Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทุเรียนเหนือผงาด! เชียงรายปั้น ‘ทุเรียนถิ่นหนาว’ ชูรสชาติเอกลักษณ์ สู่ตลาดสากล

เชียงรายเปิดตัว “ทุเรียนถิ่นหนาว” ผลไม้เศรษฐกิจใหม่สู่ตลาดโลก

พัฒนาจากการทดลองเพียง 80 ต้น สู่อุตสาหกรรมกว่า 3,700 ไร่ ชูจุดแข็งรสชาติหวานมัน เนื้อแน่น กลิ่นหอมเฉพาะตัว

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 – จังหวัดเชียงรายเปิดตัว “ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย” อย่างเป็นทางการ ในกิจกรรมสัมมนาสื่อมวลชนและเครือข่ายการประชาสัมพันธ์ ผู้บริหารสื่อ สานสัมพันธ์ ครั้งที่ 3 ณ สวนธวานันท์รุ่งเรือง อำเภอเวียงเชียงรุ้ง โดยมีนายสุพจน์ แสนมี ปลัดจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน

การเปิดตัวผลไม้เศรษฐกิจตัวใหม่ของภาคเหนือครั้งนี้ เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการยกระดับเกษตรกรรมไทยสู่มิติใหม่ เมื่อพื้นที่ที่เคยถูกมองว่าไม่เหมาะสมกับการปลูกทุเรียน กลับกลายเป็นแหล่งผลิทุเรียนคุณภาพสูงที่โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว

สุพจน์ แสนมี ปลัดจังหวัดเชียงราย

จากการทดลอง 5 ไร่ สู่อุตสาหกรรมหลักของจังหวัด

เรื่องราวของทุเรียนเชียงรายเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2552 เมื่อเกษตรกรอำเภอเวียงเชียงรุ้งได้ทดลองปลูกทุเรียนแซมในสวนผลไม้ชนิดต่างๆ โดยมีพื้นที่ปลูกเพียง 5 ไร่ จำนวน 80 ต้น การทดลองครั้งนี้เต็มไปด้วยความท้าทาย เนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็นของเชียงรายที่แตกต่างจากแหล่งปลูกทุเรียนทั่วไป

นางสุพรรณี แสงอรุณ เกษตรกรผู้บุกเบิกการปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองในพื้นที่เวียงเชียงรุ้งมากว่า 17 ปี เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า “จริงๆ แล้วเราอาจจะเป็นผู้บุกเบิกในเรื่องของการปลูกทุเรียน อาจจะเป็นเจ้าแรกของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะอำเภอเวียงเชียงรุ้ง เมื่อเข้าสู่ปีที่ 3-4 เริ่มได้เห็นผลผลิต แต่ก็มีปัญหาให้คอยแก้ไขตลอด”

ความมุ่งมั่นและการเรียนรู้จากประสบการณ์ทำให้การปลูกทุเรียนในเชียงรายประสบความสำเร็จ จากจุดเริ่มต้นเพียงไม่กี่ต้น ปัจจุบันได้ขยายเป็นแปลงปลูกขนาดใหญ่ โดยข้อมูลจากสำนักงานเกษตรจังหวัดระบุว่า ปัจจุบันอำเภอเวียงเชียงรุ้งมีพื้นที่ปลูกทุเรียนประมาณ 468 ไร่ ขณะที่ทั่วจังหวัดเชียงรายมีพื้นที่ปลูกรวมกว่า 3,711 ไร่

จุดเด่นเฉพาะตัวของทุเรียนถิ่นหนาว

ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงรายมีจุดเด่นที่แตกต่างจากทุเรียนภูมิภาคอื่นอย่างชัดเจน ด้วยรสชาติหวานมัน เมล็ดลีบ เนื้อแน่น กลิ่นหอมเฉพาะตัว และเปลือกบาง ความแตกต่างนี้เกิดจากสภาพแวดล้อมที่เฉพาะเจาะจง คือการปลูกในพื้นที่สูงเฉลี่ย 400-600 เมตรจากระดับน้ำทะเล อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีอยู่ระหว่าง 10-35 องศาเซลเซียส

