Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษ! เปลี่ยนโหมดบริหารสู่การแก้ฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน

“เขตควบคุมมลพิษ” ใน 4 จังหวัดภาคเหนือ—เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน—ครอบคลุมช่วงเดือนวิกฤตของทุกปี การขยับตัวนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนป้ายชื่อพื้นที่ แต่เป็นการเปลี่ยน “โหมดการบริหาร”

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 — ปัญหาฝุ่นควันข้ามฤดูกาลในภาคเหนือ—โดยเฉพาะ “ช่วงวิกฤต” ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคม—ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ “ใหม่และสำคัญ” คือกรอบกฎหมายและคำพิพากษาที่กำลังผลักดันให้การแก้ปัญหาเดินหน้าอย่างเป็นระบบและวัดผลได้จริง หลังศาลปกครองสูงสุดสั่งการให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ใช้อำนาจตามมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ เพื่อกำหนด “เขตควบคุมมลพิษ” ใน 4 จังหวัดภาคเหนือ—เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน แม่ฮ่องสอน—ครอบคลุมช่วงเดือนวิกฤตของทุกปี การขยับตัวนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนป้ายชื่อพื้นที่ แต่เป็นการเปลี่ยน “โหมดการบริหาร” จากการรับมือรายวัน ไปสู่การวางแผนแบบมีกลไก บทบาท และหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดชัดเจน ตั้งแต่การจัดทำแผนลดและขจัดมลพิษ ไปจนถึงการติดตามประเมินผลและการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง (อ้างคำพิพากษาและการอธิบายอำนาจตามกฎหมาย)

“ทำความเข้าใจกรอบกฎหมายเดียวกัน และจัดลำดับงานให้เห็นผลทันก่อนฤดูกาลฝุ่นปีหน้า”

ในห้องประชุมชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ภาพบนจอวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เชื่อมผู้บริหาร 4 จังหวัดภาคเหนือเข้าหากัน แนวทางประกาศ “เขตควบคุมมลพิษ” ถูกยกเป็นวาระเร่งด่วนของการประชุมชี้แจง โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน ณ จุดศูนย์กลาง พร้อมด้วยนางกัญชลี นาวิกภูมิ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ร่วมชี้แจงจากจังหวัดเชียงใหม่ เป้าหมายคือ “ทำความเข้าใจกรอบกฎหมายเดียวกัน และจัดลำดับงานให้เห็นผลทันก่อนฤดูกาลฝุ่นปีหน้า” ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังผูกโยงการทำงานเข้ากับ “วาระแห่งชาติการแก้ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2568–2570)” เพื่อให้มาตรการภาคพื้นที่ไปในทิศทางเดียวกับยุทธศาสตร์ระดับชาติที่คณะรัฐมนตรีเพิ่งเห็นชอบเมื่อกลางปีนี้

จาก “คำสั่งศาล” สู่ “กลไกกฎหมาย” เขตควบคุมมลพิษหมายถึงอะไร

หัวใจของมาตรา 59 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 อยู่ที่การให้อำนาจรัฐกำหนด “เขตควบคุมมลพิษ” เมื่อปรากฏเหตุให้ต้องควบคุม ลด หรือขจัดมลพิษอย่างเข้มข้นในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง เมื่อประกาศแล้ว กฎหมายจะเปิดสวิตช์มาตรการเฉพาะพื้นที่ ทั้งด้านการควบคุมแหล่งกำเนิด การติดตามคุณภาพอากาศ การสื่อสารความเสี่ยงเชิงรุก และการระดมความร่วมมือข้ามหน่วยงาน โดยมี “แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ” ตามมาตรา 60 เป็นเครื่องมือนำทาง ส่วนมาตรา 37–39 วางบทบาทให้จังหวัดจัดทำ “แผนสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด” สอดรับกับสถานการณ์และทรัพยากรที่มี เพื่อไม่ให้แผนบนกระดาษขาดตอนกับการปฏิบัติจริง

ก้าวยาวของกระบวนการยุติธรรม

คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่สั่งให้ประกาศเขตควบคุมมลพิษ 4 จังหวัดภาคเหนือ ชี้เหตุผลเชิงสัดส่วนระหว่าง “สิทธิในสุขภาพและชีวิตที่ปลอดภัยของประชาชน” กับ “ประโยชน์สาธารณะด้านภาพลักษณ์และเศรษฐกิจ” และลงท้ายด้วยข้อสั่งการเชิงปฏิบัติให้ใช้อำนาจตามมาตรา 59 ครอบคลุมช่วงเดือนกุมภาพันธ์–พฤษภาคมของทุกปีซึ่งเป็นหน้าต่างเวลาวิกฤตของฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือ การยกระดับปัญหาเข้าสู่กลไกตามกฎหมายจึงเป็นก้าวสำคัญที่จะผูก “ความรับผิดชอบ” เข้ากับ “เส้นตาย” และ “ตัวชี้วัด” อย่างเป็นระบบ แทนการแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า

