Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

ประมงล่มสลาย-นาข้าวเสี่ยง! จี้รัฐบาลยกระดับ “วาระแห่งชาติ” แก้ปัญหาที่แหล่งกำเนิดสารพิษ

วิกฤตแม่น้ำกก “เหมืองแร่สกปรก” ข้ามพรมแดนคุกคามล้านชีวิตไทย ปมร้อนห่วงโซ่อุปทานแร่สำคัญกับการคัดค้านแผนแก้ปัญหา 173 ล้านบาท

เชียงราย, 7 พฤศจิกายน 2568 – ท่ามกลางกระแสการแสวงหาแร่สำคัญ (Critical Minerals) เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและพลังงานสะอาดของโลก ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงบริเวณพรมแดนไทย-เมียนมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลุ่มน้ำกก จังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ข้อมูลเชิงลึกและภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดได้ยืนยันการขยายตัวของ เหมืองแร่แรร์เอิร์ธและเหมืองทองคำ” ขนาดใหญ่ในรัฐฉาน ภาคตะวันออกของเมียนมา ซึ่งดำเนินการโดยกลุ่มบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐวิสาหกิจจีน และตั้งอยู่ใกล้กับพรมแดนไทยในระยะที่น่าตกใจ สถานการณ์นี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติในพม่า แต่ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและเศรษฐกิจของคนไทยกว่าหนึ่งล้านคน

ปัญหาสารพิษโลหะหนักที่ปนเปื้อนลงสู่แม่น้ำกก ไม่ใช่เพียงแค่ความกังวลในท้องถิ่น แต่ได้กลายเป็น วาระของชาติ” และเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนถึงหายนะของการจัดการห่วงโซ่อุปทานแร่ที่ไม่โปร่งใส ขณะที่รัฐบาลไทยพยายามเสนอทางออกด้วยการสร้างฝายดักตะกอน มูลค่า 173 ล้านบาท ภาคประชาสังคมและชุมชนผู้ได้รับผลกระทบกลับพร้อมใจกันลุกขึ้นคัดค้าน โดยชี้ว่าเป็นการ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” ที่ไม่สามารถจัดการกับแหล่งกำเนิดสารพิษที่แท้จริงได้

ปฐมบทแห่งหายนะ สารพิษจากพรมแดน 25 กิโลเมตร

การเปิดเผยข้อมูลโดยมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation – SHRF) เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 และการอัปเดตเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2568 ได้จุดประกายความวิตกกังวลในระดับนานาชาติ ภาพถ่ายดาวเทียมแสดงให้เห็นการขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญของเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในเมืองยอน ทางใต้ของเมืองสาด ภาคตะวันออกของรัฐฉาน พื้นที่ทำเหมืองดังกล่าวอยู่ห่างจากพรมแดนด้านอำเภอแม่ อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพียงประมาณ 25 กิโลเมตรเท่านั้น และอยู่ภายใต้การควบคุมร่วมกันของรัฐบาลทหารพม่าและกองทัพว้า (United Wa State Army – UWSA)

สิ่งที่ทำให้เหมืองเหล่านี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งคือ วิธีการสกัดแร่แบบชะละลาย ณ แหล่งกำเนิด (in-situ leaching) ซึ่งเป็นวิธีการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธที่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง โดยเกี่ยวข้องกับการฉีดสารเคมีจำนวนมากผ่านท่อเข้าไปในเนินเขาเพื่อชะละลายแร่หายากออกมา สารละลายเคมีที่ได้จะถูกส่งไปยังบ่อแต่งแร่ทรงกลมที่เรียงรายอยู่ตามจุดต่าง ๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับเหมืองแรร์เอิร์ธที่ดำเนินการโดยบริษัทจีนในรัฐคะฉิ่น ประเทศเมียนมา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตแร่เทอร์เบียม (Tb) และดิสโพรเซียม (Dy) จำนวนมาก

จากการติดตามภาพถ่ายดาวเทียมพบว่า เหมืองแรร์เอิร์ธแห่งหนึ่งทางทิศตะวันออกของแม่น้ำกกเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงกลางปี 2566 (mid-2023) ขณะที่อีกแห่งทางทิศตะวันตกของแม่น้ำกกเริ่มขึ้นตั้งแต่กลางปี 2567 (mid-2024) ภาพล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 แสดงให้เห็นว่าบ่อแต่งแร่ทางทิศตะวันตกได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วและมีการสร้างหลังคาสีดำปกคลุม ส่วนเหมืองฝั่งตะวันออกยังคงดำเนินการต่อเนื่อง โดยมีการสร้างอาคารใหม่หลายหลัง และสามารถมองเห็นสารเคมีเหลว สีน้ำเงินสด” ในบ่อแต่งแร่ผ่านตาข่ายสีดำที่ปกคลุมอยู่ การขยายตัวของการดำเนินงานเหล่านี้เกิดขึ้นพร้อมกับการปล่อย กากของเสียที่มีโลหะหนัก” ไหลลงสู่แม่น้ำกกโดยตรงอย่างต่อเนื่อง

ความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ ผลกระทบต่อปากท้องและสุขภาพ

แม่น้ำกกไหลจากเมืองท่าตอน อำเภอแม่ อาย จังหวัดเชียงใหม่ เข้าสู่จังหวัดเชียงราย และไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงแสน ผลกระทบข้ามพรมแดนนี้จึงเป็นภัยคุกคามต่อชุมชนริมน้ำทั้งในภาคใต้ของรัฐฉานและภาคเหนือของไทย

สถิติชวนคิดและผลกระทบจริงที่ต้องเร่งคลี่คลาย

ทางการไทยได้พยายามตรวจสอบคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกทุกสองสัปดาห์ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 และพบว่า มีปริมาณสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐานความปลอดภัยหลายครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้เปิดเผยว่า จากการตรวจหาสารโลหะหนักในน้ำประปาในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ก็ยังพบสารหนูปนเปื้อนอยู่ทุกครั้ง แม้หน่วยงานภาครัฐจะยืนยันว่าน้ำประปาปลอดภัย แต่การประปาส่วนภูมิภาคกลับต้องพิจารณาของบประมาณสูงถึง 12,000 ล้านบาท เพื่อหาแหล่งน้ำดิบใหม่มาทดแทนแม่น้ำกก เนื่องจากเกินกำลังที่จะกำจัดสารโลหะหนักได้แล้ว

ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสุขภาพต่อชุมชนชาวไทยนั้นปรากฏชัดเจน

  1. การประมงและสุขภาพสัตว์น้ำ นายสายัณห์ ข้ามหนึ่ง ผู้อำนวยการสมาคมแม่น้ำนานาชาติ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่เมื่อ 3-4 วันก่อนการประชุม (6 พ.ย. 68) ยังพบว่าชาวประมงพื้นบ้านจับ ปลากดที่มีตุ่มเล็ก ๆ สีขาว ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับปลาในแม่น้ำกก โดยเฉพาะปลากินเนื้อและปลาที่หากินหน้าดิน นายบุญศรี พนาสง่าวงศ์ ผู้แทนจากชุมชนบ้านแคววัวดำ สะท้อนความจริงอันเจ็บปวดว่า “เมื่อก่อนปลาน้ำกก ติดป้ายไม่ถึง 3 ชั่วโมงปลาก็ขายหมด ตอนนี้ไม่หาแล้วเพราะไม่มีคนซื้อ
  2. การท่องเที่ยวที่ล่มสลาย ชมรมเรือท่องเที่ยวเชียงรายเปิดเผยว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมา ผลกระทบจากมลพิษทำให้จำนวนเรือที่ขึ้นทะเบียนกับกรมเจ้าท่า เหลือไม่ถึง 60 ลำ จากเดิมที่มีมากกว่า 300 ลำ ส่วนผู้ประกอบการแพริมน้ำในตำบลท่าตอน ประสบความเสียหายหนัก จากที่เคยลงทุนกว่า 2 ล้านบาทและได้กำไรกว่า 900,000 บาทต่อปี ปีนี้กลับขาดทุนไปถึง 800,000 บาท
  3. ความเสี่ยงทางการเกษตรและสุขภาพมนุษย์ ดร.สืบสกุล ชี้ว่า มีเกษตรกร 14,638 ราย ในเชียงราย และ นาข้าว 130,881 ไร่ ที่ได้รับผลกระทบ และพื้นที่เหล่านี้มีความเสี่ยง 100% ที่จะต้องใช้น้ำปนเปื้อนในการผลิตข้าวนาปรังในเดือนมกราคม 2569 นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็ก ๆ ในพื้นที่ที่แอบไปเล่นน้ำมีอาการเป็นตุ่มสีดำ และบางคนมีแผลที่เป็นตุ่มเนื้อออกมา

ความขัดแย้งเชิงนโยบาย ฝายดักตะกอนกับการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด

ในขณะที่ชุมชนกำลังเผชิญกับผลกระทบอย่างหนัก กรมทรัพยากรน้ำได้เตรียมจัด “การประชุมรับฟังความเห็นของประชาชน” ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 เพื่อทบทวนและกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำ แนวทางที่ถูกเสนอคือ โครงการสร้าง ฝายดักตะกอน” จำนวน 4 แห่ง ในพื้นที่อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยงบประมาณ 173 ล้านบาท (ซึ่งลดลงจากแผนเดิม 10 ฝาย)

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้กลับถูกคัดค้านอย่างหนักจากเครือข่ายสิทธิชุมชนเชียงรายและสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต โดยผู้นำชุมชนได้รวมตัวกันระดมความเห็นเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2568 และมีจุดยืนเป็นหนึ่งเดียวว่า ไม่เอาฝายดักตะกอน”

นายกินุ เฉลิมเลี่ยมทอง นายกสมาคมลาหู่ประเทศไทยและนานาชาติ ได้กล่าวถึงความไม่เชื่อมั่นในมาตรการนี้อย่างดุเดือดว่า “การสร้างฝายดักตะกอน ผมไม่มีความหวังเลย คิดว่าไม่สามารถดักสารเคมีสารพิษได้ ตะกอนปนเปื้อนจะไม่หาย และจะไม่ลดลง… การสร้างฝายดักตะกอน เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ และยังเป็นฝายดักตะกอนพิษที่แรกของโลก เอาความเชื่อมั่นมาจากที่ไหน

นายวุฒิพงษ์ สงวนโชติ นายกสมาคมลาหู่และตัวแทนชาวบ้านในลุ่มน้ำกก ได้ย้ำว่า แม่น้ำกกมีน้ำมหาศาล ดักตะกอนก็ได้แต่ตะกอน ไม่สามารถดักสารพิษได้ ชาวบ้านยังตั้งข้อสังเกตว่า ภาครัฐปกปิดข้อมูลโครงการนี้มาโดยตลอด และเร่งดำเนินการทั้งที่ปัญหาหลักคือสารพิษยังไม่ได้รับการแก้ไข

บริษัทข้ามชาติและห่วงโซ่อุปทานแร่โลก

เพื่อทำความเข้าใจถึงแรงขับเคลื่อนเบื้องหลังหายนะข้ามพรมแดนนี้ จำเป็นต้องตรวจสอบความเชื่อมโยงของกลุ่มทุนที่อยู่เบื้องหลังการทำเหมือง

เหมืองแร่แรร์เอิร์ธและเหมืองทองคำริมแม่น้ำกกในเมืองยอน รัฐฉาน เป็นกิจการของ บริษัท ไชนา อินเวสเมนต์ ไมนิ่ง จำกัด (CIMC) CIMC นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของ บริษัท เซี่ยงไฮ้ ฉือจิน เซียะหวู่ เมทัล รีสอร์สเซส จำกัด (Shanghai Chijin Xiawu Metal Resources Co. Ltd., หรือ Chijin Xiawu) ซึ่งถือหุ้นอยู่ 90% Chijin Xiawu ก่อตั้งขึ้นในเดือนตุลาคม 2565 โดยเป็นกิจการร่วมค้าระหว่างสองบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีน

  1. บริษัท ฉือเฟิงโกลด์ (Chifeng Jilong Gold Mining Co., Ltd. – Chifeng Gold) บริษัทผู้ผลิตทองคำเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน (ถือหุ้น 51% ใน Chijin Xiawu)
  2. บริษัท เซียะเหมินทังสเตน จำกัด (Xiamen Tungsten Co., Ltd.) เป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีน และเป็นผู้ผลิตทังสเตนที่สมบูรณ์ที่สุดในจีน รวมถึงเป็นหนึ่งในผู้ผลิตแรร์เอิร์ธรายใหญ่ที่สุดของประเทศ (ถือหุ้น 49% ใน Chijin Xiawu)

การร่วมทุนนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนคือ เพื่อพัฒนาและควบคุมทรัพยากรแรร์เอิร์ธในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลาว

กลยุทธ์การขยายตัวในอาเซียน โครงการเหมืองเหมิงคังในลาว

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2567 บริษัท ฉือเฟิงโกลด์ ได้ประกาศการเข้าซื้อหุ้น 90% ของ China Investment Mining (Laos) Sole Co., Ltd. ผ่านบริษัทย่อย (CHIXIA Laos) ด้วยมูลค่ารวม 18,963,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 688 ล้านบาท) บริษัทที่เข้าซื้อนี้มีโครงการสำคัญคือ โครงการแรร์เอิร์ธเหมิงคัง ในแขวงเชียงขวาง ประเทศลาว ซึ่งเป็นเหมืองประเภท “medium heavy rare earth” ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง

ข้อมูลสถิติขนาดโครงการในลาว

  • พื้นที่สัมปทานรวม 50 ตารางกิโลเมตร โดยมีพื้นที่นำร่อง 8 ตารางกิโลเมตร
  • ทรัพยากรแร่ที่พร้อมใช้ (Available Resources) รวม 101,462,900 ตันของสินแร่ และ 25,483.06 ตันของแรร์เอิร์ธออกไซด์
  • กำลังการผลิตที่ออกแบบไว้คือ 3,675 ตันของแรร์เอิร์ธออกไซด์ผสมต่อปี
  • โครงการนี้มีแผนที่จะใช้เทคโนโลยี in-situ leaching เช่นเดียวกับที่ใช้ในรัฐฉาน

ภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดของเหมืองแรร์เอิร์ธในเมืองคำ (Mengkang) ของบริษัทนี้ในลาว ก็แสดงให้เห็น การทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างกว้างขวาง” และมีการปล่อยน้ำเสียลงสู่ลำน้ำขาว (Nam Khao stream) ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำคานและต่อไปยังแม่น้ำโขงที่หลวงพระบาง การขยายตัวทางธุรกิจที่รวดเร็วและการใช้เทคโนโลยีทำลายสิ่งแวดล้อมในรัฐฉานและลาวตอกย้ำความเสี่ยงที่ไทยจะต้องเผชิญในฐานะประเทศปลายน้ำ นอกจากนี้ ดร.สืบสกุลยังตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเองก็ต้องการให้ไทยเป็นฐานในการแปรรูปแร่สำคัญ เนื่องจากไทยมีแร่สำคัญ 10 ชนิด ซึ่งทำให้ไทยกลายเป็นทางผ่านของห่วงโซ่อุปทานแร่โลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ข้อเรียกร้องเพื่อความมั่นคงของประเทศ วาระแห่งการแก้ไขที่ต้นตอ

นางสาวเพียรพร ดีเทศน์ กรรมการบริหารมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ Rivers and Rights ได้เน้นย้ำว่าปัญหานี้ต้องถูกยกระดับเป็น วาระแห่งชาติ และเป็นเรื่องของความมั่นคงของประเทศ พร้อมทั้งกล่าวเตือนถึงผลกระทบในระยะยาวว่า หากต้นทางยังไม่หยุด อีก 100 ปี สารปนเปื้อนก็ยังอยู่” และการฟื้นฟูอาจใช้เวลานานถึง 100-200 ปี

จากเวทีระดมความเห็น ภาคประชาสังคมและนักวิชาการได้สรุปข้อเสนอแนะหลักที่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการลงนาม MOU กับสหรัฐฯ ในเรื่องแร่สำคัญ

  1. การแสดงความรับผิดชอบและการเจรจาข้ามพรมแดน เรียกร้องให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี แสดงความรับผิดชอบ ต่อปัญหาและดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจังทันที รัฐบาลต้องแสดงความจริงใจด้วยการ ส่งเสียงไปยังรัฐบาลเมียนมา” และใช้เวทีภูมิภาค (เช่น เวทีอาเซียน หรือเวทีระดับโลกตามข้อชี้แนะของสหประชาชาติ) ในการแก้ไขปัญหาแหล่งกำเนิดสารพิษ
  2. ระบบข้อมูลและการตรวจสอบที่โปร่งใส ต้องการระบบตรวจสอบย้อนกลับไปยัง แหล่งแร่สกปรก” ที่นำเข้าจากเมียนมา และให้จัดตั้ง ศูนย์ตรวจสารโลหะหนักประจำจังหวัดเชียงราย” เพื่อให้ชาวบ้านสามารถเข้าถึงผลตรวจที่โปร่งใสได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากปัจจุบันต้องส่งตัวอย่างไปตรวจที่กรุงเทพฯ ซึ่งใช้เวลานานถึง 1 เดือนกว่าจะรู้ผล
  3. การจัดการทรัพยากรน้ำที่ปลอดภัย เรียกร้องให้มีแผนใช้น้ำที่ปลอดภัยสำหรับการผลิตข้าวนาปรังในช่วงเดือนมกราคม 2569 สำหรับพื้นที่ 130,000 ไร่ ที่มีความเสี่ยงสูง
  4. การคัดค้านฝายดักตะกอน ยืนยันจุดยืน ไม่เอาฝายดักตะกอน” และเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนแผนงบประมาณ 173 ล้านบาทดังกล่าว เนื่องจากเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและไม่สามารถกำจัดสารพิษได้

ปัญหาการปนเปื้อนของแม่น้ำกกเป็นมากกว่าเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่เป็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและความมั่นคงของห่วงโซ่ชีวิต การที่ชุมชนยืนยันที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องสายน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตของตน โดยพร้อมใจกันคัดค้านการแก้ปัญหาเชิงประโลมจากภาครัฐ สะท้อนให้เห็นถึงความตื่นตัวและความต้องการที่จะเห็นการแก้ไขปัญหาข้ามพรมแดนอย่างจริงใจและเป็นมืออาชีพจากรัฐบาล นับเป็นความท้าทายครั้งสำคัญสำหรับประเทศไทยในการจัดการกับมลพิษข้ามพรมแดนและแสดงจุดยืนในเวทีโลกว่าจะยอมให้ไทยเป็นเพียง ทางผ่านของแร่สกปรก” ที่ทำลายอนาคตของคนในประเทศหรือไม่

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Shan Human Rights Foundation (SHRF):
  • Chifeng Jilong Gold Mining Co., Ltd. (Chifeng Gold):
  • Yicai Global:
  • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (Shan Human Rights Foundation – SHRF)
  • บริษัท ฉือเฟิงโกลด์ (Chifeng Jilong Gold Mining Co., Ltd.)
  • ดร.สืบสกุล กิจนุกร, อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • นางสาวเพียรพร ดีเทศน์, กรรมการบริหารมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ Rivers and Rights
  • นายสายัณห์ ข้ามหนึ่ง, ผู้อำนวยการสมาคมแม่น้ำนานาชาติ
  • นายกินุ เฉลิมเลี่ยมทอง, นายกสมาคมลาหู่ประเทศไทยและนานาชาติ
  • เครือข่ายสิทธิชุมชนเชียงราย และตัวแทนชุมชนผู้ได้รับผลกระทบจากลุ่มน้ำกก
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย เร่งเรือธง ผุด “ฝายแกนดินซีเมนต์” บ้านป่าอ้อ-สำรวจสะพานแม่จัน วางแผนรับมือภัยพิบัติ

อบจ.เชียงรายเดินหน้าปฏิบัติการ “7 เรือธง” ด้านน้ำและคมนาคม สร้าง “ฝายแกนดินซีเมนต์” บ้านป่าอ้อ–สำรวจสะพานแม่จัน วางระบบรับมือภัยพิบัติแบบบูรณาการ (PDOSS)

เชียงราย, 2 พฤศจิกายน 2568 — องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เร่งเครื่องนโยบาย “7 เรือธง” เน้นภารกิจด้านการบริหารจัดการน้ำและความปลอดภัยเชิงโครงสร้างพื้นฐาน โดย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ. ลงพื้นที่ บ้านป่าอ้อ หมู่ที่ 6 ตำบลนางแล อำเภอเมืองเชียงราย เปิดเวทีประชาคมชี้แจงโครงการ ฝายแกนดินซีเมนต์” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพน้ำต้นทุนในชุมชน ควบคู่กับการขยายผล PDOSS (ศูนย์บริหารจัดการสาธารณภัยแบบเบ็ดเสร็จ) ตรวจสภาพ สะพานบ้านผาตั้ง หมู่ที่ 6 และ สะพานบ้านแม่เฟือง หมู่ที่ 5 ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน โดยมีคณะผู้บริหารท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และ สำนักงานชลประทานที่ 2 จังหวัดเชียงราย ร่วมพิจารณาแนวทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน

“การสร้างฝายแกนดินซีเมนต์และระบบกักเก็บน้ำขนาดเล็กเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของชุมชน เพราะน้ำคือหัวใจของการดำรงชีวิตและเศรษฐกิจฐานราก อบจ.เชียงรายพร้อมทำงานร่วมกับชลประทานและชุมชนทุกแห่ง เพื่อให้ทุกพื้นที่มีน้ำใช้เพียงพอตลอดปี และสามารถรับมือภัยแล้งหรือน้ำหลากได้อย่างมีประสิทธิภาพ” — นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย

 “น้ำ–ทาง” สองเสาหลักของคุณภาพชีวิต ที่ต้องแก้แบบบูรณาการ

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พื้นที่เมือง–ชนบทของเชียงรายเผชิญ “ความแปรปรวนด้านอุทกภัยและภัยแล้ง” ที่วนซ้ำเป็นวงจร ทั้งจากฝนทิ้งช่วงยาวในบางฤดูกาล และฝนตกหนักเฉียบพลันในบางห้วงเวลา ผลกระทบสะเทือนตั้งแต่ระดับครัวเรือน (น้ำอุปโภคบริโภคไม่พอเพียง น้ำบาดาลตื้นคุณภาพลดลง) ไปจนถึงระดับเศรษฐกิจฐานราก (ต้นทุนเกษตรสูง ผลผลิตผันผวน) ขณะที่ด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม—โดยเฉพาะ “สะพานและทางผ่านลำห้วย” ในเขตพื้นที่เชื่อมต่อภูเขา–ที่ราบ—มักเป็นจุดเปราะบางต่อกระแสน้ำหลากและการกัดเซาะตลิ่ง

การเดินหน้าญัตติ “7 เรือธง” ของ อบจ.เชียงราย โดยดึง PDOSS เป็นกรอบกลาง จึงมิใช่โครงการแบบ “จุด–จบ–จุด” แต่คือการวาง สถาปัตยกรรมการบริหารจัดการภัยพิบัติและทรัพยากรน้ำ ที่เชื่อมโยงหน่วยงาน สะท้อนเสียงประชาชน และลงสู่การแก้ปัญหา “หน้าดินจริง–สะพานจริง–ลำห้วยจริง” เพื่อผลลัพธ์ที่จับต้องได้

เวทีประชาคมบ้านป่าอ้อ ฝายแกนดินซีเมนต์—เครื่องมือเล็กที่แก้โจทย์ใหญ่

สาระของโครงการ
ฝายแกนดินซีเมนต์ (cemented-soil core weir) เป็นโครงสร้างชลศาสตร์ขนาดเล็ก–กลาง ที่ใช้แกนดินผสมปูนซีเมนต์เพิ่มความแข็งแรงและความทนทานต่อการรั่วซึม ช่วย “หน่วง–กัก–ชะลอ” การไหลน้ำในลำห้วยย่อย ยกระดับน้ำใต้วังน้ำ–แก้มลิงธรรมชาติ เพิ่ม น้ำต้นทุน” สำหรับระบบประปาหมู่บ้าน–การเกษตรแปลงเล็ก และช่วย ลดพีกน้ำหลาก ยามฝนหนัก จุดเด่นคือ คุ้มค่า–ดูแลรักษาง่าย–เข้ากับภูมิประเทศ และสามารถวางเป็น เครือข่ายหลายจุด เพื่อกระจายประโยชน์ครอบคลุมพื้นที่รับน้ำ

การมีส่วนร่วม
การประชุมประชาคมครั้งนี้มี นายวัชระ ลิ้มวิเศษศิลป์ หัวหน้าฝ่ายก่อสร้างที่ 1 และเจ้าหน้าที่ สำนักงานชลประทานที่ 2 จังหวัดเชียงราย ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเทคนิค ตั้งแต่ตำแหน่งร่องน้ำ การคำนวณระดับสันฝาย การกำหนดปริมาณระบายน้ำ (spillway) ไปจนถึงมาตรการดูแลรักษาหลังงาน โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย—ตั้งแต่ผู้นำชุมชน เกษตรกร ไปจนถึงกลุ่มสตรีและเยาวชน—ได้สะท้อนมุมมองต่อ ภาวะน้ำแล้งปลายฤดู–น้ำหลากช่วงมรสุม” ซึ่งเป็นวงจรที่ต้องปรับ โครงสร้าง” ให้เดินควบคู่ วินัยน้ำ” ของชุมชน

เป้าหมายที่ชัดเจน

  • เพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อการอุปโภคบริโภคและเกษตร
  • ลดโอกาสเกิดน้ำหลากเฉียบพลันที่กัดเซาะคันดิน–ตลิ่ง
  • เสริมความยืดหยุ่น (resilience) ให้ระบบน้ำระดับหมู่บ้าน
  • วางต้นแบบเพื่อขยายผลเครือข่ายฝายขนาดเล็กในลำห้วยข้างเคียง

ภาพรวมนี้เสริม ยุทธศาสตร์เรือธงด้านน้ำของ อบจ. ที่ต้องการเห็น “จุดหน่วงหลายจุด–เชื่อมทั้งลำห้วย” แทนการฝากความหวังกับโครงสร้างขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียว

 

PDOSS สู่พื้นที่จริง สำรวจสะพานแม่จัน—จากจุดเสี่ยงสู่แผนแก้ไขที่วัดผลได้

ในวันเดียวกัน คณะผู้บริหาร อบจ.เชียงราย นำโดย นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน ร่วมกับ นายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น ประธานสภา อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน เพื่อตรวจสภาพสะพาน บ้านผาตั้ง (หมู่ที่ 6) และ บ้านแม่เฟือง (หมู่ที่ 5) จุดที่มีการใช้งานหนาแน่นเชื่อมหมู่บ้าน–แปลงเกษตร–สถานศึกษา และเคยรับแรงกดดันจากกระแสน้ำหลากในบางช่วงฤดู

กรอบการสำรวจ ประกอบด้วย

  • ตรวจสภาพโครงสร้างส่วนบน–ส่วนล่าง (พื้นสะพาน คาน เสา ตอม่อ)
  • ตรวจร่องรอยการกัดเซาะตลิ่ง–ฐานราก และการปะทะของท่อนซุง/วัสดุพัดพา
  • ประเมินทางน้ำไหลใต้สะพาน (hydraulic opening) เทียบกับปริมาณน้ำฝนหนัก
  • ฟังข้อมูลการใช้งานและอุบัติเหตุจากผู้นำชุมชน–ประชาชนในพื้นที่

หลักคิด PDOSS คือ “เห็น–รู้–ปฏิบัติ” ในสายเดียวกัน ตั้งแต่การสำรวจหน้างาน การคัดลำดับความเสี่ยง การวางมาตรการแก้ไข (เสริมโครงสร้าง/ป้องกันตลิ่ง/ปรับปรุงทางระบายน้ำใต้สะพาน/ติดตั้งสัญญาณเตือน) ไปจนถึงการกำหนด ตัวชี้วัด เช่น ระยะเวลาปิด–เปิดใช้งานช่วงน้ำหลาก จำนวนเหตุสะดุดการสัญจร และระดับความพึงพอใจของผู้ใช้ทาง

การเชื่อมโยง “น้ำ–คมนาคม–ความปลอดภัย” ทำไมต้องขับเคลื่อนพร้อมกัน

  1. น้ำหลาก–สะพาน หากไม่มีจุดหน่วง–กักต้นน้ำ กระแสน้ำหลากจะพุ่งเข้าจุดคอขวดใต้สะพาน เพิ่มแรงปะทะต่อโครงสร้างและกัดเซาะตลิ่ง การสร้าง “ฝายแกนดินซีเมนต์” ช่วย “ปรับกราฟน้ำหลาก” ให้ต่ำลงและยืดระยะเวลาไหล ลดความเสี่ยงสะพาน
  2. น้ำแล้ง–เศรษฐกิจครัวเรือน น้ำต้นทุนที่เสถียรช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำประปาชุมชน/สูบน้ำ ลดต้นทุนเกษตร และปลดล็อกการปลูกพืชหลังนา สร้างรายได้แฝงในฤดูแล้ง
  3. คมนาคม–การเข้าถึงบริการสาธารณะ สะพานที่ปลอดภัยลดเวลาการเดินทาง เพิ่มการเข้าถึงโรงเรียน–สถานพยาบาล ลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ และลดต้นทุนขนส่งผลผลิตเกษตร—สะท้อนกลับเป็น “รายได้สุทธิ” ของครัวเรือน

กล่าวอย่างย่อ จุดหน่วงน้ำที่ดี + สะพานที่ปลอดภัย” = คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแบบยั่งยืน และนี่คือเหตุผลที่ อบจ.เชียงราย เลือกเดินพร้อมกันทั้งสองขา ภายใต้เรือธง PDOSS

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ ความต้องการที่ชัด–เงื่อนไขความสำเร็จที่จับต้องได้

ระหว่างเวทีประชาคม มีเสียงสะท้อน 3 มิติหลักที่สอดคล้องกัน ได้แก่

  • ความพอเพียงของน้ำตลอดปี ครัวเรือนต้องการความมั่นคงของน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเกษตร โดยเฉพาะปลายฤดูแล้งที่บ่อบาดาลตื้นแห้งเร็ว
  • ความปลอดภัยโครงสร้าง ผู้ใช้เส้นทางต้องการความมั่นใจช่วงฝนหนัก—ไม่ต้องลุ้นปิดสะพาน/ทางขาด
  • การมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ชุมชนพร้อมร่วมดูแลฝาย/คู–ร่องน้ำ และเฝ้าระวังขยะ–เศษวัสดุที่กีดขวางทางน้ำ หากมีระบบ “อาสาสมัครน้ำ–สะพาน” ที่ชัดเจน

เงื่อนไขความสำเร็จจึงไม่ได้อยู่ที่ “งบ–แบบ–สเปก” เท่านั้น หากแต่รวมถึง การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (preventive maintenance) กลไกเฝ้าระวังชุมชน และ ฐานข้อมูลน้ำฝน–ระดับน้ำ ที่ชุมชนเข้าถึงได้ เพื่อให้การบริหารน้ำเป็นเรื่องของทุกคน

กรอบติดตาม–ประเมินผล (M&E) วัดผลให้ชัด เห็นผลให้เร็ว

เพื่อให้ประชาชนรับรู้ความก้าวหน้าของงาน อบจ.เชียงรายสามารถกำหนด ตัวชี้วัดเชิงปฏิบัติการ ร่วมกับชุมชนและชลประทาน อาทิ

  • ระยะเวลามีน้ำใช้อย่างต่อเนื่องในฤดูแล้ง (วัน/ปี)
  • ระดับน้ำหลากสูงสุด (peak) ใต้สะพานในปีที่มีพายุฝนเทียบกับก่อนสร้างฝาย
  • จำนวนครั้งการปิดสะพาน/จำกัดการสัญจรต่อปี
  • ค่าใช้จ่ายซ่อมฉุกเฉินโครงสร้างเทียบปีก่อนหน้า
  • ความพึงพอใจของประชาชนต่อความมั่นคงน้ำ–ความปลอดภัยทางสัญจร

การสื่อสารตัวชี้วัดเหล่านี้อย่างโปร่งใส จะ เปลี่ยนโครงการจาก “ความรู้สึกดี” เป็น “ผลลัพธ์จริง” และช่วยจัดลำดับความสำคัญการลงทุนในจุดเสี่ยงอื่น ๆ ต่อไป

มิติการขยายผล จากต้นแบบบ้านป่าอ้อ สู่เครือข่ายฝายขนาดเล็กทั้งลุ่มน้ำย่อย

หากต้นแบบบ้านป่าอ้อสัมฤทธิ์ผล อบจ.เชียงรายสามารถขยับสู่ เครือข่ายฝายแกนดินซีเมนต์หลายจุด” ตามแนวคิด หลายแกน–หลายจุด–มากผล” ในลำห้วยข้างเคียง โดยเดินคู่กับแผนบูรณะสะพาน–ป้องกันตลิ่งจุดเสี่ยงสำคัญในแม่จันและอำเภออื่น ๆ ทำให้ แผน PDOSS กลายเป็น โครงข่ายป้องกัน–หน่วง–ระบาย” ที่ทำงานสอดประสานในระดับพื้นที่จริง

ทำไม “โครงสร้างเล็ก–งบเหมาะ–ชุมชนมีส่วนร่วม” จึงตอบโจทย์ยุคความเสี่ยงสูง

  1. คุ้มค่าต่อหน่วยงบประมาณ โครงสร้างขนาดเล็กจำนวนมาก ช่วยเฉลี่ยความเสี่ยงและให้ผลลัพธ์เร็วกว่าโครงการใหญ่ที่ใช้เวลาศึกษา–ก่อสร้างนาน
  2. เสริมภูมิคุ้มกันการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เมื่อฝนหนัก–แล้งยาวเกิดถี่ขึ้น เครือข่ายฝายช่วยหน่วง–เติมน้ำได้ยืดหยุ่น
  3. เสริมทุนสังคม การมีส่วนร่วมดูแล–เฝ้าระวังของชุมชน ทำให้โครงสร้างคงสภาพดี ลดค่าใช้จ่ายซ่อมฉุกเฉินระยะยาว
  4. ข้อมูล–การเรียนรู้ ทุกจุดฝาย/สะพานคือ “สถานีเรียนรู้” ที่เก็บบทเรียน—นำไปสู่การปรับแบบที่เหมาะกับภูมิประเทศจริงของเชียงราย

 “น้ำมั่นคง–ทางปลอดภัย–ชุมชนเข้มแข็ง” ภายใต้ 7 เรือธง

การลงพื้นที่ บ้านป่าอ้อ–แม่จัน ในวันเดียวกัน สะท้อนภาพ บูรณาการบนดินจริง” ของ อบจ.เชียงราย ที่จับ “โจทย์น้ำ” และ “โจทย์ทาง” พร้อมกันในกรอบ PDOSS การผลักดัน ฝายแกนดินซีเมนต์ ไม่เพียงเพิ่มน้ำต้นทุน แต่ยังปรับเสถียรภาพทางชลศาสตร์เพื่อคุ้มครองสะพานและเส้นทางสัญจร ขณะที่การสำรวจสะพานอย่างเป็นระบบ จะต่อยอดสู่แผนเสริมความปลอดภัยที่วัดผล–สื่อสารได้

สาระสำคัญคือ การเดินงานต่อเนื่อง จากประชาคม–ออกแบบ–ก่อสร้าง–ดูแลรักษา–ติดตามประเมินผล—โดยมีประชาชน “ร่วมถือหางเสือ” เคียงข้างหน่วยงานรัฐ เมื่อทุกภาคส่วนเดินไปในทิศเดียวกัน น้ำ–ทาง–ชีวิต” ของเชียงรายจะไม่ใช่เรื่องของโชคชะตาอีกต่อไป แต่เป็น ผลลัพธ์ของการออกแบบร่วมกัน

แก่นของ “7 เรือธง” จึงไม่ใช่คำขวัญ แต่คือ กลไกเปลี่ยนโครงสร้างความเสี่ยงให้กลายเป็นความมั่นคง ด้วยโครงการที่พอเหมาะ พอดี พึ่งพาตนเองได้ และต่อยอดได้จริง

ไทม์ไลน์เหตุการณ์ (สรุปประเด็นสำคัญ)

  • 2 พ.ย. 2568 (เช้า–บ่าย) เวทีประชาคม บ้านป่าอ้อ หมู่ 6 ต.นางแล อ.เมืองเชียงราย ชี้แจงโครงการ ฝายแกนดินซีเมนต์ รับฟังความเห็นประชาชนและข้อเสนอจาก สำนักงานชลประทานที่ 2
  • 2 พ.ย. 2568 (บ่าย–เย็น) คณะผู้บริหาร อบจ.เชียงราย ลงพื้นที่ ต.ป่าตึง อ.แม่จัน ตรวจสภาพ สะพานบ้านผาตั้ง (ม.6) และ สะพานบ้านแม่เฟือง (ม.5) ประเมินความเสี่ยง–กำหนดแนวแก้ไขเบื้องต้น
  • ระยะถัดไป จัดทำแบบ–ถอดรายการ–จัดลำดับความเร่งด่วน–กำหนด ตัวชี้วัด M&E ร่วมกับชุมชน และจัดตารางรายงานความคืบหน้าโปร่งใส

 

ข่าวชิ้นนี้เรียบเรียงเชิงกลางตามมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน โดยอาศัยข้อมูลและถ้อยแถลงที่มาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ การนำเสนอเชื่อมโยง นโยบาย 7 เรือธง–กรอบ PDOSS–โครงสร้างฝายแกนดินซีเมนต์–การสำรวจสะพาน เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ “เหตุ–ผล–ผลลัพธ์คาดหมาย” อย่างต่อเนื่องและตรวจสอบได้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักงานชลประทานที่ 2 จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

3 ทางคู่ขนานสู่ทางรอด! อบจ.เชียงรายเร่งสำรวจ-อนุญาต-ขุดลอก ลำน้ำจันก่อนฤดูฝนหน้า

นายก อบจ.เชียงราย สั่งเร่งเครื่อง “ปลดล็อกลำน้ำจัน” แม่จัน—ป่าตึง แก้น้ำท่วมซ้ำซากด้วย 3 ทางคู่ขนาน สำรวจ-อนุญาต-ขุดลอกตามกฎหมาย

เชียงราย, 23 ตุลาคม 2568สัญญาณจากลุ่มน้ำที่ไม่เคยเงียบ ลำน้ำจันในอำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ไม่ใช่เพียงเส้นน้ำที่ไหลผ่านทุ่งนาและชุมชน หากแต่เป็น “เส้นเลือด” ของเศรษฐกิจฐานราก—ตั้งแต่ข้าวไร่ ข้าวนา ไปจนถึงเส้นทางสัญจรและโครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่น ทุกครั้งที่ฝนหลงฤดูกาลหรือลมมรสุมทวีแรง ระดับน้ำในลำน้ำจันขยับขึ้นอย่างฉับพลัน ภาพน้ำเอ่อสองฝั่งและข่าวสะพานขาดจึงปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกลายเป็น “เรื่องเล่าประจำฤดู” ของแม่จันและตำบลป่าตึง โดยเฉพาะเหตุการณ์ท่วมฉับพลันหลายครั้งในช่วงปี 2566–2568 ที่ย้ำเตือนให้หน่วยงานรัฐต้องลงมือแก้ที่ “ต้นเหตุ” มากกว่าไล่ปิดจุดเสี่ยงทีละจุดในนาทีสุดท้ายของวิกฤต และยิ่งเมื่อลำน้ำแม่จัน—เครือข่ายเดียวกับลำน้ำจัน—เป็นหนึ่งในลุ่มน้ำสำคัญของเชียงราย ความชัดเจนด้าน “แผนงาน–อำนาจ–กฎหมาย” จึงต้องมาก่อนเครื่องจักรกลหนักเสมอ

อบจ.เชียงรายประกาศวาระเร่งด่วน “ลำน้ำจัน”

วันที่ 22 ตุลาคม 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย มอบหมายให้นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ. พร้อมนายประเสริฐ ชุ่มเมืองเย็น ประธานสภา อบจ. นำทีมลงพื้นที่ตรวจสอบลำน้ำจัน ตำบลป่าตึง อำเภอแม่จัน รับฟังข้อเท็จจริงจากผู้นำท้องที่–ท้องถิ่น และประชาชน โดยสรุปสาเหตุหลักของปัญหาว่า “ทางน้ำตื้นเขินจากตะกอนดินทับถมและวัชพืชหนาแน่น” ขณะที่การเข้าเครื่องจักรขุดลอกติดข้อจำกัดเชิงกฎหมาย เพราะแนวลำน้ำบางตอนทับซ้อนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และเป็นทางน้ำที่อยู่ในความดูแลของกรมเจ้าท่า (สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย) จึงต้องดำเนินการ “ขออนุญาตตามขั้นตอน” ก่อนทุกครั้ง. (ถ้อยแถลง/สรุปสาระจากการลงพื้นที่)

ประเด็นนี้ไม่ใช่ข้ออ้าง หากแต่เป็น “ข้อเท็จจริงทางกฎหมาย” ที่ทุกหน่วยในสนามต้องยึดถือการปรับปรุงลำน้ำ–ขุดลอกในทางน้ำสาธารณะอยู่ภายใต้ระเบียบกรมเจ้าท่า และเมื่อแนวลำน้ำพาดผ่านเขตป่าสงวนแห่งชาติ งานดังกล่าวต้องสอดคล้องกับกฎหมายป่าสงวนฯ และหลักเกณฑ์อนุญาตใช้ประโยชน์ในเขตป่าโดยเคร่งครัด

ภูมิทัศน์ภัยเสี่ยงลำน้ำตื้นเขิน–วัชพืชหนาแน่น–ฝนหลากเร็ว

ชุมชนริมลำน้ำจันและลุ่มน้ำแม่จันรู้ซึ้งดีว่า “ความเสี่ยงเกิดไว” แค่ฝนต่อเนื่องไม่กี่ชั่วโมง น้ำป่าไหลหลากก็ทวีแรง เกิดน้ำเอ่อสองฝั่ง กระทบพื้นที่อยู่อาศัย–ถนน–สะพาน และพื้นที่เกษตร ข้อมูลข่าวและคลิปเหตุการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมา สะท้อนรูปแบบภัยซ้ำระดับน้ำขึ้นรวดเร็วในเวลากลางคืน ก่อนลดลงในชั่วโมงถัดมา ทิ้งโคลนตมและความเสียหายไว้เบื้องหลัง ขณะเดียวกัน สะพานและจุดข้ามที่เป็น “คอขวด” กลับยิ่งเปราะบางเมื่อทางน้ำตื้นเขิน เพราะแรงดันน้ำกระแทกโครงสร้างโดยตรงในช่วงพีก

นอกจากนี้ จุดวัดระดับน้ำใกล้สะพานบ้านป่าตึงในแม่จัน ซึ่งเผยแพร่ค่าระดับเตือนภัย–วิกฤตอย่างสม่ำเสมอ ยังชี้ให้เห็น “กระพือคลื่นระดับน้ำ” ในบางเหตุการณ์ ที่ระดับน้ำไต่เส้นเตือนภัยอย่างฉับพลัน ขีดเส้นใต้ข้อเท็จจริงว่า การรู้เท่าทันสถานการณ์แบบเรียลไทม์ และการเพิ่ม “ความสามารถระบายน้ำ” ในทางน้ำหลัก คือเงื่อนไขขั้นต่ำในการลดความเสียหายซ้ำรอบ