สภาพอากาศที่เย็นสบายนี้ส่งผลให้ทุเรียนออกดอกและติดผลได้ดี โดยช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตอยู่ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคมของทุกปี ซึ่งไม่ซ้ำกับช่วงเวลาของทุเรียนภาคตะวันออกและภาคใต้ ทำให้สามารถขายได้ในราคาที่ดี

นางสุพรรณี อธิบายถึงข้อได้เปรียบนี้ว่า “ทุเรียนของเรามันจะไม่ค่อยชนกับทางภาคตะวันออก เพราะทุเรียนมันจะไล่ผลไม้จากข้างล่างขึ้นมา เราเป็นภาคเหนือ ของเขาเริ่มหมดแล้ว ของเราก็เริ่มออกสู่ตลาด เพราะของเราจะออกในช่วงกรกฎา-สิงหา”

ต้นทุนต่ำ ผลกำไรสูง

หนึ่งในจุดแข็งสำคัญของการปลูกทุเรียนในเชียงรายคือต้นทุนการผลิตที่ค่อนข้างต่ำ นางสุพรรณี เปิดเผยว่า “เราทำในระบบการปลูกทุเรียนแบบครอบครัว ซึ่งต้นทุนจะไม่ค่อยแพงเท่าไหร่ในเรื่องของแรงงาน และการใช้ปุ๋ยใช้ยาเราสามารถควบคุมได้ ถ้าเราทำเองน่าจะอยู่ที่ประมาณต้นละไม่เกิน 1,000 บาทต่อปี”

เมื่อคิดเป็นต้นทุนต่อไร่ ซึ่งมีประมาณ 30 ต้น จะมีต้นทุนการผลิตอยู่ที่ประมาณ 21,000-30,000 บาทต่อไร่ต่อปี ในขณะที่ราคาขายทุเรียนอยู่ที่ 150-200 บาทต่อกิโลกรม ทำให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า

อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ปลูกอย่างรวดเร็วยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่ ปัญหาสภาพอากาศหนาวเย็นที่ทำให้ต้นทุเรียนมีปัญหาในช่วงฤดูหนาว ปัญหาแหล่งน้ำที่มีไม่เพียงพอกับความต้องการ และปัญหาการจัดการสวนที่ไม่เหมาะสม

ยุทธศาสตร์สร้างแบรนด์และพัฒนาคุณภาพ

เพื่อแก้ไขปัญหาและยกระดับมาตรฐานการผลิต จังหวัดเชียงรายได้วางแผนยุทธศาสตร์หลายด้าน เริ่มจากการสร้างแบรนด์ “ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย” ภายใต้การสนับสนุนของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย

นางสุพรรณี กล่าวว่า “ทางกลุ่มของผู้ปลูกทุเรียนเชียงราย ภายใต้ชื่อทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย กำลังสร้างแบรนด์นี้ขึ้นมา โดยผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้มาเยี่ยมชมสวน และได้บอกว่าเราน่าจะผลิตทุเรียนให้มันมีคุณภาพ เพราะฉะนั้นเกษตรกรจะต้องทำทุเรียนให้มันมีคุณภาพ สามารถแข่งขันกับเขาได้”

การพัฒนาคุณภาพจะเน้นไปที่การตัดทุเรียนให้มีอายุการตัดที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ทุเรียนที่แก่พอดี มีรสชาติเต็มที่ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่เชียงรายสามารถแข่งขันกับภูมิภาคอื่นได้

เครือข่ายความรู้และการถ่ายทอดประสบการณ์

การพัฒนาทักษะและให้ความรู้แก่เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ โดยการสร้างเครือข่ายของนักวิชาการและผู้มีความชำนาญในการทำเกษตร โดยเฉพาะทุเรียน เพื่อเข้ามาให้ความรู้กับชาวสวนและช่วยดูแลกันในเบื้องต้น

นางสุพรรณี อธิบายว่า “ชาวสวนที่ปลูกก่อนมีประสบการณ์ ใช้ประสบการณ์ถิ่นของเรามาช่วยกัน ช่วยดูแลกันให้มันมีคุณภาพ ส่งต่อความรู้ตามประสบการณ์” การถ่ายทอดประสบการณ์แบบเกษตรกรสู่เกษตรกรนี้ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติและเหมาะสมกับสภาพท้องถิ่น

โอกาสการส่งออกและการเชื่อมต่อตลาดโลก

ด้วยตำแหน่งที่เป็นเมืองชายแดนติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน เชียงรายมีโอกาสสำคัญในการเป็นประตูการส่งออกทุเรียนไปยังตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นางสุพรรณี มองว่า “ในอนาคตมันจะมีรถไฟ เป็นเมืองชายแดนติดต่อ เรามองว่าตรงนี้มันน่าจะมีโอกาสที่ดีในเรื่องของการส่งออก และในเรื่องของการท่องเที่ยวเชิงเกษตร”

การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรเป็นอีกหนึ่งมิติที่จังหวัดเชียงรายให้ความสำคัญ โดยการผสมผสานระหว่างการเกษตรและการท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและชุมชนในพื้นที่

สุพรรณี แสงอรุณ เกษตรกรสวนทุเรียน

การสนับสนุนจากภาครัฐและแผนการส่งเสริม

สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงรายได้จัดกิจกรรมดังกล่าวโดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับผลไม้เศรษฐกิจทางเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจ

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายได้เตรียมผลักดันทุเรียนเชียงรายออกสู่ตลาดให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ด้วยการจัดกิจกรรมเทศกาลกินทุเรียนเชียงรายในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งจะเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการสู่สาธารณชน

นางสาวมินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง กล่าวว่า “ตอนนี้อำเภอเวียงเชียงรุ้งของเราได้ผลักดันเกษตรกรในการปลูกทุเรียน และตอนนี้อัตลักษณ์ของเราก็คือทุเรียนเวียงเชียงรุ้ง เป็นของดีของเรา ตอนนี้เรากำลังผลักดันทุเรียนอำเภอเวียงเชียงรุ้งให้ดังในระดับทั่วประเทศ”

ความท้าทายและแนวทางแก้ไข

แม้จะมีศักยภาพสูง แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมทุเรียนเชียงรายยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ปัญหาหลักที่พบได้แก่ สภาพอากาศหนาวเย็นที่ทำให้ต้นทุเรียนมีปัญหาในช่วงฤดูหนาว ปัญหาแหล่งน้ำที่มีไม่เพียงพอกับความต้องการ และปัญหาการจัดการสวนที่ไม่เหมาะสม

เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่มีองค์ความรู้ในการทำทุเรียนให้มีคุณภาพ โดยจะเน้นแค่ติดลูกได้ และมีปัญหาด้านการจัดการที่ไม่เหมาะสม เช่น ตัดอ่อน ตัดเบียด ซึ่งจะทำให้ทุเรียนไม่มีคุณภาพและราคาตกต่ำ

การรวมกลุ่มของเกษตรกรจึงเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยจะช่วยเสริมความรู้ในการผลิต การใช้ปุ๋ย ยา การลดต้นทุน และการควบคุมคุณภาพ ทำให้เกษตรกรสามารถผลิตทุเรียนที่มีมาตรฐานและแข่งขันได้ในตลาด

มินทิรา ภดาประสงค์ นายอำเภอเวียงเชียงรุ้ง

บริบทระดับชาติและระดับภูมิภาค

การพัฒนาทุเรียนเชียงรายเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประเทศไทยกำลังมุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านทุเรียนในระดับโลก เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เปิดเผยว่า คณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาคุณภาพสินค้าทุเรียน โดยมีรัฐมนตรีเป็นประธาน

การจัดตั้งคณะอนุกรรมการดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดการบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทย ให้การพัฒนาคุณภาพทุเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพได้มาตรฐานสากล และเพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของทุเรียนไทยในระดับโลก

รัฐมนตรีเกษตรฯ ยังได้ประเมินสถานการณ์ผลไม้ปี 2568 โดยคาดว่าทุเรียนและลำไยจะเริ่มออกสู่ตลาดในเดือนกรกฎาคม และมีปริมาณเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน ทุเรียนมีผลผลิตรวมประมาณ 606,958 ตัน เพิ่มขึ้น 14.46% จะออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม

การเชื่อมต่อกับความร่วมมือระดับอาเซียน

ในมิติของความร่วมมือระหว่างประเทศ ปัจจุบันมีการหารือเกี่ยวกับการจัดตั้ง “สมาพันธ์ทุเรียนอาเซียน” ซึ่งจะเป็นการจับมือร่วมกันระหว่างไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ที่ล้วนเป็นผู้ผลิตหลักที่ครองตลาดทุเรียนมากกว่า 90% ของอาเซียน

สมาพันธ์ฯ จะทำหน้าที่ใน 6 ด้านหลัก ได้แก่ การแลกเปลี่ยนข้อมูลการผลิตและแนวโน้มตลาด การถ่ายทอดเทคโนโลยีการปลูกและองค์ความรู้ การกำหนดมาตรฐานสินค้า การสร้างแบรนด์ร่วม การกำหนดการรายงานราคารูปแบบรายเดือน และการสนับสนุนการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการ

ความร่วมมือในระดับภูมิภาคนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานสินค้าทุเรียนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สร้างระบบข้อมูลการตลาดที่โปร่งใส พัฒนาเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยว และสร้างเครือข่ายการจำหน่ายที่แข็งแกร่งในตลาดโลก

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นและแนวโน้มอนาคต

การพัฒนาอุตสาหกรรมทุเรียนในเชียงรายมีผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างชัดเจน จากพื้นที่ปลูกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันทุกอำเภอของจังหวัดเชียงรายมีการปลูกทุเรียนประมาณ 10,000 ไร่ สายพันธุ์ที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นพันธุ์หมอนทอง ซึ่งเป็นที่นิยมของตลาด นอกจากนี้ยังมีสายพันธุ์อื่นๆ เช่น มูซังคิง หนามดำ ก้านยาว

การเติบโตของอุตสาหกรรมทุเรียนไม่เพียงแต่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรโดยตรง แต่ยังกระตุ้นเศรษฐกิจในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการขนส่ง การแปรรูป การจำหน่าย และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร

นายเสน่ห์ แสงคำ เกษตรจังหวัดเชียงราย เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมงานที่เห็นถึงศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ และได้ให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและการถ่ายทอดความรู้แก่เกษตรกร

ก้าวสู่การเป็นผู้นำทุเรียนระดับโลก

การเปิดตัว “ทุเรียนถิ่นหนาวเชียงราย” เป็นเครื่องหมายสำคัญของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเกษตรของภาคเหนือ จากพื้นที่ที่เคยไม่เหมาะสมกับการปลูกทุเรียน กลับกลายเป็นแหล่งผลิตทุเรียนคุณภาพสูงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างความมุ่งมั่นของเกษตรกร การสนับสนุนจากภาครัฐ และความเหมาะสมของสภาพแวดล้อมท้องถิ่น ซึ่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมูลค่าสูง สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

ด้วยแผนการพัฒนาที่ชัดเจน การสร้างแบรนด์ที่เข้มแข็ง และการเชื่อมต่อกับความร่วมมือในระดับภูมิภาค ทุเรียนเชียงรายมีโอกาสที่จะกลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เกษตรหลักของประเทศไทย และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของจังหวัดเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

วิกฤตตะวันออกกลางเปิดช่อง! ผลไม้อบแห้งไทย-เชียงราย ผงาดตลาดโลก

โอกาสทองของผลไม้อบแห้งเชียงราย หลังภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยนเกมตลาดโลก อินเดีย-ตะวันออกกลางสะเทือน เปิดช่องการค้าไทยในเวทีเอเชียใต้

เชียงราย, 23 มิถุนายน 2568 –ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางขณะนี้ได้ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานของตลาดผลไม้อบแห้งทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะประเทศอินเดียซึ่งเป็นผู้นำเข้าและบริโภคผลไม้อบแห้งอันดับต้นของโลก ผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทั้งสองด้าน ได้แก่ สงครามระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ที่ทำให้เส้นทางโลจิสติกส์ในภูมิภาคตะวันออกกลางสะดุด และการปิดเส้นทางการค้าทางบกระหว่างปากีสถาน-อินเดีย ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายผลไม้อบแห้งจากอัฟกานิสถานและอิหร่านเข้าสู่อินเดียเกิดความล่าช้าและต้นทุนสูงขึ้น ราคาสินค้าหลายรายการพุ่งสูงขึ้นถึง 100% ในเวลาไม่กี่เดือน

