Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เตือนภัยน้ำกก ผนึกกำลังรับมือ จี้จีนแก้ต้นเหตุ

ภาครัฐ-เอกชน-ชุมชน ร่วมยกระดับเตือนภัยน้ำหลากแม่น้ำกก ปี 2568

เชียงราย, 22 เมษายน 2568 – แม่น้ำกก สายน้ำสำคัญของจังหวัดเชียงราย เป็นทั้งแหล่งชีวิตและความท้าทายสำหรับชุมชนริมฝั่ง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่มักนำมาซึ่งอุทกภัยและมลพิษสิ่งแวดล้อม เหตุการณ์น้ำท่วมรุนแรงในปี 2567 ได้ทิ้งร่องรอยความเสียหายทั้งต่อระบบนิเวศ เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตของประชาชน พร้อมกับปัญหาการปนเปื้อนสารพิษในน้ำที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชุมชน การประชุมเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ณ เทศบาลตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย จึงเป็นก้าวสำคัญในการรวมพลังภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาระบบเตือนภัยน้ำหลากและแก้ไขปัญหามลพิษข้ามพรมแดนอย่างยั่งยืน

ความเสียหายจากอุทกภัยและมลพิษในปี 2567

ในฤดูฝนปี 2567 แม่น้ำกกเผชิญกับน้ำหลากและโคลนถล่ม ส่งผลกระทบรุนแรงต่ออำเภอเมืองและอำเภอแม่สาย บ้านเรือนเสียหาย พื้นที่เกษตรถูกทำลาย และประชาชนต้องเผชิญกับความสูญเสียทั้งด้านทรัพย์สินและจิตใจ การตรวจพบสารโลหะหนัก เช่น สารหนู ในน้ำกก ได้สร้างความกังวลอย่างมาก ชาวบ้านไม่สามารถใช้น้ำจากแม่น้ำเพื่อการเกษตร การเลี้ยงสัตว์ หรือกิจกรรมประจำวัน เด็กๆ ถูกห้ามเล่นน้ำในช่วงสงกรานต์ และผู้ประกอบการท่องเที่ยว เช่น แพริมน้ำ ขาดทุนหนักจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง

จุดอ่อนของระบบเตือนภัยในอดีต ได้แก่ การขาดข้อมูลปริมาณน้ำที่เพียงพอ การแจ้งเตือนที่ล่าช้า และความไม่เชื่อมั่นของประชาชนต่อความรุนแรงของภัยพิบัติ สาเหตุเหล่านี้ทำให้ชุมชนไม่สามารถเตรียมรับมือได้ทันท่วงที ความเสียหายจึงทวีความรุนแรง นอกจากนี้ การปนเปื้อนสารพิษจากกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ได้กลายเป็นประเด็นข้ามพรมแดนที่ซับซ้อน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่ายเพื่อแก้ไข

การประชุมเพื่อพัฒนาระบบเตือนภัย

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 ณ เทศบาลตำบลแม่ยาว ภาคีเครือข่ายจากภาครัฐ เอกชน และชุมชน รวมถึงนางเตือนใจ ดีเทศน์ ประธานเครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จังหวัดเชียงราย ผู้อำนวยการส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย กำนันตำบลแม่ยาว และผู้นำชุมชน ได้ร่วมประชุมเพื่อพัฒนาระบบเตือนภัยน้ำหลากสำหรับฤดูฝนปี 2568 การประชุมมุ่งเน้นการสร้างระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลปริมาณน้ำระหว่าง 7 ชุมชนเป้าหมาย ได้แก่ บ้านแก่งทรายมูล/ร่มไทย บ้านใหม่หมอกจ๋าม บ้านผาใต้ (ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่) บ้านจะคือ (ต.ห้วยชมพู) โรงเรียนบ้านผาขวาง บ้านแคววัวดำ (ต.แม่ยาว) และบ้านโป่งนาคำ (ต.ดอยฮาง อ.เมืองเชียงราย)

เป้าหมายคือการพัฒนาระบบที่ช่วยให้ชุมชนรับข้อมูลน้ำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ เพื่อเตรียมรับมือกับน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้น การประชุมยังมุ่งแบ่งปันข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมในลุ่มน้ำโขง เพื่อให้ภาคีเครือข่ายและสาธารณชนตระหนักถึงปัญหามลพิษและผลกระทบข้ามพรมแดน การรวมตัวครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านน้ำและสิ่งแวดล้อม

