Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

‘เชียงราย’ ต้องปรับจุดไหนถ้ารัฐบาลดัน “Amazing Thailand Year 2025”

ครม. เห็นชอบแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เชียงรายพร้อมหรือยัง ถ้าต้องเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ

เชียงราย, 6 พฤษภาคม 2568 – คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางความร่วมมือในการจัดแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 39 ล้านคน และสร้างรายได้ถึง 3.4 ล้านล้านบาท จังหวัดเชียงรายได้รับการกำหนดให้เป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวหลักของแคมเปญนี้ ด้วยศักยภาพด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการค้าชายแดน

ความท้าทายของการท่องเที่ยวไทยและโอกาสของเชียงราย

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทย โดยในปี 2566 การท่องเที่ยวสร้างรายได้กว่า 2.5 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น อุทกภัยในปี 2567 ที่สร้างความเสียหายแก่โครงสร้างพื้นฐานในหลายจังหวัด รวมถึงเชียงราย ได้สร้างความท้าทายต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ความเสียหายจากน้ำท่วมและดินสไลด์ในเชียงรายทำให้ถนนและสะพานหลายแห่งไม่สามารถใช้งานได้ ส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวและการค้าชายแดนที่ด่านแม่สาย

ถึงกระนั้น ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายและโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพัฒนา รัฐบาลจึงริเริ่มแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เพื่อยกระดับการท่องเที่ยวให้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเน้นเมืองรองที่มีศักยภาพสูง เช่น เชียงราย ซึ่งมีทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เช่น ดอยตุงและสามเหลี่ยมทองคำ และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม เช่น วัดร่องขุ่นและพิพิธภัณฑ์บ้านดำ

รายละเอียดแคมเปญและการบูรณาการ

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 ณ โถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมครม. ว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางความร่วมมือจัดแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ (ท.ท.ช.) โดยมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนดำเนินการตามแนวทางที่กำหนด เพื่อให้การท่องเที่ยวเป็นกลไกสำคัญในการเพิ่มรายได้และพยุงเศรษฐกิจท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก

โฆษกกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า แคมเปญนี้มุ่งเน้นการบูรณาการพันธมิตรทุกภาคส่วนเพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวและเผยแพร่ภาพลักษณ์ของประเทศไทยสู่ระดับสากล โดยแบ่งแนวทางการดำเนินงานออกเป็น 11 ด้าน

แล้วจังหวัดเชียงรายสามารถทำอะไรได้บ้างใน 11 ข้อของแคมเปญ

  1. ด้านสายการบิน สนับสนุนสายการบินในประเทศด้วยการลดค่าธรรมเนียม เพิ่มเที่ยวบินในช่วงเทศกาล และขยายเส้นทางสู่เมืองรอง เช่น เชียงราย เพื่อลดความแออัดในเมืองหลัก เชียงรายสามารถผลักดันให้สายการบินเพิ่มเที่ยวบินสู่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล เช่น งานลอยกระทงหรือปีใหม่ และพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลผ่าน API เพื่อให้ข้อมูลเที่ยวบินเข้าถึงนักท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้นร่วมมือกับสายการบิน low-cost เพื่อจัดโปรโมชั่นตั๋วราคาพิเศษสำหรับเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงราย
  2. ด้านโรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และบริษัททัวร์ยกระดับมาตรฐานโรงแรมและโฮมสเตย์ ร่วมมือกับแพลตฟอร์มท่องเที่ยวออนไลน์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงที่พักรายย่อย ส่งเสริมโฮมสเตย์ในชุมชนท้องถิ่น เช่น ชุมชนชาวเขาดอยช้าง ให้ได้มาตรฐานโฮมสเตย์ไทย และร่วมมือกับแพลตฟอร์ม OTA เพื่อโปรโมทที่พักรายย่อยจัดแพ็คเกจท่องเที่ยวที่รวมโฮมสเตย์และร้านอาหารพื้นเมืองในอำเภอแม่สาย
  3. ด้านห้างสรรพสินค้าและร้านค้า มอบส่วนลดและสิทธิพิเศษแก่นักท่องเที่ยว พร้อมพัฒนาระบบคืนภาษีอัตโนมัติ ร้านค้าท้องถิ่นในเชียงราย เช่น ตลาดไนท์บาซาร์ สามารถมอบส่วนลดและของที่ระลึก เช่น ผ้าทอมือล้านนา แก่นักท่องเที่ยว และติดตั้งเครื่องคืนภาษีอัตโนมัติในห้างสรรพสินค้า เช่น เซ็นทรัลเชียงรายจัดแคมเปญ “Chiang Rai Shopping Festival” ที่มอบส่วนลด 10-20% สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
  4. ด้าน OTAs (Online Travel Agency) จัดโปรโมชั่นแพ็คเกจท่องเที่ยวครอบคลุมเมืองรอง และส่งเสริมการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ ร่วมมือกับ OTA เช่น Agoda หรือ Booking.com เพื่อจัดแพ็คเกจท่องเที่ยวที่ครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวในเชียงราย เช่น สามเหลี่ยมทองคำและวัดร่องขุ่น พร้อมโปรโมชั่นส่วนลด สร้างแพ็คเกจ “Chiang Rai Cultural Journey” ที่รวมที่พัก ทัวร์วัด และอาหารพื้นเมือง
  5. ด้านระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ พัฒนาการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยว และจัดทำบัตร Amazing Pass สำหรับการเดินทางในกรุงเทพฯ พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถโดยสารท้องถิ่นหรือรถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า เพื่อเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงจัดทำบัตร “Chiang Rai Travel Pass” สำหรับการเดินทางไม่จำกัดใน 1 วัน
  6. ด้านความปลอดภัย: จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวครอบคลุม 77 จังหวัด และพัฒนาบริการ call center 1155 ให้เป็น one-stop service จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (TAC) ในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น อำเภอแม่สาย และฝึกอบรมอาสาสมัครท่องเที่ยวให้เป็นเจ้าบ้านที่ดีเปิดศูนย์ TAC ที่สามเหลี่ยมทองคำ พร้อมล่ามภาษาจีนและอังกฤษ
  7. ด้านการตรวจลงตรา (Visa) ขยายระยะเวลาการยกเว้นวีซ่าและพัฒนาระบบยื่นขอวีซ่าออนไลน์ สนับสนุนนโยบายยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจากประเทศเป้าหมาย เช่น จีนและอินเดีย และพัฒนาระบบยื่นวีซ่าออนไลน์สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาด่านแม่สายจัดตั้งจุดให้ข้อมูลวีซ่าที่ด่านศุลกากรแม่สาย
  8. ด้าน Event จัดงานเทศกาลระดับสากล เช่น มหาสงกรานต์ และส่งเสริมการลงทุนในงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ จัดงานเทศกาลระดับนานาชาติ เช่น “Chiang Rai International Balloon Festival” หรือ “Chiang Rai Marathon” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนจัดงานลอยโคมที่ถนนคนเดินเชียงราย พร้อมการแสดงวัฒนธรรมล้านนา
  9. ด้านแหล่งท่องเที่ยว ขยายเวลาเปิดแหล่งท่องเที่ยว เช่น อุทยานแห่งชาติ และจัดกิจกรรม Night at The Museum ขยายเวลาเปิดแหล่งท่องเที่ยว เช่น อุทยานแห่งชาติผาแต้ม และจัดกิจกรรม Night at The Museum ที่วัดร่องขุ่นหรือพิพิธภัณฑ์บ้านดำจัดงาน “Night at Wat Rong Khun” พร้อมการแสดงแสงสีและทัวร์ยามค่ำคืน
  10. ด้านประชาสัมพันธ์ ใช้สื่อเพื่อประชาสัมพันธ์กิจกรรมท่องเที่ยว ใช้สื่อดิจิทัล เช่น TikTok และ Instagram เพื่อโปรโมทแหล่งท่องเที่ยวในเชียงราย และร่วมมือกับ influencer ท่องเที่ยวในการสร้างคอนเทนต์จัดแคมเปญ #ChiangRaiVibes เพื่อเชิญชวนให้แชร์ภาพถ่ายแหล่งท่องเที่ยว
  11. ด้านอื่น ๆ พัฒนาบุคลากรด้านการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์ที่พูดภาษาต่างประเทศ และจัดหา Tourism SIM สำหรับนักท่องเที่ยว ฝึกอบรมมัคคุเทศก์ให้พูดภาษาจีนและอังกฤษ และร่วมมือกับค่ายโทรศัพท์เพื่อจัดหา Tourism SIM สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเชียงรายจัดอบรมมัคคุเทศก์ท้องถิ่นในอำเภอเชียงแสนให้พูดภาษาจีนสำหรับนักท่องเที่ยวจากจีน

แคมเปญนี้คาดว่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยว 39 ล้านคน และสร้างรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ การกีฬา และภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับสากล

การฟื้นฟูและเตรียมความพร้อมของเชียงราย

จังหวัดเชียงรายเผชิญกับความท้าทายจากอุทกภัยในปี 2567 ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ถนนและสะพานในหลายพื้นที่ เช่น อำเภอแม่สายและอำเภอเชียงแสน ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและการค้าชายแดน อย่างไรก็ตาม การอนุมัติงบประมาณ 2,049.69 ล้านบาทในปี 2568 เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานใน 17 จังหวัด รวมถึงเชียงราย ได้ช่วยแก้ไขปัญหานี้ โดยเน้นการซ่อมแซมเส้นทางสำคัญ เช่น ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 และทางหลวงชนบท

เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เชียงรายได้ดำเนินการหลายอย่าง ดังนี้:

  1. การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน ซ่อมแซมถนนและสะพานที่เสียหาย เพื่อให้การสัญจรในพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น สามเหลี่ยมทองคำและดอยตุง เป็นไปอย่างราบรื่น
  2. การพัฒนาการเข้าถึง เพิ่มเที่ยวบินสู่ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง และพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะภายในจังหวัด
  3. การประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว ใช้สื่อดิจิทัลเพื่อโปรโมทวัดร่องขุ่น สามเหลี่ยมทองคำ และงานเทศกาลท้องถิ่น เช่น ประเพณีลอยกระทง
  4. การพัฒนาบุคลากร ฝึกอบรมมัคคุเทศก์และอาสาสมัครท่องเที่ยวให้สามารถสื่อสารภาษาต่างประเทศ เช่น จีนและอังกฤษ

ความท้าทายและโอกาสของเชียงราย

  • โอกาสของเชียงราย
  1. การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวภาคเหนือ: เชียงรายสามารถเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้เคียง เช่น เชียงใหม่และพะเยา เพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวภาคเหนือ
  2. การค้าชายแดน การฟื้นฟูถนนที่ด่านแม่สายจะช่วยกระตุ้นการค้าขายและการท่องเที่ยวข้ามพรมแดน
  3. การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและกีฬา การจัดงานเทศกาลและการแข่งขันกีฬาจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวที่สนใจวัฒนธรรมและกีฬา
  4. โครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน การลงทุนในถนนและระบบระบายน้ำจะช่วยลดความเสียหายจากภัยพิบัติในอนาคต
  • ความท้าทายของเชียงราย
  1. โครงสร้างพื้นฐานที่ล่าช้า การก่อสร้างในพื้นที่ภูเขาอาจล่าช้า ส่งผลต่อการเตรียมความพร้อม
  2. การแข่งขันกับเมืองอื่น เชียงรายต้องแข่งขันกับเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ และภูเก็ต ซึ่งมีทรัพยากรมากกว่า
  3. ภัยพิบัติทางธรรมชาติ น้ำท่วมและดินสไลด์ในช่วงฤดูฝนอาจกระทบการท่องเที่ยว
  4. บุคลากรที่ขาดแคลน การขาดมัคคุเทศก์ที่พูดภาษาต่างประเทศอาจจำกัดการให้บริการ

ตำแหน่งของเชียงราย

เชียงรายมีศักยภาพเป็น เมืองรองที่มีการเติบโตสูง ในแคมเปญนี้ โดยเน้นการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ธรรมชาติ และกีฬา ด้วยจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร เช่น สามเหลี่ยมทองคำและวัดร่องขุ่น เชียงรายสามารถสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างจากเมืองหลักได้

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวในเชียงราย: ในปี 2566 มีนักท่องเที่ยว 3.2 ล้านคน สร้างรายได้ 20,000 ล้านบาท (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2566)
  2. ผลกระทบจากอุทกภัย: อุทกภัยในปี 2567 ทำให้ถนนในเชียงรายเสียหาย 10 แห่ง ส่งผลให้การท่องเที่ยวลดลง 20% ในบางช่วง (ที่มา: กรมทางหลวง, 2567)
  3. เป้าหมายของแคมเปญ: ดึงดูดนักท่องเที่ยว 39 ล้านคน สร้างรายได้ 3.4 ล้านล้านบาท (ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, 2568)
  4. การเติบโตของเมืองรอง: เมืองรองมีอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยว 15% ในปี 2566 (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2566)

สรุป

แคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025” เป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับการท่องเที่ยวไทย โดยเชียงรายสามารถใช้ศักยภาพด้านวัฒนธรรม ธรรมชาติ และการค้าชายแดน เพื่อเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ การนำแนวทางทั้ง 11 ข้อไปปรับใช้จะช่วยให้เชียงรายฟื้นตัวจากอุทกภัยและเติบโตอย่างยั่งยืนในฐานะเมืองรองที่มีเอกลักษณ์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. (2566). รายงานการท่องเที่ยวประจำปี.
  • กรมทางหลวง. (2567). รายงานสถานการณ์อุทกภัยและความเสียหายโครงข่ายถนน.
  • สำนักนายกรัฐมนตรี. (2568). มติคณะรัฐมนตรี, 6 พฤษภาคม 2568.
  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา. (2568). ข้อมูลแคมเปญ “Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Year 2025”.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ครม.ทุ่มงบหลักล้านบาท เตือนภัยดินถล่ม น้ำป่าเชียงราย

ครม.อนุมัติ 370 ล้านบาท เร่งติดตั้งระบบเตือนภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลาก

ประเทศไทย, 10 เมษายน 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินรวม 370,390,200 บาท เพื่อดำเนินโครงการจัดทำระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยแผ่นดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากทั่วประเทศ โดยมีเป้าหมายในการลดความสูญเสียจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มความถี่และความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเน้นพื้นที่เสี่ยงระดับสูงในภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทย

แนวโน้มธรณีพิบัติภัยในประเทศไทย

จากข้อมูลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ประเทศไทยเผชิญกับภัยดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน สถิติย้อนหลัง 5 ปี (2563-2567) พบว่า มีเหตุการณ์ดินถล่มเฉลี่ยปีละ 110–130 ครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตสะสมกว่า 270 ราย และบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก โดยพื้นที่เสี่ยงภัยส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตภูเขาและพื้นที่ลาดชันของภาคเหนือและภาคใต้

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและพายุในหลายพื้นที่ โดยในปี 2567 กรมอุตุนิยมวิทยารายงานว่า ประเทศไทยมีจำนวนวันที่ฝนตกมากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน สูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยถึง 27%

สาระสำคัญของโครงการระบบเตือนภัยดินถล่ม

โครงการนี้มีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในการเฝ้าระวังภัยพิบัติ โดยมีองค์ประกอบหลัก 3 ส่วน ดังนี้

  1. ติดตั้งระบบตรวจจับมวลดินเคลื่อนตัวและน้ำป่า 120 สถานี

วงเงิน 310,840,000 บาท สำหรับการติดตั้งเครื่องมือในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มระดับสูงและสูงมาก โดยเครื่องมือจะสามารถตรวจจับความชื้นในดิน การเคลื่อนตัวของชั้นดิน และสัญญาณการทรุดตัว เพื่อส่งสัญญาณเตือนไปยังศูนย์กลางเฝ้าระวัง

  1. พัฒนาระบบสารสนเทศดิจิทัลธรณีพิบัติภัย

วงเงิน 40,351,000 บาท เพื่อจัดทำระบบฐานข้อมูลและแผนที่เสี่ยงภัยในรูปแบบออนไลน์ ครอบคลุมข้อมูลพิกัด ระบบพยากรณ์ ภาพถ่ายดาวเทียม และผลวิเคราะห์ทางธรณีวิทยา เพื่อให้ประชาชน หน่วยงานท้องถิ่น และหน่วยงานภาครัฐเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใส

  1. สร้างเครือข่ายภาคีความร่วมมือในพื้นที่เสี่ยง

วงเงิน 19,199,200 บาท เพื่ออบรมและเสริมสร้างองค์ความรู้ให้แก่ผู้นำชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาสาสมัคร อสม. และภาคประชาชน ให้มีทักษะในการประเมินความเสี่ยง การอพยพ และการแจ้งเตือน

พื้นที่ดำเนินโครงการครอบคลุม 17 จังหวัดหลัก

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการ 17 จังหวัด ได้แก่

  • ภาคเหนือ: เชียงราย, เชียงใหม่, ตาก, แม่ฮ่องสอน, แพร่, น่าน, อุตรดิตถ์, เพชรบูรณ์
  • ภาคใต้: ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, สุราษฎร์ธานี, นครศรีธรรมราช, ระนอง, พังงา, กระบี่, ภูเก็ต

โดยการดำเนินการจะใช้ระยะเวลา 1 ปี เริ่มตั้งแต่เมษายน 2568 ถึงมีนาคม 2569 โดยคาดว่าหลังจากติดตั้งและทดสอบระบบเสร็จจะสามารถใช้งานได้จริงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2569

การเชื่อมโยงกับการบริหารจัดการความเสี่ยงในระดับประเทศ

นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพของประเทศในการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเน้นระบบแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบองค์รวม สนับสนุนการตัดสินใจของผู้ว่าราชการจังหวัด ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ (EOC) และหน่วยงานภาคสนาม ให้สามารถเตรียมความพร้อม อพยพ และช่วยเหลือประชาชนได้ทันท่วงที

วิเคราะห์ผลกระทบเชิงบวกที่คาดว่าจะเกิดขึ้น

  • ลดอัตราการเสียชีวิตจากดินถล่มในพื้นที่เป้าหมายลงไม่น้อยกว่า 60%
  • คาดว่าประชาชนกว่า 1.5 ล้านคนจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากระบบเตือนภัยนี้
  • เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 300 แห่งทั่วประเทศ
  • ลดค่าเสียหายทางเศรษฐกิจในพื้นที่เสี่ยงกว่า 800 ล้านบาทต่อปี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ครม.แบล็กลิสต์บริษัทก่อสร้าง เจ็บตาย ปรับ ลด ถอนทะเบียน

ครม.ไฟเขียวแก้กฎกระทรวง “แบล็กลิสต์-ปรับ-ถอน” ผู้รับเหมาประมาททำคนตาย

เชียงราย, 8 เมษายน 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการแก้ไขกฎกระทรวงสำคัญเพื่อควบคุมผู้ประกอบการงานก่อสร้างที่กระทำผิดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะกรณีประมาทเลินเล่อจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต โดยเป็นมาตรการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการก่อสร้าง และสร้างกลไกตรวจสอบการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

ยกระดับคุณภาพผู้ประกอบการก่อสร้างไทย

ตามรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ได้มีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวงที่เสนอโดยกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงว่าด้วยเกณฑ์การขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการงานก่อสร้างจากฉบับเดิม พ.ศ. 2560 ให้ทันต่อสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้นจริง

สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ คือการเพิ่มความเข้มงวดในการคัดกรอง ตรวจสอบ และควบคุมผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนกับภาครัฐ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน

เหตุผลของการแก้ไขกฎกระทรวง

สาเหตุหลักของการเสนอแก้ไขครั้งนี้ มาจากกรณีอุบัติเหตุในพื้นที่โครงการก่อสร้างที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากความประมาทในการทำงาน การใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐาน และการขาดความรับผิดชอบต่อสังคมในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน

หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องหลายแห่ง รวมถึงกรมบัญชีกลาง ได้รายงานว่ามีผู้ประกอบการบางรายที่มีพฤติกรรมเสี่ยงซ้ำซาก ไม่ปรับปรุงมาตรฐานการทำงาน และยังคงได้รับงานกับหน่วยงานรัฐอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากข้อกฎหมายเดิมไม่มีบทลงโทษที่เข้มงวดเพียงพอ

ประเด็นหลักในร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่

การปรับปรุงกฎกระทรวงครั้งนี้แบ่งออกเป็น 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

  1. การตรวจสอบคุณสมบัติผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียน

ผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนแล้วจะต้องได้รับการตรวจติดตามคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามอย่างต่อเนื่อง จากเดิมทุก 2 ปี เปลี่ยนเป็นทุก 3 ปี โดยมีกรมบัญชีกลางเป็นผู้รับผิดชอบหลัก

  1. การเพิกถอนและระงับสิทธิการขึ้นทะเบียน

กรณีที่ผู้ประกอบการถูกปรับลดระดับชั้นถึง 3 ครั้งภายใน 2 ปี เนื่องจากกระทำผิดซ้ำซาก หรือมีพฤติกรรมประมาทร้ายแรง เช่น ทำให้เกิดการเสียชีวิตจากการก่อสร้าง จะถูกเพิกถอนใบทะเบียนทันที และสามารถยื่นขอขึ้นทะเบียนใหม่ได้หลังจากครบกำหนด 2 ปี

ในกรณีที่มีการปลอมแปลงเอกสาร หรือกระทำการทุจริตในการยื่นขอขึ้นทะเบียนหรือเลื่อนชั้น จะถูกระงับสิทธิการขึ้นทะเบียนใหม่เป็นเวลา 10 ปี

  1. การปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียม

ค่าธรรมเนียมสำหรับการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการถูกปรับขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนการตรวจสอบที่แท้จริง เช่น ค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียนเริ่มต้นจาก 3,000 บาท และเพิ่มขั้นบันไดตามระดับชั้นไปจนถึง 9,000 บาท สำหรับชั้นพิเศษ นอกจากนี้ ยังมีค่าธรรมเนียมใหม่สำหรับการตรวจสอบเครื่องจักรและอุปกรณ์ในอัตรา 5,000 บาทต่อครั้ง

  1. การปรับลดระดับชั้นจากการกระทำผิด

กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจนมีผู้เสียชีวิตจากความประมาทของผู้ประกอบการ จะถูกปรับลดระดับชั้นลง 1 ชั้นเป็นเวลา 12 เดือน หากมีผู้บาดเจ็บสาหัส ระยะเวลาจะลดลงเหลือ 6 เดือน

นอกจากนี้ หากมีการทำงานล่าช้าจากที่กำหนด จะถูกปรับลดระดับชั้นลงเช่นกัน โดยมีระยะเวลาในการพักสถานะ 3 เดือน

เสียงสะท้อนจากภาคธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ

หลายฝ่ายในแวดวงอุตสาหกรรมก่อสร้างมองว่ามาตรการนี้เป็นสิ่งที่จำเป็น แม้จะเพิ่มต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ แต่ก็จะช่วยให้เกิดการแข่งขันด้วยมาตรฐานที่ดีขึ้น

นายกฤษฎา ทรงศักดิ์ ประธานสมาคมวิศวกรรมโครงสร้างไทย ให้ความเห็นว่า “การมีบทลงโทษที่ชัดเจนจะทำให้ผู้ประกอบการตื่นตัวมากขึ้น และเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาครัฐและประชาชนในระยะยาว”

ด้านผู้ประกอบการขนาดกลางรายหนึ่งในจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า “แม้ต้องเสียค่าธรรมเนียมมากขึ้น แต่หากแลกกับความเชื่อมั่นจากลูกค้าและการรับงานจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ก็ถือว่าคุ้มค่า”

วิเคราะห์ผลกระทบและแนวโน้มในอนาคต

การออกกฎกระทรวงฉบับนี้สะท้อนความพยายามของภาครัฐในการจัดระเบียบวงการก่อสร้างไทยให้มีมาตรฐานที่ปลอดภัย และมีธรรมาภิบาลมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อกังวลในเรื่องของการตรวจสอบที่อาจเพิ่มภาระงานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากไม่มีการเสริมกำลังบุคลากร อาจทำให้การบังคับใช้ล่าช้า และไม่ครอบคลุมตามเป้าหมาย

ในอนาคต ควรมีระบบรายงานผลการตรวจสอบต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความโปร่งใส และเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทในการตรวจสอบผู้ประกอบการที่มีพฤติกรรมเสี่ยง

สถิติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว

  • ข้อมูลจากกรมบัญชีกลาง ปี 2567 ระบุว่า มีผู้ประกอบการที่ถูกเพิกถอนทะเบียนทั้งหมด 148 ราย เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 26
  • ศูนย์ข้อมูลก่อสร้างแห่งชาติ (NCCIC) รายงานว่า ในปี 2566 มีอุบัติเหตุจากไซต์งานก่อสร้างรวม 412 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 61 ราย และบาดเจ็บสาหัส 118 ราย
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) พบว่ามีคำร้องเรียนเกี่ยวกับคุณภาพงานก่อสร้างในภาครัฐมากถึง 2,317 เรื่อง ในรอบปี 2566

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง
  • ศูนย์ข้อมูลก่อสร้างแห่งชาติ (National Construction Center Information – NCCIC)
  • สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
  • หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ, รายงานประจำวันที่ 8 เมษายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

ครม.ทุ่ม 22.2 ล้าน ให้ผู้ว่าฯ เชียงราย ขุดลอก “แม่น้ำกก” แก้ปัญหาน้ำท่วม

ครม. เห็นชอบแผนแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน แม่น้ำปิง-แม่น้ำกก วงเงิน 213 ล้านบาท

เตรียมรับมือฤดูฝน ขุดลอกแม่น้ำ ปรับปรุงร่องน้ำ รื้อถอนสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำ

กรุงเทพฯ, 11 มีนาคม 2568 – คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 เห็นชอบแผนการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานของแม่น้ำปิงและแม่น้ำกก ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ภายใต้วงเงินงบประมาณรวม 213 ล้านบาท (ค่างานโยธา 193.6 ล้านบาท และค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด 19.4 ล้านบาท) ตามข้อเสนอของกระทรวงคมนาคม (คค.) เพื่อเตรียมพร้อมรับมือฤดูฝนและป้องกันปัญหาน้ำท่วมในอนาคต

ที่มาของโครงการ

โครงการนี้เป็นผลมาจากการประชุมศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานที่ประชุม ที่ประชุมได้เห็นชอบแผนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและดินโคลนถล่มในภาคเหนือ โดยเน้นการขุดลอกลำน้ำและการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างที่ขวางการไหลของน้ำในลำน้ำปิงและแม่น้ำกก

รายละเอียดโครงการแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน

  1. แผนแก้ไขปัญหาแม่น้ำปิง
  • โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำแม่น้ำปิง ปริมาณดินขุดลอก 752 ล้านลูกบาศก์เมตร วงเงิน 157.6 ล้านบาท
  • โครงการรื้อถอนฝายเก่า 3 แห่ง ได้แก่ ฝายพญาคำ ฝายหนองผึ้ง และฝายท่าวังตาล วงเงิน 8 ล้านบาท
  1. แผนแก้ไขปัญหาแม่น้ำกก
  • โครงการขุดลอกและบำรุงรักษาร่องน้ำแม่น้ำกก ปริมาณดินขุดลอก 337,812.5 ลูกบาศก์เมตร วงเงิน 22.2 ล้านบาท
  • กรมเจ้าท่า สำรวจออกแบบ ประเมินปริมาณงาน
  • หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาดำเนินงานขุดลอก กม.85+000 – 88+500 ปริมาณ 189,108 ลูกบาศก์เมตร วงเงิน 12.1 ล้านบาท
  • กรมชลประทาน กม.72+000 – 72+950 บริเวณสถานีสูบน้ำบ้านฟาร์ม  ปริมาณ 148,704.5 ลูกบาศก์เมตร วงเงิน 10.1 ล้านบาท
  • ค่าเผื่อเหลือเผื่อขาด วงเงิน 2.2 ล้านบาท

 

แนวทางการดำเนินงาน

เพื่อให้โครงการสำเร็จภายในกรอบเวลาที่กำหนด รัฐบาลได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้รับผิดชอบในแต่ละด้าน ดังนี้:

  1. กรมเจ้าท่า (คค.) – รับผิดชอบงานด้านวิศวกรรมและการตรวจสอบโครงการ
  2. หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย (กห.) – รับผิดชอบดำเนินงานขุดลอกแม่น้ำ เนื่องจากมีความพร้อมด้านกำลังพลและเครื่องจักร
  3. ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย รวมถึงกรมชลประทาน (กษ.) – ดูแลการจัดหาพื้นที่ทิ้งดินจากการขุดลอกและบริหารจัดการมวลชน

โครงการทั้งหมดต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน เดือนพฤษภาคม 2568 เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝนที่จะมาถึง

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

ด้านสิ่งแวดล้อมและป้องกันภัยพิบัติ

  • ลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและการกัดเซาะตลิ่งในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำปิงและแม่น้ำกก
  • ปรับปรุงโครงสร้างลำน้ำให้สามารถรองรับปริมาณน้ำฝนในฤดูฝนได้ดีขึ้น
  • ลดปัญหาการตื้นเขินของแม่น้ำที่ส่งผลต่อการระบายน้ำ

ด้านเศรษฐกิจและชุมชน

  • กระตุ้นเศรษฐกิจจากการจ้างงานภายในโครงการ
  • เพิ่มศักยภาพด้านการขนส่งสินค้าทางน้ำให้สะดวกขึ้น
  • สนับสนุนการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ

ข้อกังวลจากภาคประชาชนและนักวิชาการ

แม้ว่าโครงการนี้จะเป็นแนวทางที่สำคัญในการแก้ปัญหาน้ำท่วมในภาคเหนือ แต่บางฝ่ายแสดงความกังวลในประเด็นต่างๆ ได้แก่:

  1. ผลกระทบต่อระบบนิเวศ – การขุดลอกแม่น้ำอาจส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำและพืชพรรณธรรมชาติในบริเวณดังกล่าว หากไม่มีมาตรการฟื้นฟูที่เพียงพอ
  2. งบประมาณที่ใช้ – มีคำถามเกี่ยวกับความคุ้มค่าของงบประมาณในการรื้อถอนฝายเก่า ซึ่งบางส่วนอาจยังสามารถใช้ประโยชน์ได้
  3. การมีส่วนร่วมของประชาชน – ภาคประชาชนบางส่วนต้องการให้มีการรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมก่อนดำเนินการรื้อถอนโครงสร้างในแม่น้ำ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • กรมอุตุนิยมวิทยา (2567) คาดการณ์ว่าปริมาณน้ำฝนในภาคเหนือปี 2568 จะเพิ่มขึ้น 8% จากค่าเฉลี่ยปกติ อาจส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (2567) รายงานว่า แม่น้ำปิงและแม่น้ำกกมีปัญหาตื้นเขินสะสมมานานกว่า 10 ปี โดยอัตราการตะกอนสะสมเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 2-5%
  • ข้อมูลจากกรมเจ้าท่า (2567) ระบุว่าการขุดลอกแม่น้ำในภาคเหนือสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำได้ 30-50% และลดโอกาสเกิดน้ำท่วมซ้ำซากในเขตเมือง

สรุป

แผนการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างพื้นฐานของแม่น้ำปิงและแม่น้ำกก ถือเป็นโครงการที่มีความสำคัญในการลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมและพัฒนาโครงสร้างลำน้ำให้สามารถรองรับปริมาณน้ำได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องมีมาตรการเสริมเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจมากขึ้น เพื่อให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมอุตุนิยมวิทยา (2567) / สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (2567) / กรมเจ้าท่า (2567)/ รายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี (11 มีนาคม 2568)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ครม. ไฟเขียวให้สัญชาติไทย 483,000 คน เสริมเศรษฐกิจ

ครม. อนุมัติให้สัญชาติไทยแก่ 483,000 คน เตรียมออกประกาศบังคับใช้ใน 60 วัน

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติหลักเกณฑ์เร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลสำหรับผู้ที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานาน รวมถึงกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรไทย เพื่อให้สถานะสัญชาติไทยอย่างถูกต้อง

ประเภทกลุ่มผู้ขอสัญชาติ

สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้เสนอรายละเอียดเกี่ยวกับกลุ่มผู้ขอสัญชาติซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่

  1. กลุ่มอพยพที่เข้ามาในช่วงปี 2527 – 2542 ประมาณ 120,000 คน
  2. กลุ่มอพยพในช่วงปี 2548 – 2554 ประมาณ 215,000 คน
  3. กลุ่มบุตรที่เกิดในไทย ของชนกลุ่มน้อย ประมาณ 29,000 คน
  4. กลุ่มบุตรที่เกิดในไทย ของบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ซึ่งสำรวจได้แล้วประมาณ 113,000 คน

รวมจำนวนผู้ที่ขอสัญชาติทั้งหมด 483,000 คน โดยทาง ครม. ได้พิจารณาและเห็นชอบให้ลดขั้นตอนต่าง ๆ ในกระบวนการ เนื่องจากหากดำเนินการตามขั้นตอนเดิม อาจใช้เวลาถึง 44 ปีเพื่อพิจารณาทั้งหมด

ประโยชน์และความคาดหวังจากการให้สัญชาติ

นายจิรายุ ชี้แจงว่า ผู้ที่ได้รับอนุมัติสัญชาตินั้นส่วนใหญ่มีเอกสารระบุตัวตนและสามารถทำงานได้ตามปกติ โดยการรับรองสถานะบุคคลให้ถูกต้องจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงเพิ่มความมั่นใจในการเฝ้าระวังและติดตามผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศอย่างถูกต้อง ซึ่งการให้สัญชาติในครั้งนี้ยังส่งผลดีต่อการจัดการสังคมและการสาธารณสุข ทำให้ภาครัฐสามารถให้การสนับสนุนและบริการต่าง ๆ ได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

มาตรการและขั้นตอนการบังคับใช้

หลังจากที่ ครม. เห็นชอบในหลักการเรื่องการให้สัญชาติไทย กระทรวงมหาดไทยจะเป็นผู้รับผิดชอบออกประกาศบังคับใช้มาตรการนี้ในรายละเอียดภายใน 60 วัน โดยคาดว่าการดำเนินงานดังกล่าวจะเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นประโยชน์ต่อหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการสาธารณสุข การศึกษา และการจ้างงาน รวมถึงการจัดการสวัสดิการและสิทธิที่บุคคลกลุ่มนี้สมควรได้รับ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

ครม.ตั้งศูนย์อำนวยการอุทกภัย ใช้งบฯ ทดลองจ่าย 20 ล้านบาท

 

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2567 นัทรียา ทวีวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายบริหาร แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.มีการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำท่วม ซึ่งมีการอภิปรายอย่างกว้างขวาง โดยมองว่าน้ำท่วมเป็นปัญหาซ้ำซากเรื้อรังมานานจากหลายปัจจัย ทั้งการบริหารจัดการน้ำ การกักเก็บน้ำ การไม่มีที่รองรับน้ำในภาคเหนือ ทำให้มีปัญหาน้ำท่วมหนักทุกปี ต้องช่วยเหลือผู้ที่ลำบากทุกปี

โดยเฉพาะในปีนี้ (2567) มีมวลน้ำปริมาณมาก สถานการณ์ฝนตกมีความแตกต่างจากที่ผ่านมา มีภาวะฝนตกเป็นจุดๆ จากปัญหาโลกร้อน ซึ่งปัญหานี้นับวันจะยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงมีการวางแนวทางการบริหารจัดการ คือ

1.ต้องมีการบริหารจัดการไม่ให้สถานการณ์ลุกลามไปมากกว่านี้

2.การช่วยเหลือเยียวยาประชาชนหลังน้ำลด

3.การแก้ปัญหาระยะยาว โดยบรรจุเรื่องการบริหารจัดการน้ำเป็นวาระแห่งชาติ ทั้งนี้ เมื่อมีคณะรัฐมนตรีมาบริหารประเทศก็จะบรรจุเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วน เพื่อให้รองรับสถานการณ์ได้ทัน

รองเลขาธิการนายกฯ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ที่ประชุมยังได้คาดการณ์สถานการณ์บางพื้นที่สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายแล้ว แต่บางพื้นที่สถานการณ์น้ำท่วมยังหนักอยู่ เช่น จังหวัดสุโขทัย ซึ่งยอมรับว่าเป็นพื้นที่รองรับน้ำก่อนระบายสู่จังหวัดต่างๆ ถือว่าค่อนข้างหนัก คันกั้นน้ำไม่สามารถรับได้ จึงเกิดกรพังทลาย คันกั้นน้ำยังมีปัญหาการเวนคืนที่ดิน รักษาการนายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการแก้ไขในเรื่องดังกล่าว 

และนำมาสู่การตั้งศูนย์แก้ปัญหาให้มีเอกภาพ จึงตั้งเป็นศูนย์อำนวยการสถานการณ์อุทกภัย มีอำนาจหน้าที่และการใช้งบประมาณที่ชัดเจน โดยมีนายภูมิธรรม เวชชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองประธาน

ส่วนองค์ประกอบที่เหลือคือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งจะมีคำสั่งอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง โดยแบ่งภารกิจออกเป็น 2 ส่วน คือ 

1.การบริหารจัดการน้ำ การระบายน้ำ การแจ้งเตือน ให้ทราบข่าวว่าน้ำจะมาประมาณ ไหน ไม่ให้เกิดความตระหนก ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คำนวณและยืนยันว่าจะไม่ถึงสถานการณ์ปี 2554 โดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ จะเป็นผู้ดูแล 

2.การดูแลช่วยเหลือประชาชน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะเป็นหลักในการบูรณาการความช่วยเหลือจากทุกหน่วยงาน

สำหรับงบประมาณที่ใช้จะใช้จากงบประมาณกลาง อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งบางจังหวัดมีการประกาศพื้นภัยพิบัติจะใช้งบทดลองจ่าย จำนวน 20 ล้านบาท หากไม่เพียงพอต้นสังกัดจะขอมาที่งบกลาง แต่เมื่อมีคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาแล้วการดำเนินการทุกอย่างจะต้องรวดเร็วตอบสนองต่อความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

“หน้าที่มีทั้งการป้องกัน แก้ไข เยียวยา และฟื้นฟู ซึ่งต้องดูสถานการณ์ในรายจังหวัด เช่น จังหวัดน่านสถานการณ์น้ำท่วมผ่านไปแล้วจะเข้าสู่กระบวนการเยียวยาและฟื้นฟู ส่วนจังหวัดที่น้ำยังมาไม่ถึงจะป้องกันอย่างไร เช่น จังหวัดนครสวรรค์ หรือต่ำกว่านั้น ก็ต้องหามาตรการป้องกัน แก้ไขไม่ใช่ทำงานเชิงรับ” รองเลขาธิการนายกฯ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ศูนย์อำนวยการสถานการณ์อุทกภัย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ตรึงราคา ‘ดีเซล ก๊าซหุงต้ม ลดค่าไฟ’ 3 มาตรการลดภาระให้ประชาชน

 
เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2567 นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ มีมติให้ความเห็นชอบในหลักการมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) ได้นำเสนอ และมอบหมายให้ พน. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวตามอำนาจและหน้าที่ โดยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว
 

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้แก่ประชาชน เป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดลงในเดือนเมษายน 2567 เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ สรุปสาระสำคัญดังนี้

1. ตรึงราคาน้ำมันดีเซล ไม่ให้เกิน 33 บาท/ลิตร ระยะเวลาดำเนินการ 20 เม.ย. – 31 ก.ค. 2567

2. ตรึงราคาขายปลีก LPG ที่ระดับ 423 บาท/ถังขนาด 15 กก. ระยะเวลาดำเนินการ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 2567

3. ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้า 19.05 สตางค์/หน่วย แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย/เดือน ระยะเวลาดำเนินการ พ.ค. – ส.ค. 2567 (4 เดือน)

ทั้งนี้คาดว่าจะใช้งบฯ สำหรับดำเนินทั้ง 3 มาตรการ รวมทั้งสิ้น 8,300 ล้านบาท ประกอบไปด้วย

– มาตรการด้านน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 6,500 ล้านบาท

– ช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้น้ำมันดีเซลจำนวน 6,000 ล้านบาท

– ช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้ก๊าซ LPG จำนวน 500 ล้านบาท

– มาตรการด้านไฟฟ้า จำนวน 1,800 ล้านบาท)

 

โดย ในที่ประชุม ครม. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้การดำเนินการของมาตรการดังกล่าวพิจารณาใช้งบประมาณจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก่อน ในส่วนที่เหลือค่อยขอรับจัดสรรจากงบฯ ปี 2567 งบกลาง ในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น

 

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น จะลดลงได้อย่างไร ว่า ตอนนี้องค์ประกอบต่างๆเป็นไปตามกฎหมายปัจจุบัน ซึ่งตนกำลังแก้ไขอยู่ และเมื่อแก้เสร็จแล้วจะเปลี่ยนใหม่ จะเร่งทำให้เร็วที่สุด เพราะยอมรับว่าราคาน้ำมันขึ้น-ลง ตามอำเภอใจ ทุกวันนี้ไม่มีใครคุมได้ ผู้ค้าคิดจะขึ้นก็ขึ้น คิดจะลงก็ลง ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาคือการแก้กฎหมาย เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐไม่มีอำนาจ ได้แต่ขอความร่วมมือ ตลกหรือไม่ อยู่กันมาแบบนี้

 

 

เมื่อถามว่า การแก้กฎหมายใช้เวลานานหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนกำลังร่างอยู่ พร้อมยกตัวอย่างว่า การผลิตไฟฟ้าก็ต้องใช้แก๊ส ราคามีความผันผวนเช่นกัน แต่ไม่ได้ปรับราคาขึ้นลงทุกวัน เพราะไฟฟ้ามีกฎหมายกำกับ แต่ราคาน้ำมันปรับขึ้นลงทุกวัน ตอนนี้ทำได้แค่เพียงการประกาศให้มีการแจ้งต้นทุน เมื่อ 15 เมษายน ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพราะที่ผ่านมาสังคมไม่รู้ต้นทุน

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ครม.สั่งศึกษาแนว “นักศึกษาฝึกงาน” ต้องได้เงินค่าตอบแทน และเบี้ยเลี้ยง

 เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาการฝึกงานของนักเรียน นิสิต นักศึกษา ของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ เห็นว่า การฝึกงานเป็นการจัดระบวนการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้ที่เรียนมาใช้เพื่อป้องกันและแก้ปัญหา โดยการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาฝึกงานไม่มีลักษณะเป็น “ลูกจ้าง” ตามสัญญาจ้างแรงงาน มีวัตถุประสงค์ในการทำงานเพื่อเป็นการฝึกปฏิบัติงานโดยถือเป็นส่วนหนึ่งของ “การศึกษาเพื่อให้สำเร็จตามหลักสูตร” เท่านั้น 

จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานเช่นเดียวกับลูกจ้าง และปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่คุ้มครองการฝึกปฏิบัติงานของนักศึกษาฝึกงานในระดับอุดมศึกษาโดยตรง ปัญหาการฝึกงานของนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ยังไม่มีกฎหมายควบคุมอย่างเป็นทางการ เป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญที่จะต้องหาแนวทางการแก้ไข เพื่อให้เกิดการจัดทำกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 

ดังนั้นจึงได้มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะ 4 ประเด็น ดังนี้

1. สิทธิของนักเรียน นิสิตและนักศึกษาฝึกงาน การกำหนดค่าตอบแทนเป็นเบี้ยเลี้ยง การจัดทำประกันอุบัติเหตุการมีสวัสดิการขั้นพื้นฐานในที่ทำงานแก่ผู้รับการฝึกอบรมฝีมือแรงานและผู้ฝึกงานอาชีวศึกษา แต่ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายคุ้มครองนักศึกษาฝึกงานระดับอุดมศึกษาโดยตรง 

หากกรณีมีปัญหาเกิดขึ้นโดยเฉพาะกรณีค่าตอบแทน การประสบอันตราย หรือการเจ็บป่วยจากการฝึกปฏิบัติงานอาจต้องเทียบเคียงจากกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะเกิดความยุ่งยากหรือเกิดปัญหาการตีความ ทำให้นักศึกษาฝึกงานไม่ได้รับความคุ้มครองอย่างเหมาะสม

2. การคุ้มครองนักเรียน นิสิตและนักศึกษาฝึกงาน เพื่อให้นักเรียน นักศึกษาฝึกงานได้รับความคุ้มครองตามฎหมาย นั้น นักเรียนระดับอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ออกประกาศคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เรื่อง หลักเกณฑ์การฝึกงานหลักสูตรการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพในสถานประกอบการ พ.ศ. 2565 เรียบร้อยแล้ว 

ส่วนนักศึกษาระดับปริญญาตรีควรมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาจัดทำหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องการกำหนดมาตรฐานการส่งนักศึกษาที่เข้ารับการฝึกงานในสถานประกอบการ เพื่อให้นักศึกษาได้รับการคุ้มครองในระหว่างการฝึกงาน ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์มาตรฐานกลาง 

เพื่อเป็นแนวทางให้สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาแต่ละแห่งจัดทำเป็นหลักเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานการส่งนักศึกษา เข้ารับการฝึกงานในสถานประกอบการและการคุ้มครองนักศึกษาระหว่างการฝึกงานให้เหมาะสมกับหลักสูตรการเรียนการสอน โดยกระทรวงแรงงาน สนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์การคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของนักศึกษาฝึกงาน ให้สอดคล้องกับกฎหมายแรงงาน

3. ปัญหาการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศในการทำงาน ควรสร้างและรักษาสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ปราศจากการล่วงละเมิดทางเพศด้วยการสร้างความตระหนักการสร้างความรู้ความเข้าใจ การกำหนดมาตรการป้องกันและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น และตำเนินการเมื่อเกิดกรณีการร้องเรียนเรื่องการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศอย่างทันท่วงที รวมทั้งการจัดสภาพแวดล้อมและมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการล่วงละเมิดหรือคุกคามทางเพศขึ้น

4. ข้อเสนอการยกระดับการคุ้มครองการฝึกงานในประเทศไทยของศูนย์วิจัยเฉพาะทางสหวิทยาการด้านรัฐสวัสดิการและความเป็นธรรม ศูนย์วิจัยเฉพาะทางสหวิทยาการด้านรัฐสวัสดิการและความเป็นธรรมร่วมกับอีกหลายหน่วยงานในภาคีได้ผลักดันร่างพระราชบัญญัติการฝึกงาน พ.ศ. …. เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองและรักษาสิทธิประโยชน์ที่ควรได้ ในฐานะลูกจ้างคนหนึ่ง 

โดยสถาบันอุดมศึกษาอาจอนุญาตให้บุคลากรและผู้เรียนไปปฏิบัติงานในหน่วยงานต่าง ๆ ได้ตามระเบียบที่สภาสถาบันอุดมศึกษากำหนดตามมาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562 

ดั้งนั้น สภาสถาบันอุดมศึกษา อว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรกำหนดระเบียบการฝึกงานหรือเงื่อนไขหลักเกณฑ์การฝึกงานของนักเรียน นักศึกษาฝึกงาน ให้ครอบคลุมเนื้อหาและรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็กตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการอุดมศึกษา พ.ศ. 2562

นายคารม กล่าวว่า ในขั้นตอนต่อจากนี้ ครม.ได้มอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณารายละเอียดตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ และศึกษาแนวทางการออกกฎหมาย เช่น กฎหมายฉบับรอง มาบังคับใช้ต่อไป

  






เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAMกองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News

MOST POPULAR
FOLLOW ME


Facebook


Times


Instagram


Youtube


Line

NEWS UPDATE
BREAKING NEWS


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2566



ข่าวเด่นน่าติดตามวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2566



ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566


ข่าวเด่นน่าติดตามวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2566

Categories
HEALTH NEWS

ครม.อนุมัติงบ 208 ล้าน โรงพยาบาล ม.พะเยา เพิ่มบุคลากร 731 อัตรา

 
เมื่อวันที่ 19 มี.ค.2567 ที่ผ่านมา นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยพะเยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา (แผนอัตรากำลังโรงพยาบาลฯ) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2571 จำนวน 731 อัตรา งบประมาณรวมทั้งสิ้น 208.08 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอ ทั้งนี้ แผนอัตรากำลังฯ จะส่งผลต่อการเพิ่มอัตรากำลังและบุคลากร และภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต จึงเห็นควรที่มหาวิทยาลัยพะเยาจะพิจารณาดำเนินการเท่าที่จำเป็นตามภารกิจหลัก อย่างประหยัด และคุ้มค่า และคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่าย โดยเฉพาะรายได้หรือเงินนอกงบประมาณอื่นใดที่มหาวิทยาลัยมีอยู่หรือสามารถนำมาใช้จ่ายเป็นลำดับแรก เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ และเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืน ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
 
 
โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
(1) ขยายศักยภาพเป็นโรงพยาบาลทั่วไปขนาดเล็ก ระดับ M1 ขนาด 200 เตียง ในระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2571 เพื่อรองรับการให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและการขยายศักยภาพเป็นโรงพยาบาลทั่วไป ระดับ S
 
(2) เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของเขตสุขภาพที่ 1 ในเขตพื้นที่ล้านนาตะวันออก (จังหวัดเชียงราย ลำปาง แพร่ น่าน และพะเยา) เป็นหน่วยให้บริการที่เป็นโรงพยาบาลรับผู้ป่วยส่งต่อระดับสูง รวมทั้งพัฒนาเรื่องต่าง ๆ เช่น ระบบบริการสุขภาพด้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน การดูแลผู้สูงอายุในเขตบริการ ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินและระบบการส่งต่อเพื่อลดความแออัดในเขตสุขภาพที่ 1
 
(3) พัฒนาศูนย์การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพเพื่อรองรับการเป็นสถานฝึกปฏิบัติการในชั้นคลินิกสำหรับนิสิตแพทย์มหาวิทยาลัยพะเยาให้มีศักยภาพ สามารถใช้เป็นแหล่งฝึกบุคลากรทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ รวมทั้งเพื่อรองรับการจัดการเรียนการสอนทั้งก่อนปริญญาและหลังปริญญา
 
และ (4) พัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ เช่น ศูนย์ตรวจสุขภาพ ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุครบวงจร ศูนย์ความเป็นเลิศด้านการผ่าตัดผ่านกล้อง ศูนย์โรคหลอดเลือดสมอง
 

“สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้พิจารณาแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลฯ แล้ว เห็นว่า แผนความต้องการอัตรากำลังฯ มีความสอดคล้องกับแผนพัฒนาขีดความสามารถ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพของประชาชน โดยมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติม เช่น
 
(1) ควรทบทวนภารกิจของหน่วยงานให้สอดคล้องกับภาระงาน เช่น การขยายสถานที่บริการ ควรฝึกวิชาชีพเฉพาะทางหลักสูตรต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น
 
(2) ควรวิเคราะห์ปริมาณงานเฉลี่ย
 
(3) การของบประมาณตามแผนความต้องการอัตรากำลังฯ ควรคำนึงถึงภาระผูกพันในการจัดสรรงบประมาณด้านบุคลากรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย
 
 
ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยพะเยาได้ดำเนินการตามข้อเสนอแนะของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระยะเวลาการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณเพื่อรองรับการขอเพิ่มอัตรากำลังดังกล่าวไม่สอดคล้องกับระยะเวลาการขอรับจัดสรรงบประมาณในปัจจุบัน มหาวิทยาลัยพะเยาจึงได้ปรับระยะเวลาของแผนอัตรากำลังฯ จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. 2566-2569 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2571” นายคารม กล่าว
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียน ร่วมมือประเด็นอากาศ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม

 

วันที่ 23 สิงหาคม 2566 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างเอกสารและร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนและประเทศคู่เจรจาในกรอบความร่วมมือต่าง ๆ
แถลงการณ์ร่วมอาเชียนว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสำหรับการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 28 (ASEAN Joint Statement on Climate Change to UNFCCC COP 28)     แสดงถึงความมุ่งมั่นของ อาเซียนในการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศและความตกลงปารีสภายใต้หลักความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างโดยคำนึงถึงขีดความสามารถของแต่ละประเทศและสถานการณ์ของประเทศที่แตกต่างกัน   โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่วดล้อม หรือผู้แทนเห็นชอบ (Endorsement ) ในการประชุมรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมอาเซียนครั้งที่ 17  ในวันที่  22-24 สิงหาคม 2566 ณ สปป.ลาว  และให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนร่วมรับรอง (Adoption) ในการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit ) ครั้งที่ 43 ในวันที่ 5-7 กันยายน 2566 ณ อินโดนีเซีย
2. ร่างเอกสารแนวคิดสำหรับข้อริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ของอาเซียนและญี่ปุ่น “แผนงานยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอาเซียน” (ASEAN -Japan New Environment Initiative “Strategic Program for ASEAN Climate and Environment (SPACE) )  และร่างแผนงานอาเซียน-สหรัฐ ฯ ด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  (ASEAN -U.S. Environment and Climate Work Plan )    โดยร่างเอกสารแนวคิดสำหรับข้อริเริ่มด้านสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ของอาเซียน-ญี่ปุ่น มุ่งมั่นแก้ไขวิกฤติหลักของโลก 3  ประการ ได้แก่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  มลพิษและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ  พร้อมเปิดตัวข้อริเริ่มในแผนงานยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมอาเซียน เพิ่มเติมจากข้อริเริ่มความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน-ญี่ปุ่น และแผนปฎิบัติการอนเซียน -ญี่ปุ่น  ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศวันละ 2.0    ในส่วนแผนงานอาเซียน- สหรัฐฯ ด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  เพื่อส่งเสริมความร่วมมือและเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศสมาชิกอาเซียนในการดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพพูมิอากาศ                                   
ทั้งนี้  ร่างเอกสารทั้ง 2 ฉบับ  จะมีการรับรองระหว่างวันที่ 23 – 24 สิงหาคม 2566 ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมครั้งที่ 17 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ สปป. ลาว 

3. ร่างแผนปฏิบัติการอาเซียนด้านการจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน (ASEAN Action Plan for Invasive Alien Species MAnagement) ซึ่งจะเป็นกรอบแนวทางการประสานความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในการจัดการและลดผลกระทบจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานในภูมิภาคอาเซียน    
โดยจะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ครั้งที่   17 ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566  ณ สปป.ลาว ก่อนเสนอต่อการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 43  ระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน 2566 ณ อินโดนีเซีย เพื่อทราบต่อไป

 4. ร่างแผนปฏิบัติการเพื่อส่งเสริมธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานรากในอาเซียน (ปี 2566 -2570)  Plan of Action for the Promotion of Inclusive Business in ASEAN (2023-2027)  เป็นการกำหนด แนวทางและการจัดลำดับความสำคัญในการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ในระดับประเทศและในระดับภูมิภาค มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยให้ประชาชนเป็นจุดศูนย์กลางของประชาคมในการช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย 
ทั้งนี้ จะมีการรับรองแบบไม่ลงนามในการประชุม รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน [ASEAN Economic Ministers Meeting (AEM)] ระหว่างวันที่ 17 – 22 สิงหาคม  2566 ณ เมืองเซอมารัง อินโดนีเซีย  และการประชุมธุรกิจเพื่อเศรษฐกิจฐานราก ครั้งที่  6 และการประชุมรัฐมนตรีระดับสูง ระหว่างวันที่ 23- 25 สิงหาคม 2566 ณ เมืองบาหลี อินโดนีเซีย  

5. ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 10 [Joint Statement of the 10th ASEAN Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting (AFMGM)]  และ (ร่างแถลงการณ์ร่วมการ AFMGM ครั้งที่  10) และร่างแถลงการณ์ร่วม การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ 1 [Joint Statement of the 1st ASEAN Finance and Health Ministers’ Meeting (AFHMM)]    โดยร่างแถลงการณ์ร่วม AFMGM คร้ังที่ 10 เป็นการส่งเสริมความร่วมมือ และให้ความช่วยเหลือระหว่างกันในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อเพิ่ม ขีดความสามารถในการแข่งขันและรักษาความเป็นแกนกลางให้กับอาเซียน รวมท้ังมุ่งส่งเสริมเสถียรภาพทางการเงินในภูมิภาคอย่างยั่งยืน    สำหรับร่างแถลงการณ์ร่วม AFHMM คร้ังที่ 1 เป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ด้านการคลังและสาธารณสุข เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านสาธารณสุข ในภูมิภาคและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับโรคระบาดหลังโรคโควิด – 19 ทั้งโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำและโรคติดเชื้ออุบัติใหม่  
ทั้งนี้ จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง 2  ฉบับ แบบไม่ลงนามในการประชุม AFMGM ครั้งที่  10 และการประชุม AFHMM ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 24 – 25 สิงหาคม 2566 ณ เมืองจาการ์ตา อินโดนีเซีย   

6. เห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมสำหรับการประชุมคณะมนตรี ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 30   และอนุมัติให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงด้านมนุษย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ในการประชุมคณะมนตรีประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ครั้งที่ 30 [30th ASEAN Socio – Cultural Community (ASCC) Council Meeting]  ในวันที่ 29 ส.ค. 2566 ณ กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย

นางสาวรัชดา ฯ  กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยในฐานะสมาชิกอาเซียน มุ่งมั่นส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาและกรอบความร่วมมืออื่นๆ ในประเด็นสำคัญของโลกต่างๆ โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ  การส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก รวมทั้งการเปิดตัวเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการคลังและสาธารณสุข เป็นครั้งแรก เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักนายกรัฐมนตรี

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News