Categories
ENVIRONMENT

ไทยเจ้าภาพ MRC เชียงราย วิกฤติมลพิษข้ามแดนจากเหมืองเมียนมา และข้อกังวล MOU แร่หายากสหรัฐ

เชียงรายปลายปี เวทีนโยบายแม่น้ำโขง หรือจุดเริ่มต้นของข้อเรียกร้องใหม่

เชียงราย, 27 ตุลาคม 2568 — ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้ จังหวัดเชียงราย ซึ่งมักถูกพูดถึงในฐานะ “เหนือสุดแดนสยาม” จะกลายเป็นพื้นที่ทางการเมืองเชิงทรัพยากร เมื่อประเทศไทยในฐานะประธานคณะมนตรีคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) เตรียมเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะมนตรี MRC ครั้งที่ 32 และการประชุมระหว่างคณะมนตรี MRC กับหุ้นส่วนการพัฒนา (Development Partners) ครั้งที่ 30 ในวันที่ 25–27 พฤศจิกายน 2568

เวทีดังกล่าวถือเป็นกลไกความร่วมมือระดับรัฐบาลของประเทศลุ่มน้ำโขง ได้แก่ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ภายใต้เป้าหมายร่วมคือการบริหารจัดการน้ำและทรัพยากรที่เกี่ยวข้องอย่างยั่งยืน เพื่อประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิกและประชาชนลุ่มน้ำโขง

แต่ปีนี้ บรรยากาศการประชุมไม่ได้ถูกจับตาเพียงในกรอบ “การจัดการน้ำร่วมกัน” เท่านั้น เพราะประเด็นสารพิษปนเปื้อนในแม่น้ำชายแดน ปัญหาความโปร่งใสในการบริหารจัดการเขื่อนบนลุ่มน้ำโขงตอนบน และการเร่งเข้าร่วมห่วงโซ่อุปทาน “แร่ธาตุสำคัญ” ระดับโลก ล้วนถูกหยิบขึ้นมาตั้งคำถามว่าควรต้องกลายเป็นวาระเชิงนโยบาย ไม่ใช่เพียงการรายงานเชิงเทคนิค

ไทยยืนยันกรอบหารือ ปฏิญญากรุงเทพ และแผนกลยุทธ์ MRC 2026–2030

เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะมนตรี MRC เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย ครั้งที่ 2/2568 เพื่อเตรียมท่าทีของไทยในเวทีเชียงรายปลายเดือนพฤศจิกายน

สาระสำคัญจากการประชุม คือ การเห็นชอบกรอบการหารือสองประเด็นหลัก ได้แก่

  1. ร่าง “ปฏิญญากรุงเทพ” (Bangkok Declaration) ซึ่งจะถูกเสนอเป็นผลลัพธ์ทางการเมืองของการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 5
  2. แผนกลยุทธ์ MRC ค.ศ. 2026–2030 ซึ่งจะเป็นกรอบทิศทางการทำงานร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกในช่วงห้าปีข้างหน้า ต่อเนื่องจาก “ยุทธศาสตร์การพัฒนาลุ่มน้ำโขง 2021–2030 และแผนยุทธศาสตร์ MRC 2021–2025” ซึ่งวางหลักการสมดุลระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกับการรักษาสุขภาวะของระบบนิเวศในลุ่มน้ำโขง

ประเด็นเชิงโครงสร้างที่ไทยตั้งใจผลัก คือ ระบบความร่วมมือด้านข้อมูล โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลการบริหารจัดการเขื่อนในลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งถูกมองว่าเป็น “หัวใจของการเตือนภัยล่วงหน้า” ต่อสถานการณ์น้ำหลาก น้ำแล้ง และการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำฉับพลันในพื้นที่ท้ายน้ำ

หน่วยงานไทยเน้นว่า การปล่อยน้ำหรือกักน้ำจากเขื่อนในสายน้ำหลักและสาขาของแม่น้ำโขง ส่งผลโดยตรงต่อวิถีชีวิตประมงพื้นบ้าน นาข้าวริมโขง ที่อยู่อาศัยริมน้ำ และความปลอดภัยของชุมชนลุ่มน้ำกก-สาย-โขงฝั่งไทย โดยเฉพาะเมื่อสภาพภูมิอากาศมีความผันผวนรุนแรงขึ้น และรูปแบบฝน-แล้งไม่สอดคล้องกับฤดูกาลแบบดั้งเดิม

สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) รวบรวมบทเรียนการทำงานระยะที่ 1 ของโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลการบริหารจัดการเขื่อน ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2565 และกำลังออกแบบระยะที่ 2 ให้มีระบบพยากรณ์น้ำที่แม่นยำขึ้น แจ้งเตือนเร็วขึ้น และสื่อสารถึงระดับชุมชนท้ายน้ำได้ทันก่อนเกิดผลกระทบจริง

กรอบเหล่านี้สะท้อนเป้าหมายของ MRC ในการเป็นเวทีกลางระหว่างรัฐสมาชิก เพื่อร่วมกันจัดการ “แม่น้ำโขงในฐานะทรัพยากรร่วม” มากกว่าจะมองแม่น้ำโขงเป็นทรัพยากรของประเทศใดประเทศหนึ่ง

ประเด็นเร่งด่วนที่ประชาชนผลักขึ้นโต๊ะ สารพิษจากเหมืองแร่รัฐฉาน และความเสี่ยง “อ่างเก็บน้ำพิษ”

แม้กรอบวาระอย่างเป็นทางการจะครอบคลุมความร่วมมือด้านข้อมูลและยุทธศาสตร์การบริหารจัดการลุ่มน้ำ แต่ภาคประชาสังคมและนักวิชาการในพื้นที่ภาคเหนือของไทยย้ำว่า ยังมีประเด็นหนึ่งที่ “ไม่ควรปล่อยให้เป็นเพียงรายงานสถานการณ์” นั่นคือการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำชายแดน ซึ่งมีความเกี่ยวพันโดยตรงกับวิถีชีวิตและสุขภาพของคนไทยริมโขง

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยในที่ประชุมคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยว่า ขณะนี้ไทยติดตามสถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขงอย่างใกล้ชิด หลังตรวจพบการปนเปื้อนสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานในบางจุดฝั่งไทย โดยเชื่อมโยงกับกิจกรรมเหมืองแร่ในรัฐฉานของเมียนมา

สารมลพิษดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงปัญหาคุณภาพน้ำเชิงกายภาพ แต่เชื่อมโยงกับคำถามด้านสาธารณสุขและความปลอดภัยอาหาร เนื่องจากแม่น้ำเหล่านี้เป็นทั้งแหล่งน้ำอุปโภคบริโภคและแหล่งปลาธรรมชาติของชุมชนชายแดนตอนเหนือของไทย

สทนช. ระบุว่า ไทยได้ประสานไปยังสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS) เพื่อให้เกิดการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับเมียนมา และได้ผลักดันให้มี “การติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำร่วมกัน” หรือ Joint Water Quality Monitoring (JWQM) ในระดับภูมิภาค โดยมีผู้แทนจากเมียนมาเข้าร่วม เพื่อวางระบบการวัด การเก็บตัวอย่าง และการประเมินผลกระทบอย่างเป็นทางการร่วมกัน ไม่ใช่เพียงการร้องเรียนแบบทวิภาคีระหว่างไทย–เมียนมา

อย่างไรก็ตาม แม้เมียนมาจะอยู่ในขั้นพิจารณาบันทึกแนวคิด (concept note) เพื่อนำไปสู่การเก็บข้อมูลร่วมในอนาคต ความคืบหน้ายังเป็นไปอย่างช้า ขณะที่ประชาชนริมลุ่มน้ำกก–สาย–โขงในไทยยังคงอาศัยน้ำและปลาในระบบนิเวศเดียวกันทุกวัน

ในจุดนี้ เครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (Rivers and Rights) นำโดย น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ แสดงจุดยืนชัดเจนว่า ประเด็นมลพิษโลหะหนักต้องถูกยกขึ้นเป็น “วาระทางการ” บนโต๊ะ MRC ที่เชียงราย มิใช่เพียงบันทึกท้ายห้อง เพราะนี่ไม่ใช่สถานการณ์เชิงเทคนิคอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตประจำวันของชุมชนชายแดนไทย

เธอยังเชื่อมโยงปัญหาน้ำปนเปื้อนกับโครงการเขื่อนปากแบงในแม่น้ำโขงตอนบน โดยเตือนว่า หากเดินหน้าเขื่อนตามกรอบเวลาเดิม การเปลี่ยนสภาพแม่น้ำโขงจากแม่น้ำไหลเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ อาจทำให้สารโลหะหนักและมลพิษอื่น ๆ จากต้นน้ำฝั่งเมียนมาซึ่งหลุดจากกิจกรรมเหมืองแร่นอกระบบ ไม่ได้ไหลผ่านไป แต่จะตกตะกอนและสะสมอยู่ในร่างน้ำเขื่อน รวมถึงพื้นที่ท้ายน้ำฝั่งไทย เช่น อำเภอเวียงแก่น เชียงของ และเชียงแสน

คำเตือนที่ถูกใช้คือ ภาพของ “อ่างเก็บน้ำพิษ” ซึ่งหมายถึงแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่ทำหน้าที่กักทั้งน้ำและมลพิษไว้หน้าบ้านของคนไทยชายแดน

ข้อเสนอจากฝ่ายภาคประชาชนจึงประกอบด้วยสองเงื่อนไขหลัก

  1. ไทยควรผลักให้มีการหารือร่วมกับเมียนมาอย่างเป็นทางการในกรอบ MRC ต่อการจัดการต้นตอของมลพิษจากเหมืองแร่ ไม่ใช่เพียงเก็บตัวอย่างปลายน้ำ
  2. ไทยควรเสนอให้ชะลอการเดินหน้าเขื่อนปากแบง จนกว่าจะมีคำตอบที่ชัดเจนว่าคุณภาพน้ำในร่างน้ำที่จะถูกกักเก็บและระบายออกสู่ท้ายน้ำปลอดภัยต่อสุขภาพมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

มุมมองนี้เชื่อมโยงความมั่นคงน้ำ ความมั่นคงอาหาร และความมั่นคงด้านสุขภาพสาธารณะเข้าด้วยกันอย่างชัดเจน

จากน้ำสู่แร่ ทำไมปัญหาแม่น้ำโขงถูกดึงโยงเข้ากับ MOU แร่ธาตุสำคัญไทย–สหรัฐฯ

ในห้วงเวลาเดียวกับที่รัฐบาลไทยกำลังจัดท่าทีสำหรับการประชุม MRC ที่เชียงราย ฝ่ายการเมืองและนักวิชาการระดับภูมิภาคได้ออกมาแสดงความกังวลต่อบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วย “ความร่วมมือในการกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลกและการส่งเสริมการลงทุน” ระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 ระหว่างการประชุมอาเซียนที่มาเลเซีย

รัฐบาลไทยให้เหตุผลว่า MOU ฉบับนี้จะช่วยยกระดับประเทศไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์โลก โดยเฉพาะแร่ธาตุสำคัญ (Critical Minerals) และแร่หายาก (Rare Earth Elements: REE) ซึ่งเป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีสะอาด เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ระบบป้องกันประเทศ และชิ้นส่วนแม่เหล็กถาวรในอุตสาหกรรมอวกาศและดาวเทียม

นอกจากนี้ ฝ่ายบริหารย้ำว่า MOU ฉบับนี้ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นเพียงกรอบความร่วมมือเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลทางเทคนิค การวิเคราะห์ศักยภาพแหล่งแร่ การสนับสนุนการลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาบุคลากร โดยไทยคาดหวังว่าจะต่อยอดเป็นโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานหมุนเวียน และห่วงโซ่อุตสาหกรรมสะอาดในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ถูกวิจารณ์อย่างหนัก คือข้อกังวลเรื่อง “อธิปไตยเหนือทรัพยากรใต้ดิน” เพราะตามคำอธิบายของ ส.ส.ฝ่ายค้านในพื้นที่ภาคเหนือ ข้อตกลงระบุให้สหรัฐฯ มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลเชิงพิกัดของแหล่งแร่หายากในไทยก่อน และหากพบศักยภาพ ไทยต้องแจ้งสหรัฐฯ โดยเร็วที่สุด พร้อมเปิดช่องโอกาสการลงทุนก่อนผู้เล่นรายอื่น นอกจากนี้ ในการอำนวยความสะดวกด้านการอนุญาตโครงการลงทุน ยังมีถ้อยคำที่ถูกมองได้ว่าอาจ “เร่งกระบวนการอนุมัติให้คล่องตัวมากขึ้น” ในการสำรวจและพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนสหรัฐฯ

ข้อกังวลนี้ชี้ให้เห็นปัญหาสองชั้น

  • ไทยกำลังยอมให้ต่างชาติเข้าถึงข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ของทรัพยากรสำคัญ ขณะที่กฎหมายและระบบกำกับการทำเหมืองที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในประเทศยังไม่มีความพร้อม
  • เรากำลังพูดถึงแหล่งแร่ที่หลายส่วนอาจเกี่ยวข้องกับพื้นที่ต้นน้ำของลุ่มน้ำชายแดนไทย–เมียนมา ซึ่งปัจจุบันถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นต้นตอของการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขงฝั่งไทย

นี่คือจุดที่ปัญหาน้ำ และปัญหาแร่ มาบรรจบกันโดยตรง แรร์เอิร์ธไม่ได้เป็นเพียง “โอกาสทางเศรษฐกิจแห่งอนาคต” แต่กำลังถูกมองว่าเป็น “ต้นทางของวิกฤตสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน” ของชุมชนลุ่มน้ำชายแดน

 “Critical Minerals” กับสมรภูมิมหาอำนาจ ไทยอยู่ตรงไหนในเกมนี้

ในระดับโลก “Critical Minerals” (แร่ธาตุสำคัญ) คือกลุ่มแร่เชิงยุทธศาสตร์ซึ่งหลายประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ระบุว่าเป็นทรัพยากรที่จำเป็นต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีสะอาด การผลิตพลังงานทางเลือก ไปจนถึงยุทโธปกรณ์ทางทหาร โดยกลุ่มแร่หายาก (Rare Earth Elements – REE) ซึ่งประกอบด้วยธาตุโลหะ 17 ชนิด ได้แก่ แลนทาไนด์ทั้ง 15 ชนิด ร่วมกับสแกนเดียมและอิตเทรียม จัดเป็นหัวใจของระบบแม่เหล็กถาวร มอเตอร์รถยนต์ไฟฟ้า กังหันลม เซนเซอร์ทางทหาร และชิปขั้นสูง

จีนยังครองบทบาทเหนือห่วงโซ่แร่หายากโลก ทั้งด้านเหมืองแร่ ตลอดจนการแยกถลุงและการกลั่น ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความซับซ้อนสูงและสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุด โดยข้อมูลสาธารณะในปี 2024–2025 ระบุว่าจีนผลิตแร่หายากดิบเกือบร้อยละ 70 ของโลก และควบคุมกระบวนการแปรรูปและกลั่นมากกว่าร้อยละ 90 ในหลายกลุ่มธาตุหายาก โดยเฉพาะกลุ่มธาตุหนัก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญต่ออุตสาหกรรมป้องกันประเทศและยานยนต์ไฟฟ้า

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จีนได้เข้มงวดการควบคุมการส่งออกธาตุหายากและเทคโนโลยีการแปรรูปมากขึ้น โดยอ้างเหตุผลความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมออกมาตรการควบคุมใบอนุญาตการส่งออก รวมถึงจำกัดการถ่ายทอดความรู้เชิงเทคนิคเกี่ยวกับการสกัดและการผลิตแม่เหล็กถาวรจากแร่หายากให้กับต่างชาติ. แนวทางดังกล่าวถูกวิเคราะห์ว่าเป็นเครื่องมือกดดันทางการค้าและการเมืองต่อสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร โดยเฉพาะเมื่อแรร์เอิร์ธเป็นปัจจัยผลิตสำคัญของยุทโธปกรณ์สมัยใหม่

สหรัฐฯ จึงเร่งสร้างเครือข่ายคู่ค้าที่สามารถผลิตหรืออย่างน้อยมีศักยภาพเข้าถึงและรวบรวมแร่ธาตุสำคัญได้โดยไม่ต้องพึ่งจีนเต็มรูปแบบ โดยไทยถูกจัดวางในบทบาท “หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์” ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอยู่กึ่งกลางทั้งตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ขยายตัว และแหล่งวัตถุดิบจากเมียนมาและประเทศเพื่อนบ้าน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไทยไม่ใช่แค่ประเทศที่ “มีแร่” แต่กำลังถูกมองว่าเป็นจุดเชื่อมระหว่างแหล่งวัตถุดิบ upstream (แหล่งเหมืองในเมียนมาและตามแนวตะเข็บชายแดน) กับตลาดปลายน้ำ downstream (ผู้ผลิตเทคโนโลยีสะอาดและอุตสาหกรรมขั้นสูงที่สหรัฐฯ ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขัน)

คำถามที่ยังค้างคา ใครได้ ใครเสีย จาก MOU

ฝ่ายการเมืองฝ่ายค้าน เช่น นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคประชาชน ตั้งคำถามตรงไปตรงมาว่า “ประเทศไทยได้อะไร” เมื่อในทางปฏิบัติ ประเทศอาจต้องเปิดข้อมูลเชิงพื้นที่ของแหล่งแร่หายาก ให้สิทธิการเข้าถึงโครงการก่อนผู้เล่นรายอื่น และอำนวยความสะดวกด้านการอนุญาตทางกฎหมายให้กับผู้ลงทุนสหรัฐฯ ในขณะที่ผลประโยชน์ที่ไทยได้รับ ถูกอธิบายกว้าง ๆ ว่าเป็น “โอกาสทางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมสะอาด และการถ่ายทอดเทคโนโลยี”

เขายังตั้งข้อสังเกตว่า ภายในประเทศยังไม่มีกรอบกฎหมายเฉพาะด้านแร่หายากหรือแร่ธาตุสำคัญที่จะกำหนดเรื่องความปลอดภัยสิ่งแวดล้อม สิทธิชุมชนชายแดน การแบ่งผลประโยชน์ และการตรวจสอบย้อนกลับของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain traceability) ว่าแร่ที่ไหลเข้ามาในประเทศมีที่มาถูกต้องหรือเชื่อมโยงกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่

ประเด็น “การตรวจสอบย้อนกลับ” สำคัญอย่างยิ่ง เพราะในปัจจุบัน แร่ในกลุ่ม Critical Minerals (CTM) ที่เข้าสู่ชายแดนไทย–เมียนมา ไม่ได้มีเพียงการนำเข้าอย่างเป็นทางการ แต่ยังมีการคาดการณ์ว่ามีการนำเข้าแบบไม่เป็นทางการจำนวนมาก ซึ่งหมายความว่า ตัวเลขทางการของกรมศุลกากรอาจเป็นเพียง “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” ของปริมาณแร่ที่เคลื่อนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทยจริง ๆ

ในเชิงโครงสร้าง นักวิชาการเตือนว่า หากไทยยอมรับบทบาท “ทางผ่านแร่” หรือ “ฐานแปรรูปเบื้องต้น” เพื่อป้อนให้ห่วงโซ่อุตสาหกรรมสะอาดระดับโลก แต่ไม่ยกระดับมาตรการสิ่งแวดล้อม มาตรฐานความปลอดภัยของชุมชน และการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ไทยอาจไม่ต่างอะไรจาก “จุดยอมรับความเสี่ยง” ที่ต้องรับภาระมลพิษ ขณะที่มูลค่าเพิ่มขั้นสูงและอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจกลับไปอยู่ในมือตลาดปลายทาง

 

มิติสิ่งแวดล้อม บทเรียนจากเหมืองแรร์เอิร์ธโลก

ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ในระดับสากลสะท้อนตรงกันว่า การทำเหมืองและการสกัดแร่หายากเป็นกิจกรรมที่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อมสูงมาก ทั้งการขุดหน้าดิน การชะล้างด้วยสารเคมี และการแยกสกัดจนได้ธาตุเป้าหมายบริสุทธิ์ โดยในบางรูปแบบจะอัดสารเคมีอย่างแอมโมเนียมซัลเฟตลงในชั้นดินหรือหินเพื่อชะละลายโลหะ ก่อนจะสูบน้ำปนสารละลายขึ้นมาผ่านกระบวนการแยกซ้ำหลายรอบ

งานศึกษานานาชาติที่ถูกอ้างถึงอย่างแพร่หลาย เช่น รายงานของ Yale Environment 360 และการทบทวนโดย Harvard International Review ระบุว่า การผลิตแร่หายาก 1 ตัน สามารถปล่อยมลพิษรูปแบบต่าง ๆ ปริมาณสูงมาก ได้แก่ “ฝุ่นโลหะประมาณ 13 กิโลกรัม, ก๊าซของเสีย 9,600–12,000 ลูกบาศก์เมตร, น้ำเสียราว 75 ลูกบาศก์เมตร และกากของเสียกัมมันตรังสีประมาณ 1 ตัน” ซึ่งหมายความว่าหากพื้นที่ขุดไม่มีระบบควบคุมมลพิษ น้ำเสียเหล่านี้จะไหลลงสู่แม่น้ำหรือน้ำใต้ดิน ก่อให้เกิดการปนเปื้อนโลหะหนักและสารกัมมันตรังสีในระบบนิเวศ และส่งผลต่อสุขภาพของชุมชนในระยะยาว

จีนเป็นตัวอย่างที่ถูกหยิบยกบ่อยที่สุดในเวทีสิ่งแวดล้อมโลก เนื่องจากพื้นที่ทำเหมืองแร่หายากจำนวนมากในจีน โดยเฉพาะทางตอนใต้ เคยเผชิญการทำเหมืองผิดกฎหมายหรือกึ่งถูกกฎหมายเป็นเวลายาวนาน ส่งผลให้ดิน น้ำ และอากาศปนเปื้อนในระดับที่บางชุมชนไม่สามารถกลับไปทำเกษตรหรือใช้น้ำผิวดินได้อย่างปลอดภัย จนรัฐบาลจีนต้องเข้มงวดมาตรฐานสิ่งแวดล้อม และในช่วงหลังได้ประกาศควบคุมการส่งออกและการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการสกัดแร่หายาก โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคงและการปกป้องสิ่งแวดล้อม

บทเรียนนี้ถูกนักวิชาการสิ่งแวดล้อมในไทยหยิบมาเตือนเช่นกัน โดยชี้ว่าหากไทยจะเดินหน้าสู่การเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุตสาหกรรมแร่หายากและแร่ธาตุสำคัญ จำเป็นต้องมีหลักเกณฑ์สิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้แก่ ขั้นตอนสำรวจ การขุด การจัดการหางแร่ การบำบัดน้ำเสีย การควบคุมฝุ่นโลหะหนักและสารกัมมันตรังสี ตลอดจนการฟื้นฟูพื้นที่หลังเหมือง ไม่ใช่เพียง “เงื่อนไขรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) บนกระดาษ” แต่ต้องครอบคลุมถึงผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) และการเปิดให้ชุมชนท้องถิ่นมีสิทธิร่วมตัดสินใจ

แนวคิด “การยอมรับทางสังคม” (social license to operate) จึงเริ่มถูกพูดถึงในบริบทไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ตอนบน ซึ่งถูกระบุว่ามีการพบแหล่งศักยภาพของธาตุในกลุ่มแร่หายากกระจายตัวอยู่หลายพื้นที่ แม้ยังไม่เข้าสู่การทำเหมืองเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ

ช่องว่างเชิงกฎหมาย ใครควบคุม ใครรับผิดชอบ

ประเด็นหนึ่งที่สะท้อนชัดจากเสียงวิจารณ์ คือ ประเทศไทยยังไม่มี “กฎหมายเฉพาะด้านแร่หายาก/แร่ธาตุสำคัญ” ที่ผสานมิติสิ่งแวดล้อม สิทธิชุมชน ความมั่นคง และการแบ่งปันผลประโยชน์ ขณะที่พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 แม้กำหนดขั้นตอนการอนุญาตสำรวจและทำเหมือง แต่ยังไม่พอสำหรับประเด็นใหม่ของศตวรรษที่ 21 เช่น การตรวจสอบย้อนกลับห่วงโซ่อุปทาน (supply chain traceability) หรือมาตรฐาน “แร่สะอาด” ที่คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเงื่อนไขทางการค้าสำคัญในสหรัฐฯ และยุโรปอยู่แล้ว

กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ไทยกำลังพิจารณาเปิดทางคู่วิเทศเพื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแร่ยุทธศาสตร์ระดับโลก ในช่วงเวลาที่ระบบคุ้มครองภายในประเทศยังไม่สมบูรณ์ เมื่อประกอบกับข้อเท็จจริงว่าปลายน้ำของกระบวนการสกัดแร่หายากมีความเสี่ยงปนเปื้อนโลหะหนักและกัมมันตรังสีสูง ยิ่งทำให้คำถามด้านความเป็นธรรมต่อชุมชนชายแดนและชุมชนท้องถิ่นทวีความสำคัญ

นี่คือเหตุผลว่าทำไมทั้งนักการเมืองฝ่ายค้านและนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมต่างเสนอให้รัฐบาล “ชะลอการเปิดเหมืองแร่หายากในประเทศ” จนกว่าจะมีการจัดทำกรอบกฎหมายลูก มาตรการสิ่งแวดล้อม และระบบตรวจสอบสิทธิมนุษยชนที่ชัดเจน

เสียงจากพื้นที่ ภาระที่คนชายแดนไม่ได้เป็นผู้ก่อ

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และเครือข่ายปกป้องแม่น้ำกก–สาย–รวก–โขง ตั้งข้อสังเกตว่าสถานการณ์ปัจจุบันกำลังผลักให้ประชาชนในลุ่มน้ำกก-สาย-โขงของไทยต้อง “รับภาระสองชั้น” คือ

  • ชั้นแรก รับมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในเมียนมา ทั้งโลหะหนักและสารพิษที่ปนเปื้อนสู่แม่น้ำต้นน้ำซึ่งไหลเข้าสู่เขตไทย
  • ชั้นที่สอง ต้องถูกคาดหวังให้ยอมรับบทบาทพื้นที่ชายแดนในฐานะส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุสำคัญระดับโลก ภายใต้กรอบความร่วมมือไทย–สหรัฐฯ ที่ยังไม่มีคำอธิบายชัดเจนเรื่องกลไกปกป้องสิ่งแวดล้อม สิทธิชุมชน และสุขภาพ

เขาเสนอให้รัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ต้องเปิดเผยแผนดำเนินการของ MOU อย่างโปร่งใสต่อสาธารณะ พร้อมทั้งยุติการนำเข้าแร่ CTM จากเมียนมาชั่วคราว และเปิดเผยที่ตั้งเหมืองที่เป็นต้นทางของแร่นำเข้า เพื่อพิสูจน์ความเชื่อมโยงระหว่างมลพิษในแม่น้ำฝั่งไทยกับการทำเหมืองต้นน้ำ

ข้อเสนอนี้มุ่งวาง “การคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชน” เป็นเงื่อนไขตั้งต้น ไม่ใช่ผลพวงที่ต้องมารับภายหลัง

ถ้อยคำที่ถูกใช้สะท้อนมุมมองเชิงสิทธิอย่างชัดเจน นี่ไม่ใช่เพียงการแบ่งปันผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่คือการแบ่งปันความเสี่ยงระหว่างรัฐกับประชาชน

จุดตัดก่อนถึงเชียงราย คำถามสุดท้ายสู่โต๊ะ MRC

เมื่อมองภาพรวม การประชุมคณะมนตรี MRC ที่เชียงรายในวันที่ 25–27 พฤศจิกายน 2568 จึงมีเดิมพันสูงกว่าที่ตัวชื่อการประชุมบอกไว้

ไทยจะสามารถผลักดันให้ปัญหามลพิษโลหะหนักจากเหมืองแร่ในเมียนมา ซึ่งกำลังไหลลงสู่ลุ่มน้ำกก–สาย–โขงและกระทบประชาชนไทยชายแดนภาคเหนือ กลายเป็นวาระหารือเชิงนโยบายระดับภูมิภาคได้จริงหรือไม่ ไม่ใช่เพียงรายงานสถานการณ์ในวาระอื่น และไทยจะยกประเด็น “ความเสี่ยงอ่างเก็บน้ำพิษ” จากการเดินหน้าเขื่อนปากแบงในแม่น้ำโขงตอนบน ขึ้นสู่โต๊ะเจรจาอย่างเป็นทางการได้หรือไม่ โดยชี้ว่าประเด็นนี้ไม่ใช่แค่โครงสร้างพลังงาน แต่คือความปลอดภัยของน้ำที่ชุมชนชายแดนต้องใช้ทุกวัน ส่วนไทยจะสามารถเชื่อม “MOU แร่ธาตุสำคัญ” ที่ลงนามกับสหรัฐฯ ให้สอดคล้องกับหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนในลุ่มน้ำโขงได้อย่างไร โดยเฉพาะในมิติสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน การเปิดเผยข้อมูลแหล่งแร่ และการมีส่วนร่วมของประชาชนท้องถิ่น ก่อนจะเร่งวางประเทศไทยไว้ในฐานะจุดเชื่อมของห่วงโซ่อุปทานแร่ระดับโลก

และสี่ คือ รัฐบาลไทยพร้อมหรือยังที่จะยอมรับว่า ความมั่นคงด้านน้ำ ความมั่นคงด้านพลังงาน และความมั่นคงด้านแร่ธาตุสำคัญทางยุทธศาสตร์ ไม่ได้เป็นคนละวาระอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องเดียวกันในสายตาของชุมชนลุ่มน้ำโขง ซึ่งใช้แม่น้ำเพื่อดื่ม กิน ทำมาหากิน และยังต้องอยู่กับผลพวงจากการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐไปอีกหลายสิบปี

การประชุมเชียงรายปลายเดือนพฤศจิกายนจึงไม่ใช่เพียงพิธีการ หากเป็นบททดสอบว่าประเทศไทยจะเจรจาในนามของรัฐเพียงอย่างเดียว หรือเจรจาในนามของประชาชนลุ่มน้ำกก–สาย–โขงด้วย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Mekong River Commission (MRC) Secretariat: สำหรับข้อมูลการประชุมและ JWQM
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.): สำหรับรายงานสถานการณ์น้ำและการประสานกับเมียนมา
  • Stimson Center: สำหรับข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมาและแผนที่ลุ่มน้ำ
  • Mongabay, Al Jazeera, New York Times, NPR, DW: สำหรับรายงานมลพิษและสถิติผลกระทบ
  • Business & Human Rights Resource Centre และ International Crisis Group: สำหรับข้อมูลเขื่อนปากแบง
  • U.S. Department of State และ White House Fact Sheet: สำหรับรายละเอียด MOU ไทย-สหรัฐ
  • มูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (Rivers and Rights): สำหรับคำสัมภาษณ์ นส.เพียรพร ดีเทศน์
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง: สำหรับคำสัมภาษณ์ ดร.สืบสกุล กิจนุกร
  • ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย: สำหรับคำสัมภาษณ์ ดร.สนธิ คชวัฒน์
  • พรรคประชาชน: สำหรับคำสัมภาษณ์ นายภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงรายมีทางออก! MRC จัดเวทีระดมสมองแก้ปัญหามลพิษแม่น้ำกก-โขง