การจัดตั้งเครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก

เครือข่ายข้อมูลอุทกภัยแม่น้ำกก (ค.อ.ก.) เกิดจากความร่วมมือขององค์กรพัฒนาภาคเอกชน โดยมีกิจกรรมหลัก 3 ส่วน:

  1. ติดตั้งเสาวัดระดับน้ำและมาตรวัดระดับน้ำ เพื่อเก็บข้อมูลปริมาณน้ำแบบเรียลไทม์
  2. เสริมศักยภาพชุมชน ผ่านการฝึกอบรมผู้สื่อข่าวอุทกภัยแม่น้ำกก (ผ.อ.ก.) ซึ่งทำหน้าที่สื่อสารข้อมูลน้ำท่วมและแจ้งเตือนภัย
  3. ผสานเครือข่ายข้อมูล ใน 7 ชุมชน เพื่อให้ข้อมูลไหลเวียนทั้งภายในและภายนอกชุมชน

เครือข่ายนี้มุ่งให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยง เช่น บ้านผาใต้ ต.ท่าตอน ซึ่งเคยถูกน้ำท่วมและโคลนถล่มในปี 2567 การติดตั้งเครื่องมือวัดระดับน้ำจะช่วยคาดการณ์สถานการณ์ได้ล่วงหน้า และการฝึกอบรมผู้นำชุมชนจะสร้างความเข้มแข็งในการสื่อสารข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ

เสียงสะท้อนจากชุมชนและข้อเรียกร้อง

เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2568 นางเตือนใจ ดีเทศน์ พร้อมทีมงานมูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา (พชภ.) ลงพื้นที่บ้านผาใต้ ต.ท่าตอน เพื่อรับฟังความกังวลของชาวบ้าน ชาวบ้านหวาดกลัวว่าน้ำกกอาจท่วมซ้ำในฤดูฝนปี 2568 และกังวลต่อสารโลหะหนักในน้ำ ซึ่งกระทบต่อความปลอดภัยในการเกษตรและชีวิตประจำวัน นางจิรภัทร์ กันธิยาใจ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ต.ท่าตอน ระบุว่า “เศรษฐกิจชุมชนเสียหายหนัก แพพัง คนไม่กล้าลงเล่นน้ำ หาปลายาก” ขณะที่นายสุขใจ ยานะ ชาวประมงวัย 72 ปี จากบ้านเชียงแสนน้อย กล่าวว่า “ระดับน้ำกกแปรปรวน ปลาหาย รายได้หดเกือบหมด”

ในวันเดียวกัน ที่ศูนย์การเรียนรู้ CCF ต.ริมกก เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำกก อิง โขง นำโดยนายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา จัดเวทีรับฟังความคิดเห็น ชาวบ้าน ต.ริมกก ร่ำไห้ถึงปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากและสารปนเปื้อน ดร.สืบสกุล กิจนุกร จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เสนอให้รัฐบาลเจรจากับจีน เมียนมา และกลุ่มว้า พร้อมชี้ว่ารัฐขาดข้อมูลต้นทางของมลพิษ

ชาวบ้านยื่น 7 ข้อเรียกร้อง:

  1. ตั้งคณะทำงานแก้ปัญหามลพิษข้ามแดนแบบมีส่วนร่วม
  2. เปิดเผยแผนรับมือภัยพิบัติลุ่มน้ำกก-น้ำสาย
  3. สร้างความร่วมมือกับเมียนมาและกลุ่มว้าเก็บตัวอย่างน้ำต้นน้ำ
  4. ตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำจังหวัดเชียงราย
  5. ขยายการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน
  6. เปิดโต๊ะเจรจาระดับประเทศ ไทย-เมียนมา-จีน-กลุ่มชาติพันธุ์
  7. ให้ประชาชนมีบทบาทในคณะกรรมการทุกระดับ

