Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นักเรียนอนุบาลเชียงรายมอบผ้าห่มช่วยเด็กยากไร้ในถิ่นทุรกันดาร

นักเรียนอนุบาลเชียงรายมอบผ้าห่มกันหนาวช่วยเด็กด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดาร

เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2568 ที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย (หลังเก่า) อ.เมืองเชียงราย นายพิษณุ คามวาสี ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลเชียงราย พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ครู พี่เลี้ยง และนักเรียนสายชั้นปฐมวัย จำนวน 300 คน ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมส่งมอบผ้าห่มกันหนาวจำนวน 200 ผืน ให้แก่นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางสินีนาฏ ทองสุข นายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ขาดแคลนในถิ่นทุรกันดาร ตามโครงการ ทำดีเพื่อพ่อสานต่อ 89 ล้านความดี”

นายชรินทร์ ทองสุข กล่าวชื่นชมความเสียสละของเด็กๆ และโรงเรียนอนุบาลเชียงราย พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปลูกฝังคุณธรรมขั้นพื้นฐานในครอบครัวและโรงเรียน โดยระบุว่าความเสียสละแม้ในเรื่องเล็กน้อยจะส่งผลให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นบุคคลคุณภาพในอนาคต พร้อมมอบของที่ระลึกเพื่อขอบคุณความเสียสละและน้ำใจของนักเรียนทุกคน

ด้านนายพิษณุ คามวาสี กล่าวว่า กิจกรรมออมเงินเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวเชียงรายในโครงการดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เด็กนักเรียนชั้นปฐมวัย โดยเฉพาะเรื่องการเสียสละและการแบ่งปัน รวมถึงการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนในด้านความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบ ความกตัญญู และความประหยัด

การมอบผ้าห่มกันหนาวสร้างพลังบวกในชุมชน

กิจกรรมนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการส่งเสริมให้เด็กๆ เข้าใจถึงคุณค่าของการช่วยเหลือผู้อื่น และเป็นการสร้างจิตสำนึกที่ดีในชุมชน ซึ่งผ้าห่มจำนวน 200 ผืน จะถูกนำไปแจกจ่ายให้กับเด็กๆ ในพื้นที่ถิ่นทุรกันดาร โดยการสนับสนุนของเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงราย

นอกจากการมอบผ้าห่มกันหนาวแล้ว ยังมีการเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อการพัฒนานักเรียนในด้านวินัย ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์สุจริต และการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา รวมถึงส่งเสริมให้เด็กๆ มีจิตสำนึกต่อส่วนรวมและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

การปลูกฝังคุณธรรมสู่อนาคต

โรงเรียนอนุบาลเชียงรายได้เน้นกระบวนการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เด็กนักเรียนเติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา โดยการส่งเสริมกิจกรรมที่ปลูกฝังจิตสำนึกความดี เช่น การออมเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ซึ่งช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การเสียสละ ความเอื้อเฟื้อ และการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด

การดำเนินกิจกรรมครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในเด็กเล็ก แต่ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ปกครอง ครู และชุมชนในการส่งเสริมคุณค่าแห่งการแบ่งปันและช่วยเหลือซึ่งกันและกันอย่างยั่งยืน

สรุป

กิจกรรมมอบผ้าห่มกันหนาวครั้งนี้สะท้อนถึงความสำคัญของการปลูกฝังคุณธรรมในเด็กเล็ก ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสังคมที่มีความสุขและยั่งยืน เด็กๆ โรงเรียนอนุบาลเชียงรายได้แสดงให้เห็นถึงความเสียสละและน้ำใจที่ยิ่งใหญ่ พร้อมทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคมในการส่งเสริมความมีน้ำใจและการช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

เด็กออกกลางคันพุ่งทะลุ 1 ล้านคน เศรษฐกิจซบเซา พ่อแม่ดึงลูกออกจากระบบ

 

เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา ในฐานะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เปิดเผยว่า สถานการณ์เด็กออกกลางคันหรือเด็กหลุดจากระบบการศึกษา ในปีนี้เป็นไปอย่างหนักหน่วง โดยจากข้อมูลกสศ. พบว่าในปี2566 มีเด็กออกกลางคันประมาณ 1,025,514 คน  ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาจะมีเด็กออกกลางคันปีละกว่า 5 แสนคน ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างเท่าตัว และส่วนใหญ่เด็กจะออกกลางคันในช่วงรอยต่อระหว่างมัธยมต้นไปสู่มัธยมปลาย แต่ปัจจุบันพบว่ามีจำนวนเด็กที่ออกกลางคันในช่วงรอยต่ออื่น เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เช่น จากระดับประถมศึกษาไปสู่ระดับมัธยมศึกษา หรือจากมัธยมศึกษาตอนต้นไปสู่สายอาชีพ

 

“สำหรับสาเหตุเด็กออกกลางคัน ไม่ได้มาจากเรื่องความยากจนเพียงอย่างเดียวเหมือนในอดีต  เพราะการเมือง เศรษฐกิจ และการศึกษา มีความสัมพันธ์กัน ตอนนี้การเมืองหม่นหมองจนสร้างความไม่มั่นใจให้กับการทำงาน การลงทุน เศรษฐกิจถดถอยซบเซาจนสังคมมีสภาพผุกร่อน ไปถึงเรื่องระบบการศึกษาที่มีปัญหา ทำให้เด็กออกกลางคันเพิ่มขึ้น ในอดีตเราอาจจะมองเพียงแค่เรื่องปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นหลักเพราะเป็นเรื่องของความยากจน แต่ในตอนนี้มันเป็นเรื่องของ 3-4 ระบบที่กล่าวมาจนส่งผลให้ครอบครัวของเด็กตัดสินใจในการเอาลูกตัวเองออกจากระบบการศึกษา”นายสมพงษ์ กล่าว

 

นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ส่วนตัวคิดว่าการศึกษา ขณะนี้มีลักษณะของการตื่นตัว พยายามเข้ามาช่วยเหลือเรื่องวิกฤตเด็กออกกลางคัน อย่างนโยบาย Thailand 0 Dropout ที่เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมามีการลงนามความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กับ 11 หน่วยงานในการผลักดันนโยบายนี้ หรือ นโยบาย พาน้องกลับมาเรียน ของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทั้งนี้ส่วนตัวเห็นความพยายาม ในการช่วยเหลือเด็กออกนอกระบบ  เพียงแต่สถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้น ไปเร็วกว่าการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาดังกล่าว ไป 1 หรือ 2 ก้าว  ทำให้ยังไม่ตอบโจทย์เด็กกลุ่มนี้ ซึ่งมีอยู่กว่า 15% ของประเทศ ฉะนั้น สิ่งที่ต้องดำเนินการ จึงไม่ใช่เพียงแค่การลงนามความร่วมมือหรือ ขับเคลื่อนระดับนโยบายเพียงอย่างเดียว  แต่ต้องเร่งค้นหาเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาอย่างจริงจัง ทั้งการเยี่ยมบ้าน การจัดสวัสดิการ การหาทุนการศึกษา รวมถึงการสร้างงานให้ผู้ปกครอง ต้องมองเด็กรุ่นนี้ว่าเป็นทรัพยากรพลเมืองสำคัญ เพราะเขาจะต้องเติบโตเป็นผู้ใหญ่ พวกนี้เป็นปัจจัยที่ภาครัฐควรเร่งดำเนินการ

 

นายสมพงษ์ กล่าวต่อไปว่า ช่วง2-3ปีที่ผ่านมา รัฐบาลชุดเก่าไม่ได้ทุ่มเทเอาใจใส่กับวิกฤตเด็กออกกลางคันให้ดีเท่าที่ควร  ทำให้เกิดปัญหาวิกฤตต่อเนื่องถึงปัจจุบัน ประกอบกับสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19  ทำให้มีคนตกงาน  ครอบครัวมีหนี้สิน และเด็กต้องเรียนออนไลน์อยู่ที่บ้านผ่านมือถือ จนเกิดภาวะการเรียนรู้ถดถอย เด็กมีพฤติกรรมเชิงลบเข้าสังคมไม่เป็น เรื่องพวกนี้เป็นพื้นฐาน ให้เด็กปรับตัวได้ยาก เมื่อเปิดเรียนออนไซต์เต็มรูปแบบ  และสิ่งที่จะเห็นได้อีกอย่างคือ ปัญหาสุขภาพจิต ซึมเศร้า ยังไม่รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ทำให้เด็กเข้าถึงยาเสพติดได้ง่าย

