Categories
ECONOMY

ยอดผลิตยานยนต์หดตัว 6.11% จากกฎเข้มต่างประเทศ แต่ EV ไทยยังขยายตัวแรง

อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเดือน ส.ค. 68 ชะลอจากกฎต่างประเทศ แต่ EV ในประเทศยังพุ่ง—ภาคเหนือ–เชียงรายถือฐานรถจดทะเบียนใหญ่ รัฐถูกจี้ออก “กองทุนค้ำประกันกระบะ” อัดกำลังซื้อปลายปี

กรุงเทพฯ, 25 กันยายน 2568 — ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเดือนสิงหาคม 2568 สะท้อนความท้าทายสองแรงพร้อมกัน: ด้านหนึ่ง ยอดผลิตรวม 112,366 คัน ลดลง 6.11% เมื่อเทียบปีก่อนจากแรงกดดันกฎสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของประเทศคู่ค้า ทำให้การผลิตเพื่อส่งออกหดตัว 10.67% ขณะเดียวกัน ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศยังขยายตัวโดดเด่น โดย BEV จดทะเบียนใหม่ 11,486 คัน (+30.46% YoY) และ PHEV 1,049 คัน (+22.83% YoY) สวนทาง HEV ที่ลดลงเล็กน้อย 3.86%

ข้อมูลดังกล่าวเปิดเผยโดย นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งย้ำว่าแม้เดือนสิงหาคมจะเผชิญแรงต้านจากตลาดต่างประเทศ แต่ทั้งปี 2568 ยังคงเป้าผลิต 1.45 ล้านคัน โดยเชื่อแรงส่งไตรมาสสุดท้ายจะช่วยประคองโมเมนตัมการผลิต

มาตรฐานโลกเข้ม—เมื่อความปลอดภัยและคาร์บอนเป็นตัวแปรใหม่

ด้าน โครงสร้างการผลิต เดือนสิงหาคม ผลิตเพื่อส่งออก 73,956 คัน คิดเป็น 65.82% ของยอดผลิตทั้งหมด แต่ลดลงจากปีก่อนจากสองแรงกดดันหลัก

  1. รถยนต์นั่ง ลดลง 21.27% หลังหลายรุ่นยุติสายการผลิตเพื่อทำตามข้อกำหนด อุปกรณ์ช่วยขับและความปลอดภัย (Advanced Driver Assistance Systems: ADAS) ของประเทศปลายทาง
  2. รถกระบะเพื่อส่งออก ลดลง 6.36% เพราะข้อกำหนด การปล่อยคาร์บอน เข้มงวดขึ้น

ฝั่งการค้า ระบุว่า ส่งออกรถสำเร็จรูป 71,179 คัน ลดลงทั้ง MoM (-1.74%) และ YoY (-17.30%) โดยเฉพาะรถกระบะและรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันได้รับผลกระทบตรงจากเกณฑ์สิ่งแวดล้อมใหม่ ขณะที่ มูลค่าส่งออกรถสำเร็จรูป อยู่ที่ 45,553.26 ล้านบาท และเมื่อนับรวมเครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่ ยอดเดือนสิงหาคมมีมูลค่า 67,917.28 ล้านบาท (สะสม 8 เดือนมูลค่ารวม 581,307.35 ล้านบาท)

ดีมานด์ในประเทศ EV คือ “กันชน” ของอุตสาหกรรม

ในทางกลับกัน การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ เดือนสิงหาคมอยู่ที่ 38,410 คัน (34.18% ของการผลิตรวม) เพิ่มขึ้น 4.11% โดยมีสาเหตุสำคัญจาก การผลิต EV ในประเทศเพื่อชดเชยการนำเข้าปีก่อน (2565–2566) สอดคล้องกับภาพ การจดทะเบียนใหม่ของ EV ที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

  • BEV: 11,486 คัน (+30.46% YoY)
  • PHEV: 1,049 คัน (+22.83% YoY)
  • HEV: 10,575 คัน (-3.86% YoY)

การขยายตัวของ EV ทำให้ห่วงโซ่การผลิตในประเทศเริ่มขยับ ทั้งการประกอบรถ การผลิตชิ้นส่วนไฟฟ้าบางรายการ และบริการหลังการขายที่ต้องอัปสกิลแรงงานด้านไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งเป็น “กันชน” ที่ช่วยซับแรงกระแทกจากฝั่งส่งออก

สะสม 8 เดือน ภาพรวมยัง “ทรงตัวเชิงลบ” แต่มีสัญญาณหนุนปลายปี

ยอดผลิตสะสม ม.ค.–ส.ค. 2568 จำนวน 947,697 คัน ลดลง 5.77% จากช่วงเดียวกันปีก่อน—สะท้อนแรงกดดันด้านนอกประเทศต่อเนื่อง ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยโลก (เฟดส่งสัญญาณลด) และแนวโน้มนโยบายการเงินในประเทศที่มุ่ง เพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อและลดดอกเบี้ย อาจช่วยบรรเทาภาระผ่อนรถของครัวเรือนและกระตุ้นยอดขายปลายปีตามที่ ส.อ.ท. ประเมิน

นายสุรพงษ์ให้ความเห็นว่า “หากผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ผลักดันให้คนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น พร้อมปรับลดดอกเบี้ยตามจังหวะที่เหมาะสม ปัญหา หนี้ครัวเรือนต่อ GDP จะทยอยปรับดีขึ้น และส่งผลบวกต่อ ดีมานด์รถใหม่ ในประเทศ”