เปิดฉาก “โต๊ะกลม MRC–ภาคประชาสังคม” เชียงราย วางหมุดหมายแก้ปัญหาน้ำข้ามพรมแดนแม่น้ำกก–โขง ดัน “ชุมชนเป็นแกนกลาง” คุมคุณภาพน้ำและจัดการความเสี่ยงอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 –ร้าน “Melt In Your Mouth” ริมน้ำกกค่อยๆ แน่นขนัดไปด้วยผู้คนหน้าตาคุ้นในแวดวงน้ำของภาคเหนือ—เจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการผืนดินล้านนา ผู้นำท้องถิ่น เครือข่ายภาคประชาสังคม ไปจนถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยว—ที่ต่างแบก “โจทย์เดียวกัน” มาพูดคุยบนโต๊ะเดียว: จะร่วมกันแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก–ลำน้ำสาขา และเชื่อมโยงออกสู่แม่น้ำโขงได้อย่างไรให้ยั่งยืน เป็นรูปธรรม และ “นำโดยชุมชน”

เวทีวันนี้จัดโดย สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat: MRCS) ในรูปแบบ MRC–CSO Roundtable Discussion โดยมี นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) MRCS และ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมดำเนินวงเสวนา พร้อมหัวหน้าส่วนราชการจากหลายหน่วย งานวิชาการ และเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก–โขงเข้าร่วมอย่างคับคั่ง เพื่อ “ต่อจิ๊กซอว์” ข้ามพรมแดนและระดับมาตรการ ตั้งแต่ข้อมูลคุณภาพน้ำเชิงประจักษ์ไปจนถึงแนวทางปฏิบัติในชุมชน และการเชื่อมกับยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคของ MRC ที่กำลังเตรียมฉบับถัดไปปี 2026–2030

“เวทีนี้มีคุณค่าเพราะเปิดกว้างให้เห็นต่างอย่างสร้างสรรค์ บนฐานของความเคารพและการเป็นหุ้นส่วน” ผู้บริหาร MRCS ย้ำบนเวทีถึงบทบาทของพื้นที่กลางเช่นนี้ที่ตั้งใจให้ชุมชน นักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน “ได้ฟังกันจริงๆ” ก่อนขยับไปสู่แนวทางร่วมที่ทำได้ในชีวิตจริง

แม่น้ำกกในภาวะกดดันหลายมิติ

คำถามชวนคิด: เมื่อ น้ำที่ใช้ดื่ม ใช้ทำนา เลี้ยงปลา และพานักท่องเที่ยวล่องแพ เป็นแหล่งเดียวกัน เราจะตรวจวัด–แจ้งเตือน–และตัดสินใจใช้อย่างไรให้ “ปลอดภัยพอ” สำหรับแต่ละกิจกรรม?

ตลอดปีที่ผ่านมา แม่น้ำกกและตอนล่างที่ไหลลงโขงถูกจับตาเข้มข้นจากสังคมไทยและนานาชาติจาก รายงานสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐาน ในหลายจุดตรวจของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะผลตรวจที่เผยแพร่โดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ผ่านสื่อ ระบุว่า พบค่า As เกินค่ามาตรฐานน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค (0.01 มก./ลิตร) ใน 11 จุดตรวจ บางช่วงมีค่าสูงถึง 0.187–0.200 มก./ลิตร ซึ่งเกินเกณฑ์น้ำดื่มอย่างมีนัยสำคัญ สร้างแรงกดดันให้หน่วยงานไทยเร่งตั้ง “ระบบตรวจติดตามร่วม–แจ้งเตือน–และฟื้นฟู” ทั้งในและข้ามพรมแดนอย่างเป็นระบบมากกว่าที่เคยทำมา

ปัจจัยกดดันของแม่น้ำกกไม่ได้มาจากมิติเดียว หากเป็น “ชั้นๆ” ของกิจกรรมมนุษย์ที่ซ้อนทับกัน—ตั้งแต่ขยะชุมชนที่ไหลลงลำน้ำ การชะล้างสารเคมีเกษตรจากพื้นที่ต้นน้ำ ไปจนถึงแรงเหวี่ยงจากการท่องเที่ยว และ มลพิษข้ามพรมแดนจากกิจกรรมเหมืองในรัฐฉาน ซึ่งถูกจับตาว่าเกี่ยวเนื่องกับการพบโลหะหนักในช่วงก่อนหน้าและทำให้รัฐบาลไทยต้องเดินเกมทวิ–พหุภาคีคู่ขนานกับมาตรการภายในประเทศเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาน้ำสายนี้อย่างใกล้ชิด

เห็นต่างให้เป็นพลัง” รูปแบบเสวนาที่พาชุมชนยืนกลางเวที

เวทีโต๊ะกลมครั้งนี้ออกแบบให้มี 2 ช่วงหลัก:

  • ช่วงปรึกษาหารือ (Consultation) เปิดพื้นที่ให้ผู้ที่อยู่ “หน้าด่าน” ของปัญหา—เกษตรกร ชาวประมง บุคลากรสาธารณสุข และหน่วยงานประปา—เล่า “ความจริงในพื้นที่” ทั้งสัญญาณเตือนและช่องว่างที่พบ
  • ช่วงร่วมกันแก้ (Joint Solutions) นำเสนอทางออกสั้นกระชับจากคณะกรรมการลุ่มน้ำ ชุมชน องค์กรทั้งใน–ต่างประเทศ และสถาบันการศึกษา ก่อนแตกกลุ่มย่อยแปลง “ความเห็นร่วม” เป็น ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (actionable) ที่จับต้องได้

ประเด็นใหญ่ ที่เด่นชัดคือ “การทำให้ข้อมูลไหลลื่น” ระหว่างพื้นที่–จังหวัด–ส่วนกลาง–ระดับลุ่มน้ำ และการสื่อสารความเสี่ยงที่เข้าใจง่ายสำหรับชุมชน โดยเฉพาะในเวลาวิกฤตที่ปริมาณฝนสูง น้ำหลากเร็ว และจำเป็นต้อง “ตัดสินใจในหลักชั่วโมง” เช่น การงดใช้น้ำดิบบางจุดชั่วคราว การตั้งจุดจ่ายน้ำสะอาดฉุกเฉิน หรือการเปลี่ยนแผนให้น้ำการเกษตรตามคุณภาพน้ำจริง

เชื่อมพื้นที่สู่ยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำบทของ MRC และกลไกระดับชาติ

หลายความเห็นในเวทีชี้ว่า การจะ “ข้ามพรมแดน” ให้ได้จริงต้องมีกลไกกลางที่ทั้ง 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงยอมรับร่วมกัน MRC ในฐานะองค์กรระหว่างรัฐบาลของ กัมพูชา–ลาว–ไทย–เวียดนาม ถูกออกแบบมาเพื่อบทบาทนั้น—เป็น เวทีทางการทูตน้ำ (water diplomacy) และ คลังความรู้ ให้การบริหารลุ่มน้ำโขงอิงหลักฐานและความร่วมมือมากกว่าความรู้สึกหรือการเมืองระยะสั้น

กรอบวางแผนลุ่มน้ำของ MRC ปัจจุบันยึด Basin Development Strategy (BDS) 2021–2030 ซึ่งต่างจากฉบับก่อนหน้าเพราะวางระยะยาว 10 ปี มุ่ง “การลงมือ” เพื่อลดความเสี่ยงสิ่งแวดล้อม–สังคมจากการพัฒนาในลุ่มน้ำ พร้อมเร่งเครื่องระบบข้อมูลและการเตือนภัย โดยหลังปี 2025 จะก้าวสู่ แผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ 2026–2030 ที่อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นและเตรียมยกร่าง เวทีเชียงรายครั้งนี้จึงเป็น “ชิ้นส่วน” สำคัญในการนำเสียงชุมชนเข้ากรอบยุทธศาสตร์ภูมิภาคตั้งแต่ต้นน้ำของนโยบาย

ฝั่งไทย บทบาทของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย (Thai National Mekong Committee) คือการเชื่อมข้อเสนอ–ข้อมูลจากพื้นที่เข้าสู่โต๊ะเจรจาระดับประเทศและ MRC ควบคู่กับการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการในประเทศให้สอดรับกัน เช่น ระบบเตือนภัยเฉพาะพื้นที่และแผนฟื้นฟูคุณภาพน้ำเชิงรุกในช่วงฤดูฝนที่น้ำหลากเร็ว

ตัวเลขที่ทำให้การตัดสินใจ “ไวขึ้น–แม่นขึ้น”

  • 11 จุดตรวจ ในแม่น้ำกกที่พบ สารหนูเกินมาตรฐานน้ำดื่ม (0.01 มก./ลิตร) โดยบางช่วงมีค่าสูงสุด ราว 0.187–0.200 มก./ลิตร — สะท้อนให้เห็นความจำเป็นของ มาตรการเฉพาะพื้นที่–ช่วงเวลา แทนการสื่อสาร “ห้าม/ได้” แบบเหมารวม เพื่อป้องกันความเสียหายทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจชุมชน (เช่น ประมง–ท่องเที่ยว) ในวงกว้าง
  • ท่าทีรัฐไทย: รัฐบาลสั่ง เร่งติดตามคุณภาพน้ำ–ฟื้นฟู–และหารือข้ามแดน อย่างต่อเนื่อง เพื่อคลี่คลายวิกฤตและคืนความเชื่อมั่นต่อแหล่งน้ำหลักของชีวิตภาคเหนือและลุ่มโขงตอนล่าง
  • สถานะ MRC: เป็น แพลตฟอร์มการทูตน้ำและองค์ความรู้ ของ 4 ประเทศลุ่มโขง ตามความตกลงแม่น้ำโขง (1995 Mekong Agreement) ซึ่งสนับสนุนการวางแผน–พัฒนาลุ่มน้ำบนฐานหลักฐาน และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นระบบ

5 ข้อเสนอเชิงปฏิบัติจากวงเสวนาทำวันนี้ พรุ่งนี้เห็นผล

  1. แปลงข้อมูลให้ใช้การได้ในพื้นที่ – จัดทำ แดชบอร์ดคุณภาพน้ำเชิงพื้นที่ ที่ “อ่านง่าย ตัดสินใจไว” แยกตามประเภทการใช้ (อุปโภคบริโภค–เพาะปลูก–ประมง–นันทนาการ) พร้อมสีสัญญาณแบบเดียวกันทั้งจังหวัด และ ลิงก์ข้อมูลแบบเปิด ไปยังระดับลุ่มน้ำเพื่อเสริมการตัดสินใจเชิงนโยบาย
  2. เตือนภัยแบบรวมศูนย์–กระจายเสียงแบบกระจายศูนย์ – เมื่อผลตรวจพบ “สัญญาณเสี่ยง” ให้ ประกาศเตือนรายตำบล/รายจุด ผ่านช่องทางราชการและชุมชน (หอกระจายข่าว–ไลน์กลุ่มอสม.–เทศบาล) อีกชั้น เพื่อให้การปรับพฤติกรรมเกิดขึ้นจริงในครัวเรือนและฟาร์ม
  3. ตั้ง “อาสาน้ำชุมชน” คู่กับหน่วยงาน – ชุมชนจัดทีม เก็บตัวอย่าง–อ่านค่าเบื้องต้น–รายงานผล ร่วมกับ อบต./เทศบาล–สาธารณสุข–ประปา เพื่ออุดช่องว่าง “เวลา-พื้นที่” ของการตรวจทางการ และสร้างความไว้วางใจในข้อมูล
  4. เชื่อมการทูตชุมชน–ชาติ–ภูมิภาค – เมื่อปัญหามีมิติข้ามพรมแดน ให้ สทนช. และ กต. ใช้เสียงจากเวทีชุมชนเป็น “ข้อมูลเชิงสังคม” ส่งเข้าสู่ โต๊ะ MRC ควบคู่กับข้อมูลเทคนิค เพื่อเร่งกลไกติดตาม–แจ้งเตือนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยยึดหลักความโปร่งใสและประโยชน์ร่วม
  5. เยียวยา–พยุงเศรษฐกิจฐานน้ำ – ระหว่างคลี่คลายคุณภาพน้ำ ต้องมีมาตรการชั่วคราวสำหรับครัวเรือน–ผู้ประกอบการที่พึ่งพาน้ำ เช่น จุดจ่ายน้ำสะอาด–กองทุนหมุนเวียนฟื้นฟูประมง–มาตรการตลาดช่วยเหลือ เพื่อกันความเสียหายไม่ให้ลุกลามเป็น “ปัญหาใหม่”

บทบาทคีย์แมนและ “จังหวะ” เชิงยุทธศาสตร์

การที่ MRCS หยิบเวทีเชียงรายขึ้นมาในจังหวะที่กำลังเตรียม ยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำชุดใหม่ (2026–2030) ทำให้ข้อเสนอจากพื้นที่ “มีทางไป” สู่เอกสารนโยบายภูมิภาคตั้งแต่ต้นทาง—เป็นโอกาสแปลง เสียงของชุมชน เป็น มาตรการระดับลุ่มน้ำ ไม่ใช่เพียงเวที “รายงานปัญหาแล้วแยกย้าย” เหมือนที่หลายชุมชนคุ้นชินมานาน ขณะเดียวกัน การนำโดยผู้บริหาร MRCS คนไทยอย่าง คุณบุษฎี สันติพิทักษ์ (CEO) ซึ่งเข้ารับบทบาทเมื่อช่วงต้นปีนี้ ช่วย “เชื่อมภาษา” ระหว่างเวทีท้องถิ่น–ชาติ–ภูมิภาคได้ลื่นไหลขึ้น ทั้งในแง่การสื่อสารสาธารณะและการประสานงานหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำโขง

ด้าน สทนช. ในฐานะผู้ถือพวงมาลัยด้านนโยบายน้ำของประเทศและฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย มีภารกิจเร่งรัด ระบบเตือนภัย–การฟื้นฟู–และการเจรจาร่วม ให้ “ทันฤดูกาล” โดยเฉพาะช่วงฝนหลงฤดู–น้ำหลากเร็วที่ความเสี่ยงเพิ่มทวี เพื่อปกป้องชีวิต–สุขภาพ–และฐานเศรษฐกิจชุมชนลุ่มน้ำกก–โขงไปพร้อมกัน

จาก “เวทีพูดคุย” สู่ “ข้อตกลงทำจริง”

ท้ายเวที ผู้จัดสรุป “การบ้าน” 3 แพ็กเกจที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมในหลักการ และเริ่ม ตั้งทีมทำงานเฉพาะกิจ นำไปสู่การทดลองปฏิบัติ (pilot) ใน จุดเสี่ยงสำคัญของแม่น้ำกก ทันทีในฤดูฝนนี้ ได้แก่

  1. แพลตฟอร์มข้อมูล/สื่อสารความเสี่ยงแบบรวมศูนย์ของจังหวัด ที่ดึงข้อมูลจากทุกหน่วยเข้า “หน้าจอเดียวกัน” เปิดสาธารณะและส่งเข้าลุ่มน้ำ,
  2. อาสาน้ำชุมชน ในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อเพิ่มความถี่การเฝ้าระวังและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในข้อมูล, และ
  3. โรดแมปประสานข้ามแดน เชื่อมไทย–ประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านช่องทางทวิภาคีและช่องทาง MRC อย่างต่อเนื่อง

คำถามปลายเปิดที่ยังทิ้งไว้ให้ทำร่วมกันคือ: เราจะทำให้ข้อมูลไหลไปเร็วเท่าน้ำหลากได้อย่างไร? และ จะทำให้การเตือนภัยกลายเป็นการ “เปลี่ยนพฤติกรรมจริง” ในครัวเรือน–ไร่นา–ท่าเรือท่องเที่ยว ได้อย่างไร—คำถามเหล่านี้อาจไม่ใช่ “โจทย์เทคนิค” ล้วนๆ แต่เป็นโจทย์ความไว้เนื้อเชื่อใจและการออกแบบการสื่อสารกับมนุษย์ ที่ต้องทำซ้ำๆ ให้ติดมือ ติดตา และ “ติดนิสัย” ของทั้งรัฐและชุมชน

อย่างไรก็ดี การมีทั้ง แพลตฟอร์มการทูตน้ำระดับภูมิภาค (MRC) และ กลไกชาติ–จังหวัด–ชุมชน ที่ยอมรับร่วมกัน กำลังทำให้ “ข้อเสนอจากเชียงราย” วันนี้มี ทางเดินชัดเจน สู่การเป็น มาตรการจริง ที่ช่วยให้คน–ปลา–และสายน้ำอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนขึ้น

เชิงอรรถนโยบายทำไม “กรอบ MRC” จึงสำคัญกับแม่น้ำกก

  • บทบาท MRC: ทำหน้าที่เวทีกลางการทูตน้ำและคลังความรู้ภายใต้ความตกลงปี 1995 ของ กัมพูชา–ลาว–ไทย–เวียดนาม ช่วยลดความเสี่ยงจากโครงการพัฒนาและสร้างระบบเตือนภัย–ข้อมูลร่วมทั้งลุ่มน้ำ
  • BDS 2021–2030: ยุทธศาสตร์ 10 ปีฉบับแรกของลุ่มน้ำโขง วางทิศทาง “ลงมือจริง” ในประเด็นคุณภาพน้ำ ระบบข้อมูล และการมีส่วนร่วมผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งกำลังป้อนเข้าสู่ ยุทธศาสตร์ 2026–2030 ผ่านเวทีรับฟังหลายระดับรวมถึงเวทีเชียงรายครั้งนี้
  • โครงสร้างไทย: สทนช. เชื่อมเสียงพื้นที่เข้าสู่ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย และโต๊ะ MRC ควบคู่ขับเคลื่อนแผนในประเทศ—ตั้งแต่เตือนภัยเฉพาะพื้นที่ถึงฟื้นฟูคุณภาพน้ำ—ให้สอดรับกับฤดูกาลและวิถีชุมชนลุ่มน้ำกก–โขง

สรุปสำหรับผู้อ่านเชิงลึก

  • ประเด็นหลัก: เวที MRC–CSO Roundtable เชียงราย สร้าง “ทางร่วม” ระหว่างชุมชน–รัฐ–นักวิชาการ–เอกชน สำหรับแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกที่โยงสู่โขง โดยเน้นข้อมูล–เตือนภัย–และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
  • ความเร่งด่วน: ข้อมูลสารหนูปนเปื้อน 11 จุด กับค่าสูงสุดราว 0.2 มก./ลิตร เทียบมาตรฐานน้ำดื่ม 0.01 มก./ลิตร ทำให้การตัดสินใจเชิงพื้นที่–เชิงเวลา และการสื่อสารความเสี่ยงแบบเข้าใจง่าย “จำเป็นทันที”
  • โอกาสเชิงโครงสร้าง: การยกร่างยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำฉบับใหม่ของ MRC 2026–2030 เปิดหน้าต่างให้เสียงชุมชนจากเชียงราย ถูกฝัง ลงในนโยบายภูมิภาคที่มีผลจริง
  • ทางเดินต่อไป: ตั้งทีมทำงานทดลอง แดชบอร์ดข้อมูล–เตือนภัย–อาสาน้ำชุมชน และเชื่อมทวิ–พหุภาคีผ่าน สทนช.–MRC เพื่อคลี่คลายปัญหาเชิงระบบ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • ข้อมูลจากภาคประชาสังคมและหน่วยงานท้องถิ่นที่เข้าร่วมการประชุม

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News