วิเคราะห์ต้นตอปัญหาและความท้าทายข้ามพรมแดน

ปัญหาน้ำท่วมและมลพิษในแม่น้ำกกมีรากฐานจากทั้งปัจจัยภายในและข้ามพรมแดน นางเตือนใจระบุว่า ชาวบ้านในท่าตอนเชื่อว่าน้ำท่วมเกิดจากการเปิดหน้าดินขนาดใหญ่ในรัฐฉาน เพื่อทำสวนยางพารา ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และเหมืองแร่ โดยเฉพาะเหมืองที่ได้รับทุนจากจีน ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่า ชี้ว่า การปนเปื้อนสารหนูเกี่ยวข้องกับเหมืองทองและดีบุกในเขตควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (UWSA) ซึ่งเพิ่มสัมปทานเหมืองหลังรัฐประหารในเมียนมา

ดร.ลลิตากล่าวว่า “หน่วยงานไทยบางแห่งหลีกเลี่ยงการระบุว่าเป็นบริษัทจีน ทั้งที่คนในพื้นที่รู้ดี การแก้ปัญหาต้องยอมรับต้นตอและเจรจากับจีนโดยตรง” เธอชี้ว่า การเจรจาในกรอบรัฐต่อรัฐมีข้อจำกัด เนื่องจากพื้นที่รัฐว้าเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” ที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเมียนมา การเจรจากับสภาบริหารแห่งรัฐพม่า (SAC) อาจไม่นำไปสู่ผลลัพธ์ และอาจสร้างความขัดแย้งทางการทูต

กรณีนี้คล้ายกับผลกระทบจากเขื่อนในแม่น้ำโขง ซึ่งขาดธรรมภิบาลสิ่งแวดล้อม ดร.ลลิตาแนะนำให้ไทยกดดันจีนผ่านช่องทางการทูต เพื่อให้บริษัทเหมืองรับผิดชอบ หากรัฐไม่ดำเนินการ ภาคประชาสังคมอาจใช้กฎหมายระหว่างประเทศเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม

แนวทางการแก้ไขและการคลี่คลายปัญหา

การประชุมที่เทศบาลตำบลแม่ยาวเสนอแนวทางแก้ไขทั้งในระดับชุมชนและนโยบาย การติดตั้งเสาวัดระดับน้ำและฝึกอบรมผู้สื่อข่าวอุทกภัยจะช่วยให้ชุมชนเตรียมรับมือน้ำท่วมได้ดีขึ้น การประสานงานระหว่าง 7 ชุมชนจะสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็ง การสนับสนุนจาก ปภ. และส่วนอุทกวิทยาจะเพิ่มความน่าเชื่อถือของระบบเตือนภัย

ในระดับนโยบาย การแก้ปัญหามลพิษจากเหมืองแร่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ นางเตือนใจเสนอให้ไทยเจรจากับจีนเพื่อควบคุมกิจกรรมเหมือง การหารือทวิภาคีจะกดดันให้บริษัทจีนปฏิบัติตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ดร.สืบสกุลแนะนำให้ตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำในเชียงราย และขยายการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบกักเก็บน้ำสะอาด จะช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ

ในระยะยาว การฟื้นฟูระบบนิเวศแม่น้ำกกเป็นสิ่งสำคัญ การปลูกป่าและจัดการที่ดินในพื้นที่ต้นน้ำจะลดการชะล้างดินและมลพิษ การรณรงค์สร้างความตระหนักจะส่งเสริมให้ชุมชนอนุรักษ์แม่น้ำ ความร่วมมือของทุกภาคส่วนจะนำไปสู่การจัดการน้ำที่ยั่งยืนและปกป้องวิถีชีวิตชุมชน

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • อุทกภัยแม่น้ำกก ปี 2567: ความเสียหายในอำเภอเมืองและแม่สาย มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท กระทบ 15,000 ครัวเรือน
  • การปนเปื้อนสารหนู: ระดับสารหนูในน้ำกกสูงเกินมาตรฐาน 0.01 มก./ลิตร ในพื้นที่ต.ท่าตอน อ.แม่อาย
  • พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมในเชียงราย: 7 อำเภอ 42 ตำบล 218 หมู่บ้าน