โครงสร้างกฎหมายทำไม “มีรถ–มีแบ็กโฮ” แต่ยังลงมือไม่ได้

1) ทางน้ำสาธารณะในกำกับกรมเจ้าท่า
ระเบียบและหลักเกณฑ์ของกรมเจ้าท่ากำหนดชัดว่า งานขุดลอกเพื่อดูแลรักษาสภาพลำน้ำ–ลำคลอง–แม่น้ำ ต้อง “ขออนุญาตเป็นหนังสือ” แนบแบบคำขอ รายละเอียดแนวขุดลอก ปริมาณวัสดุ วิธีขนย้าย–ทิ้งกอง และหนังสือยินยอมของเจ้าของที่ดินกรณีนำวัสดุขึ้นฝั่ง รวมถึงเอกสารสิ่งล่วงล้ำลำน้ำที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดนี้เพื่อป้องกันผลกระทบต่อการไหล–การเดินเรือ–ความปลอดภัย และสิ่งแวดล้อมลำน้ำ

2) เขตป่าสงวนแห่งชาติในกำกับกรมป่าไม้
เมื่อแนวลำน้ำบางช่วงทับซ้อนเขตป่าสงวนฯ การเข้าดำเนินการต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ และหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนกำหนด อนุญาตเป็นรายกรณี–ตามวัตถุประสงค์–ตามช่วงเวลา และเงื่อนไขลดผลกระทบต่อทรัพยากร ก่อนจะเดินหน้าเครื่องจักรได้จริง

3) หลักคิด “กฎหมายก่อนเครื่องจักร”
สำหรับท้องถิ่น หลักคิดนี้หมายความว่า แม้องค์กรจะพร้อมด้วยเครื่องจักรและคน แต่หากยังไม่ “เคลียร์อำนาจและอนุญาต” ทุกฟันเฟืองก็ขยับไม่ได้ เพราะการขุดลอกโดยมิชอบอาจก่อผลกระทบข้ามเขต ทั้งตลิ่งพัง–ตะกอนไหล–รุกล้ำตลิ่งสาธารณะ และอาจเป็นความผิดตามหลายกฎหมายพร้อมกัน

เสียงจากสนามคำย้ำชัดของรองนายก อบจ.เชียงราย

นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย ให้ข้อมูลหลังลงพื้นที่ว่า “เครื่องจักร อบจ. พร้อมเข้าทำงาน แต่ ณ ตอนนี้ยังเข้าเครื่องจักรไม่ได้ เพราะต้องรอการอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาเชียงราย และกรมป่าไม้ เพื่อให้ทุกขั้นตอนถูกต้องตามระเบียบ” พร้อมมอบหมายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5 แห่งในแนวลำน้ำที่ได้รับผลกระทบร่วมกัน “เร่งจัดทำคำขอ–แผนที่สังเขป–แนวขุดลอก–จุดทิ้งตะกอน และเอกสารแนบ” เพื่อยื่นขออนุญาตให้ทัน “ช่วงฤดูแล้ง” ซึ่งเป็นหน้าต่างเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานในลำน้ำ

สาระสำคัญของถ้อยแถลงนี้ชี้เป้าไปที่ “การจัดการเชิงระบบ” มากกว่าการแก้จุดเฉพาะหน้า เพราะถ้าเอกสารไม่ครบหรือเสนอไม่ตรงตามหลักเกณฑ์ งานจะสะดุดตั้งแต่ชั้นพิจารณา และฤดูฝนรอบใหม่อาจมาถึงก่อนที่เครื่องจักรจะได้แตะตลิ่ง

จากข้อมูลสู่แผน3 ทางคู่ขนาน “สำรวจ–อนุญาต–ขุดลอก”

ทางที่ 1: สำรวจ–ออกแบบเชิงชลศาสตร์
เริ่มจากสำรวจความกว้าง–ลึก–ความลาดเอียงของท้องน้ำ ระบุ “คอขวดไฮดรอลิก” ที่เกิดจากตะกอน–ผักตบ–ไม้ล้ม–สิ่งปลูกสร้างที่ล่วงล้ำ กำหนดระยะขุดลอกและแนวตัดแต่งพืชน้ำแบบมี “บัฟเฟอร์โซน” รักษาตลิ่ง ลดการพังทลาย พร้อมกำหนดจุดพักตะกอน–จุดทิ้งกอง และเส้นทางขนย้ายที่ไม่ผ่านพื้นที่อ่อนไหว

ทางที่ 2: อนุญาต–เคลียร์กฎหมาย
ยื่นคำขอขุดลอกตามแบบของกรมเจ้าท่า (แบบ ข.1) แนบเอกสารให้ครบถ้วน รวมถึงหนังสือยินยอมพื้นที่ทิ้งกอง วางแผนเวลา–วิธีการทำงานในเขตป่าสงวนฯ ตามกรอบของกรมป่าไม้ ทำ TOR และมาตรการป้องกันผลกระทบ (เช่น ควบคุมขุ่น–ป้องกันตลิ่งพัง–จัดการตะกอน) ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เพื่อให้ฝ่ายอนุญาตพิจารณาได้เร็วและเชื่อมั่นได้

ทางที่ 3: ขุดลอก–บำรุงรักษาต่อเนื่อง
เมื่อได้รับใบอนุญาต ให้เข้าดำเนินการในฤดูแล้ง ลดความเสี่ยงน้ำหลาก ระบุ “ช่วงยกระดับมาตรฐาน” เช่น ตัดวัชพืชซ้ำทุก 3–6 เดือน ในจุดที่เป็นคอขวด ติดตามระดับความลึกหลังขุดลอก พร้อมระบบรายงานผล–โปร่งใส เปิดเผยแก่สาธารณะ

ทำไม “ฤดูแล้ง” คือหน้าต่างเวลา

งานในลำน้ำระหว่างฤดูแล้งช่วยลดผลกระทบ 3 ประการ หนึ่ง ลดความเสี่ยงน้ำขุ่นและตะกอนเคลื่อนย้ายลงท้ายน้ำ สอง เครื่องจักรทำงานได้ปลอดภัยและแม่นจุดมากขึ้น สาม เปิดพื้นที่ท้องน้ำให้พร้อมรับปริมาณน้ำช่วงต้นฤดูฝน ทั้งหมดสอดคล้องกับแนวทางของกรมเจ้าท่าที่ให้ความสำคัญต่อการดูแลสภาพลำน้ำเพื่อการเดินเรือ–ป้องกันอุทกภัย–และความปลอดภัยสาธารณะ

มิติสังคม–เศรษฐกิจ เม็ดเงินซ่อมสะพาน vs งบป้องกัน

เมื่อสะพานหรือถนนได้รับผลกระทบจากน้ำหลาก งบซ่อมบำรุงมักสูงและใช้เวลานาน ขณะที่การ “เพิ่มความสามารถระบายน้ำ” ตั้งแต่ต้นทางผ่านการขุดลอกตามหลักวิศวกรรม และการจัดระเบียบสิ่งล่วงล้ำลำน้ำตามกฎหมาย อาจใช้งบน้อยกว่าและสร้างผลคุ้มค่าในระยะกลาง–ยาว ที่สำคัญคือคืน “ความมั่นใจ” ให้ประชาชนและผู้ประกอบการ เพราะการคาดการณ์เส้นระดับน้ำในเหตุการณ์ฝนหนักจะดีขึ้น เมื่อช่องทางน้ำไม่ถูกหรี่ด้วยตะกอนและวัชพืช

รู้จักเครือข่ายลำน้ำ  “น้ำแม่จัน–น้ำจันน้อย–ลำน้ำจัน”

ฐานภูมิศาสตร์บอกเราว่า น้ำแม่จันมีสาขาสำคัญหลายเส้น รวมทั้งน้ำจันน้อย และไหลผ่านตำบลป่าตึงก่อนลงสู่พื้นที่ปลายน้ำในเชียงแสน ความยาวลำน้ำราว 86 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำราว 236 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็น “แหล่งปลูกข้าวสำคัญ” ของเชียงราย โจทย์น้ำท่วมในแม่จัน–ป่าตึง จึงไม่ใช่เรื่องเฉพาะหมู่บ้าน แต่กระทบเครือข่ายเศรษฐกิจทั้งลุ่มน้ำ หากบริหารจัดการได้ดี ผลลัพธ์จะสะท้อนกลับเป็น “เสถียรภาพรายได้” ของครัวเรือนเกษตรจำนวนมาก

หลักฐานภาคสนาม ร่องรอยเหตุการณ์ซ้ำ–ข้อมูลเตือนภัย

ข่าวและรายงานภาคสนามต่อเนื่องในช่วงพายุฝน ปี 2566–2567–2568 ยืนยันภาพ “น้ำหลากฉับพลัน” ในแม่จันและป่าตึง แม้ทรัพย์สินเสียหายไม่รุนแรงในบางครั้ง แต่จุดวิกฤตอย่างสะพานเหล็กข้ามลำน้ำจันเคยถูกน้ำพัดขาด ขณะเดียวกัน จุดวัดระดับน้ำในป่าตึงมีเกณฑ์เตือนภัย–วิกฤตชัดเจนให้ติดตามแบบเรียลไทม์ ซึ่งหน่วยงานท้องถิ่นและประชาชนควรใช้เป็น “เรดาร์ร่วม” เพื่อกำหนดขั้นปฏิบัติการอพยพ–ปิดจุดเสี่ยง–และเปิดทางน้ำทดแทนในระยะสั้น.

แนวทางปฏิบัติ (เช็กลิสต์) สำหรับท้องถิ่น 5 องค์กรในแนวลำน้ำ

  1. ตั้ง “คณะทำงานเอกสารอนุญาต” ร่วมกับ อบจ.–สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค–หน่วยป่าไม้ ระบุแนวขุดลอก–จุดทิ้งตะกอน–บัฟเฟอร์โซนตลิ่งให้ชัด
  2. ใช้ “ข้อมูลระดับน้ำ” จากสถานีป่าตึงและจุดใกล้เคียง เป็นฐานออกแบบทางชลศาสตร์และกำหนดช่วงเวลาทำงาน
  3. จัดทำ “แผนที่สิ่งล่วงล้ำลำน้ำ” แบบเปิดเผย—ท่าเทียบเรือ ท่อ–คู–คลองเชื่อม เสา–สะพาน พร้อมแผนรื้อเฉพาะที่จำเป็นตามกฎหมาย
  4. กำหนด “มาตรการสิ่งแวดล้อม” เฉพาะจุด เช่น ผ้ากรอง–บ่อดักตะกอน–เสริมตลิ่งแบบนุ่ม ลดการพังทลายหลังขุด
  5. ออกแบบ “ปฏิทินบำรุงรักษา” ตัดวัชพืชซ้ำ–กำจัดตะกอนคอขวดทุก 3–6 เดือน โดยรายงานต่อสาธารณะ

เสียงประชาชนต้องมากับ “ข้อมูลที่จับต้องได้”

ความเชื่อมั่นของชุมชนไม่ได้เกิดจากรถแบ็กโฮที่ลงทำงานเท่านั้น แต่อยู่ที่ “ข้อมูล–กติกา–ความโปร่งใส” เช่น ป้ายประชาสัมพันธ์หน้าพื้นที่ทำงาน แสดงแผนที่แนวขุด–ปริมาณตะกอน–ช่วงเวลา–ผู้รับผิดชอบ–เลขที่ใบอนุญาตกรมเจ้าท่า–เลขที่อนุญาตเขตป่าสงวนฯ และช่องทางร้องเรียน เมื่อประชาชนเห็นกระบวนการครบถ้วน จะพร้อมเป็น “ผู้ร่วมเฝ้าระวัง” มากกว่าเป็นเพียง “ผู้ถูกกระทบ”

 “ฤดูแล้งนี้” คือความท้าทาย

ถ้าทุกเอกสารสามารถยื่นและพิจารณาได้ทันฤดูแล้งปีนี้ โอกาสแก้คอขวดไฮดรอลิกในช่วงสำคัญของลำน้ำจันจะสูงขึ้นมาก ระดับน้ำพีกในฤดูฝนถัดไปมีแนวโน้มลดลง และความเสียหายต่อสะพาน–ถนน–พื้นที่เกษตรจะลดความถี่ลง แต่หากเอกสารสะดุดหรือติดเงื่อนไขพื้นที่ซับซ้อน งานขุดลอกอาจต้องเลื่อนไป ซึ่งหมายถึง “ต้นทุนเวลา” ที่ชุมชนต้องแบกรับ

กฎหมาย–เครื่องจักร–ชุมชน ต้องเดินพร้อมกัน

กรณีลำน้ำจัน ป่าตึง–แม่จัน คือบทพิสูจน์ของการบริหารจัดการเชิงบูรณาการ อบจ.เป็นแม่งานประสาน เชื่อม 5 ท้องถิ่นให้ยื่นอนุญาตเร็ว กรมเจ้าท่ากำกับตามหลักวิชาชีพและความปลอดภัยทางน้ำ กรมป่าไม้สร้างสมดุลการใช้ประโยชน์–การอนุรักษ์ ขณะที่ชุมชนช่วยเฝ้าระวัง–แจ้งเตือนและร่วมดูแลตลิ่ง หาก “เอกสาร–วิศวกรรม–การมีส่วนร่วม” เดินทันฤดูแล้ง เครื่องจักรจะได้ลงทำงานอย่างถูกต้อง และฤดูฝนหน้าจะไม่เป็น “ฤดูซ้ำรอย” อีกต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • กฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

อบจ.เชียงราย ซ่อมคันอ่างเก็บน้ำห้วยสักทันที เดินเครื่องนโยบาย “กระจายเครื่องจักรกลสู่ชุมชน”

อบจ.เชียงรายเร่งซ่อม “คันอ่างเก็บน้ำห้วยสัก” หลังเสียหาย เดินเครื่องนโยบาย “กระจายเครื่องจักรกลสู่ชุมชน” บรรเทาความเดือดร้อนเกษตรกร–ชาวบ้าน ต่อยอดสู่แผนฟื้นฟูเชิงระบบก่อนฤดูแล้ง