จากวิกฤตสู่โอกาสใหม่ – อินเดียปรับกลยุทธ์นำเข้า ผลักดันไทยขึ้นแท่นผู้เล่นสำคัญ

ข้อมูลจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศระบุว่า ปัจจุบันอินเดียต้องรับมือกับปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่สั่นคลอน ไม่เพียงแต่เรื่องการขนส่งล่าช้าและต้นทุนสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนของโครงสร้างภาษีนำเข้า และการขาดความชัดเจนเรื่องสิทธิประโยชน์ทางการค้า โดยเฉพาะกรณีสินค้าจากอัฟกานิสถานที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางผ่านอิหร่าน ทำให้ต้องแบกรับต้นทุนใหม่และความเสี่ยงในตลาดเพิ่มขึ้น

สถานการณ์นี้เองได้เปิดช่องว่างและโอกาสทางการค้าให้กับผู้ส่งออกจากนอกพื้นที่ความขัดแย้งโดยตรง เช่น ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีศักยภาพในการผลิตและส่งออกผลไม้อบแห้งสูงที่สุดในโลก โดยมีการขนส่งมากถึง 2,908 shipments ในปีที่ผ่านมา แม้อัตราการเติบโตจะหดตัวลงชั่วคราว แต่ด้วยภาวะขาดแคลนในตลาดอินเดียขณะนี้ การส่งออกจากไทยกลับขยายตัวสูงถึง 40% ในเดือนตุลาคม 2567

ช่องทางการเกษตรเชียงราย – ต้นน้ำโอกาสสู่ตลาดโลก

สำหรับจังหวัดเชียงรายเอง ถือเป็นแหล่งผลิตผลไม้เมืองร้อนและผลไม้อบแห้งสำคัญของไทย ทั้งมะม่วง กล้วย มะพร้าว ลิ้นจี่ ทุเรียนและผลไม้ท้องถิ่นอื่นๆ ที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง ปัจจุบันผู้ประกอบการในพื้นที่ได้พัฒนาเทคโนโลยีการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์ให้ทันสมัย พร้อมรองรับตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ

ในมุมของโอกาสเชิงกลยุทธ์ ข้อมูลล่าสุดจากการนำเข้าของอินเดียปี 2568 (ม.ค.-มี.ค.) ภายใต้รหัส HS 0813 (ผลไม้อบแห้งและถั่วผสม) พบว่าไทยยังมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 881 เหรียญสหรัฐ เทียบกับอัฟกานิสถาน (3.16 ล้านเหรียญ) และอิหร่าน แม้จะน้อยมากแต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผู้ส่งออกไทย โดยเฉพาะจากเชียงรายที่มีศักยภาพในด้านการแปรรูปและต้นทุนขนส่ง สามารถเร่งรุกตลาดอินเดียได้อย่างชัดเจน

วิเคราะห์ช่องทางและแนวโน้มโอกาสเกษตรเชียงราย

  1. เจาะตลาดอินเดียแบบพรีเมียม
    ความผันผวนของห่วงโซ่อุปทานและราคาสินค้าอินเดียขณะนี้ เปิดโอกาสให้ผลไม้อบแห้งไทยเข้าสู่ตลาดพรีเมียม โดยเน้นคุณภาพ ความปลอดภัย และมาตรฐานสากล ชูจุดเด่นเรื่องสุขภาพ ความสะอาด และความเป็นออร์แกนิก ซึ่งเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคอินเดียให้ความสนใจมากขึ้น
    ข้อแนะนำ: เกษตรกรเชียงรายควรรวมกลุ่มผลิต (Cluster) เน้นผลไม้หลัก เช่น มะม่วงอบแห้ง ลําไยอบแห้ง สับปะรดอบแห้ง สตอเบอรี่อบแห้ง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและต่อรองกับผู้ซื้อได้ดีขึ้น
  2. พัฒนานวัตกรรมและบรรจุภัณฑ์
    การส่งออกผลไม้อบแห้งควรเน้นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่ยืดอายุสินค้า เพิ่มมูลค่าและสร้างความโดดเด่นในตลาด เช่น ถุงซิปล็อก บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก หรือดีไซน์ที่สื่อถึงวัฒนธรรมล้านนา เพื่อให้เกิดความแตกต่างและสร้าง Storytelling เชิงพื้นที่
  3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีและ FTA
    ในขณะที่อินเดียกำลังพิจารณานโยบายภาษีนำเข้า ไทยควรใช้โอกาสนี้เจรจาขอสิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA อาเซียน-อินเดีย หรือ MOU ทวิภาคี เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านต้นทุนขนส่ง และลดข้อจำกัดด้านภาษีที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
  4. ขยายฐานตลาดใหม่ในภูมิภาค
    วิกฤตที่อินเดียกำลังเผชิญยังเปิดโอกาสให้ไทยขยายตลาดไปยังบังกลาเทศ เนปาล ปากีสถาน (หากเปิดพรมแดน) และตะวันออกกลาง โดยเน้นสินค้าที่มีศักยภาพสูง เช่น มะม่วงอบแห้ง ลําไยอบแห้ง สับปะรดอบแห้ง สตอเบอรี่อบแห้ง และทุเรียนอบกรอบ

เกษตรกรเชียงรายบนเวทีโลก

ในวิกฤตย่อมมีโอกาส การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานโลกและความไม่แน่นอนของภูมิรัฐศาสตร์ในเอเชียใต้ เปิดโอกาสให้ “ผลไม้อบแห้งเชียงราย” เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดใหม่ โดยเฉพาะตลาดอินเดียที่ขาดแคลนสินค้าและต้องการสินค้าทางเลือกคุณภาพสูง หากเกษตรกรและผู้ประกอบการในเชียงรายเร่งปรับตัว พัฒนานวัตกรรม และใช้ประโยชน์จากสิทธิทางการค้า เชื่อว่าเชียงรายจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตโลกให้เป็นโอกาสทองของเกษตรกรไทยในศตวรรษนี้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
  • ฐานข้อมูล Volza (มูลค่านำเข้า/ส่งออกผลไม้อบแห้ง)
  • รายงานการนำเข้าของอินเดีย HS 0813 (ม.ค.–มี.ค. 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

รถเก่าแลกใหม่! รัฐหารือค่ายรถ ฟื้นฟูอุตสาหกรรม

ไทยหารือโครงการรถเก่าแลกรถใหม่ กระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังยอดผลิต-ขายลดลงต่อเนื่อง

กรุงเทพฯ, 27 กุมภาพันธ์ 2568 – รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการหารือกับผู้ผลิตรถยนต์เพื่อออกมาตรการ รถเก่าแลกรถใหม่” ซึ่งเป็นโครงการที่คาดว่าจะช่วย กระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังจากยอดการผลิต ยอดขาย และการส่งออกของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 1 ปี

แหล่งข่าวในอุตสาหกรรมยานยนต์เปิดเผยกับ สำนักข่าวรอยเตอร์ ว่า มาตรการนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาใน ระยะเริ่มต้น และอาจเปิดให้ประชาชนนำรถยนต์เก่ามาแลกเป็น ส่วนลดสำหรับซื้อรถใหม่ โดยรถเก่าที่นำมาแลกจะถูกทำลาย ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลไทยหารือร่วมกับ โตโยต้าและผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นๆ

ภาวะอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่ซบเซา

ประเทศไทย ซึ่งเป็น ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้านในภาคอุตสาหกรรมนี้ ไม่ว่าจะเป็น

  • การชะลอตัวของการส่งออก ซึ่งกระทบโดยตรงต่อยอดผลิตของภาคอุตสาหกรรม
  • ยอดขายในประเทศที่ลดลง เนื่องจากประชาชนขาดกำลังซื้อ และเผชิญปัญหาหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง
  • เงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อรถยนต์ยากขึ้น

ในปี 2567 การผลิตรถยนต์ของไทยลดลง 10% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 4 ปี ขณะที่ยอดขายในประเทศลดลง 26% และการส่งออกหดตัวลง 8.8% โดยในเดือนมกราคม 2568 การผลิตรถยนต์ของไทยลดลง ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 18 ลดลงมากกว่า 24% เมื่อเทียบรายปี

