‘ม.ธรรมศาสตร์’ เปิดเวทีวิชาการ ความสำเร็จระบบหลักประกันสุขภาพ
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จับมือมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ เปิดวงเสวนาวิชาการนานาชาติระดับอาเซียน ร่วมแลกเปลี่ยนความสำเร็จของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า วิทยากรเห็นพ้อง ‘การจัดซื้อเชิงกลยุทธ์’ คือ หนึ่งในกลไกสำคัญของ สปสช. ที่ทั่วโลกยอมรับและยกย่อง ‘ระบบหลักประกันสุขภาพ’ ของประเทศไทย
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับ School of Public Health มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ จัดเวทีประชุมวิชาการนานาชาติภายใต้หัวข้อ “The Successes of Strategic Purchasing for UHC in Thailand” เมื่อเช้าวันที่ 1 มิถุนายน 2566 ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และ ถ่ายทอดสดผ่าน Facebook และ YouTube EconTU Official โดยมีนักวิชาการ ผู้บริหารและผู้กำหนดนโยบายระบบสาธารณสุข ตลอดจนผู้สนใจในระดับภูมิภาคอาเซียนเข้าร่วมประมาณ 100 ท่าน
ผศ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มธ. กล่าวเปิดการเสวนาตอนหนึ่งว่า เส้นทางของประเทศไทยด้านระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ Universal Health Coverage (UHC) เป็นเรื่องที่น่ายกย่อง มีการขับเคลื่อนโดยผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และมีความพยายามที่ไม่สิ้นสุด ด้วยความมุ่งมั่นที่จะทำให้ทุกคนมีสิทธิ์ในการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ การจัดซื้อในลักษณะเชิงกลยุทธ์ (Strategic Purchasing) เป็นวิธีการจัดสรรทรัพยากรของระบบสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพ มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายด้านสาธารณสุขได้ จนประเทศไทยเป็นตัวอย่างที่ได้รับการยกย่องในระดับโลก
ที่ประชุมมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะเรื่อง “ความสำเร็จของการจัดซื้อเชิงกลยุทธ์สำหรับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศไทย” โดยได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิ ร่วมอภิปรายในการประชุมดังกล่าว ประกอบด้วย 1. ศ.ดร.นพ.ศุภสิทธิ์ พรรณารุโณทัย ประธานมูลนิธิศูนย์วิจัยและติดตามความเป็นธรรมทางสุขภาพ 2. พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 3. คุณสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค 4. ดร.นพ.ปิยะ หาญวรวงศ์ชัย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 5. คุณคณิตศักดิ์ จันทราพิพัฒน์ ผู้อำนวยการกลุ่มภารกิจสนับสนุนการเข้าถึงบริการปฐมภูมิและส่งเสริมป้องกันโรค สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ศ.ดร.นพ.ศุภสิทธิ์ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 และตลอดจนทศวรรษ 1990 มีการศึกษาเกี่ยวกับการเงินสำหรับระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ผลการศึกษาสรุปว่า ค่ารักษาพยาบาลที่ครัวเรือนต้องจ่ายเองสูงเกินไป รัฐบาลจึงได้พยายามพัฒนาความคุ้มครองสุขภาพสำหรับทุกคน ทำให้ต้องมีงบประมาณเพิ่มขึ้น ในเวลานั้นระบบการจ่ายเงินค่อนข้างกระจัดกระจายอย่างมาก ดังนั้น จึงได้ปรับปรุงกลไกการเงินจนเป็นวิธี “การจัดซื้อเชิงกลยุทธ์” ในปัจจุบัน โดยมีการใช้รูปแบบการจัดซื้อแบบเหมาจ่ายรายหัว (capitation) สำหรับบริการผู้ป่วยนอก การเหมาจ่ายตามกลุ่มโรคด้วยราคากลาง (Diagnosis-related group: DRG) สำหรับบริการผู้ป่วยใน และการจ่ายตามบริการที่ให้ (fee for service) สำหรับการป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ
คุณสารี กล่าวว่า ก่อนมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเกิดขึ้นในประเทศไทย มีการพยายามต่อสู้ผลักดันอย่างมาก เพราะระบบแบบเดิมได้ทำให้ครัวเรือนต้องล้มละลายจากค่ารักษาพยาบาล จึงได้มีการเคลื่อนไหวจนสำเร็จเป็น พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ซึ่งเป็นการประกันความยั่งยืนของระบบ ตั้งแต่นั้นมา จึงได้มีการเคลื่อนไหวในทิศทางที่เชื่อมโยงกันระหว่างภาคนักวิชาการ ภาคนโยบาย องค์กรไม่แสวงผลกำไร (NGOs) และภาคีเครือข่ายประชาชน โดยมีตัวแทนจากภาคประชาชนเข้าร่วมในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอีกด้วย
ดร.นพ.ปิยะ กล่าวว่า ประเทศไทยได้มีการพัฒนาเครื่องมือที่สำคัญมาใช้เพื่อปรับปรุงระบบการเงินสุขภาพ ได้แก่ การวิเคราะห์ต้นทุนของโรงพยาบาล และระบบทะเบียนข้อมูลที่อ้างอิงจากเลขบัตรประจำตัวประชาชน โดยเราได้ลงทุนในงานวิจัยที่มีการพัฒนากลไกให้สามารถเชื่อมโยงกับการกำหนดนโยบาย
พญ.ลลิตยา กล่าวว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีความพยายามอย่างไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้ประชาชนได้รับสวัสดิการการรักษาพยาบาลภายใต้งบประมาณจำกัดแต่มีประสิทธิภาพ โดย สปสช. มีกลไกการจัดเก็บข้อมูลที่โรงพยาบาลจะนำส่งข้อมูลเพื่อเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ทำให้สามารถมีข้อมูลที่ใช้ในการคำนวณค่าใช้จ่ายสุขภาพที่มีรูปแบบของการกระจายความเสี่ยงหรือเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข
คุณคณิตศักดิ์ กล่าวว่า ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิสำหรับผู้ป่วย เป็น gatekeeper ที่ช่วยคัดกรองเพื่อส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่ให้บริการระดับสูง ในแต่ละภูมิภาคจะมีโรงพยาบาลที่สามารถให้บริการด้านสุขภาพเฉพาะทาง และยังสามารถส่งต่อไปยังโรงพยาบาลระดับมหาวิทยาลัยได้ด้วย โดยหน่วยการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิยังทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อช่วยกันดูแลคุ้มครองสิทธิประชาชนให้เข้าถึงบริการที่จำเป็น ยิ่งไปกว่านั้น สปสช. ได้พัฒนารวบรวมและใช้ประโยชน์จากระบบฐานข้อมูล เพื่อตรวจสอบและสามารถสะท้อนต้นทุนและการเบิกจ่ายเงินของ สปสช.
ดร.นพ.ปิยะ ยังกล่าวด้วยว่า หนึ่งในจุดแข็งของระบบสุขภาพในประเทศไทย คือ การคิดวิเคราะห์อย่างใส่ใจที่จะใช้กลไกการจัดซื้อเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ซื้อและผู้ให้บริการ ยิ่งไปกว่านั้น สปสช. ยังมีความยืดหยุ่นในความพยายามพัฒนากลไกการชำระเงินและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องจากข้อมูลเพื่อปรับปรุงระบบให้ดียิ่งขึ้น
พร้อมกันนี้ วิทยากรในเวทียังเห็นพ้องในหลักการร่วมกันว่า สปสช. มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง (NHSO has the consumer at heart) และสามารถได้รับความเชื่อถือไว้วางใจจากสังคม โดยมีระบบหลักประกันสุขภาพที่เข้มแข็งด้วยกฎหมายและนโยบาย เป็นระบบที่มีความมั่นคงสำหรับประชาชน มีการรับฟังเสียงจากประชาชนซึ่งมีความสำคัญและเป็นนวัตกรรมของระบบสาธารณสุขของประเทศ อย่างไรก็ตาม ระบบสุขภาพในประเทศไทยยังมีพื้นที่ในการปรับปรุงและพัฒนาต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลไกการเงินที่แตกต่างกันในแต่ละระบบหลักประกันสุขภาพ
ประเทศไทยได้รับความสำเร็จอย่างมากในการพัฒนากลไกการจัดซื้อเชิงกลยุทธ์และเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนในเรื่องระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UHC) ดังนั้น การเรียนรู้แลกเปลี่ยนร่วมกัน จึงเป็นประโยชน์ต่อทุกประเทศในอาเซียนในการพัฒนาระบบสาธารณสุขเพื่อประโยชน์สูงสุดด้านสุขภาพของประชาชนในภูมิภาค
ในที่ประชุมยังคาดหวังที่จะเห็นความร่วมมือกันในระดับภูมิภาคอาเซียนต่อไป เพื่อสนับสนุนแต่ละประเทศในการกำหนดลำดับความสำคัญของการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพด้านต้นทุน และ สร้างผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
รับชมวิดีโอย้อนหลังได้ที่: https://www.youtube.com/live/2SgXjuuc928?feature=share
ดาวน์โหลดเอกสารนำเสนอได้ที่: https://drive.google.com/drive/folders/1WKk0FSmUAQ7VU91JT3GcoHC_yqCNBal2?usp=sharing
เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์