิดเทอมถือว่าตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดี ขณะที่การควบคุมราคาสินค้าพื้นฐานช่วยให้ตลาดยังคงสมดุลระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค

ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกต
แม้จะมีโครงการลดราคาสินค้า แต่ยังมีข้อท้วงติงว่าโครงการบางส่วนครอบคลุมพื้นที่จำกัด และไม่ได้ครอบคลุมสินค้าทุกหมวดที่จำเป็น เช่น ค่าเช่าที่อยู่อาศัย ค่าเดินทาง หรือสินค้าสดบางประเภทที่ราคาผันผวนรวดเร็ว การติดตามและควบคุมราคาในตลาดจริงยังต้องอาศัยกลไกภาคประชาชนและเทคโนโลยีเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

สถิติที่เกี่ยวข้อง (มีนาคม 2568)

ประเภทสินค้า

ราคาขายเฉลี่ย

แนวโน้ม

ไข่ไก่คละหน้าฟาร์ม

3.20 บาท/ฟอง

ทรงตัว

ไก่มีชีวิตหน้าฟาร์ม

40-41 บาท/กก.

ลดลงเล็กน้อย

น่องติดสะโพก

78.81 บาท/กก.

ลดลง

สุกรมีชีวิตหน้าฟาร์ม

79.70 บาท/กก.

ทรงตัว

ผักคะน้า

25.00 บาท/กก.

ลดลง

ผักชี

120.00 บาท/กก.

เพิ่มขึ้น

กระชาย

90.00 บาท/กก.

เพิ่มขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ (ประกาศราคาสินค้ารายสัปดาห์ ณ วันที่ 25 มีนาคม 2568)

  • เว็บไซต์กระทรวงพาณิชย์ www.commerce.go.th

  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ – รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2568

  • สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เผยค่าแรงปรับขึ้น 400 บาททั่วประเทศอาจทำให้ราคาสินค้าปรับขึ้นตาม

 

เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจเปิดเผยว่าศูนย์พยากรณ์ฯได้เผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) ประจำเดือนเมษายน 2567 อยู่ที่ระดับ 62.1 จาก 63.0 ในเดือนก่อนหน้า เป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากผู้บริโภค เริ่มกลับมากังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวช้า ประกอบกับราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน และกระแสข่าวการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อค่าครองชีพ รวมทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก ตลอดจนสงครามรัสเซียยูเครน กับ อิสราเอลและฮามาส ที่ยังส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบ ต่อกำลังซื้อ ต่อการท่องเที่ยว การส่งออก และการจ้างงานในอนาคต 

 

ขณะที่ ความคิดเห็นของภาคธุรกิจ จากสมาชิกหอการค้าไทยทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ในเดือนเมษายน 2567 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 อยู่ที่ระดับ 55.3 แต่เป็นการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยจากระดับ 55.2 ในเดือนมีนาคม โดยความเชื่อมั่นถือว่า ดีขึ้นเกินกว่าค่ากลางระดับ 50 ในทุกภูมิภาค รวมทั้งตัวชี้วัดทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจโดยรวม การบริโภค การลงทุน ภาคท่องเที่ยว ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม  ภาคการค้า การค้าชายแดน และภาคบริการ รวมถึงการจ้างงาน ปรับตัวดีขึ้น แต่เป็นการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพียง 0.1-0.3% 

 

ทั้งนี้ ถือความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ยังคงทรงตัว เนื่องจากยังมีปัจจัยลบที่สำคัญจากต้นทุนทางการเงิน และต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงความกังวลปริมาณน้ำในเขื่อน เพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค ที่อาจจะไม่เพียงพอ ขณะที่ในภาคเหนือ ที่เจอผลกระทบ จากฝุ่น PM 2.5 และที่สำคัญ ผู้ประกอบการทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคใต้ มีความกังวลถึงเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ที่อาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาคบริการที่สูงแล้วให้สูงขึ้นอีก รวมถึงต้นทุนการผลิตสินค้าด้วย

 