โตโยต้าผลักดันแผนการกำจัดรถยนต์เก่า ลดมลพิษ และกระตุ้นยอดขาย

โตโยต้าประเทศไทย ออกแถลงการณ์ต่อรอยเตอร์ว่า บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น รวมถึงโตโยต้า กำลังหารือเกี่ยวกับโครงการกำจัดรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน ภายใต้แนวทางของรัฐบาลไทย เพื่อลดจำนวน รถเก่าที่มีแนวโน้มปล่อยมลพิษสูง

นาย สมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานสมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) เปิดเผยว่า ผู้ผลิตรถยนต์กำลังผลักดันโครงการนี้อย่างหนัก เนื่องจากต้องการเพิ่มยอดขายรถยนต์ใหม่” โดยอายุขั้นต่ำของรถที่สามารถเข้าร่วมโครงการอาจกำหนดไว้ที่ 10 ปีขึ้นไป

การดำเนินการและแนวทางของรัฐบาลไทย

แหล่งข่าวจากรัฐบาลไทยที่ไม่ประสงค์ออกนามระบุว่า ขณะนี้มีการหารือเกี่ยวกับ โครงการรถเก่าแลกรถใหม่” แต่ยังไม่มีการสรุปรายละเอียด เนื่องจากมีหน่วยงานหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ขณะเดียวกัน กระทรวงอุตสาหกรรมและโตโยต้าได้จัดประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อหาแนวทางในการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย แต่ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับโครงการทำลายรถยนต์

โครงการแลกรถเก่า อุตสาหกรรมยานยนต์ และการเติบโตของ EV

อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยกำลังเผชิญกับการแข่งขันจาก ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) รายใหญ่จากจีน อาทิ BYD และ Great Wall Motors ซึ่งได้ลงทุนในไทยกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และกำลังผลักดันราคาขายให้ต่ำลง ทำให้ตลาดรถยนต์ไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกฝ่ายยานยนต์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า มีการหารือเกี่ยวกับมาตรการนี้แล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน”

ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยและอุตสาหกรรมยานยนต์

อุตสาหกรรมยานยนต์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นหนึ่งในภาคการผลิตที่ใหญ่ที่สุด และคิดเป็น ประมาณ 10% ของ GDP ประเทศ ซึ่งมาตรการรถเก่าแลกรถใหม่อาจช่วย

  • กระตุ้นยอดขายรถยนต์ใหม่
  • ลดปริมาณรถยนต์เก่าที่ปล่อยมลพิษสูง
  • กระตุ้นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมรีไซเคิลยานยนต์

นาย สุวิทย์ โชติประดู่ รองประธานสมาคมรถยนต์ใช้แล้วแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่า หากมีโครงการทำลายรถยนต์เก่า จะช่วยสร้างงานใหม่ และกระตุ้นการลงทุนด้านรีไซเคิลในไทย ซึ่งปัจจุบันมีโรงงานรีไซเคิลรถยนต์เพียงไม่กี่แห่ง เช่น บริษัท กรีน เมทัลส์ ของโตโยต้า”

สถิติที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

  • ยอดผลิตรถยนต์ไทย ปี 2567 ลดลง 10% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี (ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
  • ยอดขายรถยนต์ในประเทศ ปี 2567 ลดลง 26% (ที่มา: สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)
  • ยอดส่งออกรถยนต์ ปี 2567 ลดลง 8.8% (ที่มา: กระทรวงพาณิชย์)
  • ตลาด EV ไทยเติบโตขึ้น 400% ในปี 2567 (ที่มา: สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย)
  • หนี้ครัวเรือนไทย พุ่งสูงกว่า 90% ของ GDP (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย)

บทสรุป

โครงการ รถเก่าแลกรถใหม่” ที่อยู่ระหว่างการหารืออาจกลายเป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการกระตุ้นอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปี 2568 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังคงอยู่ที่การจัดหาเงินทุน โครงสร้างพื้นฐานในการรีไซเคิล และการบริหารจัดการซากรถเก่า ซึ่งต้องรอการสรุปแนวทางจากภาครัฐและเอกชนต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) / กระทรวงอุตสาหกรรม / สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) / สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย (TAPMA) / สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

เศรษฐกิจไทยชะลอตัวจากการลดลงในภาคการส่งออกและอุตสาหกรรม

ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 และการคาดการณ์เศรษฐกิจในปี 2568

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์และโฆษกของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจและการเงินในเดือนธันวาคม 2567 และไตรมาสที่ 4 ปี 2567 โดยระบุว่า เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2567 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งเกิดจากการส่งออกสินค้าที่ลดลงและการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงตามลำดับ ทำให้กิจกรรมในภาคบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่งสินค้า และภาคการลงทุนของภาคเอกชนทรงตัว

การท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลง แต่การท่องเที่ยวในประเทศไทยยังคงเป็นภาคส่วนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศในเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นจาก 3.2 ล้านคนในเดือนพฤศจิกายน มาเป็น 3.6 ล้านคนในเดือนธันวาคม ซึ่งมีสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากระยะไกล เช่น รัสเซียและออสเตรเลียเพิ่มขึ้น ขณะที่นักท่องเที่ยวจากระยะใกล้ เช่น จีนและมาเลเซียลดลง สะท้อนถึงการฟื้นตัวในตลาดท่องเที่ยวระยะไกล ในปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยโดยรวมอยู่ที่ 35.5 ล้านคน ซึ่งช่วยกระตุ้นรายรับในภาคการท่องเที่ยว

การส่งออกสินค้าลดลง

ในส่วนของการส่งออกสินค้า พบว่ามีการลดลงจาก 9.1% ในเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 8.4% โดยลดลงในหลายหมวดสินค้า เช่น หมวดรถยนต์ หมวดปิโตรเลียม และหมวดสินค้าเกษตร โดยเฉพาะการส่งออกไปยังอาเซียนและบังคลาเทศ ในขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงลดลงตามการผลิตสินค้าหมวดอื่น ๆ เช่น เครื่องจักรและเหล็ก รวมถึงปิโตรเลียม ซึ่งสอดคล้องกับอุปสงค์ในและต่างประเทศที่ลดลง

อัตราเงินเฟ้อและเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นจาก 0.95% เป็น 1.23% จากผลกระทบของราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นตามฐานต่ำในปีที่ผ่านมา ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคงที่ที่ 0.79% จากผลของราคาสินค้าอาหารสำเร็จรูปและเครื่องประกอบอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นในเดือนธันวาคม

การเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4

โดยรวมแล้วเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากแรงขับเคลื่อนจากภาคบริการและรายรับภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการขยายตัวของรายจ่ายลงทุนภาครัฐ ขณะที่การส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำยังคงทรงตัวจากไตรมาสก่อน โดยการส่งออกสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยียังคงแข็งแกร่ง ส่วนการบริโภคภาคเอกชนทรงตัวจากไตรมาสก่อน ซึ่งได้รับผลดีจากมาตรการเงินโอนจากภาครัฐ

เศรษฐกิจไทยในอนาคตและแนวโน้มในระยะยาว

ธปท. คาดว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 จะเติบโตใกล้เคียงกับ 4% แม้ว่าจะมีการชะลอตัวในภาคการผลิต แต่ยังมีการเติบโตในภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ช่วยชดเชยการลดลงในภาคอื่น ๆ สำหรับแนวโน้มในอนาคต ธปท. กล่าวว่าต้องติดตามผลกระทบจากความไม่แน่นอนในนโยบายเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเข้ารับตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนในระดับโลก

การคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติ

ในส่วนของการคัดเลือกประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือประธานบอร์ดแบงก์ชาติ โฆษกของธปท. กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมการคัดเลือกได้ดำเนินการไปแล้ว และในวันที่ 5 กุมภาพันธ์นี้ กระทรวงการคลังจะเสนอรายชื่อหนึ่งคน และธปท. จะเสนอรายชื่อสองคนเพื่อให้คณะกรรมการสรรหาตรวจสอบคุณสมบัติ โดยคาดว่าจะได้รายชื่อผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติใหม่ภายในเดือนมิถุนายน หรือไม่เกินกันยายน

สรุป

ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ยังคงมีการเติบโตจากแรงขับเคลื่อนของภาคบริการและการท่องเที่ยว แม้ว่าการส่งออกสินค้าจะลดลงก็ตาม โดยยังต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากการชะลอตัวในภาคการผลิตและปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอน ส่วนการคัดเลือกประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่ต้องติดตามในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE