Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

อบจ.เชียงราย หนุนงบอนุรักษ์ประเพณี 9 ชาติพันธุ์ ปั้นดงมหาวันสู่แหล่งท่องเที่ยวส่งออกวัฒนธรรม

บ้านป่าสักงาม โมเดลพหุวัฒนธรรม 9 ชนเผ่า สู่การเป็นห้องเรียนมีชีวิตแห่งเชียงราย


เชียงราย, 20 ธันวาคม 2568 – สายลมหนาวปลายปีพัดผ่านทุ่งดอกดาวเรืองสีทองของบ้านป่าสักงาม ขณะที่เสียงปี่ เสียงกลอง และภาษาชนเผ่านานานับไม่ถ้วนขับขานรับแขกผู้มาเยือนจากทั่วจังหวัด ภายใต้ฉากหลังของภูเขาและหมอกบางยามเช้า ชุมชนเล็ก ๆ แห่งอำเภอเวียงเชียงรุ้งกำลังก้าวขึ้นสู่เวทีสาธารณะอีกครั้ง ในฐานะ “ห้องเรียนพหุวัฒนธรรมมีชีวิต” ของจังหวัดเชียงราย

เช้าวันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2568 บริเวณลานกิจกรรมบ้านป่าสักงาม (คุ้มเวียงราชพลี) ตำบลดงมหาวัน แน่นขนัดไปด้วยประชาชนจาก 9 กลุ่มชาติพันธุ์ เยาวชน นักเรียน ผู้นำชุมชน และหน่วยงานท้องถิ่นกว่า 250 คน ที่มาร่วมในพิธีเปิด โครงการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมชนเผ่าตำบลดงมหาวัน” โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เป็นประธาน พร้อมด้วยสมาชิกสภา อบจ.เชียงราย ตัวแทนผู้นำท้องถิ่น และคณะกรรมการชุมชนร่วมเป็นสักขีพยาน

โครงการดังกล่าวถูกวางบทบาทให้เป็น “กลไกกลาง” เชื่อมร้อยอัตลักษณ์ของทั้ง 9 ชนเผ่า เข้ากับการพัฒนาชุมชนสู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน เป้าหมายไม่ใช่เพียงการจัดงานเทศกาลเพื่อความคึกคักในระยะสั้น แต่คือการวางรากฐานให้คนรุ่นหลังได้มีพื้นที่เรียนรู้มรดกของตนเอง และใช้ทุนทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของบ้านป่าสักงามในระยะยาว

ที่สำคัญ บทความข่าวชิ้นนี้มิได้อ้างตนเป็นงานวิชาการหรือบทความเชิงวิจัย หากแต่เป็น รายงานข่าวเชิงลึก” ที่รวบรวมข้อมูลจากเอกสารออนไลน์ของหน่วยงานรัฐ ข่าวประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ และคำบอกเล่าของคนในชุมชน ผู้เขียนยินดีอย่างยิ่งหากนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญด้านชาติพันธุ์ศึกษาและการพัฒนาชุมชนจะเข้ามาเพิ่มเติม แก้ไข และต่อยอดข้อมูล เพื่อให้ภาพของบ้านป่าสักงามสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในอนาคต

จากการรวมตัว 9 ชนเผ่า สู่ “คุ้มเวียงราชพลี”

บ้านป่าสักงาม (คุ้มเวียงราชพลี) หมู่ที่ 9 ตำบลดงมหาวัน อำเภอเวียงเชียงรุ้ง ก่อตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2547 จากการรวมตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ถึง 9 ชนเผ่า ได้แก่ ม้ง อาข่า ลาหู่ ลีซู เมี่ยน จีนยูนนาน ไทลื้อ ไทใหญ่ และคะฉิ่น รวมประมาณ 304 หลังคาเรือน ประชากรราว 1,500 คน

การรวมตัวครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความจำเป็นด้านที่อยู่อาศัย หากยังเป็นการ “ต่อรองสถานะ” กับสังคมภายนอก ชุมชนต้องการพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่เพียง “ผู้บุกรุกป่า” หรือ “แรงงานอพยพไร้ตัวตน” หากแต่เป็นพลเมืองที่มีวัฒนธรรม ทุนทางความรู้ และศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่อย่างสร้างสรรค์