โดยผู้ประกอบการ มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ให้เร่งบริหารจัดการน้ำให้มีใช้เพียงพอกับภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และภาคครัวเรือนรวมทั้งหาแนวทางการแก้ไขปัญหา หรือ มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ หากมีการค่าแรงขั้นต่ำตามที่รัฐบาลประกาศจริง และต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคู่ขนานกันไปด้วย ไปจนถึงการดูแลเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้เหมาะสมกับการค้าการลงทุน โดยภาคเอกชน มองปีนี้ เศรษฐกิจกลับมาฟื้นจากสถานการณ์โควิดที่เคยติดลบถึง 6.1% แต่น่าจะฟื้นตัวได้แบบอ่อนๆ และเริ่มมีความลังเล จากภาวะต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งค่าไฟ ราคาพลังงาน และที่สำคัญ คือ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ  ที่เอกชน ออกมาเสนอให้ขึ้นตามความเหมาะสมของแต่ละจังหวัด และรายอุตสาหกรรม ตามหลักการสากล ซึ่งหากภาครัฐ มีการปรับขึ้นค่าแรงตามที่ประกาศไว้จริง ก็ต้องมีมาตรการเยียวยาที่ชัดเจน เพราะเงินที่ใช้ในส่วนนี้เป็นของเอกชน 100% เต็ม

 

ขณะที่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งมีสัญญาณของการปรับตัวไม่โดดเด่น ปัจจัยหลักจะมาจากราคาพลังงาน มีผลต่อเนื่องกับค่าครองชีพรวมทั้งยังมีข่าวการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทมาเป็นปัจจัยบั่นทอนเพิ่มเติม และเสถียรภาพทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง หลังมีการทยอยลาออกของรัฐมนตรี ที่สำคัญคือเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้น แต่ยังเชื่อว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหลังจากนี้ จะดีขึ้นได้ จากนโยบายการคลังของรัฐบาล ทั้งงบลงทุน การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน ดังนั้นหากเม็ดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจได้ ภายในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม อย่างน้อยเดือนละ 50,000 ล้านบาท เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ 

 

อย่างไรก็ตาม โดยทางศูนย์ฯคาดว่า เศรษฐกิจจะมีสัญญาณดีขึ้นตั้งแต่เดือนกรกฎาคม จากเม็ดเงินภาครัฐ ทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง ภาคการเกษตรดีขึ้น จากฝนที่เริ่มตก บรรเทาสถานการณ์ภัยแล้ง คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโต 2.6%  ซึ่งต้องรอนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่จะมีผลให้เศรษฐกิจไทยกระเตื้องขึ้น เพราะยังต้องรอความชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องการใช้เงิน รวมถึงความชัดเจนของการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศตั้งแต่เดือนตุลาคมด้วย เพราะจะมีผลให้ผู้ประกอบการ จะขึ้นราคาสินค้าและบริการ
 
 
นอกจากนี้ จากการคำนวณมีกลุ่มแรงงานที่ได้รับประโยชน์จากขึ้นค่าแรง 400 บาทประมาณ 7 ล้านคน และเฉลี่ยค่าแรงขั้นต่ำขณะนี้อยู่ที่ 360 บาท จะมีเงินเพิ่มเฉลี่ยเดือนละ 3,600 ล้านบาท รวมในไตรมาสสุดท้าย จะมีเงินเพิ่มประมาณ 10,000 ล้านบาท กระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 ได้ 0.3-0.4% แต่ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของทั้งปีเพียง 0.05% เท่านั้น แต่ในทางกลับกันหากผู้ประกอบการผลักภาระไปยังราคาสินค้า จากการประเมินคาดว่า ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้น 10-15% กระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะกำลังแรงงานทั่วประเทศที่ 38 ล้านคน ซึ่งไม่ได้รับประโยชน์ตรงนี้ทุกคน กระทบต่อการบริโภคหดตัวลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก คาดว่าจะฉุดเศรษฐกิจปีนี้ ให้หดตัวจากที่ควรจะเป็น ประมาณ 0.1-0.2% เป็นต้น .-514-สำนักข่าวไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News