Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ขยะล้นชุมชนบ้านดอย ทต.แม่ยาว จ่าย ทน.เชียงราย เก็บ 2 ปี สะท้อนช่องว่างกฎหมายเมื่อ “เส้นทางเก็บขน” ไม่ย้ายตามเขต

ขยะล้นชุมชนบ้านดอย วิกฤต “ย้ายเขตปกครอง” สู่บทเรียนความรับผิดชอบเชิงระบบ—นครเชียงราย–แม่ยาวเตรียมทำ MOU เก็บสัปดาห์ละ 2 ครั้ง พร้อมยกระดับคัดแยกต้นทาง

เชียงราย,19 พฤศจิกายน 2568ภาพรวมสถานการณ์  เมื่อ “การย้ายเขต” ทำให้ขยะกลายเป็นตัวชี้วัดความล้มเหลวเชิงระบบ  หลัง “ย้ายเขตปกครอง” ทำชุมชนบ้านดอย หมู่ 17 ตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย ไม่มีหน่วยงานเข้าเก็บขยะต่อเนื่อง ชาวบ้านร้องทุกข์เพราะกองขยะ 7–10 วันต่อครั้ง กลายเป็นปัญหาสุขภาวะฉับพลันและศักดิ์ศรีความเป็นอยู่ หน่วยงานท้องถิ่นเร่งประชุมหลายระลอก จนได้ข้อสรุปจับมือทำ MOU  นครเชียงรายเข้าเก็บสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ยาว 2–3 ปี ค่าธรรมเนียมยัง 25 บาท/ครัวเรือน/เดือน โดยเทศบาลตำบลแม่ยาวเป็นผู้จัดสรรงบจ่ายให้นครเชียงราย ควบคู่อบรมคัดแยกขยะในครัวเรือน ขณะเดียวกัน บทเรียนครั้งนี้สะท้อน “ช่องว่างกฎหมาย–ปฏิบัติ” เมื่อย้ายเขตแล้วแต่ “เส้นทางเก็บขน–ปลายทางกำจัด” ไม่ได้ย้ายตามมาตรฐาน ประชาชนตั้งคำถามถึงความรับผิดชอบที่ต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม

ปัญหาขยะกองสุมตามข้างทางในชุมชนบ้านดอย หมู่ 17 ต.แม่ยาว ปะทุสู่ “วิกฤตสุขภาวะ” จากเดิมที่ เทศบาลนครเชียงราย เก็บขยะ ทุกวัน กลับกลายเป็นพื้นที่รับผิดชอบของ เทศบาลตำบลแม่ยาว ภายหลังการแบ่งเขตการปกครองใหม่ แต่การจัดวางระบบเก็บ–ขน–กำจัดไม่ต่อเนื่อง ทำให้ความถี่ลดลงเหลือ 7–10 วันต่อครั้ง ส่งผลให้ขยะตกค้างจำนวนมาก เกิดกลิ่นเหม็น หนู–แมลงวัน–สุนัขจรจัดเพิ่มขึ้น ชาวบ้านจำนวนหนึ่งเริ่มมีอาการไอ แสบคอ ระคายเคือง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงอย่างเด็กและผู้สูงอายุ (คำให้ข้อมูลของชุมชน)

ตัวแทนชาวบ้าน “นายนรินทร์” อธิบายว่า เดิมชุมชนบ้านดอยอยู่ หมู่ 3 ต.ริมกก อยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลนครเชียงราย มีรถเข้าจัดเก็บทุกวัน เมื่อถูกย้ายมา หมู่ 17 ต.แม่ยาว ระบบเก็บขยะใหม่ยังไม่ลงตัว ทำให้ขยะกองสุมต่อเนื่อง เส้นทางซอย 4, 5, 7 และหมู่บ้านลลิตา 5 ได้รับผลกระทบรุนแรง

สัญญาณเสี่ยงทางสุขภาพ  การปล่อยให้ขยะสะสมหรือเผาแบบไม่เป็นระบบเพิ่มความเสี่ยงฝุ่นละเอียดและมลพิษหลายชนิด ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขและองค์ความรู้สากลเตือนต่อเนื่อง การเผาขยะกลางแจ้งเป็นแหล่งกำเนิดสารพิษ เช่น ไดออกซิน–ฟิวแรน–ฝุ่น PM กระทบระบบทางเดินหายใจและหัวใจและหลอดเลือด (องค์ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศและเอกสารเชิงเทคนิคของสหประชาชาติ/สิ่งแวดล้อม สนับสนุนข้อเท็จจริงนี้)

ไทม์ไลน์ข้อเท็จจริง  จาก “ร้องเรียน–ลงพื้นที่–ประชุม” สู่ข้อสรุปทำ MOU

ต.ค.–พ.ย. 2568 มีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของฝ่ายปกครองท้องถิ่นและตัวแทนชุมชน เพื่อหาทางออกเร่งด่วนและถาวร ดังนี้ (ยึดข้อมูลพื้นที่ที่ผู้สื่อข่าวรวบรวม)

  • 22 ต.ค. 2568 เทศบาลตำบลแม่ยาวแจ้งกำหนดการออกหน่วยรับชำระค่าธรรมเนียมขยะ ประจำปีงบประมาณ 2569 เพื่อจัดระเบียบฐานข้อมูลผู้ชำระและรายรับท้องถิ่นในพื้นที่ใหม่
  • 24 ต.ค. 2568 นายกเทศมนตรีตำบลแม่ยาวมอบหมายคณะผู้บริหาร–ปลัดเทศบาล–กองสาธารณสุข ประชุมแผนบริหารจัดการขยะระดับตำบล ณ ห้องประชุม 248 อนุสรณ์
  • 27–31 ต.ค. 2568 และ 3–7 พ.ย. 2568 ฝ่ายจัดเก็บรายได้และกองคลัง ลงพื้นที่บริการจัดเก็บค่าธรรมเนียมในหมู่บ้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ระบบการเงิน–การคลังรองรับการให้บริการในพื้นที่ใหม่
  • 28 ต.ค. 2568 เลขานุการนายกเทศมนตรีลงพื้นที่ดูการแก้ไขปัญหาขยะของชุมชนบ้านดอย (ติดคอขวดเรื่องความถี่เก็บ–ขน)
  • 3 พ.ย. 2568 (เช้า) ผู้บริหารทต.แม่ยาว–กองสาธารณสุขฯ เข้าประชุมหาแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนบ้านดอย หมู่ 17 อย่างเฉพาะเจาะจง
  • 5 พ.ย. 2568 สองการประชุมสำคัญ  (1) ฝ่ายสาธารณสุขท้องถิ่นร่วมประชุมชี้แจงโครงการจัดการขยะ–สิ่งปฏิกูลในเขตป่าสงวน ระดับจังหวัด ณ ศาลากลาง จ.เชียงราย (2) ผู้บริหารทต.แม่ยาวหารือผู้แทนชุมชนบ้านดอย ณ ร้าน Leehu Cafe เพื่อรับฟังปัญหาหน้างาน
  • 6–7 พ.ย. 2568 เจ้าหน้าที่การคลังและคณะผู้บริหารยังคงลงพื้นที่รับชำระและติดตามสถานการณ์
  • 10 พ.ย. 2568 (เช้า) คณะผู้บริหารทต.แม่ยาวเข้าหารือกับ เทศบาลนครเชียงราย โดยตรง เพื่อหากลไกร่วมกัน
  • 10 พ.ย. 2568 (เย็น) ประชุมร่วมกันที่อาคารอเนกประสงค์บ้านดอย เพื่อสื่อสารข้อยุติกับชุมชน
  • 16 พ.ย. 2568 เปิด “หมู่บ้านต้นแบบบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน ปีงบ 2569” ที่อาคารอเนกประสงค์ชุมชนบ้านดอย สะท้อนความพยายามยกระดับ “คัดแยกต้นทางและความถี่เก็บขน” ให้กลับเข้าสู่มาตรฐานอย่างยั่งยืน

ข้อสรุปเชิงปฏิบัติการ (เบื้องต้น)  ภายใน ประมาณ 2 สัปดาห์ นับจากการตกผลึกแนวคิดร่วมกัน สองเทศบาลจะทำ บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โดย เทศบาลนครเชียงราย จะเข้ามาเก็บขยะในชุมชนบ้านดอยและชุมชนทวีรัตน์ สัปดาห์ละ 2 วัน เป็นเวลา 2–3 ปี เพื่อ “อุดช่องว่างบริการ” ระหว่างช่วงเปลี่ยนผ่าน ขณะที่ ค่าธรรมเนียม ยังเป็น 25 บาท/ครัวเรือน/เดือน เหมือนเดิม แต่ เทศบาลตำบลแม่ยาว จะเป็นผู้จัดสรรงบประมาณมาชำระให้เทศบาลนครเชียงราย โดยไม่เก็บเงินเพิ่มจากชาวบ้าน พร้อมทั้งมีการลงพื้นที่ อบรมคัดแยกขยะในครัวเรือน ภายในสัปดาห์เดียวกัน

ประเด็นที่ต้องการคำตอบ  “ฝังกลบแบบไหน—ใครทำ—ทำไม—ใครบอกให้ทำ?”

เพื่อไม่ให้ “หลงทางของเรื่อง” ดังที่ชุมชนตั้งคำถาม ผู้สื่อข่าวสรุป “โซ่อุปทานขยะมูลฝอยชุมชน” และกรอบกฎหมาย–มาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

โซ่บริการขยะ (เก็บ–ขน–กำจัด) และความรับผิดชอบ

  • จุดตั้งต้น (บ้าน–ร้าน–ตลาด)  เจ้าของหรือผู้อยู่อาศัยต้อง “คัดแยก–เก็บรักษาขยะให้เรียบร้อย” และชำระค่าธรรมเนียมตามที่ท้องถิ่นกำหนด
  • การเก็บ–ขน  เป็น “หน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)” ในเขตพื้นที่นั้น ๆ ตาม พ.ร.บ.การรักษาความสะอาดฯ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และ พ.ร.บ.สาธารณสุข พ.ศ. 2535 ซึ่งกำหนดให้อปท.มีหน้าที่ดูแลการกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยเพื่อคุ้มครองสุขอนามัยของประชาชน (อปท.สามารถมอบหมาย–ทำสัญญา–หรือทำ MOU ให้หน่วยงานอื่นช่วยดำเนินการได้)
  • ปลายทางกำจัด  ต้องเป็นวิธีที่ ถูกต้องตามหลักวิชาการและกฎหมาย เช่น นำไปสู่โรงคัดแยก/ศูนย์กำจัด, ฝังกลบแบบสุขาภิบาล (Sanitary Landfill), ทำปุ๋ยอินทรีย์ (Organic/Composting), แปรรูปพลังงาน หรือเทคโนโลยีอื่นที่ผ่านการอนุญาตและการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยมีมาตรฐานและคู่มือวิชาการจาก กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)

แปลว่า  เมื่อ “เก็บ–ขน” สะดุดเพราะย้ายเขต ความผิดปกติเกิด ตั้งแต่กลางทาง ทำให้ปลายทาง “กำจัดอย่างถูกต้อง” ไม่เกิดขึ้นตามรอบเวลา ขยะจึงล้นสะสมและบางกรณีถูกเผาหรือทิ้งไม่ถูกที่โดยปัจเจก ซึ่ง ผิดกฎหมายและเสี่ยงสุขภาพ (ดู 3.3)

3.2 “ฝังกลบแบบสุขาภิบาล” คืออะไร ต่างจาก “หลุมฝังกลบธรรมดา” อย่างไร

  • ฝังกลบสุขาภิบาล (Sanitary Landfill)  เป็นระบบฝังกลบที่ ควบคุมผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยมี ชั้นปูรองก้นหลุม (Liner), ระบบรวบ–บำบัดน้ำชะขยะ (Leachate), ระบบรวบ–ระบายก๊าซมีเทน, และ การกลบหน้าดินเป็นชั้น ๆ พร้อมมาตรการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำดิน–น้ำใต้ดิน ตามคู่มือ/แนวทางวิชาการของ กรมควบคุมมลพิษ และมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้อ
  • ฝังกลบแบบไม่ควบคุม (เปิดทิ้ง–หลุมธรรมดา)  ขาดระบบปูรอง–จัดการน้ำชะขยะและก๊าซ จึงเสี่ยงต่อ ปนเปื้อนน้ำใต้ดิน, กลิ่น–แมลง–สัตว์พาหะ, และ ไฟไหม้กองขยะ จัดเป็น การกำจัดไม่ถูกต้อง ขัดต่อหลักสุขาภิบาลและกฎหมายสิ่งแวดล้อม

สรุปชัด ๆ  คำตอบเรื่อง “เอาขยะไปฝังดินแบบไหน” ต้องดูว่า ปลายทางได้รับอนุญาตและเป็น “หลุมฝังกลบสุขาภิบาล” จริงหรือไม่ มีระบบรองรับครบหรือเปล่า ใครเป็นผู้รับผิดชอบสถานที่นั้น หากเป็น บ่อทิ้ง/ฝังกลบที่ไม่ได้มาตรฐาน ย่อมเข้าข่าย ไม่ถูกต้อง และ ต้องยุติ–แก้ไข ตามอำนาจควบคุมของอปท.และหน่วยงานกำกับ

ใครทำ–ทำไม–และใครบอกให้ทำ (เชิงหลักการกฎหมาย)

