Categories
ECONOMY

รถเก่าแลกใหม่! รัฐหารือค่ายรถ ฟื้นฟูอุตสาหกรรม

ไทยหารือโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ กระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังยอดผลิต-ขายลดลงต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิตรถยนต์เพื่อออกมาตรการ รถเก่าแลกรถใหม่” ซึ่งเป็นโครงการที่คาดว่าจะช่วย กระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังจากยอดการผลิต ยอดขาย และการส่งออกของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 1 ปี

แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมยานยนต์เปิดเผยกับ สำนักข่าวรอยเตอร์ ว่า มาตรการนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาใน ระยะเริ่มต้น และอาจเปิดให้ประชาชนนำรถยนต์เก่ามาแลกเป็น ส่วนลดสำหรับซื้อรถใหม่ โดยรถเก่าที่นำมาแลกจะถูกทำลาย ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลไทยหารือร่วมกับ โตโยต้าและผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ

ภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่ซบเซา

ประเทศไทย ซึ่งเป็น ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้านในภาคอุตสาหกรรมนี้ ไม่ว่าจะเป็น

  • การชะลอตัวของการส่งออก ซึ่งกระทบโดยตรงต่อยอดผลิตของภาคอุตสาหกรรม
  • ยอดขายในประเทศที่ลดลง เนื่องจากประชาชนขาดกำลังซื้อ และเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง
  • เงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อรถยนต์ยากขึ้น

ในปี 2567 การผลิตรถยนต์ของไทยลดลง 10% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ขณะที่ยอดขายในประเทศลดลง 26% และการส่งออกหดตัวลง 8.8% โดยในเดือนมกราคม 2568 การผลิตรถยนต์ของไทยลดลง ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 18 ลดลงมากกว่า 24% เมื่อเทียบรายปี

โตโยต้าผลักดันแผนการกำจัดรถยนต์เก่า ลดมลพิษ และกระตุ้นยอดขาย

โตโยต้าประเทศไทย ออกแถลงการณ์ต่อรอยเตอร์ว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น รวมถึงโตโยต้า กำลังหารือเกี่ยวกับโครงการกำจัดรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน ภายใต้แนวทางของรัฐบาลไทย เพื่อลดจำนวน รถเก่าที่มีแนวโน้มปล่อยมลพิษสูง

นาย สมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) เปิดเผยว่า ผู้ผลิตรถยนต์กำลังผลักดันโครงการนี้อย่างหนัก เนื่องจากต้องการเพิ่มยอดขายรถยนต์ใหม่” โดยอายุขั้นต่ำของรถที่สามารถเข้าร่วมโครงการอาจกำหนดไว้ที่ 10 ปีขึ้นไป

การดำเนินการและแนวทางของรัฐบาลไทย

แหล่งข่าวจากรัฐบาลไทยที่ไม่ประสงค์ออกนามระบุว่า ขณะนี้มีการหารือเกี่ยวกับ โครงการรถเก่าแลกรถใหม่” แต่ยังไม่มีการสรุปรายละเอียด เนื่องจากมีหน่วยงานหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรมและโตโยต้าได้จัดประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อหาแนวทางในการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย แต่ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับโครงการทำลายรถยนต์

โครงการแลกรถเก่า อุตสาหกรรมยานยนต์ และการเติบโตของ EV

อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญกับการแข่งขันจาก ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่จากจีน อาทิ BYD และ Great Wall Motors ซึ่งได้ลงทุนในไทยกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และกำลังผลักดันราคาขายให้ต่ำลง ทำให้ตลาดรถยนต์ไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกฝ่ายยานยนต์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า มีการหารือเกี่ยวกับมาตรการนี้แล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน”

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและอุตสาหกรรมยานยนต์

อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นหนึ่งในภาคการผลิตที่ใหญ่ที่สุด และคิดเป็น ประมาณ 10% ของ GDP ประเทศ ซึ่งมาตรการรถเก่าแลกรถใหม่อาจช่วย

  • กระตุ้นยอดขายรถยนต์ใหม่
  • ลดปริมาณรถยนต์เก่าที่ปล่อยมลพิษสูง
  • กระตุ้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมรีไซเคิลยานยนต์

นาย สุวิทย์ โชติประดู่ รองประธานสมาคมรถยนต์ใช้แล้วแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า หากมีโครงการทำลายรถยนต์เก่า จะช่วยสร้างงานใหม่ และกระตุ้นการลงทุนด้านรีไซเคิลในไทย ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานรีไซเคิลรถยนต์เพียงไม่กี่แห่ง เช่น บริษัท กรีน เมทัลส์ ของโตโยต้า”

สถิติที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

  • ยอดผลิตรถยนต์ไทย ปี 2567 ลดลง 10% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี (ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
  • ยอดขายรถยนต์ในประเทศ ปี 2567 ลดลง 26% (ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
  • ยอดส่งออกรถยนต์ ปี 2567 ลดลง 8.8% (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์)
  • ตลาด EV ไทยเติบโตขึ้น 400% ในปี 2567 (ที่มา: สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย)
  • หนี้ครัวเรือนไทย พุ่งสูงกว่า 90% ของ GDP (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)

บทสรุป

โครงการ รถเก่าแลกรถใหม่” ที่อยู่ระหว่างการหารืออาจกลายเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การจัดหาเงินทุน โครงสร้างพื้นฐานในการรีไซเคิล และการบริหารจัดการซากรถเก่า ซึ่งต้องรอการสรุปแนวทางจากภาครัฐและเอกชนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) / กระทรวงอุตสาหกรรม / สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) / สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) / สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทยชะลอตัวจากการลดลงในภาคการส่งออกและอุตสาหกรรม

ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 และการคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2568

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์และโฆษกของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจและการเงินในเดือนธันวาคม 2567 และไตรมาสที่ 4 ปี 2567 โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งเกิดจากการส่งออกสินค้าที่ลดลงและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงตามลำดับ ทำให้กิจกรรมในภาคบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่งสินค้า และภาคการลงทุนของภาคเอกชนทรงตัว

การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลง แต่การท่องเที่ยวในประเทศไทยยังคงเป็นภาคส่วนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นจาก 3.2 ล้านคนในเดือนพฤศจิกายน มาเป็น 3.6 ล้านคนในเดือนธันวาคม ซึ่งมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากระยะไกล เช่น รัสเซียและออสเตรเลียเพิ่มขึ้น ขณะที่นักท่องเที่ยวจากระยะใกล้ เช่น จีนและมาเลเซียลดลง สะท้อนถึงการฟื้นตัวในตลาดท่องเที่ยวระยะไกล ในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยโดยรวมอยู่ที่ 35.5 ล้านคน ซึ่งช่วยกระตุ้นรายรับในภาคการท่องเที่ยว

การส่งออกสินค้าลดลง

ในส่วนของการส่งออกสินค้า พบว่ามีการลดลงจาก 9.1% ในเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 8.4% โดยลดลงในหลายหมวดสินค้า เช่น หมวดรถยนต์ หมวดปิโตรเลียม และหมวดสินค้าเกษตร โดยเฉพาะการส่งออกไปยังอาเซียนและบังคลาเทศ ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงลดลงตามการผลิตสินค้าหมวดอื่น ๆ เช่น เครื่องจักรและเหล็ก รวมถึงปิโตรเลียม ซึ่งสอดคล้องกับอุปสงค์ในและต่างประเทศที่ลดลง

อัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นจาก 0.95% เป็น 1.23% จากผลกระทบของราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นตามฐานต่ำในปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคงที่ที่ 0.79% จากผลของราคาสินค้าอาหารสำเร็จรูปและเครื่องประกอบอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม

การเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

โดยรวมแล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากแรงขับเคลื่อนจากภาคบริการและรายรับภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายตัวของรายจ่ายลงทุนภาครัฐ ขณะที่การส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำยังคงทรงตัวจากไตรมาสก่อน โดยการส่งออกสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง ส่วนการบริโภคภาคเอกชนทรงตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งได้รับผลดีจากมาตรการเงินโอนจากภาครัฐ

เศรษฐกิจไทยในอนาคตและแนวโน้มในระยะยาว

ธปท. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะเติบโตใกล้เคียงกับ 4% แม้ว่าจะมีการชะลอตัวในภาคการผลิต แต่ยังมีการเติบโตในภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ช่วยชดเชยการลดลงในภาคอื่น ๆ สำหรับแนวโน้มในอนาคต ธปท. กล่าวว่าต้องติดตามผลกระทบจากความไม่แน่นอนในนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนในระดับโลก

การคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ

ในส่วนของการคัดเลือกประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือประธานบอร์ดแบงก์ชาติ โฆษกของธปท. กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการคัดเลือกได้ดำเนินการไปแล้ว และในวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอรายชื่อหนึ่งคน และธปท. จะเสนอรายชื่อสองคนเพื่อให้คณะกรรมการสรรหาตรวจสอบคุณสมบัติ โดยคาดว่าจะได้รายชื่อผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติใหม่ภายในเดือนมิถุนายน หรือไม่เกินกันยายน

สรุป

ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ยังคงมีการเติบโตจากแรงขับเคลื่อนของภาคบริการและการท่องเที่ยว แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลงก็ตาม โดยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวในภาคการผลิตและปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ส่วนการคัดเลือกประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News