Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ก้าวสู่สนามรบ! ศึกเลือกตั้งซ่อม ส.ส. เชียงราย เขต 7 ระหว่างเพื่อไทยและพรรคประชาชน

วิเคราะห์เจาะลึก “ศึกเลือกตั้งซ่อมเชียงราย เขต 7” จุดชี้วัดแนวโน้มการเมืองไทยระหว่าง “อำนาจรัฐ” กับ “การเปลี่ยนแปลง”

เชียงราย – การเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขต 7 จังหวัดเชียงราย ในวันอาทิตย์ที่ 14 กันยายน 2568 ไม่ใช่แค่การเติมเต็มตำแหน่งที่ว่างลงเท่านั้น หากแต่เป็น “สนามทดสอบอารมณ์ทางการเมือง” ของภาคเหนือ และเป็นเครื่องชี้วัดว่าประชาชนจะเลือกพลังของรัฐบาลที่ดำรงตำแหน่ง หรือโอกาสของแนวคิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในสภาไทยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศนี้ด้วย โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งยืนยันวันหย่อนบัตรและกำหนดช่วงรับสมัครไว้ชัดเจนแล้ว ระหว่าง 13–17 สิงหาคม และลงคะแนนจริง 14 กันยายน เวลา 08.00–17.00 น. ตามประกาศอย่างเป็นทางการของ กกต. และสื่อกระแสหลักหลายสำนักที่รายงานตรงกัน

จุดเริ่มต้นของศึก เก้าอี้ที่ว่างจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

เก้าอี้ ส.ส. เขต 7 ว่างลงภายหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ให้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 10 ปี จากกรณีเกี่ยวข้องกับการเสนอและแปรญัตติงบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อันเข้าข่ายฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เหตุการณ์นี้สั่นสะเทือนสมดุลการเมือง และเปิดฉากศึกเลือกตั้งซ่อมในทันทีตามกลไกกฎหมายของไทย

จัดทำเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2568 หมายเหตุ : เนื้อหาที่นำเสนอในรายงานฉบับนี้เป็นการวิเคราะห์เชิงลึกจากข้อมูลที่ได้รวบรวมมาเท่านั้น ไม่ใช่ข้อสรุปสุดท้ายที่สามารถตัดสินความจริงทั้งหมดได้ ทางทีมงานจึงขอให้ท่านผู้อ่านใช้ วิจารณญาณอย่างรอบคอบ และพิจารณาข้อมูลจากหลายมิติเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง

สนามจริงอยู่ตรงไหนแผนที่การเมืองของ “เขต 7”

กกต. ระบุขอบเขตของ “เขต 7” ครอบคลุมพื้นที่หลายอำเภอชายแดนและลุ่มน้ำโขง ได้แก่ อำเภอแม่จัน (เฉพาะ ต.จันจว้า และ ต.จันจว้าใต้), อำเภอเชียงแสน, อำเภอดอยหลวง, อำเภอเชียงของ (เฉพาะ ต.ครึ่ง, ต.ศรีดอนชัย, ต.ริมโขง, ต.เวียง, ต.สถาน และ ต.ห้วยซ้อ) และอำเภอเวียงแก่น ข้อมูลนี้สะท้อนภูมิทัศน์ที่หลากหลาย ทั้งเมืองชายแดน เกษตรกรรม และการค้าชายแดน ที่จะมีน้ำหนักต่อประเด็นหาเสียงของผู้สมัครทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน

ผู้ท้าชิงตัวจริง“สง่า พรมเมือง” ปะทะ “สุทัศน์ ยาละ”

สมรภูมิครั้งนี้มีผู้สมัครเด่นสองคนที่ประกาศตัวชัดเจนแล้ว การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้เป็นการปะทะกันของสองแนวทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยมีผู้สมัครทั้งสองเป็นตัวแทนของกระแสความคิดหลักสองขั้วในสังคม

  • สง่า พรมเมือง (พรรคเพื่อไทย) อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย เขตเชียงแสน เปิดตัวรับสมัครและจับสลากได้หมายเลข 1 ตามรายงานภาคสนามของสื่อการเมืองรายวัน พร้อมฐานสนับสนุนจากแกนนำพรรคส่วนกลาง จุดขายสำคัญคือ “สายตรงรัฐบาล” ที่ประสานนโยบายและงบประมาณสาธารณะลงพื้นที่ได้รวดเร็ว ข้อมูลเปิดตัวและประวัติการทำงานถูกเผยแพร่ต่อเนื่องโดยสื่อกระแสหลักหลายสำนักในช่วงเปิดรับสมัคร

 

  • สุทัศน์ ยาละ (พรรคประชาชน) นักธุรกิจรุ่นใหม่จากเชียงรายหมายเลข 2 เจ้าของกิจการท่องเที่ยวและเครื่องดื่มในอดีต เคยมีบทบาทด้านที่ปรึกษางานเมืองท้องถิ่น พรรคประชาชนประกาศ “เคาะชื่อ” ส่งลงสนามเพื่อต่อกรกับพรรคใหญ่ เน้นภาพลักษณ์ความเปลี่ยนแปลง โปร่งใส และวิธีการเมืองแบบใหม่ที่เชื่อมตรงกับผู้มีสิทธิเลือกตั้งรุ่นใหม่ สื่อระดับชาติรายงานการตัดสินใจส่ง “สุทัศน์” อย่างต่อเนื่อง รวมถึงบันทึกการยื่นสมัครที่อำเภอเชียงแสนด้วย