ตัวเลขชวนคิด มาตรฐานไทย–แนวทางโลก–ภาวะเสี่ยงสุขภาพ

ประเทศไทยปรับเข้ม “ค่ามาตรฐาน PM2.5 ราย 24 ชั่วโมง” จาก 50 เหลือ 37.5 ไมโครกรัม/ลบ.ม. เพื่อสะท้อนหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์เรื่องผลกระทบสุขภาพและให้เท่าทันสถานการณ์ ในขณะที่แนวทางแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO AQG 2021) เสนอค่าระดับเป้าหมายยิ่งเข้มกว่าไว้ที่ 15 ไมโครกรัม/ลบ.ม.—ตัวเลขสองชุดนี้ช่วยอธิบายว่าเหตุใดพื้นที่ที่ “อยู่ต่ำกว่ามาตรฐานไทย” ยังอาจไม่ “ปลอดภัย” สำหรับกลุ่มเสี่ยง และเหตุใดการสื่อสารความเสี่ยงเชิงรุกจึงสำคัญไม่แพ้มาตรการควบคุมแหล่งกำเนิด

แพทย์เตือนอะไร—และประชาชนควรทำอย่างไร

คู่มือการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขต่อสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 ที่เผยแพร่ปี 2568 ย้ำให้หน่วยบริการและท้องถิ่นติดตามคุณภาพอากาศแบบรายวัน จัดเตรียมหน้ากากที่มีประสิทธิภาพ (เช่น มาตรฐานเทียบเท่า N95) ให้กลุ่มเปราะบาง ตั้งจุดปลอดฝุ่น (clean air shelter) และสื่อสารคำแนะนำสุขภาพเฉพาะพื้นที่อย่างต่อเนื่อง—ทั้งหมดนี้ต้อง “มาทีมเดียวกัน” ระหว่างฝ่ายสาธารณสุขกับฝ่ายปกครอง เมื่อพื้นที่เข้าสู่สถานะเขตควบคุมมลพิษ.

ฉากประชุมวันนี้ เปิดจอ–ไล่ภารกิจ–นับถอยหลังก่อนฤดูกาลฝุ่น

การประชุมทางไกลที่เชียงรายวันนี้มีสามวาระหลัก (1) ชี้แจงความหมายและผลทางกฎหมายของ “เขตควบคุมมลพิษ” และขั้นตอน/บทบาทของหน่วยงานในพื้นที่ (2) กำหนดกรอบการจัดทำ “แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ” (มาตรา 60) ให้ทันบังคับใช้ก่อนฤดูวิกฤตปีหน้า โดยยึดกรอบวาระแห่งชาติ PM2.5 ฉบับที่ 2 (2568–2570) เป็นแกน และ (3) จัดกลไกสื่อสารความเสี่ยงและแจ้งเตือนประชาชนแบบ “หนึ่งเสียง” ตั้งแต่ระดับตำบล/เทศบาลขึ้นมา เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่เข้าใจง่ายและทันเวลา พร้อมมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจหรือโรคหัวใจ

การ “จับคู่ภารกิจ–ตัวชี้วัด–เส้นตาย” ถูกย้ำตลอดการประชุม เช่น การนับวันถอยหลังสู่เดือนกุมภาพันธ์—ก่อนถึงเวลานั้น แผนจังหวัดต้องตอบได้ว่า “แหล่งกำเนิดไหนลดเท่าไร ใครรับผิดชอบ และติดตามผลอย่างไร” ขณะที่ภาคประชาสังคมและสถาบันการศึกษาจะเข้ามาเสริมฐานข้อมูลจุลภาคและออกแบบระบบแจ้งเตือนที่ประชาชนเข้าถึงจริง

เมื่อ “เขตควบคุมมลพิษ” ลงสู่พื้นที่จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

การบังคับใช้มาตรการชั่วคราวเฉพาะฤดูกาล : ช่วง ก.พ.–พ.ค. หน่วยงานรัฐสามารถออกเงื่อนไขการควบคุมแหล่งกำเนิดชั่วคราว (เช่น การจำกัดกิจกรรมกลางแจ้งในบางช่วง การเข้มตรวจควันดำ/ควันขาว การห้ามเผาในที่โล่งอย่างมีข้อยกเว้นที่ชัดเจน และการเพิ่มความถี่ตรวจโรงงาน/ลานตากการเกษตร) โดยทั้งหมดต้องยึดหลักความจำเป็นและสัดส่วนตามที่กฎหมายกำหนด และการสื่อสารความเสี่ยงแบบแบ่งระดับ เมื่อค่าฝุ่นเข้าใกล้/เกินมาตรฐาน การแจ้งเตือนต้องระบุ “ทำอะไร–กับใคร–เมื่อใด” เช่น ระดับเตือนกลุ่มเสี่ยงให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง พร้อมเปิดจุดปลอดฝุ่นในศูนย์ชุมชน โรงเรียน หรือ รพ.สต. การติดตามและประเมินผลจังหวัดต้องรายงานผลมาตรการตามแผนมาตรา 60 และผนวกเข้ากับแผนสิ่งแวดล้อมจังหวัด (มาตรา 37–39) เพื่อไม่ให้มาตรการเฉพาะฤดูถูก “รีเซ็ตใหม่” ทุกปี

ทั้งหมดนี้คือการทำให้ “ความรับผิดชอบเชิงกฎหมาย” กลายเป็น “ผลลัพธ์เชิงสุขภาพและเศรษฐกิจ” ที่ตรวจสอบได้

มองเชิงระบบ: ทำไม “แผนจังหวัด” ต้องล็อกกับ “วาระแห่งชาติ”
วาระแห่งชาติการแก้ฝุ่น PM2.5 ฉบับที่ 2 (2568–2570) ที่ ครม. เห็นชอบ กำหนดทั้งมาตรการระยะเร่งด่วนและระยะยาว ตั้งแต่การจัดการเชื้อเพลิงการเกษตร (agri-residue) การปรับพฤติกรรมการขนส่งและยานยนต์ การยกระดับการตรวจวัดและเปิดเผยข้อมูล ไปจนถึงความร่วมมือข้ามพรมแดนในประเด็นหมอกควันภูมิภาคลุ่มน้ำโขง การที่ 4 จังหวัดจะยกเครื่องสู่ “เขตควบคุมมลพิษ” จึงต้อง “ล็อกเป้าและภาษานโยบาย” ให้ตรงกับแผนชาติ เพื่อใช้ประโยชน์จากงบกลาง มาตรการจูงใจ และเครือข่ายความร่วมมือที่วางไว้แล้ว ลดการซ้ำซ้อนและเร่งผลลัพธ์ในพื้นที่.

มุมวัดผล ใช้ตัวเลขอะไรติดตามความคืบหน้า

เพื่อให้การขับเคลื่อน “เขตควบคุมมลพิษ” ไม่ใช่แค่คำประกาศ ข่าวชิ้นนี้ขอเสนอ “4 ชุดตัวชี้วัด” ที่จับต้องได้ (และสอดคล้องกับกรอบสาธารณสุข/สิ่งแวดล้อมที่มีอยู่)

  1. คุณภาพอากาศ: จำนวนวัน PM2.5 เกินมาตรฐาน 37.5 µก./ลบ.ม. รายพื้นที่ + ค่าเฉลี่ยความเข้มสูงสุดราย 24 ชั่วโมงในช่วง ก.พ.–พ.ค. (เชื่อม Air4Thai/สถานีเครือข่ายมหาวิทยาลัย)
  2. แหล่งกำเนิด: ปริมาณเชื้อเพลิงการเกษตรที่ถูกนำไปใช้/กำจัดแบบไม่เผา (ตัน) + จำนวนการตรวจโรงงาน/ยานยนต์ควันดำ
  3. สุขภาพ: จำนวนผู้ป่วยกลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ/หัวใจที่มารับบริการในช่วงเตือนภัย (เชื่อมระบบเฝ้าระวังของ สธ.)
  4. การสื่อสาร: จำนวนการแจ้งเตือนแบบแบ่งระดับและการเข้าถึง (reach) ของประชาชนในช่องทางจังหวัด/อปท.

“คำถามชวนคิด” ระหว่างทาง

– ถ้าค่ามาตรฐานไทย 37.5 ยังสูงกว่าเป้าหมาย WHO ที่ 15 ไมโครกรัม/ลบ.ม. เราจะตั้ง “เป้าหมายภายใน” ที่เข้มขึ้นสำหรับกลุ่มเสี่ยงได้อย่างไร โดยไม่ขัดกฎหมายแต่ทำให้คนปลอดภัยขึ้น
– เรามีข้อมูลเชื้อเพลิงการเกษตรรายพืช–รายอำเภอครบถ้วนหรือยัง เพื่อวางมาตรการจูงใจเศรษฐกิจ (เศษวัสดุไปเป็นพลังงาน/อาหารสัตว์/วัสดุชีวภาพ) แทนการเผา?
– ในฐานะ “เขตควบคุมมลพิษตามฤดูกาล” จะออกแบบมาตรการชั่วคราวที่ “เข้มพอ–ยุติธรรม–ไม่บั่นทอนเศรษฐกิจท้องถิ่น” อย่างไร โดยยึดหลักสัดส่วนตามที่ศาลวางไว้

เสียงจากโต๊ะประชุม

ผู้แทนจังหวัดย้ำแนวเดียวกัน 3 เรื่อง: หนึ่ง—ต้องเร่งทำความเข้าใจบทบาทของทุกหน่วย ทั้งฝ่ายปกครอง ท้องถิ่น สาธารณสุข ตำรวจ หน่วยป่าไม้ และภาคเอกชน เพื่อปิดช่องว่าง “ใครทำอะไร เมื่อไหร่ อย่างไร” สอง—ให้เตรียมแผนปฏิบัติการตามมาตรา 60 โดยเลือก “มาตรการไม่เผา” ที่ทำได้จริงในบริบทพื้นที่ และกำหนดกลไกชดเชย/จูงใจชัดเจน สาม—ให้จัดตั้งศูนย์สื่อสารความเสี่ยงระดับจังหวัด เชื่อม รพ.สต.–เทศบาล–กำนัน/ผู้ใหญ่บ้าน เป็นโครงข่ายแจ้งเตือนเดียวกัน ลดความสับสนของประชาชนช่วงค่าฝุ่นแกว่งวันต่อวัน

ในภาพใหญ่ “เขตควบคุมมลพิษ” ไม่ได้ลดบทบาทประชาชน ในทางกลับกัน มันทำให้ “สิทธิรู้เท่าทัน” และ “สิทธิได้รับการคุ้มครอง” ชัดขึ้น—เมื่อค่าฝุ่นสูงไป ทางการต้องบอกล่วงหน้า ต้องเปิดจุดปลอดฝุ่น ต้องมีหน้ากากเพียงพอ และต้องมีมาตรการบรรเทาเฉพาะกลุ่ม ไม่ใช่ฝากประชาชนแก้ปัญหาด้วยตัวเองเพียงลำพัง

ทางแยกสู่ “ความยั่งยืน”

แม้เขตควบคุมมลพิษจะตอบโจทย์ฤดูกาลวิกฤต แต่การแก้ฝุ่นอย่างยั่งยืนยังพิงปัจจัยโครงสร้าง—เศรษฐกิจการเกษตรที่ลดการพึ่งพาการเผา, ระบบขนส่งที่ปล่อยมลพิษต่ำ, อุตสาหกรรมที่จัดการมลพิษปลายปล่องอย่างโปร่งใส, และความร่วมมือข้ามพรมแดนที่จริงจัง—ทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบใน “วาระแห่งชาติ PM2.5 (2568–2570)” ที่จังหวัดต้องเชื่อมต่อ ไม่ใช่เดินคู่ขนานคนละทิศ เมื่อคำพิพากษาวางกรอบกฎหมายแล้ว สิ่งที่รออยู่ข้างหน้า คือ “กฎของผลลัพธ์” ที่จะวัดจากอากาศที่เด็กๆ สูดได้อย่างปลอดภัยขึ้นในฤดูกาลหน้า

ข้อเท็จจริงเชิงกฎหมาย (สรุปให้เข้าใจง่าย)

• มาตรา 59: หากมีเหตุจำเป็น รัฐสามารถกำหนดพื้นที่ใดเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” เพื่อควบคุม ลด และขจัดมลพิษแบบเข้มข้นตามแผนที่กำหนด
• มาตรา 60: ต้องมี “แผนปฏิบัติการเพื่อลดและขจัดมลพิษ” ระบุมาตรการ ผู้รับผิดชอบ ระยะเวลา และวิธีติดตามผล
• มาตรา 37–39: จังหวัดต้องมี “แผนสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด” เพื่อบูรณาการมาตรการต่างๆ และจัดสรรทรัพยากรให้ต่อเนื่อง
• คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด (ส.ค. 2568): สั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศ 4 จังหวัดภาคเหนือเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ช่วงเดือน ก.พ.–พ.ค. ของทุกปี โดยอาศัยหลักสัดส่วนเพื่อคุ้มครองสุขภาพประชาชนควบคู่เศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

เช็กสุขภาพสาธารณะมาตรฐาน–คำแนะนำ–การปฏิบัติ

อย่าลืมว่า “ค่ามาตรฐาน” ไม่ได้แปลว่า “ปลอดภัยสำหรับทุกคน” มาตรฐานไทย 37.5 µก./ลบ.ม. ช่วยให้หน่วยงานมีเกณฑ์ปฏิบัติ แต่มาตรการดูแลกลุ่มเสี่ยงควรขยับเข้มขึ้นสู่ระดับแนะนำของ WHO ที่ 15 µก./ลบ.ม. โดยเฉพาะช่วงค่าฝุ่นแกว่งสูง การเตรียมแผนหน้ากากคุณภาพ จุดปลอดฝุ่น การแจ้งเตือนกิจกรรมภายนอก (เช่น การงดกิจกรรมกลางแจ้งในสถานศึกษาเมื่อค่า AQI/PM2.5 เกินเกณฑ์) ล้วนอยู่ในคู่มือของ สธ. แล้ว และควรถูกยกเป็น “มาตรฐานจังหวัด” เมื่อสถานะเขตควบคุมมลพิษมีผลใช้

จาก “คำพิพากษา” สู่ “อากาศที่หายใจได้”

การเตรียมประกาศ 4 จังหวัดเหนือเป็น “เขตควบคุมมลพิษ” ไม่ได้ตอบโจทย์เฉพาะหน้าเท่านั้น แต่คือการวางรางเหล็กให้ขบวนการทำงานของรัฐ–ท้องถิ่น–ภาคเอกชน–ภาคประชาชน แล่นไปในทิศเดียวกันภายใต้กรอบกฎหมายเดียวกัน ตัวเลขมาตรฐาน PM2.5 ที่เข้มขึ้น เสียงเตือนจากวงการแพทย์ และคำพิพากษาที่วางหลักสัดส่วน ล้วนมาบรรจบกันที่จุดเดียว: สุขภาพและคุณภาพชีวิตของคนเหนือที่ต้อง “ปลอดภัยขึ้นจริง” ภายในเวลาที่วัดได้—เริ่มจากฤดูกาลหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด สั่งให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติกำหนด 4 จังหวัดเหนือเป็นเขตควบคุมมลพิษช่วง ก.พ.–พ.ค. ของทุกปี (อ้างอิงข่าวสรุปโดยสำนักข่าวอิศรา, 1 ส.ค. 2568)
  • พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535
  • ค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศของไทย (PM2.5 ราย 24 ชม. = 37.5 µก./ลบ.ม.
  • WHO Air Quality Guidelines 2021 – ค่าเป้าหมาย PM2.5 ราย 24 ชม. = 15 µก./ลบ.ม. และเหตุผลด้านสุขภาพ
  • แนวทางกระทรวงสาธารณสุขต่อสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 (พ.ศ. 2568)

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายล้อมวง! หาทางออกวิกฤตแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง จากมลพิษเหมืองรัฐฉาน

เวทีเชียงรายชี้ชะตา “แม่น้ำกก–สาย–รวก–โขง” หลายภาคส่วนระดมสมองหาทางออกวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองรัฐฉาน: จากสัญญาณเตือนวิทยาศาสตร์สู่แผนปฏิบัติการที่ต้องเดินหน้าเร็วและร่วมกัน

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 — “ถ้าแม่น้ำคือเส้นเลือดของเมืองเหนือ แล้ววันนี้เลือดกำลังปนเปื้อนอะไรอยู่บ้าง?” คำถามทิ่มแทงใจนี้ไม่ใช่ถ้อยคำโฆษณาชวนเชื่อ แต่คือความจริงเชิงประจักษ์ที่กำลังกระเพื่อมจากชายแดนด้านตะวันตกของแม่น้ำโขง เมื่อสารโลหะหนักจากกิจกรรมเหมืองแร่ทองคำและแรร์เอิร์ทในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลผ่านลำห้วยและแม่น้ำสาขาเข้าสู่ผืนแผ่นดินไทย ส่งผลต่อเนื่องถึง ลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง ครอบคลุม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย สถานการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขบนรายงาน หากคือปัจจัยเสี่ยงต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพ เศรษฐกิจฐานราก และนิเวศบริการของทั้งภูมิภาค

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 17 สิงหาคม 2568อาคารเรือนไม้หอม ไร่แม่ฟ้าหลวง อำเภอเมืองเชียงราย ได้มีการจัด เวทีสนทนาระดับจังหวัด เพื่อหาทางออกจากวิกฤตดังกล่าว โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นแกนนำ พร้อมด้วย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายกเทศมนตรีนครเชียงราย สมาชิกรัฐสภา สมาชิกวุฒิสภา นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ชุมชนท้องถิ่น และเครือข่ายปกป้องแม่น้ำ เข้าร่วมอย่างคับคั่ง เป้าหมายคือ “ล้อมวงข้อมูล–หาฉันทามติ–กำหนดทิศทาง” ทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาว

จากสัญญาณวิทยาศาสตร์สู่ภาวะเร่งด่วนสาธารณะตัวเลขที่ต้องอ่านให้ขาด

กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานว่าระดับ สารโลหะหนักอย่าง “ตะกั่ว” และ “แมงกานีส” ในบางจุดตรวจยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มกระจายเป็นวงกว้าง ประเด็นน่ากังวลคือสารเหล่านี้ สะสมในห่วงโซ่อาหาร ได้ ทั้งในปลา พืชน้ำ และพืชไร่ริมน้ำ ขณะเดียวกันในช่วงฤดูฝน ความเสี่ยงการชะล้าง–พัดพา ยิ่งเพิ่ม การประเมินผลกระทบจึงไม่จำกัดเฉพาะ “คุณภาพน้ำดิบเพื่อผลิตประปา” แต่ครอบคลุม เกษตร–ประมง–ท่องเที่ยว–สุขภาพชุมชน ความเสียหายอาจไม่ส่งเสียงดังในวันเดียว แต่ค่อย ๆ กัดเซาะศักยภาพพื้นที่อย่างเงียบเชียบ

เวทีได้ตั้งคำถามชวนคิด 3 ข้อ ซึ่งเป็นกรอบวิเคราะห์สำคัญของวันนั้น:

  1. น้ำดื่มน้ำใช้ ของครัวเรือนที่พึ่งพาแม่น้ำและบ่อบาดาลชายฝั่งน้ำ มีความเสี่ยงระดับใด และควร จัดหาน้ำดิบทางเลือก จากแหล่งใดทันที?
  2. ห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ผัก–ปลา–ข้าว–ของป่า มีรูปแบบเฝ้าระวัง–เก็บตัวอย่าง–แจ้งเตือนแบบ รู้เร็ว–รู้ถูก–รู้ทัน” แล้วหรือยัง?
  3. ในบริบท ภัยพิบัติ (น้ำป่า–น้ำหลาก) ที่กำลังเข้าสู่จุดพีกของปี เมือง–ชุมชนพร้อมแค่ไหน หาก น้ำหลากปนเปื้อน เข้าท่วมพื้นที่กว้าง?

เสียงจากเวทีชุดข้อเสนอ “เร่งด่วน–กึ่งเร่งด่วน–เชิงโครงสร้าง”

การระดมสมองนำไปสู่ข้อเสนอเชิงปฏิบัติการหลายประเด็น โดยสรุปแกนหลักได้ดังนี้

  • จัดหาแหล่งน้ำดิบสำรอง/ทดแทน เพื่อผลิตประปาให้กับระบบประปาชุมชนที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน ลดความพึ่งพิงจากจุดน้ำแม่น้ำสายหลักในช่วงเฝ้าระวังเข้มข้น
  • ตั้ง “ศูนย์ตรวจสอบมลพิษโลหะหนัก” ประจำจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่เป็น โหนดกลางข้อมูล เชื่อม คพ.–ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์–เกษตรจังหวัด–ประมงจังหวัด–อบจ.–เทศบาล/อบต. เพื่อทดสอบ–วิเคราะห์–สื่อสารผลอย่างมีมาตรฐานเดียวกัน
  • เฝ้าระวังห่วงโซ่อาหาร โดย สุ่มเก็บตัวอย่าง “ปลา–ผลิตผลเกษตร–น้ำประปาหมู่บ้าน” รายเดือน พร้อมพัฒนา เกณฑ์สื่อสารความเสี่ยง ที่ชุมชนเข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง
  • ทบทวนแนวนโยบาย “ฝายดักตะกอน” ให้รอบด้านทั้งวิศวกรรม–นิเวศ–การจัดการตะกอนพิษหลังจบภารกิจ ป้องกันการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุโดยไม่จัดการต้นตอ
  • แผนรับมือ “น้ำหลากปนเปื้อน” วาง จุดเฝ้าระวัง–จุดแจ้งเตือน–จุดพักคอยน้ำดิบ–ระบบแจกจ่ายน้ำสะอาดฉุกเฉิน ให้คล้องจองกับปฏิทินฝน–น้ำหลากของพื้นที่จริง

ในฝั่งสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย รายงานว่าได้จัดให้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในสังกัด อบจ. 19 แห่ง ครอบคลุม 7 อำเภอ เป็น จุดรับ–คัดกรองผู้ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ” ตั้งแต่ เมษายน 2568 เป็นต้นมา ซึ่งจนถึงขณะนี้ ยังไม่พบผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษา จากเหตุปนเปื้อนดังกล่าว ขณะเดียวกัน อบจ. เชียงรายร่วมกับ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย สำนักงานเกษตรจังหวัด และสำนักงานประมงจังหวัด เดินหน้าการ เก็บตัวอย่างปลา–น้ำประปาหมู่บ้าน–พืช ใน 7 อำเภอ อย่างน้อย เดือนละ 1 ครั้ง ตั้งแต่ พฤษภาคม 2568 เพื่อคง “หลักฐานเชิงประจักษ์ต่อเนื่อง” และแจ้งเตือนชุมชนทันเวลา

ข้ามพรมแดนด้วยการทูตหลายชั้น จากโต๊ะฉุกเฉินสู่กรอบพหุภาคี

เวทีได้สรุปไทม์ไลน์ “การขยับเขยื้อน” ของภาครัฐไทยที่ขยายตัวจาก ระดับจังหวัด–หน่วยงานกลาง–การทูตทวิภาคี–สู่กรอบพหุภาคี ดังนี้

  • 30 เม.ย. 2568: ภาคประชาชนจาก 13 ชุมชน ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร้องให้เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำ–ดิน–ผลผลิต และเปิดเผยผลอย่างโปร่งใส รัฐบาลจัดประชุมฉุกเฉินระดับสูงในวันเดียวกัน กำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งบูรณาการข้อมูล
  • 15 พ.ค. 2568: ประชุมเตรียมความพร้อมทางเทคนิค ระหว่าง คพ. กรมกิจการชายแดนทหาร กรมเอเชียตะวันออก GISTDA กพร. เพื่อ บูรณาการข้อมูลสิ่งแวดล้อม–ภาพถ่ายดาวเทียม–ภูมิสารสนเทศ สำหรับใช้ประกอบการเจรจากับเมียนมา
  • 30 มิ.ย. 2568: กำหนดการประชุม คณะผู้เชี่ยวชาญไทย–เมียนมา เพื่อวางแผนจัดการมลพิษ (รายละเอียดผลประชุมอยู่ระหว่างสรุป)
  • 2–4 ก.ค. 2568: ยกระดับเรื่องเข้าสู่การประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ซึ่งเป็นกลไกความร่วมมือทางทหารชายแดน เพื่อสร้าง ความเข้าใจร่วมด้านความมั่นคง–สิ่งแวดล้อม
  • 21 ก.ค. 2568: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) จัดประชุมระดับภูมิภาคที่เชียงราย โดยมี ไทย–ลาว–กัมพูชา–เวียดนาม และ เมียนมา เข้าร่วมในฐานะ ประเทศคู่เจรจา” เพื่อเริ่ม โครงการติดตามคุณภาพน้ำร่วมกัน
  • ปลาย ส.ค. 2568: เตรียม หารือระดับรัฐมนตรี ไทย–เมียนมา ที่กรุงเนปยีดอ เพื่อยกระดับมาตรการร่วมที่ เป็นรูปธรรม ยิ่งขึ้น

การเดินหน้าตาม หลายสนาม–หลายสถาบัน สะท้อนความเข้าใจว่าโจทย์นี้ ไม่ใช่ปัญหาเชิงเทคนิคโดด ๆ หากแฝงความซับซ้อนด้าน อธิปไตยรัฐ–กลุ่มผู้ถืออาวุธในพื้นที่–แรงจูงใจทางเศรษฐกิจของผู้ลงทุนข้ามชาติ การใช้ กรอบพหุภาคี MRC จึงช่วย เปิดไฟหน้า” ให้ประเด็นนี้อยู่ในการมองเห็นร่วมของภูมิภาคและสากล เพิ่มแรงหนุนด้าน ข้อมูล–มาตรฐาน–แรงกดดันเชิงบรรทัดฐาน ต่อคู่เจรจา

ฝายดักตะกอน” กับเส้นแบ่งปลายเหตุ–ต้นเหตุทำอย่างไรให้ไม่ทิ้งระเบิดเวลา

หนึ่งในข้อถกเถียงสำคัญคือแนวทางสร้าง ฝายดักตะกอน” เพื่อชะลอ–ดักจับสารปนเปื้อนก่อนเข้าเขตเมือง เวทีย้ำว่า ต้องประเมินผลได้–ผลเสียอย่างรอบด้าน เพราะแม้ฝายจะช่วยลดความเข้มข้นสารบางช่วงเวลา แต่ก็สร้าง โจทย์การจัดการ “ตะกอนพิษ” ที่สะสมด้านหลัง หากไร้ระบบเก็บ–ขน–กำจัดอย่างปลอดภัย อาจ เปลี่ยนความเสี่ยงจากแบบกระจายตัวเป็นก้อนใหญ่ ที่รอวันหลุดรั่วในอนาคต

ที่สำคัญ การแก้ปลายทาง ไม่อาจแทนที่ การจัดการที่ ต้นเหตุฝั่งต้นน้ำ ซึ่งเกี่ยวพันกับระเบียบวิธีทำเหมือง (เช่น แบบชะละลายในชั้นดิน) มาตรฐานสิ่งแวดล้อม การกำกับผู้ประกอบการ และการเข้าถึงพื้นที่โดยรัฐที่มีข้อจำกัด เวทีจึงเสนอ “2 รางคู่ขนาน” คือ

  1. ผลิต–รักษาน้ำปลอดภัยปลายน้ำ ด้วยมาตรการวิศวกรรม–สื่อสารความเสี่ยง–น้ำทดแทน–ระบบคัดกรองสุขภาพ
  2. ลด–หยุดมลพิษต้นน้ำ ผ่าน กรอบความร่วมมือทวิภาคี/พหุภาคี การตรวจสอบโดยอิสระ และกลไกกดดันผู้ลงทุนให้ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล

เปิดข้อมูล–เปิดความไว้วางใจ ทำ “แดชบอร์ดคุณภาพน้ำ” ให้เป็นภาษาชาวบ้าน

ความไว้วางใจเกิดจาก ข้อมูลที่เข้าถึงได้และตรวจสอบได้ เวทีมีฉันทามติให้ผลักดัน แพลตฟอร์มข้อมูลคุณภาพน้ำแบบใกล้เคียงเรียลไทม์ ระดับจังหวัด รวมทั้ง รายงานคงที่รายเดือน ที่สื่อสาร สี–เกณฑ์–ข้อแนะนำปฏิบัติ ในภาษาง่าย ไม่ใช่เพียงตัวเลขทางเคมี พร้อมตั้ง หมายเลขประสานฉุกเฉิน ให้ประชาชนแจ้งเหตุผิดปกติ และเตรียม ชุดทดสอบภาคสนาม สำหรับท้องถิ่นที่จำเป็น วิธีคิดนี้จะเปลี่ยนจาก “การบอก” เป็น “การร่วมเฝ้าระวัง” ลดข่าวลือ–ลดความตื่นตระหนก และเปลี่ยนพลังชุมชนเป็น เซ็นเซอร์สังคม ที่ทำงานเคียงคู่ห้องแล็บ

สุขภาพ–เศรษฐกิจ–มนุษยธรรมทำไมประเด็นนี้ใหญ่กว่าสิ่งแวดล้อม

เวทีประเมินเอกสารวิชาการด้านพิษวิทยาชี้ว่า การสัมผัสโลหะหนักเรื้อรัง เช่น ตะกั่ว อาจสัมพันธ์กับ พัฒนาการเด็ก–ระบบประสาท–หัวใจและหลอดเลือด ส่วนแมงกานีสในระดับสูงสัมพันธ์กับ อาการคล้ายพาร์กินสัน–ความผิดปกติระบบประสาทส่วนกลาง ความเสี่ยงเหล่านี้ ไม่เท่ากันทุกคน กลุ่ม เด็กเล็ก–หญิงตั้งครรภ์–ผู้สูงวัย–ผู้มีโรคประจำตัว จะเปราะบางกว่า จึงเข้าข่าย ประเด็นสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ที่รัฐต้องจัด น้ำปลอดภัยและข้อมูลปลอดภัย ให้เพียงพอ

ในทางเศรษฐกิจ ประมงพื้นบ้าน–การเกษตรริมน้ำ–ท่องเที่ยวทางน้ำ คือฐานรายได้สำคัญของพื้นที่ชายฝั่งกก–สาย–รวก–โขง ความไม่แน่นอนเรื่องคุณภาพน้ำสร้าง ต้นทุนแฝง ทั้งยอดขายที่หายไป ค่าใช้จ่ายตรวจแล็บ การเปลี่ยนรูปแบบทำมาหากิน และภาพลักษณ์เมือง เวทีจึงเห็นพ้องให้จัด กองทุนหนุนอาชีพ–สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ–ตลาดปลอดภัย เพื่อ พยุงความเป็นอยู่ ระหว่างรอผลเชิงโครงสร้าง

แผน “4 ป.” ที่เชียงรายเสนอขึ้นสู่โต๊ะนโยบาย

  1. ป้องกัน – วางแนวกันชนพื้นที่เสี่ยง ปรับระบบสูบน้ำดิบ ปรับปรุงกระบวนการผลิตน้ำประปาและตรวจคัดกรองสุขภาพเชิงรุก
  2. พิสูจน์ – ตั้งศูนย์วิเคราะห์กลางระดับจังหวัด มาตรฐานเดียวกัน เชื่อมฐานข้อมูลกับ คพ.–สทนช.–ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ และ MRC
  3. ประสาน – เดินหน้าการทูตหลายระดับ (ผู้เชี่ยวชาญ–ทหาร–รัฐมนตรี–พหุภาคี) และใช้ ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม–ภูมิสารสนเทศ จาก GISTDA เป็นพยานหลักฐาน
  4. เปิดเผย – สร้างแดชบอร์ดคุณภาพน้ำสาธารณะ รายงานสม่ำเสมอ แจ้งเตือนตรงเป้าหมาย และเปิดช่องทางร้องเรียน–ติดตามผล

หน้าต่างเวลาไม่รอ—ต้อง “ทำพร้อมกันหลายอย่าง” และทำให้เร็วพอ

วิกฤตมลพิษข้ามพรมแดน ไม่ได้มีสวิตช์ปิด–เปิด แต่มี “หน้าต่างเวลา” ที่ถ้าทำเร็วและถูกทางจะจำกัดความเสียหายได้ เวทีเชียงรายได้แสดง ความพร้อม–ความตั้งใจ–และแผนการ ที่จับต้องได้ ตั้งแต่การจัดแหล่งน้ำสำรอง การตั้งศูนย์วิเคราะห์กลาง การเฝ้าระวังห่วงโซ่อาหาร การทบทวนมาตรการวิศวกรรม ไปจนถึงการขยายพลังการทูตกับประเทศเพื่อนบ้านและกรอบภูมิภาค

โจทย์ถัดไปคือ ทำให้ต่อเนื่องและโปร่งใส พร้อมส่งเสียงจากชายแดนให้ดังพอถึงส่วนกลางและโต๊ะเจรจาระหว่างประเทศ ในขณะที่ชุมชนต้องมีเครื่องมือ–ข้อมูล–และทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ปลอดภัยกว่าเดิม ทุกฝ่ายรู้ดีว่า แม่น้ำไหลไม่หยุด และ สารพิษก็เช่นกัน เวลาเท่านั้นที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า “เรือเดียวกัน” ของคนลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง จะแล่นผ่านความปั่นป่วนนี้ไปได้โดยไม่ปล่อยให้ใครตกน้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.): รายงานสถานการณ์คุณภาพน้ำและการปนเปื้อนโลหะหนักในลุ่มน้ำภาคเหนือ (ข้อมูลเชิงเทคนิคและผลตรวจในพื้นที่)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.): สรุปผลประชุมและโรดแมปความร่วมมือด้านการติดตามคุณภาพน้ำข้ามพรมแดน
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC): เอกสารแนวคิดการติดตามคุณภาพน้ำร่วมกับประเทศสมาชิกและ “ประเทศคู่เจรจา” รวมถึงแนวทางมาตรฐานการเฝ้าระวังภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย (กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์): ผลการเก็บ–ตรวจตัวอย่าง ปลา–น้ำประปาหมู่บ้าน–พืช ในพื้นที่ 7 อำเภอของเชียงราย (รายเดือน ตั้งแต่ พ.ค. 2568)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย): แผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขชุมชน รพ.สต. 19 แห่งใน 7 อำเภอ และสรุปการประสานงานกับหน่วยงานวิชาการ–เกษตร–ประมง
  • กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.): ข้อมูลพื้นฐานกิจกรรมเหมืองและมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง (ประกอบการวิเคราะห์ต้นเหตุ)
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA): ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม–ภูมิสารสนเทศ สนับสนุนการติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ต้นน้ำ
  • คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC): บันทึกการประชุมความร่วมมือชายแดนไทย–เมียนมา (ประเด็นความมั่นคงชายแดนและสิ่งแวดล้อม)
  • จังหวัดเชียงราย/ศูนย์ดำรงธรรม: เอกสารการรับเรื่องร้องเรียนของประชาชน การประสานงานส่วนกลาง และสรุปผลเวทีสาธารณะ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News