สปสช. แจงปม “ถุงยางอนามัย-ตัวเลขผลงาน” หลังถูกตั้งคำถามเรื่องงบประมาณและความโปร่งใส ย้ำจัดซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรม ราคาต่อชิ้นถูกลง เน้นเข้าถึงกลุ่มเสี่ยงเอชไอวีเชิงรุกในชุมชน
เชียงราย,29 ตุลาคม 2568 – เรื่องเริ่มจากข้อความที่เผยแพร่โดย นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ ซึ่งตั้งคำถามต่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ว่ามี “บัญชีเงินสวัสดิการ” หรือบัญชีงบประมาณที่ใช้จ่ายจริงเกี่ยวกับการจัดซื้อถุงยางอนามัยหรือไม่ พร้อมระบุถึงความเป็นไปได้ของ “ถุงยางอนามัยเหลือในคลัง” จากการจัดซื้อในปริมาณสูงต่อเนื่องทุกปี ขณะที่ยอดแจกจริงต่ำกว่าจำนวนเป้าหมายอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อสงสัยของ นพ.เอกภพ มีหลายชั้น โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
- ปริมาณจัดซื้อ – เท่าเดิมทุกปีจริงหรือไม่
นพ.เอกภพระบุว่า สปสช. ตั้งเป้าจัดซื้อถุงยางอนามัยจำนวน 94,566,600 ชิ้น ขณะที่รายงานประจำปีของ สปสช. ระบุว่ามีการแจกจ่ายไปจริง 42,814,800 ชิ้น หรือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเป้าหมาย เขาตั้งคำถามว่า หากจัดซื้อในปริมาณสูงทุกปีและแจกได้เพียงบางส่วน แสดงว่ามีถุงยางเหลือสะสมในคลังกลางทุกปีหรือไม่ และถ้ามีเหลือ สปสช.ยังจัดซื้อซ้ำด้วยปริมาณเดิมไปเพื่ออะไร - ราคาและต้นทุน
นพ.เอกภพอ้างอิงข้อมูลราคาจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (e-GP) ว่าโรงพยาบาลบางแห่งจัดซื้อถุงยางอนามัยได้ในราคาประมาณ 2 บาทต่อชิ้น แต่ไม่พบข้อมูลราคาการจัดซื้อของ สปสช. ที่จัดซื้อในภาพรวมระดับประเทศผ่านองค์การเภสัชกรรม (อภ.) อย่างชัดเจน จึงตั้งคำถามว่า ถ้าคิดเฉพาะจำนวนที่แจก 42,814,800 ชิ้น และใช้ราคา 2 บาทต่อชิ้น จะเท่ากับงบประมาณอย่างน้อยราว 85,629,600 บาท ยังไม่รวม “ค่าแจกถุงยาง” “ค่าให้คำปรึกษา” “ค่าคัดกรอง” หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง - การกระจายงบประมาณ
นพ.เอกภพยังตั้งข้อสงสัยว่า เงินประมาณ 60% ในระบบให้คำปรึกษาและคัดกรองความเสี่ยงด้านเอชไอวีถูกจ่ายให้แก่องค์กรที่ไม่ใช่หน่วยบริการสุขภาพของรัฐ เช่น เอ็นจีโอ มูลนิธิ หรือกลุ่มบุคคล เขาตั้งประเด็นต่อว่า การจ่ายเงินให้หน่วยงานนอกระบบบริการปกติเช่นนี้ ตรวจสอบได้มากน้อยเพียงใด มีการประเมินผลที่น่าเชื่อถือหรือไม่ และสอดคล้องกับอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหลักประกันสุขภาพหรือไม่
ประเด็นสุดท้ายที่จุดกระแสความสนใจอย่างหนัก คือ “ตัวเลขผลงานที่เปลี่ยนไป” โดย นพ.เอกภพระบุว่า รายงานผลการดำเนินงานฉบับหนึ่งของ สปสช. ระบุปริมาณการให้คำปรึกษาเลิกบุหรี่ทางโทรศัพท์ไว้ที่ 48,672 ครั้ง แต่ในรายงานฉบับภายหลัง (อ้างอิงข้อมูลจากวันที่เดียวกัน แหล่งเดียวกัน) ตัวเลขกลับเพิ่มเป็น 169,610 ครั้ง เขาตั้งคำถามว่า ตัวเลขใดถูกใช้เป็นฐานเบิกงบ? ตัวเลขใดถูกใช้รายงานต่อสาธารณะ? และหากตัวเลขเปลี่ยนหลังถูกวิจารณ์ แสดงว่ามีการปรับข้อมูลย้อนหลังหรือไม่
คำถามทั้งหมดทำให้ สปสช. ต้องออกมาชี้แจงอย่างเป็นทางการ
สปสช. โต้ทุกประเด็น “ข้อมูลคลาดเคลื่อน” – ยืนยันจัดซื้อตามความต้องการจริง ไม่ได้ซื้อทับซ้อน และปี 2567 ไม่ได้จัดซื้อเพิ่ม
ทันตแพทย์อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ รองเลขาธิการและโฆษก สปสช. ชี้แจงว่า ข้อมูลที่ถูกนำไปเผยแพร่มีความคลาดเคลื่อนหลายส่วน โดยเฉพาะความเข้าใจว่าการจัดซื้อถุงยางอนามัยของ สปสช. ทำในปริมาณ “เท่าเดิมทุกปีโดยอัตโนมัติ” ซึ่งโฆษก สปสช. ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง
ตามคำชี้แจง กระบวนการจัดซื้อเป็นดังนี้
- สปสช. ไม่ได้จัดซื้อเองโดยตรงในเชิงปฏิบัติ แต่ “มอบหมายให้องค์การเภสัชกรรม (อภ.) เป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อรวมในระดับประเทศ”
การจัดซื้อรวมลักษณะนี้มีเป้าหมายเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์มาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศในราคาที่เหมาะสม และลดความซ้ำซ้อนการจัดซื้อรายหน่วยบริการ นอกจากนี้ อภ. จะจัดซื้อถุงยางอนามัยทั้ง 4 ขนาด คือ 49, 52, 54 และ 56 มิลลิเมตร เพื่อรองรับการใช้งานจริงของประชากรหลากหลายกลุ่ม - “ปริมาณจัดซื้อทุกปีไม่ได้ตั้งต้นที่ตัวเลขเดิม”
โฆษก สปสช. ระบุว่า สปสช. จะประเมินความต้องการก่อนการจัดซื้อทุกครั้ง โดยใช้ 3 ปัจจัยหลัก
- การคาดการณ์ความต้องการใช้ถุงยางตามข้อมูลผู้เชี่ยวชาญทางระบาดวิทยาและนโยบายสุขภาพเชิงป้องกันของปีนั้น
- ข้อมูลผลงานบริการจริงในปีที่ผ่านมา เช่น อัตราการแจกจ่ายและอัตราการเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง
- ปริมาณคงเหลือใน “คลังกลาง” (สต็อก) ซึ่งจะถูกนำมาหักออกจากความต้องการ เพื่อป้องกันการจัดซื้อเกินจำเป็น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากมีของคงเหลือมาก สปสช. จะจัดซื้อให้น้อยลงหรืออาจไม่จัดซื้อเพิ่มเติมในปีถัดไป
- ราคาต่อหน่วยต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาด
สปสช. ชี้แจงว่า การจัดซื้อถุงยางอนามัยในปีงบประมาณ 2565 และ 2566 มีจำนวนรวม 126.4 ล้านชิ้น ด้วยราคากลางเฉลี่ยประมาณ 1.2 บาทต่อชิ้น ซึ่งต่ำกว่าราคาที่กรมควบคุมโรคเคยจัดหาในอดีต
การซื้อรวมผ่าน อภ. ช่วยต่อรองราคาให้ต่ำลง ซึ่ง สปสช. ระบุว่านี่คือการใช้เงินของประชาชน “อย่างคุ้มค่า” - ปี 2567 ไม่ได้จัดซื้อใหม่