ตัวเลขที่สะท้อนอดีตภาพรวมผลเลือกตั้งปี 2566 ในเชียงราย

เมื่อมองย้อนกลับไปในการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 ทั้งจังหวัดเชียงรายมีผู้มาใช้สิทธิสูงกว่า 77% ขณะที่การจัดสรรที่นั่งแบบแบ่งเขตตกเป็นของพรรคเพื่อไทย 4 เขต และพรรคก้าวไกล 3 เขต ค่าสัดส่วนคะแนนรวมทั้งจังหวัดของสองพรรคใหญ่สะท้อนการแข่งขันที่สูสีและพลิกผันได้ในหลายเขต ตัวเลขดังกล่าวช่วยให้เห็น “พื้นฐาน” ที่ผู้สมัครต้องคำนวณยุทธศาสตร์หาเสียงในสนามซ่อมครั้งนี้อย่างละเอียดรอบคอบ

เสียงประชาชนในพื้นที่กำลังถามอะไร

เมื่อโฟกัสลงพื้นที่ “เขต 7” จะพบโจทย์ร่วมของชุมชนชายแดนหลายประการ ได้แก่ รายได้เกษตรกรจากพืชเศรษฐกิจ เสถียรภาพราคาสินค้า การค้าชายแดนกับ สปป.ลาว และเมียนมา โครงสร้างพื้นฐานถนนและสะพาน รวมถึงบริการสาธารณสุขในพื้นที่ภูเขาและลุ่มน้ำโขง ประเด็นเหล่านี้แม้ไม่ใช่ชุดนโยบายใหม่ทั้งหมด แต่เป็น “ความคาดหวังเดิมที่ต้องแก้ให้เห็นผล” ผู้สมัครจึงต้องตอบด้วยโรดแมปที่จับต้องได้ ไม่ใช่คำมั่นลอยๆ เท่านั้น

คำถามที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเริ่มขบคิดคือ

  • เลือก “ผู้แทนรัฐบาล” เพื่อเร่งเครื่องแก้ปัญหาปากท้องและโครงสร้างพื้นฐานทันทีหรือไม่
  • หรือเลือก “ตัวแทนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” เพื่อยกระดับมาตรฐานการเมืองในระยะยาว

คำถามสองชุดนี้จึงเป็นเหมือนเครื่องชั่งน้ำหนักทางการเมืองของเขตชายแดนภาคเหนือในห้วงเวลาที่ซับซ้อน

ยุทธศาสตร์ที่ปะทะกัน “ฝากรัฐ” vs “การเปลี่ยนแปลง”

พรรคเพื่อไทย เดินเกมตามจุดแข็งดั้งเดิมของพรรคใหญ่ คือเครือข่ายท้องถิ่น เน็ตเวิร์กนักการเมืองฐานราก และศักยภาพการเป็นรัฐบาลกลางที่เชื่อมงบประมาณและนโยบายสาธารณะลงพื้นที่ได้รวดเร็ว รายงานข่าวชี้ว่าทีมยุทธศาสตร์ส่วนกลางเริ่มจัดทัพลงพื้นที่แล้ว เพื่อหนุนการรณรงค์ของผู้สมัครอย่างเป็นระบบตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

พรรคประชาชน วางตัวเป็น “ทางเลือกใหม่” ใช้กลยุทธ์สื่อสารตรงกับประชาชนในพื้นที่ ผสานแพลตฟอร์มออนไลน์และการพบปะขนาดย่อม สร้างมาตรวัดผลตอบรับแบบเรียลไทม์ พรรคประกาศชัดว่าจะเสนอวิธีทำงานสภาที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยึดโยงกับข้อมูลสาธารณะให้มากที่สุด เพื่อจับฐานคนรุ่นใหม่และผู้ที่ผิดหวังกับการเมืองแบบเดิม ซึ่งสอดรับกับกระแสข่าวเปิดตัวผู้สมัครที่สื่อระดับชาติและท้องถิ่นนำเสนอในสัปดาห์นี้

โครงเรื่องทางการเมืองที่ “เขต 7” ต้องแบก

สนามซ่อมครั้งนี้มีหลังฉากเป็นคำวินิจฉัยระดับประเทศที่ลากเส้น “มาตรฐานจริยธรรมงบประมาณ” อย่างชัดเจน กรณีของอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรทำให้สังคมตั้งคำถามเรื่องการใช้งบสาธารณะเพื่อสร้างความนิยมในพื้นที่ เมื่อมาตรฐานถูกย้ำด้วยเสียงข้างมากของศาล 6 ต่อ 3 ผลทางการเมืองย่อมกว้างไกลกว่าเขตเดียว และสะเทือนภาพลักษณ์ของพรรคแกนนำรัฐบาลในเชิงสัญลักษณ์ด้วยตามการวิเคราะห์ของสื่อการเมืองหลายสำนัก

ดังนั้น “เขต 7” จึงเป็นเวทีที่พรรคเพื่อไทยต้องแสดงให้เห็นว่า ฐานเสียงเดิมยังเหนียวแน่น และประชาชนยังไว้ใจให้พรรคขับเคลื่อนนโยบายระดับพื้นที่ต่อไป ขณะเดียวกัน พรรคประชาชนต้องพิสูจน์ว่าความไม่พอใจทางการเมืองสามารถแปลงเป็น “คะแนนจริง” ได้ในฐานที่มั่นของฝ่ายรัฐบาล

กระดานคะแนนเริ่มขยับไทม์ไลน์สำคัญที่ต้องรู้

  • 8 ส.ค. 2568 กกต. เคาะวันเลือกตั้งซ่อม และกำหนดช่วงรับสมัคร 13–17 ส.ค. สถานที่รับสมัครที่อำเภอเชียงแสน รายละเอียดประกาศเผยแพร่ในหลายสื่อและหน้าเว็บไซต์ข่าวของ กกต.
  • 13–16 ส.ค. 2568 ผู้สมัครทยอยยื่นเอกสาร วันแรกมีผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ส่วนวันที่ 16 ส.ค. พรรคประชาชนยื่นสมัครอย่างเป็นทางการ สะท้อนการเข้าสู่โหมดหาเสียงเต็มรูปแบบของทุกฝ่าย
  • 14 ก.ย. 2568 วันลงคะแนนจริง ตั้งแต่ 08.00–17.00 น. หน่วยเลือกตั้งกระจายตามชุมชนในพื้นที่เขตชายแดนและริมโขง ผู้มีสิทธิเตรียมหลักฐานตามกฎหมายไปใช้สิทธิให้ครบถ้วน

บทเรียนจากสถิติ ทำไม “อัตราไปใช้สิทธิ” จึงชี้ขาด

ข้อมูลปี 2566 ระบุว่าจังหวัดเชียงรายมีผู้มาใช้สิทธิมากกว่า 77% ซึ่งถือว่าสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยประเทศ หากเขตชายแดนที่มีการเดินทางยากลำบากอย่าง “เขต 7” รักษาอัตรานี้ไว้ได้ ผลจะสะท้อนเจตจำนงประชาชนอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน โครงสร้างผู้มีสิทธิวัยทำงานและเกษตรกรที่พึ่งพาราคาพืชผล จะเป็นตัวกำหนดจุดชนะเชิงยุทธศาสตร์ของผู้สมัครแต่ละฝ่ายอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการเลือกตั้งซ่อมมักชี้วัดด้วย “การเคลื่อนพลของฐาน” มากกว่ากระแสลมบนเพียงอย่างเดียว

มุมมองเชิงนโยบายประเด็นที่ควรถูกถามบนเวทีหาเสียง

  1. รายได้และราคาสินค้าเกษตร
    ผู้สมัครควรเสนอแผนรองรับราคาพืชหลักที่ผันผวน รวมทั้งมาตรการตลาดนำการผลิต และการเชื่อมตลาดชายแดนให้ได้ผลจริง
  2. โลจิสติกส์ชายแดนและด่านการค้า
    พื้นที่ริมโขงและชายแดนต้องการถนนและสะพานที่ปลอดภัย และด่านที่ทันสมัย แผนเร่งรัดงบลงทุนจึงต้องชัดเจนและตรวจสอบได้
  3. ความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตชุมชน
    ชุมชนภูเขาและชายแดนต้องการสาธารณสุขเข้าถึงง่าย เช่น เครือข่าย รพ.สต. และระบบส่งต่อที่มีประสิทธิภาพ นโยบายต้องเชื่อมกับงบประมาณจริง
  4. ธรรมาภิบาลงบประมาณ
    หลังคำวินิจฉัยศาลเรื่องการใช้งบประมาณ ผู้สมัครทุกคนต้องชี้แจง “มาตรการกันซ้ำ” อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่า งบสาธารณะจะไม่ถูกใช้เพื่อผลทางการเมืองอีก

เหตุผลเชิงกลยุทธ์อะไรคือ “ตัวแปรชี้ผล” ในสนามซ่อม

  • เครือข่ายท้องถิ่น จะยังเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะเขต 7 มีชุมชนกระจายตัวกว้าง การลงพื้นที่เชิงลึกของทีมอาสาและผู้สนับสนุนระดับหมู่บ้านเป็นตัวเร่งคะแนน
  • การสื่อสารออนไลน์ จะเพิ่มน้ำหนักกว่ายุคก่อน โดยเฉพาะในเมืองชายแดนและกลุ่มทำงานเอกชนที่ใช้มือถือเป็นหลัก
  • กิจกรรมพบประชาชนขนาดเล็ก ให้ผลดีกับผู้สมัครหน้าใหม่ เพราะสร้างความเชื่อใจและคำบอกต่อได้รวดเร็ว
  • การวางภาพ “ผู้แทนรัฐบาล” ของพรรคเพื่อไทย ต้องคู่กับคำตอบเรื่องธรรมาภิบาล เพื่อคลายความกังวลจากคดีการใช้งบประมาณที่ผ่านมา
  • การวางภาพ “ทางเลือกใหม่” ของพรรคประชาชน ต้องจับประเด็นปากท้องอย่างจริงจัง ไม่ใช่เสนอแต่กรอบอุดมการณ์เท่านั้น

เส้นทางสู่วันเลือกตั้งบริบทที่ต้องเก็บตกรายวัน

ในเชิงข่าว กกต. รายงานความพร้อมด้านงานจัดการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง ทั้งระดับประเทศและระดับจังหวัด รวมถึงการย้ำปฏิทินและขั้นตอนร้องเรียนผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพื่อให้การหย่อนบัตรเป็นไปอย่างสุจริตเที่ยงธรรม ข่าวเครือข่ายสื่อหลักระบุสอดคล้องกันถึงจำนวนผู้สมัครในแต่ละวัน และการขยับของทีมยุทธศาสตร์พรรคใหญ่ ซึ่งสะท้อนความเข้มข้นที่จะพุ่งขึ้นต่อเนื่องจนถึงวันโค้งสุดท้าย

 “เชียงราย เขต 7” เป็นมากกว่าการทดแทนเก้าอี้

การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้เป็นบททดสอบว่า ประชาชนให้ความสำคัญกับ “ผลลัพธ์เร่งด่วนจากพลังรัฐบาล” หรือ “มาตรฐานใหม่ของการเมืองไทย” ที่ยกระดับกลไกถ่วงดุลและความโปร่งใส ผลลัพธ์ที่ออกมาจะส่งสัญญาณถึงทั้งสองฝ่ายอย่างชัดเจน หากพรรคเพื่อไทยชนะ จะยืนยันพลังฝ่ายรัฐบาลในฐานที่มั่นเดิม และเพิ่มทุนทางการเมืองสำหรับขับเคลื่อนนโยบายระดับประเทศ แต่หากพรรคประชาชนคว้าชัย จะเป็นสัญลักษณ์ว่าพื้นที่ดั้งเดิมพร้อมเปิดทางให้ความเปลี่ยนแปลง และบังคับให้พรรคใหญ่ต้องปรับยุทธศาสตร์สู้ศึกใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้า

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใน “เขต 7” จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในวันที่ 14 กันยายนนี้ เสียงของท่านจะบอกประเทศว่าควรเดินไปทิศทางใด ระหว่างการบริหารเชิงประสิทธิภาพที่ต่อยอดได้ทันที กับการปฏิรูปมาตรฐานการเมืองที่ยั่งยืนในระยะยาว—และคำตอบนั้นจะสะท้อนผ่านบัตรเลือกตั้งใบเดียวของทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
  • พรรคเพื่อไทย
  • พรรคประชาชน
  • คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

เพื่อไทยปะทะภูมิใจไทย ปชช.เชื่อสุดท้ายจบลงดี

นิด้าโพลเผย ปชช. เชื่อเพื่อไทยและภูมิใจไทยจะยุติความขัดแย้งได้

ประเทศไทย, 23 กุมภาพันธ์ 2568 – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับ ความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ซึ่งดำเนินการระหว่างวันที่ 17-18 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศจำนวน 1,310 คน

จากตัวเลขผลสำรวจของ นิด้าโพล พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย แต่ไม่ได้มองว่าเป็นความขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นแตกหัก โดยมีเพียง ร้อยละ 10.38 ที่เห็นว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องจริงจังมาก ขณะที่ ร้อยละ 38.85 มองว่าเป็นเพียงความขัดแย้งที่ไม่รุนแรงมากนัก

ในแง่ของ แนวโน้มการยุติความขัดแย้ง พบว่า ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้ และ ร้อยละ 37.40 มองว่าแม้จะมีความขัดแย้ง แต่ทั้งสองพรรคจะยังคงร่วมรัฐบาลกันต่อไป ซึ่งสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าวิกฤตครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่

อย่างไรก็ตาม มีประชาชน ร้อยละ 17.40 ที่มองว่าอาจมีการ ยุบสภา และ ร้อยละ 10.31 เชื่อว่าอาจมีการ ปรับคณะรัฐมนตรี โดยดึงกระทรวงสำคัญออกจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งสะท้อนถึงความกังวลว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างภายในรัฐบาล

ในภาพรวม ประชาชนส่วนใหญ่มองว่าความขัดแย้งนี้จะได้รับการแก้ไขในที่สุด และไม่ได้คาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ เช่น การถอนตัวของพรรคภูมิใจไทยหรือการยุบสภา ซึ่งมีผู้สนับสนุนเพียง ร้อยละ 2.52 และ 7.10 ตามลำดับ

ในแง่ของประชากรกลุ่มตัวอย่าง กลุ่มอายุที่มีสัดส่วนมากที่สุดคือ 46-59 ปี (26.64%) และ กลุ่มที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท (34.50%) ซึ่งสะท้อนว่ากลุ่มประชากรวัยกลางคนที่มีรายได้ปานกลางให้ความสนใจและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นนี้เป็นอย่างมาก

โดยสรุป ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มองว่าความขัดแย้งระหว่างสองพรรคจะรุนแรงถึงขั้นเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง และคาดว่าทั้งสองพรรคจะสามารถหาทางออกร่วมกันได้ในที่สุด

การรับรู้ของประชาชนต่อความขัดแย้งทางการเมือง

จากการสำรวจพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่รับรู้ถึงความขัดแย้งระหว่างสองพรรค โดย:

  • ร้อยละ 38.85 ระบุว่า มีความขัดแย้งกันแต่ไม่รุนแรงมาก
  • ร้อยละ 32.91 เชื่อว่า มีความขัดแย้งกันอย่างจริงจังพอสมควร
  • ร้อยละ 17.40 มองว่า ไม่มีความขัดแย้งกันเลย
  • ร้อยละ 10.38 เห็นว่า มีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง
  • ร้อยละ 0.46 ไม่สนใจหรือไม่ตอบคำถาม

บทสรุปที่เป็นไปได้ของความขัดแย้ง

เมื่อถามถึงบทสรุปของความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ประชาชนให้ความเห็นดังนี้:

  • ร้อยละ 38.09 เชื่อว่า ทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้และยุติความขัดแย้ง
  • ร้อยละ 37.40 เชื่อว่า ความขัดแย้งจะดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาลกัน
  • ร้อยละ 10.31 คาดว่า จะมีการปรับคณะรัฐมนตรีและดึงกระทรวงสำคัญออกจากพรรคภูมิใจไทย
  • ร้อยละ 7.10 เชื่อว่านายกรัฐมนตรีอาจ ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร
  • ร้อยละ 2.52 มองว่า พรรคภูมิใจไทยอาจถอนตัวจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 2.21 เชื่อว่า พรรคภูมิใจไทยจะยอมถอยให้พรรคเพื่อไทย
  • ร้อยละ 1.30 คิดว่า พรรคเพื่อไทยจะยอมถอยให้พรรคภูมิใจไทย
  • ร้อยละ 1.07 เห็นว่า พรรคภูมิใจไทยอาจถูกปรับออกจากรัฐบาล

ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับทางออกของปัญหา

เมื่อถามถึง ความต้องการของประชาชน เกี่ยวกับบทสรุปของความขัดแย้ง ผลสำรวจระบุว่า:

  • ร้อยละ 44.73 ต้องการให้ ทั้งสองพรรคตกลงกันได้และยุติความขัดแย้ง
  • ร้อยละ 21.60 เห็นว่าความขัดแย้งควรดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาล
  • ร้อยละ 17.40 สนับสนุนให้ นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร
  • ร้อยละ 9.24 ต้องการให้ มีการปรับคณะรัฐมนตรี
  • ร้อยละ 2.82 เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยควรถอนตัวจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.68 คิดว่าพรรคภูมิใจไทยควรยอมถอยให้พรรคเพื่อไทย
  • ร้อยละ 1.53 เห็นว่าพรรคภูมิใจไทยควรถูกปรับออกจากรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.00 มองว่าพรรคเพื่อไทยควรยอมถอยให้พรรคภูมิใจไทย

ลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง

  • เพศ: ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง
  • อายุ:
    • ร้อยละ 12.37 อายุ 18-25 ปี
    • ร้อยละ 17.94 อายุ 26-35 ปี
    • ร้อยละ 18.24 อายุ 36-45 ปี
    • ร้อยละ 26.64 อายุ 46-59 ปี
    • ร้อยละ 24.81 อายุ 60 ปีขึ้นไป
  • ภูมิลำเนา:
    • กรุงเทพฯ 8.55%
    • ภาคกลาง 18.63%
    • ภาคเหนือ 17.86%
    • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 33.35%
    • ภาคใต้ 13.82%
    • ภาคตะวันออก 7.79%

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • จำนวนกลุ่มตัวอย่าง: 1,310 ราย (ที่มา: นิด้าโพล)
  • ค่าความเชื่อมั่นของการสำรวจ: 97.0% (ที่มา: นิด้าโพล)
  • อัตราส่วนเพศของกลุ่มตัวอย่าง: ชาย 48.09% หญิง 51.91% (ที่มา: นิด้าโพล)
  • อัตราการรับรู้ของประชาชนต่อความขัดแย้ง: ร้อยละ 71.76 เชื่อว่ามีความขัดแย้งกันในระดับหนึ่ง (ที่มา: นิด้าโพล)
  • ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการตกลงกันได้: ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะยุติความขัดแย้ง (ที่มา: นิด้าโพล)

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. การสำรวจนี้เชื่อถือได้หรือไม่?
    การสำรวจนี้มีค่าความเชื่อมั่น 97.0% และดำเนินการโดย นิด้าโพล ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ
  2. ประชาชนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับอนาคตของพรรคเพื่อไทยและภูมิใจไทย?
    ร้อยละ 38.09 เชื่อว่าท้ายที่สุดทั้งสองพรรคจะตกลงกันได้ และร้อยละ 37.40 มองว่าความขัดแย้งจะดำเนินต่อไปแต่ยังอยู่ร่วมรัฐบาล
  3. ผลสำรวจนี้มีผลต่อการเมืองไทยหรือไม่?
    แม้ว่าผลสำรวจนี้สะท้อนความคิดเห็นของประชาชน แต่ขึ้นอยู่กับพรรคการเมืองและรัฐบาลว่าจะดำเนินนโยบายอย่างไร
  4. การสำรวจนี้จัดทำขึ้นอย่างไร?
    ใช้การสุ่มตัวอย่างจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลหลัก (Master Sample) และเก็บข้อมูลทางโทรศัพท์
  5. ผลสำรวจนี้มีการเปรียบเทียบกับการสำรวจก่อนหน้าหรือไม่?
    ผลสำรวจนี้เป็นการสำรวจล่าสุดและแสดงแนวโน้มของความคิดเห็นของประชาชนต่อความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

กองบัญชาการตำรวจสั่งย้ายข้าราชการเอี่ยวบ่อนชายแดนเมียนมา

ผบ.ตร. สั่งช่วยราชการนายพลตำรวจ 2 นาย เซ่นปมเชื่อมโยงธุรกิจผิดกฎหมายชายแดน

กรุงเทพฯ, วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 ปมร้อน! นายพลตำรวจพัวพันธุรกิจสีเทา-ค้ามนุษย์ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ลงนามในคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 63/2568 และ 64/2568 ให้ข้าราชการตำรวจระดับนายพล 2 นาย ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากตำแหน่งเดิม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

พล.ต.ต. เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ

คำสั่งที่ 63/2568 ระบุถึงกรณีที่ปรากฏข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ว่า พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ผู้บังคับการกองตรวจราชการ 5 มีความเชื่อมโยงกับธุรกิจเมวดีคอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นสถานบันเทิงและบ่อนคาสิโน รวมถึงเป็นแหล่งฟอกเงินและธุรกิจผิดกฎหมายขนาดใหญ่ บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีดังกล่าว และเพื่อความโปร่งใสจึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการตำรวจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือประการใด เนื่องจากเป็นประเด็นสำคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชนและสังคมในวงกว้างซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าการกระทำความผิดทางวินัยหรืออาญา หากให้ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2565 ประกอบระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2566 จึงให้ พล.ต.ต.เอกราษฎร์ อินต๊ะสืบ ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย

พล.ต.ต. สัมฤทธิ์ เอมกมล

คำสั่งที่ 64/2568 ระบุถึงกรณีที่ปรากฏข่าวสารในสื่อมวลชนเกี่ยวกับการหายตัวไปของนักท่องเที่ยวบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก

สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับรายงานกรณีที่ปรากฏเป็นข่าวสารในสื่อมวลชนต่างๆ เผยแพร่ข่าวนักท่องเที่ยวถูกมิจฉาชีพหลอกลวงมาที่ประเทศไทยแล้วหายตัวไปบริเวณชายแดนประเทศเมียนมาร์ อีกทั้งมีการลักลอบข้ามชายแดนช่องทางธรรมชาติในเขตพื้นที่อำเภอแม่สอด อำเภอแม่ระมาด จังหวัดตาก กรณีดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ โดยบริเวณที่เกิดเหตุอยู่ในพื้นที่ของสถานีตำรวจภูธรแม่สอด สถานีตำรวจภูธรแม่ระมาดและสถานีตำรวจภูธรพบพระ จังหวัดตาก ที่อยู่ในความรับผิดชอบของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล

เพื่อให้ได้รายละเอียดข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอสำหรับการพิจารณาพฤติการณ์และหลักฐานในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่าข้าราชการมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดวินัยหรือไม่ประการใด เนื่องจากเป็นกรณีที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งมีกรณีที่เป็นสงสัยว่าข้าราชการตำรวจได้ประพฤติบกพร่องต่อหน้าที่หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำความผิดวินัยหรืออาญา หากปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงานเดิมอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 63 และมาตรา 105 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2565 ประกอบกับระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการตำรวจไปช่วยราชการภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ 2566 จึงให้ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยขาดจากการปฏิบัติหน้าที่ทางตำแหน่งเดิม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติมอบหมายเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย

การรักษาราชการแทน

ในส่วนของ พล.ต.ต.สัมฤทธิ์ เอมกมล ได้มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.วีรพรรษ อมรมุนีพงศ์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตากอีกหนึ่งหน้าที่

คำสั่งมีผลบังคับใช้ทันที

คำสั่งทั้งสองฉบับมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

ความโปร่งใสและการตรวจสอบ

การดำเนินการในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการรักษาความโปร่งใสและตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด หากพบว่ามีการกระทำความผิดจริง จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
EDITORIAL WORLD PULSE

สื่อจีนมอง ‘กลยุทธ์ตัดไฟ-ตัดเน็ต’ ของขวัญไทยก่อนเยือน ‘รัฐบาลจีน’

ไทยใช้มาตรการเข้ม ปราบอาชญากรรมข้ามพรมแดน ได้ใจจีน รัฐบาลจีนชื่นชมมาตรการไทยในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน

กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน, 6 กุมภาพันธ์ 2568 jeenthainews รายงานว่านายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เดินทางเยือนจีนเป็นวันที่สอง โดยพบปะกับผู้นำจีน ณ อาคารมหาศาลาประชาชน ทั้งสองฝ่ายได้หารือเชิงลึกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไทย-จีน และความร่วมมือระดับภูมิภาคที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ได้รับความสนใจจากทั้งสองฝ่าย คือมาตรการของรัฐบาลไทยที่ใช้จัดการกับอาชญากรรมข้ามพรมแดน อาทิ การฉ้อโกงทางโทรศัพท์และการพนันออนไลน์

ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์จีน หลิวชิ่งปิน ได้ให้ข้อมูลในเว็บไซต์ news.qq.com ของจีน ระบุว่าท่าทีของรัฐบาลจีนที่ชื่นชมมาตรการดังกล่าวของไทย ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้รัฐบาลไทยว่ามาตรการที่ดำเนินอยู่นั้นเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง นอกจากนี้ การได้รับการยอมรับจากรัฐบาลจีนอาจส่งผลให้ไทยได้รับความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและปฏิบัติการด้านความมั่นคงเพิ่มเติมในอนาคต

มาตรการตัดไฟ-ตัดเน็ตชายแดนไทย-เมียนมา: ข้อพิสูจน์ความจริงจังของไทย

ก่อนเดินทางมายังกรุงปักกิ่ง นายกรัฐมนตรีแพทองธารได้ออกคำสั่งให้ตัดไฟฟ้า ตัดอินเทอร์เน็ต และระงับการส่งน้ำมันไปยังพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ถูกระบุว่ามีการดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายสูงมาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์มองว่ามาตรการดังกล่าวเป็น “ของขวัญ” ที่รัฐบาลไทยมอบให้แก่จีน เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการจัดการปัญหาที่จีนให้ความกังวลมาโดยตลอด โดยเฉพาะกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการในการฉ้อโกงประชาชนจีนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ การดำเนินการครั้งนี้ไม่เพียงแต่ได้รับเสียงชื่นชมจากรัฐบาลจีนเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของรัฐบาลไทยว่าให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรมและความปลอดภัยในระดับภูมิภาค

กลยุทธ์ของแพทองธาร ได้รับแรงสนับสนุนจากอดีตนายกฯ ทักษิณ

มีข้อสังเกตจากนักวิเคราะห์ว่า แนวทางของนายกรัฐมนตรีแพทองธารอาจได้รับการแนะนำจากอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นบิดา ซึ่งเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า ไทยควรเร่งให้ความร่วมมือกับจีนอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดน รวมถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจและการค้า

นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเชื่อว่าทักษิณมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายต่างประเทศของไทย โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ของไทยมาอย่างยาวนาน นโยบายของแพทองธารในครั้งนี้อาจสะท้อนให้เห็นถึงความต่อเนื่องในแนวทางของพรรคเพื่อไทย ที่ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว

การดำเนินมาตรการที่เข้มงวดของรัฐบาลไทยก่อนการเยือนจีน มีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นกลุ่มนักเดินทางหลักที่มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) การลดลงของนักท่องเที่ยวจีนหลังจากเกิดเหตุการณ์อาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับนักลงทุนชาวจีนในไทย ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การเดินทางเยือนจีนของแพทองธารในครั้งนี้ จึงถือเป็นโอกาสสำคัญในการสร้างความมั่นใจและกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนให้กลับคืนมา

ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ในอนาคต

หนึ่งในเป้าหมายหลักของการเยือนจีนครั้งนี้ คือการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) อย่างน้อย 14 ฉบับ ระหว่างไทยและจีน ในด้านต่างๆ อาทิ

  • โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน
  • การเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมกับรถไฟจีน-ลาว
  • การขยายความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน

นักวิเคราะห์มองว่า ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างบทบาทของไทยในภูมิภาคอาเซียน ในฐานะศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และการค้าระหว่างประเทศ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ยังเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนจากจีนให้เข้ามามีบทบาทในเศรษฐกิจไทยมากขึ้น

ความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า

แม้ว่าการดำเนินนโยบายเชิงรุกของรัฐบาลไทยจะได้รับการตอบรับที่ดีจากจีน แต่ก็ยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ โดยเฉพาะการบริหารจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามพรมแดนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน นักวิเคราะห์เตือนว่าหากไทยไม่สามารถรักษาความเข้มงวดของมาตรการเหล่านี้ได้ ก็อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของจีนในระยะยาว

นอกจากนี้ การที่ไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรของกลุ่ม BRICS ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากจะส่งผลต่อทิศทางนโยบายเศรษฐกิจและความมั่นคงของไทยในอนาคต

บทสรุป

การเดินทางเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่สะท้อนถึงความพยายามของไทยในการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์กับจีน ไม่เพียงแต่ในด้านความมั่นคงและการปราบปรามอาชญากรรมข้ามพรมแดน แต่ยังรวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวผ่านข้อตกลงระดับทวิภาคีที่มีนัยสำคัญ

แม้ว่ามาตรการที่เข้มงวดของไทยจะได้รับการสนับสนุนจากจีน แต่รัฐบาลไทยยังต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : jeenthainews / 刘庆彬

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ภาพแรก ‘นายกนก’ หลังคว้าชัย อบจ.เชียงราย พร้อมขอบคุณชาวเชียงราย

ผลการเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงราย 2568: อทิตาธร วันไชยธนวงศ์ คว้าชัยด้วยคะแนนเสียงที่มั่นคง

เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 ผลการนับคะแนนการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (นายกอบจ.) ประจำปี 2568 ปรากฏว่า นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ผู้สมัครอิสระหมายเลข 1 คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งในครั้งนี้อย่างไม่เป็นทางการ โดยการเคลื่อนไหวแรกของนางอทิตาธรหลังจากได้รับชัยชนะคือการโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยโพสต์ภาพขณะทำบุญในตอนเช้า พร้อมข้อความว่า “ตื่นเช้าใส่บาตรทำบุญตามปรกติของชีวิต อนุโมทนาบุญกับประชาชนชาวเชียงรายทุกท่านด้วยค่ะ ขอบคุณพี่น้องประชาชนเชียงรายทุกท่านที่ออกมาใช้สิทธิใช้เสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งนี้ เพราะแสดงถึงพลังสำคัญที่ผลักดันให้เชียงรายก้าวไปข้างหน้าในระบอบประชาธิปไตย”

นอกจากนี้ นางอทิตาธรยังได้โพสต์ข้อความขอบคุณทุกกำลังใจและการสนับสนุนที่ได้รับระหว่างการหาเสียงครั้งนี้ โดยกล่าวว่า “ขอบคุณทุกกำลังใจ ทุกแรงสนับสนุนที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้มีความหมาย เส้นทางข้างหน้ายังเต็มไปด้วยโอกาส และภารกิจสำคัญที่เราต้องมาร่วมกันสร้างเชียงรายให้เป็นเมืองแห่งความสุข สุขทั้งผู้อยู่ สุขทั้งผู้มาเยือน และเตรียมบ้านหลังนี้เพื่อส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป ได้อยู่อย่างภาคภูมิใจ เชียงรายต้องไปต่อ และนกจะเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ให้ทุกนโยบายเกิดขึ้นจริงเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงให้เชียงราย”

จากผลการเลือกตั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นางอทิตาธร ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในจังหวัดเชียงราย และแม้ว่าจะยังไม่มีการประกาศรับรองผลอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แต่สัญญาณแห่งความมั่นคงในการได้เป็นนายกอบจ.เชียงรายในครั้งนี้ก็ได้รับการตอบรับจากประชาชนอย่างดี

การเคลื่อนไหวของผู้สมัครและบทบาทของทายาทการเมือง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ในฐานะผู้สมัครอิสระ ได้รับการสนับสนุนจากทายาทการเมืองหลายคนในจังหวัดเชียงราย ซึ่งได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือและสนับสนุนการหาเสียงของเธออย่างเต็มที่ โดยเฉพาะจากลูกๆ ของตระกูลวันไชยธนวงค์ที่ร่วมเดินสายหาเสียงและเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารกับประชาชนในพื้นที่ การมีส่วนร่วมของทายาทการเมืองทำให้การหาเสียงครั้งนี้มีพลังและความเชื่อมโยงระหว่างผู้สมัครและประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเข้ามามีบทบาทของลูกๆ ของตระกูลการเมืองไม่เพียงแต่ช่วยเหลือในด้านการหาเสียงเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างกำลังใจให้กับนางอทิตาธรในการต่อสู้ในศึกการเมืองท้องถิ่นครั้งนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่การหาเสียงเป็นไปอย่างหนักหน่วงและท้าทายที่สุด

การมีส่วนร่วมของประชาชนในการเลือกตั้งท้องถิ่น

ผลการเลือกตั้งที่แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมที่สูงจากประชาชนในจังหวัดเชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและความสนใจในเรื่องของการเมืองท้องถิ่นที่มีผลต่อการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในพื้นที่ การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเลือกผู้นำท้องถิ่น แต่ยังเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของจังหวัดเชียงราย

ความเคลื่อนไหวในการเลือกตั้งครั้งนี้ยังทำให้เห็นถึงความสำคัญของการมีตัวแทนที่มาจากการสนับสนุนจากประชาชน โดยเฉพาะเมื่อผู้สมัครต้องเข้าใจปัญหาของชาวบ้านและสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ได้อย่างแท้จริง

การเตรียมตัวเพื่อการพัฒนาเชียงรายในอนาคต

หลังจากได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ กล่าวถึงแผนการทำงานของเธอในอนาคตว่า “เราจะมุ่งมั่นทำงานเพื่อพัฒนาเชียงรายให้เป็นเมืองที่มีความสุข สำหรับผู้อยู่และผู้มาเยือน การพัฒนาในทุกๆ ด้านจะต้องมุ่งไปสู่การสร้างสรรค์และเป็นเมืองที่ทุกคนสามารถอยู่อาศัยได้อย่างภาคภูมิใจ เราจะทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่เพื่อให้ทุกนโยบายเกิดขึ้นจริง”

นางอทิตาธรยังกล่าวเสริมว่า การพัฒนาเชียงรายจะต้องทำให้จังหวัดนี้เป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับประชาชนทุกคน และจะมีการส่งเสริมการท่องเที่ยว การพัฒนาเศรษฐกิจ และการดูแลสังคมให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน

บทสรุป

การเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงราย 2568 ที่ผ่านมา นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนอย่างล้นหลามและสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างไม่เป็นทางการ แม้ผลการเลือกตั้งยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่ประชาชนเชียงรายแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและความหวังในการพัฒนาท้องถิ่นที่ดีขึ้น ผ่านการมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งและการสนับสนุนผู้สมัครที่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาจังหวัด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ทักษิณชูการเมืองท้องถิ่นฟื้นเศรษฐกิจเชียงราย ดึงพลังเพื่อไทยสู้ปี 2568

นายทักษิณปราศรัยเชียงราย ย้ำความสำคัญของการเมืองท้องถิ่น ฟื้นเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตประชาชน

เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2568 นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงของนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้ลงพื้นที่ปราศรัยช่วยหาเสียงในจังหวัดเชียงราย โดยมีประชาชนให้การต้อนรับอย่างล้นหลาม บรรยากาศที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงเต็มไปด้วยผู้สนับสนุนที่สวมใส่เสื้อแดง ร่วมแสดงความยินดีและฟังการปราศรัยอย่างคึกคัก

เวทีปราศรัยแน่น 3 จุด

นายทักษิณขึ้นปราศรัยที่โรงเรียนปล้องวิทยาคม อำเภอเทิง, โรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม อำเภอเชียงของ และโรงเรียนแม่จันวิทยาคม อำเภอแม่จัน โดยมีประชาชนจากหลายพื้นที่มาร่วมรับฟังนับหมื่นคน นายทักษิณกล่าวถึงเหตุผลที่มาช่วยหาเสียงครั้งนี้ว่า ตนคิดถึงประชาชนชาวเชียงรายหลังไม่ได้พบปะกันกว่า 20 ปี อีกทั้งยังต้องการสนับสนุนนายยงยุทธ ติยะไพรัช น้องรักที่ร่วมสร้างพรรคเพื่อไทยมาตั้งแต่ต้น และเพื่อสนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวของตน เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรค

ย้ำการเมืองท้องถิ่นสำคัญต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ

นายทักษิณกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมองว่าการเมืองท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้มี ส.ส. มากกว่า 200 คนเหมือนในอดีต และระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูโดยด่วน พร้อมระบุว่า หากเศรษฐกิจในต่างจังหวัดฟื้นตัว กรุงเทพฯ จะได้รับผลดีไปด้วย

นอกจากนี้ นายทักษิณยังเผยว่า เศรษฐกิจในปัจจุบันทรุดหนัก แต่เขามั่นใจว่าสามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาไม่นาน หากมีการบริหารจัดการที่ดี เน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และกระตุ้นเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจ

ความคาดหวังจากการบริหารรัฐบาลเพื่อไทย

นายทักษิณกล่าวถึงการลดค่าไฟฟ้าให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วยภายในปีนี้ รวมถึงการลดต้นทุนค่าอาหารสัตว์ ค่าปุ๋ย และยารักษาโรคเพื่อช่วยประชาชน นอกจากนี้ยังชี้แจงว่ารัฐบาลเพื่อไทยกำลังเร่งดำเนินการปราบปรามยาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการผูกขาดทางเศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ประชาชนขอให้นายทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ

ในช่วงหนึ่งของการปราศรัย มีประชาชนตะโกนขอให้นายทักษิณกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง แต่เขากล่าวว่า ตนแก่แล้วและขอสนับสนุนลูกสาวแทน พร้อมระบุว่าเคยมีทรัพย์สินมากถึง 60,000 ล้านบาท แต่หลังจากเผชิญปัญหาทางการเมือง ทำให้ทรัพย์สินลดลงจนเทียบเท่าประชาชนในเชียงราย

มุ่งหน้าสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

นายทักษิณกล่าวถึงการส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการพัฒนาคนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจใหม่ เช่น การผลักดันคนไทยไปเป็นนางแบบระดับโลก หรือการสนับสนุนบุคลากรที่มีความสามารถในด้านต่าง ๆ ผ่านการฝึกฝนและส่งเสริมศักยภาพ

สรุป

นายทักษิณ ชินวัตร แสดงจุดยืนสนับสนุนการเมืองท้องถิ่น พรรคเพื่อไทย และการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกด้าน พร้อมให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลจะทำงานอย่างหนักเพื่อแก้ไขปัญหาที่สะสมมาหลายปี และสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนไทยทุกคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์ / เพจสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE