นายก อบจ.เชียงราย สั่งเร่งเครื่อง “ปลดล็อกลำน้ำจัน” แม่จัน—ป่าตึง แก้น้ำท่วมซ้ำซากด้วย 3 ทางคู่ขนาน สำรวจ-อนุญาต-ขุดลอกตามกฎหมาย
เชียงราย, 23 ตุลาคม 2568 – สัญญาณจากลุ่มน้ำที่ไม่เคยเงียบ ลำน้ำจันในอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ไม่ใช่เพียงเส้นน้ำที่ไหลผ่านทุ่งนาและชุมชน หากแต่เป็น “เส้นเลือด” ของเศรษฐกิจฐานราก—ตั้งแต่ข้าวไร่ ข้าวนา ไปจนถึงเส้นทางสัญจรและโครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่น ทุกครั้งที่ฝนหลงฤดูกาลหรือลมมรสุมทวีแรง ระดับน้ำในลำน้ำจันขยับขึ้นอย่างฉับพลัน ภาพน้ำเอ่อสองฝั่งและข่าวสะพานขาดจึงปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็น “เรื่องเล่าประจำฤดู” ของแม่จันและตำบลป่าตึง โดยเฉพาะเหตุการณ์ท่วมฉับพลันหลายครั้งในช่วงปี 2566–2568 ที่ย้ำเตือนให้หน่วยงานรัฐต้องลงมือแก้ที่ “ต้นเหตุ” มากกว่าไล่ปิดจุดเสี่ยงทีละจุดในนาทีสุดท้ายของวิกฤต และยิ่งเมื่อลำน้ำแม่จัน—เครือข่ายเดียวกับลำน้ำจัน—เป็นหนึ่งในลุ่มน้ำสำคัญของเชียงราย ความชัดเจนด้าน “แผนงาน–อำนาจ–กฎหมาย” จึงต้องมาก่อนเครื่องจักรกลหนักเสมอ
อบจ.เชียงรายประกาศวาระเร่งด่วน “ลำน้ำจัน”
วันที่ 22 ตุลาคม 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย มอบหมายให้นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ. พร้อมนายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น ประธานสภา อบจ. นำทีมลงพื้นที่ตรวจสอบลำน้ำจัน ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน รับฟังข้อเท็จจริงจากผู้นำท้องที่–ท้องถิ่น และประชาชน โดยสรุปสาเหตุหลักของปัญหาว่า “ทางน้ำตื้นเขินจากตะกอนดินทับถมและวัชพืชหนาแน่น” ขณะที่การเข้าเครื่องจักรขุดลอกติดข้อจำกัดเชิงกฎหมาย เพราะแนวลำน้ำบางตอนทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และเป็นทางน้ำที่อยู่ในความดูแลของกรมเจ้าท่า (สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย) จึงต้องดำเนินการ “ขออนุญาตตามขั้นตอน” ก่อนทุกครั้ง. (ถ้อยแถลง/สรุปสาระจากการลงพื้นที่)
ประเด็นนี้ไม่ใช่ข้ออ้าง หากแต่เป็น “ข้อเท็จจริงทางกฎหมาย” ที่ทุกหน่วยในสนามต้องยึดถือการปรับปรุงลำน้ำ–ขุดลอกในทางน้ำสาธารณะอยู่ภายใต้ระเบียบกรมเจ้าท่า และเมื่อแนวลำน้ำพาดผ่านเขตป่าสงวนแห่งชาติ งานดังกล่าวต้องสอดคล้องกับกฎหมายป่าสงวนฯ และหลักเกณฑ์อนุญาตใช้ประโยชน์ในเขตป่าโดยเคร่งครัด
ภูมิทัศน์ภัยเสี่ยงลำน้ำตื้นเขิน–วัชพืชหนาแน่น–ฝนหลากเร็ว
ชุมชนริมลำน้ำจันและลุ่มน้ำแม่จันรู้ซึ้งดีว่า “ความเสี่ยงเกิดไว” แค่ฝนต่อเนื่องไม่กี่ชั่วโมง น้ำป่าไหลหลากก็ทวีแรง เกิดน้ำเอ่อสองฝั่ง กระทบพื้นที่อยู่อาศัย–ถนน–สะพาน และพื้นที่เกษตร ข้อมูลข่าวและคลิปเหตุการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมา สะท้อนรูปแบบภัยซ้ำระดับน้ำขึ้นรวดเร็วในเวลากลางคืน ก่อนลดลงในชั่วโมงถัดมา ทิ้งโคลนตมและความเสียหายไว้เบื้องหลัง ขณะเดียวกัน สะพานและจุดข้ามที่เป็น “คอขวด” กลับยิ่งเปราะบางเมื่อทางน้ำตื้นเขิน เพราะแรงดันน้ำกระแทกโครงสร้างโดยตรงในช่วงพีก