ชื่อ “เวียงราชพลี” หรือที่คนในพื้นที่บางครั้งเรียกว่า “บ้านเวียงฟ้า” สะท้อนความใฝ่ฝันของชุมชนที่จะยกระดับหมู่บ้านให้เป็น “เวียง” หรือเมืองน้อย ๆ ที่มีศักดิ์ศรีและความสง่างาม ท่ามกลางภูมิประเทศแบบที่ราบสลับเนินเขา ซึ่งเหมาะแก่การทำเกษตรผสมผสานและการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ

ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ชุมชนได้เรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างทางภาษา ความเชื่อ และประเพณี ผ่านการตั้งคณะกรรมการกลุ่มชาติพันธุ์ 9 ชนเผ่า ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างหมู่บ้านกับหน่วยงานรัฐ รวมถึงการจัดกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานประเพณี กีฬาเยาวชน และกิจกรรมจิตอาสาในระดับตำบล

โครงสร้างพื้นฐาน ถนน แสงสว่าง และน้ำสะอาด ที่ทำให้หมู่บ้านไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

แม้จะเป็นหมู่บ้านชายขอบ แต่บ้านป่าสักงามไม่ใช่พื้นที่ที่รัฐละเลย แผนพัฒนาท้องถิ่น พ.ศ. 2566–2570 ของ องค์การบริหารส่วนตำบลดงมหาวัน (อบต.ดงมหาวัน) ระบุโครงการสำคัญหลายโครงการที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตและรองรับการท่องเที่ยว เช่น

  • การก่อสร้างถนนลาดยางและถนนแอสฟัลต์คอนกรีต เส้นทางบ้านป่าสักงาม–เวียงราชพลี–ที่ทำการ อบต.ดงมหาวัน รวมระยะทางเกือบ 6 กิโลเมตร วงเงินประมาณ 2 ล้านบาทต่อปี
  • การติดตั้งไฟกิ่งพลังงานแสงอาทิตย์ใน 11 หมู่บ้านของตำบล ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการสัญจรยามค่ำคืนและลดต้นทุนค่าไฟของท้องถิ่น
  • การพัฒนาหนองไคร้ หมู่ 9 ให้เป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และกำจัดผักตบชวาอย่างเป็นระบบ
  • การจัดทำระบบกรองน้ำดื่มชุมชนและบ่อบาดาลพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงน้ำสะอาดอย่างทั่วถึง
  • การติดตั้งระบบเสียงตามสายในหมู่บ้าน เพื่อใช้กระจายข่าวสารจากภาครัฐและชุมชน ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านข้อมูล

แม้โครงการเหล่านี้จะเป็นเพียง “โครงสร้างพื้นฐานพื้นฐาน” หากแต่มันคือรากฐานสำคัญในการทำให้ชุมชนสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีศักดิ dignity และเปิดประตูให้คนภายนอกเข้ามาเรียนรู้วิถีชีวิตของ 9 ชนเผ่าได้สะดวกขึ้น

9 ชนเผ่า 1 ชุมชน พหุวัฒนธรรมที่หายใจได้

เสน่ห์ของบ้านป่าสักงามอยู่ที่การที่ผู้มาเยือนสามารถสัมผัสวัฒนธรรมของ 9 ชนเผ่าได้ในพื้นที่เดียว การเดินเพียงไม่กี่ร้อยเมตรอาจได้ยินทั้งเสียงภาษาม้ง อาข่า ลาหู่ และคำเมืองสลับไปมา ราวกับกำลังเดินอยู่ใน “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต”

  • กลุ่มม้ง มีบทบาทเด่นในงานประเพณีปีใหม่ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก อบต.ดงมหาวัน ทั้งในด้านงบประมาณและพื้นที่จัดงาน งานปีใหม่ม้งจึงไม่เพียงเป็นเทศกาลของเผ่าตนเอง หากยังเป็นเวทีให้ชนเผ่าอื่นและนักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วัฒนธรรมผ่านการแต่งกาย การเล่นลูกข่าง ขว้างลูกช่วง และการละเล่นดั้งเดิม
  • กลุ่มลีซู อาข่า ลาหู่ และเมี่ยน สืบทอดภูมิปัญญาด้านการเกษตรบนพื้นที่สูง การจัดการป่า และการใช้ยาสมุนไพรพื้นบ้าน วัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษและเทพเจ้าผูกพันกับการดูแลป่า น้ำ และภูเขา ซึ่งกลายเป็นฐานคิดสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในระดับชุมชน
  • กลุ่มไทลื้อและไทใหญ่ นำวัฒนธรรมแบบที่ราบลุ่มน้ำและล้านนามาผสมผสาน ทั้งการทอผ้า อาหาร และประเพณีทางพุทธศาสนา ทำให้ชุมชนสามารถเชื่อมต่อกับสังคมเมืองเชียงรายได้อย่างกลมกลืน
  • กลุ่มจีนยูนนาน มีบทบาทด้านการค้าและอาหาร สร้างสีสันให้ตลาดชุมชนด้วยเมนูจีนยูนนานและชาร้อนบนดอย
  • กลุ่มคะฉิ่น แม้มีจำนวนไม่มาก แต่ยังคงรักษาการฟ้อนรำ “มาเนา” และพิธีกรรมเฉพาะตัวไว้ เป็นหลักฐานของการเดินทางข้ามพรมแดนรัฐชาติที่ยาวนานของกลุ่มชาติพันธุ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การอยู่ร่วมกันของคนทั้ง 9 เผ่ามิใช่เรื่องง่าย ความต่างทางภาษาและศาสนามักสร้างความไม่เข้าใจในระยะแรก แต่ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ชุมชนใช้ “ประเพณีร่วม” และ “พื้นที่กิจกรรมร่วม” เป็นเครื่องมือสำคัญ ตั้งแต่งานกีฬาเด็กและเยาวชนตำบล การบวชลูกแก้ว การทำบุญหมู่บ้าน ไปจนถึงการจัดตลาดวัฒนธรรมในช่วงเทศกาลสำคัญ ทำให้ความต่างค่อย ๆ กลายเป็นพลัง

ม่อนดาวเรือง ดอกไม้สีทองที่เปลี่ยนภูเขาให้เป็นเวทีท่องเที่ยว

หากพูดถึงบ้านป่าสักงามในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ภาพที่มักปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์คือ ม่อนดาวเรือง” – ทุ่งดอกดาวเรืองสีเหลืองทองบนเนินเขา ที่สมาชิกในชุมชน 18 ครอบครัวร่วมกันพัฒนา

เริ่มต้นจากการมองหา “พืชเศรษฐกิจ” ที่เหมาะกับสภาพพื้นที่และสามารถสร้างภาพจำให้หมู่บ้านได้ ชาวบ้านจึงทดลองปลูกดอกดาวเรืองในพื้นที่บนเขา ปรับผังแปลงให้เป็นมุมมองกว้างรับกับภูเขาและท้องฟ้า เมื่อถึงฤดูดอกบาน ภูเขาทั้งลูกกลายเป็นผืนผ้าสีทองดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ขึ้นมาถ่ายภาพและชมวิว

รายได้จากการขายดอกดาวเรืองตัดดอก และค่าบริการเล็กน้อยจากจุดชมวิวกลายเป็นรายได้เสริมของครอบครัว ขณะที่ภาพของม่อนดาวเรืองยังถูกใช้เป็น “หน้าตา” ของคุ้มเวียงราชพลีในการประชาสัมพันธ์งานวัฒนธรรมและเทศกาลต่าง ๆ ของตำบลดงมหาวันอีกด้วย

โมเดลดังกล่าวสะท้อนการใช้ที่ดินอย่างคุ้มค่าในพื้นที่จำกัด สร้างรายได้โดยไม่ทำลายภูเขาจนเกินสมดุล และยังผูกโยงการเกษตรเข้ากับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม

เงาแห่งความเปราะบาง ปัญหาที่ดินและสิทธิของคนชายขอบ

ภายใต้ภาพสวยงามของดอกไม้และชุดชนเผ่าหลากสี บ้านป่าสักงามยังต้องเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่อาจละเลยได้ โดยเฉพาะ ข้อพิพาทเรื่องสิทธิในที่ดินทำกิน