 

“เด็กที่มีพฤติกรรมเชิงลบกับระบบการศึกษาก็จะถูกผลักออก ขณะที่อีกจำนวนมาก ไม่พร้อมกับการศึกษาที่ไม่อ่อนโยน ไม่ผ่อนปรน และไม่ยืดหยุ่น ปัญหาหลัก คือโครงสร้าง ระบบ และหลักสูตรการวัดผล ซึ่งผมคิดว่ายังเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่ทำให้เด็กจำนวนมากเข้าไม่ถึงการศึกษาที่ดีมีคุณภาพและเท่าเทียมกัน ส่วนเรื่องที่ พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ต้องการจะปฎิวัติการศึกษานั้น  ต้องเริ่มจากการเร่งจัดทำร่างพ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฉบับใหม่ โดยเน้นหลักสูตรฐานสมรรถนะ และการนำระบบปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ มาใช้แก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ การขาดแคลนครูในพื้นที่ห่างไกล  เพราะเรื่องการศึกษา มีหลายมิติ ดังนั้นการแก้ปัญหาก็ต้องมองในภาพรวมหลายมิติด้วยเช่นกัน  สิ่งที่ศธ.จะต้องทำให้ดีที่สุด คือ เปิดกระทรวงรับฟังข้อวิพากษ์วิจารณ์และแก้กฏระเบียบที่สกัดกั้นไม่ให้เอกชนกับท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการการศึกษา  การศึกษาไม่ใช่หน้าที่ของศธ. เพียงลำพัง โดยปัจจุบันสัดส่วนการจัดการศึกษากว่า 76% เป็นเรื่องของ ศธ. ส่วนท้องถิ่น 18% และเอกชนเพียง 5-6% เพียงเท่านั้น ฉะนั้นศธ.ต้องลดการจัดการลงมาให้เหลือ 50% เพื่อให้ท้องถิ่นกับเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา หน่วยงานละ 25% ทำให้เกิดการจัดการศึกษาที่หลากหลาย และมีความช่วยเหลือกันอย่างจริงจัง”นายสมพงษ์ กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรรมการบริหารกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘หัวเว่ย’ ผนึกกำลัง ม.ราชภัฏเชียงราย ยกระดับการศึกษาปรับตัวเข้าตัวยุคดิจิทัล

 

เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา หัวเว่ยจัดงาน Digital Sustainable University Day อัพเดทเทรนด์เทคโนโลยีและโซลูชันไฮไลต์เพื่อการเตรียมพร้อมโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสำหรับปรับตัวในยุคดิจิทัลของสถานศึกษา โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และลานนาคอม จัดขึ้นเป็นครั้งแรก ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

 

นายวิลเลี่ยม จาง ประธานธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านการศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาในทุกๆ ด้าน และยังมีแนวโน้มที่จะมีพัฒนาการด้านความอัจฉริยะมากขึ้นทั้งการเรียน การสอน การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนถึงการจัดการระบบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

 

กิจกรรมการเรียนการสอนได้เปลี่ยนจากการใช้กระดานดำแบบดั้งเดิมมาเป็นเครื่องมือมัลติมีเดีย จากการเรียนรู้เริ่มทำได้ไร้ข้อจำกัด และจากการบรรยายแบบทางเดียวไปสู่การเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลางมากขึ้น
ในฐานะผู้ให้บริการด้าน ICT ชั้นนํา