โฆษก สปสช. ย้ำชัดว่า “ปีงบประมาณ 2567 ไม่มีการจัดหาถุงยางอนามัยเพิ่มเติม” เนื่องจากมีจำนวนคงเหลือเพียงพอจากรอบก่อนหน้า
คำชี้แจงข้อนี้ตอบโจทย์ข้อสงสัยสำคัญของสังคม หากมีของเหลือในคลังกลางเพียงพอ ทำไมรัฐยังต้องใช้เงินซื้อเพิ่มทับซ้อนในปีถัดไป ซึ่ง สปสช. ระบุว่าไม่ได้ซื้อเพิ่มในปี 2567 - ทำไมบางปีรัฐต้องจัดซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ประเด็นนี้ สปสช. ให้เหตุผลเชิงโครงสร้างมากกว่าการตอบเชิงบัญชีตัวเลข โดยอธิบายว่า การจัดซื้อในปี 2565 มีความจำเป็นต้องขยายปริมาณ เพราะหน่วยงานอื่นที่เคยเป็นผู้จัดหาและกระจายถุงยางอนามัยให้ประชาชนหยุดบทบาทลง ทั้งกรมควบคุมโรค (ที่เคยจัดซื้อราว 12 ล้านชิ้น), สำนักอนามัยกรุงเทพมหานคร (ประมาณ 4 ล้านชิ้น) และกองทุนโลก (Global Fund) อีกราว 10 ล้านชิ้น
เมื่อ “ผู้เล่นเดิม” หยุดจ่าย สปสช. จึงต้องรับบทบาทแทน เพื่อไม่ให้ช่องว่างการเข้าถึงการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มเสี่ยงเกิดขึ้น
ตัวเลขสากลยังถูกนำมาอ้างอิงในเชิงยุทธศาสตร์สาธารณสุข โฆษก สปสช. ระบุว่า UNAIDS (โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ) ประเมินว่าประเทศไทยควรมีการจัดหาถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อ HIV ราว 200 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งสะท้อนมาตรฐานเชิงสาธารณสุขเชิงป้องกัน ไม่ใช่แค่ตัวเลขงบประมาณ
ในจุดนี้ สปสช. พยายามสื่อสารว่า การจัดซื้อถุงยางอนามัยไม่ใช่เรื่อง “ซื้อเยอะ-แจกไม่หมด” อย่างที่ถูกตั้งคำถามเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่อง “ปิดช่องโหว่ของระบบป้องกันโรค” เมื่อหน่วยงานเดิมหยุดสนับสนุน
โฆษก สปสช. กล่าวย้ำว่า “การจัดซื้อถุงยางอนามัยของ สปสช. ไม่ได้ทำจำนวนเท่าเดิมทุกปี แต่มีการประเมินยอดคงเหลือก่อนทุกครั้ง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน”
NGOs กับงานเชิงรุก ช่องทางป้องกัน HIV ที่ สปสช. บอกว่าระบบปกติทำแทบไม่ได้
อีกจุดที่ นพ.เอกภพ หยิบขึ้นมาวิจารณ์อย่างหนัก คือการจ่ายเงินชดเชยค่าบริการให้แก่องค์กรภาคประชาชนหรือ NGO ในการทำงานลงพื้นที่เชิงรุก เช่น การให้คำปรึกษา การคัดกรองการติดเชื้อเอชไอวี การจ่ายถุงยางอนามัย การให้ยาป้องกันก่อนสัมผัสเชื้อ HIV (PrEP) หรือหลังสัมผัสเชื้อ HIV (PEP)
เขาตั้งข้อสงสัยว่า การจ่ายเงินลักษณะนี้ “เป็นการจ่ายออกไปนอกหน่วยบริการปกติ” ซึ่งอาจไม่โปร่งใส และตรวจสอบยากกว่าการจ่ายตรงให้โรงพยาบาลและ รพ.สต. (สถานีอนามัย/หน่วยบริการสุขภาพระดับตำบล)
