บ้านป่าสักงาม โมเดลพหุวัฒนธรรม 9 ชนเผ่า สู่การเป็นห้องเรียนมีชีวิตแห่งเชียงราย
เชียงราย, 20 ธันวาคม 2568 – สายลมหนาวปลายปีพัดผ่านทุ่งดอกดาวเรืองสีทองของบ้านป่าสักงาม ขณะที่เสียงปี่ เสียงกลอง และภาษาชนเผ่านานานับไม่ถ้วนขับขานรับแขกผู้มาเยือนจากทั่วจังหวัด ภายใต้ฉากหลังของภูเขาและหมอกบางยามเช้า ชุมชนเล็ก ๆ แห่งอำเภอเวียงเชียงรุ้งกำลังก้าวขึ้นสู่เวทีสาธารณะอีกครั้ง ในฐานะ “ห้องเรียนพหุวัฒนธรรมมีชีวิต” ของจังหวัดเชียงราย
เช้าวันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2568 บริเวณลานกิจกรรมบ้านป่าสักงาม (คุ้มเวียงราชพลี) ตำบลดงมหาวัน แน่นขนัดไปด้วยประชาชนจาก 9 กลุ่มชาติพันธุ์ เยาวชน นักเรียน ผู้นำชุมชน และหน่วยงานท้องถิ่นกว่า 250 คน ที่มาร่วมในพิธีเปิด “โครงการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมชนเผ่าตำบลดงมหาวัน” โดยมี นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) เป็นประธาน พร้อมด้วยสมาชิกสภา อบจ.เชียงราย ตัวแทนผู้นำท้องถิ่น และคณะกรรมการชุมชนร่วมเป็นสักขีพยาน
โครงการดังกล่าวถูกวางบทบาทให้เป็น “กลไกกลาง” เชื่อมร้อยอัตลักษณ์ของทั้ง 9 ชนเผ่า เข้ากับการพัฒนาชุมชนสู่แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน เป้าหมายไม่ใช่เพียงการจัดงานเทศกาลเพื่อความคึกคักในระยะสั้น แต่คือการวางรากฐานให้คนรุ่นหลังได้มีพื้นที่เรียนรู้มรดกของตนเอง และใช้ทุนทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของบ้านป่าสักงามในระยะยาว
ที่สำคัญ บทความข่าวชิ้นนี้มิได้อ้างตนเป็นงานวิชาการหรือบทความเชิงวิจัย หากแต่เป็น “รายงานข่าวเชิงลึก” ที่รวบรวมข้อมูลจากเอกสารออนไลน์ของหน่วยงานรัฐ ข่าวประชาสัมพันธ์ในพื้นที่ และคำบอกเล่าของคนในชุมชน ผู้เขียนยินดีอย่างยิ่งหากนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญด้านชาติพันธุ์ศึกษาและการพัฒนาชุมชนจะเข้ามาเพิ่มเติม แก้ไข และต่อยอดข้อมูล เพื่อให้ภาพของบ้านป่าสักงามสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในอนาคต
จากการรวมตัว 9 ชนเผ่า สู่ “คุ้มเวียงราชพลี”
บ้านป่าสักงาม (คุ้มเวียงราชพลี) หมู่ที่ 9 ตำบลดงมหาวัน อำเภอเวียงเชียงรุ้ง ก่อตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2547 จากการรวมตัวของกลุ่มชาติพันธุ์ถึง 9 ชนเผ่า ได้แก่ ม้ง อาข่า ลาหู่ ลีซู เมี่ยน จีนยูนนาน ไทลื้อ ไทใหญ่ และคะฉิ่น รวมประมาณ 304 หลังคาเรือน ประชากรราว 1,500 คน
การรวมตัวครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความจำเป็นด้านที่อยู่อาศัย หากยังเป็นการ “ต่อรองสถานะ” กับสังคมภายนอก ชุมชนต้องการพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่เพียง “ผู้บุกรุกป่า” หรือ “แรงงานอพยพไร้ตัวตน” หากแต่เป็นพลเมืองที่มีวัฒนธรรม ทุนทางความรู้ และศักยภาพในการพัฒนาพื้นที่อย่างสร้างสรรค์
ชื่อ “เวียงราชพลี” หรือที่คนในพื้นที่บางครั้งเรียกว่า “บ้านเวียงฟ้า” สะท้อนความใฝ่ฝันของชุมชนที่จะยกระดับหมู่บ้านให้เป็น “เวียง” หรือเมืองน้อย ๆ ที่มีศักดิ์ศรีและความสง่างาม ท่ามกลางภูมิประเทศแบบที่ราบสลับเนินเขา ซึ่งเหมาะแก่การทำเกษตรผสมผสานและการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ
ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ชุมชนได้เรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างทางภาษา ความเชื่อ และประเพณี ผ่านการตั้งคณะกรรมการกลุ่มชาติพันธุ์ 9 ชนเผ่า ทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อม” ระหว่างหมู่บ้านกับหน่วยงานรัฐ รวมถึงการจัดกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานประเพณี กีฬาเยาวชน และกิจกรรมจิตอาสาในระดับตำบล
โครงสร้างพื้นฐาน ถนน แสงสว่าง และน้ำสะอาด ที่ทำให้หมู่บ้านไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
แม้จะเป็นหมู่บ้านชายขอบ แต่บ้านป่าสักงามไม่ใช่พื้นที่ที่รัฐละเลย แผนพัฒนาท้องถิ่น พ.ศ. 2566–2570 ของ องค์การบริหารส่วนตำบลดงมหาวัน (อบต.ดงมหาวัน) ระบุโครงการสำคัญหลายโครงการที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตและรองรับการท่องเที่ยว เช่น
- การก่อสร้างถนนลาดยางและถนนแอสฟัลต์คอนกรีต เส้นทางบ้านป่าสักงาม–เวียงราชพลี–ที่ทำการ อบต.ดงมหาวัน รวมระยะทางเกือบ 6 กิโลเมตร วงเงินประมาณ 2 ล้านบาทต่อปี
- การติดตั้งไฟกิ่งพลังงานแสงอาทิตย์ใน 11 หมู่บ้านของตำบล ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการสัญจรยามค่ำคืนและลดต้นทุนค่าไฟของท้องถิ่น
- การพัฒนาหนองไคร้ หมู่ 9 ให้เป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และกำจัดผักตบชวาอย่างเป็นระบบ
- การจัดทำระบบกรองน้ำดื่มชุมชนและบ่อบาดาลพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงน้ำสะอาดอย่างทั่วถึง
- การติดตั้งระบบเสียงตามสายในหมู่บ้าน เพื่อใช้กระจายข่าวสารจากภาครัฐและชุมชน ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านข้อมูล
แม้โครงการเหล่านี้จะเป็นเพียง “โครงสร้างพื้นฐานพื้นฐาน” หากแต่มันคือรากฐานสำคัญในการทำให้ชุมชนสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมีศักดิ dignity และเปิดประตูให้คนภายนอกเข้ามาเรียนรู้วิถีชีวิตของ 9 ชนเผ่าได้สะดวกขึ้น
9 ชนเผ่า 1 ชุมชน พหุวัฒนธรรมที่หายใจได้
เสน่ห์ของบ้านป่าสักงามอยู่ที่การที่ผู้มาเยือนสามารถสัมผัสวัฒนธรรมของ 9 ชนเผ่าได้ในพื้นที่เดียว การเดินเพียงไม่กี่ร้อยเมตรอาจได้ยินทั้งเสียงภาษาม้ง อาข่า ลาหู่ และคำเมืองสลับไปมา ราวกับกำลังเดินอยู่ใน “พิพิธภัณฑ์มีชีวิต”
- กลุ่มม้ง มีบทบาทเด่นในงานประเพณีปีใหม่ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก อบต.ดงมหาวัน ทั้งในด้านงบประมาณและพื้นที่จัดงาน งานปีใหม่ม้งจึงไม่เพียงเป็นเทศกาลของเผ่าตนเอง หากยังเป็นเวทีให้ชนเผ่าอื่นและนักท่องเที่ยวได้เรียนรู้วัฒนธรรมผ่านการแต่งกาย การเล่นลูกข่าง ขว้างลูกช่วง และการละเล่นดั้งเดิม
- กลุ่มลีซู อาข่า ลาหู่ และเมี่ยน สืบทอดภูมิปัญญาด้านการเกษตรบนพื้นที่สูง การจัดการป่า และการใช้ยาสมุนไพรพื้นบ้าน วัฒนธรรมความเชื่อเกี่ยวกับผีบรรพบุรุษและเทพเจ้าผูกพันกับการดูแลป่า น้ำ และภูเขา ซึ่งกลายเป็นฐานคิดสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในระดับชุมชน
- กลุ่มไทลื้อและไทใหญ่ นำวัฒนธรรมแบบที่ราบลุ่มน้ำและล้านนามาผสมผสาน ทั้งการทอผ้า อาหาร และประเพณีทางพุทธศาสนา ทำให้ชุมชนสามารถเชื่อมต่อกับสังคมเมืองเชียงรายได้อย่างกลมกลืน
- กลุ่มจีนยูนนาน มีบทบาทด้านการค้าและอาหาร สร้างสีสันให้ตลาดชุมชนด้วยเมนูจีนยูนนานและชาร้อนบนดอย
- กลุ่มคะฉิ่น แม้มีจำนวนไม่มาก แต่ยังคงรักษาการฟ้อนรำ “มาเนา” และพิธีกรรมเฉพาะตัวไว้ เป็นหลักฐานของการเดินทางข้ามพรมแดนรัฐชาติที่ยาวนานของกลุ่มชาติพันธุ์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การอยู่ร่วมกันของคนทั้ง 9 เผ่ามิใช่เรื่องง่าย ความต่างทางภาษาและศาสนามักสร้างความไม่เข้าใจในระยะแรก แต่ตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา ชุมชนใช้ “ประเพณีร่วม” และ “พื้นที่กิจกรรมร่วม” เป็นเครื่องมือสำคัญ ตั้งแต่งานกีฬาเด็กและเยาวชนตำบล การบวชลูกแก้ว การทำบุญหมู่บ้าน ไปจนถึงการจัดตลาดวัฒนธรรมในช่วงเทศกาลสำคัญ ทำให้ความต่างค่อย ๆ กลายเป็นพลัง
ม่อนดาวเรือง ดอกไม้สีทองที่เปลี่ยนภูเขาให้เป็นเวทีท่องเที่ยว
หากพูดถึงบ้านป่าสักงามในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ภาพที่มักปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์คือ “ม่อนดาวเรือง” – ทุ่งดอกดาวเรืองสีเหลืองทองบนเนินเขา ที่สมาชิกในชุมชน 18 ครอบครัวร่วมกันพัฒนา
เริ่มต้นจากการมองหา “พืชเศรษฐกิจ” ที่เหมาะกับสภาพพื้นที่และสามารถสร้างภาพจำให้หมู่บ้านได้ ชาวบ้านจึงทดลองปลูกดอกดาวเรืองในพื้นที่บนเขา ปรับผังแปลงให้เป็นมุมมองกว้างรับกับภูเขาและท้องฟ้า เมื่อถึงฤดูดอกบาน ภูเขาทั้งลูกกลายเป็นผืนผ้าสีทองดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ขึ้นมาถ่ายภาพและชมวิว
รายได้จากการขายดอกดาวเรืองตัดดอก และค่าบริการเล็กน้อยจากจุดชมวิวกลายเป็นรายได้เสริมของครอบครัว ขณะที่ภาพของม่อนดาวเรืองยังถูกใช้เป็น “หน้าตา” ของคุ้มเวียงราชพลีในการประชาสัมพันธ์งานวัฒนธรรมและเทศกาลต่าง ๆ ของตำบลดงมหาวันอีกด้วย
โมเดลดังกล่าวสะท้อนการใช้ที่ดินอย่างคุ้มค่าในพื้นที่จำกัด สร้างรายได้โดยไม่ทำลายภูเขาจนเกินสมดุล และยังผูกโยงการเกษตรเข้ากับการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม
เงาแห่งความเปราะบาง ปัญหาที่ดินและสิทธิของคนชายขอบ
ภายใต้ภาพสวยงามของดอกไม้และชุดชนเผ่าหลากสี บ้านป่าสักงามยังต้องเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่อาจละเลยได้ โดยเฉพาะ ข้อพิพาทเรื่องสิทธิในที่ดินทำกิน
จากข้อมูลข่าวร้องเรียนของชุมชนในช่วงปลายปี 2566 มีการระบุว่าชาวบ้านกว่า 300 หลังคาเรือนถูกผู้ถือเอกสารสิทธิรายหนึ่งอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ที่ชุมชนอยู่อาศัยและทำกินมานานกว่า 15 ปี พร้อมแจ้งให้ย้ายออกภายในระยะเวลาอันสั้น สร้างความกังวลและความไม่มั่นคงด้านชีวิตให้กับประชาชนทั้ง 9 ชนเผ่า
ประธานกลุ่มชาติพันธุ์ 9 ชนเผ่าได้ออกมาเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยยืนยันว่าชุมชนได้ร่วมกันพัฒนาพื้นที่จากป่ารกร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งผลิตทางการเกษตรของอำเภอ การให้ชาวบ้านกว่า 1,500 คนต้องโยกย้ายในเวลาอันจำกัดจึงไม่เพียงเป็นเรื่องยากในทางปฏิบัติ แต่ยังเป็นคำถามเรื่องความเป็นธรรมในระบบการจัดการที่ดินของรัฐ
แม้ข้อพิพาทจะยังอยู่ระหว่างกระบวนการเจรจาและตรวจสอบ แต่เหตุการณ์นี้ตอกย้ำให้เห็นว่า ความหลากหลายทางวัฒนธรรมไม่ได้ทำให้ชุมชนแข็งแกร่งเสมอไป หากไม่มีหลักประกันเชิงโครงสร้างรองรับ โดยเฉพาะสิทธิในที่ดินและทรัพยากรที่เป็นฐานชีวิตของผู้คน
พิธีเปิดโครงการ 20 ธันวาคม 2568 เวทีประกาศเจตจำนงของชุมชน
บรรยากาศในวันที่ 20 ธันวาคม 2568 จึงไม่ใช่เพียงงานรื่นเริง หากแต่เป็นเวทีประกาศเจตนารมณ์ของชุมชนต่อสาธารณะว่า บ้านป่าสักงามต้องการเดินหน้าบนเส้นทางของ “การอนุรักษ์ควบคู่การพัฒนา”
โครงการอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมชนเผ่าตำบลดงมหาวันที่เปิดตัวในวันดังกล่าว มีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่
- อนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นของทั้ง 9 ชนเผ่าให้เกิดความยั่งยืน
- เสริมสร้างความสามัคคีและความสัมพันธ์อันดีระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในชุมชน
- พัฒนาศักยภาพชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมในระดับจังหวัดเชียงราย
ภายในงานมีการแสดงวัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่า การเดินแฟชั่นชุดประจำเผ่า การจำหน่ายผลิตภัณฑ์แฮนด์เมด เช่น ผ้าปัก เครื่องเงิน เครื่องจักสาน และอาหารพื้นถิ่นที่ผสมผสานอิทธิพลจีน–ล้านนา–ชนเผ่าบนดอยอย่างลงตัว
การที่ นายก อบจ.เชียงราย พร้อมด้วยสมาชิกสภาจังหวัดและผู้นำท้องถิ่นเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ส่งสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ว่า บ้านป่าสักงามไม่ได้ยืนอยู่ลำพังในสมรภูมิการรักษาอัตลักษณ์และสิทธิในพื้นที่ของตนเอง
เยาวชน สะพานเชื่อมอดีตสู่อนาคต
หัวใจสำคัญของการที่หมู่บ้านแห่งนี้จะยืนหยัดได้ในระยะยาวคือ “เยาวชน” ชุมชนบ้านป่าสักงามใช้วิธี “เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ” เป็นหลัก ตั้งแต่การให้เด็ก ๆ เข้าร่วมขบวนแห่ประเพณีปีใหม่ม้ง ฝึกเต้นรำและร้องเพลงของแต่ละเผ่า ไปจนถึงการช่วยพ่อแม่ขายสินค้าวัฒนธรรมในงานเทศกาล
เมื่อเยาวชนได้เห็นว่าภูมิปัญญาของบรรพบุรุษสามารถแปรเปลี่ยนเป็นรายได้และความภาคภูมิใจ พวกเขาย่อมมีแรงจูงใจในการรักษาอัตลักษณ์ของตนเอง มากกว่าการละทิ้งหมู่บ้านไปหางานในเมืองใหญ่
ในอีกด้านหนึ่ง การใช้ภาษาไทยกลางและภาษาคำเมืองควบคู่กับภาษาชนเผ่า ทำให้เด็กและเยาวชนเติบโตขึ้นมาในฐานะ “คนพหุวัฒนธรรม” ที่สื่อสารได้หลายภาษา เข้าใจทั้งโลกของชุมชนบนดอยและโลกสมัยใหม่ในเมือง ชุดทักษะนี้นับเป็นทุนมนุษย์ที่สำคัญของพื้นที่ชายขอบอย่างเวียงเชียงรุ้ง
ข้อสังเกตเชิงนโยบายและคำชวนคิดถึงสังคมวงกว้าง
กรณีของบ้านป่าสักงาม (คุ้มเวียงราชพลี) ชี้ให้เห็นบทเรียนสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ
ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ไม่ใช่ภาระ หากได้รับการออกแบบให้เป็นทรัพยากร ชุมชนที่มี 9 ชนเผ่าสามารถใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และเสริมสร้างความสามัคคีได้จริง เมื่อมีเวทีให้ทุกเผ่ามีตัวตนและเสียงของตนเอง โครงสร้างพื้นฐานและสิทธิในที่ดินคือเงื่อนไขฐานรากของการพึ่งพาตนเอง ถนน น้ำสะอาด ไฟฟ้า และระบบสื่อสาร ช่วยให้หมู่บ้านเข้าถึงโอกาสจากภายนอก แต่หากสิทธิในที่ดินยังไม่มั่นคง ความพยายามทั้งหมดอาจถูกสั่นคลอนในพริบตา เยาวชนคือสะพานเชื่อมอดีต–ปัจจุบัน–อนาคต หากคนรุ่นใหม่มองเห็นคุณค่าของภาษาตนเอง งานฝีมือของบรรพบุรุษ และภูมิปัญญาการจัดการป่า เชียงรายและประเทศไทยก็จะมี “ทุนทางวัฒนธรรม” ที่แข็งแรงไว้ต่อรองกับความเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่
ในมุมของสังคมวงกว้าง บ้านป่าสักงามอาจเป็นเพียงชื่อหมู่บ้านเล็ก ๆ ในแผนที่เชียงราย แต่สำหรับผู้ที่เคยสัมผัสหรือติดตามเรื่องราวของชุมชนแห่งนี้ มันคือ “พื้นที่ทดลอง” สำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างเคารพความแตกต่าง การใช้ทุนวัฒนธรรมสร้างเศรษฐกิจ และการต่อรองสิทธิของคนชายขอบในระบบรัฐชาติสมัยใหม่
บทความข่าวนี้ทำหน้าที่เพียง “บันทึกชั่วคราว” จากข้อมูลที่สืบค้นได้ทางอินเทอร์เน็ตและคำบอกเล่าจากพื้นที่ อาจยังมีช่องว่าง ความคลาดเคลื่อน หรือมุมมองที่ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด ผู้เขียนและกองบรรณาธิการพร้อมอย่างยิ่งหากนักวิชาการ นักวิจัย หรือผู้รู้ในพื้นที่จะเข้ามาเพิ่มเติม ตรวจสอบ และปรับแก้ เพื่อให้เรื่องราวของบ้านป่าสักงามถูกเล่าอย่างรอบด้านและเป็นธรรมที่สุด
เพราะท้ายที่สุด ความเข้มแข็งของคุ้มเวียงราชพลีมิใช่เพียงความสามารถในการจัดงานประเพณีหรือดึงดูดนักท่องเที่ยว หากแต่คือความสามารถในการยืนยันว่า “ทุกคนมีสิทธิที่จะรักษารากเหง้าของตนเอง และมีส่วนร่วมกำหนดอนาคตของพื้นที่ที่เรียกว่า ‘บ้าน’”
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
- “แผนพัฒนาท้องถิ่น พ.ศ. 2566–2570” ขององค์การบริหารส่วนตำบลดงมหาวัน ว่าด้วยโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ระบบน้ำสะอาด พลังงานแสงอาทิตย์ และระบบสื่อสารในพื้นที่หมู่ที่ 9
- องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
