มุมมองที่เป็นกลาง

มุมมองฝ่ายสนับสนุนการแก้ปัญหาที่ต้นตอ: การจัดการน้ำท่วมและมลพิษต้องเริ่มจากต้นเหตุ การเจรจากับจีนและควบคุมเหมืองแร่จะลดผลกระทบ การลงทุนในระบบเตือนภัยและน้ำสะอาดเป็นแนวทางจำเป็น
มุมมองฝ่ายที่มองว่าการแก้ปัญหาข้ามพรมแดนซับซ้อน: การเจรจากับจีนและกลุ่มว้ามีข้อจำกัดทางการเมือง การมุ่งแก้ปัญหาภายใน เช่น ระบบเตือนภัยและฟื้นฟูแม่น้ำ อาจปฏิบัติได้จริงกว่า
มุมมองเป็นกลาง: การแก้ปัญหาต้องผสมผสานการจัดการภายในและความร่วมมือระหว่างประเทศ การพัฒนาระบบเตือนภัยและศักยภาพชุมชนจะลดความสูญเสียระยะสั้น การเจรจาข้ามพรมแดนและรณรงค์สิ่งแวดล้อมจะนำไปสู่ความยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ, รายงานคุณภาพน้ำลุ่มน้ำกก ปี 2567, เผยแพร่ 15 ตุลาคม 2567, www.pcd.go.th
  • ปภ.จังหวัดเชียงราย, สรุปความเสียหายจากอุทกภัย ปี 2567, เผยแพร่ 30 กันยายน 2567
  • Mekong River Commission, รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมลุ่มน้ำโขง, เผยแพร่ 10 มีนาคม 2568, www.mrcmekong.org
  • สำนักข่าวชายขอบ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายคุยเมียนมา พัฒนาสาธารณสุข พื้นที่ชายแดน

ไทย-เมียนมา จับมือพัฒนาสาธารณสุขชายแดน คณะกระทรวงการต่างประเทศลงพื้นที่เชียงราย หารือแนวทางความร่วมมือ

เชียงราย, 4 มีนาคม 2568 – รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อหารือความร่วมมือด้านสาธารณสุข ไทย-เมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน มุ่งส่งเสริมการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข การควบคุมโรคติดต่อ และการสนับสนุนด้านการศึกษาแก่ชาวเมียนมา พร้อมร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่

หารือแนวทางพัฒนาสาธารณสุขชายแดน

นายไพศาล หรูพาณิชย์กิจ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย นายจุลวัจน์ นรินทรางกูร ณ อยุธยา อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ และคณะ ได้ลงพื้นที่ จังหวัดเชียงราย เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือด้านการพัฒนาสาธารณสุขระหว่างไทยและเมียนมา โดยได้รับการต้อนรับจาก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องรับรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนับสนุนความร่วมมือด้านสาธารณสุขแก่เมียนมาตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือไทย-เมียนมา ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 3-5 มีนาคม 2568 ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข การควบคุมโรคติดต่อ และการเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ชายแดน

แนวทางขับเคลื่อนความร่วมมือ ไทย-เมียนมา

ภายหลังการประชุมหารือ นายไพศาล หรูพาณิชย์กิจ และคณะ ได้ร่วมประชุมกับหัวหน้าหน่วยงานราชการและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนาความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมา โดยมีประเด็นหารือสำคัญ ดังนี้

  1. แนวทางการพัฒนาสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดน
    • การสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์และยารักษาโรคแก่โรงพยาบาลชายแดน
    • การฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่เพื่อเสริมศักยภาพการให้บริการด้านสุขภาพ
    • การสร้างความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลชายแดนของไทยและเมียนมา เพื่อให้สามารถรับส่งต่อผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การควบคุมและป้องกันโรคติดต่อระหว่างประเทศ
    • การติดตั้งระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนโรคติดต่อที่อาจแพร่ระบาดในพื้นที่ชายแดน
    • การบูรณาการข้อมูลด้านสุขภาพของไทยและเมียนมา เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • การรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับโรคติดต่อที่พบบ่อย และแนวทางการป้องกัน
  3. ความร่วมมือด้านการศึกษาแก่ชาวเมียนมา
    • การส่งเสริมการศึกษาสำหรับเด็กชาวเมียนมาในพื้นที่ชายแดน
    • การสนับสนุนหลักสูตรภาษาไทยให้แก่แรงงานข้ามชาติ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงานอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย
    • การขยายความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาไทยและเมียนมา เพื่อยกระดับการศึกษาของเยาวชนในพื้นที่

นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับอุปสรรคในการดำเนินงานที่ผ่านมา รวมถึงแนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ลงพื้นที่เยี่ยมชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ภายหลังการประชุมหารือ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และคณะ ได้เดินทางไปยัง อำเภอแม่สาย เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุขชายแดน ได้แก่

  • โรงพยาบาลแม่สาย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักในการให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนในพื้นที่ชายแดน และรับส่งต่อผู้ป่วยจากฝั่งเมียนมา
  • ด่านศุลกากรแม่สาย เพื่อตรวจสอบมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดต่อที่อาจแพร่ระบาดจากการเดินทางข้ามแดน
  • ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดต่อที่อาจแพร่ระบาดจากการเดินทางระหว่างประเทศ
  • ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 2 ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนสำคัญระหว่างไทยและเมียนมา ที่มีการเดินทางของแรงงานข้ามชาติและนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุขชายแดนไทย-เมียนมา

  • จำนวนผู้ป่วยชาวเมียนมาที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลไทย (ปี 2567) – มากกว่า 30,000 ราย
  • จำนวนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงราย – ประมาณ 50,000 คน
  • สัดส่วนโรคติดต่อที่พบมากในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา (ปี 2567)
    • วัณโรค 35%
    • ไข้มาลาเรีย 25%
    • โรคติดต่อทางเดินอาหาร 20%
    • โรคระบบทางเดินหายใจ 15%
  • งบประมาณที่ไทยให้การสนับสนุนด้านสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนเมียนมา (ปี 2567) – มากกว่า 200 ล้านบาท

ความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ

กลุ่มที่สนับสนุนความร่วมมือไทย-เมียนมา

  • บุคลากรทางการแพทย์ เห็นว่าการพัฒนาระบบสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนจะช่วยลดภาระของโรงพยาบาลในประเทศไทย และช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ
  • ภาคธุรกิจในพื้นที่ชายแดน มองว่าการปรับปรุงมาตรฐานสุขอนามัยจะช่วยส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ
  • องค์กรระหว่างประเทศและ NGOs สนับสนุนให้มีการบูรณาการข้อมูลด้านสุขภาพระหว่างไทยและเมียนมา เพื่อให้สามารถควบคุมโรคติดต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลุ่มที่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบของความร่วมมือ

  • ประชาชนในพื้นที่ กังวลว่าการเปิดรับแรงงานข้ามชาติและการให้บริการทางการแพทย์แก่ชาวเมียนมา อาจทำให้ทรัพยากรด้านสาธารณสุขของไทยตึงตัว
  • กลุ่มนักวิชาการด้านสาธารณสุข ระบุว่าจำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้ความช่วยเหลือสามารถดำเนินไปได้โดยไม่กระทบต่อบริการสาธารณสุขของคนไทย

บทสรุป

การหารือความร่วมมือด้านสาธารณสุขไทย-เมียนมาในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพในพื้นที่ชายแดน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง และลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยจำเป็นต้องหาสมดุลระหว่างการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับการรักษาทรัพยากรสาธารณสุขให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชีงราย รวมพลังดับไฟป่า MOU สร้างแนวป้องกัน

เชียงรายลงนาม MOU แก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เสริมความร่วมมือทุกภาคส่วน

เชียงราย, 11 กุมภาพันธ์ 2568 – องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในโครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมด้านการอนุรักษ์ ป้องกัน และแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน ณ องค์การบริหารส่วนตำบลแม่พริก อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย

พิธีลงนามครั้งนี้จัดขึ้นโดยมี นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ปฏิบัติหน้าที่ปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน พร้อมด้วย นางนภาภัณฑ์ ต่วนชะเอม เลขานุการองค์การบริหารส่วนจังหวัด และ นางสาวปราณปรียา โพธิเลิศ ผู้อำนวยการกองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย นอกจากนี้ยังมี พันจ่าเอก ทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และ นางวรินทร ยานะนวล หัวหน้าฝ่ายสงเคราะห์และฟื้นฟูผู้ประสบภัย ร่วมลงนาม

ในส่วนของพื้นที่อำเภอแม่สรวย นายศิวกร ใจบุญมี ปลัดอำเภอแม่สรวย ได้กล่าวต้อนรับและสนับสนุนการดำเนินงาน เพื่อแก้ไขปัญหาหมอกควันที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน

ผนึกกำลัง 9 หน่วยงาน ร่วมบูรณาการป้องกันไฟป่า

การลงนามครั้งนี้ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงานในพื้นที่อำเภอแม่สรวย ได้แก่

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • อำเภอแม่สรวย
  • อุทยานแห่งชาติดอยหลวง
  • เทศบาลตำบลเวียงสรวย
  • องค์การบริหารส่วนตำบลแม่พริก
  • องค์การบริหารส่วนตำบลเจดีย์หลวง
  • องค์การบริหารส่วนตำบลท่าก๊อ
  • กำนันตำบลแม่พริก
  • กำนันตำบลเจดีย์หลวง

ดำเนินโครงการ 8 จุดสำคัญ ป้องกันปัญหาหมอกควันระยะยาว

โครงการนี้จะดำเนินการในพื้นที่ 8 จุดสำคัญ ของอำเภอแม่สรวย โดยใช้ เครื่องจักรกลของ อบจ.เชียงราย และ อบต.แม่พริก ในการสร้างแนวกันไฟป่า และได้รับการสนับสนุนแรงงานจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมกันป้องกันการลุกลามของไฟป่าในฤดูแล้ง

โครงการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบจากหมอกควันที่เกิดจากไฟป่า ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพอากาศและสุขภาพของประชาชนในจังหวัดเชียงราย โดยมุ่งเน้นการป้องกันและควบคุมไฟป่าอย่างเป็นระบบ

เชียงรายเร่งแผนรับมือปัญหาหมอกควัน เดินหน้าต่อเนื่องในปี 2568

องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงรายได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของชุมชนในการป้องกันไฟป่าและหมอกควัน โดยจะมีการรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของไฟป่า และให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการป้องกันการเกิดไฟป่า โดยเฉพาะในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – เมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูง

อบจ.เชียงราย ยังมีแผนทำงานร่วมกับ หน่วยงานสิ่งแวดล้อมระดับชาติ เพื่อพัฒนาแนวทางการจัดการหมอกควันที่มีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งวางมาตรการระยะยาวเพื่อควบคุมการเกิดไฟป่าในอนาคต

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาไฟป่าและหมอกควันในเชียงราย

  1. ทำไมจังหวัดเชียงรายจึงเผชิญปัญหาหมอกควันทุกปี?

สาเหตุหลักมาจากไฟป่าที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูแล้ง และการเผาพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในภูมิภาค

  1. โครงการนี้ช่วยลดปัญหาหมอกควันได้อย่างไร?

การทำแนวกันไฟในพื้นที่เสี่ยงสูงจะช่วยป้องกันการลุกลามของไฟป่า และลดปริมาณหมอกควันที่เกิดจากการเผา

  1. ใครบ้างที่มีส่วนร่วมในโครงการนี้?

ทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันดำเนินโครงการเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบ

  1. แนวทางการป้องกันไฟป่าในระยะยาวของเชียงรายคืออะไร?

มีแผนพัฒนาเทคโนโลยีตรวจจับไฟป่า เพิ่มเจ้าหน้าที่ลาดตระเวน และรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชน

  1. ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมกับโครงการนี้ได้อย่างไร?

สามารถเข้าร่วมการอบรม และเป็นอาสาสมัครช่วยลาดตระเวนและป้องกันไฟป่าในพื้นที่ของตนเอง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

เชียงของเสริมท่องเที่ยวด้วยศิลปะ วัฒนธรรม MOU ม.ราชภัฏเชียงราย

พิธีลงนามความร่วมมือวิชาการ วิจัย และวัฒนธรรม เชียงของ มุ่งพัฒนาการท่องเที่ยวด้วยศิลปะการแสดง

เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ได้จัดกิจกรรม การนำเสนอผลงานวิจัยและพัฒนาความร่วมมือระหว่างพิพิธภัณฑ์กับท้องถิ่น” เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่ อำเภอเชียงของ ให้สอดคล้องกับการเป็นเมืองศิลปะของจังหวัดเชียงราย

ภายในงานมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านวิชาการ (MOU) ด้าน การวิจัยและวัฒนธรรมเพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่ โดยมี นายอุดม ปกป้องบวรกุล นายอำเภอเชียงของ และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปวีณา ลี้ตระกูล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ร่วมลงนาม พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สภาวัฒนธรรมอำเภอเชียงของ และประชาชนในพื้นที่ที่เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธี

พิธีลงนามและกิจกรรมวิชาการครั้งนี้จัดขึ้นที่ พิพิธภัณฑ์ภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเชียงของ อาคารองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (ท่าเรือบัค) บ้านหัวเวียง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย

การวิจัยเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวผ่านศิลปะวัฒนธรรม

หัวใจสำคัญของงานวิจัยครั้งนี้คือการใช้ ศิลปะการแสดงวัฒนธรรม มาสร้างสรรค์เป็นบทเพลงและผลงานจิตรกรรมร่วมสมัย เพื่อช่วย ส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของอำเภอเชียงของและจังหวัดเชียงราย โดยได้รับการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และการมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วนในพื้นที่

นอกจากนี้ยังเป็นการเชื่อมโยงงานวิจัยให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน โดยเฉพาะการส่งเสริมแหล่งเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมของเชียงของ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเด่นของเมืองศิลปะแห่งนี้

ผู้แทนหน่วยงานวัฒนธรรมร่วมกิจกรรม

ในงานนี้ได้รับเกียรติจาก นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย นายวรพล จันทร์คง และ นางสาวกนกวรรณ สุทธะ นักวิชาการวัฒนธรรมปฏิบัติการ จาก สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กลุ่มส่งเสริมศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม เข้าร่วมงาน โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของ การบูรณาการศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นกับงานวิจัย เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

MOU นี้จะช่วยพัฒนาเชียงของอย่างไร?

  1. พัฒนาเชียงของให้เป็นเมืองศิลปะและวัฒนธรรม – ขับเคลื่อนแหล่งท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ท้องถิ่น
  2. สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและชุมชน – สนับสนุนการวิจัยที่ตอบโจทย์พื้นที่
  3. ส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ – ใช้ศิลปะ วัฒนธรรม และงานวิจัยในการกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว

เชียงของ เมืองศิลปะที่ต้องจับตา

อำเภอเชียงของเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปะและวัฒนธรรม เนื่องจากมีประวัติศาสตร์ยาวนาน วิถีชีวิตดั้งเดิม และอยู่ติดแม่น้ำโขง โครงการความร่วมมือนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับเชียงของให้เป็น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม ของจังหวัดเชียงรายและภาคเหนือ

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนต่างให้คำมั่นว่า จะเดินหน้าพัฒนาความร่วมมือเชิงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เชียงของกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืนในอนาคต

FAQ: คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการพัฒนาเชียงของผ่านศิลปะและวัฒนธรรม

  1. โครงการนี้มีเป้าหมายหลักคืออะไร?
    โครงการเน้น วิจัยและพัฒนาความร่วมมือด้านวัฒนธรรม เพื่อใช้ศิลปะและการแสดงวัฒนธรรมมาสร้างสรรค์และยกระดับเชียงของให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศิลปะ
  2. การลงนาม MOU นี้มีผลกระทบต่อชุมชนอย่างไร?
    ช่วยสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กระตุ้นการท่องเที่ยว และสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน
  3. พิพิธภัณฑ์ภาพเก่าเล่าเรื่องเมืองเชียงของ คืออะไร?
    เป็นสถานที่จัดแสดงภาพถ่ายเก่าแก่เกี่ยวกับเชียงของและแม่น้ำโขง โดยสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของคนในพื้นที่
  4. การใช้ศิลปะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวได้อย่างไร?
    ศิลปะและการแสดงทางวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจ วัฒนธรรมท้องถิ่น และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน
  5. อำเภอเชียงของมีอะไรน่าสนใจบ้าง?
    เชียงของเป็นเมืองริมโขงที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ วัดเก่าแก่ พิพิธภัณฑ์ วิถีชีวิตชุมชน และศิลปะร่วมสมัยที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานวัฒนธรรมเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE