
สศช. เปิดเผยสถานการณ์ความยากจนไทย แม้ลดลงแต่ยังมีความเสี่ยงสูง
แนวโน้มความยากจนของไทยในปี 2566 และความท้าทายในอนาคต
เชียงราย, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับ สถานการณ์ความยากจนในประเทศไทย ในช่วงการแถลงภาวะสังคมไทย ไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 โดยพบว่าแม้ตัวเลขสัดส่วนคนจนในประเทศจะลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงมีความท้าทายและปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง
สถานการณ์ความยากจนหลายมิติในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนคนจนหลายมิติของประเทศไทยปรับตัวลดลง โดยในปี 2566 มีประชากรที่อยู่ในกลุ่ม “คนจนหลายมิติ” รวมทั้งสิ้น 6.13 ล้านคน หรือ คิดเป็น 8.76% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งหมายความว่าตัวเลขดังกล่าวลดลงมากกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับช่วงปี 2558 – 2566
อย่างไรก็ตาม แม้ตัวเลขจะลดลง แต่ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้ความยากจนหลายมิติยังคงอยู่ โดยสามารถแบ่งกลุ่มคนจนออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่:
- กลุ่มคนจนด้านตัวเงินเพียงอย่างเดียว
- กลุ่มคนจนที่ประสบปัญหาทั้งด้านตัวเงินและด้านคุณภาพชีวิต (คนจนหลายมิติ)
- กลุ่มคนจนที่ประสบปัญหาหลายมิติโดยไม่มีปัญหาด้านตัวเงิน
จำนวนคนจนไทยปี 2566 และแนวโน้ม
จากข้อมูลล่าสุด พบว่า ประเทศไทยมีคนจนรวมทั้งสิ้น 7.17 ล้านคน แบ่งเป็น:
- คนจนหลายมิติเพียงอย่างเดียว จำนวน 4.78 ล้านคน
- คนจนด้านตัวเงินเพียงอย่างเดียว จำนวน 1.04 ล้านคน
- กลุ่มที่ประสบปัญหาทั้ง 2 ด้าน (การเงินและคุณภาพชีวิต) จำนวน 1.35 ล้านคน
ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นว่ามีประชากรไทยอีกจำนวนมากที่ยังประสบปัญหาด้านคุณภาพชีวิต และกว่า 18.8% ของประชากรที่อยู่ในสถานะ “เกือบจน” มีความเสี่ยงที่จะกลับไปอยู่ในกลุ่มคนจนอีกครั้ง
ความเสี่ยงและปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง
แม้สถานการณ์คนจนหลายมิติในประเทศไทยจะดีขึ้น แต่ยังมี คนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน หรือ 34.7% ของประชากรที่จัดอยู่ในกลุ่ม “เสี่ยงตกเป็นคนจนหลายมิติ” โดยกลุ่มนี้กระจายอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลางเป็นหลัก
เมื่อวิเคราะห์ตามภูมิภาค พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อความยากจนแตกต่างกัน:
- ภาคเหนือและภาคอีสาน: ปัญหาด้านการไม่มีบำเหน็จ/บำนาญสูงถึง 70.5% ซึ่งสูงกว่าภูมิภาคอื่นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 57.4%
- ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร: ปัจจัยที่มีผลกระทบสูงสุดคือ ความมั่นคงทางการเงิน ตามมาด้วยปัญหาด้านความเป็นอยู่และการศึกษา
- จังหวัดพิษณุโลกและอุตรดิตถ์: แม้จะอยู่ใกล้กัน แต่มีปัญหาต่างกัน โดยพิษณุโลกเผชิญกับปัญหาการจัดการขยะ ขณะที่อุตรดิตถ์มีอัตราการขาดบำเหน็จบำนาญสูง
แนวทางแก้ไขปัญหาความยากจนหลายมิติ
รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินมาตรการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นไปที่ การสร้างความมั่นคงทางการเงิน และ การเพิ่มคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ เช่น:
- ส่งเสริมการวางแผนทางการเงิน: กระตุ้นให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการออมและการวางแผนเกษียณ
- พัฒนาระบบบำเหน็จ/บำนาญ: ปรับปรุงระบบสวัสดิการเพื่อรองรับประชากรสูงวัย และเพิ่มแรงจูงใจให้แรงงานนอกระบบเข้าร่วม
- ลดหนี้สินครัวเรือน: จัดทำโครงการปรับโครงสร้างหนี้ ลดภาระดอกเบี้ย และให้คำแนะนำด้านการบริหารจัดการเงิน
- พัฒนาการศึกษาและอาชีพ: เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการฝึกอบรมทักษะเพื่อลดอัตราการว่างงาน
- สนับสนุนธุรกิจชุมชน: กระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่นผ่านโครงการพัฒนาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
ข้อคิดเห็นจากทั้งสองมุมมอง
แม้สถานการณ์ความยากจนในไทยจะมีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังมี ข้อท้าทายสำคัญ ที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน นักวิเคราะห์บางรายชี้ว่า มาตรการของรัฐยังไม่เพียงพอ และต้องมีการกระจายโอกาสทางเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่บางฝ่ายมองว่า รัฐบาลมีความคืบหน้าในการลดความยากจน แต่ต้องปรับนโยบายให้เหมาะสมกับแต่ละภูมิภาคมากขึ้น
สถิติและแหล่งอ้างอิง
จากข้อมูลของ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ กระทรวงการคลัง ในปี 2566 พบว่า:
- สัดส่วนคนจนหลายมิติของไทยลดลงจาก 19% ในปี 2558 เหลือ 8.76% ในปี 2566
- กลุ่มเสี่ยงตกเป็นคนจนหลายมิติอยู่ที่ 24 ล้านคน หรือ 34.7% ของประชากร
- ภาคเหนือและภาคอีสานมีประชากรที่ขาดบำเหน็จ/บำนาญสูงสุดที่ 70.5%
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สศช. / กระทรวงการคลัง / สำนักสถิติแห่งชาติ