สปสช. ตอบกลับในเชิงยุทธศาสตร์สาธารณสุขว่า บริการเชิงรุกเหล่านี้คือหัวใจสำคัญของการ “ค้นหาและเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง” ที่มักไม่เข้ามาหาที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง เช่น กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย กลุ่มวัยรุ่นที่ยังไม่เปิดเผยตัวตนทางเพศ กลุ่มแรงงานบริการบางประเภท หรือกลุ่มที่กังวลเรื่องการตีตราทางสังคม
โฆษก สปสช. ระบุข้อมูลดังนี้
- งบประมาณรวมด้านบริการสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์อยู่ที่กว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี
- ในจำนวนนี้ ราว 3,000 ล้านบาท (ประมาณร้อยละ 83) เป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการรักษาโดยตรง เช่น ค่ายาและค่าตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- อีกประมาณ 600 ล้านบาท (ร้อยละ 16.3) เป็นงบเชิงป้องกัน เพื่อควบคุมการติดเชื้อรายใหม่
เงินกลุ่มที่สองนี่เองที่ถูกใช้สนับสนุนรูปแบบบริการเชิงรุก ซึ่งรวมถึงการทำงานขององค์กรภาคประชาชน
สปสช. ให้เหตุผลว่า
- องค์กรภาคประชาชนที่ได้รับการชดเชยต้องผ่านการอบรมและได้รับการรับรองมาตรฐานจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ไม่ใช่องค์กรลอยตัว
- บริการเชิงรุกนอกสถานบริการทำให้เข้าถึงกลุ่มเสี่ยงได้ถึงร้อยละ 84 ของประชากรเป้าหมายทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าการรอรับที่โรงพยาบาล
- งบดำเนินการของกลไกเชิงรุกนี้คิดเป็นเพียงประมาณร้อยละ 5.9 ของงบภาพรวม
กล่าวอีกนัยหนึ่ง สปสช. มองบทบาท NGO ไม่ใช่ “คู่สัญญารับงบ” แต่เป็น “แขนขาเชิงพื้นที่ของระบบสาธารณสุข” ในกลุ่มที่ระบบปกติเอื้อมไม่ถึง และเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560 – 2573 ซึ่งระบุถึงความจำเป็นในการลดการติดเชื้อรายใหม่ และป้องกันการแพร่เชื้อในชุมชนที่เข้าถึงยาก
ประเด็นนี้จึงสะท้อนความต่างเชิงมุมมองอย่างชัดเจน
- ฝั่งผู้ตั้งคำถาม มองเรื่อง “ความถูกต้องตามกรอบกฎหมายหลักประกันสุขภาพ / ความโปร่งใสในการจ่ายเงิน”
- ฝั่ง สปสช. มองเรื่อง “ประสิทธิภาพเชิงสาธารณสุขในการเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง” และอ้างกรอบยุทธศาสตร์ชาติด้านเอดส์มารองรับ
อย่างไรก็ดี นพ.เอกภพยังตั้งข้อสังเกตในมิติความโปร่งใส ว่าในบางกรณีองค์กรที่ได้รับงบประมาณจำนวนหลายสิบล้านบาทต่อปี เช่น การทำสายด่วนเลิกบุหรี่ กลับไม่มีเว็บไซต์ ไม่มีช่องทางสื่อสารสาธารณะชัดเจน และไม่มีรายงานประจำปีที่เผยแพร่อย่างกว้างขวาง เขาย้ำว่าประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะ “ตัวเลขผลงาน” ของบริการเหล่านี้ถูกนำไปใช้เป็นฐานเบิกงบประมาณจาก สปสช.
นี่คืออีกปมหนึ่งที่ยังไม่ได้คลี่คลายในการชี้แจงปัจจุบัน และยังเป็นคำถามสาธารณะต่อไป
ปมกฎหมาย อำนาจ สปสช. ในการจ่ายเงินให้องค์กรนอกหน่วยบริการปกติ
นอกจากตัวเลขและความคุ้มค่าทางงบประมาณแล้ว นพ.เอกภพยังได้เชื่อมประเด็นเข้าสู่กรอบกฎหมาย โดยระบุว่า การจ่ายเงินให้องค์กรชุมชนหรือมูลนิธิ “อาจไม่สามารถทำได้” หากยึดตามถ้อยคำในพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เนื่องจาก พ.ร.บ. ฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อให้ สปสช. จัดสรรงบประมาณแก่ “หน่วยบริการ” ที่ขึ้นทะเบียนในระบบ (เช่น โรงพยาบาล คลินิก หน่วยบริการสาธารณสุข) ไม่ใช่องค์กรชุมชนทั่วไป
เขาระบุว่า เหตุผลที่ สปสช. สามารถอนุมัติการจ่ายงบให้องค์กรภาคประชาชนได้ มาจากคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 37/2559 ซึ่งเป็นคำสั่งในยุค คสช. ที่ขยายขอบเขตการใช้งบประมาณในลักษณะนี้ รวมถึงคำสั่งที่ 41/2560 ที่ให้อำนาจ สปสช. จัดซื้อยาได้โดยตรง
ในมุมของ นพ.เอกภพ คำถามจึงไม่ใช่แค่ว่า “จ่ายเงินถูกหรือผิด” แต่คือ “เราจะยังควรใช้คำสั่ง คสช. เป็นฐานอำนาจทางงบประมาณด้านสุขภาพต่อไปอีกหรือไม่” เพราะหากยกเลิกคำสั่งเหล่านี้ งบประมาณที่ปัจจุบันจ่ายให้องค์กรภาคประชาชนและโครงการจัดซื้อยาบางส่วน อาจถูกส่งตรงสู่โรงพยาบาลภาครัฐเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งเขาประเมินรวมกันว่าอาจสูงถึง 30,000 ล้านบาท
จุดนี้สะท้อนการปะทะกันของสองภาพใหญ่ ภาพแรก: ระบบสุขภาพที่พยายาม “ยืดแขน” ไปถึงชุมชน ผ่านการใช้เครือข่ายภาคประชาชน ภาพที่สอง: ระบบงบประมาณภาครัฐที่ต้องตอบคำถามต่อสังคมในภาษา “ความถูกต้องตามกฎหมาย-การตรวจสอบได้-ความโปร่งใส” และนี่คือจุดที่ความขัดแย้งเชิงข้อมูลอาจลุกลามไปสู่ความขัดแย้งเชิงนโยบายในระดับประเทศ
ไม่ใช่แค่ถุงยาง แต่เป็นคำถามถึงทิศทางระบบหลักประกันสุขภาพ
จากข้อมูลทั้งสองฝ่าย มีประเด็นหลักที่สังคมควรจับตาต่อไปอย่างใกล้ชิด ความโปร่งใสของข้อมูล ตัวเลขการจัดซื้อถุงยางอนามัย ตัวเลขการแจกจ่ายจริง ตัวเลขบริการเชิงรุก ตัวเลขการให้คำปรึกษาเลิกบุหรี่ และตัวเลขการคัดกรองเอชไอวี ล้วนเป็นตัวเลขที่ถูกใช้ยืนยัน “ประสิทธิภาพของการใช้งบประมาณ” และในบางกรณีถูกใช้เป็นฐานเบิกจ่ายโดยตรงต่อรัฐ การที่ตัวเลขเดียวกันปรากฏในสองรูปแบบต่างกัน (เช่น 48,672 ครั้ง เทียบกับ 169,610 ครั้ง) เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่สังคมจะเรียกร้องคำอธิบายแบบตรวจสอบย้อนกลับได้
ต้นทุน-ประโยชน์ของการใช้ NGO เป็นกลไกบริการ
สปสช. ระบุว่า NGO สามารถเข้าถึงกลุ่มเสี่ยงเอชไอวีได้ถึง 84% ในขณะที่ใช้งบประมาณเชิงรุกเพียง 5.9% ของงบด้านเอชไอวี/เอดส์ทั้งหมด ซึ่งถ้ามองเชิงนโยบาย นี่คือความคุ้มค่า แต่ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายวิจารณ์ตั้งคำถามว่า กลไกตรวจสอบคุณภาพงานและปริมาณผลงานขององค์กรเหล่านี้เข้มข้นพอหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อองค์กรบางแห่งไม่มีการสื่อสารสาธารณะให้ตรวจสอบได้ง่ายเหมือนโรงพยาบาลรัฐ
ฐานกฎหมายและความยั่งยืน
โครงการจำนวนมากที่ สปสช. ใช้ในการทำงานเชิงรุก อาศัยคำสั่งหัวหน้า คสช. เป็นกรอบอำนาจ หากประเทศเดินหน้าเข้าสู่โหมดการบริหารปกติเต็มรูปแบบ คำถามคือ ควรปรับ พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพฯ เพื่อยืนยันบทบาทงานชุมชนและการป้องกันโรคเชิงรุกให้ถาวร หรือควรดึงงบทั้งหมดกลับเข้าโรงพยาบาลหลักเพื่อให้การตรวจสอบเป็นเส้นตรงมากขึ้น นี่ไม่ใช่ประเด็นเทคนิคทางกฎหมายอย่างเดียว แต่เป็นการกำหนด “หน้าตาของระบบบัตรทอง” ในอีกทศวรรษข้างหน้า
ความเชื่อมั่นของสาธารณชน
ในท้ายที่สุด ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทำงานได้บนความร่วมมือของประชาชนและหน่วยบริการ ถ้าประชาชนเชื่อว่า “ขอถุงยางได้ฟรีจากรัฐ” หรือ “ตรวจเอชไอวีได้โดยไม่ถูกตีตรา” เขาจะกล้าเข้ารับบริการ ถ้าประชาชนเชื่อว่า “งบประมาณถูกใช้โดยสุจริตและตรวจสอบได้” เขาจะยอมปกป้องระบบบัตรทองเมื่อต้องเผชิญแรงกดดันทางการเมือง
โฆษก สปสช. ทิ้งท้ายด้วยสารที่ตั้งใจสื่อถึงประชาชน ไม่ใช่เฉพาะนักการเมืองหรือคนทำงานนโยบายว่า “บริการสนับสนุนถุงยางอนามัย เป็นบริการเพื่อคนไทยทุกคน เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และคุมกำเนิดในกรณีที่ยังไม่พร้อมมีบุตร ประชาชนสามารถขอรับถุงยางอนามัยได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายที่โรงพยาบาลของรัฐ ร้านยา คลินิกเวชกรรม และคลินิกพยาบาลทุกแห่งที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ”
ประโยคนี้สะท้อนภาพคู่ขนานชัดเจน
ด้านหนึ่งคือสิทธิด้านสุขภาพเชิงป้องกันที่เป็นรูปธรรมมาก เช่น ถุงยางอนามัย PrEP/PEP การคัดกรองเอชไอวี
อีกด้านหนึ่งคือคำถามที่ยังไม่จบลงง่าย ๆ เกี่ยวกับตัวเลขรายงาน ผลการดำเนินงาน งบประมาณ และความถูกต้องตามกรอบกฎหมาย
กล่าวโดยสรุป ประเด็นที่เริ่มต้นจาก “ถุงยางอนามัย” ได้ขยายไปสู่การตรวจสอบเชิงโครงสร้างของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นโครงสร้างเดียวกันกับที่คนไทยจำนวนมากพึ่งพาในยามเจ็บป่วย ตั้งแต่การคลอดลูกจนถึงการรักษาเอชไอวีระยะยาว และนั่นทำให้คำถามนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
- นพ.เอกภพ เพียรพิเศษ








