Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

มิจฉาชีพอ้างตำรวจเชียงราย หลอกขอข้อมูลเหยื่อคอลเซ็นเตอร์ซ้ำ

เชียงรายเตือนภัย! แก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นตำรวจ หลอกผู้เสียหายซ้ำ ตำรวจเร่งประชาสัมพันธ์ป้องกันตกเป็นเหยื่อ

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 –สถานีตำรวจภูธรเชียงของ จังหวัดเชียงราย ออกประกาศเตือนภัยเร่งด่วนแก่ประชาชน หลังได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้แผนใหม่แอบอ้างชื่อตำรวจในพื้นที่ติดต่อไปยังผู้เสียหายจากกรณีถูกหลอกโอนเงิน ก่อนหน้า เพื่อหวังตบตาให้เหยื่อหลงเชื่อและส่งข้อมูลส่วนตัว หรือเรียกร้องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ด้านตำรวจยืนยัน “ไม่ติดต่อขอข้อมูลส่วนตัว-เงินผ่านโทรศัพท์” แนะประชาชนอย่าหลงเชื่อ หรือโอนเงินเด็ดขาด

เปิดกลยุทธ์ใหม่ แก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างชื่อเจ้าหน้าที่-ใช้รูปโปรไฟล์ปลอม

จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเพจเฟซบุ๊กของ สภ.เชียงของ ได้เผยแพร่ประกาศเตือนภัย หลังได้รับแจ้งจากประชาชนหลายรายในพื้นที่ต่างจังหวัดว่ามีผู้โทรศัพท์ติดต่อโดยแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเชียงราย โดยเฉพาะ “ว่าที่ พ.ต.ต.บัญชา ศรีกันชัย สว.กก.สส.ภ.จว.เชียงราย” อ้างว่ากำลังดูแลคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์และต้องการข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เสียหาย อาศัยข้อมูลจริงบางส่วน เช่น ชื่อตำรวจ รูปโปรไฟล์ และภาพสถานีตำรวจ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

ว่าที่ พ.ต.ต.บัญชา ศรีกันชัย เปิดเผยว่า เพิ่งทราบว่ามีผู้อ้างชื่อและตำแหน่งของตน ติดต่อไปยังผู้เสียหายในหลายจังหวัด เช่น ลำพูน สุรินทร์ และชลบุรี โดยระบุว่าตนเป็นพนักงานสอบสวน สภ.เชียงของ อ้างว่าสามารถช่วยติดตามเงินหรือประสานงานจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ พร้อมทั้งสอบถามข้อมูลส่วนตัวของผู้เสียหายและรายละเอียดคดี แต่ยังไม่ได้ขอให้โอนเงินในทันที อย่างไรก็ดี ผู้เสียหายบางรายเกิดความสงสัย จึงติดต่อสอบถามกลับไปที่ สภ.เชียงของ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเรื่องและรีบประกาศเตือนผ่านทุกช่องทาง

ตำรวจขอความร่วมมือประชาชน “อย่าหลงเชื่อ–อย่าโอนเงิน–แจ้งสถานีใกล้บ้าน”

ด้าน พ.ต.อ.เกรียงศักดิ์ ตงศิริ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเชียงของ สั่งการให้ทุกฝ่ายเร่งประชาสัมพันธ์ข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์และช่องทางต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อเพิ่มเติม พร้อมระบุว่า ตำรวจจะไม่มีการโทรศัพท์ไปขอข้อมูลส่วนตัว เอกสาร หรือเงินจากประชาชนในลักษณะนี้โดยเด็ดขาด หากได้รับการติดต่อควรแจ้งหรือสอบถามกับสถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุดทันที

ว่าที่ พ.ต.ต.บัญชา ศรีกันชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีข้อมูลว่าคนร้ายได้โทรศัพท์ไปหาผู้เสียหายอย่างน้อย 5-6 รายทั่วประเทศ โดยใช้รูปโปรไฟล์และข้อมูลตำแหน่งที่อาจค้นหาจากสื่อหรืออินเทอร์เน็ตมาแอบอ้าง หากประชาชนได้รับการติดต่อให้สงสัยไว้ก่อนเสมอ และอย่ารีบให้ข้อมูลหรือโอนเงินไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น

มิจฉาชีพดัดแปลงข้อมูล–ล่อลวงซ้ำซ้อน หวั่นขยายขบวนการ

ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ระบุว่า แก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการพัฒนาแผนการล่อลวงตลอดเวลา จากเดิมที่หลอกโอนเงินตรง ๆ ปัจจุบันกลับมุ่งเน้นใช้ข้อมูลของเหยื่อที่เคยแจ้งความมาแล้วมาเป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะการอ้างว่าช่วยเหลือหรือดำเนินการกับคดีเก่าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น แอบอ้างว่าได้จับกุมคนร้ายได้แล้ว ต้องการสอบถามข้อมูลหรือเรียกเก็บค่าดำเนินการเพิ่มเติม ทั้งยังใช้รูปโปรไฟล์เจ้าหน้าที่ตำรวจและสถานที่ราชการเพื่อหลอกลวง

ที่สำคัญ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตือนประชาชนที่เปิดบัญชีรับโอนเงิน (บัญชีม้า) ให้กับขบวนการเหล่านี้ว่า ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมาย มีโทษรุนแรงและจะถูกดำเนินคดีเป็นกลุ่มแรก ก่อนขยายผลไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรายอื่น ๆ ต่อไป

ผลกระทบ–ข้อเสนอแนะและแนวทางป้องกัน

สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้เทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสารมาแสวงหาผลประโยชน์บนความเดือดร้อนของประชาชน ทางตำรวจแนะนำให้ผู้เสียหายหรือประชาชนทั่วไปที่ได้รับการติดต่อแปลก ๆ ในลักษณะนี้ ควรตรวจสอบกับสถานีตำรวจในพื้นที่ หรือสายด่วน 191 และหลีกเลี่ยงการตอบกลับหรือส่งข้อมูลส่วนตัวในทันที

ภาครัฐควรเร่งรัดพัฒนากลไกการสื่อสาร แจ้งเตือนภัยอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงรณรงค์ผ่านทุกช่องทางให้ประชาชนตระหนักถึงรูปแบบใหม่ ๆ ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อป้องกันการตกเป็นเหยื่อซ้ำซ้อน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

อังกฤษพิจารณาจำกัดเวลาโซเชียลเด็ก หวังลดภัยออนไลน์

อังกฤษจ่อบังคับใช้กฎหมายจำกัดเวลาเล่นโซเชียลมีเดียของเด็ก หลังเกิดกรณีสูญเสียจากเนื้อหาทำร้ายจิตใจออนไลน์

ลอนดอน – 8 มิถุนายน 2568 รัฐบาลสหราชอาณาจักรกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางการออกกฎหมายที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการใช้งานโซเชียลมีเดียในกลุ่มเด็กและเยาวชน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดผลกระทบด้านสุขภาพจิตและความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทอย่างสูงต่อพฤติกรรมและการพัฒนาทางอารมณ์ของเด็ก

ตามรายงานของ BBC เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2568 ระบุว่า แนวนโยบายล่าสุดซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำร่างข้อเสนอ อาจรวมถึงการกำหนดขีดจำกัดเวลาใช้งานแอปโซเชียลมีเดียไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อวันต่อแอป และห้ามใช้งานหลังเวลา 22:00 น. ซึ่งถูกเสนอครั้งแรกโดยหนังสือพิมพ์ Sunday People และ The Mirror โดยรัฐบาลอังกฤษมองว่าโซเชียลมีเดียมีลักษณะ “เสพติด” และอาจก่อผลร้ายได้หากไม่มีการควบคุมอย่างเป็นระบบ

รัฐมนตรีเทคโนโลยีอังกฤษย้ำถึงความจำเป็นในการควบคุม “แอปเสพติด”

นายปีเตอร์ ไคล์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยี ให้สัมภาษณ์ในรายการ Sunday with Laura Kuenssberg ของ BBC ว่ารัฐบาลอังกฤษกำลังตรวจสอบ “ธรรมชาติของความเสพติดจากแอปและสมาร์ตโฟน” พร้อมยืนยันว่ากำลังพิจารณาอย่างรอบคอบว่ารัฐบาลควรมีบทบาทอย่างไรในการวางแนวทางสุขภาวะออนไลน์ที่ดีสำหรับเด็ก

แม้แนวนโยบายดังกล่าวจะสะท้อนความพยายามของรัฐบาลในการยกระดับมาตรการคุ้มครองเยาวชน แต่กลับได้รับเสียงวิพากษ์จากกลุ่มผู้รณรงค์ด้านความปลอดภัยออนไลน์ที่มองว่าการดำเนินการยังล่าช้าเกินไป

พ่อเด็กหญิงวัย 14 ผู้เสียชีวิตจากเนื้อหาออนไลน์เรียกร้อง “กฎหมายที่แข็งแรงกว่านี้”

เอียน รัสเซล พ่อของ “มอลลี รัสเซล” เด็กหญิงวัย 14 ปีซึ่งเสียชีวิตหลังรับชมเนื้อหาที่เป็นอันตรายบนโซเชียลมีเดีย กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ทุกวันที่รัฐบาลชะลอการออกกฎหมายด้านความปลอดภัยทางออนไลน์ คือวันที่เราเห็นเด็กเสียชีวิตและบอบช้ำทางจิตใจเพิ่มขึ้น” โดยเขาเน้นว่า มาตรการครึ่ง ๆ กลาง ๆ ไม่เพียงพอในการจัดการกับผลิตภัณฑ์หรือโมเดลธุรกิจของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับ “การมีส่วนร่วมมากกว่าความปลอดภัย”

นายรัสเซลเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนกฎหมาย Online Safety Act ฉบับก่อนหน้า และระบุว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมี “กฎหมายที่เข้มแข็งและบังคับใช้ได้จริง” พร้อมเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับ “คลื่นอันตราย” ทางออนไลน์ที่ถาโถมเข้าใส่เด็กทั่วประเทศ

รัฐบาลตอบโต้ กฎหมายเดิมยังไม่ประกาศใช้เต็มรูปแบบ

ในขณะเดียวกัน นายไคล์ยอมรับว่าตนยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดของแผนใหม่ได้มากนัก เนื่องจากกฎหมาย Online Safety Act 2023 ที่ออกโดยรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เริ่มบังคับใช้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบังคับให้แพลตฟอร์มจัดแสดงเนื้อหาที่เหมาะสมกับอายุ และการลบเนื้อหาผิดกฎหมาย

เขาย้ำว่า “ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป แพลตฟอร์มจะต้องจัดหาเนื้อหาที่เหมาะสมกับเด็ก หากไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษทางอาญา” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญของการบังคับใช้ที่ครอบคลุมทั้งผู้ให้บริการและเนื้อหาที่เผยแพร่

เมื่อเสรีภาพทางดิจิทัลต้องสมดุลกับความปลอดภัยของเยาวชน

ในโลกดิจิทัลที่การเชื่อมต่อและการเข้าถึงข้อมูลเกิดขึ้นอย่างไร้ขอบเขต เสรีภาพทางออนไลน์คือหนึ่งในหลักการพื้นฐานของยุคปัจจุบัน ทว่ากรณีของมอลลี รัสเซล และเด็กอีกหลายพันคนที่ได้รับผลกระทบจากเนื้อหาออนไลน์อันตราย กลับชี้ให้เห็นว่าการปล่อยให้บริษัทเทคโนโลยีดำเนินการโดยไม่มีกรอบควบคุมคือความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของสังคมในอนาคต

มาตรการที่กำลังพิจารณาโดยรัฐบาลอังกฤษ แม้ยังไม่สมบูรณ์ แต่ก็สะท้อนถึงทิศทางที่ชัดเจนว่ารัฐจะไม่เพิกเฉยต่อความทุกข์ของครอบครัวและเด็กที่ถูกปล่อยให้อยู่เพียงลำพังท่ามกลางความซับซ้อนของโลกออนไลน์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

กระทรวงดีอีเผยภัยออนไลน์ สร้างความเสียหาย 1.9 หมื่นล้านบาท

กระทรวงดีอีเผย มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงออนไลน์ พุ่งสูงถึง 1.9 หมื่นล้านบาทใน 1 ปี

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยข้อมูลที่น่าตกใจ เกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ที่เกิดขึ้นตลอดช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีฯ เป็นประธานในการแถลงข่าว ณ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) โดยเปิดเผยว่า มูลค่าความเสียหายจากการหลอกลวงทางออนไลน์สูงถึง 19,000 ล้านบาท ในช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2566 ถึงเดือนตุลาคม 2567

ยอดการแจ้งเหตุพุ่งสูง การหลอกลวงออนไลน์หลากหลายรูปแบบ

จากสถิติของศูนย์ AOC ในระยะเวลา 1 ปี มีผู้โทรเข้าสายด่วน 1441 จำนวน 1,176,512 สาย และมีการระงับบัญชีที่ต้องสงสัยรวม 348,006 เคส โดยกลุ่มอายุที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กลุ่มวัยทำงานอายุ 20-49 ปี มีจำนวนสูงถึง 145,302 เคส คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 8,223 ล้านบาท โดยผู้หญิงตกเป็นเหยื่อมากที่สุดถึง 64.05% โดยส่วนใหญ่ถูกหลอกในรูปแบบการโอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษและการลงทุนออนไลน์

ช่องทางยอดนิยมที่มิจฉาชีพใช้หลอกลวงประชาชน

  • Facebook พบเคสการหลอกลวงถึง 26,804 เคส คิดเป็นมูลค่าความเสียหาย 718 ล้านบาท
  • Call Center มีจำนวน 22,299 เคส มูลค่าความเสียหาย 945 ล้านบาท
  • เว็บไซต์ต่างๆ ถูกใช้เป็นช่องทางหลอกลวงถึง 16,510 เคส คิดเป็นมูลค่า 1,148 ล้านบาท
  • TikTok มีการหลอกลวง 994 เคส มูลค่า 65 ล้านบาท
  • ช่องทางอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 20,518 เคส มูลค่าความเสียหาย 1,262 ล้านบาท

กลุ่มจังหวัดที่มีการแจ้งเหตุสูงสุด

  1. กรุงเทพมหานคร มีการแจ้งเหตุ 84,241 ครั้ง และระงับบัญชีได้ 48,558 บัญชี
  2. สมุทรปราการ มีการแจ้งเหตุ 17,853 ครั้ง และระงับบัญชีได้ 10,968 บัญชี
  3. นนทบุรี, ชลบุรี และปทุมธานี ตามลำดับ

กระทรวงดีอี เร่งดำเนินมาตรการป้องกันอาชญากรรมออนไลน์อย่างต่อเนื่อง

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ย้ำว่า กระทรวงดีอีมุ่งมั่นในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม โดยการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนในสังคม พร้อมเร่งรัดมาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อยับยั้งแก๊งมิจฉาชีพและลดผลกระทบที่เกิดขึ้น

ข้อแนะนำเพื่อป้องกันภัยออนไลน์

กระทรวงดีอีแนะนำประชาชนให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลส่วนตัวแก่บุคคลที่ไม่รู้จัก หลีกเลี่ยงการโอนเงินให้กับแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ รวมถึงการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์และแอปพลิเคชันก่อนทำธุรกรรมทางการเงิน ทั้งนี้ หากพบว่ามีการหลอกลวงหรือการกระทำที่น่าสงสัย สามารถแจ้งเหตุได้ที่สายด่วน 1441 หรือผ่านช่องทางออนไลน์ของศูนย์ AOC

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

กระทรวงอุตฯ ร่วม TikTok ยกระดับความปลอดภัยออนไลน์

กระทรวงอุตสาหกรรมจับมือ TikTok ร่วมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยผู้บริโภคในโลกดิจิทัล

เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2567 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงอุตสาหกรรม ได้หารือร่วมกับผู้บริหารจากบริษัท ติ๊กต๊อก เทคโนโลยีส์ จำกัด ณ สำนักงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กรุงเทพฯ โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับความร่วมมือในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ตลอดจนเพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยบนแพลตฟอร์ม TikTok

การส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลผ่าน TikTok Shop

ในการพบปะครั้งนี้ TikTok ได้นำเสนอถึงศักยภาพของแพลตฟอร์มที่สามารถสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยและ SME ผ่าน TikTok Shop ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว แพลตฟอร์มนี้ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ได้อย่างกว้างขวางและสะดวกยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าถึงลูกค้าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ที่มีกลุ่มผู้ใช้เป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเพิ่มขีดความสามารถทางการตลาดและขยายธุรกิจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ TikTok ยังมีแผนการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทักษะด้านการตลาดดิจิทัลและการสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่มีความน่าสนใจแก่ผู้ประกอบการ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถและทำให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

ความร่วมมือเพื่อยกระดับความปลอดภัยให้ผู้บริโภค

นอกจากการสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลแล้ว ความปลอดภัยของผู้บริโภคยังเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ได้รับการหารือ ในยุคที่การช้อปปิ้งออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การควบคุมคุณภาพสินค้าที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดย TikTok ได้แสดงความรับผิดชอบในการปกป้องผู้บริโภคและให้ความสำคัญกับการควบคุมสินค้าที่จำหน่ายในแพลตฟอร์มของตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงของการจำหน่ายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน

กระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ร่วมมือกับ TikTok เพื่อพัฒนาระบบคัดกรองสินค้าที่เข้มงวดมากขึ้น โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเพื่อให้สามารถตรวจสอบและควบคุมคุณภาพสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การดำเนินการนี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่ผู้บริโภคจะได้รับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรืออาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้งาน

การป้องกันการแพร่กระจายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์

นายเอกนัฏ กล่าวว่า “การแพร่กระจายของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานบนแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นเรื่องที่น่ากังวล เนื่องจากส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยของประชาชน กระทรวงอุตสาหกรรมมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีประสิทธิภาพสูงสุด” นอกจากนี้ยังได้แสดงความขอบคุณต่อ TikTok ที่ให้ความสำคัญกับปัญหานี้และพร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐในการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยบนแพลตฟอร์ม

TikTok เองก็ได้ยืนยันถึงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยระบุว่าการร่วมมือกับภาครัฐเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และให้ความมั่นใจว่าการใช้ TikTok Shop จะได้รับการป้องกันและการควบคุมคุณภาพสินค้าที่ดีเยี่ยม ทั้งนี้ TikTok ยังมีแผนจัดทำแนวทางสำหรับผู้ค้าในแพลตฟอร์ม เพื่อสร้างความเข้าใจในการปฏิบัติตามมาตรฐานและการคุ้มครองผู้บริโภค

นโยบาย “Save อุตสาหกรรมไทย” และการสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัย

การประชุมครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “Save อุตสาหกรรมไทย” ของกระทรวงอุตสาหกรรมที่เน้นการสร้างมาตรการเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและยกระดับคุณภาพสินค้าที่จำหน่ายในตลาดออนไลน์ นโยบายนี้มีเป้าหมายในการปกป้องผู้บริโภคจากสินค้าที่อาจก่อให้เกิดอันตราย และเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทยในการเข้าถึงตลาดดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูง

การประชุมในครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจของทั้งภาครัฐและเอกชนในการร่วมมือกันเพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าให้มีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือมากขึ้น การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและ TikTok นับเป็นก้าวสำคัญที่จะแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมุ่งมั่นที่จะสร้างสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ เพื่อให้ประชาชนสามารถมั่นใจในคุณภาพสินค้าที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงอุตสาหกรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News