หัวเว่ยมุ่งมั่นที่จะนําเครือข่ายแคมปัสอัจฉริยะ ศูนย์ข้อมูล การประมวลผลคลาวด์ ห้องเรียนอัจฉริยะ และเทคโนโลยีอื่น ๆ มาใช้ในการพัฒนาบุคลากรด้านนวัตกรรมในการศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา เร่งให้เกิดนวัตกรรมในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล

โดยจากการจัดอันดับของ QS World University Rankings มหาวิทยาลัยกว่า 30 แห่งจาก 100 อันดับแรกของโลกได้เลือกให้หัวเว่ยเป็นพันธมิตรในการนำเทคโนโลยีเข้าไปประยุกต์ใช้เพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในการปรับปรุงคุณภาพการศึกษา ประสิทธิภาพในการวิจัย และความสามารถด้านนวัตกรรม

“การจัดงานเทคโนโลยีในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นงานด้านเทคโนโลยีแบบฮาร์ดคอร์เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้พบปะกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและรับฟังสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการจริงๆ เพื่อพัฒนาความร่วมมือให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ซึ่งเป็นสถานที่สําหรับการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระดับแถวหน้าของโลก หากเราสามารถใช้ข้อได้เปรียบของเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อสร้างคุณค่ามากมาย“

ในโอกาสนี้ยังได้จัดให้มีพิธีลงนามความร่วมมือในโครงการหัวเว่ย ไอซีที อะคาเดมี่ (Huawei ICT Academy) เพื่อร่วมกันผลักดันการพัฒนาความรู้ความสามารถในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ตลอดจนเตรียมความพร้อมในเทคโนโลยีเฉพาะทาง เพื่อเป็นการบ่มเพาะบุคลากรในอนาคตให้มีทักษะความสามารถด้านดิจิทัลตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรม

โดยผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมผ่านโครงการหัวเว่ย ไอซีที อะคาเดมี่ จะได้รับประกาศนียบัตรมาตรฐานวิชาชีพของหัวเว่ย ซึ่งเป็นการรับรองที่ได้รับการยอมรับในอุตสาหกรรมระดับโลก อีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสในการสมัครงานของนิสิตนักศึกษา รวมไปถึงโอกาสฝึกงานกับบริษัท หัวเว่ย ประเทศไทย ตลอดจนอาจได้เป็นพนักงานของหัวเว่ยหรือบริษัทในเครือพันธมิตร ซึ่งปัจจุบัน มีมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยเข้าร่วมในโครงการหัวเว่ย ไอซีที อะคาเดมี่แล้วมากกว่า 2,200 แห่งทั่วโลก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศรชัย มุ่งไธสง อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับหัวเว่ย ซึ่งก็ถือเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก เพื่อร่วมกันพัฒนาอุตสาหกรรมที่ไม่ได้โฟกัสเพียงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะของบุคลากรและนักศึกษา รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี

ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของมหาวิทยาลัยในการขับเคลื่อนสู่การเป็น CRRU Smart University อีกด้วย และเชื่อว่าความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนในยุคดิจิทัล และเกิดประโยชน์แก่ทั้งนักศึกษา อาจารย์ บุคลากร รวมถึงการให้บริการสังคมแก่พี่น้องประชาชนทุกคนอย่างแน่นอน”

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ตลาดนัดแนะแนวอาชีพสร้างโอกาสเด็กและเยาวชน เลือกสร้างทางการศึกษา

 

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2567 นายพิสุทธิศักดิ์ ธรรมะวุฒิสุข ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานทะเบียนและบัตร ได้เป็นประธานในการเปิดงาน ตลาดนัดแนะแนวอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมสู่โลกของการเรียนต่อและมีงานทำ ที่ สวนสุขภาพ 100 ปี อ.เชียงคำ จ.พะเยา โดยมี นายธีระชัย สมฤทธิ์ นายกเทศมนตรีตำบลเชียงคำ และหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่เข้าร่วมจัดซุ้มนิทรรศการให้กับเด็กและนักเรียนกว่า 300 คน เข้าร่วม ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ.เพื่อเด็กและเยาวชนฯ ในพื้นที่ของโครงการฯ จังหวัดพะเยา ได้จัดกิจกรรม นิทรรศการตลาดนัดแนะแนวอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมสู่โลกของการเรียนต่อและมีงานทำ

 

นาย ขจรศักดิ์ กาติ๊บ ประธานกรรมการบริหารโครงการพัฒนาเด็ก ซี.ซี.เอฟ.จังหวัดพะเยา กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของโครงการแนะแนวอาชีพเพื่อเตรียมความพร้อมสู่โลกของงาน หรือตลาดนัดแนะแนวอาชีพ ครั้งนี้ โครงการพัฒนาเด็ก ซี.ซี.เอฟ. จังหวัดพะเยา ภายใต้การสนับสนุนของ มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์กรพัฒนาเอกชนด้านการพัฒนาเด็ก ให้ความช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสโดยไม่จำกัดเพศ เชื้อชาติ ศาสนา ให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษา สุขภาพ ทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ และเป็นโอกาสดีที่เด็กและเยาวชนในจังหวัดพะเยา ได้รับการช่วยเหลือ และส่งเสริมอาชีพเพื่อนำไปต่อยอดในการเลี้ยงชีพในอานาคตได้
 
 
โดยมี สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานพะเยา วิทยาลัยเทคนิคเชียงคำ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้อำเภอเชียงคำ ศูนย์ฝึกอาชีพเด็กและสตรี จังหวัดเชียงราย โรงเรียนทวิบริบาลศาสตร์ เชียงราย โรงเรียนศูนย์การเรียนรู้ ณชจันทร์ และ ฟาร์มเห็ดเศรษฐกิจร่มเย็น แนะแนวทางการศึกษาต่อแก่เด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมในวันนี้ เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนสร้างทางเลือกการศึกษาต่อ ทั้งด้านสายอาชีพและอุดมศึกษา ที่ตรงกับความต้องการและความถนัดของตนเอง เพิ่มช่องทางให้นักเรียนและผู้ปกครองได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารของสถาบันการศึกษา และเตรียมความพร้อมในการศึกษาต่อหรือเตรียมเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนความร่วมมือจากองค์กร หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ภาคีเครือข่ายโรงเรียน ชุมชน จัดซุ้มนิทรรศการทักษะอาชีพเด็กในโรงเรียน เพื่องานประชาสัมพันธ์
 
 
นายพิสุทธิศักดิ์ ธรรมะวุฒิสุข กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นการเตรียมความพร้อมสู่โลกของการศึกษาต่อและมีงานทำ โดยภายในงานมีหน่วยงานการศึกษาต่างๆ ร่วมจัดนิทรรศการ สร้างความเข้าใจในเส้นทางการศึกษาและการประกอบอาชีพ ด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ (INSPIRATION) ในหัวข้อเรื่องความสำคัญของการศึกษา สำหรับเด็กและเยาวชนในโรงเรียนภาคี ในพื้นที่การดำเนินงานโครงการฯ เพื่อสร้างโอกาสให้เด็กและเยาวชนสร้างทางเลือกการศึกษาต่อ ทั้งด้านสายอาชีพและอุดมศึกษา ที่ตรงกับความต้องการและความถนัดของตนเอง เพิ่มช่องทางให้นักเรียนและผู้ปกครองได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารของสถาบันการศึกษา และเตรียมความพร้อมในการศึกษาต่อหรือเตรียมเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
 
สำหรับ มูลนิธิ ซี.ซี.เอฟ. เพื่อเด็กและเยาวชน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพื้นที่ดำเนินงานในจังหวัดพะเยา ครอบคลุม 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอจุน อำเภอปง อำเภอภูซาง และ อำเภอเชียงคำ ปัจจุบัน มีเด็กในการดูแลของโครงการ จำนวน 1,191 ราย กิจกรรมตลาดนัดแนะแนวอาชีพ ในวันนี้ได้รับการสนับสนุนความร่วมมือจากองค์กร หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ภาคีโรงเรียน ชุมชน จัดซุ้มนิทรรศการเพื่อประชาสัมพันธ์ แนะแนวทางการศึกษาต่อแก่เด็กและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรม
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News