ภาคเหนือ–เชียงราย “ฐานรถจริง” ใหญ่ โอกาสธุรกิจบริการ–ชาร์จ–ซัพพลายเชน

มองในระดับพื้นที่ ภาคเหนือ มีรถจดทะเบียนสะสม 7,718,847 คัน ขณะที่ จังหวัดเชียงราย มี 843,615 คัน (ณ สิ้น ส.ค. 2568) ตัวเลขดังกล่าวตอกย้ำว่าแม้เชียงรายจะเป็นจังหวัดชายแดน แต่ “ขนาดตลาดยานยนต์จริง” ใหญ่และหลากหลาย ยิ่งเมื่อ EV เติบโต โอกาสธุรกิจในพื้นที่—ตั้งแต่สถานีชาร์จ ร้านซ่อมที่อัปทักษะ EV ชิ้นส่วน/อุปกรณ์เสริม ไปจนถึงบริการประกัน–ไฟแนนซ์เฉพาะทาง—จะชัดเจนขึ้น

สำหรับหน่วยงานท้องถิ่นและภาคธุรกิจในเชียงราย “ลูกศร” ชี้ไปที่สามวงจรสำคัญ

  1. โครงสร้างพื้นฐานชาร์จ ครอบคลุมเมือง–ชานเมือง–เส้นทางท่องเที่ยว เชื่อมพิษณุโลก–แพร่–พะเยา–เชียงใหม่–เชียงราย
  2. Upskill/Reskill ช่าง–ครูอาชีวะ–ชุมชน ให้คุ้นเคยงานไฟฟ้าแรงสูง มาตรฐานความปลอดภัย และอุปกรณ์วิเคราะห์สมัยใหม่
  3. ส่งเสริม e-Mobility ภาครัฐท้องถิ่น (รถโดยสารไฟฟ้า–รถขยะไฟฟ้า–ฟลีทสาธารณะ) เพื่อเป็นดีมานด์ตั้งต้นและโมเดลธุรกิจนำร่อง

กองทุนค้ำประกันกระบะ” กับโจทย์คาร์บอน: เร่งดีมานด์–เร่งเปลี่ยนผ่านไปพร้อมกัน

ฝั่งมาตรการรัฐ ส.อ.ท. เสนอให้รัฐบาล ตั้งกองทุน 5,000 ล้านบาท ค้ำประกันผลขาดทุนจากการยึดรถกระบะแล้วขายขาดทุน (ไม่เกิน 50,000 บาท/คัน) เพื่อจูงใจสถาบันการเงิน ปล่อยกู้เพิ่มยอดขายรถกระบะอย่างน้อย 30% เทียบปีก่อน พร้อมเห็นชอบมาตรการ คนละครึ่ง” เพื่อพยุงกำลังซื้อฐานราก

ในเชิงยุทธศาสตร์ ประเทศต้อง “เดินสองขา”

  • ขาแรก รักษาฐานการผลิต–ส่งออกรถกระบะ (ที่ยังเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญ) ด้วยเครื่องมือการเงินที่ลดความเสี่ยงระบบ
  • ขาสอง ขยับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและการปล่อยคาร์บอนให้ ทันประเทศคู่ค้า ควบคู่การเร่ง EV Transition เพื่อไม่ให้ไทยเสียความสามารถแข่งขันจาก Carbon Border/Green Procurement ในอนาคต

จากกรอบกฎสากล สู่การเปลี่ยนผ่านของไทย

เมื่อกฎสิ่งแวดล้อม–ความปลอดภัยของโลกขยับ ไทยที่พึ่งพาการส่งออกย่อม “สัมผัสแรงสั่น” ก่อนใคร เดือนสิงหาคมจึงเป็นภาพจำลองว่า กฎ–มาตรฐาน กำลังกลายเป็น ตัวกำหนดเศรษฐกิจดิจิทัล–สีเขียว มากพอ ๆ กับอัตราดอกเบี้ยหรืออัตราแลกเปลี่ยน

  • จุดเปิดเรื่อง: ยอดผลิตลดลงจากแรงกดดันกฎใหม่
  • จุดกลางเรื่อง: ดีมานด์ในประเทศ—โดยเฉพาะ EV—รับไม้ต่อ ช่วยประคองโรงงาน–ซัพพลายเชน
  • จุดคลี่คลาย: นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น + มาตรการรัฐเชิงเป้าหมาย (กองทุนค้ำประกัน–คนละครึ่ง) + ยุทธศาสตร์ยกระดับมาตรฐานคาร์บอน–ความปลอดภัยในประเทศ = เส้นทาง “รักษาฐานส่งออก พร้อมเร่งไฟฟ้า”

ตัวเลขที่ต้องคิดต่อ (Key Stats & Watchlist)

  • ผลิต ส.ค. 68: 112,366 คัน (-6.11% YoY)
  • ผลิตเพื่อส่งออก: 73,956 คัน (65.82% ของผลิตรวม) / ส่งออกรถสำเร็จรูป 71,179 คัน (-17.30% YoY)
  • มูลค่าการส่งออก (ส.ค.): รถสำเร็จรูป 45,553.26 ลบ. / รวมเครื่องยนต์–ชิ้นส่วน–อะไหล่ 67,917.28 ลบ.
  • สะสมผลิต ม.ค.–ส.ค.: 947,697 คัน (-5.77% YoY) / มูลค่าส่งออกสะสม (รวมเครื่องยนต์–ชิ้นส่วน–อะไหล่) 581,307.35 ลบ.
  • EV จดทะเบียนใหม่ (ส.ค.): BEV 11,486 (+30.46%), PHEV 1,049 (+22.83%), HEV 10,575 (-3.86%)
  • ภาคเหนือ: รถจดทะเบียนสะสม 7,718,847 คัน / เชียงราย 843,615 คัน

เสียงจากอุตสาหกรรม

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ กล่าวโดยสรุปว่า “แม้การผลิตเดือนสิงหาคมจะลดลงตามแรงกดดันภายนอก แต่ทั้งปีเรายังเชื่อว่า แตะเป้า 1.45 ล้านคัน ได้ หากรัฐส่งสัญญาณหนุนเศรษฐกิจและเข้าถึงเครดิตมากขึ้น ขณะที่ฝั่งตลาดภายในประเทศ EV ยังเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ และควรเร่งสร้างความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรไปพร้อมกัน”

นัยต่อเชียงราย เมืองชายแดน—ฐานยานยนต์—โหนคลื่น EV

เชียงรายในฐานะ เมืองด่านหน้าการค้า และมีฐานรถจดทะเบียนสะสมกว่า 8 แสนคัน กำลังยืนอยู่หน้าคมมีดแห่งการเปลี่ยนผ่านยานยนต์ไฟฟ้า

  • ธุรกิจบริการ ต้องเร่งอัปสกิลและมาตรฐานความปลอดภัยงานไฟฟ้าแรงสูง
  • อปท./จังหวัด สามารถจุดประกายด้วยโครงการฟลีทรถสาธารณะไฟฟ้าและสถานีชาร์จสาธารณะในจุดท่องเที่ยว–จุดพักรถ
  • สถาบันการศึกษา จับมือผู้ผลิต–ดีลเลอร์ สร้างหลักสูตร EV Technician เชื่อมงานจริง
  • ผู้บริโภค ได้ประโยชน์จากค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง–บำรุงรักษาที่ลดลง หากมีโครงข่ายชาร์จครอบคลุมและเงื่อนไขไฟแนนซ์เหมาะสม

ในระยะสั้น “กองทุนค้ำประกันรถกระบะ” หากเดินหน้าตามข้อเสนอ จะช่วยพยุงตลาดเชิงโครงสร้าง ในพื้นที่ที่ยังพึ่งพารถกระบะเพื่อการพาณิชย์และเกษตร ขณะเดียวกัน EV เชิงพาณิชย์ขนาดเล็ก–กลาง (เช่น รถส่งของในเมือง รถเชื่อมท่องเที่ยว) มีโอกาสแจ้งเกิดในเชียงราย หากรัฐ–เอกชนพัฒนาโมเดลความเป็นเจ้าของและต้นทุนรวมตลอดอายุการใช้งาน (TCO) ให้แข่งขันได้

เส้นทางข้างหน้า นโยบายที่ “เกาให้ถูกที่คัน”

  1. เข้าถึงสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ: จูงใจไฟแนนซ์ปล่อยกู้กลุ่มอาชีพอิสระ/SMEs ด้วยกรอบค้ำประกันที่วัดผลชัดเจน (ดีลเลอร์–ไฟแนนซ์–ผู้ใช้)
  2. มาตรฐานความปลอดภัย–คาร์บอนในประเทศ: ขยับตามมาตรฐานคู่ค้า เพื่อลดช่องว่างการยกเลิกสายการผลิต–สั่งระงับนำเข้าในอนาคต
  3. เร่ง EV Ecosystem ระดับจังหวัด: ตั้ง “แผนที่ชาร์จ” (Charging Map) เชื่อมเมือง–แหล่งท่องเที่ยว–โลจิสติกส์ พร้อมแรงจูงใจติดตั้งหัวชาร์จเอกชน
  4. Upskill บุคลากร: ทุนฝึกอบรมช่าง EV แกนกลางจังหวัดชายแดน—เริ่มจากเชียงรายเป็น Pilot
  5. ข้อมูลโปร่งใส–รายงานรายเดือนระดับพื้นที่: เปิด Dashboard จดทะเบียน EV–เครือข่ายชาร์จ–อัตราใช้ไฟ เพื่อดึงดูดเอกชนลงทุน

สาระสำคัญคือ ไทยต้องทำให้ การเปลี่ยนผ่าน” (Transition) เป็น การอัปเกรด” (Upgrade) ไม่ใช่แค่การทนแรงกดดันจากภายนอก หากทำได้ ฐานการผลิต–ส่งออก และตลาดภายในจะเกื้อหนุนกันอย่างยั่งยืน

เดือนสิงหาคม 2568 บอกเราว่าเกมยานยนต์โลกกำลัง ขยับกติกา ประเทศผู้ส่งออกอย่างไทยจึงต้อง ขยับวิธีเล่น การผลิตรวมชะลอเพราะกฎสิ่งแวดล้อม–ความปลอดภัยต่างประเทศเข้มขึ้น แต่ในประเทศ EV ยังก้าวแรง เป็นกันชนของอุตสาหกรรม ภาคเหนือและเชียงรายมี “ฐานรถจริง” ใหญ่—พร้อมรองรับโอกาสใหม่ หากโครงสร้างพื้นฐาน–ทักษะ–การเงิน ได้รับการเติมเต็มตรงจุด ควบคู่การยกระดับมาตรฐานคาร์บอนในประเทศให้ทันโลก

เป้าหมาย 1.45 ล้านคันทั้งปีจึงไม่ใช่แค่เรื่องของยอดผลิต แต่คือ บทพิสูจน์ความยืดหยุ่นเชิงนโยบาย ที่จะพาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเข้าสู่ยุคไฟฟ้าอย่างมีศักดิ์ศรีและแข่งขันได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) – กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
  • กรมการขนส่งทางบก (DLT): สถิติการจดทะเบียนรถใหม่และยอดจดทะเบียนสะสม ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 (ภาคเหนือ 7,718,847 คัน / จังหวัดเชียงราย 843,615 คัน)
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
  • กระทรวงการคลัง / มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่ง”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทุเรียนเหนือผงาด! เชียงรายปั้น ‘ทุเรียนถิ่นหนาว’ ชูรสชาติเอกลักษณ์ สู่ตลาดสากล

เชียงรายเปิดตัว “ทุเรียนถิ่นหนาว” ผลไม้เศรษฐกิจใหม่สู่ตลาดโลก

พัฒนาจากการทดลองเพียง 80 ต้น สู่อุตสาหกรรมกว่า 3,700 ไร่ ชูจุดแข็งรสชาติหวานมัน เนื้อแน่น กลิ่นหอมเฉพาะตัว

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัว “ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย” อย่างเป็นทางการ ในกิจกรรมสัมมนาสื่อมวลชนและเครือข่ายการประชาสัมพันธ์ ผู้บริหารสื่อ สานสัมพันธ์ ครั้งที่ 3 ณ สวนธวานันท์รุ่งเรือง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง โดยมีนายสุพจน์ แสนมี ปลัดจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน

การเปิดตัวผลไม้เศรษฐกิจตัวใหม่ของภาคเหนือครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการยกระดับเกษตรกรรมไทยสู่มิติใหม่ เมื่อพื้นที่ที่เคยถูกมองว่าไม่เหมาะสมกับการปลูกทุเรียน กลับกลายเป็นแหล่งผลิทุเรียนคุณภาพสูงที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว

สุพจน์ แสนมี ปลัดจังหวัดเชียงราย

จากการทดลอง 5 ไร่ สู่อุตสาหกรรมหลักของจังหวัด

เรื่องราวของทุเรียนเชียงรายเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2552 เมื่อเกษตรกรอำเภอเวียงเชียงรุ้งได้ทดลองปลูกทุเรียนแซมในสวนผลไม้ชนิดต่างๆ โดยมีพื้นที่ปลูกเพียง 5 ไร่ จำนวน 80 ต้น การทดลองครั้งนี้เต็มไปด้วยความท้าทาย เนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นของเชียงรายที่แตกต่างจากแหล่งปลูกทุเรียนทั่วไป

นางสุพรรณี แสงอรุณ เกษตรกรผู้บุกเบิกการปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองในพื้นที่เวียงเชียงรุ้งมากว่า 17 ปี เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า “จริงๆ แล้วเราอาจจะเป็นผู้บุกเบิกในเรื่องของการปลูกทุเรียน อาจจะเป็นเจ้าแรกของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอำเภอเวียงเชียงรุ้ง เมื่อเข้าสู่ปีที่ 3-4 เริ่มได้เห็นผลผลิต แต่ก็มีปัญหาให้คอยแก้ไขตลอด”

ความมุ่งมั่นและการเรียนรู้จากประสบการณ์ทำให้การปลูกทุเรียนในเชียงรายประสบความสำเร็จ จากจุดเริ่มต้นเพียงไม่กี่ต้น ปัจจุบันได้ขยายเป็นแปลงปลูกขนาดใหญ่ โดยข้อมูลจากสำนักงานเกษตรจังหวัดระบุว่า ปัจจุบันอำเภอเวียงเชียงรุ้งมีพื้นที่ปลูกทุเรียนประมาณ 468 ไร่ ขณะที่ทั่วจังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ปลูกรวมกว่า 3,711 ไร่

จุดเด่นเฉพาะตัวของทุเรียนถิ่นหนาว

ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงรายมีจุดเด่นที่แตกต่างจากทุเรียนภูมิภาคอื่นอย่างชัดเจน ด้วยรสชาติหวานมัน เมล็ดลีบ เนื้อแน่น กลิ่นหอมเฉพาะตัว และเปลือกบาง ความแตกต่างนี้เกิดจากสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง คือการปลูกในพื้นที่สูงเฉลี่ย 400-600 เมตรจากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ระหว่าง 10-35 องศาเซลเซียส

สภาพอากาศที่เย็นสบายนี้ส่งผลให้ทุเรียนออกดอกและติดผลได้ดี โดยช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมของทุกปี ซึ่งไม่ซ้ำกับช่วงเวลาของทุเรียนภาคตะวันออกและภาคใต้ ทำให้สามารถขายได้ในราคาที่ดี

นางสุพรรณี อธิบายถึงข้อได้เปรียบนี้ว่า “ทุเรียนของเรามันจะไม่ค่อยชนกับทางภาคตะวันออก เพราะทุเรียนมันจะไล่ผลไม้จากข้างล่างขึ้นมา เราเป็นภาคเหนือ ของเขาเริ่มหมดแล้ว ของเราก็เริ่มออกสู่ตลาด เพราะของเราจะออกในช่วงกรกฎา-สิงหา”

ต้นทุนต่ำ ผลกำไรสูง

หนึ่งในจุดแข็งสำคัญของการปลูกทุเรียนในเชียงรายคือต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างต่ำ นางสุพรรณี เปิดเผยว่า “เราทำในระบบการปลูกทุเรียนแบบครอบครัว ซึ่งต้นทุนจะไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ในเรื่องของแรงงาน และการใช้ปุ๋ยใช้ยาเราสามารถควบคุมได้ ถ้าเราทำเองน่าจะอยู่ที่ประมาณต้นละไม่เกิน 1,000 บาทต่อปี”

เมื่อคิดเป็นต้นทุนต่อไร่ ซึ่งมีประมาณ 30 ต้น จะมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 21,000-30,000 บาทต่อไร่ต่อปี ในขณะที่ราคาขายทุเรียนอยู่ที่ 150-200 บาทต่อกิโลกรม ทำให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ปลูกอย่างรวดเร็วยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่ ปัญหาสภาพอากาศหนาวเย็นที่ทำให้ต้นทุเรียนมีปัญหาในช่วงฤดูหนาว ปัญหาแหล่งน้ำที่มีไม่เพียงพอกับความต้องการ และปัญหาการจัดการสวนที่ไม่เหมาะสม

ยุทธศาสตร์สร้างแบรนด์และพัฒนาคุณภาพ

เพื่อแก้ไขปัญหาและยกระดับมาตรฐานการผลิต จังหวัดเชียงรายได้วางแผนยุทธศาสตร์หลายด้าน เริ่มจากการสร้างแบรนด์ “ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย” ภายใต้การสนับสนุนของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นางสุพรรณี กล่าวว่า “ทางกลุ่มของผู้ปลูกทุเรียนเชียงราย ภายใต้ชื่อทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย กำลังสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้มาเยี่ยมชมสวน และได้บอกว่าเราน่าจะผลิตทุเรียนให้มันมีคุณภาพ เพราะฉะนั้นเกษตรกรจะต้องทำทุเรียนให้มันมีคุณภาพ สามารถแข่งขันกับเขาได้”

การพัฒนาคุณภาพจะเน้นไปที่การตัดทุเรียนให้มีอายุการตัดที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ทุเรียนที่แก่พอดี มีรสชาติเต็มที่ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่เชียงรายสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นได้

เครือข่ายความรู้และการถ่ายทอดประสบการณ์

การพัฒนาทักษะและให้ความรู้แก่เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ โดยการสร้างเครือข่ายของนักวิชาการและผู้มีความชำนาญในการทำเกษตร โดยเฉพาะทุเรียน เพื่อเข้ามาให้ความรู้กับชาวสวนและช่วยดูแลกันในเบื้องต้น

นางสุพรรณี อธิบายว่า “ชาวสวนที่ปลูกก่อนมีประสบการณ์ ใช้ประสบการณ์ถิ่นของเรามาช่วยกัน ช่วยดูแลกันให้มันมีคุณภาพ ส่งต่อความรู้ตามประสบการณ์” การถ่ายทอดประสบการณ์แบบเกษตรกรสู่เกษตรกรนี้ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น

โอกาสการส่งออกและการเชื่อมต่อตลาดโลก

ด้วยตำแหน่งที่เป็นเมืองชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เชียงรายมีโอกาสสำคัญในการเป็นประตูการส่งออกทุเรียนไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นางสุพรรณี มองว่า “ในอนาคตมันจะมีรถไฟ เป็นเมืองชายแดนติดต่อ เรามองว่าตรงนี้มันน่าจะมีโอกาสที่ดีในเรื่องของการส่งออก และในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงเกษตร”

การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเป็นอีกหนึ่งมิติที่จังหวัดเชียงรายให้ความสำคัญ โดยการผสมผสานระหว่างการเกษตรและการท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและชุมชนในพื้นที่

สุพรรณี แสงอรุณ เกษตรกรสวนทุเรียน

การสนับสนุนจากภาครัฐและแผนการส่งเสริม

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายได้จัดกิจกรรมดังกล่าวโดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลไม้เศรษฐกิจทางเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้เตรียมผลักดันทุเรียนเชียงรายออกสู่ตลาดให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ด้วยการจัดกิจกรรมเทศกาลกินทุเรียนเชียงรายในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการสู่สาธารณชน

นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง กล่าวว่า “ตอนนี้อำเภอเวียงเชียงรุ้งของเราได้ผลักดันเกษตรกรในการปลูกทุเรียน และตอนนี้อัตลักษณ์ของเราก็คือทุเรียนเวียงเชียงรุ้ง เป็นของดีของเรา ตอนนี้เรากำลังผลักดันทุเรียนอำเภอเวียงเชียงรุ้งให้ดังในระดับทั่วประเทศ”

ความท้าทายและแนวทางแก้ไข

แม้จะมีศักยภาพสูง แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมทุเรียนเชียงรายยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ปัญหาหลักที่พบได้แก่ สภาพอากาศหนาวเย็นที่ทำให้ต้นทุเรียนมีปัญหาในช่วงฤดูหนาว ปัญหาแหล่งน้ำที่มีไม่เพียงพอกับความต้องการ และปัญหาการจัดการสวนที่ไม่เหมาะสม

เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่มีองค์ความรู้ในการทำทุเรียนให้มีคุณภาพ โดยจะเน้นแค่ติดลูกได้ และมีปัญหาด้านการจัดการที่ไม่เหมาะสม เช่น ตัดอ่อน ตัดเบียด ซึ่งจะทำให้ทุเรียนไม่มีคุณภาพและราคาตกต่ำ

การรวมกลุ่มของเกษตรกรจึงเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยจะช่วยเสริมความรู้ในการผลิต การใช้ปุ๋ย ยา การลดต้นทุน และการควบคุมคุณภาพ ทำให้เกษตรกรสามารถผลิตทุเรียนที่มีมาตรฐานและแข่งขันได้ในตลาด

มินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง

บริบทระดับชาติและระดับภูมิภาค

การพัฒนาทุเรียนเชียงรายเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านทุเรียนในระดับโลก เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดเผยว่า คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพสินค้าทุเรียน โดยมีรัฐมนตรีเป็นประธาน

การจัดตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทย ให้การพัฒนาคุณภาพทุเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพได้มาตรฐานสากล และเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของทุเรียนไทยในระดับโลก

รัฐมนตรีเกษตรฯ ยังได้ประเมินสถานการณ์ผลไม้ปี 2568 โดยคาดว่าทุเรียนและลำไยจะเริ่มออกสู่ตลาดในเดือนกรกฎาคม และมีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน ทุเรียนมีผลผลิตรวมประมาณ 606,958 ตัน เพิ่มขึ้น 14.46% จะออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม

การเชื่อมต่อกับความร่วมมือระดับอาเซียน

ในมิติของความร่วมมือระหว่างประเทศ ปัจจุบันมีการหารือเกี่ยวกับการจัดตั้ง “สมาพันธ์ทุเรียนอาเซียน” ซึ่งจะเป็นการจับมือร่วมกันระหว่างไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ที่ล้วนเป็นผู้ผลิตหลักที่ครองตลาดทุเรียนมากกว่า 90% ของอาเซียน

สมาพันธ์ฯ จะทำหน้าที่ใน 6 ด้านหลัก ได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูลการผลิตและแนวโน้มตลาด การถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกและองค์ความรู้ การกำหนดมาตรฐานสินค้า การสร้างแบรนด์ร่วม การกำหนดการรายงานราคารูปแบบรายเดือน และการสนับสนุนการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการ

ความร่วมมือในระดับภูมิภาคนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าทุเรียนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สร้างระบบข้อมูลการตลาดที่โปร่งใส พัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว และสร้างเครือข่ายการจำหน่ายที่แข็งแกร่งในตลาดโลก

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและแนวโน้มอนาคต

การพัฒนาอุตสาหกรรมทุเรียนในเชียงรายมีผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างชัดเจน จากพื้นที่ปลูกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันทุกอำเภอของจังหวัดเชียงรายมีการปลูกทุเรียนประมาณ 10,000 ไร่ สายพันธุ์ที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นพันธุ์หมอนทอง ซึ่งเป็นที่นิยมของตลาด นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์อื่นๆ เช่น มูซังคิง หนามดำ ก้านยาว

การเติบโตของอุตสาหกรรมทุเรียนไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรโดยตรง แต่ยังกระตุ้นเศรษฐกิจในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการขนส่ง การแปรรูป การจำหน่าย และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร

นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมงานที่เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ และได้ให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและการถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกร

ก้าวสู่การเป็นผู้นำทุเรียนระดับโลก

การเปิดตัว “ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย” เป็นเครื่องหมายสำคัญของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเกษตรของภาคเหนือ จากพื้นที่ที่เคยไม่เหมาะสมกับการปลูกทุเรียน กลับกลายเป็นแหล่งผลิตทุเรียนคุณภาพสูงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างความมุ่งมั่นของเกษตรกร การสนับสนุนจากภาครัฐ และความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมท้องถิ่น ซึ่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมูลค่าสูง สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

ด้วยแผนการพัฒนาที่ชัดเจน การสร้างแบรนด์ที่เข้มแข็ง และการเชื่อมต่อกับความร่วมมือในระดับภูมิภาค ทุเรียนเชียงรายมีโอกาสที่จะกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เกษตรหลักของประเทศไทย และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของจังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตตะวันออกกลางเปิดช่อง! ผลไม้อบแห้งไทย-เชียงราย ผงาดตลาดโลก

โอกาสทองของผลไม้อบแห้งเชียงราย หลังภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยนเกมตลาดโลก อินเดีย-ตะวันออกกลางสะเทือน เปิดช่องการค้าไทยในเวทีเอเชียใต้

เชียงราย, 23 มิถุนายน 2568 –ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของตลาดผลไม้อบแห้งทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะประเทศอินเดียซึ่งเป็นผู้นำเข้าและบริโภคผลไม้อบแห้งอันดับต้นของโลก ผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทั้งสองด้าน ได้แก่ สงครามระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ที่ทำให้เส้นทางโลจิสติกส์ในภูมิภาคตะวันออกกลางสะดุด และการปิดเส้นทางการค้าทางบกระหว่างปากีสถาน-อินเดีย ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายผลไม้อบแห้งจากอัฟกานิสถานและอิหร่านเข้าสู่อินเดียเกิดความล่าช้าและต้นทุนสูงขึ้น ราคาสินค้าหลายรายการพุ่งสูงขึ้นถึง 100% ในเวลาไม่กี่เดือน

จากวิกฤตสู่โอกาสใหม่ – อินเดียปรับกลยุทธ์นำเข้า ผลักดันไทยขึ้นแท่นผู้เล่นสำคัญ

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่า ปัจจุบันอินเดียต้องรับมือกับปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่สั่นคลอน ไม่เพียงแต่เรื่องการขนส่งล่าช้าและต้นทุนสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของโครงสร้างภาษีนำเข้า และการขาดความชัดเจนเรื่องสิทธิประโยชน์ทางการค้า โดยเฉพาะกรณีสินค้าจากอัฟกานิสถานที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางผ่านอิหร่าน ทำให้ต้องแบกรับต้นทุนใหม่และความเสี่ยงในตลาดเพิ่มขึ้น

สถานการณ์นี้เองได้เปิดช่องว่างและโอกาสทางการค้าให้กับผู้ส่งออกจากนอกพื้นที่ความขัดแย้งโดยตรง เช่น ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีศักยภาพในการผลิตและส่งออกผลไม้อบแห้งสูงที่สุดในโลก โดยมีการขนส่งมากถึง 2,908 shipments ในปีที่ผ่านมา แม้อัตราการเติบโตจะหดตัวลงชั่วคราว แต่ด้วยภาวะขาดแคลนในตลาดอินเดียขณะนี้ การส่งออกจากไทยกลับขยายตัวสูงถึง 40% ในเดือนตุลาคม 2567

ช่องทางการเกษตรเชียงราย – ต้นน้ำโอกาสสู่ตลาดโลก

สำหรับจังหวัดเชียงรายเอง ถือเป็นแหล่งผลิตผลไม้เมืองร้อนและผลไม้อบแห้งสำคัญของไทย ทั้งมะม่วง กล้วย มะพร้าว ลิ้นจี่ ทุเรียนและผลไม้ท้องถิ่นอื่นๆ ที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง ปัจจุบันผู้ประกอบการในพื้นที่ได้พัฒนาเทคโนโลยีการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย พร้อมรองรับตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ

ในมุมของโอกาสเชิงกลยุทธ์ ข้อมูลล่าสุดจากการนำเข้าของอินเดียปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) ภายใต้รหัส HS 0813 (ผลไม้อบแห้งและถั่วผสม) พบว่าไทยยังมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 881 เหรียญสหรัฐ เทียบกับอัฟกานิสถาน (3.16 ล้านเหรียญ) และอิหร่าน แม้จะน้อยมากแต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะจากเชียงรายที่มีศักยภาพในด้านการแปรรูปและต้นทุนขนส่ง สามารถเร่งรุกตลาดอินเดียได้อย่างชัดเจน

วิเคราะห์ช่องทางและแนวโน้มโอกาสเกษตรเชียงราย

  1. เจาะตลาดอินเดียแบบพรีเมียม
    ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทานและราคาสินค้าอินเดียขณะนี้ เปิดโอกาสให้ผลไม้อบแห้งไทยเข้าสู่ตลาดพรีเมียม โดยเน้นคุณภาพ ความปลอดภัย และมาตรฐานสากล ชูจุดเด่นเรื่องสุขภาพ ความสะอาด และความเป็นออร์แกนิก ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคอินเดียให้ความสนใจมากขึ้น
    ข้อแนะนำ: เกษตรกรเชียงรายควรรวมกลุ่มผลิต (Cluster) เน้นผลไม้หลัก เช่น มะม่วงอบแห้ง ลําไยอบแห้ง สับปะรดอบแห้ง สตอเบอรี่อบแห้ง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและต่อรองกับผู้ซื้อได้ดีขึ้น
  2. พัฒนานวัตกรรมและบรรจุภัณฑ์
    การส่งออกผลไม้อบแห้งควรเน้นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยืดอายุสินค้า เพิ่มมูลค่าและสร้างความโดดเด่นในตลาด เช่น ถุงซิปล็อก บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก หรือดีไซน์ที่สื่อถึงวัฒนธรรมล้านนา เพื่อให้เกิดความแตกต่างและสร้าง Storytelling เชิงพื้นที่
  3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและ FTA
    ในขณะที่อินเดียกำลังพิจารณานโยบายภาษีนำเข้า ไทยควรใช้โอกาสนี้เจรจาขอสิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA อาเซียน-อินเดีย หรือ MOU ทวิภาคี เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านต้นทุนขนส่ง และลดข้อจำกัดด้านภาษีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
  4. ขยายฐานตลาดใหม่ในภูมิภาค
    วิกฤตที่อินเดียกำลังเผชิญยังเปิดโอกาสให้ไทยขยายตลาดไปยังบังกลาเทศ เนปาล ปากีสถาน (หากเปิดพรมแดน) และตะวันออกกลาง โดยเน้นสินค้าที่มีศักยภาพสูง เช่น มะม่วงอบแห้ง ลําไยอบแห้ง สับปะรดอบแห้ง สตอเบอรี่อบแห้ง และทุเรียนอบกรอบ

เกษตรกรเชียงรายบนเวทีโลก

ในวิกฤตย่อมมีโอกาส การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานโลกและความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียใต้ เปิดโอกาสให้ “ผลไม้อบแห้งเชียงราย” เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดใหม่ โดยเฉพาะตลาดอินเดียที่ขาดแคลนสินค้าและต้องการสินค้าทางเลือกคุณภาพสูง หากเกษตรกรและผู้ประกอบการในเชียงรายเร่งปรับตัว พัฒนานวัตกรรม และใช้ประโยชน์จากสิทธิทางการค้า เชื่อว่าเชียงรายจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตโลกให้เป็นโอกาสทองของเกษตรกรไทยในศตวรรษนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
  • ฐานข้อมูล Volza (มูลค่านำเข้า/ส่งออกผลไม้อบแห้ง)
  • รายงานการนำเข้าของอินเดีย HS 0813 (ม.ค.–มี.ค. 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

รถเก่าแลกใหม่! รัฐหารือค่ายรถ ฟื้นฟูอุตสาหกรรม

ไทยหารือโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ กระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังยอดผลิต-ขายลดลงต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิตรถยนต์เพื่อออกมาตรการ รถเก่าแลกรถใหม่” ซึ่งเป็นโครงการที่คาดว่าจะช่วย กระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังจากยอดการผลิต ยอดขาย และการส่งออกของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 1 ปี

แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมยานยนต์เปิดเผยกับ สำนักข่าวรอยเตอร์ ว่า มาตรการนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาใน ระยะเริ่มต้น และอาจเปิดให้ประชาชนนำรถยนต์เก่ามาแลกเป็น ส่วนลดสำหรับซื้อรถใหม่ โดยรถเก่าที่นำมาแลกจะถูกทำลาย ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลไทยหารือร่วมกับ โตโยต้าและผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ

ภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่ซบเซา

ประเทศไทย ซึ่งเป็น ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้านในภาคอุตสาหกรรมนี้ ไม่ว่าจะเป็น

  • การชะลอตัวของการส่งออก ซึ่งกระทบโดยตรงต่อยอดผลิตของภาคอุตสาหกรรม
  • ยอดขายในประเทศที่ลดลง เนื่องจากประชาชนขาดกำลังซื้อ และเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง
  • เงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อรถยนต์ยากขึ้น

ในปี 2567 การผลิตรถยนต์ของไทยลดลง 10% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ขณะที่ยอดขายในประเทศลดลง 26% และการส่งออกหดตัวลง 8.8% โดยในเดือนมกราคม 2568 การผลิตรถยนต์ของไทยลดลง ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 18 ลดลงมากกว่า 24% เมื่อเทียบรายปี

โตโยต้าผลักดันแผนการกำจัดรถยนต์เก่า ลดมลพิษ และกระตุ้นยอดขาย

โตโยต้าประเทศไทย ออกแถลงการณ์ต่อรอยเตอร์ว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น รวมถึงโตโยต้า กำลังหารือเกี่ยวกับโครงการกำจัดรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน ภายใต้แนวทางของรัฐบาลไทย เพื่อลดจำนวน รถเก่าที่มีแนวโน้มปล่อยมลพิษสูง

นาย สมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) เปิดเผยว่า ผู้ผลิตรถยนต์กำลังผลักดันโครงการนี้อย่างหนัก เนื่องจากต้องการเพิ่มยอดขายรถยนต์ใหม่” โดยอายุขั้นต่ำของรถที่สามารถเข้าร่วมโครงการอาจกำหนดไว้ที่ 10 ปีขึ้นไป

การดำเนินการและแนวทางของรัฐบาลไทย

แหล่งข่าวจากรัฐบาลไทยที่ไม่ประสงค์ออกนามระบุว่า ขณะนี้มีการหารือเกี่ยวกับ โครงการรถเก่าแลกรถใหม่” แต่ยังไม่มีการสรุปรายละเอียด เนื่องจากมีหน่วยงานหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรมและโตโยต้าได้จัดประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อหาแนวทางในการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย แต่ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับโครงการทำลายรถยนต์

โครงการแลกรถเก่า อุตสาหกรรมยานยนต์ และการเติบโตของ EV

อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญกับการแข่งขันจาก ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่จากจีน อาทิ BYD และ Great Wall Motors ซึ่งได้ลงทุนในไทยกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และกำลังผลักดันราคาขายให้ต่ำลง ทำให้ตลาดรถยนต์ไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกฝ่ายยานยนต์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า มีการหารือเกี่ยวกับมาตรการนี้แล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน”

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและอุตสาหกรรมยานยนต์

อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นหนึ่งในภาคการผลิตที่ใหญ่ที่สุด และคิดเป็น ประมาณ 10% ของ GDP ประเทศ ซึ่งมาตรการรถเก่าแลกรถใหม่อาจช่วย

  • กระตุ้นยอดขายรถยนต์ใหม่
  • ลดปริมาณรถยนต์เก่าที่ปล่อยมลพิษสูง
  • กระตุ้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมรีไซเคิลยานยนต์

นาย สุวิทย์ โชติประดู่ รองประธานสมาคมรถยนต์ใช้แล้วแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า หากมีโครงการทำลายรถยนต์เก่า จะช่วยสร้างงานใหม่ และกระตุ้นการลงทุนด้านรีไซเคิลในไทย ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานรีไซเคิลรถยนต์เพียงไม่กี่แห่ง เช่น บริษัท กรีน เมทัลส์ ของโตโยต้า”

สถิติที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

  • ยอดผลิตรถยนต์ไทย ปี 2567 ลดลง 10% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี (ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
  • ยอดขายรถยนต์ในประเทศ ปี 2567 ลดลง 26% (ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
  • ยอดส่งออกรถยนต์ ปี 2567 ลดลง 8.8% (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์)
  • ตลาด EV ไทยเติบโตขึ้น 400% ในปี 2567 (ที่มา: สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย)
  • หนี้ครัวเรือนไทย พุ่งสูงกว่า 90% ของ GDP (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)

บทสรุป

โครงการ รถเก่าแลกรถใหม่” ที่อยู่ระหว่างการหารืออาจกลายเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การจัดหาเงินทุน โครงสร้างพื้นฐานในการรีไซเคิล และการบริหารจัดการซากรถเก่า ซึ่งต้องรอการสรุปแนวทางจากภาครัฐและเอกชนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) / กระทรวงอุตสาหกรรม / สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) / สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) / สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทยชะลอตัวจากการลดลงในภาคการส่งออกและอุตสาหกรรม

ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 และการคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2568

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์และโฆษกของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจและการเงินในเดือนธันวาคม 2567 และไตรมาสที่ 4 ปี 2567 โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งเกิดจากการส่งออกสินค้าที่ลดลงและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงตามลำดับ ทำให้กิจกรรมในภาคบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่งสินค้า และภาคการลงทุนของภาคเอกชนทรงตัว

การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลง แต่การท่องเที่ยวในประเทศไทยยังคงเป็นภาคส่วนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นจาก 3.2 ล้านคนในเดือนพฤศจิกายน มาเป็น 3.6 ล้านคนในเดือนธันวาคม ซึ่งมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากระยะไกล เช่น รัสเซียและออสเตรเลียเพิ่มขึ้น ขณะที่นักท่องเที่ยวจากระยะใกล้ เช่น จีนและมาเลเซียลดลง สะท้อนถึงการฟื้นตัวในตลาดท่องเที่ยวระยะไกล ในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยโดยรวมอยู่ที่ 35.5 ล้านคน ซึ่งช่วยกระตุ้นรายรับในภาคการท่องเที่ยว

การส่งออกสินค้าลดลง

ในส่วนของการส่งออกสินค้า พบว่ามีการลดลงจาก 9.1% ในเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 8.4% โดยลดลงในหลายหมวดสินค้า เช่น หมวดรถยนต์ หมวดปิโตรเลียม และหมวดสินค้าเกษตร โดยเฉพาะการส่งออกไปยังอาเซียนและบังคลาเทศ ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงลดลงตามการผลิตสินค้าหมวดอื่น ๆ เช่น เครื่องจักรและเหล็ก รวมถึงปิโตรเลียม ซึ่งสอดคล้องกับอุปสงค์ในและต่างประเทศที่ลดลง

อัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นจาก 0.95% เป็น 1.23% จากผลกระทบของราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นตามฐานต่ำในปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคงที่ที่ 0.79% จากผลของราคาสินค้าอาหารสำเร็จรูปและเครื่องประกอบอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม

การเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

โดยรวมแล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากแรงขับเคลื่อนจากภาคบริการและรายรับภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายตัวของรายจ่ายลงทุนภาครัฐ ขณะที่การส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำยังคงทรงตัวจากไตรมาสก่อน โดยการส่งออกสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง ส่วนการบริโภคภาคเอกชนทรงตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งได้รับผลดีจากมาตรการเงินโอนจากภาครัฐ

เศรษฐกิจไทยในอนาคตและแนวโน้มในระยะยาว

ธปท. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะเติบโตใกล้เคียงกับ 4% แม้ว่าจะมีการชะลอตัวในภาคการผลิต แต่ยังมีการเติบโตในภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ช่วยชดเชยการลดลงในภาคอื่น ๆ สำหรับแนวโน้มในอนาคต ธปท. กล่าวว่าต้องติดตามผลกระทบจากความไม่แน่นอนในนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนในระดับโลก

การคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ

ในส่วนของการคัดเลือกประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือประธานบอร์ดแบงก์ชาติ โฆษกของธปท. กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการคัดเลือกได้ดำเนินการไปแล้ว และในวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอรายชื่อหนึ่งคน และธปท. จะเสนอรายชื่อสองคนเพื่อให้คณะกรรมการสรรหาตรวจสอบคุณสมบัติ โดยคาดว่าจะได้รายชื่อผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติใหม่ภายในเดือนมิถุนายน หรือไม่เกินกันยายน

สรุป

ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ยังคงมีการเติบโตจากแรงขับเคลื่อนของภาคบริการและการท่องเที่ยว แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลงก็ตาม โดยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวในภาคการผลิตและปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ส่วนการคัดเลือกประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE