Categories
TOP STORIES

สว. ยื่นเชือด “ทวี” กล่าวหาฮั้วเลือก ผิดอั้งยี่

มงคล” ยื่น ป.ป.ช. สอบ “ทวี-อธิบดีดีเอสไอ” ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง กรณีฮั้วเลือก ส.ว.

รัฐสภา, 28 กุมภาพันธ์ 2568 – นาย มงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้ทำหนังสืออย่างเป็นทางการถึง ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้พิจารณาไต่สวน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรณี ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยเกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา ฮั้วเลือก ส.ว.” ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิด อั้งยี่และฟอกเงิน

การยื่นเรื่องนี้เป็นไปตาม ความประสงค์ของสมาชิกวุฒิสภา ที่ต้องการให้ ป.ป.ช. พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

ที่มาของการร้องเรียน: ข้อกล่าวหาเรื่อง “ฮั้วเลือก ส.ว.”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 พล.ต.ต.ฉัตรวรรษ แสงเพชร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พร้อมคณะ ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายมงคล สุระสัจจะ ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ พ.ต.อ.ทวี และ พ.ต.ต.ยุทธนา โดยระบุว่าทั้งสองบุคคลมีพฤติกรรมเข้าข่าย

  • กระทำผิดมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
  • ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ตามมาตรฐานจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ
  • อาจเข้าข่ายความผิดฐานอั้งยี่และฟอกเงิน จากกรณีข้อกล่าวหาการฮั้วเลือกสมาชิกวุฒิสภา

โดยหนังสือที่ยื่นถึงประธานวุฒิสภาเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ได้รับการพิจารณา และ ดำเนินการส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช. ในวันที่ 28 ก.พ. อย่างเร่งด่วน

พ.ต.อ.ทวี – พ.ต.ต.ยุทธนา อาจถูกสอบสวนอย่างละเอียด

กรณีนี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง และ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ต้องเผชิญกับการพิจารณาจาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งอาจนำไปสู่การไต่สวนในรายละเอียด และหากพบว่ามีมูลความผิดจริง อาจส่งผลให้ทั้งสองคนต้องรับโทษตามกฎหมายและมาตรฐานทางจริยธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ

มาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ระบุว่า เจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อาจมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท

มาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ หากพิสูจน์ได้ว่า ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม อาจนำไปสู่โทษสูงสุดคือ ถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และเพิกถอนสิทธิทางการเมือง

ปฏิกิริยาทางการเมืองและผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล

การยื่นเรื่องสอบสวนในครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในแวดวงการเมือง โดยเฉพาะในกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสรรหา ส.ว.

นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า กรณีนี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อรัฐบาลและฝ่ายบริหาร เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลระดับสูงในหน่วยงานสำคัญ และหากมีการดำเนินคดี อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของกระบวนการยุติธรรมของไทย

ขณะที่ สภาวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ อาจมีท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้น หากพบว่าข้อกล่าวหานี้มีมูลจริง

แนวโน้มการพิจารณาของ ป.ป.ช. และกระบวนการต่อไป

หลังจากการรับเรื่องจากประธานวุฒิสภา ป.ป.ช. มีอำนาจในการ

  • แต่งตั้งคณะกรรมการไต่สวน เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริง
  • เรียกพยานบุคคลและเอกสารหลักฐาน ที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว
  • ตรวจสอบเส้นทางการเงิน หากพบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายฟอกเงิน
  • เสนอมาตรการลงโทษทางกฎหมายและทางจริยธรรม

กระบวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับปริมาณหลักฐานและความซับซ้อนของคดี

สถิติที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตในไทย

  • จำนวนคดีทุจริตที่ ป.ป.ช. รับเรื่องในปี 2567: 6,842 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)
  • จำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง: 1,253 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)
  • จำนวนคดีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง ส.ว. และ ส.ส.: 187 คดี (ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง – กกต.)
  • คดีที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 157 ที่ ป.ป.ช. ส่งฟ้องในศาลอาญาคดีทุจริต: 82 คดี (ที่มา: ป.ป.ช.)

บทสรุป

กรณีนี้ถือเป็น ประเด็นร้อนทางการเมืองและกระบวนการยุติธรรม ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อ ภาพลักษณ์ของรัฐบาล และ ระบบการตรวจสอบภาครัฐ หาก ป.ป.ช. มีมติรับไต่สวน คดีนี้อาจนำไปสู่ การเปิดโปงขบวนการทุจริตในวงการเมืองระดับสูง อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

รัฐบาลและวุฒิสภาจะต้องจับตา ผลสรุปของ ป.ป.ช. อย่างใกล้ชิด และคาดว่าการพิจารณาคดีนี้ จะเป็นที่จับตามองจากประชาชน และองค์กรต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสทางการเมืองของไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : รัฐสภา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

สว. สู้กลับ ยื่นถอดถอน รมต. ปม “อั้งยี่-ซ่องโจร” ลามการเมือง

ศึกเดือด! ส.ว. เตรียมถอดถอน “รัฐมนตรี” กล่าวหา “อั้งยี่-ซ่องโจร” พร้อมยื่นอภิปราย-แจ้งความ สอบอำนาจดีเอสไอ

วุฒิสภาโต้กลับ! ชี้ข้อกล่าวหาทำให้ ส.ว. เสื่อมเสีย – จ่อส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถอดถอนรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

กรุงเทพฯ, 22 กุมภาพันธ์ 2568พลเอกเกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่ง ประกาศเดินหน้าตอบโต้ข้อกล่าวหากรณีการยื่นให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับเรื่อง ฮั้วเลือก ส.ว. ปี 2567″ เป็นคดีพิเศษ โดยยืนยันว่า จะให้ฝ่ายกฎหมายรวบรวมข้อมูล เพื่อดำเนินการแจ้งความบุคคลที่กล่าวหาวุฒิสภา รวมถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง ฐานทำให้วุฒิสภาเสียหายและสร้างความเข้าใจผิดแก่สังคม

นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วุฒิสภา เตรียม เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง ถึงอำนาจหน้าที่และข้อกล่าวหา อั้งยี่ ซ่องโจร” ซึ่งถูกระบุว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง และเตรียมเปิดอภิปรายโดยไม่ลงมติ หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะ บทบาทของดีเอสไอ ว่ามีเหตุผลที่ชอบธรรมหรือไม่

เรื่องนี้ทำให้วุฒิสภาเสื่อมเสีย จึงต้องแถลงข่าวด่วนในระหว่างการสัมมนาที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพราะเรายึดมั่นในหลักการของกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2560 และไม่อาจยอมรับข้อกล่าวหาเช่นนี้ได้” พลเอกเกรียงไกร กล่าว

วุฒิสภาเตรียมยื่นศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยถอดถอนรัฐมนตรี

พลเอกเกรียงไกรเปิดเผยว่า วุฒิสภากำลังพิจารณาเข้าชื่อเพื่อเสนอให้ประธานวุฒิสภาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการถอดถอนรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่า จะได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอ

เราต้องดูว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร และใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน และเราจะไม่ยอมให้วุฒิสภาต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะเหตุนี้” พลเอกเกรียงไกรกล่าว พร้อมย้ำว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวอาจมีความเกี่ยวข้องกับการผลักดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นประเด็นที่วุฒิสภากำลังจับตาอย่างใกล้ชิด

เมื่อถูกถามว่า การยื่นเรื่องนี้เป็นเกมการเมืองเพื่อหวังล้ม ส.ว. สีน้ำเงินหรือไม่ พลเอกเกรียงไกรกล่าวว่า “เรื่องนี้มีความเกี่ยวโยงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน แต่ ประเด็นสำคัญคือการที่วุฒิสภาถูกทำให้เสื่อมเสีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้

ข้อกล่าวหานี้เกินกว่าจะรับได้” – พลเอกเกรียงไกร ชี้เป็นเรื่องกระทบต่อเสถียรภาพชาติ

พลเอกเกรียงไกร ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มากว่า 38 ปี ยืนยันว่า ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นทำให้วุฒิสภาเสียชื่อเสียง และกระทบต่อเสถียรภาพของประเทศ

ผมทำงานรับใช้ชาติบ้านเมืองมายาวนาน ปกป้องความมั่นคงมาโดยตลอด แต่พอมาดูข้อกล่าวหานี้ มันเกินกว่าที่เราจะรับได้” พลเอกเกรียงไกรกล่าว พร้อมเสริมว่า สมาชิกวุฒิสภาหลายคนที่ทำงานเพื่อชาติ ต่างก็ไม่พอใจที่ถูกกล่าวหาว่ามีความเกี่ยวข้องกับ “อั้งยี่ ซ่องโจร” ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง

อภิปรายไม่ไว้วางใจ “ทวี สอดส่อง” และตรวจสอบบทบาท ดีเอสไอ

เมื่อถูกถามว่า การเปิดอภิปรายจะมุ่งเป้าไปที่พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเพียงคนเดียวหรือไม่ พลเอกเกรียงไกรกล่าวว่า แน่นอนว่าเขาเป็นรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยตรง” แต่ยังต้องตรวจสอบด้วยว่า มีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้”

เราจะพิจารณาว่าการดำเนินงานของดีเอสไอเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่ การยื่นเรื่องให้ดีเอสไอรับพิจารณาเป็นคดีพิเศษ มีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ และมีการดำเนินการโดยชอบธรรมหรือไม่” พลเอกเกรียงไกรกล่าว

สรุปประเด็นร้อน

  • วุฒิสภาเตรียมยื่นถอดถอนรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา “ฮั้วเลือก ส.ว.”
  • เตรียมแจ้งความดำเนินคดีต่อผู้ที่กล่าวหาวุฒิสภา ทำให้เกิดความเสียหาย
  • กรรมาธิการวุฒิสภา เตรียมเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อกล่าวหา “อั้งยี่-ซ่องโจร”
  • วางแผนเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และตรวจสอบบทบาทของดีเอสไอ
  • คาดว่าข้อกล่าวหานี้อาจเชื่อมโยงกับการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ

วิเคราะห์สถานการณ์: สัญญาณความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่?

การเดินหน้าของวุฒิสภาเพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหานี้ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหม่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและระบบการเมืองไทยในช่วงเวลาที่กำลังมีการถกเถียงเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่น่าจับตา:

  • วุฒิสภาจะสามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนเพียงพอสำหรับการถอดถอนรัฐมนตรีได้หรือไม่?
  • ดีเอสไอจะสามารถพิสูจน์ความถูกต้องของกระบวนการพิจารณาคดีพิเศษได้หรือไม่?
  • รัฐบาลและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจะตอบโต้การเคลื่อนไหวของวุฒิสภาอย่างไร?

การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ และการอภิปรายเรื่องนี้ในสภาจะเป็นตัวชี้วัดถึงอนาคตของวุฒิสภาและเสถียรภาพของรัฐบาลในระยะต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

สว. แถลงโต้! คดีฮั้วเลือกตั้ง สว. 67 เกมการเมืองหวังล้มรัฐธรรมนูญ

ประธานวุฒิสภา’ นำทีม ‘สว.’ แถลงด่วน โต้คดีฮั้วเลือก สว. 67 เชื่อเป็นเกมการเมือง หวังให้เกิดวิกฤติรัฐธรรมนูญ

กรุงเทพฯ, 21 กุมภาพันธ์ 2568 – นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา พร้อมคณะสมาชิกวุฒิสภา แถลงข่าวด่วนกรณีที่มีกลุ่ม ส.ว.สำรอง ยื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อให้รับคดีฮั้วเลือกตั้ง ส.ว. ปี 2567 เป็นคดีพิเศษ โดยแถลงการณ์เกิดขึ้นระหว่างการสัมมนา ณ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยนายมงคล ระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวของ DSI อาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากการตรวจสอบกระบวนการเลือกตั้งเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ได้รับมอบหมายตามกฎหมาย

การที่ดีเอสไอเข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ ดูจะเป็นการก้าวก่ายอำนาจของ กกต. ซึ่งดำเนินการตรวจสอบมาโดยตลอด และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่า การเลือกตั้ง ส.ว. ปี 2567 มีความผิดปกติที่ถึงขั้นเป็นคดีพิเศษ” นายมงคลกล่าว พร้อมย้ำว่าสมาชิกวุฒิสภาชุดปัจจุบันปฏิบัติหน้าที่โดยชอบธรรม และเป็นไปตามกระบวนการรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้อง

ส.ว.’ ป้องเกียรติคุณ – จวกข้อกล่าวหาว่า “อั้งยี่ ซ่องโจร” เกินเลยข้อเท็จจริง

พลตำรวจตรีฉัตรวรรษ แสงเพชร ส.ว. และประธานกรรมาธิการกิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญฯ วุฒิสภา กล่าวเสริมว่า การกล่าวหาวุฒิสภาในลักษณะที่บ่อนทำลายความเชื่อมั่น เช่น การเปรียบเทียบกับอาชญากรรมข้ามชาติ หรือ “อั้งยี่ ซ่องโจร” เป็นการกล่าวเกินเลยจากข้อเท็จจริงและสร้างความเสียหายแก่สถาบันนิติบัญญัติของประเทศ การกล่าวหาเช่นนี้ มีผลกระทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของวุฒิสภา และอาจเข้าข่ายการให้ร้ายโดยไม่มีมูลความจริง” เขากล่าว

พันตำรวจเอกกอบ อัจนากิตติ ส.ว. ในฐานะโฆษกกรรมาธิการการกฎหมายการยุติธรรม วุฒิสภา กล่าวเพิ่มเติมว่า การกล่าวหาเกี่ยวกับกระบวนการเลือกตั้ง ส.ว. โดยไม่มีหลักฐานแน่ชัด อาจเข้าข่ายการหมิ่นประมาทและทำให้เกิดความสับสนในสังคม หากมีหลักฐานแน่ชัดขอให้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง ไม่ใช่ใช้วิธีการกล่าวหาโดยไม่มีมูล”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมโต้ ยัน DSI มีอำนาจรับเรื่อง – เผยหลักฐาน “โพยฮั้ว” มีจริง

ด้านพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยหลังการแถลงข่าวของวุฒิสภาว่า ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ว. ปี 2567 และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการสอบสวน เราไม่มีเจตนาจะกลั่นแกล้ง หรือมีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง แต่ในเมื่อมีผู้ร้องเรียน และมีหลักฐานบางอย่างที่ต้องตรวจสอบ เราจึงต้องดำเนินการตามกฎหมาย”

พันตำรวจเอกทวี กล่าวอีกว่า DSI ไม่จำเป็นต้องรอ กกต. เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจตามกฎหมายในการพิจารณาว่ากรณีใดเข้าข่ายคดีพิเศษ ขณะนี้มีการรวบรวมหลักฐานหลายส่วน รวมถึงโพยตัวเลขที่ปรากฏชื่อ ส.ว. จำนวน 138 คน ซึ่งต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด” เขากล่าว พร้อมเปิดเผยว่า อาจต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์และการเลือกตั้งมาให้ข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อคลายข้อสงสัยว่าทำไมตัวเลขผลการเลือกตั้งจึงเป็นไปตามโพยดังกล่าว

เปิดเอกสารลับ “คดีฮั้วเลือก ส.ว.” – พบขบวนการจัดตั้งผู้สมัครล่วงหน้า

จากเอกสารที่ได้รับการเปิดเผยโดย DSI รายงานว่า มีการวางแผนจัดตั้งขบวนการเลือกตั้ง ส.ว. โดยแบ่งเป็นเครือข่ายที่มีการสมัครเป็นกลุ่มในระดับอำเภอและจังหวัด เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งระดับประเทศ มีการกำหนดค่าตอบแทนให้ผู้สมัครที่เข้าร่วมเครือข่าย ตั้งแต่ 5,000 บาท ในระดับอำเภอ จนถึง 100,000 บาท ในระดับประเทศ” เอกสารระบุ

หลักฐานจากการสืบสวนพบว่า ขบวนการนี้มีการจัดทำ “โพยเลือกตั้ง” ที่กำหนดล่วงหน้าว่าผู้ใดจะต้องเลือกใคร เพื่อให้ผลการลงคะแนนออกมาตามที่ต้องการ ผลการเลือกตั้งในรอบเช้าและรอบไขว้ พบว่าผลคะแนนออกมาตรงกับโพยทุกประการ” DSI รายงาน

เกมการเมือง” หรือ “การตรวจสอบที่จำเป็น”? – อนาคตของวุฒิสภาอยู่บนเส้นทางขั้วตรงข้าม

สถานการณ์ปัจจุบันทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างหนักระหว่างวุฒิสภาและกระทรวงยุติธรรม โดยฝ่าย ส.ว. มองว่าเป็นเกมการเมืองที่มุ่งเป้าหมายไปสู่การสร้างวิกฤติรัฐธรรมนูญ เพื่อรื้อโครงสร้างใหม่ของวุฒิสภา ในขณะที่ฝ่ายกระทรวงยุติธรรมยืนยันว่าการสอบสวนครั้งนี้เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของ DSI ที่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหาย

นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา กล่าวในช่วงท้ายของการแถลงข่าวว่า หากพบว่ามีการกระทำผิดจริง พวกเราไม่ขัดขวางการดำเนินการตามกฎหมาย แต่เราขอความเป็นธรรม และขอให้การตรวจสอบนี้เป็นไปอย่างโปร่งใส ไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง”

ทั้งนี้ คดีฮั้วเลือก ส.ว. ปี 2567 กำลังเข้าสู่กระบวนการพิจารณาว่าจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ ซึ่งหาก DSI รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษ จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่การเลือกตั้งวุฒิสภาถูกตรวจสอบในระดับสูงสุด และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในโครงสร้างการเมืองของไทยในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

‘หลิว จงอี้’ ขอโทษคนไทย ทำรู้สึกถูกรุกล้ำอธิปไตย

ภูมิธรรม’ เผย ‘หลิว จงอี้’ ขอโทษคนไทย ย้ำเคารพอธิปไตยไทย เตรียมประชุมไตรภาคีเร่งด่วน

กรุงเทพ, 19 กุมภาพันธ์ 2568 – รองนายกรัฐมนตรี ‘ภูมิธรรม เวชยชัย’ เปิดเผยผลการหารือกับ ‘หลิว จงอี้’ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงจีน ยืนยันเดินหน้าความร่วมมือไตรภาคี ไทย-จีน-เมียนมา ในการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมส่งตัวชาวจีน 600 รายกลับประเทศภายในสัปดาห์นี้

จีนขอโทษไทย ประสานความร่วมมือไตรภาคี

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวหลังจากการประชุมร่วมกับนายหลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 โดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง

นายหลิว จงอี้ ได้กล่าวขอโทษประชาชนชาวไทยที่เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับปฏิบัติการของจีนในประเทศไทย และย้ำว่า จีนเคารพในอธิปไตยของไทย พร้อมให้ความร่วมมือในการขจัดปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับชาวจีนในเมียนมา

 ไทยเดินหน้าประชุมไตรภาคี ร่วมจีน-เมียนมา

นายภูมิธรรม เปิดเผยว่า ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมไตรภาคีระหว่าง ไทย-เมียนมา-จีน ภายในสัปดาห์หน้า โดยมีเป้าหมายเพื่อกำหนดกลไกความร่วมมือที่ชัดเจนขึ้น ในการปราบปรามขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ โดยขณะนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากเมียนมาเดินทางมาถึงไทยแล้วเพื่อเตรียมการประชุม

“เราจะดำเนินการให้เรื่องนี้คลี่คลายอย่างมีประสิทธิภาพ และจีนก็พร้อมให้ข้อมูลสำคัญกับไทย เพื่อขุดรากถอนโคนขบวนการนี้” นายภูมิธรรมกล่าว

 ส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ 600 คน เริ่มพรุ่งนี้

 4 เที่ยวบินแรก ออกจากแม่สอด 20 ก.พ.

ในการหารือครั้งนี้ ฝ่ายจีนได้ประสานกับรัฐบาลไทยในการส่งตัวชาวจีนจำนวน 600 คนกลับประเทศ โดยจะใช้เที่ยวบิน 3 รอบ แต่ละรอบห่างกัน 3 วัน โดยรอบแรกจะเริ่มในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2568 รวม 4 เที่ยวบินจากสนามบินแม่สอด จ.ตาก

เหตุผลที่ต้องใช้สนามบินแม่สอด เนื่องจากสถานการณ์ในเมียนมายังคงมีความไม่ปลอดภัย ทั้งด้านการสู้รบและอุปสรรคด้านโลจิสติกส์ เช่น กับระเบิดตามเส้นทางภาคพื้นดิน

จีนรับปากว่า หากพบข้อมูลเชื่อมโยงกับเครือข่ายในไทย จะส่งข้อมูลให้ทางการไทยทันที เพื่อขยายผลสู่การปราบปรามเพิ่มเติม

จีน-เมียนมาชื่นชมมาตรการของไทย

นายหลิว จงอี้ ยังแสดงความชื่นชมมาตรการของไทยที่ดำเนินการตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต และตัดน้ำมันในพื้นที่อิทธิพลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา โดยมาตรการดังกล่าวได้รับคำชมจากทั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และนายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ของจีน รวมถึงรัฐบาลเมียนมา

 ไทยปฏิเสธข้อเสนอจีนในการปิดกั้นสินค้าไปเมียนมา

แม้ว่าฝ่ายจีนเสนอให้ไทยปิดกั้นการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคไปยังเมียนมาเพื่อเป็นมาตรการกดดันเพิ่มเติม แต่ไทยได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้ โดยให้เหตุผลว่า การดำเนินการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม ซึ่งไทยต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมเป็นสำคัญ

เตรียมส่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบสินค้าต้องห้าม

จีนยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการลักลอบนำเข้าสินค้าต้องห้ามผ่านตู้คอนเทนเนอร์จากไทยไปเมียนมา ซึ่งฝ่ายไทยได้รับปากว่าจะนำประเด็นนี้เข้าสู่การพิจารณาและปรับปรุงมาตรการตรวจสอบสินค้าให้เข้มงวดขึ้น โดยจีนพร้อมส่งเครื่องมือพิเศษเข้ามาช่วยเหลือในการตรวจสอบ

การบริหารจัดการผู้ลี้ภัยและชาวต่างชาติ

สำหรับกรณีชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวจีนที่อยู่ในเมียนมา และอาจต้องการลี้ภัยเข้ามาในไทย นายภูมิธรรมย้ำว่า ไทยไม่มีนโยบายจัดตั้งค่ายผู้อพยพใหม่ และจะต้องประสานให้สถานทูตของแต่ละประเทศเข้ามารับตัวประชาชนของตนไปดำเนินการ

“หากมีจำนวนมาก เราจะต้องวางแผนใหม่ โดยสถานทูตแต่ละประเทศต้องรับผิดชอบประชาชนของตน” นายภูมิธรรมกล่าว

สรุป: ไทย-จีน-เมียนมา เดินหน้าปราบปรามข้ามชาติ

การหารือระหว่างไทยและจีนครั้งนี้เป็นการยกระดับความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ไทยยืนยันความร่วมมือไตรภาคี พร้อมส่งตัวชาวจีนที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลับประเทศโดยเร็ว ในขณะที่จีนรับปากจะให้ข้อมูลที่เกี่ยวโยงกับไทยเพื่อขยายผลต่อไป

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. ทำไมจีนต้องขอโทษไทย?

จีนขอโทษไทยเนื่องจากเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของเจ้าหน้าที่จีนในไทย ทำให้ประชาชนบางส่วนรู้สึกว่าถูกละเมิดอธิปไตย

  1. การประชุมไตรภาคีจะมีขึ้นเมื่อไหร่?

การประชุมไตรภาคีระหว่างไทย-จีน-เมียนมาคาดว่าจะมีขึ้นภายในสัปดาห์หน้า โดยไทยเป็นเจ้าภาพ

  1. ทำไมต้องใช้สนามบินแม่สอดในการส่งตัวชาวจีนกลับประเทศ?

สนามบินแม่สอดถูกเลือกเนื่องจากสถานการณ์ในเมียนมายังไม่ปลอดภัยสำหรับการเดินทางภาคพื้นดิน

  1. ไทยจะดำเนินการอะไรเพิ่มเติมในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์?

ไทยจะดำเนินมาตรการตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต และตัดน้ำมันในพื้นที่อิทธิพลของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่อไป พร้อมเร่งตรวจสอบเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในไทย

  1. ไทยปฏิเสธข้อเสนอจีนในเรื่องใด?

ไทยปฏิเสธข้อเสนอจีนในการปิดกั้นสินค้าอุปโภคบริโภคไปเมียนมา เนื่องจากต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

PM2.5 วาระแห่งชาติ นายกฯ เร่งทุกฝ่ายแก้ปัญหา

นายกรัฐมนตรีติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ย้ำบูรณาการทุกหน่วยงาน คุมเข้มการเผา พร้อมสั่งเตรียมแผนงานรองรับปีหน้า

กรุงเทพฯ, 19 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์และการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ตลอดจนปลัดกระทรวง อธิบดีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้าร่วมประชุม

นายกฯ สั่งเข้มมาตรการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ทุกระดับ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้รับฟังรายงานจากนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการเพื่อการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ โดยระบุว่า รัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ผ่านมาตรการบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้สถานการณ์ฝุ่นละอองในหลายพื้นที่เริ่มคลี่คลาย อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องเฝ้าระวังการลักลอบเผาป่า ซึ่งอาจทำให้ปัญหากลับมารุนแรงขึ้น โดยต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานภาครัฐและระดับพื้นที่

นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมแผนงานเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฝุ่นละอองในปีหน้า รวมถึงต้องขับเคลื่อนการบังคับใช้มาตรการอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่สำคัญ

สั่งคุมเข้มการเผาในพื้นที่เกษตร – ดำเนินคดีผู้ฝ่าฝืนอย่างจริงจัง

นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศให้เร่งควบคุมการลักลอบเผาในพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่พบจุดความร้อน (Hotspot) มากที่สุด พร้อมสั่งให้บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังกับผู้กระทำผิด

นอกจากนี้ ได้มอบหมายให้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ติดตามสถานการณ์และรายงานความคืบหน้าเป็นระยะ พร้อมให้ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เร่งประสานงานกับกองทัพบกและกองทัพอากาศ เพื่อสนับสนุนเครื่องมืออากาศยานในการดับไฟป่าและเฝ้าระวังการลักลอบเผา

ในส่วนของการป้องกันปัญหาฝุ่นจากภาคอุตสาหกรรม นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ กระทรวงอุตสาหกรรม ควบคุมมลพิษจากโรงงาน พร้อมกำชับให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รณรงค์ลดการเผาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและส่งเสริมให้เกษตรกรใช้วิธีการไถกลบแทน

รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเครื่องมือและมาตรการเพิ่มเติมในปีหน้า

นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำว่า รัฐบาลจะพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองในปีหน้า โดยขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมข้อมูลและเสนอแผนงานที่จำเป็น เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปีนี้เราอาจมีข้อจำกัดหลายด้าน แต่ปีหน้าเราจะต้องทำให้ดีขึ้น เพื่อให้สถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ลดความรุนแรงลง และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า รัฐบาลมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มอบหมายกระทรวงการต่างประเทศหารือเพื่อนบ้าน ร่วมแก้ปัญหาฝุ่นข้ามแดน

เนื่องจากปัญหาฝุ่น PM2.5 มีสาเหตุจากไฟป่าและการเผาในประเทศเพื่อนบ้านด้วย นายกรัฐมนตรีจึงมอบหมายให้ กระทรวงการต่างประเทศ ประสานงานกับรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ลาว และกัมพูชา เพื่อหารือแนวทางป้องกันการเผาข้ามแดน รวมถึงจัดทำข้อตกลงร่วมกันในการลดปัญหาฝุ่นละอองในระดับภูมิภาค

นายกฯ รับข้อเสนอ กทม. เสริมมาตรการลดฝุ่นในเมือง

สำหรับพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นศูนย์กลางของปัญหาฝุ่นละอองจากภาคขนส่งและอุตสาหกรรม นายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอจาก ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ซึ่งรวมถึงการเพิ่มจุดตรวจวัดค่าฝุ่น การปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเชื้อเพลิง และการเข้มงวดการตรวจสอบรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเกินค่ามาตรฐาน โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่าจะนำข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณาและหารือเพิ่มเติมในการประชุมครั้งต่อไป

สรุปแนวทางปฏิบัติและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี

  1. ควบคุมการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมอย่างจริงจัง บังคับใช้กฎหมายกับผู้ฝ่าฝืน
  2. ประสานความร่วมมือกับกองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมไฟป่า
  3. ควบคุมการปล่อยมลพิษจากภาคอุตสาหกรรมและขนส่ง
  4. สนับสนุนเครื่องมือและงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อแก้ไขปัญหาในปีหน้า
  5. ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อป้องกันปัญหาฝุ่นข้ามแดน
  6. รับข้อเสนอจากกรุงเทพมหานครเพื่อเสริมมาตรการลดฝุ่นในเขตเมือง

การประชุมในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของมาตรการระยะยาวที่รัฐบาลจะดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน โดยนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการตามแผนที่วางไว้ เพื่อให้ประชาชนได้รับอากาศที่สะอาดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทุกหน่วยงานต้องทำงานเชิงรุก อย่ารอให้ปัญหารุนแรงแล้วค่อยแก้ไข เราต้องเตรียมการล่วงหน้า และป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ” นายกรัฐมนตรีกล่าวทิ้งท้าย

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

อีลอน มัสก์ พาลูกชาย ร่วมแถลงข่าวทรัมป์ สื่อทั่วโลกจับตา

ขโมยซีน! อีลอน มัสก์ พาลูกชาย X Æ A-Xii ร่วมแถลงข่าวทรัมป์ ดึงความสนใจจากสื่อ

วอชิงตัน, 12 กุมภาพันธ์ 2568independent รายงาน บรรยากาศที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคารกลายเป็นกระแสไปทั่วโลกโซเชียล เมื่อ X Æ A-Xii ลูกชายวัย 4 ขวบของอีลอน มัสก์ ขโมยซีนระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ภายในห้องรูปไข่ เด็กชายตัวน้อยทำให้หลายคนอดยิ้มไม่ได้ ด้วยพฤติกรรมซุกซน เช่น การเลียนแบบพ่อของเขาขณะพูดถึงประชาธิปไตย และการแคะจมูกก่อนเช็ดลงบนโต๊ะ Resolute ซึ่งเป็นโต๊ะประจำตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีประวัติยาวนานกว่า 140 ปี

มัสก์เข้าร่วมแถลงการณ์ ทรัมป์ลงนามคำสั่งบริหารลดค่าใช้จ่ายภาครัฐ

อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ SpaceX และ Tesla ได้เข้าร่วมการแถลงข่าวครั้งนี้ในฐานะสักขีพยานในการลงนามคำสั่งบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่มีเป้าหมายให้หน่วยงานรัฐบาลกลางร่วมมือกับกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล เพื่อปรับลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ โดยขณะที่มัสก์กำลังตอบคำถามของผู้สื่อข่าว ลูกชายของเขาก็ทำให้หลายคนหลุดหัวเราะออกมา ด้วยการกระโดดเกาะไหล่พ่อ และพูดกระซิบกับทรัมป์แบบเป็นกันเอง

X Æ A-Xii สร้างสีสัน ดึงความสนใจจากทั้งแฟนคลับและสื่อมวลชน

หลังจากคลิปพฤติกรรมของ X Æ A-Xii ถูกเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ซึ่งมัสก์ซื้อกิจการมาในปี 2022 ด้วยมูลค่า 44 พันล้านดอลลาร์ ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียต่างออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลาย ผู้สนับสนุนมัสก์และทรัมป์หลายคนมองว่าเป็นโมเมนต์ที่น่ารักและเป็นกันเอง แต่บางส่วนก็รู้สึกว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในทำเนียบขาว

ปฏิกิริยาของทรัมป์และความเห็นจากผู้ใช้โซเชียล

แม้ว่าจะถูกแย่งซีน แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ดูเหมือนจะไม่ติดใจอะไร และยังกล่าวชม X Æ A-Xii ว่าเป็น “เด็กที่มีไอคิวสูง” ขณะที่มัสก์ยังคงดำเนินการแถลงข่าวต่อไป นอกจากนี้ บริจิตต์ กาเบรียล นักวิจารณ์อนุรักษ์นิยม ยังกล่าวว่า “ลูกชายของมัสก์มีความน่ารักเกินพิกัด” อย่างไรก็ตาม บางความคิดเห็นก็ไม่เห็นด้วย โดยมีผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม X รายหนึ่งโพสต์ว่า “ฉันไม่ต้องการเห็นเด็กเช็ดขี้มูกบนโต๊ะ Resolute”

มัสก์ตอบโต้คำวิจารณ์ ย้ำเป้าหมายรัฐบาลใหม่คือการปฏิรูประบบราชการ

มัสก์ยังถูกถามเกี่ยวกับนโยบายต่อต้านภาครัฐที่เขาสนับสนุน ซึ่งบางฝ่ายมองว่าเป็นการพยายามควบคุมรัฐบาลกลาง เขาตอบว่า “ประชาชนโหวตให้เกิดการปฏิรูปครั้งใหญ่ และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาจะได้รับ” โดยอ้างว่ารัฐบาลทรัมป์มีเป้าหมายในการฟื้นฟูประชาธิปไตย ด้วยการลดบทบาทของระบบราชการที่เขาอ้างว่าเป็น “องค์กรที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งซึ่งควบคุมการบริหารประเทศ”

สรุป

การแถลงข่าวของอีลอน มัสก์และโดนัลด์ ทรัมป์ กลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ เนื่องจากพฤติกรรมซุกซนของ X Æ A-Xii ที่ทำให้บรรยากาศในห้องรูปไข่ดูผ่อนคลายกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ยังมีทั้งเสียงชื่นชมและเสียงวิจารณ์เกี่ยวกับความเหมาะสมของพฤติกรรมดังกล่าว ขณะที่มัสก์ยังคงย้ำจุดยืนในการสนับสนุนการลดขนาดภาครัฐ และการปฏิรูปการบริหารงานของรัฐบาล

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

  1. เหตุใดลูกชายของอีลอน มัสก์จึงกลายเป็นจุดสนใจของงานแถลงข่าว?
    เนื่องจาก X Æ A-Xii แสดงพฤติกรรมขี้เล่น เช่น การเลียนแบบพ่อ และแคะจมูกในระหว่างที่ทรัมป์และมัสก์กำลังแถลงข่าว
  2. โต๊ะ Resolute คืออะไร?
    เป็นโต๊ะทำงานของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ถูกใช้มาตั้งแต่ปี 1880 โดยได้รับมอบจากสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
  3. อีลอน มัสก์กล่าวถึงการปฏิรูปภาครัฐอย่างไร?
    มัสก์กล่าวว่านโยบายของทรัมป์มุ่งเน้นไปที่การลดบทบาทของระบบราชการที่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง
  4. โซเชียลมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเหตุการณ์นี้?
    มีทั้งเสียงชื่นชมว่าลูกชายมัสก์น่ารัก และเสียงวิจารณ์ว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมสำหรับงานแถลงข่าวทางการ
  5.  ทำไมอีลอน มัสก์ถึงพาลูกชายมาร่วมงานแถลงข่าว?

มัสก์มักพาลูกชายเข้าร่วมงานใหญ่ทางการเมืองหลายครั้ง เช่น การเข้าร่วมพิธีสาบานตนของทรัมป์ในปี 2021

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : independent

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

สรุป ‘แพทองธาร’ เยือน ‘จีน’ คุยเรื่องอะไรกันบ้าง

50 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อสร้างอนาคตเศรษฐกิจที่มั่นคง

ประเทศไทย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เยือนจีนอย่างเป็นทางการเพียง 2 วัน พร้อมลงนาม 14 ข้อตกลง มุ่งสู่ความร่วมมือไทย-จีนในทุกมิติ ตั้งแต่การค้า การลงทุน เทคโนโลยี จนถึงความมั่นคงทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ พร้อมประกาศความร่วมมือสู่ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ไทย-จีน เพื่อสร้างอนาคตเศรษฐกิจที่มั่นคง

แพทองธารพบผู้นำจีนทุกระดับ ดันข้อตกลงสำคัญ 14 ฉบับ

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร เสร็จสิ้นภารกิจเยือนจีน โดยได้เข้าพบ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และหารือร่วมกับ นายหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน รวมถึง นายจ้าว เล่อจี้ ประธานสภาประชาชนจีน ซึ่งเป็นการแสดงถึงความสำคัญที่จีนให้กับไทย

ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ย้ำความสัมพันธ์ไทย-จีน เป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ ที่ต้องร่วมกันพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูง เขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และการค้าดิจิทัล โดยเน้นย้ำความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว เทคโนโลยี AI และความมั่นคงทางไซเบอร์

ในการเยือนครั้งนี้ มีการลงนามบันทึกข้อตกลงสำคัญ 14 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พลังงานสีเขียว และการพัฒนาด้านอวกาศ โดยหนึ่งในข้อตกลงที่น่าสนใจคือ การร่วมมือสำรวจดวงจันทร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของไทยในการเข้าสู่อุตสาหกรรมอวกาศ

จีนชื่นชมไทยปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์-อาชญากรรมไซเบอร์

หนึ่งในประเด็นที่จีนให้ความสำคัญคือ การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ ตัดกระแสไฟฟ้า น้ำมัน และอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นมาตรการตัดวงจรธุรกิจผิดกฎหมายที่สร้างความเสียหายให้กับชาวจีนจำนวนมาก

จีนและไทยเห็นพ้องกันว่า ต้องเพิ่มความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายระดับทวิภาคี เพื่อจัดการกับเครือข่ายอาชญากรรมในภูมิภาคนี้ พร้อมเดินหน้า ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยทางไซเบอร์ ร่วมกัน

แพทองธารย้ำ ไทย-จีนเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระยะยาว

นายกรัฐมนตรีแพทองธารเน้นย้ำว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของไทยต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 ด้วยมูลค่าการค้ารวมกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และการลงทุนจากจีนในไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจีนมีแผนขยายการลงทุนในไทย ด้านอุตสาหกรรมสีเขียว ยานยนต์ไฟฟ้า และเทคโนโลยีดิจิทัล

จีนยังได้เชิญไทยเข้าร่วม งาน China International Import Expo ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการขยายตลาดสินค้าไทยไปยังจีน โดยเฉพาะในภาค เกษตรกรรม การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจดิจิทัล

ไทย-จีน ร่วมฉลอง 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต

ปี 2568 ถือเป็น ปีทองแห่งมิตรภาพไทย-จีน เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูต นายกรัฐมนตรีแพทองธาร และผู้นำจีน เห็นพ้องให้มีการจัดกิจกรรมพิเศษ เช่น การแลกเปลี่ยนวัตถุโบราณ การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมายังไทยชั่วคราว การส่งแพนด้าให้ไทย และการให้ทุนการศึกษา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ของประชาชนทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมความร่วมมือด้าน Soft Power โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสื่อบันเทิง การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และการพัฒนาบุคลากร เพื่อให้คนรุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศ มีโอกาสเรียนรู้ซึ่งกันและกันมากขึ้น

จีนเตรียมขยายลงทุนในไทย อุตสาหกรรมอนาคตมาแน่

นายกรัฐมนตรีแพทองธารยังได้พบกับ นักลงทุนชั้นนำจากจีน เช่น Xiaomi และ Hisense โดยบริษัท Hisense เตรียมขยายฐานการผลิตในไทย และ Xiaomi สนใจตั้งโรงงานผลิต รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทย ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม EV และเทคโนโลยีขั้นสูงของประเทศ

รัฐบาลไทยยืนยันว่า พร้อมอำนวยความสะดวกในการลงทุน และมีมาตรการ Ease of Doing Business เพื่อดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีจากจีนเข้ามาลงทุนมากขึ้น

ข้อตกลง 14 ฉบับ ไทย-จีน ปลดล็อกข้อจำกัดทางการค้า

การลงนามความร่วมมือ 14 ฉบับนี้ จะช่วยลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างไทย-จีน โดยครอบคลุมด้านต่างๆ เช่น:

  • การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
  • การร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจสีเขียว และพลังงานสะอาด
  • การสนับสนุน EEC และเศรษฐกิจดิจิทัล
  • การอำนวยความสะดวกทางศุลกากร และโลจิสติกส์
  • การพัฒนาความร่วมมือด้านอวกาศและสำรวจดวงจันทร์

สรุปผลการเยือนจีน: ไทย-จีนสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้น

การเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีแพทองธารครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญของความสัมพันธ์ไทย-จีน ทั้งในด้านการค้า การลงทุน และความมั่นคง ความร่วมมือ 14 ฉบับจะช่วยให้ การค้าขายระหว่างสองประเทศคล่องตัวขึ้น ลดขั้นตอนด้านศุลกากร และเพิ่มความร่วมมือทางเทคโนโลยี

จีนยังยืนยันสนับสนุนไทยในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในอาเซียน ขณะที่ไทยพร้อมเปิดโอกาสให้นักลงทุนจีนขยายธุรกิจในไทย โดยเฉพาะใน อุตสาหกรรมเทคโนโลยี ยานยนต์ไฟฟ้า และเศรษฐกิจดิจิทัล

การประชุมระดับสูงและข้อตกลงที่ลงนามในครั้งนี้ ถือเป็น จุดเริ่มต้นของอีก 50 ปีข้างหน้าของความสัมพันธ์ไทย-จีน ที่จะพัฒนาไปอีกขั้นด้วยความร่วมมือที่แน่นแฟ้นและมั่นคงยิ่งขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทำเนียบรัฐบาล

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

‘ไทย’ กดดัน ‘เมียนมา’ เริ่มเห็นผล หลังมีเจ้าหน้าที่ท่าขี้เหล็กกวาดล้างหลายพื้นที่

ไทยกดดันเมียนมา ตัดไฟ-จำกัดน้ำมัน สกัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์

เมียนมา, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – burmese.shannews และ tachileik NEWS รายงานว่า หลังจากที่ประเทศไทยเริ่ม ตัดกระแสไฟฟ้า งดขายน้ำมัน และตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ต ที่ส่งไปยังสหภาพเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อสกัดกลุ่มขบวนการ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งใช้พื้นที่ชายแดนเมียนมาเป็นฐานในการหลอกลวงประชาชนในหลายประเทศ ส่งผลให้สถานการณ์ในเมืองท่าขี้เหล็กได้รับผลกระทบอย่างหนัก

เมืองท่าขี้เหล็กมืดสนิท คาสิโนขาดพลังงาน

แหล่งข่าวในพื้นที่ระบุว่า โรงแรมและสถานบันเทิงหลายแห่งที่เป็นศูนย์กลางของคาสิโนในเมืองท่าขี้เหล็ก ต้องลดไฟส่องสว่างลง เนื่องจากขาดแคลนกระแสไฟฟ้า หลังจากที่ลาวจำกัดการส่งไฟจาก 30 เมกะวัตต์ เหลือเพียง 13 เมกะวัตต์ ทำให้เมืองทั้งเมืองมืดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงกลางคืน

นอกจากนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารท่าขี้เหล็ก ได้ระดมกำลังกวาดล้างบ่อนการพนันและเว็บพนันออนไลน์ ที่ลักลอบเปิดอยู่ในพื้นที่ริมแม่น้ำสาย และเขตป่าเขาลึก ส่งผลให้มีการจับกุมเจ้าของบ่อน พนักงาน และผู้เกี่ยวข้องได้จำนวนมาก

แก๊งคอลเซ็นเตอร์-เว็บพนันเริ่มทยอยปิดตัว

จากแหล่งข่าวในท่าขี้เหล็ก พบว่าปัจจุบัน กลุ่มเว็บพนันออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทยอยปลดพนักงานออกกว่า 100 คน เนื่องจากขาดแคลนกระแสไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้ นายจ้างชาวจีนจึงจำเป็นต้อง ปลดพนักงานออก ทำให้แรงงานต่างชาติรวมถึงคนไทยจำนวนมากต้องเดินทางกลับประเทศไทย ผ่านด่านอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

คาดการณ์ว่า หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มเหล่านี้อาจพยายามย้ายฐานปฏิบัติการเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาลไทยในการควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติ

รัฐบาลเมียนมาเร่งกวาดล้าง ขยายผลจับกุม

สื่อท้องถิ่นของเมียนมารายงานว่า ระหว่างวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ 2568 เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจของท่าขี้เหล็ก ได้ดำเนินการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมในหลายพื้นที่ ทั้งการทลายบ่อนการพนัน สแกมเมอร์ และฐานปฏิบัติการหลอกลวงทางออนไลน์ ส่งผลให้มีผู้ต้องหาถูกจับกุมหลายสิบคน รวมถึงชาวจีนและเวียดนามที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเหล่านี้

ขณะเดียวกัน กองทัพเมียนมายัง ดำเนินการบุกเข้าพื้นที่ควบคุมของกองกำลังติดอาวุธบางกลุ่ม ที่ให้การสนับสนุนธุรกิจผิดกฎหมายเหล่านี้ และมีการปะทะกันในบางพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและถูกจับกุมเพิ่มเติม

บีจีเอฟ-รัฐบาลเมียนมาขอไทยทบทวนมาตรการ

พันโทหน่ายหม่อง โซ รองผู้บังคับกองพัน กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (บีจีเอฟ) รัฐกะเหรี่ยง เปิดเผยว่า กองกำลังบีจีเอฟและรัฐบาลเมียนมาต้องการให้ไทยทบทวนมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าและจำกัดน้ำมัน เนื่องจากประชาชนเมียนมาได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยย้ำว่า ไทยและเมียนมาเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันมานาน และขอให้รัฐบาลไทยพิจารณามาตรการที่เหมาะสมมากขึ้น

พันโทหน่ายหม่อง โซ ยังเปิดเผยเพิ่มเติมว่า บีจีเอฟได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลไทย ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาโดยตลอด และกำลังดำเนินการช่วยเหลือแรงงานชาวอินโดนีเซียกว่า 100 คน ที่ตกเป็นเหยื่อให้เดินทางกลับประเทศ โดยใช้เส้นทางผ่านไทย

สรุปสถานการณ์ชายแดนเมียนมา-ไทย

การดำเนินมาตรการของไทยส่งผลกระทบโดยตรงต่อเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และทำให้เมืองท่าขี้เหล็กที่เคยเป็นศูนย์กลางของธุรกิจผิดกฎหมายต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนพลังงานและแรงงานอย่างหนัก ขณะที่รัฐบาลเมียนมาได้เพิ่มมาตรการเข้มงวดและเร่งขยายผลจับกุมอาชญากรข้ามชาติ โดยมีความร่วมมือกับไทยอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ยังต้องจับตาดูว่าการย้ายฐานของกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ และไทยจะรับมือกับปัญหานี้อย่างไรในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : tachileik / burmese.shannews

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ผลสำรวจเผย เงินช่วยเหลือ 10,000 บาท มีผลต่อการสนับสนุนรัฐบาล

ประเทศไทย, 9 กุมภาพันธ์ 2568  – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุที่ได้รับเงิน 10,000 บาท การสำรวจดำเนินการระหว่างวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2568 โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,310 คน ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับเงินหรือมีสมาชิกในครอบครัวได้รับเงินจากโครงการดังกล่าว กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ

ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ

ผลสำรวจพบว่า ประชาชนที่ได้รับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท มีความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนับสนุนรัฐบาล ดังนี้:

  • ร้อยละ 44.89 ระบุว่าการได้รับเงินมีส่วนช่วยให้สนับสนุนรัฐบาล
  • ร้อยละ 30.69 ระบุว่ามีหรือไม่มีโครงการนี้ก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่แล้ว
  • ร้อยละ 14.35 ระบุว่าไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สนับสนุนรัฐบาล
  • ร้อยละ 10.07 ระบุว่ายังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจอย่างไร

การสำรวจใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) และเก็บข้อมูลด้วยการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยมีค่าความเชื่อมั่นร้อยละ 97.0

การใช้จ่ายเงิน 10,000 บาทจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ

เมื่อสอบถามถึงการใช้จ่ายเงินที่ได้รับ พบว่าผู้สูงอายุมีแนวทางการใช้จ่ายดังนี้:

  • ร้อยละ 86.18 ใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (รวมค่าน้ำ ค่าไฟ และน้ำมันเชื้อเพลิง)
  • ร้อยละ 26.26 ใช้จ่ายเพื่อสุขภาพ (เช่น ซื้อยารักษาโรค พบแพทย์)
  • ร้อยละ 13.66 ใช้หนี้สิน
  • ร้อยละ 11.98 เก็บออมไว้ใช้ในอนาคต
  • ร้อยละ 9.24 ใช้ลงทุนการค้า
  • ร้อยละ 8.70 ใช้จ่ายเพื่อการศึกษา
  • ร้อยละ 4.35 ใช้ซื้อหวยและสลากกินแบ่งรัฐบาล
  • ร้อยละ 1.76 ใช้ซื้ออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
  • ร้อยละ 0.53 ใช้ซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มือถือ และเครื่องมือสื่อสาร
  • ร้อยละ 0.46 ใช้จ่ายเพื่อการเดินทางท่องเที่ยว
  • ร้อยละ 0.38 ใช้จ่ายเพื่อการบันเทิง (เช่น เลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาสูบ)

ลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่าง

เมื่อพิจารณาข้อมูลประชากรของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า:

  • ที่อยู่ตามภูมิภาค:
    • ร้อยละ 9.31 กรุงเทพฯ
    • ร้อยละ 19.01 ภาคกลาง
    • ร้อยละ 20.92 ภาคเหนือ
    • ร้อยละ 31.60 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
    • ร้อยละ 12.29 ภาคใต้
    • ร้อยละ 6.87 ภาคตะวันออก
  • เพศ:
    • ร้อยละ 43.05 เป็นเพศชาย
    • ร้อยละ 56.95 เป็นเพศหญิง
  • อายุ:
    • ร้อยละ 69.08 อายุ 60-69 ปี
    • ร้อยละ 27.94 อายุ 70-79 ปี
    • ร้อยละ 2.98 อายุ 80 ปีขึ้นไป
  • ศาสนา:
    • ร้อยละ 97.56 นับถือศาสนาพุทธ
    • ร้อยละ 1.98 นับถือศาสนาอิสลาม
    • ร้อยละ 0.46 นับถือศาสนาคริสต์และศาสนาอื่น ๆ
  • สถานภาพสมรส:
    • ร้อยละ 3.59 โสด
    • ร้อยละ 92.82 สมรส
    • ร้อยละ 3.59 หม้าย หย่าร้าง หรือแยกกันอยู่
  • ระดับการศึกษา:
    • ร้อยละ 1.22 ไม่ได้รับการศึกษา
    • ร้อยละ 61.60 จบการศึกษาประถมศึกษา
    • ร้อยละ 20.00 จบมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า
    • ร้อยละ 5.19 จบอนุปริญญาหรือเทียบเท่า
    • ร้อยละ 10.69 จบปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
    • ร้อยละ 1.30 จบสูงกว่าปริญญาตรี
  • อาชีพ:
    • ร้อยละ 0.15 ข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ
    • ร้อยละ 0.23 พนักงานเอกชน
    • ร้อยละ 16.95 เจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ
    • ร้อยละ 20.53 เกษตรกร/ประมง
    • ร้อยละ 15.04 รับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน
    • ร้อยละ 47.10 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน
  • รายได้เฉลี่ยต่อเดือน:
    • ร้อยละ 41.07 ไม่มีรายได้
    • ร้อยละ 10.08 ไม่เกิน 5,000 บาท
    • ร้อยละ 22.06 ระหว่าง 5,001-10,000 บาท
    • ร้อยละ 15.34 ระหว่าง 10,001-20,000 บาท
    • ร้อยละ 3.89 ระหว่าง 20,001-30,000 บาท
    • ร้อยละ 2.60 ระหว่าง 30,001-40,000 บาท
    • ร้อยละ 1.22 ระหว่าง 40,001-50,000 บาท
    • ร้อยละ 0.15 มากกว่า 80,001 บาท
    • ร้อยละ 3.59 ไม่ระบุรายได้

บทสรุป

ผลสำรวจของนิด้าโพลระบุว่า โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุที่มอบเงิน 10,000 บาท มีผลต่อการสนับสนุนรัฐบาลในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุส่วนใหญ่นำเงินไปใช้เพื่อค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและสุขภาพเป็นหลัก โดยรัฐบาลยังคงเผชิญกับความเห็นที่แตกต่างในหมู่ประชาชนเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ และความยั่งยืนของโครงการในระยะยาวจะยังคงเป็นประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE SOCIETY & POLITICS

ป้องกันความมั่นคง ไทยยุติส่งไฟฟ้า 5 จุดชายแดนเมียนมา

ประเทศไทยยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมา 5 จุด เพื่อความมั่นคงของชาติ

กรุงเทพฯ, 5 กุมภาพันธ์ 2568 – นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ดำเนินการยุติการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังเมียนมาใน 5 จุดชายแดน ตามมติของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

การดำเนินการนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 09.00 น. ที่สำนักงานใหญ่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และนายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการ กฟภ. ร่วมเป็นสักขีพยาน

การตัดกระแสไฟฟ้าทั้ง 5 จุดใช้ระบบสั่งการอัตโนมัติควบคุมระยะไกล โดยทันทีที่กดปิดระบบ แผงวงจรที่แสดงบนหน้าจอจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว และจำนวนวัตต์ที่จ่ายไฟจะเปลี่ยนเป็น 0 แอมป์ทันที

จุดที่ถูกยุติการส่งไฟฟ้า ได้แก่:

  1. บ้านพระเจดีย์สามองค์ – เมืองพญาตองซู รัฐมอญ
  2. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  3. บ้านเหมืองแดง – เมืองท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน
  4. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 – เมืองเมียวดี
  5. บ้านห้วยม่วง – เมืองเมียวดี

รวมกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ถูกยุติการส่งทั้งสิ้น 20.37 เมกะวัตต์

นายอนุทินกล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามมติของ สมช. ที่ประชุมเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งพบว่าการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมามีการนำไปใช้ไม่เป็นไปตามสัญญา และส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ

“เมื่อมีข้อสั่งการที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย กระทรวงมหาดไทยและ กฟภ. ก็สามารถดำเนินการได้ทันที” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นไม่ถึง 1% ของรายได้รวมจากการขายไฟฟ้า ซึ่งนายอนุทินระบุว่าเป็นการเสียสละที่คุ้มค่าเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน

“การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามสัญญาข้อที่ 14 ที่กำหนดว่าหากจ่ายไฟฟ้าไปแล้วเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางพลังงานและความมั่นคงของชาติ สามารถงดจ่ายไฟได้” นายอนุทินกล่าว

เมื่อถูกถามถึงความเป็นไปได้ที่เมียนมาอาจร้องขอซื้อไฟฟ้าใหม่ นายอนุทินกล่าวว่า “รัฐบาลสั่งให้หยุดเพราะเมียนมานำกระแสไฟฟ้าไปใช้ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อไทยด้วย เขาจึงต้องไปแก้ไขและต้องมีการเจรจาใหม่”

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นมาตรการที่มุ่งเน้นการป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน ซึ่งรวมถึงปัญหาการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ การฟอกเงิน และอาชญากรรมข้ามชาติที่อาจใช้พลังงานไฟฟ้าในการดำเนินกิจกรรม

นายอนุทินย้ำว่า การดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ประชาชนชาวเมียนมาโดยตรง แต่เป็นมาตรการที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันและจัดการปัญหาที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน

“เรายังคงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และพร้อมให้ความร่วมมือกับทางการเมียนมาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างเหมาะสมต่อไป” นายอนุทินกล่าว

การยุติการส่งไฟฟ้าในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การยุติการส่งไฟฟ้าไปยังเมียนมาในครั้งนี้เป็นการดำเนินการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

การดำเนินการครั้งนี้ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงความพร้อมของประเทศไทยในการดำเนินมาตรการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงมหาดไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News