  • ใครทำ  โดยหลักกฎหมาย อปท.ตามเขตพื้นที่ ต้องจัดให้มีการเก็บ–ขน–กำจัด หรือทำข้อตกลงให้หน่วยอื่นทำแทน และต้องรับผิดชอบมาตรฐานบริการ รวมถึงกำกับไม่ให้เกิดการทิ้ง–เผา–ฝังที่ผิดกฎหมายในพื้นที่ตน
  • ทำไม  เพราะเป็น “ภารกิจถ่ายโอน” ที่กฎหมายกำหนดให้ท้องถิ่นดูแลมูลฝอย–สิ่งปฏิกูล โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสุขลักษณะสาธารณะและสิ่งแวดล้อม (พ.ร.บ.การรักษาความสะอาดฯ / พ.ร.บ.สาธารณสุขฯ)
  • ใครบอกให้ทำ  การกำจัดแบบใด ๆ ต้องเป็นไปตาม ระเบียบ–มาตรฐาน–ใบอนุญาต ที่เกี่ยวข้อง (เช่น โรงกำจัด/บ่อฝังกลบที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย) อปท.และจังหวัด/หน่วยกำกับต้องตรวจสอบให้การดำเนินการ เป็นไปตามคู่มือวิชาการของ คพ. และกฎหมายสิ่งแวดล้อม การเผาขยะกลางแจ้งหรือทิ้งในที่สาธารณะ ไม่ใช่วิธีที่ “ใครบอกให้ทำ” แต่เป็น การกระทำต้องห้าม เนื่องจากก่อมลพิษอันตราย (หลักฐานวิชาการระหว่างประเทศยืนยันอันตรายจาก “open burning”)

ทำไมค่าธรรมเนียม 25 บาท/ครัวเรือน/เดือน “จ่ายเท่าเดิม” แต่บริการต้อง “ดีขึ้น”

การคงค่าธรรมเนียม 25 บาท/ครัวเรือน/เดือน สะท้อนหลักการ “ผู้ก่อขยะต้องมีส่วนร่วมจ่าย” (Pay-As-You-Throw – PAYT) ซึ่งเป็นแนวโน้มเชิงนโยบายที่หลายพื้นที่ทั่วโลกใช้ เพื่อให้เกิดแรงจูงใจคัดแยก–ลดขยะตั้งแต่ต้นทาง ทั้งนี้ อัตราที่เหมาะสมขึ้นกับต้นทุนเก็บ–ขน–กำจัดจริงของพื้นที่ (เช่น ราคาน้ำมัน ระยะทางไปปลายทางกำจัด ประสิทธิภาพคัดแยก) โดยงานวิชาการไทยและต่างประเทศอธิบายว่า โครงสร้างค่าธรรมเนียมที่สอดคล้องต้นทุนจริง ทำให้บริการมีเสถียรภาพ และลดการทิ้งไม่เป็นที่หรือการเผานอกระบบ

ในกรณีบ้านดอย  แม้ชาวบ้านจ่ายเท่าเดิม แต่ “ผู้รับผิดชอบบริการ” ถูกจัดวางใหม่ผ่าน MOU ให้ นครเชียงราย เข้ามาเก็บสัปดาห์ละ 2 วัน ช่วง 2–3 ปี โดย ทต.แม่ยาว เป็นผู้จัดสรรงบประมาณจ่าย “ค่าจัดการ” ให้ นี่คือ กลไกชั่วคราวที่จับต้องได้ เพื่อลดระยะเวลาตกค้าง ลดกลิ่น–สัตว์พาหะ–ความเสี่ยงสุขภาพ และซื้อเวลาให้ระบบถาวรลงตัว

ทำไม “คัดแยกต้นทาง” ต้องเริ่มทันที และเกี่ยวอะไรกับหลุมฝังกลบ

ประเทศไทยมีปริมาณขยะมูลฝอยชุมชนระดับหลายสิบล้านตันต่อปี แนวโน้มคงที่–เพิ่มขึ้นตามขนาดเมืองและพฤติกรรมบริโภค หากไม่คัดแยกต้นทาง ขยะอินทรีย์ (เศษอาหาร) จะไปลงหลุมฝังกลบ ทำให้เกิด น้ำชะขยะ และ ก๊าซมีเทน มากขึ้น เพิ่มต้นทุนควบคุม–บำบัด และทำให้ ฝังกลบสุขาภิบาล บริหารยากขึ้น คู่มือ/รายงานของ กรมควบคุมมลพิษ ย้ำแนวทาง “ลำดับขั้นการจัดการของเสีย (3Rs–Circular)” คัดแยก–รีไซเคิล–ทำปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อลดปริมาณที่ต้องกำจัดจริงให้เหลือน้อยที่สุดก่อนฝังกลบ

ผลลัพธ์ที่คาดหวังในบ้านดอย  ถ้า ความถี่เก็บเพิ่ม + ชาวบ้านคัดแยกเศษอาหาร–รีไซเคิล ตั้งแต่ครัวเรือน ปริมาณ “ขยะต้องฝังกลบ” จะลดลงรวดเร็ว กองขยะริมถนนหายไป กลิ่น–สัตว์พาหะลดลง ขณะเดียวกัน ต้นทุนรวมของระบบจะค่อย ๆ สมเหตุสมผลขึ้น

จุดรับผิดชอบที่ “จับต้องได้”  ใครต้องทำอะไร “ต่อจากนี้”

เพื่อให้เรื่องไม่วนลูป ผู้สื่อข่าวสรุป “เช็กลิสต์รับผิดชอบ” ที่วัดผลได้ ดังนี้ เทศบาลตำบลแม่ยาว (เจ้าของพื้นที่ใหม่)

  1. ลงนาม MOU กับเทศบาลนครเชียงรายให้ทันกรอบเวลา และประกาศ ตารางเก็บ–ขน รายสัปดาห์/รายซอย ให้ประชาชนเข้าถึงง่าย
  2. จัดสรรงบประมาณ ชำระค่าบริการตาม MOU อย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุด
  3. กำกับปลายทางกำจัด ให้ถูกต้องตามกฎหมาย/มาตรฐาน (เช็คสถานะสถานที่กำจัด–บ่อฝังกลบ–โรงคัดแยก) ตามคู่มือ คพ. และรายงานต่อสาธารณะเป็นระยะ
  4. อบรมคัดแยกต้นทาง ต่อเนื่อง ทำ “ธนาคารขยะชุมชน/เศษอาหารทำปุ๋ย” ในหมู่บ้านต้นแบบที่เพิ่งเปิด เพื่อให้เป็นโมเดลขยายผล

เทศบาลนครเชียงราย (ผู้ปฏิบัติการเก็บ–ขนตาม MOU)

  1. วางเส้นทาง–ความถี่เก็บ ให้ครอบคลุมซอยวิกฤต (ซอย 4,5,7, ลลิตา 5) และสื่อสารเวลารถเข้าชัดเจน
  2. มาตรฐานรถ–คน–อุปกรณ์ ป้องกันรั่วไหล–กลิ่น–น้ำชะขยะระหว่างขนส่ง
  3. รายงานผลบริการรายเดือน (เที่ยววิ่ง–ปริมาณเก็บ–ปลายทางกำจัด) เพื่อความโปร่งใส

ชุมชนบ้านดอย/คณะกรรมการชุมชน

  1. ทำ ปฏิทินคัดแยก ง่าย ๆ (อินทรีย์–รีไซเคิล–ทั่วไป) และ จุดรวมขยะที่ปลอดภัย
  2. ประสาน “จิตอาสา–เครือข่ายร้านรีไซเคิล” ให้รับซื้อ/รับคืน
  3. เปิด ช่องทางร้องเรียน–ติดตาม กับเทศบาลทั้งสองแบบเรียลไทม์ (ไลน์กลุ่ม/เพจ) เพื่อยืนยันปัญหา–แจ้งเคสเฉพาะหน้า

จังหวัด/หน่วยกำกับ (เช่น ท้องถิ่นจังหวัด–สาธารณสุขจังหวัด)

  1. กำกับ MOU ให้เดินจริงตามกรอบเวลา–มาตรฐาน
  2. สุ่มตรวจปลายทางกำจัด ว่าเป็น ฝังกลบสุขาภิบาล/โรงงานที่ได้รับอนุญาต
  3. หากพบ ฝังกลบไม่ถูกต้อง–เผากลางแจ้ง–ทิ้งไม่เป็นที่ ให้ใช้มาตรการทางกฎหมายตาม พ.ร.บ.การรักษาความสะอาดฯ/พ.ร.บ.สาธารณสุขฯ ทันที

วิกฤต “ย้ายเขต” สอนอะไร และจะไม่ให้เกิดซ้ำได้อย่างไร

การเปลี่ยนเขต = ต้องเปลี่ยนระบบบริการจริง บทเรียนชี้ชัดว่า การแจ้งย้ายเขตบนแผนที่ ไม่เพียงพอ หาก “เส้นทางรถเก็บ–ขน–สัญญาผู้รับจ้าง–งบประมาณ–ข้อมูลผู้ชำระค่าธรรมเนียม–ปลายทางกำจัด” ไม่ถูกย้าย–โอน–ทำสัญญาใหม่ ให้สอดคล้อง ในวันแรกที่เปลี่ยนเขต ผลลัพธ์คือ “ภาวะไร้หน่วยรับผิดชอบ” ชั่วคราวที่ทำให้ขยะสะสม และความถี่เก็บคือเส้นเลือดฝอยของเมือง
จาก ทุกวัน 7–10 วัน/ครั้ง ทำให้ปริมาณตกค้างพุ่ง และผู้คนเริ่ม “แก้ปัญหาเอง” ด้วยการเผาหรือนำไปทิ้งไม่ถูกที่ ซึ่งเป็น การผลักภาระสุขภาพสู่ชุมชน และก่อค่าความเสียหายในภาพรวมสูงกว่า “ต้นทุนบริการที่เพียงพอ” อย่างมาก

ความโปร่งใสด้านปลายทางกำจัด คือหัวใจความไว้วางใจ คำถาม “ฝังกลบแบบไหน–ใครบอกให้ทำ” สะท้อนความไม่แน่ใจของประชาชน MOU ต้องระบุ ปลายทางกำจัด ชัดเจน (ชื่อสถานที่/ใบอนุญาต/มาตรฐาน) และเปิดเผยรายงาน “เที่ยววิ่ง–ปริมาณ–ปลายทาง” แบบรายเดือน เพื่อให้ชุมชนตรวจสอบได้ว่าขยะถูกนำไปกำจัดแบบ ฝังกลบสุขาภิบาล หรือวิธีที่ถูกต้องจริง ไม่ใช่เพียง “เอาไปทิ้ง–ฝัง–เผา” ใด ๆ โดยไม่มีมาตรฐาน คัดแยกต้นทาง + ค่าธรรมเนียมที่สะท้อนต้นทุน = ระบบยั่งยืน
เมื่อครัวเรือนคัดแยก เศษอาหารไปทำปุ๋ยได้ รีไซเคิลขายได้ ปริมาณที่ต้องเก็บ–ฝังกลบจะลดฮวบ และเมื่อท้องถิ่นคำนวณต้นทุน–โครงสร้างค่าธรรมเนียมสอดคล้องจริง ระบบจะ “เดินได้เอง” ไม่สะดุด

 “ความรับผิดชอบที่จับต้องได้” ต้องเริ่มวันนี้ ไม่ใช่สัญญาในกระดาษ

ชาวบ้านดอยไม่ได้ต้องการเพียงคำขอโทษ แต่ต้องการ บริการที่กลับมาทันเวลา และ การกำจัดที่ถูกต้องตามมาตรฐาน เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นอยู่ที่ปลอดภัยและเมืองที่น่าอยู่ MOU นครเชียงราย–แม่ยาว เป็นก้าวแรกที่ จับต้องได้  เก็บขยะ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ช่วง 2–3 ปี, ค่าธรรมเนียมไม่เพิ่ม, อบรมคัดแยกทันที แต่ความเชื่อมั่นจะเกิดขึ้นจริง ก็ต่อเมื่อ (1) ตารางเก็บ–ขนเดินตรงเวลา, (2) ปลายทางเป็น “ฝังกลบสุขาภิบาล/วิธีถูกกฎหมาย” มีเอกสารยืนยัน, และ (3) รายงานผลต่อสาธารณะ อย่างสม่ำเสมอ

สุดท้าย บทเรียน “ย้ายเขตแล้วขยะล้น” ควรถูกยกระดับเป็น มาตรฐานปฏิบัติกรณีเปลี่ยนเขต ของทั้งจังหวัด  ต้องมี “แผนส่งมอบบริการ (Service Handover Plan)” ที่ครอบคลุม เส้นทาง–ความถี่–สัญญา–งบ–ปลายทาง–การสื่อสารกับชุมชน ล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งรอบตารางเก็บ เพื่อตัดวงจรวิกฤตตั้งแต่ต้นน้ำ

ตอบคำถามชุมชนแบบสั้น–ตรงประเด็น

  • ที่เอาขยะไปฝังดินนั้นเป็นแบบไหน?
    คำตอบ: ต้องเป็น ฝังกลบสุขาภิบาล มีชั้นปูรอง ระบบน้ำชะขยะ–ก๊าซ–เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ ไม่ใช่การขุดหลุมธรรมดาแล้วกลบ ซึ่งถือว่า ไม่ถูกต้อง และเสี่ยงสิ่งแวดล้อม (อ้างแนวทาง คพ.)
  • ใครทำ–ทำไม–ใครบอกให้ทำ?
    คำตอบ: โดยหลักกฎหมายเป็นหน้าที่ อปท.ตามเขตพื้นที่ จะทำเอง ทำสัญญา หรือทำ MOU ให้หน่วยอื่นดำเนินการแทนก็ได้ แต่ ทุกวิธีต้องถูกกฎหมายและตามมาตรฐาน (พ.ร.บ.การรักษาความสะอาดฯ / พ.ร.บ.สาธารณสุขฯ) และ ห้ามเผากลางแจ้ง/ทิ้งไม่เป็นที่ เพราะทำลายสุขภาพชุมชน
  • ถ้าพบการทิ้ง–เผา–ฝังไม่ถูกต้อง ทำอย่างไร?
    คำตอบ: แจ้ง ทต.แม่ยาว ในฐานะเจ้าของพื้นที่ และสำเนาถึง ทน.เชียงราย (ผู้ปฏิบัติการตาม MOU) และ ท้องถิ่นจังหวัด/สาธารณสุขจังหวัด เพื่อใช้อำนาจตามกฎหมายสั่งระงับ–แก้ไข–ดำเนินคดี

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • พระราชบัญญัติการรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 และที่แก้ไข, พระราชบัญญัติสาธารณสุข พ.ศ. 2535
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

กก.สิ่งแวดล้อมฯ ยกระดับแผนปี 69 คุมเข้มแหล่งกำเนิดมลพิษ เชื่อมโยงข้อกังวลโรงไฟฟ้าขยะท้องถิ่น

ชาวพานร้อง “ชั่งน้ำหนักให้ครบทุกด้าน” เวทีรับฟังโครงการโรงไฟฟ้าขยะ อบต.ป่าหุ่งสะท้อนเสียงกังวลรัฐขยับยกระดับแผนรับมือไฟป่า–หมอกควันปี 2569 คุมเข้มแหล่งกำเนิดมลพิษ เชื่อมโยงโจทย์สิ่งแวดล้อมระดับท้องถิ่นสู่ภาพใหญ่ของประเทศ

เชียงราย, 19 ตุลาคม 2568 — เช้าวันอาทิตย์ที่อากาศโปร่ง ลมหนาวแรกเริ่มพัดผ่านไหล่เขา เสียงเครื่องขยายกำลังเบา ๆ ดังขึ้นที่ ศาลาประชาคม หมู่ 3 บ้านป่าฮ่างงาม ตำบลทานตะวัน อำเภอพาน จุดนัดพบของชาวบ้านสามตำบล ทานตะวัน แม่เย็น และม่วงคำ ที่เดินทางมาร่วมเวทีให้ข้อมูล–รับฟังความคิดเห็นเรื่อง โครงการโรงไฟฟ้าขยะขององค์การบริหารส่วนตำบลป่าหุ่ง (อบต.ป่าหุ่ง) ซึ่งตั้งอยู่ในรัศมีประมาณ 3 กิโลเมตร จากพื้นที่ชุมชน โดยในวันดังกล่าวมีประชาชนเข้าร่วม 449 คน บรรยากาศคึกคักแต่สงบเรียบร้อย มีทั้งผู้สูงอายุ กลุ่มแม่บ้าน เกษตรกร และตัวแทนผู้ประกอบการท้องถิ่น

ภาพตรงหน้าเป็น “ฉากเล็ก” ของการมีส่วนร่วมสาธารณะ แต่ปมประเด็นกลับ “ใหญ่” เพราะไม่ใช่แค่จะ “เอาหรือไม่เอาโรงไฟฟ้าขยะ” หากสะท้อนเรื่อง การจัดการของเสียชุมชน ความมั่นคงทางพลังงาน คุณภาพอากาศ สุขภาพ เศรษฐกิจท้องถิ่น และความเชื่อมั่นของชุมชน ที่ต้องถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันอย่างรอบคอบ

ขณะเดียวกัน “ฉากใหญ่” ของประเทศก็ขยับ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.สิ่งแวดล้อมฯ) ที่ประชุมเมื่อ 15 ตุลาคม 2568 มีมติเห็นชอบมาตรการ รับมือไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง ปี 2569 โดยยกระดับการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษแบบเจาะจงพื้นที่และกิจกรรม (sector-based) หลังผลลัพธ์รอบ 1 พ.ย. 2567–31 พ.ค. 2568 ชี้ให้เห็นว่าคุณภาพอากาศดีขึ้นในหลายมิติ ค่าเฉลี่ยฝุ่นทั่วประเทศลดลง 10% (เหลือ 28 µg/m³), วันที่เกินมาตรฐานลดลง 2% (เหลือ 184 วัน), จุดความร้อนลดลง 25%, พื้นที่เผาไหม้ลดลง 27% แต่ยังต้อง “เร่งต่อเนื่อง” เพื่อให้เป้าหมายปี 2569 เดินหน้าได้จริง

บทข่าวนี้จึงพาไล่สายใยระหว่าง เสียงของชุมชน กับ ยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อมของรัฐ และชวนมอง “ทางเลือก–ทางรอด” ของการจัดการขยะและอากาศสะอาดที่อยู่บนฐานข้อมูลข้อเท็จจริง มาตรฐานวิชาชีพสื่อ และความเป็นกลาง

เวทีชุมชน “ยังไม่เห็นด้วย” แต่ขอข้อมูลครบ ความเสี่ยงชัด มาตรการป้องกันจริงจัง

ตลอดช่วงเช้าถึงบ่าย ตัวแทนผู้จัดเวทีชี้แจง วัตถุประสงค์ของโครงการโรงไฟฟ้าขยะ และเปิดพื้นที่สำหรับถาม ตอบอย่างต่อเนื่อง ประเด็นสำคัญที่ประชาชนส่วนใหญ่สะท้อน ได้แก่

  • ความเสี่ยงด้านอากาศและสุขภาพ ความกังวลเรื่องก๊าซ ฝุ่นละเอียด ไดออกซิน/ฟิวแรน และโลหะหนักจากกระบวนการเผา รวมถึงการรั่วไหลทางอากาศและผลกระทบกับกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจ
  • น้ำ–ดิน–เถ้าก้นเตา/เถ้าลอย ความสามารถในการบำบัดน้ำเสีย การป้องกันการปนเปื้อนสู่แหล่งน้ำชุมชนและพื้นที่เกษตร การจัดการเถ้าลอย (hazardous) และเถ้าก้นเตา (non-hazardous) ให้ถูกต้องตามกฎหมายและมาตรฐาน
  • การคมนาคม–เสียง–กลิ่น ปริมาณรถขนขยะต่อวัน ผลกระทบต่อถนนท้องถิ่น ความปลอดภัยบนท้องทาง และกลิ่นจากสถานีกำจัดขยะ/โรงงาน
  • ความเชื่อมั่นเชิงระบบ “คำมั่น การกำกับ บทลงโทษ” หากไม่ปฏิบัติตาม EIA/EHIA มาตรฐานปล่อง และการรายงานผลสู่สาธารณะ (real-time/รายเดือน) ที่ตรวจสอบได้จริง

ด้วยเหตุนี้ ข้อเสนอหลักในเวทีจึงไปในทิศทาง ยังไม่เห็นด้วย” แต่หากจะเดินหน้าต้อง ทบทวนรอบด้าน และ วางการมีส่วนร่วมที่มากกว่าการรับฟัง ได้แก่ การจัดทำ EIA/EHIA อย่างเข้มงวด, การเปิดเผย ข้อมูลการปล่อย (emission) แบบต่อเนื่อง (CEMS) ที่เข้าถึงได้, แผนคุ้มครองชุมชน (health surveillance), กองทุนสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น และ กลไกหยุดเดินเครื่องทันที หากค่าการปล่อยเกินมาตรฐาน

ใจความร่วมของผู้เข้าร่วม “ขอให้หน่วยงานทบทวนโดยให้ผลประโยชน์ชุมชน สิ่งแวดล้อมมาก่อน กำหนดเงื่อนไขป้องกันเข้ม และต้องโปร่งใสตั้งแต่วันแรก”

ผู้แทนภาครัฐย้ำในเวทีว่า พร้อมรับฟังทุกเสียง และขับเคลื่อนตามขั้นตอนที่ถูกต้อง โปร่งใส และเป็นธรรม โดยยึด “ประโยชน์ร่วมของพื้นที่และชุมชนโดยรวม” เป็นฐานการตัดสินใจ

ทำไม “ไฟฟ้าจากขยะ” จึงถูกหยิบมาคุย และอะไรคือเงื่อนไขสำคัญ

การผลิตไฟฟ้าจากขยะ (Waste-to-Energy, WtE) มักถูกเสนอในฐานะ “ทางออก” ของปัญหาขยะชุมชนสะสม เพราะมี ข้อดี บางประการ เช่น ลดปริมาณขยะเข้าสู่หลุมฝังกลบ, สร้างไฟฟ้าทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล, และลดก๊าซเรือนกระจกจากการย่อยสลายแบบไร้อากาศในหลุมฝังกลบ อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขสำคัญ ที่ทำให้ WtE “เป็นทางออกจริง” ไม่ใช่เพียงเตาเผา หากคือ “ทั้งระบบ” ได้แก่

  1. การคัดแยกต้นทาง ลดเศษอินทรีย์ที่มีความชื้นสูง เพิ่มค่าความร้อนของขยะเชื้อเพลิง (RDF) ให้เตาเผาทำงานได้มีประสิทธิภาพ ลดการใช้เสริมด้วยเชื้อเพลิงอื่น และลดสารก่อมลพิษจากการเผา
  2. มาตรฐานเทคโนโลยีและการดักจับมลพิษ ระบบบำบัดไอเสียหลายชั้น (เช่น Scrubber/Bag filter/Activated carbon) และ CEMS รายงานต่อเนื่องสู่สาธารณะ
  3. การจัดการเถ้า แยกเถ้าลอย (อันตราย) และเถ้าก้นเตา (ไม่อันตราย) ตามกฎหมาย กำหนดปลายทางชัดเจน (เช่น บ่อฝังกลบอันตรายมาตรฐาน/การใช้ประโยชน์อย่างปลอดภัยที่ผ่านการรับรอง)
  4. ระยะห่าง ทิศทางลม ภูมิประเทศ ออกแบบด้วยข้อมูล microclimate และผังเมือง กำหนดแนวกันชน (buffer) และระบบควบคุมกลิ่น
  5. ธรรมาภิบาล การเปิดเผยข้อมูล ตั้งคณะกรรมการร่วมภาคประชาชน, ระบบร้องเรียนที่ตอบสนองเร็ว, เงื่อนไขหยุดเดินเครื่องอัตโนมัติ, และบทลงโทษจริงจัง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง WtE จะ “ยั่งยืน” ได้ต่อเมื่อ ขยับฐานคัดแยก ลดของเสียตั้งแต่ครัวเรือน และใช้โรงงานในบทบาท “ปลายทางที่ปลอดภัย” ไม่ใช่ “ต้นทางของปัญหาใหม่”

 “โรงไฟฟ้าขยะ” กับโจทย์ “อากาศสะอาดภาคเหนือ” รัฐยกระดับแผนปี 2569

แม้โครงการในอำเภอพานจะอยู่ในขั้นรับฟัง แต่เสียงกังวลเรื่องคุณภาพอากาศก็เชื่อมโยงกับ บริบทภาคเหนือ ที่ต่อสู้กับ “ไฟป่า หมอกควัน ฝุ่น PM2.5” มายาวนาน ข้อมูลจาก กรมควบคุมมลพิษ ที่นำเสนอต่อ กก.สิ่งแวดล้อมฯ (15 ต.ค. 2568) สะท้อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในฤดูกาล 2567–2568 (1 พ.ย. 67–31 พ.ค. 68) ได้แก่

  • ค่าเฉลี่ยฝุ่นทั่วประเทศ 28 µg/m³ ลดลง 10%
  • จำนวนวันเกินมาตรฐาน 184 วัน ลดลง 2%
  • จุดความร้อน ลดลง 25%
  • พื้นที่เผาไหม้ ลดลง 27%

อย่างไรก็ดี รัฐยังเดินหน้ามาตรการปี 2569 ใน 5 ด้านหลัก เพื่อ “ล็อกแหล่งกำเนิด” ให้เข้มกว่าปีก่อน

  1. พื้นที่เกษตร   จัดการเศษวัสดุเหลือใช้, คุมอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงาน, กำหนดพื้นที่ ช่วงเวลาเผาที่จำเป็น พร้อมมาตรการจูงใจลดการเผา
  2. พื้นที่ป่า   บูรณาการแผนป้องกัน ควบคุมไฟป่า ระหว่าง อปท. และ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ (ทส.) ปรับกฎระเบียบการจัดหาเครื่องมือ อุปกรณ์ดับไฟให้คล่องตัว
  3. เขตเมือง   ขยาย Low Emission Zone (LEZ) ครอบคลุมทุกเขตในกรุงเทพฯ เข้มงวด ควันดำไม่เกิน 20% เร่งวินัยบำรุงรักษารถ (น้ำมันเครื่อง/ไส้กรอง)
  4. หมอกควันข้ามแดน   คุมการ นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปลอดการเผา สอดคล้องประกาศของ กรมการค้าต่างประเทศ มีผล 1 ม.ค. 2569
  5. บริหารจัดการภาพรวม   ของบกลางเสริมงบปกติ, แจ้งเตือนสถานการณ์ผ่าน Cell Broadcast/SMS, ใช้กลไกคณะกรรมการทุกระดับเร่งรัดติดตามผล

เป้าหมาย 2569 ตั้งธง ลดพื้นที่เผาไหม้ในป่าอย่างน้อย 10%, ในเกษตรอย่างน้อย 15%, และให้ ยานพาหนะ โรงงาน สถานประกอบการ ปฏิบัติตามกฎหมาย 100% ขณะที่ภาคเหนือคาดหวังว่าแนวทาง “กำกับแหล่งกำเนิด” จะช่วย ลดวันวิกฤตหมอกควัน และสร้างภาวะอากาศดีในช่วงไฮซีซันท่องเที่ยวได้จริง

เมื่อ “อากาศดีขึ้น” ต้องดีแบบยั่งยืน และชุมชนต้องรู้สึกปลอดภัย

ตัวเลขที่ดีขึ้นในปี 2567–2568 เป็น “สัญญาณเชิงบวก” แต่การยกระดับมาตรการปี 2569 สะท้อนความเข้าใจว่า ตัวแปรฝุ่น ไม่ได้มีเพียง ไฟป่า การเผาเกษตร หากรวมถึง การคมนาคม อุตสาหกรรม การก่อสร้าง และกิจกรรมชุมชน การลดฝุ่นอย่างยั่งยืนจึงต้อง “ผูกแพ็กเกจ” ทั้ง มาตรการควบคุม, แรงจูงใจเศรษฐกิจ, และ วินัยสังคม เข้าด้วยกัน

สำหรับพื้นที่ที่กำลังถกเถียงเรื่องโครงการ WtE อย่างอำเภอพาน การยึด “มาตรฐานสูงสุด” เป็นเงื่อนไขตั้งต้น ไม่ใช่ข้อยกเว้น เช่น

  • กำหนดค่าการปล่อยปลายปล่อง ให้เทียบเคียงมาตรฐานสากลที่เข้มเท่าหรือมากกว่ากฎหมายไทย
  • ติดตั้ง CEMS ที่ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้แบบเรียลไทม์/รายชั่วโมง
  • สุขภาพชุมชน ทำ ฐานข้อมูลสุขภาพก่อนโครงการ (baseline) และติดตามต่อเนื่องโดยหน่วยงานสาธารณสุขอิสระ
  • ความโปร่งใส การกำกับ ตั้งคณะกรรมการอิสระร่วมชุมชน ท้องถิ่น วิชาการ ตรวจติดตามแบบสุ่มไม่แจ้งล่วงหน้า
  • การมีส่วนร่วมที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่ “ปรึกษาครั้งเดียว” แต่เป็น วงจรสื่อสาร ตลอดอายุโครงการ รวมถึง กลไกเยียวยา หากมีผลกระทบ

“ความรู้สึกปลอดภัย” จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อ ข้อมูลโปร่งใส ตรวจสอบได้ และชุมชนมีอำนาจร่วมกำกับ ไม่ใช่เพียงผู้รับฟัง

ทางเลือกคู่ขนาน “ลด–แยก–ใช้ซ้ำ–รีไซเคิล” เดินพร้อม “ปลายทางที่ปลอดภัย”

ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการของเสียเน้นย้ำว่า ไม่ว่าพื้นที่จะมี WtE หรือไม่ รากฐานของระบบขยะยั่งยืน คือ การลด (Reduce) แยก (Segregate)  ใช้ซ้ำ (Reuse)  รีไซเคิล (Recycle) และเสริมด้วย

  • เศษอาหาร/อินทรีย์ → ทำปุ๋ย/ไบโอแก๊ส ลดความชื้นและกลิ่นของขยะผสม
  • ของมีค่ารีไซเคิล → ดึงออกตั้งแต่ต้นทาง ลดการเผาวัตถุดิบที่มีมูลค่า
  • การศึกษา–แรงจูงใจ → สร้างนิสัยคัดแยกด้วยทั้งรณรงค์และสิ่งจูงใจ (ค่าธรรมเนียมตามปริมาณขยะผสม ส่วนลดสำหรับครัวเรือนคัดแยกดี)

เมื่อ ต้นทางแข็งแรง ปลายทาง ไม่ว่าจะเป็นหลุมฝังกลบสุขาภิบาลหรือโรงไฟฟ้าขยะ ก็จะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

 “ฟังให้ครบ อธิบายให้ชัด ลงมือให้โปร่งใส”

จากเวทีชุมชนที่พาน เราเห็น เสียง “ยังไม่เห็นด้วย” ซึ่งไม่ได้ปิดประตู แต่ร้องขอ “หลักประกันความปลอดภัยและความโปร่งใส” ที่จับต้องได้ ขณะเดียวกัน ภาพใหญ่ของประเทศก็กำลังเดินสู่ การจัดการอากาศอย่างเป็นระบบ ในปี 2569 โดยมุ่งคุมแหล่งกำเนิดและเร่งบูรณาการทุกระดับ

จุดคลี่คลายปม อยู่ที่ “กระบวนการและความไว้วางใจ” หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนโครงการด้วยข้อมูลครบถ้วน, ปรับแบบ เพิ่มเงื่อนไขคุ้มครองชุมชน, เปิดเผยข้อมูลแบบเรียลไทม์, และ ให้ชุมชนมีสิทธิร่วมกำกับอย่างแท้จริง การตัดสินใจ จะเดินหน้า ปรับแก้ หรือยุติ ก็จะได้รับการยอมรับมากขึ้น

ท้ายที่สุด การจัดการขยะและอากาศสะอาด ไม่ใช่โจทย์ที่ “ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” จะแก้ได้ หากเป็น พันธสัญญาร่วมของทั้งชุมชน–ท้องถิ่น–รัฐ–เอกชน ที่ต้องฟังกันด้วยข้อมูล และลงมือด้วยความโปร่งใส เพื่อให้พาน–เชียงราย และภาคเหนือ เดินสู่ คุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ

  1. ทำฐานข้อมูลสุขภาพ สิ่งแวดล้อมก่อนโครงการ (Baseline) ตรวจ PM2.5, ไดออกซิน/ฟิวแรนในดิน–น้ำ–อากาศ, โลหะหนัก, และตัวชี้วัดสุขภาพกลุ่มเสี่ยง
  2. ยกระดับการมีส่วนร่วม ตั้ง คณะกรรมการเฝ้าระวังร่วมชุมชน มีอำนาจเข้าถึงข้อมูล CEMS/เข้าตรวจโรงงานแบบสุ่ม
  3. CEMS + Open Data เปิดข้อมูลการปล่อยบนแพลตฟอร์มออนไลน์แบบรายชั่วโมง พร้อมระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อเกินค่า
  4. เงื่อนไขหยุดเดินเครื่อง ระบุชัดในใบอนุญาต หากเกินมาตรฐานให้หยุดทันที ตรวจสอบแก้ไขก่อนกลับมาเดินเครื่อง
  5. กองทุนสิ่งแวดล้อมท้องถิ่น จัดสรรเพื่อสุขภาพชุมชน–อากาศสะอาด–วิจัยอิสระ และการเยียวยา
  6. ทางเลือกต้นทาง แผนลดขยะอินทรีย์–ขยายไบโอแก๊สครัวเรือน/ชุมชน–ตั้งสถานีคัดแยกร่วมเอกชน–ให้แรงจูงใจเชิงเศรษฐศาสตร์
  7. เชื่อมยุทธศาสตร์ปี 2569 ของรัฐ ผูกมาตรการพื้นที่เกษตร–ป่า–เมือง เข้ากับแผนท้องถิ่นของพาน–เชียงราย ลดฝุ่นอย่างบูรณาการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลเวทีชุมชนอำเภอพาน จ.เชียงราย (19 ต.ค. 2568) เวทีให้ข้อมูล รับฟังความคิดเห็นโครงการโรงไฟฟ้าขยะ อบต.ป่าหุ่ง ณ ศาลาประชาคม ม.3 บ้านป่าฮ่างงาม ต.ทานตะวัน ผู้เข้าร่วมจาก 3 ตำบล (ทานตะวัน–แม่เย็น–ม่วงคำ) รวม 449 คน   รายงานโดยผู้จัดกิจกรรมและผู้แทนชุมชนในพื้นที่
  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) / คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
  • กรมการค้าต่างประเทศ (พาณิชย์)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงราย-เชียงใหม่เร่งกำจัดขยะน้ำท่วม กระตุ้นการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยความคืบหน้าเกี่ยวกับการจัดการขยะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย หลังจากที่ทั้งสองจังหวัดประสบอุทกภัยน้ำท่วม นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้กล่าวถึงความคืบหน้าในเรื่องการจัดการขยะและการฟื้นฟูหลังน้ำท่วม โดยระบุว่า คพ. ได้เฝ้าระวังและดำเนินการจัดทำแผนฟื้นฟูสถานที่กำจัดขยะมูลฝอยและระบบบำบัดน้ำเสียในพื้นที่ประสบอุทกภัย

ในระหว่างการดำเนินการ กรมควบคุมมลพิษได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาสถานที่สำหรับกองขยะชั่วคราว โดยได้คัดแยกขยะออกเป็นหลายประเภท ขยะที่มีการปนเปื้อนดินและสิ่งสกปรกได้ถูกนำไปฝังกลบ ขณะที่ขยะที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ก็ได้มีการติดต่อสมาคมซาเล้งเพื่อมารับไปรีไซเคิล นอกจากนี้ยังได้ประสานงานกับภาคเอกชนที่มีความสามารถในการเผาขยะที่เหลือเพื่อกำจัดขยะที่ไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย

ความคืบหน้าการจัดการขยะในพื้นที่เชียงราย

นางสาวปรีญาพร ได้รายงานว่า ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย มีปริมาณขยะสะสมจากอุทกภัยประมาณ 70,000 ตัน ซึ่งขณะนี้ได้มีการจัดเก็บและกำจัดขยะทั้งสิ้นเรียบร้อยแล้ว 100% ขณะที่พื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย มีความคืบหน้าในการกำจัดขยะไปแล้ว 96% และจะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในเร็วๆ นี้

การฟื้นฟูพื้นที่เชียงใหม่

สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ พบว่ามีปริมาณขยะที่เกิดขึ้นจากอุทกภัยประมาณ 15,000 ตัน โดยได้มีการจัดเก็บไปแล้ว 12,000 ตัน ยังคงเหลือขยะตกค้างอีก 3,000 ตัน ซึ่งเทศบาลนครเชียงใหม่ได้วางแผนจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ เพื่อให้พื้นที่กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว

การเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวภาคเหนือ

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษยังระบุเพิ่มเติมว่า ทั้งสองจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายกำลังวางแผนเปิดพื้นที่เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวหลังน้ำท่วม โดยจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 นี้ ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ภาคเหนือกลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกครั้ง ทั้งนี้ การฟื้นฟูและกำจัดขยะในพื้นที่ถือเป็นก้าวสำคัญในการเตรียมพร้อมสำหรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึง

จากการดำเนินการของกรมควบคุมมลพิษและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การจัดการขยะและการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในทั้งสองจังหวัดได้รับการดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากจะช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวที่จะมาเยือนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สสจ.เชียงราย เตือนระวังโรคหลังน้ำลด เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินอาหาร

 

เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 นพ.วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย) ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับมาตรการรับมือและการให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์แก่ผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย โดยกล่าวว่าทีมเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขได้ลงพื้นที่สำรวจสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมให้คำแนะนำแก่ประชาชนในเรื่องของการป้องกันตนเองหลังน้ำลด โดยเฉพาะปัญหาฝุ่น PM10 ที่มักเกิดขึ้นหลังจากน้ำลด โดยแนะนำให้ประชาชนในพื้นที่โล่งแจ้งควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันฝุ่น และสามารถใช้หน้ากากอนามัยธรรมดาได้

อีกหนึ่งปัญหาที่ต้องเฝ้าระวังคือขยะเน่าเหม็น ซึ่งอาจเป็นแหล่งเชื้อโรค โดยขอให้ประชาชนที่ต้องเข้าไปในพื้นที่ที่มีขยะใส่รองเท้าบูทหรือรองเท้ายางเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ทั้งนี้ การจัดการขยะจะต้องประสานกับหน่วยงานท้องถิ่นเพื่อเร่งจัดเก็บ โดยมีการแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบถึงประเภทของขยะในแต่ละพื้นที่ เพราะขยะเน่าเหม็นนั้นมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินอาหาร หากมีการหยิบจับหรือสัมผัสสิ่งของที่เริ่มเน่าเสียแล้วไม่สวมถุงมือหรือไม่ล้างมือให้สะอาด

นอกจากนี้ยังมีประเด็นเกี่ยวกับบาดแผลที่อาจสัมผัสน้ำเน่าเสีย นพ.วัชรพงษ์ได้กล่าวว่า บาดแผลที่สัมผัสกับน้ำเน่าเสียมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคฉี่หนู ซึ่งควรทำความสะอาดและทายาทันทีหลังจากสัมผัสน้ำ หรือไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยปฐมพยาบาลที่ลงพื้นที่ เพื่อให้แพทย์ประเมินสภาพบาดแผลและให้คำแนะนำอย่างถูกต้อง โดยสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายได้พบว่า ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มมีอาการเท้าเปื่อย ระบบทางเดินหายใจ และตาแดง ส่วนโรคฉี่หนูยังไม่มีการแพร่ระบาด แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง

ในส่วนของภาวะทางจิตใจ นพ.วัชรพงษ์ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า มีการส่งทีมสุขภาพจิตเข้าไปช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภาวะเครียดจากเหตุการณ์น้ำท่วม โดยร่วมกับทีมจากโรงพยาบาลสวนปรุงของกรมสุขภาพจิต ซึ่งได้คัดกรองประชาชนไปแล้วประมาณ 3,000 คน พบว่ามีผู้ที่มีความเครียดในระดับปานกลางที่ยังสามารถดูแลตัวเองได้ บางรายมีการใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ แต่ยังไม่พบผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าหรือมีแนวโน้มจะฆ่าตัวตาย

ความเครียดที่พบส่วนใหญ่เกิดจากความกังวลเรื่องบ้านเรือนที่ถูกดินโคลนถล่มและไม่สามารถเข้าไปฟื้นฟูได้ ประชาชนบางส่วนยังคงวิตกเกี่ยวกับการเกิดพายุหรืออุทกภัยซ้ำในอนาคต กรมสุขภาพจิตได้จัดทำข้อมูลเพื่อช่วยแจ้งเตือนประชาชนอยู่ตลอด และมีการเตรียมพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ในอนาคต นอกจากนี้ยังได้ทำคู่มือแนะนำประชาชนเกี่ยวกับการรับมือภัยพิบัติ โดยแนะนำให้ประชาชนมองสถานการณ์ในแง่บวก เชื่อมั่นในความสามารถของตนเองในการผ่านพ้นวิกฤตนี้ และอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเมื่อมีความจำเป็น

สุดท้าย นพ.วัชรพงษ์กล่าวย้ำว่า เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนกำลังทำงานกันอย่างเต็มที่ และประชาชนควรป้องกันตนเองให้ดีในช่วงหลังน้ำลด เพราะอาจมีโรคภัยต่างๆ ตามมาได้ เช่น โรคทางเดินอาหาร เท้าเปื่อย โรคฉี่หนู และโรคตาแดง ซึ่งหากมีอาการควรไปพบแพทย์ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการรุนแรง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักข่าวชายขอบ

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News