จากข้อมูลข่าวร้องเรียนของชุมชนในช่วงปลายปี 2566 มีการระบุว่าชาวบ้านกว่า 300 หลังคาเรือนถูกผู้ถือเอกสารสิทธิรายหนึ่งอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ที่ชุมชนอยู่อาศัยและทำกินมานานกว่า 15 ปี พร้อมแจ้งให้ย้ายออกภายในระยะเวลาอันสั้น สร้างความกังวลและความไม่มั่นคงด้านชีวิตให้กับประชาชนทั้ง 9 ชนเผ่า

ประธานกลุ่มชาติพันธุ์ 9 ชนเผ่าได้ออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยยืนยันว่าชุมชนได้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่จากป่ารกร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งผลิตทางการเกษตรของอำเภอ การให้ชาวบ้านกว่า 1,500 คนต้องโยกย้ายในเวลาอันจำกัดจึงไม่เพียงเป็นเรื่องยากในทางปฏิบัติ แต่ยังเป็นคำถามเรื่องความเป็นธรรมในระบบการจัดการที่ดินของรัฐ

แม้ข้อพิพาทจะยังอยู่ระหว่างกระบวนการเจรจาและตรวจสอบ แต่เหตุการณ์นี้ตอกย้ำให้เห็นว่า ความหลากหลายทางวัฒนธรรมไม่ได้ทำให้ชุมชนแข็งแกร่งเสมอไป หากไม่มีหลักประกันเชิงโครงสร้างรองรับ โดยเฉพาะสิทธิในที่ดินและทรัพยากรที่เป็นฐานชีวิตของผู้คน

พิธีเปิดโครงการ 20 ธันวาคม 2568 เวทีประกาศเจตจำนงของชุมชน

บรรยากาศในวันที่ 20 ธันวาคม 2568 จึงไม่ใช่เพียงงานรื่นเริง หากแต่เป็นเวทีประกาศเจตนารมณ์ของชุมชนต่อสาธารณะว่า บ้านป่าสักงามต้องการเดินหน้าบนเส้นทางของ “การอนุรักษ์ควบคู่การพัฒนา”

โครงการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมชนเผ่าตำบลดงมหาวันที่เปิดตัวในวันดังกล่าว มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่

  1. อนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นของทั้ง 9 ชนเผ่าให้เกิดความยั่งยืน
  2. เสริมสร้างความสามัคคีและความสัมพันธ์อันดีระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในชุมชน
  3. พัฒนาศักยภาพชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับจังหวัดเชียงราย

ภายในงานมีการแสดงวัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่า การเดินแฟชั่นชุดประจำเผ่า การจำหน่ายผลิตภัณฑ์แฮนด์เมด เช่น ผ้าปัก เครื่องเงิน เครื่องจักสาน และอาหารพื้นถิ่นที่ผสมผสานอิทธิพลจีน–ล้านนา–ชนเผ่าบนดอยอย่างลงตัว

การที่ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยสมาชิกสภาจังหวัดและผู้นำท้องถิ่นเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ส่งสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ว่า บ้านป่าสักงามไม่ได้ยืนอยู่ลำพังในสมรภูมิการรักษาอัตลักษณ์และสิทธิในพื้นที่ของตนเอง

เยาวชน สะพานเชื่อมอดีตสู่อนาคต

หัวใจสำคัญของการที่หมู่บ้านแห่งนี้จะยืนหยัดได้ในระยะยาวคือ “เยาวชน” ชุมชนบ้านป่าสักงามใช้วิธี “เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ” เป็นหลัก ตั้งแต่การให้เด็ก ๆ เข้าร่วมขบวนแห่ประเพณีปีใหม่ม้ง ฝึกเต้นรำและร้องเพลงของแต่ละเผ่า ไปจนถึงการช่วยพ่อแม่ขายสินค้าวัฒนธรรมในงานเทศกาล

เมื่อเยาวชนได้เห็นว่าภูมิปัญญาของบรรพบุรุษสามารถแปรเปลี่ยนเป็นรายได้และความภาคภูมิใจ พวกเขาย่อมมีแรงจูงใจในการรักษาอัตลักษณ์ของตนเอง มากกว่าการละทิ้งหมู่บ้านไปหางานในเมืองใหญ่

ในอีกด้านหนึ่ง การใช้ภาษาไทยกลางและภาษาคำเมืองควบคู่กับภาษาชนเผ่า ทำให้เด็กและเยาวชนเติบโตขึ้นมาในฐานะ “คนพหุวัฒนธรรม” ที่สื่อสารได้หลายภาษา เข้าใจทั้งโลกของชุมชนบนดอยและโลกสมัยใหม่ในเมือง ชุดทักษะนี้นับเป็นทุนมนุษย์ที่สำคัญของพื้นที่ชายขอบอย่างเวียงเชียงรุ้ง

ข้อสังเกตเชิงนโยบายและคำชวนคิดถึงสังคมวงกว้าง

กรณีของบ้านป่าสักงาม (คุ้มเวียงราชพลี) ชี้ให้เห็นบทเรียนสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ

ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ไม่ใช่ภาระ หากได้รับการออกแบบให้เป็นทรัพยากร ชุมชนที่มี 9 ชนเผ่าสามารถใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และเสริมสร้างความสามัคคีได้จริง เมื่อมีเวทีให้ทุกเผ่ามีตัวตนและเสียงของตนเอง โครงสร้างพื้นฐานและสิทธิในที่ดินคือเงื่อนไขฐานรากของการพึ่งพาตนเอง ถนน น้ำสะอาด ไฟฟ้า และระบบสื่อสาร ช่วยให้หมู่บ้านเข้าถึงโอกาสจากภายนอก แต่หากสิทธิในที่ดินยังไม่มั่นคง ความพยายามทั้งหมดอาจถูกสั่นคลอนในพริบตา เยาวชนคือสะพานเชื่อมอดีต–ปัจจุบัน–อนาคต หากคนรุ่นใหม่มองเห็นคุณค่าของภาษาตนเอง งานฝีมือของบรรพบุรุษ และภูมิปัญญาการจัดการป่า เชียงรายและประเทศไทยก็จะมี “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่แข็งแรงไว้ต่อรองกับความเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่

ในมุมของสังคมวงกว้าง บ้านป่าสักงามอาจเป็นเพียงชื่อหมู่บ้านเล็ก ๆ ในแผนที่เชียงราย แต่สำหรับผู้ที่เคยสัมผัสหรือติดตามเรื่องราวของชุมชนแห่งนี้ มันคือ “พื้นที่ทดลอง” สำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพความแตกต่าง การใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างเศรษฐกิจ และการต่อรองสิทธิของคนชายขอบในระบบรัฐชาติสมัยใหม่

บทความข่าวนี้ทำหน้าที่เพียง “บันทึกชั่วคราว” จากข้อมูลที่สืบค้นได้ทางอินเทอร์เน็ตและคำบอกเล่าจากพื้นที่ อาจยังมีช่องว่าง ความคลาดเคลื่อน หรือมุมมองที่ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด ผู้เขียนและกองบรรณาธิการพร้อมอย่างยิ่งหากนักวิชาการ นักวิจัย หรือผู้รู้ในพื้นที่จะเข้ามาเพิ่มเติม ตรวจสอบ และปรับแก้ เพื่อให้เรื่องราวของบ้านป่าสักงามถูกเล่าอย่างรอบด้านและเป็นธรรมที่สุด

เพราะท้ายที่สุด ความเข้มแข็งของคุ้มเวียงราชพลีมิใช่เพียงความสามารถในการจัดงานประเพณีหรือดึงดูดนักท่องเที่ยว หากแต่คือความสามารถในการยืนยันว่า “ทุกคนมีสิทธิที่จะรักษารากเหง้าของตนเอง และมีส่วนร่วมกำหนดอนาคตของพื้นที่ที่เรียกว่า ‘บ้าน’”

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • “แผนพัฒนาท้องถิ่น พ.ศ. 2566–2570” ขององค์การบริหารส่วนตำบลดงมหาวัน ว่าด้วยโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบน้ำสะอาด พลังงานแสงอาทิตย์ และระบบสื่อสารในพื้นที่หมู่ที่ 9
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
SOCIETY & POLITICS

พะเยา ทุ่มงบประมาณ 208 ล้านบาท สร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ พื้นที่ 7,000 ตร.ม.

โครงการสำคัญในจังหวัดพะเยาที่ รมช.อัคราเร่งขับเคลื่อน

การปลูกข้าวหลากสีเพื่อเพิ่มมูลค่าและส่งเสริมการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2567 นายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ลงพื้นที่จังหวัดพะเยาเพื่อขับเคลื่อนโครงการปลูกข้าวหลากสี ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับการผลิตข้าวในพื้นที่ โดยโครงการนี้ได้รับการดำเนินการโดยกรมการข้าว ซึ่งมีเป้าหมายที่จะพัฒนาพื้นที่นาข้าวในตำบลสันป่าม่วง อำเภอเมืองพะเยา ให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเรียนรู้และสัมผัสกับอัตลักษณ์ของจังหวัดพะเยา

คุณค่าของข้าวหลากสีและความเป็น Super Food แห่งอนาคต

ข้าวหลากสีที่ปลูกในโครงการนี้มีลักษณะพิเศษเนื่องจากเป็นข้าวที่มีโปรตีนสูงที่สุดในโลก จัดว่าเป็น Super Food แห่งอนาคต ซึ่งมีคุณสมบัติทางโภชนาการที่ดีเยี่ยม อีกทั้งข้าวชนิดนี้ยังมีใบที่มีสีสันหลากสี ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยี่ยมชมแปลงนาข้าวที่สวยงาม

การปลูกข้าวหลากสีแบบปลอดสารเคมีเพื่อความยั่งยืน

หนึ่งในจุดเด่นของโครงการข้าวหลากสี คือ การปลูกแบบปลอดสารเคมี ทำให้ผู้บริโภคและผู้ผลิตสามารถมั่นใจได้ว่าข้าวนี้มีความปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเป็นการช่วยส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

การแปรรูปข้าวหลากสีเพื่อเพิ่มมูลค่า

นอกจากการปลูกแล้ว โครงการนี้ยังเน้นการแปรรูปข้าวหลากสี เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ โดยเมื่อข้าวหลากสีได้รับการแปรรูปแล้ว จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงมาก ซึ่งเป็นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพของเกษตรกรในพื้นที่ให้สามารถผลิตและแปรรูปข้าวได้ด้วยตนเอง

การสนับสนุนจากภาครัฐและความร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่น

โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และยังมีการทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรท้องถิ่น ภาควิชาการ และภาคธุรกิจ ซึ่งถือเป็นความร่วมมือที่สำคัญในการพัฒนาและขับเคลื่อนโครงการให้ประสบความสำเร็จ

แผนการปลูกข้าวหลากสีในเดือนตุลาคม 2567

กรมการข้าวได้วางแผนที่จะดำเนินการปลูกข้าวหลากสีในเดือนตุลาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเก็บเกี่ยวข้าวเพื่อรองรับการท่องเที่ยวในช่วงปีใหม่

ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา: แหล่งการเรียนรู้ด้านประมงในอนาคต

โครงการสำคัญอีกหนึ่งโครงการที่ได้รับการขับเคลื่อนในจังหวัดพะเยา คือ การสร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา ซึ่งเป็นโครงการที่ดำเนินการโดยกรมประมง โดยศูนย์นี้จะเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์สัตว์น้ำ และเป็นแหล่งการเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์น้ำจืดและพันธุ์ไม้น้ำ เพื่อให้ความรู้กับนักเรียน นักศึกษา ประชาชนทั่วไป รวมถึงผู้ที่สนใจในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ

แผนการจัดตั้งศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ

ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา จะถูกจัดตั้งขึ้นบริเวณสวนสาธารณะเทศบาลเมืองพะเยา โดยพื้นที่ที่จะใช้ในการจัดตั้งศูนย์นั้นมีขนาดประมาณ 7,000 ตารางเมตร และประกอบด้วยอาคารศึกษาและจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ พื้นที่อนุบาลพันธุ์สัตว์น้ำ พื้นที่กิจกรรมกลางแจ้ง และพื้นที่บริการ

วัตถุประสงค์ของศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา

วัตถุประสงค์หลักของศูนย์นี้คือการให้ความรู้และสร้างความตระหนักในการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำในท้องถิ่น รวมถึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงการศึกษา ที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับจังหวัดพะเยาในระยะยาว

การเชื่อมโยงโครงการข้าวหลากสีและศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำ

ทั้งสองโครงการนี้มีจุดเชื่อมโยงที่สำคัญ คือ การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นการพัฒนาที่มุ่งเน้นความยั่งยืนและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทั้งภาคการเกษตรและการท่องเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งที่สวนสมเด็จย่า 90 ริมกว๊านพะเยา ซึ่งมีโครงการก่อสร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา (อควาเรียม) พื้นที่ 7,000 ตารางเมตร งบประมาณ 208 ล้านบาท โดยนางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า ศูนย์ฯ ดังกล่าวมีลักษณะเดียวกับบึงฉวาก จ.สุพรรณบุรี ได้รับงบประมาณปี 2568 สามารถดำเนินการก่อสร้างภายในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา เป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์สัตว์น้ำในการศึกษาการดำรงชีวิตและอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำประจำถิ่นให้ยั่งยืน และเป็นสถานที่ให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์น้ำจืด พรรณไม้น้ำ แก่นักเรียน นักศึกษา ประชาชน เกษตรกร หรือผู้สนใจทั่วไป เป็นการสร้างความตระหนัก รับรู้ เห็นคุณค่า ของการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำจืด และส่งเสริมการท่องเที่ยวของจ.พะเยา กรมประมงจึงมีความประสงค์ขอใช้พื้นที่สวนสาธารณเทศบาลเมืองพะเยา บริเวณสวนสมเด็จย่า 90พรรษา เพื่อก่อสร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา เป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จย่าของแผ่นดิน อีกโอกาสหนึ่งด้วย

การขับเคลื่อนนโยบายการเกษตรของ รมช.อัครา

รมช.อัครา พรหมเผ่า ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายการเกษตรในจังหวัดพะเยา โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรมีความสามารถในการแข่งขันสูงขึ้น และสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์เกษตรให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น

การสนับสนุนงบประมาณสำหรับโครงการในอนาคต

สำหรับโครงการศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา ได้มีการเสนอขอจัดสรรงบประมาณในปี 2568 เพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างและพัฒนาโครงการนี้ให้เป็นจริง โดยมีเป้าหมายที่จะให้ศูนย์นี้กลายเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญและเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดพะเยา

ความสำคัญของการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในพะเยา

จังหวัดพะเยามีศักยภาพสูงในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร โดยการนำทรัพยากรทางธรรมชาติและวัฒนธรรมท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์ ซึ่งทั้งโครงการข้าวหลากสีและศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยา เป็นตัวอย่างของการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่สามารถเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่

บทสรุป

การลงพื้นที่ของ รมช.อัครา ในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการสำคัญในจังหวัดพะเยา ไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าวหลากสีเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ และการสร้างศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำที่เป็นแหล่งการเรียนรู้และอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำ ซึ่งทั้งสองโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและการพัฒนาชุมชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

FAQs

  1. ข้าวหลากสีมีคุณสมบัติพิเศษอย่างไร? ข้าวหลากสีเป็นข้าวที่มีโปรตีนสูงที่สุดในโลก และถือเป็น Super Food แห่งอนาคต

  2. โครงการปลูกข้าวหลากสีช่วยเกษตรกรอย่างไร? โครงการนี้ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับการผลิตข้าว และยังช่วยพัฒนาเกษตรกรให้สามารถแปรรูปผลิตภัณฑ์ได้ด้วยตนเอง

  3. ศูนย์แสดงพันธุ์สัตว์น้ำพะเยามีวัตถุประสงค์อะไร? ศูนย์นี้มีวัตถุประสงค์ในการรวบรวมพันธุ์สัตว์น้ำ และให้ความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์สัตว์น้ำจืด

  4. การปลูกข้าวหลากสีมีผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร? การปลูกข้าวหลากสีใช้วิธีการปลูกแบบปลอดสารเคมี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดพะเยา

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News