นอกจากนี้ จุดวัดระดับน้ำใกล้สะพานบ้านป่าตึงในแม่จัน ซึ่งเผยแพร่ค่าระดับเตือนภัย–วิกฤตอย่างสม่ำเสมอ ยังชี้ให้เห็น “กระพือคลื่นระดับน้ำ” ในบางเหตุการณ์ ที่ระดับน้ำไต่เส้นเตือนภัยอย่างฉับพลัน ขีดเส้นใต้ข้อเท็จจริงว่า การรู้เท่าทันสถานการณ์แบบเรียลไทม์ และการเพิ่ม “ความสามารถระบายน้ำ” ในทางน้ำหลัก คือเงื่อนไขขั้นต่ำในการลดความเสียหายซ้ำรอบ
โครงสร้างกฎหมายทำไม “มีรถ–มีแบ็กโฮ” แต่ยังลงมือไม่ได้
1) ทางน้ำสาธารณะในกำกับกรมเจ้าท่า
ระเบียบและหลักเกณฑ์ของกรมเจ้าท่ากำหนดชัดว่า งานขุดลอกเพื่อดูแลรักษาสภาพลำน้ำ–ลำคลอง–แม่น้ำ ต้อง “ขออนุญาตเป็นหนังสือ” แนบแบบคำขอ รายละเอียดแนวขุดลอก ปริมาณวัสดุ วิธีขนย้าย–ทิ้งกอง และหนังสือยินยอมของเจ้าของที่ดินกรณีนำวัสดุขึ้นฝั่ง รวมถึงเอกสารสิ่งล่วงล้ำลำน้ำที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดนี้เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการไหล–การเดินเรือ–ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมลำน้ำ
2) เขตป่าสงวนแห่งชาติในกำกับกรมป่าไม้
เมื่อแนวลำน้ำบางช่วงทับซ้อนเขตป่าสงวนฯ การเข้าดำเนินการต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ และหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนกำหนด อนุญาตเป็นรายกรณี–ตามวัตถุประสงค์–ตามช่วงเวลา และเงื่อนไขลดผลกระทบต่อทรัพยากร ก่อนจะเดินหน้าเครื่องจักรได้จริง
3) หลักคิด “กฎหมายก่อนเครื่องจักร”
สำหรับท้องถิ่น หลักคิดนี้หมายความว่า แม้องค์กรจะพร้อมด้วยเครื่องจักรและคน แต่หากยังไม่ “เคลียร์อำนาจและอนุญาต” ทุกฟันเฟืองก็ขยับไม่ได้ เพราะการขุดลอกโดยมิชอบอาจก่อผลกระทบข้ามเขต ทั้งตลิ่งพัง–ตะกอนไหล–รุกล้ำตลิ่งสาธารณะ และอาจเป็นความผิดตามหลายกฎหมายพร้อมกัน
เสียงจากสนามคำย้ำชัดของรองนายก อบจ.เชียงราย
นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย ให้ข้อมูลหลังลงพื้นที่ว่า “เครื่องจักร อบจ. พร้อมเข้าทำงาน แต่ ณ ตอนนี้ยังเข้าเครื่องจักรไม่ได้ เพราะต้องรอการอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย และกรมป่าไม้ เพื่อให้ทุกขั้นตอนถูกต้องตามระเบียบ” พร้อมมอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 แห่งในแนวลำน้ำที่ได้รับผลกระทบร่วมกัน “เร่งจัดทำคำขอ–แผนที่สังเขป–แนวขุดลอก–จุดทิ้งตะกอน และเอกสารแนบ” เพื่อยื่นขออนุญาตให้ทัน “ช่วงฤดูแล้ง” ซึ่งเป็นหน้าต่างเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานในลำน้ำ
สาระสำคัญของถ้อยแถลงนี้ชี้เป้าไปที่ “การจัดการเชิงระบบ” มากกว่าการแก้จุดเฉพาะหน้า เพราะถ้าเอกสารไม่ครบหรือเสนอไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ งานจะสะดุดตั้งแต่ชั้นพิจารณา และฤดูฝนรอบใหม่อาจมาถึงก่อนที่เครื่องจักรจะได้แตะตลิ่ง
จากข้อมูลสู่แผน3 ทางคู่ขนาน “สำรวจ–อนุญาต–ขุดลอก”
ทางที่ 1: สำรวจ–ออกแบบเชิงชลศาสตร์
เริ่มจากสำรวจความกว้าง–ลึก–ความลาดเอียงของท้องน้ำ ระบุ “คอขวดไฮดรอลิก” ที่เกิดจากตะกอน–ผักตบ–ไม้ล้ม–สิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล้ำ กำหนดระยะขุดลอกและแนวตัดแต่งพืชน้ำแบบมี “บัฟเฟอร์โซน” รักษาตลิ่ง ลดการพังทลาย พร้อมกำหนดจุดพักตะกอน–จุดทิ้งกอง และเส้นทางขนย้ายที่ไม่ผ่านพื้นที่อ่อนไหว
ทางที่ 2: อนุญาต–เคลียร์กฎหมาย
ยื่นคำขอขุดลอกตามแบบของกรมเจ้าท่า (แบบ ข.1) แนบเอกสารให้ครบถ้วน รวมถึงหนังสือยินยอมพื้นที่ทิ้งกอง วางแผนเวลา–วิธีการทำงานในเขตป่าสงวนฯ ตามกรอบของกรมป่าไม้ ทำ TOR และมาตรการป้องกันผลกระทบ (เช่น ควบคุมขุ่น–ป้องกันตลิ่งพัง–จัดการตะกอน) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เพื่อให้ฝ่ายอนุญาตพิจารณาได้เร็วและเชื่อมั่นได้
ทางที่ 3: ขุดลอก–บำรุงรักษาต่อเนื่อง
เมื่อได้รับใบอนุญาต ให้เข้าดำเนินการในฤดูแล้ง ลดความเสี่ยงน้ำหลาก ระบุ “ช่วงยกระดับมาตรฐาน” เช่น ตัดวัชพืชซ้ำทุก 3–6 เดือน ในจุดที่เป็นคอขวด ติดตามระดับความลึกหลังขุดลอก พร้อมระบบรายงานผล–โปร่งใส เปิดเผยแก่สาธารณะ
ทำไม “ฤดูแล้ง” คือหน้าต่างเวลา
งานในลำน้ำระหว่างฤดูแล้งช่วยลดผลกระทบ 3 ประการ หนึ่ง ลดความเสี่ยงน้ำขุ่นและตะกอนเคลื่อนย้ายลงท้ายน้ำ สอง เครื่องจักรทำงานได้ปลอดภัยและแม่นจุดมากขึ้น สาม เปิดพื้นที่ท้องน้ำให้พร้อมรับปริมาณน้ำช่วงต้นฤดูฝน ทั้งหมดสอดคล้องกับแนวทางของกรมเจ้าท่าที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลสภาพลำน้ำเพื่อการเดินเรือ–ป้องกันอุทกภัย–และความปลอดภัยสาธารณะ
มิติสังคม–เศรษฐกิจ เม็ดเงินซ่อมสะพาน vs งบป้องกัน
เมื่อสะพานหรือถนนได้รับผลกระทบจากน้ำหลาก งบซ่อมบำรุงมักสูงและใช้เวลานาน ขณะที่การ “เพิ่มความสามารถระบายน้ำ” ตั้งแต่ต้นทางผ่านการขุดลอกตามหลักวิศวกรรม และการจัดระเบียบสิ่งล่วงล้ำลำน้ำตามกฎหมาย อาจใช้งบน้อยกว่าและสร้างผลคุ้มค่าในระยะกลาง–ยาว ที่สำคัญคือคืน “ความมั่นใจ” ให้ประชาชนและผู้ประกอบการ เพราะการคาดการณ์เส้นระดับน้ำในเหตุการณ์ฝนหนักจะดีขึ้น เมื่อช่องทางน้ำไม่ถูกหรี่ด้วยตะกอนและวัชพืช
รู้จักเครือข่ายลำน้ำ “น้ำแม่จัน–น้ำจันน้อย–ลำน้ำจัน”
ฐานภูมิศาสตร์บอกเราว่า น้ำแม่จันมีสาขาสำคัญหลายเส้น รวมทั้งน้ำจันน้อย และไหลผ่านตำบลป่าตึงก่อนลงสู่พื้นที่ปลายน้ำในเชียงแสน ความยาวลำน้ำราว 86 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำราว 236 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็น “แหล่งปลูกข้าวสำคัญ” ของเชียงราย โจทย์น้ำท่วมในแม่จัน–ป่าตึง จึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะหมู่บ้าน แต่กระทบเครือข่ายเศรษฐกิจทั้งลุ่มน้ำ หากบริหารจัดการได้ดี ผลลัพธ์จะสะท้อนกลับเป็น “เสถียรภาพรายได้” ของครัวเรือนเกษตรจำนวนมาก
หลักฐานภาคสนาม ร่องรอยเหตุการณ์ซ้ำ–ข้อมูลเตือนภัย
ข่าวและรายงานภาคสนามต่อเนื่องในช่วงพายุฝน ปี 2566–2567–2568 ยืนยันภาพ “น้ำหลากฉับพลัน” ในแม่จันและป่าตึง แม้ทรัพย์สินเสียหายไม่รุนแรงในบางครั้ง แต่จุดวิกฤตอย่างสะพานเหล็กข้ามลำน้ำจันเคยถูกน้ำพัดขาด ขณะเดียวกัน จุดวัดระดับน้ำในป่าตึงมีเกณฑ์เตือนภัย–วิกฤตชัดเจนให้ติดตามแบบเรียลไทม์ ซึ่งหน่วยงานท้องถิ่นและประชาชนควรใช้เป็น “เรดาร์ร่วม” เพื่อกำหนดขั้นปฏิบัติการอพยพ–ปิดจุดเสี่ยง–และเปิดทางน้ำทดแทนในระยะสั้น.
แนวทางปฏิบัติ (เช็กลิสต์) สำหรับท้องถิ่น 5 องค์กรในแนวลำน้ำ
- ตั้ง “คณะทำงานเอกสารอนุญาต” ร่วมกับ อบจ.–สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค–หน่วยป่าไม้ ระบุแนวขุดลอก–จุดทิ้งตะกอน–บัฟเฟอร์โซนตลิ่งให้ชัด
- ใช้ “ข้อมูลระดับน้ำ” จากสถานีป่าตึงและจุดใกล้เคียง เป็นฐานออกแบบทางชลศาสตร์และกำหนดช่วงเวลาทำงาน
- จัดทำ “แผนที่สิ่งล่วงล้ำลำน้ำ” แบบเปิดเผย—ท่าเทียบเรือ ท่อ–คู–คลองเชื่อม เสา–สะพาน พร้อมแผนรื้อเฉพาะที่จำเป็นตามกฎหมาย
- กำหนด “มาตรการสิ่งแวดล้อม” เฉพาะจุด เช่น ผ้ากรอง–บ่อดักตะกอน–เสริมตลิ่งแบบนุ่ม ลดการพังทลายหลังขุด
- ออกแบบ “ปฏิทินบำรุงรักษา” ตัดวัชพืชซ้ำ–กำจัดตะกอนคอขวดทุก 3–6 เดือน โดยรายงานต่อสาธารณะ
เสียงประชาชนต้องมากับ “ข้อมูลที่จับต้องได้”
ความเชื่อมั่นของชุมชนไม่ได้เกิดจากรถแบ็กโฮที่ลงทำงานเท่านั้น แต่อยู่ที่ “ข้อมูล–กติกา–ความโปร่งใส” เช่น ป้ายประชาสัมพันธ์หน้าพื้นที่ทำงาน แสดงแผนที่แนวขุด–ปริมาณตะกอน–ช่วงเวลา–ผู้รับผิดชอบ–เลขที่ใบอนุญาตกรมเจ้าท่า–เลขที่อนุญาตเขตป่าสงวนฯ และช่องทางร้องเรียน เมื่อประชาชนเห็นกระบวนการครบถ้วน จะพร้อมเป็น “ผู้ร่วมเฝ้าระวัง” มากกว่าเป็นเพียง “ผู้ถูกกระทบ”
“ฤดูแล้งนี้” คือความท้าทาย
ถ้าทุกเอกสารสามารถยื่นและพิจารณาได้ทันฤดูแล้งปีนี้ โอกาสแก้คอขวดไฮดรอลิกในช่วงสำคัญของลำน้ำจันจะสูงขึ้นมาก ระดับน้ำพีกในฤดูฝนถัดไปมีแนวโน้มลดลง และความเสียหายต่อสะพาน–ถนน–พื้นที่เกษตรจะลดความถี่ลง แต่หากเอกสารสะดุดหรือติดเงื่อนไขพื้นที่ซับซ้อน งานขุดลอกอาจต้องเลื่อนไป ซึ่งหมายถึง “ต้นทุนเวลา” ที่ชุมชนต้องแบกรับ
กฎหมาย–เครื่องจักร–ชุมชน ต้องเดินพร้อมกัน
กรณีลำน้ำจัน ป่าตึง–แม่จัน คือบทพิสูจน์ของการบริหารจัดการเชิงบูรณาการ อบจ.เป็นแม่งานประสาน เชื่อม 5 ท้องถิ่นให้ยื่นอนุญาตเร็ว กรมเจ้าท่ากำกับตามหลักวิชาชีพและความปลอดภัยทางน้ำ กรมป่าไม้สร้างสมดุลการใช้ประโยชน์–การอนุรักษ์ ขณะที่ชุมชนช่วยเฝ้าระวัง–แจ้งเตือนและร่วมดูแลตลิ่ง หาก “เอกสาร–วิศวกรรม–การมีส่วนร่วม” เดินทันฤดูแล้ง เครื่องจักรจะได้ลงทำงานอย่างถูกต้อง และฤดูฝนหน้าจะไม่เป็น “ฤดูซ้ำรอย” อีกต่อไป
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
- กฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ



























































