Categories
ECONOMY

จับตาธุรกิจร้านอาหารปี 68 โตแต่แข่งสูง รายใหญ่สู้รายเล็ก

ทีทีบีเผย ธุรกิจร้านอาหารไทยปี 2568 โต 6.12 แสนล้านบาท ชี้ตลาดแข่งเดือด รับยุคใหม่ Next Era

ประเทศไทย, 12 พฤษภาคม 2568 – ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มธุรกิจร้านอาหารไทยประจำปี 2568 โดยคาดการณ์ว่าธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยจะยังคงเติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่อง และมีมูลค่ารวมสูงถึง 6.12 แสนล้านบาทในปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมถึงลักษณะพิเศษของอาหารซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นที่มีความต้องการจากผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา

รายงานดังกล่าวยังได้วิเคราะห์สถานการณ์ในปีที่ผ่านมา (2567) ว่า แม้ปัญหาด้านต้นทุนวัตถุดิบต่าง ๆ จะเริ่มลดลง แต่ราคาสินค้าในธุรกิจร้านอาหารส่วนใหญ่ยังไม่ได้ปรับลดราคาลงตามต้นทุนที่ลดลงแต่อย่างใด ซึ่งกลายเป็นปัจจัยบวกสำคัญที่ทำให้ธุรกิจร้านอาหารยังคงเติบโตได้ดีต่อเนื่องมาถึงปีนี้

การขยายตัวของตลาดร้านอาหาร ส่งผลการแข่งขันสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทีทีบีชี้ว่าการเติบโตที่เกิดขึ้นได้สร้างการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดร้านอาหารไทย โดยเฉพาะในด้านอุปทาน เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารมีข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดต่ำ หรือที่เรียกว่าการมี No Barrier to Entry ซึ่งหมายความว่า ผู้ประกอบการรายใหม่สามารถเปิดกิจการได้โดยง่าย และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่าจำนวนร้านอาหารในประเทศไทยเพิ่มขึ้นจาก 333,000 ร้านในปี 2562 เป็นกว่า 405,000 ร้านในปี 2567 และมีแนวโน้มจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การแข่งขันในตลาดสูงขึ้นและสร้างแรงกดดันต่อผู้ประกอบการเดิม โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่ที่เคยมีความได้เปรียบจากทำเลที่ตั้งที่ดีและภาพลักษณ์ Premium

รายใหญ่รับผลกระทบ รายกลาง-รายเล็กโตสวนกระแส

รายงานของศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มร้านอาหารรายกลางและรายเล็กกลับสามารถปรับตัวและจับกลยุทธ์ใหม่ที่เรียกว่า Premium Mass & Niche Market ได้ดีกว่ารายใหญ่ โดยอาศัยเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มเดลิเวอรีที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สามารถสร้างฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังตั้งราคาขายตามกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

จากการวิเคราะห์พบว่าธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่ที่มีการเติบโตเฉลี่ยเพียง 4.0% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2562 ขณะที่กลุ่มร้านอาหารรายกลางและรายเล็กกลับเติบโตสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัดถึง 7.0% และ 7.5% ตามลำดับ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในตลาดร้านอาหารไทยได้เป็นอย่างดี

ร้านอาหารรายใหญ่ปรับกลยุทธ์สู่ตลาด Mass

จากการแข่งขันที่รุนแรงดังกล่าว ทำให้ธุรกิจร้านอาหารรายใหญ่จำเป็นต้องปรับตัวโดยนำกลยุทธ์ใหม่เข้ามาใช้ คือการจับตลาด Mass หรือ Everyday Integration Strategy ผ่านการสร้างเมนูที่ง่ายต่อการบริโภค เข้าถึงลูกค้าทั่วไปได้ในชีวิตประจำวัน และใช้แพลตฟอร์ม Food delivery เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะสูญเสียลูกค้าในกลุ่ม Premium บางส่วนให้แก่ผู้ประกอบการรายเล็กและรายกลาง แต่สามารถเข้าถึงกลุ่ม Mass ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่กว่าและมีโอกาสในการขยายตัวต่อเนื่องมากกว่า

จากทำเลสู่แพลตฟอร์มเดลิเวอรี โอกาสใหม่ของธุรกิจร้านอาหาร

อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่รายงานชี้ให้เห็น คือ การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจร้านอาหารจากการอาศัยทำเลที่ตั้งที่เคยมีความสำคัญในอดีต (Traditional Location-Based Advantage) ไปสู่การให้บริการอาหารผ่านแพลตฟอร์มเดลิเวอรี (Democratizing Food Delivery) ทำให้ร้านอาหารไม่จำเป็นต้องมีทำเลที่ดีอีกต่อไป ผู้ประกอบการสามารถลดต้นทุนหน้าร้าน และขยายการเข้าถึงลูกค้าในวงกว้างได้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดธุรกิจรูปแบบใหม่ เช่น Cloud Kitchen หรือ Ghost Kitchen ที่สามารถแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดจากร้านอาหารที่มีทำเลดีเดิมได้ง่ายขึ้นมาก

กระแสนิยม การแข่งขันแบบใหม่ระยะสั้น

ขณะเดียวกันในยุคที่ธุรกิจร้านอาหารเข้าสู่ Next Era ยังเกิดกระแสนิยมร้านอาหารใหม่ๆ ที่เน้นการลงทุนในระยะสั้นและเกาะกระแสความนิยมชั่วคราว (Trend-based Business) ส่งผลให้ร้านอาหารรูปแบบนี้เข้ามาแย่งอุปสงค์จากร้านอาหารที่มีอยู่เดิม และสร้างวัฏจักรใหม่ของการเกิดร้านอาหารที่มีการแข่งขันแบบต่อเนื่องตามกระแสที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา

วิเคราะห์อนาคตตลาดร้านอาหารไทย

จากรายงานนี้ ทีทีบีชี้ชัดว่า ธุรกิจร้านอาหารไทยกำลังเผชิญกับจุดเปลี่ยนสำคัญ โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการทุกรายจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์เชิงรุก ใช้การตลาดและการสร้างแบรนด์ที่เข้มข้น เพื่อรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดของตนเองในอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้อง

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ปี 2567 ระบุว่า จำนวนร้านอาหารในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5.3% ตั้งแต่ปี 2562 ถึงปี 2567 และคาดการณ์ว่าในปี 2568 ตลาดจะเติบโตถึง 612,000 ล้านบาท (ที่มา: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) 
  • ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ปี 2567 
  • KANJO Review
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

CopsCombat2025 ตำรวจไทยโชว์บู๊ ‘เชียงราย’ โชว์เหนือมีคว้าทองกลับบ้าน

ตำรวจเชียงรายคว้าชัย Cops Combat 2025 รุ่นน้ำหนักเกิน 85 กก.” สร้างชื่อเสียงในเวทีระดับประเทศ

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – รายงานข่าวจากกรุงเทพมหานครระบุว่า การแข่งขันกีฬาศิลปะการต่อสู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในรายการ “Cops Combat 2025” ซึ่งจัดขึ้น ณ เวทีมวยราชดำเนิน เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจจากทั่วประเทศ โดยเฉพาะในรอบชิงชนะเลิศที่มีการประลองฝีมืออย่างเข้มข้นจากผู้เข้าแข่งขันหลากหลายสังกัด ซึ่งหนึ่งในไฮไลต์ของการแข่งขันคือชัยชนะของเจ้าหน้าที่ตำรวจจากจังหวัดเชียงราย

ตำรวจภูธรภาค 5 สร้างผลงานโดดเด่น

ในการแข่งขันครั้งนี้ ข้าราชการตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 5 จังหวัดเชียงราย ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมแข่งขันจำนวน 2 นาย ใน 2 รุ่นน้ำหนัก ได้แก่

  1. ส.ต.อ.เมธาสิทธิ์ กาวี ตำแหน่ง ผบ.หมู่ (ป.) สภ.เวียงชัย จังหวัดเชียงราย คว้าชัยชนะในรุ่นน้ำหนักเกิน 85 กิโลกรัม ได้อย่างสง่างาม
  2. ร.ต.อ.เขตต์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา รองสารวัตร นปพ. ภ.จว.เชียงราย ทำหน้าที่เป็นโค้ชผู้จัดการทีม และเข้าร่วมแข่งขันในรุ่นน้ำหนักไม่เกิน 56 กิโลกรัม

สำนักงานตำรวจภูธรจังหวัดเชียงรายได้แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของ ส.ต.อ.เมธาสิทธิ์ ที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่หน่วยงานในระดับประเทศ และได้ให้กำลังใจแก่ ร.ต.อ.เขตต์ ในการแข่งขันครั้งต่อไป

บรรยากาศการแข่งขันคึกคักท่ามกลางเสียงเชียร์

การแข่งขัน Cops Combat 2025 จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ เวทีมวยราชดำเนิน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากหลากหลายสังกัด ทั้งชายและหญิง เข้าร่วมแข่งขันในรายการดังกล่าวจำนวนมาก การแข่งขันแบ่งออกเป็นทั้งหมด 16 รุ่นน้ำหนัก รวมกว่า 48 คู่แข่งขัน โดยการแข่งขันในแต่ละคู่ดำเนินไปในรูปแบบ 1 ยก ใช้เวลาชก 3 นาที เพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันสามารถแสดงทักษะการต่อสู้ป้องกันตัวในเวลาจำกัด

บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความคึกคัก สนุกสนาน และเต็มเปี่ยมไปด้วยเสียงเชียร์จากเพื่อนร่วมอาชีพและประชาชนที่เดินทางมาร่วมชมอย่างเนืองแน่น โดยเฉพาะในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เวลา 13.30 น. เป็นต้นไป ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมอย่างยิ่ง

Cops Combat กีฬาที่พัฒนาทักษะพร้อมเสริมสร้างร่างกายและจิตใจ

โครงการ “Cops Combat” เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมกีฬาประจำปีของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทบทวนและฝึกฝนทักษะการต่อสู้ป้องกันตัว ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะในการเผชิญเหตุการณ์ฉุกเฉิน การควบคุมสถานการณ์ และการรับมือกับผู้กระทำผิด

การแข่งขันยังเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพร่างกาย ความแข็งแรง และความมั่นใจในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งเสริมสร้างความสามัคคีในหมู่ตำรวจจากหลากหลายพื้นที่ทั่วประเทศ

ผู้เข้าแข่งขันจากทั่วประเทศรวมพลังในสนามเดียวกัน

ผู้มีสิทธิ์เข้าแข่งขันในรายการนี้ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ อาทิ

  • กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1-9
  • กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.)
  • กองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.)
  • กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.)
  • กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (บช.ตชด.)
  • กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว (บช.ทท.)
  • กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)
  • โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (รร.นรต.)
  • รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ภายใต้สำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

การรวมตัวกันของเจ้าหน้าที่จากหลากหลายสังกัดเช่นนี้ ส่งผลให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และเป็นโอกาสในการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างพื้นที่

ผบ.ตร.ร่วมเปิดการแข่งขัน มอบขวัญกำลังใจนักกีฬา

ในพิธีเปิดการแข่งขัน ได้รับเกียรติจาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มาเป็นประธานในพิธี โดยกล่าวเปิดการแข่งขันอย่างเป็นทางการ พร้อมกล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทุ่มเทฝึกซ้อมและเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ จะทำหน้าที่มอบเหรียญรางวัลให้กับผู้ชนะการแข่งขันในแต่ละรุ่น เพื่อเป็นเกียรติประวัติและเป็นขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานต่อไป

ตำรวจรุ่นใหม่กับความพร้อมรอบด้าน

การแข่งขัน Cops Combat ไม่ได้เป็นเพียงเวทีกีฬาธรรมดา แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของการพัฒนาข้าราชการตำรวจไทยรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ พร้อมรับมือกับสถานการณ์ความไม่สงบในสังคมอย่างมืออาชีพ

ชัยชนะของตำรวจเชียงรายในครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่เหรียญรางวัล แต่ยังสะท้อนถึงคุณภาพของกำลังพลและการฝึกฝนที่เข้มข้นในระดับพื้นที่ ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้หน่วยงานในภูมิภาคอื่นๆ เดินหน้าในการพัฒนาบุคลากรด้านทักษะการต่อสู้เชิงยุทธวิธีต่อไป

สถิติที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขัน

  • ผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดในรายการ Cops Combat 2025: 96 คน (ชาย/หญิง)
  • แบ่งการแข่งขันออกเป็น 16 รุ่นน้ำหนัก
  • แข่งขันแบบ 1 ยก 3 นาที จำนวน 48 คู่
  • รุ่นน้ำหนักเกิน 85 กก. มีผู้เข้าแข่งขัน 6 คน
  • ส.ต.อ.เมธาสิทธิ์ กาวี ชนะคะแนนแบบเอกฉันท์ในรอบชิงชนะเลิศ
  • ผู้ชมในเวทีมวยราชดำเนินประมาณ 1,200 คน
  • มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก 13 กองบัญชาการ และ 5 โรงเรียนตำรวจ เข้าร่วมการแข่งขัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

  • กองประชาสัมพันธ์ ตร.

  • ผู้สื่อข่าวสนามเวทีมวยราชดำเนิน

  • สำนักงานตำรวจภูธรภาค 5

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

ต่างชาติเที่ยวไทยน้อยลง เหตุราคาแพงขึ้น ร้านสายเขียวเยอะ

วิกฤตการท่องเที่ยวไทย นักท่องเที่ยวต่างชาติร้องราคาแพง ระบบล้าหลัง และปัญหากัญชา กระทบภาพลักษณ์เชียงรายและจุดหมายอื่นๆ

เชียงราย, 30 เมษายน 2568 – อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจของชาติ กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติแสดงความไม่พอใจต่อประสบการณ์การท่องเที่ยวในไทย โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอย่างเชียงราย กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียและสื่อต่างๆ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาหลัก 4 ประการ ได้แก่ ราคาที่พุ่งสูงเกินเหตุ ระบบราคาสองมาตรฐาน ระบบการท่องเที่ยวที่ล้าหลัง และผลกระทบจากกลิ่นกัญชาที่แพร่กระจายในแหล่งท่องเที่ยว ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานักท่องเที่ยว แต่ยังทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ความรุ่งเรืองและความท้าทายของการท่องเที่ยวไทย

ประเทศไทยเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ “คุ้มค่า” ที่สุดในโลก ด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ชายหาดที่สวยงาม อาหารรสเลิศ และการต้อนรับที่อบอุ่น จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดร่องขุ่น แม่น้ำโขง และชุมชนชาติพันธุ์ที่เต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรม ได้กลายเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่แสวงหาประสบการณ์ที่แตกต่างจากเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างกรุงเทพฯ หรือภูเก็ต

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยเริ่มเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะหลังจากการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 การเพิ่มขึ้นของราคาค่าบริการ ระบบที่ล้าสมัย และปัญหาใหม่ๆ เช่น การแพร่กระจายของกัญชาในที่สาธารณะ ได้จุดกระแส “คนต่างชาติไม่เที่ยวไทย” ซึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะจากโพสต์ของเพจ Bangkok Post Learning ที่มีชื่อว่า Thailand faces lower tourist numbers ซึ่งได้รับความคิดเห็นเกือบ 2,000 ข้อความ ส่วนใหญ่สะท้อนถึงความไม่พอใจต่อประสบการณ์การท่องเที่ยวในปัจจุบัน

สี่ปัญหาหลักที่ทำลายความน่าสนใจของการท่องเที่ยวไทย

จากการสำรวจของ กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งคัดเลือกความคิดเห็นประมาณ 800 ข้อความจากโพสต์ดังกล่าว และใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดกลุ่มปัญหา พบว่ามี 4 ปัญหาหลักที่นักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยเองแสดงความกังวล

  1. ราคาที่พุ่งสูงเกินเหตุ นักท่องเที่ยวจำนวนมากระบุว่า ประเทศไทยไม่ใช่จุดหมายที่ “คุ้มค่า” อีกต่อไป โดยเฉพาะราคาที่พักและอาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด นักท่องเที่ยวชาวยุโรปรายหนึ่งเล่าว่า โรงแรมที่เกาะสมุยที่เขาเคยพักในราคาคืนละ 2,000 บาทเมื่อ 5 ปีก่อน ขณะนี้มีราคาสูงถึง 6,000 บาทต่อคืน อีกคนระบุว่า ค่ารับประทานอาหารเย็นสำหรับสองคนในพัทยาสูงถึง 7,000 บาท โดยไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นอกจากนี้ ค่าตั๋วเครื่องบินก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่สร้างความกังวล นักท่องเที่ยวชาวอเมริกันกล่าวว่า เขาเคยจ่ายเพียง 300 ดอลลาร์สำหรับตั๋วไปไทย แต่ปัจจุบันต้องจ่ายเกือบ 1,000 ดอลลาร์ ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษต้องจ่ายถึง 1,200 ปอนด์ (ประมาณ 54,000 บาท) สำหรับตั๋วเครื่องบินในปีนี้ คนไทยเองก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน ชายไทยรายหนึ่งระบุว่า “แม้แต่คนไทยอย่างผมยังไม่สามารถเที่ยวในประเทศตัวเองได้ ราคาที่พักสูงเกินไป โดยเฉพาะช่วงวันหยุด” หญิงไทยอีกคนเสริมว่า “เป็นคนไทยแท้ๆ แต่ฉันยังแทบไม่มีปัญญาซื้อตั๋วเครื่องบินหรือจองโรงแรมดีๆ ไปเที่ยวชายหาดทางภาคใต้”
  2. ระบบราคาสองมาตรฐาน ระบบ “ราคาไม่มีมาตรฐาน” ที่แบ่งแยกระหว่างคนไทยและชาวต่างชาติเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกวิจารณ์อย่างหนัก นักท่องเที่ยวชาวเยอรมันเล่าว่า เขาต้องจ่าย 200 บาทเพื่อเข้าอุทยานแห่งชาติ ขณะที่แฟนของเขาจ่ายเพียง 40 บาทเพราะหน้าตาคล้ายคนไทย “นี่คือการเลือกปฏิบัติชัดๆ” เขากล่าว ปัญหานี้ยังขยายไปถึงร้านอาหารและบริการขนส่ง ซึ่งมักเรียกเก็บราคาสูงจากชาวต่างชาติ
  3. ระบบที่ล้าหลังและยุ่งยาก ระบบวีซ่าและการเข้าเมือง เช่น ระบบ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) และการลงทะเบียนออนไลน์ที่ต้องทำล่วงหน้า 3 วันก่อนเดินทาง ถูกมองว่าเป็นอุปสรรคสำคัญ นักท่องเที่ยวชาวเยอรมันระบุว่า “มันเป็นความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะสำหรับผู้สูงอายุที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยี” การลดระยะเวลาวีซ่าท่องเที่ยวจาก 60 วันเหลือ 30 วันยังสร้างความไม่พอใจให้กับนักท่องเที่ยวระยะยาว
  4. ปัญหากัญชาและภาพลักษณ์ การเปิดเสรีกัญชาในประเทศไทยถูกมองว่าส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว คุณแม่ชาวออสเตรเลียเล่าว่า “ครอบครัวเราไม่สนุกกับการได้กลิ่นกัญชาทุกที่ที่เราไป โดยเฉพาะกับลูกเล็ก” นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษเสริมว่า “มันไม่ใช่ประเทศไทยที่ผมจำได้ ตอนนี้มีคนเมากัญชาอยู่ทั่วไป” ปัญหานี้ถูกมองว่าดึงดูด “นักท่องเที่ยวไม่มีคุณภาพ” และทำลายบรรยากาศของแหล่งท่องเที่ยว

ความพยายามแก้ไขและโอกาสในการฟื้นฟู

เพื่อตอบสนองต่อปัญหาเหล่านี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เริ่มดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูภาพลักษณ์และดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ

นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า การลดลงของนักท่องเที่ยวจากตลาดหลักอย่างจีน ซึ่งลดลงเฉลี่ย 17% ในไตรมาสแรกของปี 2568 สร้างความกังวลอย่างมาก เนื่องจากจีนเป็นตลาดที่สร้างรายได้สำคัญให้กับไทย อย่างไรก็ตาม เธอมองว่าวิกฤตนี้เป็นโอกาสในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ โดยเฉพาะการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากยุโรป เช่น สวีเดน ซาอุดีอาระเบีย ออสเตรีย และสหราชอาณาจักร ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 10% ในไตรมาสที่สองของปี 2568

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า ททท. ได้ดำเนินแคมเปญเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการ สวัสดี หนีห่าว ที่ใช้ศิลปินชื่อดังอย่างหลัวอวิ๋นซีเป็นสื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ รวมถึงการจัดงานฉลองความสัมพันธ์ไทย-จีนครบรอบ 50 ปี นอกจากนี้ ททท. ยังสนับสนุนนโยบาย เที่ยวไทยคนละครึ่ง ซึ่งรัฐบาลจะสมทบค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว 50% เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ

นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการกิตติมศักดิ์ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เสนอว่า ประเทศไทยควรพิจารณานโยบายคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติในลักษณะเดียวกับจีนและญี่ปุ่น ซึ่งสามารถกระตุ้นการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การที่จีนอนุญาตให้คืนภาษี 13% และญี่ปุ่นมีระบบช้อปปิ้งปลอดภาษีที่ฟื้นตัวถึง 219% ในปี 2568 เป็นตัวอย่างที่ไทยควรศึกษา

นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว เช่น การจัดการขยะและมลพิษ รวมถึงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ทางเท้าและระบบขนส่งสาธารณะ จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว การควบคุมการใช้กัญชาในที่สาธารณะและการกำหนดมาตรฐานราคาที่เป็นธรรมจะเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูภาพลักษณ์ของไท

7 เหตุผลหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยว “เชียงราย” น้อยลง

ทางนครเชียงรายนิวส์ได้ เปิดโอกาสให้โลกโซเชียลได้ลองแสดงความเห็นการท่องเที่ยงในจังหวัดเชียงรายว่ามองเห็นในด้านไหนบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่มองเป็นเรื่องการขาดการจัดการและวิสัยทัศน์อย่างเป็นระบบ หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง ฟื้นฟูธรรมชาติ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และสร้างแผนประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงโลก เชียงรายจะกลับมาเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศได้อีกแน่นอน โดยพบ 7 เหตุผลหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยว “เชียงราย” น้อยลง ดังนี้

  1. เที่ยวได้แค่ฤดูหนาว ไม่มีกิจกรรมตลอดปี
    จังหวัดเชียงรายยังคงพึ่งพา “ฤดูหนาว” เป็นจุดขายหลัก งานเทศกาลดอกไม้ ลอยกระทง หรือกิจกรรมที่จัดขึ้นมักมีแค่ช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ฤดูกาลอื่นแทบไม่มีการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน นักท่องเที่ยวต่างชาติจึงไม่เห็นความคุ้มค่าในการเดินทางมาเที่ยวตลอดทั้งปี
  2. ขนส่งสาธารณะไม่เอื้ออำนวย
    จากสนามบินไปตัวเมือง หรือจากในเมืองไปแหล่งท่องเที่ยว ขนส่งสาธารณะขาดประสิทธิภาพ รถสองแถวมีน้อย รถแท็กซี่แทบไม่มี ตุ๊กตุ๊กราคาแพง รถเช่าก็ไม่ครอบคลุม ทำให้การเดินทางต้องพึ่งพารถส่วนตัวเป็นหลัก นักท่องเที่ยวที่ไม่มีข้อมูลหรือไม่มีคนพาไป จะรู้สึกว่า “เชียงรายเที่ยวยาก”
  3. สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมและไร้การดูแล
    หมอกควัน PM2.5 น้ำเสียจากการจัดร้านอาหารริมแม่น้ำ การรุกพื้นที่ป่าเพื่อสร้างคาเฟ่หรือรีสอร์ต รวมถึงอากาศเป็นพิษจากไฟป่า ล้วนทำลายความงามของธรรมชาติแบบดั้งเดิม นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ต้องการเที่ยวเชิงอนุรักษ์จึงเบือนหน้าหนี
  4. ไม่มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวใหม่
    สถานที่ที่ยังคงได้รับความนิยม เช่น วัดร่องขุ่น บ้านดำ สิงห์ปาร์ค หรือดอยตุง ถูกกล่าวถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่มีจุดขายใหม่ๆ เพิ่มเติม ในขณะที่จังหวัดอื่นอย่างเชียงใหม่หรือแม่ฮ่องสอนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมใหม่ตลอดเวลา เชียงรายกลับยังย่ำอยู่กับที่
  5. ขาดการประชาสัมพันธ์และความเข้าใจการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ
    หลายงานในพื้นที่ไม่มีการโปรโมตที่ดี ชาวบ้านบางคนไม่รู้แม้แต่ว่ามีกิจกรรมจัดขึ้น การสื่อสารไม่ทั่วถึง นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ไม่รู้ว่าควรไปไหน ไม่มีภาษาอังกฤษประกอบ ไม่มีแพลตฟอร์มดิจิทัลรองรับการค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
  6. ราคาสูง คุณภาพไม่ตามราคา
    อาหารในหลายพื้นที่แพงเกินคุณภาพ โรงแรมบางแห่งราคาไม่สมเหตุสมผล อาหารไม่มีความโดดเด่นด้านรสชาติ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า “ไม่คุ้มค่า” แม้ค่าที่พักจะถูกกว่าจังหวัดอื่นแต่ประสบการณ์โดยรวมกลับไม่ประทับใจ
  7. ระบบราชการขาดวิสัยทัศน์และความจริงใจในการพัฒนา
    หน่วยงานราชการที่ควรจะเป็นตัวขับเคลื่อนกลับขาดเป้าหมาย ขาดรสนิยม และไม่มีความเข้าใจจริงต่อการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไปในยุคปัจจุบัน แหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่กลับถูกทำลาย หรือพัฒนาแบบผิดทิศผิดทาง เช่น การสร้างร้านอาหารในแม่น้ำ แพอาหารในน้ำตก โดยไม่คำนึงถึงระบบนิเวศ

บทสรุป การฟื้นฟูการท่องเที่ยวเชียงราย ต้องเริ่มที่ราก

เชียงรายมีศักยภาพด้านธรรมชาติและวัฒนธรรมที่โดดเด่นไม่แพ้จังหวัดใดในประเทศ แต่วิธีคิด การบริหารจัดการ และการเชื่อมโยงกับนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นล้าหลังเกินไป
หากต้องการให้เชียงรายกลับมาเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก รัฐต้องลงมาจัดการจริงจัง ประชาชนต้องร่วมขับเคลื่อน และภาคธุรกิจต้องมีความรับผิดชอบต่อธรรมชาติ
มิฉะนั้น “เชียงราย” จะกลายเป็นเพียงความทรงจำในหน้าหนาว…ที่ไม่มีใครอยากกลับมาอีก

ความท้าทายและโอกาส

ปัญหาที่นักท่องเที่ยวหยิบยกขึ้นมาสะท้อนถึงความท้าทายที่ซับซ้อนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ซึ่งสามารถวิเคราะห์ได้ในหลายมิติ:

มิติด้านเศรษฐกิจ การเพิ่มขึ้นของราคาค่าบริการเป็นผลจากภาวะเงินเฟ้อทั่วโลกและต้นทุนที่สูงขึ้นหลังโควิด-19 อย่างไรก็ตาม การที่ราคาเพิ่มขึ้นเกินกว่าอัตราเงินเฟ้อปกติอาจทำให้ไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับเวียดนาม ฟิลิปปินส์ หรือกัมพูชา ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าและโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว

มิติด้านภาพลักษณ์ การแพร่กระจายของกัญชาและระบบราคาสองมาตรฐานทำให้ประเทศไทยถูกมองว่าไม่เป็นมิตรกับครอบครัวและนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง การที่นักท่องเที่ยวเปรียบเทียบไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งมีบริการที่สะอาด ปลอดภัย และมีมาตรฐานสูงกว่า สะท้อนถึงความจำเป็นในการยกระดับคุณภาพการท่องเที่ยว

มิติด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบวีซ่าและการลงทะเบียนที่ยุ่งยาก รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย เช่น ทางเท้าที่ชำรุดและชายหาดที่สกปรก เป็นอุปสรรคที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน การลงทุนในเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยว

โอกาสในการฟื้นฟู การลดลงของนักท่องเที่ยวจากจีนเป็นโอกาสให้ไทยหันไปเจาะตลาดยุโรปและตะวันออกกลาง ซึ่งมีกำลังซื้อสูงและสนใจประสบการณ์ท่องเที่ยวที่เน้นวัฒนธรรมและความยั่งยืน นโยบายคืนภาษีและการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ความกังวลของนักท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยเองมีเหตุผลที่สมควรในการแสดงความไม่พอใจต่อราคาที่สูงเกินเหตุ ระบบที่ล้าหลัง และปัญหากัญชา ความคาดหวังของพวกเขาคือการได้รับประสบการณ์ที่คุ้มค่าและสะดวกสบาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยเคยทำได้ดีในอดีต

ความพยายามของหน่วยงานไทย


หน่วยงานอย่าง ททท. และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แสดงถึงความพยายามในการแก้ไขปัญหาผ่านแคมเปญประชาสัมพันธ์และนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว เช่น เที่ยวไทยคนละครึ่ง และการเจาะตลาดใหม่ การที่ไทยยังคงมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 9.5 ล้านคนในไตรมาสแรกของปี 2568 แสดงถึงศักยภาพที่ยังคงแข็งแกร่ง

ทัศนคติเป็นกลาง ความกังวลของนักท่องเที่ยวเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ ซึ่งหน่วยงานไทยควรใช้เป็นโอกาสในการปรับปรุงคุณภาพการท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน ความพยายามของหน่วยงานในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและพัฒนานโยบายใหม่เป็นก้าวที่ถูกต้อง การแก้ไขปัญหาจะต้องเน้นที่การสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความคุ้มค่าและการยกระดับคุณภาพ เพื่อให้ประเทศไทยกลับมาเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกชื่นชอบ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทย ในไตรมาสแรกของปี 2568 ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 9.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน สร้างรายได้ 471,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2568)
  2. การลดลงของนักท่องเที่ยวจีน ตลาดนักท่องเที่ยวจากจีน ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลีใต้ และเวียดนาม ลดลงเฉลี่ย 17% ในไตรมาสแรกของปี 2568 เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยและจำนวนเที่ยวบินที่ลดลง (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, 2568)
  3. มูลค่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว การใช้จ่ายปลอดภาษีในญี่ปุ่นฟื้นตัว 219% ในเดือนมีนาคม 2568 เมื่อเทียบกับปี 2562 โดย 50% มาจากนักท่องเที่ยวจีน (ที่มา: Global Blue, 2568)
  4. ผลกระทบของโครงสร้างพื้นฐานต่อการท่องเที่ยว การสำรวจของ World Travel & Tourism Council (WTTC) ในปี 2567 พบว่า 65% ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย เช่น ระบบวีซ่าออนไลน์และการคมนาคมที่สะดวก (ที่มา: WTTC Global Tourism Report, 2567)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI HEALTH

ลาบเมืองเหนือใครสุด เชียงรายแข่งครั้งแรก ชวนกินสุกปลอดภัย

วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ร่วมงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568”

เมื่อวันเสาร์ที่ 5 เมษายน 2568 เวลา 17.00 น. ณ ลานกิจกรรม ล้านเมืองไนท์มาร์เก็ต จังหวัดเชียงราย ตลาดล้านเมืองได้จัดงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1 ประจำปี 2568” โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย มอบหมายให้นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิดงาน พร้อมด้วยนายไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการทั่วไปตลาดล้านเมือง กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงาน ซึ่งประกอบด้วยส่วนราชการ สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไปที่ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

การแข่งขันครั้งนี้มีทีมเข้าร่วมทั้งสิ้น 10 ทีม ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้เป็น “สุดยอดทีมลาบ” เพื่อชิงตำแหน่งแชมป์สล่าลาบคนแรกของตลาดล้านเมือง โดยรางวัลสูงสุดเป็นถ้วยรางวัลชนะเลิศจากนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมเงินรางวัล 5,000 บาท รายชื่อทีมที่เข้าร่วมแข่งขันประกอบด้วย 1. ทีมลาบตาลตะวัน 2. ทีมลาบโสภี 3. ทีมลาบรูปหล่อ (โดย ตำแรด สาขาเชียงราย) 4. ทีมเสน่ห์ลาบ 5. ทีมแจ๊คคาราบาว 6. ทีมลาบลุงพันธ์ 7. ทีมดาขันข้าว 8. ทีมป้อหลวงตั้ม 9. ทีมลาบไว้ลาย และ 10. ทีมลาบป่าบงหลวง

คณะกรรมการและผลการแข่งขัน

การตัดสินการแข่งขันครั้งนี้ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวัฒนธรรม อาหาร และการท่องเที่ยว ดังรายนามต่อไปนี้:

  1. คุณนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย
  2. คุณพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย
  3. คุณเสริฐ ไชยยานันตา ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย
  4. คุณณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  5. คุณไพโรจน์ หาญพิทักษ์วงศ์ ผู้จัดการทั่วไป (ตลาดล้านเมือง)
  6. ผศ.กนกวรรณ ปลาศิลา อาจารย์ประจำสาขาวิชาคณะคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
  7. คุณกิตติ โชติชินสิริ ผู้จัดการร้านลาบลุงน้อย
  8. คุณพรศักดิ์ นันตะรัตน์ ผู้ช่วยผู้จัดการ (ตลาดล้านเมือง)
  9. คุณภัทราพร พวงมาลา หัวหน้าฝ่ายล้านเมืองไนท์วิลเลจและการตลาดประชาสัมพันธ์

ผลการแข่งขันมีดังนี้:

  • รางวัลชนะเลิศ: ทีมลาบตาลตะวัน
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1: ทีมเสน่ห์ลาบ
  • รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมแจ๊คคาราบาว
  • รางวัลลาบลีลา: ทีมดาขันข้าว
  • รางวัลชมเชย: ทีมลาบรูปหล่อ (โดย ตำแรด สาขาเชียงราย)
  • รางวัลประกาศนียบัตร: ทีมป้อหลวงตั้ม, ทีมลาบลุงพันธ์, ทีมลาบไว้ลาย, ทีมลาบป่าบงหลวง และทีมลาบโสภี

วัตถุประสงค์และความสำคัญของงาน

การจัดงาน “มหกรรมแข่งขันลาบ ล้านเมือง ครั้งที่ 1” มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้านของล้านนา โดยเฉพาะเมนูลาบที่มีความเป็นเอกลักษณ์และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ยังเป็นการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมอันดีงามให้คงอยู่สืบไป รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของจังหวัด โดยดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวในพื้นที่ นอกพื้นที่ และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เข้ามาร่วมสัมผัสประสบการณ์วัฒนธรรมท้องถิ่น

นายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยทีมงานนักวิชาการวัฒนธรรม ได้แก่ นายสุพจน์ ทนทาน, นายอภิชาต กันธิยะเขียว และนางสาวสุทธิดา ตราชื่นต้อง ได้เข้าร่วมงานเพื่อสนับสนุนการเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารพื้นบ้าน และเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษาคุณค่าทางวัฒนธรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาสุขภาพของชุมชน

วัฒนธรรมการกินดิบ ความนิยมที่แพร่หลายในกลุ่มวัยรุ่น

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วัฒนธรรมการบริโภคอาหารดิบ โดยเฉพาะเมนูลาบดิบ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในหมู่วัยรุ่น ซึ่งมองว่าการกินดิบเป็นทั้งประสบการณ์ที่แปลกใหม่และเป็นการเชื่อมโยงกับรากเหง้าทางวัฒนธรรมของล้านนา ความเผ็ดร้อนและรสชาติที่เข้มข้นของลาบดิบ รวมถึงความรู้สึกถึงความดั้งเดิม ทำให้เมนูนี้กลายเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสัมผัสวิถีชีวิตแบบพื้นบ้าน

อย่างไรก็ตาม การบริโภคอาหารดิบอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น การติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ หรือการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรีย เช่น ซาลโมเนลลา และอีโคไล ซึ่งพบได้บ่อยในเนื้อสัตว์ที่ไม่ผ่านการปรุงสุก ดังนั้น การรักษาความสวยงามของวัฒนธรรมการทำลาบพื้นบ้านไว้ โดยปรับเปลี่ยนให้ปลายทางเป็นเมนูที่ปรุงสุก จึงเป็นทางเลือกที่สามารถคงเอกลักษณ์ของรสชาติและวิธีการปรุงแบบดั้งเดิมไว้ได้ พร้อมทั้งยกระดับความปลอดภัยด้านสุขภาพในเวลาเดียวกัน

กิ๋นสุก เป๋นสุข” ชวนเปลี่ยนเมนูดิบสู่เมนูสุก อร่อยและปลอดภัย

ภายในงานนี้ยังมีการรณรงค์แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” ซึ่งเป็นแนวคิดที่เชิญชวนให้ประชาชนหันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร จากเมนูดิบสู่เมนูที่ปรุงสุก เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ โดยยังคงรักษาความอร่อยและเอกลักษณ์ของอาหารพื้นบ้านไว้ แคมเปญนี้ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อห้ามการกินดิบโดยสิ้นเชิง แต่เน้นให้ทุกคนลองลดการบริโภคอาหารดิบ และทดลองนำเมนูดิบที่คุ้นเคยมาปรุงให้สุก เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น

ตัวอย่างเช่น ลาบดิบที่ปกติใช้เนื้อดิบเป็นส่วนประกอบหลัก สามารถปรับเป็นลาบสุกโดยนำเนื้อไปย่างหรือต้มให้สุกก่อน แล้วปรุงรสด้วยเครื่องเทศตามสูตรดั้งเดิม ซึ่งยังคงความเผ็ดจัดจ้านและกลิ่นหอมของสมุนไพรไว้ได้อย่างครบถ้วน การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ นี้ไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงจากเชื้อโรค แต่ยังคงความสวยงามของวัฒนธรรมการปรุงอาหารล้านนาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

กินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องเสียรสชาติที่คุ้นเคย

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป๋นสุข” เน้นย้ำว่า การกินอาหารสุกไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก และไม่จำเป็นต้องเสียรสชาติที่ทุกคนชื่นชอบไป การปรุงอาหารให้สุกด้วยความร้อนที่เหมาะสมสามารถฆ่าเชื้อโรคและพยาธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ลดทอนคุณค่าทางโภชนาการหรือความอร่อยของเมนูพื้นบ้าน เมนูอย่างแหนมหมกไข่ หรือก้อยดิบ ก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นเมนูสุกได้ เช่น การนึ่งหรืออบ ซึ่งยังคงรสชาติที่เข้มข้นและถูกปากคนไทยไว้เช่นเดิม

“เราต้องการให้ทุกคนเห็นว่าการกินอาหารสุกเป็นเรื่องง่าย และยังคงความอร่อยแบบที่คุ้นเคยไว้ได้ แคมเปญนี้จะช่วยจุดประกายให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจสุขภาพ โดยไม่ต้องละทิ้งวัฒนธรรมการกินที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา” ตัวแทนจากสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายกล่าว

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ในปี 2567 พบผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงทั่วประเทศกว่า 800,000 ราย โดยส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการบริโภคอาหารดิบหรือปรุงไม่สุก นอกจากนี้ โรคพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งพบมากในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีผู้ป่วยสะสมกว่า 6 ล้านคนทั่วประเทศ (ที่มา: กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, รายงานสถานการณ์โรคประจำปี 2567)

รายงานจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยทั่วโลกกว่า 600 ล้านรายต่อปี โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย มีผู้ป่วยจากอาหารไม่ปลอดภัยถึง 150 ล้านรายต่อปี (ที่มา: WHO, Food Safety Factsheet, 2020)

แคมเปญ “กิ๋นสุก เป็นสุข” จึงเป็นแนวทางที่ผสานทั้งการอนุรักษ์วัฒนธรรมและการส่งเสริมสุขภาพอย่างลงตัว เพื่อให้คนไทยทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นที่เริ่มหันมาสนใจอาหารพื้นบ้าน ได้รับประโยชน์ทั้งจากรสชาติที่คุ้นเคยและความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการจัดการนวัตกรรมการสื่อสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) รุ่นที่ 6

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

เชียงรายดังไกล “MY DANCE” คว้าชัย เวทีเต้นเอเชียตีตั๋วไประดับโลก

เด็กเชียงรายเก่งระดับโลก ความสำเร็จจาก MY DANCE ACADEMY ในการแข่งขัน UDO ASIA-PACIFIC STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2025

ชลบุรี, 6 เมษายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมนักเต้นเยาวชนจาก MY DANCE ACADEMY จังหวัดเชียงราย ได้สร้างผลงานอันน่าประทับใจและน่าภาคภูมิใจในการแข่งขัน UDO ASIA-PACIFIC STREET DANCE CHAMPIONSHIPS 2025 ซึ่งจัดขึ้น ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ศรีราชา อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ระหว่างวันที่ 3-6 เมษายน 2568 การแข่งขันครั้งนี้เป็นเวทีระดับนานาชาติที่รวบรวมตัวแทนนักเต้นสตรีทแดนซ์จากทั่วทุกมุมโลก เพื่อชิงชัยความเป็นหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และคัดเลือกทีมที่โดดเด่นเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน UDO World Championships 2025 ณ ประเทศอังกฤษ ทีมจาก MY DANCE ACADEMY ไม่เพียงแต่คว้ารางวัลสำคัญถึง 4 รางวัลเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวแทนจากภาคเหนือของประเทศไทยที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดเชียงรายและประเทศไทยในเวทีระดับโลก

การแข่งขันครั้งนี้จัดโดย United Dance Organisation (UDO) ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรชั้นนำด้านการเต้นสตรีทแดนซ์ระดับโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมศักยภาพของเยาวชนผ่านการเต้น อีกทั้งยังมุ่งหวังให้เยาวชนไทยรู้จักใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ พัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม สร้างวินัยในตนเอง และส่งเสริมการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี นอกจากนี้ ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนและพัฒนาศักยภาพของบุตรหลานในมุมมองใหม่ๆ ที่ไม่จำกัดเพียงแค่ด้านวิชาการเท่านั้น

ความสำเร็จอันน่าภาคภูมิใจของ MY DANCE ACADEMY

ทีมจาก MY DANCE ACADEMY ซึ่งประกอบด้วยนักเต้นเยาวชนและผู้ใหญ่จากจังหวัดเชียงราย ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ในการแข่งขันครั้งนี้ โดยสามารถคว้ารางวัลใหญ่ถึง 4 รางวัล และมีอีก 2 ทีมที่สร้างสีสันบนเวที

รายชื่อสมาชิกทีมและผลงาน

ทีม MY DANCE ACADEMY ประกอบด้วยสมาชิกหลากหลายวัย ซึ่งแต่ละคนมีส่วนร่วมในการสร้างผลงานอันน่าประทับใจ ดังนี้

Myda Crew Junior ( rank 10 ) รุ่น Under 12

  1. น้องโฟกัส เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ อายุ 8 ปี ชั้น ป.2/2 โรงเรียนศิริมาตย์เทวี
  2. วิปครีม เด็กหญิงชนัญชิดา กองสุวรรณ์ อายุ 10 ขวบ ชั้นป.4 โรงเรียน ต้นดีศึกษา
  3. น้องใบทาย เด็กหญิงธนิสา ไกรศรี อายุ 8 ปี โรงเรียนอนุบาลเชียงราย ชั้นประถมศึกษาปีที่2/9
  4. น้องส้ม เด็กหญิง อริสา ฮาร์มเซ่น อายุ 10 ปี โรงเรียนปิติศึกษา ป.4
  5. น้องลำพูน สิบสองปันนา พนมการณ์ 9 ปี Chiangrai International School ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
  6. น้องไดมอนด์ เด็กหญิง ปวันรัตน์ จันทร์ทวีทรัพย์ อายุ 10 ปี Chaingrai International School ชั้น ป4

MY DANGER GALZ (rank 6) รุ่น Under 18

  1. ทรีทรี วัชรวีร์ เกาะทอง อายุ 12 ปี โรงเรียนพระกุมารเยซูเชียงของ ป.6
  2. พิมพ์ ณิชารี ปงรังษี อายุ 16 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.4
  3. มีน อารยา สัทธานนท์ อายุ 17 ปี  โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.4
  4. ขวัญ นีรชา ณ ลำพูน อายุ 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.2
  5. นาน่า ณิชนันท์ กันยานนท์ อายุ 14 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.2
  6. โมโม่ โมนะ วังวิญญู อายุ 16 ปี โรงเรียนปิติศึกษา ม.4

Myda Supercrew รุ่น Supercrew (18 คนขึ้นไป) สมาชิกทั้งหมด ทุกทีม และเพิ่มสมาชิก อีก 4 คนคือ

  1. ทอฝัน กัญพัชย์ วงค์ฮู้ อายุ 13 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย ม.2
  2. หยก หทัยชนก สุขวัฒนถาวรชัย อายุ 13 ปี โรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงยงราย ชั้น ม.2
  3. น้องเจม เด็กชาย ปพนรัตน์ จันทร์ทวีทรัพย์ อายุ 9 ปี  Chiangrai International School ชั้น ป3
  4. บุ้งกี๋ เด็กหญิง ปัญจสิริ สวัสดิวงศ์ อายุ 13 ปี โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม ม.1

La MYDA Nostra (อันดับ 4, รุ่น Ultimate Advance)

  1. ครูหมีพู นายณภัทร บุญประกอบ อายุ 21 ปี MY DANCE ACADEMY
  2. น้องเปีย นางสาววชิรญาณ์ นามวงค์ อายุ 21 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  3. น้องเบลล์ นางสาวธนภูพรรณ วงค์อะทะชัย อายุ 20 ปี มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  4. ครูตระกร้อ นายศุภพิชญ์ กันยะธง อายุ 34 ปี MY DANCE ACADEMY
  5. ครูส้ม นางสาวศุภกานต์ ปัญญาพล อายุ 26 ปี MY DANCE ACADEMY
Solo U10 อันดับ 3
  1. น้องโฟกัส เด็กหญิงศุภกานต์ หลิวชาญพิมพ์ อายุ 8 ปี ชั้น ป.2/2 โรงเรียนศิริมาตย์เทวี 
Solo O18 อันดับ 3
  1. ครูหมีพู นายณภัทร บุญประกอบ อายุ 21 ปี MY DANCE ACADEMY

การใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ของเยาวชนเชียงราย

ความสำเร็จของทีม MY DANCE ACADEMY ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่มาจากการฝึกซ้อมอย่างหนักและการใช้เวลาว่างของเด็กๆ และเยาวชนอย่างมีคุณค่า เด็กๆ เหล่านี้เลือกที่จะทุ่มเทให้กับการเต้น ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะด้านการทำงานเป็นทีม ความรับผิดชอบ และวินัยในตนเอง ครูยุ้ย ผู้อำนวยการของ MY DANCE ACADEMY กล่าวว่า “เรามุ่งหวังให้เด็กๆ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ แทนที่จะปล่อยให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ การเต้นเป็นช่องทางหนึ่งที่ช่วยให้เด็กๆ ได้แสดงออก และพัฒนาตัวเองในหลายด้าน”

น้องโฟกัส วัย 8 ปี ผู้คว้ารางวัล Solo U10 เล่าว่า “หนูชอบเต้นมากค่ะ หลังเลิกเรียนหนูจะมาซ้อมกับเพื่อนๆ และครูทุกวัน การเต้นทำให้หนูสนุกและมีเพื่อนเยอะขึ้น” เช่นเดียวกับน้องทอฝัน วัย 13 ปี จากทีม MYDA SUPER CREW ที่กล่าวว่า “การเต้นทำให้หนูรู้จักจัดการเวลา และมีวินัยมากขึ้น หนูภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่สร้างชื่อเสียงให้เชียงรายค่ะ”

การสร้างชื่อเสียงให้จังหวัดเชียงราย

ผลงานของ MY DANCE ACADEMY ในการแข่งขันครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นความสำเร็จของทีมเท่านั้น แต่ยังเป็นการยกระดับชื่อเสียงของจังหวัดเชียงรายให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ การที่ทีมจากจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทยสามารถคว้ารางวัลในเวทีใหญ่ระดับเอเชียได้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเยาวชนในพื้นที่ห่างไกล ที่หากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม ก็สามารถก้าวไปสู่เวทีโลกได้อย่างสง่างาม

ครูสายเมฆ หัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีม กล่าวว่า “เราภูมิใจมากที่เด็กๆ จากเชียงรายได้แสดงให้โลกเห็นว่าเราก็มีดีไม่แพ้ใคร การแข่งขันครั้งนี้เป็นโอกาสที่ทำให้เด็กๆ ได้พัฒนาตัวเอง และนำชื่อเสียงมาสู่จังหวัดของเรา จะเห็นได้ว่าเด็กที่ได้หรือไม่ได้รางวัลมีความสุขกับการเต้น เราเองก็ดีใจ และภูมิใจที่เชียงรายมีทีมเก่งๆ แบบนี้”

แรงบันดาลใจและการสนับสนุนจากทุกฝ่าย

ความสำเร็จของ MY DANCE ACADEMY จะไม่เกิดขึ้นได้หากขาดการสนับสนุนจากทีมผู้ฝึกสอน ผู้ปกครอง และผู้จัดงาน โดยทีมครูผู้ฝึกสอน ประกอบด้วย ครูสายเมฆ, ครูยุ้ย, ครูกร้อ, ครูหมีพู, ครูส้ม, ครูเปีย และทีมครูตึกขาว ได้ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจในการฝึกซ้อมเด็กๆ ให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน ผู้ปกครองและครอบครัวของนักเต้นทุกคนก็มีส่วนสำคัญในการให้กำลังใจและสนับสนุนทั้งด้านการเดินทางและค่าใช้จ่ายต่างๆ

นอกจากนี้ ต้องขอขอบคุณเวที UDO ASIA-PACIFIC STREET DANCE CHAMPIONSHIPS ทีมงานผู้จัด และผู้สนับสนุนทุกท่าน ที่มอบโอกาสและพื้นที่ให้เยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเต้นรุ่นใหม่ต่อไป การแข่งขันครั้งนี้ยังปิดท้ายด้วยความสนุกสนานจากมินิคอนเสิร์ตของศิลปิน B KING OF THE MIC และ CHUN WEN CHONBURIFLOW ซึ่งเพิ่มสีสันให้กับงานได้เป็นอย่างดี

สู่เวทีโลกความหวังของเด็กเชียงราย

ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมในครั้งนี้ ทีม MY DANCE ACADEMY มีโอกาสได้ไปต่อในเวที UDO World Championships 2025 ณ ประเทศอังกฤษ ซึ่งจะเป็นอีกก้าวสำคัญที่แสดงถึงความสามารถของเยาวชนไทยในระดับโลก ความสำเร็จนี้ไม่เพียงแต่เป็นความภาคภูมิใจของทีมและจังหวัดเชียงรายเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยทั่วประเทศเห็นว่า การทุ่มเทและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ สามารถนำพาความฝันไปสู่ความจริงได้

จากเด็กตัวเล็กๆ ในเมืองเชียงราย สู่การเป็นนักเต้นที่เก่งกาจในระดับนานาชาติ MY DANCE ACADEMY ได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หากมีความมุ่งมั่นและการสนับสนุนที่ดีเยี่ยมจากทุกฝ่าย และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ของเด็กเชียงรายบนเส้นทางสตรีทแดนซ์ระดับโลก

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : MY DANCE ACADEMY

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SPORT

ปิดฉากยิ่งใหญ่ เชียงรายเกมส์ ส่งต่อราชบุรีจัดกรีฑาสูงอายุ

เชียงรายเกมส์ปิดฉาก ราชบุรีรับธงจัดกรีฑาสูงอายุครั้งต่อไป

เชียงราย, 16 กุมภาพันธ์ 2568 – พิธีปิดการแข่งขัน กรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 29 ประจำปี 2568 “นครเชียงรายเกมส์” ได้รับการจัดขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยมีการส่งต่อหน้าที่เจ้าภาพให้แก่ จังหวัดราชบุรี ซึ่งจะเป็นสถานที่จัดการแข่งขันในปีถัดไป

เชียงรายปิดฉาก “นครเชียงรายเกมส์” เตรียมส่งไม้ต่อราชบุรี

เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2568 นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีปิดการแข่งขัน กรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 29 ณ จังหวัดเชียงราย การแข่งขันนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13-16 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานกรีฑาสูงอายุของไทยให้ทัดเทียมนานาชาติ พร้อมทั้งส่งเสริมสุขภาพและสร้างแรงบันดาลใจให้ประชากรทุกวัยหันมาออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

พิธีปิดมีบุคคลสำคัญเข้าร่วมมากมาย อาทิ นางสาววริษฐา สงวนเสริมศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี, นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย, นางรัตนา จงสุทธานามณี นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดเชียงราย, นายสินาด รุ่งจรูญ นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดราชบุรี ตลอดจนคณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ แขกผู้มีเกียรติ นักกีฬา และสื่อมวลชน

ประกาศรางวัลนักกีฬาและทีมยอดเยี่ยม

รางวัลนักกีฬาต้นแบบสุขภาพ (สสส.)

  • ชาย: พ.อ.นิพนธ์ สุดใจธรรม (ทีมลำปาง)
  • หญิง: นางกัลยา แก้วประเสริฐ (ทีมลำปาง)

รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยม

  • ชาย: นายดี ใจจุมปา (รุ่นอายุ 95 – 99 ปี) ทีมกรีฑาผู้สูงอายุเทศบาลนครเชียงราย ได้ 6 เหรียญทอง และทำลายสถิติประเทศไทยในรายการ 400 เมตร
  • หญิง: นางสมสง่า บุญนอก (รุ่นอายุ 70-74 ปี) ทีมหนองบัวลำภู ได้ 7 เหรียญทอง ทำลาย สถิติเอเชีย 2 รายการ (กระโดดสูงและกระโดดไกล) และ สถิติประเทศไทย 3 รายการ (วิ่ง 100 เมตร, 200 เมตร, เขย่งก้าวกระโดด)

รางวัลประเภททีม

  • ผู้บริหารทีมกีฬาดีเด่น: ทีมกรีฑาผู้สูงอายุเทศบาลนครเชียงราย
  • ทีมชนะเลิศคะแนนรวม: อบจ.สงขลา (ทอง 74, เงิน 67, ทองแดง 58)
  • รองชนะเลิศอันดับ 1: อบจ.นครศรีธรรมราช (ทอง 48, เงิน 49, ทองแดง 39)
  • รองชนะเลิศอันดับ 2: ทีมกรีฑาผู้สูงอายุเทศบาลนครเชียงราย (ทอง 25, เงิน 15, ทองแดง 17)
  • รางวัลชมเชยอันดับ 1: ทีมชลบุรี (ทอง 24, เงิน 19, ทองแดง 9)
  • รางวัลชมเชยอันดับ 2: ทีมจังหวัดหนองบัวลำภู (ทอง 17, เงิน 2, ทองแดง 4)
  • รางวัลชมเชยอันดับ 3: ทีมจังหวัดนครราชสีมา (ทอง 14, เงิน 13, ทองแดง 5)
  • 1st International Team Total Score for TMAC: TEAM MALAYSIA

เชียงรายส่งต่อเจ้าภาพให้ราชบุรี เตรียมสู้ศึกปี 2569

หลังจากการแข่งขันที่เชียงรายประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี การแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 30 จะจัดขึ้นที่ จังหวัดราชบุรี โดยมีเป้าหมายเพื่อสานต่อความสำเร็จและพัฒนาวงการกรีฑาสูงอายุไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น

นครเชียงรายเกมส์” ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยในการจัดการแข่งขันกีฬาระดับประเทศ และแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนในการส่งเสริมสุขภาพและวิถีชีวิตที่กระฉับกระเฉงในทุกช่วงวัย” – นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ กล่าว

การแข่งขันกรีฑาสูงอายุไม่ได้เป็นเพียงแค่เวทีสำหรับนักกีฬา แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนทุกช่วงวัยให้เห็นถึงความสำคัญของการออกกำลังกายและการดูแลสุขภาพ

ราชบุรีเตรียมพร้อมรับเป็นเจ้าภาพในปีหน้า การแข่งขันกรีฑาสูงอายุชิงชนะเลิศประเทศไทย ครั้งที่ 30 จะเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการพัฒนาวงการกีฬาไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News