เชียงราย, 14 ตุลาคม 2568 — เช้าวันอังคารที่ตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย จุดรวมสายตาคือ “คันอ่างเก็บน้ำห้วยสัก” ที่ เกิดการขาดและชำรุดบางส่วน จนถูกประกาศให้เป็นพื้นที่เร่งซ่อมทันที หลังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย รับรายงานสถานการณ์และสั่งการลงพื้นที่ สำรวจ–ประเมิน–แก้ไข แบบ “บูรณาการหน่วยงาน” ตามนโยบาย “7 เรือธง” โดยย้ำหัวใจข้อที่ 1 คือ กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน” เพื่อให้ความช่วยเหลือถึงมือประชาชนอย่างรวดเร็วและตรงจุด

ภาพแรกที่เห็นไม่ใช่เพียงร่องดินแตกร้าวของคันอ่าง หากคือเงาสะท้อนของ “ระบบน้ำ” ที่หล่อเลี้ยง นาข้าว แปลงพืชผักสวนครัว และน้ำอุปโภคบริโภค ของครัวเรือนใกล้เคียง ซึ่งถ้าการชำรุดลุกลามหรือซ่อมล่าช้า อาจกลายเป็น ความเสี่ยงซ้อน ต่อความมั่นคงน้ำในช่วง ปลายฤดูฝน–ต้นฤดูแล้ง ที่กำลังมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 “คันอ่างขาด–ชำรุด” และแรงกระทบเชิงพื้นที่

ข้อเท็จจริงจากภาคสนาม ระบุว่า คันอ่างเก็บน้ำห้วยสักเกิดการขาดและชำรุดบางส่วน ส่งผลกระทบต่อการกักเก็บและส่งน้ำสำหรับ พื้นที่การเกษตร รอบอ่าง รวมถึง น้ำเพื่ออุปโภคบริโภค ของชุมชนใกล้เคียง เหตุการณ์นี้ถูกประเมินให้เป็น ภารกิจเร่งด่วน ด้วยเหตุผลสำคัญ 3 ประการ

  1. ลดความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง ถ้ารอยขาด–ชำรุดขยายตัว อาจกระทบเสถียรภาพคันอ่างเป็นวงกว้างขึ้น
  2. ป้องกันการสูญเสียน้ำ ฐานสำคัญต่อฤดูกาลเพาะปลูกถัดไป แม้การรั่วซึมเพียงบางส่วนก็ทำให้เกิดการสูญเสียเชิงปริมาณในระยะยาว
  3. คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานด้านน้ำ น้ำสะอาดสำหรับครัวเรือนคือบริการสาธารณะ ที่รัฐท้องถิ่นต้องประกันความต่อเนื่อง

ความเสียหายครั้งนี้จึงไม่ใช่ “งานโครงสร้างธรรมดา” แต่คือ “งานคุ้มครองความเป็นอยู่” ของประชาชนแบบเป็นรูปธรรม

สั่งการฉับไว ปฏิบัติการ “กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากร” ลงพื้นที่จริง

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย มอบหมายให้ นายจิราวุฒิ แก้วเขื่อน รองนายก อบจ.เชียงราย นำคณะปฏิบัติการลงพื้นที่ร่วมกับ สำนักช่าง อบจ.เชียงราย, สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย), ผู้บริหารเทศบาลตำบลท่าสุด, ผู้นำท้องที่–ท้องถิ่น และ ตัวแทนประชาชน เพื่อสำรวจจุดชำรุด กำหนดแนวทางแก้ไข และ นำเครื่องจักรกลหนักเข้าพื้นที่ทันที ยืนยันเจตนารมณ์ อยู่เคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์” โดยเน้น 4 ยุทธวิธีภาคสนามที่ทำคู่ขนานกันอย่างเป็นระบบ

  1. ปักหมุดจุดวิกฤต (Critical Points) ระบุแนวคันอ่างที่เสียหาย จุดเริ่ม–จุดสิ้นสุด ระดับความลึก–ความกว้างของรอยขาด และความเสี่ยงต่อโครงสร้างข้างเคียง
  2. เสริมเสถียรภาพชั่วคราว (Temporary Stabilization) วาง บิ๊กแบ็ก–ดินถมคัดขนาด–หินคลุก ลดแรงน้ำและยึดขอบคันไม่ให้ขยายวง
  3. เชื่อมต่อการใช้งาน (Functional Reconnection) เมื่อคันอ่างกลับมามีเสถียรภาพเบื้องต้น เร่งจัดการ จุดส่งน้ำหลัก ให้สามารถทำงานต่อเนื่อง เพื่อลดผลกระทบต่อเกษตรกร
  4. วางแผนซ่อมถาวร (Permanent Repair Plan) เก็บข้อมูลธรณี–อุทกวิทยาหน้างาน เพื่อนำไปออกแบบ คันอ่างเสริม–ระบบระบายน้ำดาดคอนกรีต–ชั้นกรอง ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่

แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับ นโยบาย “7 เรือธง อบจ.เชียงราย” โดยเฉพาะ เรือธงที่ 1 “กระจายเครื่องจักรกลและบุคลากรสู่ชุมชน” ที่มุ่งให้ทีมเครื่องจักร–ช่างเทคนิคของ อบจ. เข้าถึงจุดวิกฤตเร็ว–แก้ปัญหาได้ตรงจุด–และลดเวลาหยุดชะงักของบริการสาธารณะ ในพื้นที่จริง

เหตุใด “ความเร็ว” จึงสำคัญในงานซ่อมคันอ่าง

หนึ่งวันที่ล่าช้า อาจเท่ากับ ปริมาณน้ำที่สูญเสีย หลายหมื่น–แสนลูกบาศก์เมตร ขึ้นกับขนาดรอยรั่วและสภาพภูมิประเทศ ยิ่งในช่วงรอยต่อฤดูกาล ปลายฝน–ต้นแล้ง น้ำทุกลูกบาศก์เมตรมีค่าต่อการเพาะปลูกและการใช้น้ำในครัวเรือน การยื้อเวลาให้ระบบกลับมาทำงาน เร็วที่สุดเท่าที่ปลอดภัย จึงเป็นตัวชี้วัด “ประสิทธิภาพเชิงนโยบาย” อย่างแท้จริง

นอกจากนั้น ความเร็ว ยังมีนัยต่อ ความเชื่อมั่นของประชาชน ยิ่งเมื่อชาวบ้าน “เห็น–ได้ยิน–สัมผัสได้” ว่ามีเครื่องจักรและคนของรัฐท้องถิ่นเข้ามาอยู่หน้างานอย่างจริงจัง ความกังวลย่อมลดลง และการมีส่วนร่วมของชุมชนในการเฝ้าระวัง–แจ้งเตือน–สนับสนุนการทำงานก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ

แจกบท–จับมือ–ทำงานคนละส่วน ลดซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพ

การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้มีแต่เครื่องจักรและช่างเทคนิคของ อบจ. หากยังมี สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย) ที่ช่วยประสานข้อจำกัดด้านพื้นที่ป่าและแนวเขต, เทศบาลตำบลท่าสุด ที่สนับสนุนด้านการสื่อสารกับชุมชนและการจัดระเบียบพื้นที่ปฏิบัติการ, ขณะที่ ผู้นำท้องที่–ตัวแทนประชาชน เติมข้อมูลประวัติระดับน้ำ–ทิศทางไหล–พฤติการณ์น้ำหลากในอดีต ซึ่งช่วยให้การวิเคราะห์หน้างาน แม่นยำกว่าอ่านแผนที่ และลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจโดยอิงแบบจำลองอย่างเดียว

รูปแบบการทำงานเช่นนี้สะท้อน ธรรมาภิบาลเชิงปฏิบัติ ทุกหน่วย มีบท–มีข้อมูล–มีอำนาจตัดสินใจเท่าที่จำเป็น เพื่อให้การแก้ปัญหาเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุดกับขั้นตอนที่ซ้ำซ้อน

จากฉุกเฉินสู่ยั่งยืน แผนซ่อมถาวรและยกระดับ “ความแกร่ง” ของคันอ่าง

แม้การเสริมชั่วคราวจะคืนฟังก์ชันอ่างเก็บน้ำได้ในระดับหนึ่ง แต่ ซ่อมถาวร คือเป้าหมายที่ต้องเดินหน้าโดยเร็ว แกนหลักของงานระยะกลาง–ยาว มีอย่างน้อย 5 ประเด็น

  1. ตรวจโครงสร้างอย่างละเอียด (Detailed Inspection)
    สำรวจชั้นดิน–ชั้นกรวด–ค่าสัมประสิทธิ์การซึมผ่าน (Permeability) และพฤติกรรมฐานรากของคันอ่าง เพื่อออกแบบการซ่อมให้เหมาะสม ไม่ “ซ่อมเฉพาะหน้า” จนปัญหากลับมา
  2. ออกแบบระบบระบายน้ำ (Drainage & Relief)
    ติดตั้งท่อระบายน้ำ (Toe Drain)–ชั้นกรอง (Filter)–หินเรียง (Riprap) เพื่อป้องกัน Piping และการพังทลายจากแรงน้ำและฝนหนักในอนาคต
  3. เสริมคันอ่าง–ผิวดาด (Slope Protection)
    เลือกวัสดุและมุมลาดที่เหมาะกับสภาพฝน–ดินของพื้นที่ บางช่วงอาจใช้ ดาดคอนกรีต/หินเรียง ลดการกัดเซาะ โดยไม่ขัดกับระบอบนิเวศท้องถิ่น
  4. อุปกรณ์ตรวจ–เตือน (Monitoring & Early Warning)
    ติดตั้ง Staff Gauge (ไม้เกาะระดับน้ำ)–จุดสังเกตรอยร้าว–กล้องวงจร–เซนเซอร์น้ำฝนในพื้นที่ชุมชน เพื่อให้ ตาชาวบ้าน” กับ ตาเทคโนโลยี” ทำงานร่วมกัน
  5. คู่มือบำรุงรักษา (O&M Manual)
    ทำตารางตรวจรอบเดือน/ไตรมาส/ก่อน–หลังฤดูฝน พร้อมแบบฟอร์มรายงานที่ลดภาระเอกสาร แต่ส่งสัญญาณไปถึงผู้เกี่ยวข้อง เร็ว–ครบ–ตรวจสอบย้อนกลับได้

แนวทางดังกล่าวจะเปลี่ยน “งานซ่อมครั้งนี้” ให้เป็น “มาตรฐานใหม่” ของการดูแลอ่างเก็บน้ำระดับชุมชนในจังหวัดเชียงราย

มุมเกษตรกร–ชุมชน ทำไม “น้ำ” คือเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจฐานราก

สำหรับเกษตรกรในตำบลท่าสุดและพื้นที่ใกล้เคียง อ่างเก็บน้ำห้วยสักไม่เพียงช่วยให้ ฤดูกาลเพาะปลูกเดินต่อได้ หากยังเป็นหลักประกันต่อ รายได้สม่ำเสมอ ของครัวเรือน ทั้งข้าวและพืชผักสวนครัว รวมถึงปศุสัตว์บางส่วนที่ต้องการน้ำประปากลางจากแหล่งต้นทางที่มั่นคง

เมื่อคันอ่างชำรุด การชะลอส่งน้ำแม้เพียง 1–2 สัปดาห์ อาจแปลเป็น ค่าเสียโอกาส ที่เพิ่มสูงในช่วงรอยต่อฤดู ยิ่งหากเกิด คลื่นความร้อน–ฝนทิ้งช่วง ในปีหน้า การมีน้ำสำรองที่เพียงพอจะลดความเสี่ยงของ ผลผลิตเสียหาย ที่มักเกิดแบบรวดเร็วและยากต่อการเยียวยาทีหลัง

ความเคลื่อนไหวของ อบจ.เชียงราย ที่ ลงมือทันที” จึงไม่ใช่เพียงภาพลักษณ์ของรัฐท้องถิ่นที่คล่องตัว แต่เป็น กันชนทางเศรษฐกิจ ให้ครัวเรือนฐานรากในทางปฏิบัติ

เปิดข้อมูล–เปิดหน้างาน–เปิดการมีส่วนร่วม

วิกฤตโครงสร้างสาธารณะบอกเราว่า ข้อมูลที่ดี” สร้าง พลังร่วม” ได้มากแค่ไหน อบจ.เชียงรายสามารถต่อยอดการลงพื้นที่ครั้งนี้ ด้วยการสื่อสารเชิงรุก 3 ระดับ

  • หน้างาน ป้ายข้อมูลสั้น ๆ ณ จุดซ่อม ระบุ “อะไร–ทำไม–ทำอย่างไร–เสร็จเมื่อใด” เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เข้าใจภาพรวม
  • ออนไลน์ อัปเดตความคืบหน้าเป็นช่วง ๆ ผ่านช่องทางทางการของ อบจ., เทศบาลตำบลท่าสุด และเครือข่ายชุมชน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียติดตามความคืบหน้าได้
  • เวทีชุมชน เมื่อเข้าสู่ระยะออกแบบซ่อมถาวร จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นเรื่องแนวทาง–ผลกระทบ–มาตรการป้องกันฝุ่น–เสียง–เวลาเข้าพื้นที่ของเครื่องจักร เพื่อให้ชาวบ้านร่วมกำหนดเงื่อนไขการทำงาน

การ “เปิดข้อมูล” จะช่วยลดข่าวลือ–ข้อกังวล และเปลี่ยนชาวบ้านจาก “ผู้รับผล” เป็น “หุ้นส่วน” ของงานซ่อม

สิ่งที่ประชาชนทำได้ทันที เฝ้าระวัง–แจ้งเหตุ–ร่วมดูแล

  1. แจ้งเหตุผิดปกติ เช่น น้ำขุ่นจัด–ตลิ่งกัดเซาะ–เสียงน้ำไหลผิดธรรมชาติ ผ่านช่องทางของ อบจ. หรือเทศบาลตำบลท่าสุด
  2. เว้นระยะปลอดภัย ขณะเครื่องจักรทำงาน ไม่ลงเล่นน้ำ–ไม่จอดรถกีดขวางแนวขนส่งวัสดุ
  3. รณรงค์ขยะต้นทาง หลีกเลี่ยงทิ้งขยะลงลำห้วย–คูน้ำ เพราะจะอุดตันท่อระบาย–รางน้ำ และซ้ำเติมรอยชำรุด

เครือข่ายภาคประชาชนที่เข้มแข็ง คือ ด่านหน้า” ของการดูแลโครงสร้างพื้นฐานน้ำให้คงประสิทธิภาพหลังการซ่อม

เชื่อมโยงนโยบาย “7 เรือธง อบจ.เชียงราย” ในมิติความมั่นคงน้ำชุมชน

แม้ในรายละเอียด “7 เรือธง” ครอบคลุมหลายด้านของการพัฒนาจังหวัด แต่กรณี อ่างเก็บน้ำห้วยสัก ทำให้เห็นภาพชัดเจนของเรือธงที่ 1 ว่า กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากร” ไม่ใช่สโลแกน หากเป็น ความสามารถเชิงปฏิบัติการ ที่ย่นระยะจาก “รับเรื่อง” ไปสู่ “ลงมือ” ให้สั้นที่สุด

เมื่อนโยบายระดับองค์รวม แตะพื้นดิน กลายเป็นรถแบ็กโฮ–รถบรรทุก–ทีมสำรวจ–ทีมสื่อสาร และ คู่มือความปลอดภัยหน้างาน ความคาดหวังของสังคมก็จะเปลี่ยนจากคำถามว่า “จะทำไหม” ไปเป็น “ทำอย่างไรให้เร็ว–ปลอดภัย–ยั่งยืน” ซึ่งเป็นมาตรฐานใหม่ที่ท้องถิ่นยุคใหม่ต้องไปให้ถึง

จาก “จุดซ่อม” สู่ “แผนจัดการเขตอ่าง” (Basin-Level Thinking)

การซ่อมคันอ่างครั้งนี้ควรถูกใช้เป็น จุดเริ่มต้น ของการมองพื้นที่น้ำแบบ ทั้งระบบ” ได้แก่

  • แผนที่เสี่ยง (Risk Map) ระบุแนวคัน–จุดอ่อน–ทางน้ำล้น–แหล่งตะกอน เพื่อกำหนดลำดับการลงทุนซ่อมบำรุงในอนาคต
  • ดัชนีเตือนภัย (Early Indicators) กำหนดเกณฑ์สีเขียว–เหลือง–แดง สำหรับระดับน้ำ–อัตราการซึม–รอยร้าว เพื่อให้ทีมงานและชุมชน พูดภาษาเดียวกัน
  • ปฏิทินงาน (Seasonal Calendar) ผูกตารางตรวจ–ซ่อม–ลอกตะกอน เข้ากับฤดูกาลฝน–แล้ง และรอบเพาะปลูก เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบซ้ำซ้อน
  • งบประมาณร่วม วางแบบจำลองค่าใช้จ่าย O&M รายปี พร้อม กองทุนชุมชน สมทบเพื่อการดูแลระยะยาว

เมื่อวาง “ภาษา–เครื่องมือ–งบประมาณ” ครบชุด การบำรุงรักษาอ่างเก็บน้ำจะไม่เป็นงานปะทุเฉพาะหน้าอีกต่อไป แต่เป็น ระบบประจำปี ที่เดินได้ด้วยตัวเอง

วิกฤตคือ “แบบฝึกหัด” ของรัฐท้องถิ่นที่ขยัน–คล่องตัว

คันอ่างเก็บน้ำห้วยสักชำรุด ทำให้เห็น ความจำเป็น ของความเร็ว–ความแม่น–ความร่วมมือ ในการจัดการโครงสร้างสาธารณะระดับฐานราก อบจ.เชียงราย ตอบสนองด้วยการ กระจายเครื่องจักรกล–บุคลากรสู่ชุมชน” ตามเรือธงข้อที่ 1 อย่างเป็นรูปธรรม พร้อม บูรณาการหน่วยงาน และวางทางไปสู่การ ซ่อมถาวร–ยกระดับมาตรฐานดูแลน้ำ ในระยะยาว

วิกฤตครั้งนี้จะยุติลงอย่างมั่นคง เมื่อเราเปลี่ยนจากคำถามว่า “ซ่อมเสร็จหรือยัง” เป็น “หลังซ่อมแล้วจะ ดูแลอย่างไร ให้ไม่เกิดซ้ำ—และให้ระบบน้ำแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม” คำตอบมีอยู่แล้วในหน้างานวันนี้ ความร่วมมือ คือคำใบ้แรก และ การจัดการเชิงระบบ คือคำตอบสุดท้าย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย)
  • สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 2 (เชียงราย)
  • เทศบาลตำบลท่าสุด อำเภอเมืองเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำกกขยับใกล้จุดวิกฤต – วอร์รูมเทศบาลฯ ระดมแผนฉุกเฉินช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญสถานการณ์ที่สร้างความกังวลอย่างยิ่งให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ริมลุ่มน้ำกก เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ต้นน้ำอย่างอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำกกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รายงานล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง ระดับน้ำเพิ่มสูงถึง 12 เซนติเมตรในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง และอยู่ห่างจากระดับวิกฤตเพียง 31 เซนติเมตรเท่านั้น สัญญาณเตือนอันตรายที่ไม่อาจนิ่งนอนใจ

เทศบาลนครเชียงรายโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรี ได้เรียกประชุมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมด่วนที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภายในสถานีขนส่งแห่งที่ 1 พร้อมประชุมออนไลน์ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานระดับจังหวัด เพื่อสรุปและเร่งประสานแผนรับมือสถานการณ์

ข้อมูลน้ำ-ฝนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เผยตัวเลขใกล้เสี่ยงล้นตลิ่ง

จากรายงานของทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย รวมถึงข้อมูลจากส่วนอุทกวิทยาที่ 2 สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ พบว่าปริมาณน้ำกกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นน้ำในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

  • เวลา 12.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง-ท่าตอน ระดับน้ำอยู่ที่ 5.99 เมตร (ค่าวิกฤต 6.50 เมตร) ปริมาณน้ำ 487 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลา 13.00 น. ที่สะพานพ่อขุนฯ ระดับน้ำอยู่ที่ 5.07 เมตร ปริมาณน้ำ 442 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลาเดียวกัน ที่สะพานขัวพญามังราย ต.ริมกก ระดับน้ำอยู่ที่ 3.64 เมตร จากระดับวิกฤต 6.00 เมตร

ทีมวิจัยระบบเตือนภัยฯ ยังระบุว่าหากแนวโน้มฝนและระดับน้ำยังเป็นเช่นนี้ ระดับน้ำในเมืองเชียงรายอาจถึงจุดวิกฤตและล้นตลิ่งได้ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงริมแม่น้ำกกเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมย้ายของขึ้นที่สูง

เตรียมพร้อมรอบด้าน – เฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาล ออกสำรวจระดับน้ำและเฝ้าติดตามสถานการณ์รอบพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาสาสมัคร และประชาชนในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำกก เพื่อเตรียมพร้อมแผนอพยพและการแจ้งเตือนล่วงหน้าหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจความพร้อมของศูนย์พักพิงและสถานที่อพยพฉุกเฉิน เช่น วัด โรงเรียน และอาคารสาธารณะ ตลอดจนการจัดเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือประชาชน อาทิ กระสอบทราย เรือท้องแบน และเครื่องสูบน้ำ เพื่อให้พร้อมใช้งานได้ทันที

ภัยคุกคาม “น้ำกก” กับมาตรการเชิงรุกของเชียงราย

สถานการณ์น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในวันนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นที่เมืองเชียงรายต่อภัยน้ำหลากที่อาจเกิดขึ้นจากฝนหนักในพื้นที่ต้นน้ำอย่างฉับพลัน ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาและถือเป็นบทเรียนเชิงนโยบายมีดังนี้

  • การเฝ้าระวังต้นน้ำอย่างรอบด้าน: การติดตามข้อมูลน้ำฝนและปริมาณน้ำตั้งแต่สถานีต้นน้ำถึงปลายน้ำ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นมีข้อมูลสำหรับวางแผนรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
  • ข้อมูลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี: การใช้ข้อมูลจากทีมวิจัยและส่วนอุทกวิทยา สะท้อนให้เห็นถึงการบูรณาการระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการบริหารจัดการภาครัฐอย่างเป็นระบบ เพิ่มความแม่นยำของการตัดสินใจและการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชน
  • ความพร้อมของหน่วยงานท้องถิ่น: การตั้งวอร์รูม ประชุมร่วมกับหน่วยงานจังหวัด และจัดชุดเจ้าหน้าที่ออกสำรวจเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง เป็นมาตรการเชิงรุกที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและความพร้อมในการป้องกันและบรรเทาผลกระทบ
  • การสื่อสารกับประชาชน: เทศบาลนครเชียงรายเน้นการแจ้งเตือนประชาชนริมฝั่งแม่น้ำกกให้ทราบความเสี่ยงและวิธีเตรียมตัวล่วงหน้า ลดความสูญเสียและสร้างความตื่นตัวให้กับชุมชนอย่างทั่วถึง

โจทย์ท้าทายและประเด็นที่ต้องติดตาม

  • ความเร็วของกระแสน้ำ: ระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (12 เซนติเมตรใน 1 ชั่วโมง) เป็นสัญญาณเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งยกระดับการแจ้งเตือนและการอพยพ
  • ผลกระทบต่อชุมชนริมฝั่ง: หากน้ำล้นตลิ่งในเขตเมือง พื้นที่ชุมชนริมฝั่งและตลาดจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จำเป็นต้องเตรียมสถานที่พักพิงและการช่วยเหลือให้พร้อม
  • การบริหารจัดการเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต้นน้ำ: ประสานงานกับหน่วยงานรับผิดชอบเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเพื่อลดการระบายน้ำในช่วงวิกฤต เป็นกลยุทธ์สำคัญในการควบคุมปริมาณน้ำปลายน้ำ
  • การประสานงานกับชุมชน: การสร้างเครือข่ายสื่อสารภาคประชาชนและอาสาสมัคร ช่วยกระจายข้อมูลข่าวสารและรับมือภัยพิบัติอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

สรุป

สถานการณ์แม่น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในครั้งนี้ นับเป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมเชิงรุก การวางระบบสื่อสารที่เข้มแข็ง และการประสานทุกภาคส่วนร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เชียงรายผ่านพ้นภัยพิบัติด้วยความเสียหายน้อยที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวังน้ำ 24 ชม. “นายกวันชัย” สั่งเปิดประตูระบายน้ำรับมือภัยฝน

เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวังน้ำ 24 ชม. “นายกวันชัย” สั่งเปิดประตูระบายน้ำเร่งด่วน เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ตลอดแนวแม่น้ำสำคัญ

เชียงราย, 27 กรกฎาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงรายเดินหน้า “บริหารจัดการน้ำเชิงรุก” รักษาความปลอดภัยเมืองท่ามกลางฤดูฝน ในช่วงฤดูฝนที่ปริมาณน้ำฝนและน้ำท่ามีความผันผวนสูงเช่นนี้ เทศบาลนครเชียงรายอยู่ในสภาวะตื่นตัวสูงสุด โดยเฉพาะเมื่อได้รับอิทธิพลจากพายุฤดูร้อนและฝนตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ลาว และกรณ์ ซึ่งมีความสำคัญต่อความปลอดภัยในเขตเมือง ล่าสุด นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเสี่ยง สำรวจและบริหารจัดการประตูระบายน้ำทุกจุดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้มวลน้ำไหลเข้าท่วมในเขตเมือง โดยให้ความสำคัญกับแนวตลิ่งแม่น้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำลาว และแม่น้ำกรณ์

เดินแผนบริหาร “ประตูน้ำ” ปิดจุดเสี่ยง-เปิดระบายต่อเนื่อง

ผลจากการสำรวจพบว่าระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำกรณ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะบริเวณสะพานขัวพญาเม็งราย วัดระดับน้ำที่ 3.11 เมตร ซึ่งยังต่ำกว่าตลิ่งที่ 6 เมตร แต่อย่างไรก็ตามเทศบาลยังคงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น โดยประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองทั้งหมด 9 บาน ได้รับคำสั่งปิดไว้ตลอด เพื่อป้องกันน้ำจากแม่น้ำสายหลักไม่ให้ไหลเข้าสู่เขตเมือง ในขณะที่ประตูน้ำฝั่งหนองด่าน 4 บาน และประตูน้ำดอยสะเก็น 5 บาน ได้รับคำสั่งเปิดยกขึ้นเต็มที่ เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่แม่น้ำกกและลดความเสี่ยงน้ำท่วมขังในพื้นที่ต่ำ

สำรวจจุดเสี่ยง-เสริมกำลัง “กระสอบทราย” เตรียมรับมือชุมชนริมแม่น้ำ

นอกจากการตรวจสอบระดับน้ำและประตูน้ำแล้ว เทศบาลนครเชียงรายยังได้ส่งเจ้าหน้าที่เทศกิจลงพื้นที่สำรวจแม่น้ำลาว โดยเฉพาะที่จุดประตูน้ำพื้นที่ท่าสาย ซึ่งพบว่าระดับน้ำลดลงจากวันก่อนถึง 60 เซนติเมตร พร้อมทั้งเสริมกำลังนำกระสอบทรายไปวางเพิ่มเติมในจุดบิ๊กแบ็ค และทางเชื่อมต่อลำน้ำสาขาที่เสี่ยงน้ำไหลเข้า เช่น พื้นที่บ้านทุ่งพญาหมี ชุมชนสันหนอง และชุมชนข้างเคียง เพื่อเป็นการป้องกันเชิงรุก

เทศบาลฯ ยังประสานการทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กองช่าง สำนักการโยธา และฝ่ายปกครอง รวมถึงกลุ่มจิตอาสาในพื้นที่ เพื่อบูรณาการแผนเฝ้าระวังและรับมือสถานการณ์อุทกภัยให้ครอบคลุมที่สุด โดยมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานสลับเวรตลอด 24 ชั่วโมง

วิเคราะห์สถานการณ์ความตื่นตัวของเทศบาลนครเชียงรายกับโจทย์ “เมืองปลอดภัย”

การสั่งการของนายกเทศมนตรีนครเชียงรายในการเฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำและการบริหารจัดการประตูน้ำทุกจุดเป็นตัวอย่างที่ดีของการบริหารภัยพิบัติในระดับท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นสูง ประเด็นที่น่าสังเกตได้แก่

  • การเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง: เทศบาลฯ ใช้ระบบการติดตามสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์ มีการจัดเวรยามสำรวจทุกช่วงเวลาเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
  • กลยุทธ์ปิด-เปิดประตูน้ำ: การวางแผนปิดประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองและเปิดฝั่งระบายออก เป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงน้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนเมือง
  • การสำรวจจุดเสี่ยงและเสริมกำลังล่วงหน้า: การนำกระสอบทรายไปวางในพื้นที่ชุมชนเสี่ยงล่วงหน้า เป็นการป้องกันก่อนเกิดเหตุการณ์จริงและสามารถลดผลกระทบในกรณีฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การประสานงานกับภาคส่วนต่าง ๆ: การทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐและกลุ่มจิตอาสาในพื้นที่ เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องระดมสรรพกำลังอย่างเร่งด่วน

ข้อท้าทายและข้อเสนอแนะ

แม้ว่าสถานการณ์น้ำในวันนี้จะยังไม่ถึงระดับวิกฤต แต่หากเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ต้นน้ำหรือจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อน ต้องเตรียมพร้อมแผนสำรองในการอพยพและการแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ การสื่อสารข้อมูลกับประชาชนโดยตรง ผ่านช่องทางออนไลน์ของเทศบาลหรือกลุ่มชุมชน จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรัฐ

การดำเนินงานของเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพในเชิงบริหารจัดการวิกฤตแบบ “เชิงรุก” ซึ่งสมควรเป็นแบบอย่างให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ในการสร้างเมืองปลอดภัยและรับมือกับภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักการโยธา เทศบาลนครเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์น้ำ กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์ประจำวัน, กลุ่มชุมชนเขตเทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

เชียงราย 2568 สู้ภัยน้ำ-ฝน บททดสอบรับมือโลกเดือด

สถานการณ์น้ำและการจัดการภัยพิบัติเชียงราย ปี 2568 ภัยฝน-ภัยน้ำ กับบททดสอบความพร้อม

เชียงราย, 7 กรกฎาคม 2568 – หลังฝนตกหนักต่อเนื่องในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย) รายงานความคืบหน้าในการช่วยเหลือประชาชนและบทเรียนสู่การยกระดับการจัดการทรัพยากรน้ำและภัยพิบัติ ในปีที่ความผันผวนของสภาพภูมิอากาศและคุณภาพน้ำกำลังกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายทั้งภาครัฐและชุมชน

พายุฝนถล่ม – ผลกระทบพื้นที่และการช่วยเหลือ

ในช่วงค่ำวันที่ 5 กรกฎาคม 2568 พื้นที่อำเภอเมืองเชียงราย แม่ฟ้าหลวง เวียงชัย พาน เทิง พญาเม็งราย แม่จัน และแม่ลาว เผชิญฝนตกหนักและลมกระโชกแรง ส่งผลให้ในหลายจุด โดยเฉพาะบ้านด้ายหนองหล่ม ต.เวียงชัย อ.เวียงชัย เกิดเหตุเสาไฟฟ้าโค่นล้มถึง 3 ต้น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเร่งซ่อมแซมอย่างต่อเนื่องเพื่อคืนระบบไฟฟ้าโดยเร็ว

ขณะที่ในเขตเทศบาลนครเชียงราย มีน้ำท่วมขังหลายจุด อาทิ ห้าแยกพ่อขุน ชุมชนศรีทรายมูล ชุมชนสันป่าก๊อ ชุมชนสันคอกช้าง และชุมชนบ้านใหม่ เทศบาลระดมเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรช่วยระบายน้ำ คาดว่าสถานการณ์จะกลับสู่ปกติภายในวันที่ 6 กรกฎาคม ทั้งนี้ ปภ.จังหวัดเชียงรายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมเครื่องมือและกำลังพลตลอด 24 ชั่วโมง โดยประชาชนสามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วนนิรภัย 1784 ได้ทุกเวลา

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศฝนปีนี้ไม่เหมือนเดิม

การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศจากอิทธิพลโลกร้อนส่งผลให้รูปแบบและปริมาณฝนในเชียงรายปี 2568 แตกต่างจากอดีต กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าเดือนกรกฎาคมจะมีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 60-80 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางช่วง สร้างความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำและริมฝั่งแม่น้ำสายหลัก เช่น แม่น้ำกกและแม่น้ำโขง

ตารางสรุปปริมาณฝนและแนวโน้มอากาศ (เมษายน-กรกฎาคม 2568)

เดือน

ปริมาณฝน (มม.)

วันฝนตก (วัน)

อุณหภูมิสูงสุด (°C)

หมายเหตุ

พฤษภาคม

180-230

13-15

34-36

ฝนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

มิถุนายน

130-170

16-19

33-35

เริ่มฝนตกชุก ร้อยละ 40-60

กรกฎาคม

(เฉลี่ย 191.4)*

60-80% ของพื้นที่

29-34

ฝนตกหนัก-หนักมากบางแห่ง

*ข้อมูลค่าเฉลี่ยย้อนหลัง เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาไม่ได้ระบุตัวเลขแน่ชัดสำหรับปีนี้

โครงสร้างภูมิประเทศ – จุดแข็ง จุดเปราะบาง

จังหวัดเชียงรายมีภูมิประเทศที่ซับซ้อน ทั้งพื้นที่ราบ (60%) ริมลุ่มแม่น้ำกก อิง สาย จัน ลาว และแม่น้ำโขง และภูเขาสูง (37%) ที่เป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญ อ่างเก็บน้ำและเขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนแม่สรวย (ความจุ 73 ล้าน ลบ.ม.) มีน้ำต้นทุนเกือบเต็มความจุในต้นปี 2568 ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งสำหรับรองรับภัยแล้งและการเพาะปลูกฤดูฝน แต่โครงสร้างแบบนี้เองที่ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำเปราะบางต่ออุทกภัยเมื่อต้องรับมือกับฝนตกหนักในระยะเวลาสั้นๆ

คุณภาพน้ำปัญหาซ้อนปัญหาบนวิกฤตภัยธรรมชาติ

แม่น้ำกก แม่น้ำโขง และแม่น้ำสาย พบปัญหาปลามีตุ่มผิดปกติจากสารเคมีปนเปื้อนและโลหะหนัก หน่วยงานรัฐบางแห่งยืนยันว่ายังใช้น้ำได้เพื่อเกษตรกรรม แต่ยังมีการแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำกกในบางพื้นที่ ขณะที่เกษตรกรและชุมชนเรียกร้องให้จัดหาแหล่งน้ำทางเลือกและเน้นการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง

บทเรียนจากอดีตเชียงรายในวังวนอุทกภัย-ภัยแล้ง

ปี 2567 เชียงรายประสบอุทกภัยใหญ่ช่วงเดือนกันยายน ฝนตกหนักเกิน 200 มม. ทำให้น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง ส่งผลให้ 56,469 ครัวเรือนและพื้นที่เกษตรกรรมกว่า 18,587 ไร่ ได้รับความเสียหาย มีผู้เสียชีวิต 14 ราย ขณะที่ปี 2566 ก็มีน้ำท่วมซ้ำจากอิทธิพลของพายุดีเปรสชัน “ยางิ” เหตุการณ์เหล่านี้ตอกย้ำความเปราะบางของจังหวัดและแนวโน้มความถี่ของสภาพอากาศสุดขั้วที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบโลกร้อน

มาตรการจัดการน้ำและภัยพิบัติความพร้อมและข้อจำกัด

  • กรอบยุทธศาสตร์และการบริหารจัดการน้ำ

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้ขับเคลื่อน 9 มาตรการรับมือฤดูฝนปี 2568 ร่วมกับกรมชลประทานและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เน้นติดตามสถานการณ์น้ำ เตรียมเครื่องมือช่วยเหลือ ปรับแผนการจัดการน้ำในอ่างเก็บน้ำ และตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในช่วงฉุกเฉิน

ระดับจังหวัด มีแผนปฏิบัติการภัยพิบัติ 4 ระยะ ได้แก่ การป้องกันและลดผลกระทบ, การเตรียมความพร้อม, การจัดการในภาวะฉุกเฉิน และการฟื้นฟู ซึ่งทุกระยะต้องการความร่วมมือและทรัพยากรที่พร้อมรับสถานการณ์เฉพาะหน้า

งบประมาณและการพัฒนาแหล่งน้ำ

ปี 2568 มีการจัดสรรงบประมาณพัฒนาแหล่งน้ำรวมกว่า 10,000 ล้านบาทในระดับชาติ เพื่อปรับปรุงระบบน้ำดิบ เพิ่มประสิทธิภาพอ่างเก็บน้ำ ฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากอุทกภัย โดยเชียงรายได้รับงบฯ เร่งด่วน 111 ล้านบาท สำหรับโครงการฟื้นฟูใน อ.พาน แต่การเบิกจ่าย-เยียวยา ยังมีความล่าช้า และต้องการโมเดลบริหารจัดการที่คล่องตัวกว่านี้

ผลกระทบและความท้าทายปี 2568 วิเคราะห์สถานการณ์และความพร้อม

  • ผลกระทบต่อการเกษตรและชุมชน

น้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำสูง แต่เกษตรกรต้องเผชิญโจทย์ใหม่ คือคุณภาพน้ำที่ปนเปื้อน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อผลผลิต-ประมงน้ำจืด และความปลอดภัยผู้บริโภค ภัยน้ำท่วมยังคงเป็นปัญหาในพื้นที่ลุ่มต่ำ และอาจเกิดซ้ำหากฝนตกหนักติดต่อกันในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน

  • ผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและสังคมเมือง

ฝนหนักสร้างความเสียหายต่อถนน สะพาน ระบบประปาและสาธารณูปโภค เมืองเชียงรายต้องเน้นเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำและการสื่อสารแจ้งเตือนล่วงหน้า พร้อมวางระบบขนส่งและอพยพที่พร้อมรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน

  • คุณภาพน้ำ เงื่อนไขความมั่นคงใหม่

การสื่อสารข้อมูลคุณภาพน้ำต้องมีความชัดเจน โปร่งใส และเข้าถึงได้ โดยเฉพาะในชุมชนริมน้ำและพื้นที่เกษตรกรรม หากขาดการแจ้งเตือนที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่ความเสียหายทางสุขภาพและเศรษฐกิจโดยไม่รู้ตัว

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายมุ่งสู่การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

  1. พัฒนาระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยแบบเรียลไทม์ โดยติดตั้งโทรมาตรวัดระดับน้ำทั้งในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง ให้ข้อมูลล่วงหน้าเพื่อเตรียมรับมือกับน้ำท่วมฉับพลันและน้ำหลาก
  2. ยกระดับการสื่อสารและสร้างแพลตฟอร์มข้อมูลน้ำแบบบูรณาการ ที่รายงานทั้งปริมาณและคุณภาพน้ำ พร้อมคู่มือและคำแนะนำต่อชุมชน
  3. ส่งเสริมธรรมาภิบาลน้ำที่ปรับตัวได้ กระจายอำนาจให้องค์กรปกครองท้องถิ่นและชุมชนมีบทบาทบริหารจัดการน้ำและงบประมาณเฉพาะหน้า
  4. เร่งรัดการจัดสรรและเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อช่วยเหลือ ฟื้นฟู และพัฒนาโครงสร้างน้ำและภัยพิบัติอย่างทันท่วงที
  5. ขยายความร่วมมือข้ามหน่วยงานและประเทศ โดยเฉพาะระบบเตือนภัยข้ามแดนเมียนมา-ไทย สำหรับลุ่มน้ำกกและโขง
เชียงรายบนเส้นทางบริหารจัดการน้ำในยุคใหม่

จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญบททดสอบใหม่ในการบริหารจัดการน้ำในสภาวะอากาศสุดขั้วและคุณภาพน้ำที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น แม้จะมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่การขาดงบประมาณและระบบข้อมูลที่ทันสมัยคืออุปสรรคสำคัญ การยกระดับระบบแจ้งเตือน การสื่อสาร และการลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐานแบบอ่อน” ร่วมกับการบูรณาการแผนรับมือภัยพิบัติข้ามภาคส่วน จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงน้ำอย่างยั่งยืนและลดผลกระทบต่อชุมชนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.จ.เชียงราย)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กรมชลประทาน
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
  • ศูนย์ข่าวภัยพิบัติและงานวิจัยภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่สายเร่งสู้ภัยน้ำ สทนช. ลงพื้นที่ติดตามขุดลอก-เสริมแนวป้องกัน

เลขาธิการ สทนช. ลงพื้นที่แม่สาย ติดตามคืบหน้าโครงการขุดลอกลำน้ำสาย-แนวป้องกันน้ำ เตรียมรับมือฤดูฝนปี 2568

เชียงราย, 22 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางความกังวลเรื่องภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในฤดูฝนปีนี้ จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอแม่สาย ได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการขุดลอกลำน้ำสาย การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร และตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่สำคัญริมแม่น้ำสายและลำน้ำรวก โดยมี พล.ท.สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ ทหาร และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นร่วมให้ข้อมูลอย่างพร้อมเพรียง

สานภารกิจหลังอุทกภัยรุนแรง – ป้องกันซ้ำรอยน้ำหลากและดินโคลนถล่ม

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เปิดเผยระหว่างลงพื้นที่ว่า การติดตามครั้งนี้เป็นภารกิจตามข้อสั่งการของนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่เน้นย้ำให้หน่วยงานภาครัฐบูรณาการรับมือฤดูฝนในพื้นที่เสี่ยง โดยแม่สายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญจากบทเรียนอุทกภัยรุนแรงเมื่อปีก่อน โดยเฉพาะปัญหาน้ำหลาก ลำน้ำเปลี่ยนทิศ และดินโคลนถล่ม

“วันนี้ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการส่วนหน้าติดตามความคืบหน้าขุดลอกลำน้ำสาย-ลำน้ำรวก ซึ่งดำเนินงานโดยความร่วมมือระหว่าง สทนช. และกองทัพบก เพื่อป้องกันน้ำท่วมและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดซ้ำ คาดว่าการขุดลอกลำน้ำรวกจะเสร็จในกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะเดียวกันได้เร่งดำเนินการอุดรูรั่ว ก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร และเตรียม Big Bag สำรอง เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยในฤดูฝน” เลขาธิการ สทนช. กล่าว

มาตรการเสริม – เตรียมกำแพงกันน้ำชั่วคราว-เตือนภัยเข้มรับสถานการณ์

จากการประเมินสถานการณ์น้ำในปี 2567 คาดว่าอาจเกิดน้ำล้นข้ามสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมาแห่งที่ 1 ได้อีกครั้ง จึงมีการวางแผนก่อสร้างแนวกำแพงกันน้ำชั่วคราวตลอดแนวลำน้ำสายยาวกว่า 200 เมตร พร้อมระบบแจ้งเตือนภัยและมาตรการเฝ้าระวังในฤดูน้ำหลาก

พล.ท.สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง เสริมว่า “ภารกิจสร้างแนวป้องกันน้ำเป็นไปตามแผนที่กำหนด คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 15 กรกฎาคม 2568 ขณะเดียวกัน กำลังพลและทรัพยากรของกองทัพบกได้ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย”

ตรวจคุณภาพน้ำแม่สาย-แก้ปัญหาครอบคลุมจุดเสี่ยง

หลังการประชุม คณะ สทนช. ได้ลงเรือสำรวจแนวกั้นน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวรที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และตรวจสอบจุดวัดคุณภาพน้ำในพื้นที่แม่สาย ก่อนจะเดินทางต่อไปยังตำบลเกาะช้าง ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงภัยอีกแห่งหนึ่ง เช่น บริเวณคันกั้นน้ำขาด และทางหลวงชนบทที่ทรุดตัว เพื่อประเมินความเสี่ยงและหาแนวทางป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

แผนบูรณาการแม่สาย ป้องกันซ้ำรอยน้ำท่วม

การลงพื้นที่ของเลขาธิการ สทนช. ครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยแม่สายอย่างเป็นระบบ การขุดลอกลำน้ำสาย-รวกและก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ เป็นมาตรการเร่งด่วนที่ต้องเดินหน้าควบคู่กับการเตรียมการรับมือระยะยาว เช่น ระบบแจ้งเตือนภัย การสำรอง Big Bag และความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ หากดำเนินการตามแผนได้สำเร็จ ย่อมช่วยลดผลกระทบซ้ำซากที่ชุมชนเผชิญในช่วงฤดูฝนในอดีต พร้อมวางรากฐานการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กองทัพบก
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายนำทัพ! เร่งสร้างแนวป้องกันแม่น้ำสาย เผยคืบหน้า 51%

กองทัพเร่งสร้างแนวป้องกันน้ำริมแม่น้ำสาย คืบหน้ากว่า 51% – เจ้ากรมทหารช่างเสนอฝึกซ้อมแผนรับมือเหตุอุทกภัยอย่างเป็นระบบ

เชียงราย, 6 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางความเสี่ยงจากภาวะอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นซ้ำในพื้นที่ชายแดนเหนือของไทย จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะบริเวณอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนสำคัญติดกับประเทศเมียนมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ประชุมร่วมวางแผนรับมือภัยพิบัติ โดยมีการรายงานความคืบหน้าของการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำริมแม่น้ำสาย พร้อมเสนอแนวทางฝึกซ้อมแผนรับมืออุทกภัยอย่างเป็นระบบ เพื่อลดผลกระทบทั้งด้านชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่

วาระเร่งด่วนของการป้องกันน้ำท่วม – ประชุมติดตามความคืบหน้าแบบรายวัน

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 6 มิถุนายน 2568 ที่ห้องประชุมชั้น 4 อาคารศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) ที่ว่าการอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมเพื่อ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่แม่สาย” โดยเน้นการเร่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเขตแดน การขุดลอกแม่น้ำสาย–แม่น้ำรวก และการเร่งสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร

ในที่ประชุม พลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง ได้รายงานถึงความคืบหน้าการก่อสร้างแนวป้องกันชั่วคราว-กึ่งถาวรริมแม่น้ำสาย ว่าขณะนี้มีความก้าวหน้าแล้ว ร้อยละ 51.39 (ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 5 มิถุนายน 2568) และในส่วนของการขุดลอกแม่น้ำรวก – ซึ่งเป็นความรับผิดชอบร่วมระหว่างกองทัพภาคที่ 3 และกรมการทหารช่าง – มีความคืบหน้าโดยรวมอยู่ที่ ร้อยละ 41.94 จากระยะทางรวม 32 กิโลเมตร โดยแบ่งเป็นภารกิจของกองทัพภาคที่ 3 จำนวน 14 กิโลเมตร และกรมการทหารช่าง 18 กิโลเมตร

แผนฝึกซ้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน – ต้องมีระบบ-มีคน-มีความพร้อม

เพื่อให้แผนงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เจ้ากรมการทหารช่างได้เสนอแนวทางให้จังหวัดเชียงรายจัด การฝึกซ้อมรับแผนเผชิญเหตุ” อย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่

  1. แผนเข้าพื้นที่ซ่อมจุดรั่วแนวป้องกัน – เตรียมอุปกรณ์ ซักซ้อมการเข้าสกัดน้ำทะลุแบบเฉพาะจุด
  2. แผนระบายน้ำ-สูบน้ำ – สำรวจความพร้อมของระบบระบายน้ำ ติดตั้งเครื่องสูบน้ำในจุดเสี่ยงน้ำท่วมขัง
  3. แผนบริหารจัดการอาสาสมัคร – วางโครงสร้างรับมือการระดมคนจากหลายหน่วยงานเพื่อป้องกันการทำงานซ้ำซ้อน หรือขาดประสิทธิภาพในภาวะวิกฤต

ลงพื้นที่สำรวจงานจริง – ตรวจสอบแนวป้องกันริมแม่น้ำสายด้วยเรือยาง

หลังการประชุม นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วย พลโท สิรภพ ศุภวานิช ได้นำคณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ด้วยเรือยาง เพื่อสำรวจสภาพการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวรริมแม่น้ำสาย ตั้งแต่บริเวณใต้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 ไปจนถึงฐานปฏิบัติการนเรศวร หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก ณ กองบังคับการผาทมิฬ

การลงพื้นที่ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ “ตรวจสอบการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบแปลน มาตรฐาน และระยะเวลาที่กำหนด” ตลอดจนประเมินความพร้อมของจุดเชื่อมโยงกับระบบระบายน้ำของเทศบาล และชุมชนในเขตเมืองแม่สาย

น้ำคือภัยคุกคามซ้ำซาก แต่แผนรับมือที่ดีคือเกราะป้องกันสำคัญ

อำเภอแม่สายเคยประสบปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2560 และอีกหลายครั้งตลอดทศวรรษที่ผ่านมา สร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน พื้นที่เศรษฐกิจ และโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ การพัฒนาระบบป้องกันน้ำและการขุดลอกลำน้ำจึงถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีการบูรณาการระหว่างฝ่ายความมั่นคง หน่วยงานโยธา การปกครองท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ที่พร้อมให้ความร่วมมือโดยรู้บทบาทของตน

แนวป้องกันน้ำแบบชั่วคราว-กึ่งถาวร อาจไม่ใช่คำตอบถาวรในระยะยาว หากไม่มีการ “ฝึกซ้อมซ้ำจริง” และ “อัปเกรดระบบเตือนภัย” ให้ทันต่อสถานการณ์ โดยเฉพาะในบริบทชายแดนที่มีปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์และปริมาณน้ำไหลผ่านจากเมียนมาที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วตามฤดูกาล

สรุป

การดำเนินการของกองทัพไทยในการก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ และข้อเสนอให้มีแผนรับมืออุทกภัยอย่างเป็นระบบ ถือเป็นแบบอย่างของการจัดการเชิงป้องกันที่รัฐบาลไทยควรส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง หากสามารถบูรณาการทุกภาคส่วนได้อย่างมีเอกภาพ จะสามารถป้องกันภัยที่เกิดขึ้นซ้ำซาก และลดความสูญเสียได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานการประชุมป้องกันอุทกภัย อ.แม่สาย จ.เชียงราย วันที่ 6 มิถุนายน 2568
  • กรมการทหารช่าง กองทัพบก
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์ข้อมูลน้ำ กรมชลประทาน
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ช่วย รมต. ลงเชียงราย เร่งแก้ปัญหาสารปนเปื้อน

รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาสารปนเปื้อนและอุทกภัยลุ่มน้ำกก–สาย เชียงราย เน้นบูรณาการทุกภาคส่วน มั่นใจคุณภาพน้ำปลอดภัย

ประเทศไทย, 28 พฤษภาคม 2568 –พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นำคณะผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานจากส่วนกลาง ลงพื้นที่จังหวัดเชียงรายอย่างต่อเนื่องเพื่อติดตามผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อน (สารหนู) ในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย รวมถึงประเมินสถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ โดยได้รับความร่วมมือจากรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หน่วยงานระดับอำเภอ กรมการทหารช่าง และองค์กรที่เกี่ยวข้องในระดับจังหวัดและภูมิภาค

วิกฤตสิ่งแวดล้อมกับความหวังของคนเชียงราย

ปัญหาสารปนเปื้อนในลำน้ำกกและแม่น้ำสาย ถือเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลใจให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ใกล้เคียงมาอย่างต่อเนื่อง จากผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำที่ผ่านมาพบการปนเปื้อนของสารหนูในบางจุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพชุมชน รวมถึงความปลอดภัยด้านประมง เกษตรกรรม และการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน

โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนและฤดูน้ำหลาก ปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นและน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ได้ทำให้ประชาชนในหลายอำเภอ โดยเฉพาะแม่สายและเชียงแสน ต้องเผชิญกับทั้งปัญหาสารปนเปื้อนและความเสี่ยงจากอุทกภัยในเวลาเดียวกัน

 

ความร่วมมือเชิงบูรณาการ เร่งฟื้นฟูคุณภาพน้ำและระบบป้องกันน้ำท่วม

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลางจังหวัดเชียงราย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก พร้อมคณะผู้แทนจากสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมประชุมรับฟังรายงานสถานการณ์จากนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยหน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกภาคส่วน

ที่ประชุมได้นำเสนอภาพรวมการดำเนินงานในช่วงปีที่ผ่านมา โดยมีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในน้ำแบบเฉพาะกิจ มีการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำเป็นระยะ ร่วมกับมาตรการเสริมสร้างความเข้าใจและให้ข้อมูลแก่ประชาชนอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงโครงการพัฒนาระบบประปาให้ครอบคลุมพื้นที่เสี่ยง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าประชาชนจะมีน้ำสะอาดใช้อย่างเพียงพอ

พลเอก นิพัทธ์ เน้นย้ำว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญอย่างสูงสุดกับความปลอดภัยและสุขภาพของประชาชน โดยเน้นการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง โปร่งใส และชัดเจน พร้อมเปิดเผยว่ารัฐบาลพร้อมสนับสนุนทุกมาตรการที่จังหวัดเชียงรายนำเสนอ และจะเร่งขับเคลื่อนให้การแก้ไขปัญหาเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง

ติดตามสถานการณ์อุทกภัย-สารปนเปื้อนแม่สายอย่างใกล้ชิด

หลังการประชุมคณะฯ ได้ลงพื้นที่สวนสาธารณะหาดนครเชียงราย ประเมินสถานการณ์น้ำท่วมริมแม่น้ำกก และตรวจงานขุดลอกเพื่อระบายน้ำ พร้อมเดินทางต่อไปยังเขื่อนเชียงรายและอำเภอแม่สาย เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำสาย

ในเวลา 14.30 น. พลเอก นิพัทธ์ พร้อมคณะ ได้รับมอบหมายจากนายภูมิธรรม เวชยชัย เดินทางเข้าสู่ศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) ที่ว่าการอำเภอแม่สาย เพื่อรับฟังรายงานจากนายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายอิทธิพล ช่างกลึงดี ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ 16 ร่วมติดตามสถานการณ์

จุดสำคัญคือการลงพื้นที่ชุมชนหัวฝาย เพื่อตรวจสอบความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างแนวพนังกั้นน้ำชั่วคราวและกึ่งถาวรบริเวณริมแม่น้ำสาย ซึ่งดำเนินงานโดยกรมการทหารช่าง นำโดยพลโท สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง รายงานว่าขณะนี้หน่วยงานได้เร่งขุดลอกลำน้ำรวก ระยะทางรวม 18 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำและป้องกันน้ำท่วมขังในฤดูฝนปีนี้

การสื่อสารสร้างความเข้าใจ มุ่งมั่นลดความตื่นตระหนกและสร้างความมั่นใจ

นายภูมินทร ปลั่งสมบัติ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย ในการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และสื่อสารข่าวสารให้ประชาชนรับรู้ตรงกันทุกภาคส่วน โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพน้ำและมาตรการป้องกันน้ำท่วม เพื่อคลายความวิตกกังวลและสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัย

พลเอก นิพัทธ์ ยืนยันกับประชาชนจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ชายแดนว่า น้ำประปาในพื้นที่ปลอดภัย สามารถบริโภคได้ตามมาตรฐาน ขณะที่น้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายยังคงใช้เพื่อการประมงและการเกษตรได้อย่างปกติ หน่วยงานสาธารณสุขจังหวัดได้ออกตรวจคัดกรองและดูแลสุขภาพประชาชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันผลกระทบระยะยาวจากการปนเปื้อนสารหนู

การวิเคราะห์และข้อสังเกต จากวิกฤตสู่โอกาสสร้างระบบบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

เหตุการณ์ในครั้งนี้สะท้อนถึงความเข้มแข็งของการประสานงานระหว่างรัฐบาลกลาง จังหวัด และท้องถิ่นในการรับมือกับภัยพิบัติและปัญหาสิ่งแวดล้อมเชิงซ้อน แม้จะต้องเผชิญกับปัจจัยหลายประการ เช่น ภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และผลกระทบจากกิจกรรมในพื้นที่ต้นน้ำฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา) แต่ด้วยระบบตรวจสอบคุณภาพน้ำและการแจ้งเตือนแบบบูรณาการ ส่งผลให้สามารถควบคุมและบริหารสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ยังพบว่ามาตรการขุดลอกลำน้ำและก่อสร้างแนวพนังกั้นน้ำ ได้ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดน้ำท่วมในช่วงฤดูฝน และลดผลกระทบต่อชุมชนในเขตลุ่มน้ำสายและลุ่มน้ำกกอย่างเห็นได้ชัด โดยชาวบ้านและเกษตรกรสามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา

สถิติและแหล่งอ้างอิง

  • ผลการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำ: กรมควบคุมมลพิษ (2568) รายงานว่าปริมาณสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ลดลงสู่ค่ามาตรฐานใน 90% ของจุดตรวจวัดในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา
  • น้ำประปาจังหวัดเชียงราย: การประปาส่วนภูมิภาค รายงานคุณภาพน้ำผ่านเกณฑ์มาตรฐาน WHO ทุกสถานี
  • ขุดลอกลำน้ำรวก: กรมการทหารช่าง รายงานดำเนินการขุดลอกระยะทาง 18 กิโลเมตร เสร็จสมบูรณ์แล้ว 14 กิโลเมตร
  • เฝ้าระวังสุขภาพประชาชน: สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย รายงานการคัดกรองสุขภาพประชาชนในเขตเสี่ยงกว่า 7,000 คน ไม่พบผู้ป่วยโรคเฉียบพลันจากสารหนูในรอบ 6 เดือน
  • ข้อมูลประชาสัมพันธ์: สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย, OSS อำเภอแม่สาย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมการทหารช่าง
  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (OSS) อำเภอแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE