Categories
AROUND CHIANG RAI EDITORIAL

ท่องเที่ยวเชียงรายปี 67 เสถียรภาพสูง แต่สะดุดแรงในไตรมาส 3

เชียงราย–ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเหนือ ปี 2567 เสถียรภาพสูงทั้งปีแม้สะดุดในไตรมาส 3 — บทเรียนจากพฤติกรรมเดินทางของคนไทยและแรงดูดต่างประเทศ

เชียงราย, 19 กันยายน 2568 —  กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้เปิดนำข้อมูลสถิติปี 2567 (ที่ผ่านคณะกรรมการสถิติฯ) สรุปรายได้และค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทย ปี 2567 ในปีที่การแข่งขันด้านท่องเที่ยวเข้มข้นทั้งภายในประเทศและกับ “เอเชียใกล้บ้าน” เชียงรายยังคง “ยืนระยะ” ด้วยฐานผู้เดินทางรวมทั้งปี 6.28 ล้านคน-ครั้ง ใกล้เคียงปีก่อนแทบทุกมิติ ขณะที่โครงสร้างค้างคืนยังเป็นจุดแข็งสำคัญของจังหวัด แต่ “หุบเขาดีมานด์” ในไตรมาส 3 กลับฉายภาพชัดว่าจังหวัดจำเป็นต้องเร่งยุทธศาสตร์เฉพาะฤดูกาล เพื่ออุดรอยรั่วรายได้และยื้อการใช้เวลาของนักท่องเที่ยวให้อยู่กับพื้นที่นานขึ้น

นิยามศัพท์สำคัญ (อังกฤษ–ไทย) ที่ใช้ในข่าวนี้

  • Visitor (ผู้เดินทางทั้งหมด/คน-ครั้ง): จำนวน “คน-ครั้ง” ที่เดินทางเข้าพื้นที่ในช่วงเวลาหนึ่ง ครอบคลุมทั้งผู้ค้างคืนและไป–กลับในวันเดียว
  • Tourist (นักท่องเที่ยวค้างคืน): ผู้เดินทางที่ “พักค้างคืน” อย่างน้อย 1 คืนในพื้นที่ปลายทาง
  • Excursionist (นักทัศนาจร/ไป–กลับวันเดียว): ผู้เดินทางที่ “ไม่ค้างคืน” เข้า–ออกภายในวันเดียว

สิ่งที่ตัวเลขกำลังบอกเรา

  1. เชียงรายทั้งปี 2567 “ทรงตัวอย่างมีนัย”
    ผู้เดินทางรวม (Visitor) อยู่ที่ 6,282,437 คน-ครั้ง ลดลงเพียง -0.18% จากปี 2566 (6,293,758) โดยในนั้นเป็น นักท่องเที่ยวค้างคืน (Tourist) 4,541,553 คน-ครั้ง (-1.48%) และ นักทัศนาจรไป–กลับ (Excursionist) 1,740,884 คน-ครั้ง (+3.39%). ภาพรวมจึงสะท้อนว่า “ค้างคืนลดเล็กน้อย แต่ทริปสั้นขยายตัว” — สอดคล้องกับพฤติกรรมหลังโควิดที่ผู้คนเลือกทริปกระชับและยืดหยุ่น แต่ยังยอมค้างคืนหากมีประสบการณ์เฉพาะทางให้ทำจริง
  2. โครงสร้างดีมานด์ของเชียงรายยังชัดว่าเป็น “เมืองค้างคืน”
    ค้างคืน 72.29% ไป–กลับ 27.71% ของผู้เดินทางทั้งหมด นี่คือทุนสำคัญทางเศรษฐกิจ เพราะ “ค้างคืน” เชื่อมลูกโซ่รายได้ที่ยาวกว่า (ที่พัก–อาหาร–กิจกรรม–ขนส่งท้องถิ่น–สินค้าชุมชน) และพร้อมต่อยอดเป็น “คืนที่สอง–สาม” หากมีแพ็กเกจและโลจิสติกส์ที่ดีพอ
  3. ฤดูกาลคือของจริง Q1/Q4 พีก แต่ Q3 เป็นหุบเขา
  • Q1: Visitor +6.55%, Tourist +6.39%, Excursionist +6.91% — อานิสงส์ฤดูหนาวและเทศกาล
  • Q2: Visitor +3.20%, Tourist +1.38%, Excursionist +8.44% — ทริปครอบครัว/ทัศนศึกษา/งานชุมชนหนุนฐาน
  • Q3: Visitor -9.61%, Tourist -12.03%, Excursionist +0.52% — จุดอ่อนของปี ช่วงปลายฝน–เปิดเทอม–และวันหยุดที่ถูก “แย่ง” โดยทริปต่างประเทศ
  • Q4: Visitor -2.63%, Tourist -2.60%, Excursionist -2.73% — ดีแต่ยังไม่เท่าปีก่อน สะท้อนการแข่งขันภายในภาคเหนือและกับปลายทางต่างประเทศ
  1. น้ำหนักของเชียงรายต่อภาคเหนือ “โดดเด่นในตลาดค้างคืน”
    ทั้งปี เชียงรายคิดเป็น ~15.05% ของ Visitor ภาคเหนือ, ~16.67% ของ Tourist, และ ~12.00% ของ Excursionist. อีกนัยหนึ่ง: เชียงรายคือ “หัวรถจักรตลาดค้างคืน” ของภาคเหนือโดยธรรมชาติ
  2. แรงดูดจากต่างประเทศ: 11.72 ล้านเที่ยวออกเดินทาง/ปี, 4.31 แสนล้านบาท
    ปี 2567 คนไทยเดินทางออกต่างประเทศ 11,720,634 เที่ยว ใช้จ่ายรวม 431,483.16 ล้านบาท จุดหมายท็อป 5 ได้แก่ จีน, มาเลเซีย, ลาว, ญี่ปุ่น, กัมพูชา—ตัวเลขนี้บอกชัดว่าการแข่งขันของเชียงราย ไม่ได้สู้กันเฉพาะในประเทศ แต่ต้อง “ชิงกลับ” เม็ดเงินจากต่างประเทศด้วยประสบการณ์ที่ ทัดเทียม/ต่างอย่างมีคุณค่า และโลจิสติกส์ที่ ไร้รอยต่อพอๆ กัน

จากหน้าหนาวถึงปลายฝน—และสิ่งที่หายไปกลางปี

ต้นปี เชียงรายรับบท “เมืองโรแมนติกของฤดูหนาว” อย่างเต็มภาคภูมิ เส้นทางยอดฮิตจากเมือง–แม่จัน–แม่สาย–เชียงแสน ครึกครื้นด้วยคาเฟ่กาแฟพิเศษ ไร่ชา และกิจกรรมวัฒนธรรมร่วมสมัย นักเดินทางจำนวนมากเลือกค้างคืนเพื่อ “ตื่นรับหมอกยามเช้า” และเวิร์กช็อปชุมชนช่วงบ่าย—สะท้อนจากอัตราขยายตัวของค้างคืนใน Q1

พอเข้าฤดูร้อนของ Q2 เม็ดเงินไม่ได้วูบ แต่ “สั้นลง” ทริปวันเดียว/หนึ่งคืนมาแรง—อาจเพราะตารางชีวิตคนเมืองกลับสู่โหมดทำงานและเรียน นักท่องเที่ยวเลือกกิจกรรมที่จบในครึ่งวัน–หนึ่งวันมากขึ้น ร้านอาหารท้องถิ่น พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และตลาดชุมชน จึงเป็น “ปลายทางระยะสั้น” ที่ยังคงคึกคัก

หากมองข้ามไตรมาส 3 ไม่ได้—นี่คือช่วงที่กราฟสั่นแรงที่สุด ค้างคืนลดลงสองหลัก อุปสงค์อ่อนตามฤดูกาลฝน บวกกับ “แรงดูดต่างประเทศ” ที่สะดวกและราคาพอๆ กัน ทำให้ปลายทางในประเทศ (รวมเชียงราย) เสียส่วนแบ่ง “เวลาและงบประมาณ” ของคนไทยไปให้ “เอเชียใกล้บ้าน” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปลายปีใน Q4 เมืองกลับมามีชีวิตชีวา บรรยากาศเทศกาลและอากาศเย็นดึงคนกลับมาอีกครั้ง แต่ตัวเลขยัง “ต่ำกว่าปีก่อนเล็กน้อย” สะท้อนสองเรื่องพร้อมกัน (1) จังหวัดเหนืออื่นๆ เปิดเกมหนัก และ (2) ผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง “ชิมรส” ต่างประเทศจนคุ้นกับความง่าย–ความครบ–บัตรรวมสิทธิ์ (Pass/Bundle) จึงคาดหวังมาตรฐานคล้ายกันเมื่อเที่ยวในไทย

เชียงรายในกระจก “ภาคเหนือ” โตทั้งภูมิภาค แต่สนามแข่งขันหนาแน่น

ภาคเหนือทั้งปี 2567 โตในทุกหมวด (Visitor +2.70%, Tourist +2.57%, Excursionist +2.94%). จังหวะไตรมาสของภูมิภาค “สอดคล้อง” กับเชียงราย: พีกที่ Q1/Q4 และชะลอใน Q3. นี่หมายความว่าปัญหาไม่ได้เป็น “เฉพาะจังหวัด” หากแต่เป็น “วัฏจักรทั้งภูมิภาค” ที่ต้องแก้ด้วย ปฏิทินเทศกาลเหนือที่ไม่ซ้อนกัน และ บัตรผ่านหลายจังหวัด (Cross-Northern Pass) ให้ผู้เดินทาง “อยู่นานขึ้น–ใช้จ่ายมากขึ้น–ไปหลายเมืองขึ้น”

สมการเศรษฐกิจท่องเที่ยวเชียงรายจากตัวเลขจริง

  • Demand Composition (โครงสร้างดีมานด์): ค้างคืน 72.29% / ไป–กลับ 27.71% ⇒ สมเหตุสมผลที่จะเดินเกม “เพิ่มมูลค่าต่อทริป” ผ่านกิจกรรมเชิงลึก (workshop คราฟต์–กาแฟพิเศษ–เส้นทางสุขภาพ–ศิลปะร่วมสมัย–ประวัติศาสตร์ชายแดน) และออกแบบ Route 2–3 คืน เชื่อมหลายอำเภอ
  • Seasonality (ฤดูกาล): พีคชัดใน Q1/Q4 และ “ดิป” ใน Q3 ⇒ ต้องมี “สินค้าฤดูฝน” ที่แข็งแรงจริง ไม่ใช่แค่โปรฯ ส่วนลดห้องพัก
  • Regional Positioning (ภาพในภาคเหนือ): เชียงรายเด่นด้านค้างคืนเมื่อเทียบสัดส่วนทั้งภูมิภาค ⇒ ควรสื่อสารตัวเองชัดว่าเป็น เมืองค้างคืนคุณภาพสูง”
  • Outbound Pressure (แรงดึงต่างประเทศ): คนไทยเที่ยวนอก 11.72 ล้านเที่ยว ใช้จ่าย 4.31 แสนล้านบาท ⇒ เมืองต้อง “เทียบเคียงได้” ทั้ง ราคา–ความสะดวก–ความพิเศษของประสบการณ์

ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (ทำได้จริงจากข้อมูลที่มี)

1) “อุโมงค์ฤดูฝน Q3” — ปิดรูรั่วรายไตรมาส

  • เทศกาลเฉพาะทาง ก.ค.–ก.ย.: กาแฟ/ชา single origin เชียงราย (cupping–roasting–ดริปไร่), งานศิลป์ร่วมสมัย–หัตถกรรม, กีฬาเส้นทาง (วิ่งเทรล/ปั่น), ดนตรี–หนังกลางไร่
  • แพ็กเกจ “ไป–กลับสู่ค้างคืน”: คูปองชุด “1 คืนที่คุ้มที่สุด” = ที่พัก + workshop ชุมชน + อาหารชาติพันธุ์ + พิพิธภัณฑ์/แกลเลอรี
  • โลจิสติกส์ไร้รอยต่อ: เที่ยวบิน/รถไฟ/รถทัวร์คุณภาพสูง–ต่อรถท้องถิ่น–บริการรับ–ส่งกิจกรรม กดจองครั้งเดียวจบ

2) “เปลี่ยน Excursionist เป็น Tourist” — จากทริปสั้นสู่ค้างคืน

  • โปรแกรม 24–48 ชั่วโมง มี “กิจกรรมเย็น–เช้าตรู่” เป็นตัวบังคับเชิงบวก
  • Bundle/Pass ที่รวมสิทธิ์หลายบริการ (ที่พัก + กิจกรรม + ขนส่งท้องถิ่น) ในราคาเดียว พร้อมการันตีคิว/ยืดหยุ่นการเปลี่ยนวัน

3) “Route 2–3 คืน เชื่อมอำเภอ” — สร้างเหตุผลให้อยู่ต่อ

  • เมือง–แม่จัน–แม่สาย–เชียงแสน–แม่ลาว ด้วยธีม ประวัติศาสตร์ชายแดน/วัฒนธรรมร่วมสมัย/กาแฟ–ชา/สุขภาพ
  • กำหนด ตราสัญลักษณ์คุณภาพโฮสต์ชุมชน สร้างความเชื่อมั่นผู้บริโภค

4) “One Trip–Two Countries” — ใช้จุดแข็งเมืองชายแดน

  • แพ็กเกจเชื่อมประสบการณ์ข้ามพรมแดน (ภายใต้กรอบความร่วมมือที่มี) เช่น วัฒนธรรม–อาหารชาติพันธุ์–ตลาดชายแดน–พิพิธภัณฑ์ชายแดน–ล่องน้ำยามเย็น
  • เน้น participatory tourism ให้ผู้เดินทางได้ “ลงมือทำ” กับชุมชน

5) “Data-led Marketing” — ยิงแคมเปญจากพฤติกรรมจริง

  • รีทาร์เก็ตกลุ่มที่เคยมาช่วง Q1/Q4 ให้ กลับมา Q2/Q3 ด้วยข้อเสนอเฉพาะ (ส่วนลดเวิร์กช็อป, พาสกีฬา, พาสพิพิธภัณฑ์/หอศิลป์)
  • แยกคอนเทนต์ตามโครงสร้างดีมานด์ (ค้างคืน vs ไป–กลับ) เพื่อเพิ่ม conversion

KPI ที่ “ชี้การตัดสินใจ” ได้จริง (มากกว่านับจำนวนคน)

  1. ALOS (Average Length of Stay) — ระยะเวลาค้างคืนเฉลี่ย
  2. ADS (Average Daily Spend) — รายจ่ายเฉลี่ยต่อหัว–ต่อวัน (แยกหมวด)
  3. Experience Yield — รายได้เฉลี่ยต่อการจองกิจกรรม
  4. Weekday–Weekend Mix — สัดส่วนคืนค้างวันธรรมดา vs สุดสัปดาห์
  5. Repeat Visit Rate — อัตรากลับมาเที่ยวซ้ำ
  6. Community Income Share — สัดส่วนรายได้ที่ไหลสู่กิจการชุมชน/วิสาหกิจขนาดเล็ก

สาระสำคัญเชิงนโยบาย หากเป้าหมายระดับจังหวัดย้ายจาก “ยอดผู้มาเยือนรวม” ไปสู่ “ค้างคืน + ค่าใช้จ่ายต่อหัว–ต่อคืน + สัดส่วนรายได้ที่ลงชุมชน” เมืองจะเติบโตเชิงคุณภาพ ลดแรงกดดันทรัพยากร และมีภูมิคุ้มกันในฤดูกาลอ่อน

จุดหมายยอดนิยม (จัดอันดับตามจำนวนเที่ยวออกเดินทาง) — Top 10 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ

  1. จีน: 2,092,699 เที่ยว (สัดส่วน 17.85% ของทั้งหมด), ค่าใช้จ่ายรวม 62,738.40 ลบ.
  2. มาเลเซีย: 1,638,506 เที่ยว (13.98%), 33,686.81 ลบ.
  3. ลาว: 1,214,090 เที่ยว (10.36%), 21,167.99 ลบ.
  4. ญี่ปุ่น: 1,060,914 เที่ยว (9.05%), 47,023.19 ลบ.
  5. กัมพูชา: 757,942 เที่ยว (6.47%), 13,482.36 ลบ.
  6. ฮ่องกง (จีน): 463,217 เที่ยว (3.95%), 14,303.81 ลบ.
  7. เวียดนาม: 417,702 เที่ยว (3.56%), 8,433.64 ลบ.
  8. สิงคโปร์: 393,933 เที่ยว (3.36%), 12,410.03 ลบ.
  9. เกาหลีใต้: 380,383 เที่ยว (3.25%), 15,910.83 ลบ.
  10. ไต้หวัน: 365,825 เที่ยว (3.12%), 12,963.89 ลบ.

Roadmap 6 เดือน จากข้อมูล นโยบาย ผลลัพธ์

เดือน 1–2

  • ทำ data cleanup แยกตามอำเภอ–คลัสเตอร์กิจกรรม
  • จับคู่สินค้า/กิจกรรมปัจจุบันกับ โครงสร้างค่าใช้จ่าย ที่คนไทยคุ้นจากทริปต่างประเทศ (Bundle/Pass/ความยืดหยุ่น/จองง่าย)

เดือน 3–4

  • เปิดตัว Pass 48 ชั่วโมง ในเมืองฮับ ที่พัก 2 คืน + 2–3 กิจกรรมท้องถิ่น + คูปองขนส่ง (ซื้อ–ใช้บนมือถือ)
  • ทำ Weekday Campaign เจาะกลุ่มทำงานยืดหยุ่น/Workation ร่วมมือโรงแรม–คาเฟ่–โคเวิร์กกิงสเปซ

เดือน 5–6

  • วัดผล KPI รายไตรมาส + A/B Test แพ็กเกจ/ช่องทางขาย
  • ขยายโมเดลไป เมือง spoke รอบฮับ เพื่อดัน “คืนที่ 2” ด้วยกิจกรรมเฉพาะถิ่น

ทางรอดมี—ถ้า “ข้อมูลจริง” นำการตัดสินใจ

  • ทุนเดิมที่แข็งแรง ของเชียงรายคือโครงสร้างค้างคืน 72.29% — ต้องต่อยอดด้วยประสบการณ์ลึกและเส้นทางหลายอำเภอ
  • สัญญาณบวกจาก Excursionist (+3.39%) คือบันไดขั้นแรก หากมีชุดกิจกรรม–คูปอง–เวิร์กช็อปที่ “ดีพอจะค้าง”
  • ภาคเหนือทั้งภูมิภาคยังโต แปลว่าดีมานด์มี แต่ต้องจัดพอร์ตอีเวนต์–แพ็กเกจ–โลจิสติกส์ให้ตรงฤดูกาล
  • ยอมรับศึกกับต่างประเทศ แบบเปิดหน้า—เทียบเคียงทั้ง ราคา–ความสะดวก–ความพิเศษ และสื่อสาร “คุณค่าที่ต่างอย่างแท้จริง”

บรรทัดชวนคิด “ถ้าเมืองทำให้ หนึ่งชั่วโมง ของนักท่องเที่ยว มีคุณค่า มากพอ เมืองจะได้เพิ่มทั้ง คืนค้าง และ รายได้ที่กระจาย—นานกว่าฤดูกาล และยั่งยืนกว่าพีกชั่วคราว”

เศรษฐกิจจังหวัด จาก “ตัวเลขผู้มาเยือน” สู่ “รายได้กระจาย”

การวิเคราะห์ผลกระทบเศรษฐกิจท้องถิ่นควรขยับจาก “ยอดผู้มาเยือนรวม” ไปสู่ “ความหนาแน่นรายได้ในห่วงโซ่” (Value Density Along the Chain) โดยโฟกัสว่า “เงิน 1 บาทของนักท่องเที่ยว” กระจายไปยังใครบ้าง:

  • ที่พักขนาดกลาง–เล็ก (SMEs): ได้รับประโยชน์ทันทีเมื่อเพิ่มค้างคืน
  • ผู้ประกอบการขนส่งท้องถิ่น: รายได้เพิ่มเมื่อมีแพ็กเกจเชื่อมเส้นทาง
  • ร้านอาหาร/คาเฟ่ชุมชน: รายได้เพิ่มเมื่อออกแบบเส้นทางธีมอาหารท้องถิ่น
  • พิพิธภัณฑ์/คราฟต์/เวิร์กช็อป: กลายเป็น “ฮับคุณค่า” ที่ผลักดันให้ลูกค้าอยู่ต่อ
  • ชุมชนเกษตร/วิถีชีวิต: ได้ส่วนแบ่งรายได้ตรง (Homestay/Community Tour) และอ้อม (ขายผลิตภัณฑ์ OTOP)

สารหลักเชิงเศรษฐกิจ: ถ้าเมืองขยับ KPI จาก “ยอดคน” ไปสู่ “รายได้ต่อหัว–ต่อคืน และสัดส่วนรายได้ชุมชน” เมืองจะเติบโตเชิงคุณภาพ ลดแรงกดดันทรัพยากร และเพิ่มศักยภาพแข่งขันระยะยาว

เชิงสถิติ (สรุปย้ำตัวเลขสำคัญ)

  • เชียงราย 2567: Visitor 6,282,437 (-0.18%)Tourist 4,541,553 (-1.48%)Excursionist 1,740,884 (+3.39%)
  • สัดส่วนโครงสร้างดีมานด์: ค้างคืน 72.29% / ไป–กลับ 27.71%
  • รายไตรมาส (เชียงราย, 2567):
    • Q1: Visitor +6.55%, Tourist +6.39%, Excursionist +6.91%
    • Q2: Visitor +3.20%, Tourist +1.38%, Excursionist +8.44%
    • Q3: Visitor -9.61%, Tourist -12.03%, Excursionist +0.52%
    • Q4: Visitor -2.63%, Tourist -2.60%, Excursionist -2.73%
  • ส่วนแบ่งเชียงรายต่อภาคเหนือ (ทั้งปี 2567 โดยคำนวณจากผลรวมรายไตรมาส): Visitor ~15.05%Tourist ~16.67%Excursionist ~12.00%
  • ภาคเหนือ 2567 เทียบ 2566: Visitor +2.70%Tourist +2.57%Excursionist +2.94%
  • คนไทยเที่ยวนอก (ม.ค.–ธ.ค. 2567): 11,720,634 เที่ยวออกเดินทางค่าใช้จ่ายรวม 431,483.16 ล้านบาท; Top 5 จุดหมายตามจำนวนเที่ยว: จีน, มาเลเซีย, ลาว, ญี่ปุ่น, กัมพูชา

ปี 2567 ตอกย้ำบทบาทเชียงรายในฐานะ “หัวรถจักรค้างคืนของภาคเหนือ” ด้วยเอกลักษณ์ที่หลายเมืองเลียนแบบยาก—ชายแดน กาแฟ/ชา วัฒนธรรมร่วมสมัย ภูมิประเทศหลากหลาย และชุมชนที่พร้อมเป็นเจ้าบ้าน ตัวเลขบอกชัดว่า จังหวัดยังไปได้ แต่ หุบเขา Q3 คือจุดที่ “เม็ดเงินหล่นหาย” หากไม่เร่งสร้าง สินค้าฤดูฝนซิงค์ปฏิทินอีเวนต์เหนือ–และ ทำให้การตัดสินใจเที่ยวเหนือง่ายพอๆ กับไปต่างประเทศ, ปีหน้าความเสี่ยงอาจเพิ่ม และผู้ประกอบการรายย่อยจะรับแรงสั่นสะเทือนก่อนใคร

ทางรอดไม่ได้อยู่ที่ “ใครมีคนเยอะกว่า” แต่อยู่ที่ “ใครทำให้ หนึ่งชั่วโมง ของนักท่องเที่ยว มีคุณค่ามากกว่า” เมืองที่ทำได้ จะยืดฤดูกาล ลดคอขวดในพีก ดึง Excursionist ให้กลายเป็น Tourist และ เพิ่มรายได้ที่ลงสู่ชุมชนอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

นักท่องเที่ยวต่างชาติสิงหาคม “ชะลอแรง” เชียงรายรับโจทย์ใหญ่ช่วงไฮซีซัน

นักท่องเที่ยวต่างชาติสิงหาคม “ชะลอแรง” เหลือ 2.58 ล้านคน รายได้ 1.19 แสนล้าน ลดสองหลัก—ถอดบทเรียนทั้งประเทศและโจทย์ใหญ่สำหรับเชียงรายรับไฮซีซัน

เชียงราย, 13 กันยายน 2568 – เช้าตรู่ปลายฤดูฝนที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เครื่องบินเที่ยวแรกแตะรันเวย์พร้อมผู้โดยสารต่างชาติกลุ่มเล็กๆ ที่ยิ้มให้หมอกขาวเหนือดอยตุง—ภาพเรียบง่ายที่สะท้อนความจริงอันซับซ้อนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยในเดือนสิงหาคม: นักท่องเที่ยวต่างชาติ “ยังมา” แต่ “มาน้อยลง” ข้อมูลทางการยืนยันว่า 1–31 สิงหาคม 2568 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.58 ล้านคน ลดลง 12.81% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 119,000 ล้านบาท ลดลง 13.40% สถานการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขเชิงมหภาค แต่กำลังกลายเป็นโจทย์ปลายเปิดให้ทุกจังหวัด โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม–ธรรมชาติอย่าง เชียงราย ต้องวางหมากรับไฮซีซันทันที

ภาพใหญ่ทั้งประเทศ เอเชียยังนำ, ยุโรปหนุน, อเมริกา–แอฟริกายังเล็ก

แผนที่แหล่งตลาดเดือนสิงหาคมสะท้อนทิศทางที่คุ้นเคยแต่เปราะบาง:

  • เอเชียและแปซิฟิก ครองสัดส่วนสูงสุด 72.77%
  • ยุโรป 19.17%
  • ตะวันออกกลาง 4.18%
  • อเมริกา 3.23%
  • แอฟริกา 0.65%

ความหมายเชิงนโยบายคือ ไทยยังพึ่งพาตลาดระยะใกล้เป็นหลัก ซึ่งตอบสนองไวต่อปัจจัย “ต้นทุน–ความสะดวก–ความเชื่อมั่น” (ค่าโดยสาร เที่ยวบินตรง มาตรการอำนวยความสะดวก และภาพลักษณ์ความปลอดภัย) หากหนึ่งในตัวแปรสะดุด ยอดทั้งระบบสะเทือนทันที ดังเช่นเดือนสิงหาคมที่ตัวเลขภาพรวมถดถอยสองหลัก

5 ชาติหลักยังขับเคลื่อนตลาด—จีนและมาเลเซียยืนหนึ่ง แต่พฤติกรรมเปลี่ยน

รายการ 5 ประเทศที่เดินทางเข้าไทยมากสุด เดือนสิงหาคม ได้แก่ จีน มาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น (ตามลำดับ) พร้อมเม็ดเงินจับจ่ายที่ยังทรงอิทธิพลต่อเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทย

  • จีน 409,691 คน รายได้ 22,723 ล้านบาท
  • มาเลเซีย 391,777 คน รายได้ 7,742 ล้านบาท
  • อินเดีย 190,604 คน รายได้ 7,368 ล้านบาท
  • เกาหลีใต้ 133,995 คน รายได้ 5,449 ล้านบาท
  • ญี่ปุ่น 128,178 คน รายได้ 5,642 ล้านบาท

ตัวเลขยืนยันภาพ “ตลาดยังมา แต่ใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น” สะท้อนจากรายได้รวมประเทศที่ลดลงมากกว่าจำนวนนักท่องเที่ยว (หดตัว 13.40% เทียบกับ 12.81%) แปลว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัว/ทริปลดลงหรือโครงสร้างนักท่องเที่ยวเอียงไปสู่กลุ่มระยะสั้น–คุ้มค่า (value-seeking) มากขึ้น

 “เหตุชะลอ” ในมุมโครงสร้าง

  1. ความสามารถในการบิน (Air Capacity) – เที่ยวบินตรงยังกลับมาไม่เต็มที่ในหลายเส้นทางรอง ทำให้ค่าโดยสารสูงกว่าช่วงก่อนโควิด นักท่องเที่ยวระดับกลาง–ล่างชะลอการตัดสินใจ
  2. อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจประเทศต้นทาง – ตลาดเอเชียบางแห่งเผชิญกำลังซื้อหดตัว ผู้เดินทางเน้นโปรโมชั่นและฤดูกาลพีคที่แน่นอน
  3. การแข่งขันภูมิภาค – ประเทศเพื่อนบ้านเร่งนโยบายวีซ่า–เที่ยวบิน–แคมเปญราคาดึงดูดกลุ่มเดียวกัน ส่งผลให้นักเดินทางกระจายจุดหมาย

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าศักยภาพไทยลดลง หากแต่ “สูตรเดิม” ไม่พอในปีที่ผู้บริโภคชั่งน้ำหนัก “ความคุ้มค่า + ความสะดวก + ความปลอดภัย + ความต่าง” มากกว่าที่เคย

เชื่อมโยงสู่เชียงราย เมืองปลายทางภาคเหนือที่มีทั้ง “ข้อได้เปรียบ” และ “ช่องโหว่”

ข้อได้เปรียบ

  • ภูมิทัศน์และฤดูกาลเด่น—หมอกหนาว งานไม้ดอก เดือนพฤศจิกายน–กุมภาพันธ์ คือทราฟฟิกหลัก
  • อัตลักษณ์ศิลปวัฒนธรรม—วัดร่องขุน, วัดร่องเสือเต้น, บ้านดำ, ชุมชนชาติพันธุ์, วิถีชา–กาแฟดอย
  • ทำเล สามเหลี่ยมทองคำ–เชียงแสน เชื่อมลาว–เมียนมา เสริมประสบการณ์ลุ่มน้ำโขง

ช่องโหว่ที่ต้องอุด

  • เที่ยวบินตรงจากตลาดหลักยังจำกัด (จีน/เกาหลี/ญี่ปุ่น) ทำให้พึ่ง “บินต่อเชียงใหม่” ซึ่งเพิ่มเวลาและต้นทุน
  • โครงสร้างบริการรายย่อยยังไม่สม่ำเสมอ—ภาษา, การชำระเงินดิจิทัลข้ามพรมแดน, ป้ายสื่อสารหลายภาษา, ห้องน้ำ–ความสะอาดมาตรฐานสากล
  • ไนท์อีโคโนมีและกิจกรรมช่วงเย็นยังมีช่องว่าง เมื่อเทียบเมืองท่องเที่ยวหลัก

บทสรุปเชิงกลยุทธ์ คือ เชียงรายต้อง “บีบความได้เปรียบให้สุด และลดแรงเสียดทานเล็กๆ ให้หายไป” เพื่อเปลี่ยนผู้โดยสารต่อเครื่อง/ทัวร์ข้ามจังหวัด ให้กลายเป็น “พักเชียงรายเพิ่ม 1 คืน” ให้ได้มากที่สุดในไฮซีซัน

จากตัวเลขระดับชาติ สู่ “แผนเล่นจริง” ของเชียงราย โฟกัส 5 ตลาดตามโครงสร้างเดือนสิงหา

1) จีน – ฐานใหญ่ที่ต้องชนะ ด้วยความสะดวก+ความเชื่อมั่น

  • สินค้า: แพ็กเกจ “หิมะแรกเหนือเมฆ”/“ชา–กาแฟ–ศิลปะใน 48 ชั่วโมง”, จุดถ่ายรูปและคาเฟ่โทนอบอุ่น, ประสบการณ์ชุมชนปลอดโรแมนซ์สแกม–ปลอดทัวร์บังคับซื้อ
  • บริการ: ป้าย–เมนูจีน, ไกด์จีน, รองรับ Alipay/WeChat Pay และ QR ข้ามแดน (ผ่านธนาคารไทย), ระบบขอคืนภาษีและชิปป์สินค้าถึงบ้าน
  • การสื่อสาร: ใช้โซเชียลจีน (WeChat/RED/Weibo) อินฟลูเอนเซอร์ “ทริปสั้นคุ้มค่า” เน้นเดินทางคู่เชียงใหม่หรือบินเข้าเชียงราย–ออกเชียงใหม่

2) มาเลเซีย – กลุ่มครอบครัว–เพื่อน เน้น “ความคุ้มค่าและฮาลาล”

  • สินค้า: เส้นทาง ฮาลาล–มุสลิม–โรดทริปเหนือ ร้านอาหารฮาลาล, มัสยิด, พื้นที่ละหมาดในแหล่งท่องเที่ยว
  • บริการ: ภาษา มาเลย์/อังกฤษ, ระบบจ่าย e-wallet ที่ชาวมาเลย์คุ้นเคย, โปรโมชั่น Long weekend ผูกกับสายการบินโลว์คอสต์
  • การสื่อสาร: คอนเทนต์ “หนาวใกล้–งบคุมได้” จุดขายวิวดอย–ชา–กาแฟ–ไนท์มาร์เก็ต

3) อินเดีย – กลุ่มรุ่นใหม่–ครอบครัว เน้น “ประสบการณ์และอาหาร”

  • สินค้า: เซ็ต Vegetarian/Jain-friendly, คาเฟ่วิวสวย–กิจกรรมถ่ายภาพ–แฟชั่น, โปรแกรมโรแมนติก/พรีเวดดิ้ง
  • บริการ: ภาษาอังกฤษคล่อง, ช่องทางชำระเงินสะดวก (UPI ยังไม่แพร่ในไทย—ใช้บัตร/QR), ทีมซัพพอร์ตเหตุฉุกเฉิน
  • การสื่อสาร: รีล–คลิปสั้น “อากาศเย็น–วิวอลัง–ถ่ายรูปสวยทุกมุม” บน Instagram/YouTube/Shorts

4) เกาหลีใต้ – ไลฟ์สไตล์–ธรรมชาติ–คาเฟ่

  • สินค้า: เส้นทาง Hygge in Chiang Rai คาเฟ่นั่งยาว–เส้นทางวิ่ง/ปั่น–ออนเซ็น/สปา–โฮมสเตย์อบอุ่น
  • บริการ: ป้าย–เมนูเกาหลี, พนักงานรู้วัฒนธรรมเกาหลี (เวลาอาหาร, รสชาติ, การเซอร์วิส)
  • การสื่อสาร: ใช้ Naver/Instagram, ภาพนิ่งโทนอบอุ่น–มินิมอล

5) ญี่ปุ่น – ความเรียบร้อย–มาตรฐาน–ความหมาย

  • สินค้า: ทัวร์เชิงวัฒนธรรมเล็กๆ คุณภาพสูง, ชิมชา–เซรามิก–งานฝีมือทำเองได้, เส้นทาง “เงียบ–สงบ”
  • บริการ: ความตรงเวลา–ความสะอาด–เสียงเบาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์, พนักงานกล่าวทักภาษาญี่ปุ่นพื้นฐาน
  • การสื่อสาร: รีวิวละเอียด, คู่มือภาษา/มารยาทในวัด–ชุมชน

10 มาตรการ “ทำได้ทันที” เพื่อการประทับใจในปีที่แรงซื้อหดตัว

  1. ป้ายหลายภาษา + QR คู่มือเมือง (ไทย–อังกฤษ–จีน–เกาหลี–ญี่ปุ่น) รวมแผนที่–เวลาเปิด–เลขฉุกเฉิน
  2. ยกระดับห้องน้ำสาธารณะ ตามมาตรฐาน TAT Hygienic Restroom ในทุกจุดท่องเที่ยวหลักและสถานีรถ–ท่าเรือ
  3. Payment Friendly – รับบัตร–QR ข้ามแดน (PromptPay Cross-Border, Alipay/WeChat Pay) พร้อมป้ายราคาชัดทุกเมนู
  4. Tourist Help Desk ฤดูกาลพีค – จุดช่วยเหลือ 2 ภาษาในไนท์บาซาร์/ท่าเรือเชียงแสน/วัดร่องขุน ช่วยแปล–ร้องเรียน–ตามของหาย
  5. Night Economy แบบครอบครัว – โซนดนตรีเบา–ศิลปินพื้นบ้าน–เวิร์กช็อปช่างฝีมือ เพิ่มกิจกรรมหลัง 18.00 น. ให้ “มีเหตุผลค้างเพิ่ม 1 คืน”
  6. Green Rules ชัดเจน – แนวทางท่องเที่ยวรับผิดชอบ (แยกขยะ–ลดพลาสติก–ไม่ไล่จับสัตว์–เคารพวิถีชุมชน) พร้อมการสื่อสารหลายภาษา
  7. ขนส่งเชื่อมจุดเด่น – รถชัทเทิลไลน์ “สนามบิน–เมือง–วัดร่องขุน–บ้านดำ–ไร่ชา–ไนท์มาร์เก็ต” รัดกุมต่อเวลา
  8. มาตรฐานความปลอดภัยกิจกรรม – ตรวจอุปกรณ์/ใบอนุญาตเรือ–รถ–แอดเวนเจอร์ขึ้นทะเบียน โปร่งใส
  9. ดาต้าเรียลไทม์ – เก็บ Occupancy–Visitor Flow ช่วงพีค เพื่อจัดระเบียบคิว–เปิด–ปิดทางเข้าอย่างยืดหยุ่น
  10. โปรแกรมฝึกพนักงาน 20 ชั่วโมง – ภาษา/มารยาทข้ามวัฒนธรรม/การจัดการข้อร้องเรียน เร่งร่วมกับสถาบันในพื้นที่

 “ให้เขารู้สึกว่าอยู่บ้านเดียวกัน”

ในปีที่นักท่องเที่ยว “เลือกมาก” เมืองที่ชนะไม่ใช่เมืองที่มีสถานที่สวยสุดเสมอไป แต่คือเมืองที่ ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกเป็นคนในพื้นที่ชั่วคราว สำหรับเชียงราย นี่คือเสน่ห์ที่มีอยู่แล้ว—โฮมสเตย์ชุมชนชาวเขา ชา–กาแฟที่เจ้าของไร่ชงเอง งานศิลป์ร่วมสมัยที่เกิดขึ้นจากคนในท้องถิ่น—เพียงต้องเล่าเรื่องให้ถูกตลาดและเพิ่มความสะดวกให้ไร้รอยต่อ

ลองจินตนาการ “ทริป 48 ชั่วโมง” สำหรับคู่รักจีนหรือครอบครัวมาเลเซีย: ลงเครื่องเช้า–รับชัทเทิลไปคาเฟ่ไร่ชา–บ่ายเข้าพิพิธภัณฑ์ศิลป์ร่วมสมัย–เย็นเดินไนท์มาร์เก็ตฮาลาลเฟรนด์ลี่–เช้าวันถัดไปทำเวิร์กช็อปย้อมผ้าชุมชน–บ่ายล่องเรือโขง–ค่ำชมแสงเมืองเก่าเชียงแสน แล้วระบบจ่ายเงิน–การสื่อสาร–ความปลอดภัย ลื่นไหลไร้สะดุด พวกเขาจะบอกต่อโดยไม่ต้องขอ

มุมเศรษฐกิจท้องถิ่น “เม็ดเงินน้อยลง ต้องกระจายในเมืองให้ได้นานขึ้น”

เมื่อค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวมีแนวโน้มลดลง กลยุทธ์ของเชียงรายควรย้ายจาก “ไล่ล่าปริมาณ” สู่ “ขยายเวลาพัก + เพิ่มกิจกรรมสร้างมูลค่า”:

  • จาก 1–2 คืนเป็น 2–3 คืน ผ่าน Night Economy, เวิร์กช็อปทำจริง, ทริปชายแดน
  • เพิ่มสัดส่วนรายได้ชุมชน เช่น แพ็กเกจ ชา–กาแฟ–เซรามิก–สิ่งทอ ที่นักท่องเที่ยว “ลงมือทำและซื้อกลับ”
  • ใช้ บัตรเมือง (City Pass) รวมรถ–ค่าเข้า–คูปองร้านท้องถิ่น เพื่อทั้งเพิ่มความคุ้มค่าและกระจายเม็ดเงิน

การสื่อสารเชิงความเชื่อมั่น ความปลอดภัย–ความเป็นระเบียบคือสินค้าที่ขายได้

ในยุคที่โลกโซเชียลตัดสินใจเร็วกว่าป้ายบอกทาง เมืองต้องขาย “ความสบายใจ” ไปพร้อมกับวิวสวย:

  • ช่องทางทางการสองภาษา (Facebook/Line/WeChat/Naver) รายงานสภาพอากาศ–คุณภาพอากาศ–ถนน–งานเทศกาล แบบวันต่อวัน
  • ระบบรับแจ้งเหตุ–ของหาย One Touch ผ่าน QR เดียว แล้วกระจายไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
  • การสื่อสาร มารยาทในวัด–หมู่บ้าน ให้เข้าใจง่าย (เช่น แต่งกาย/ระดับเสียง/ถ่ายภาพ) ลดความขัดแย้งเล็กๆ ที่ทำลายประสบการณ์

ไฮซีซันใกล้เข้ามา เชียงรายควร “จัดทัพ 90 วัน”

30 วันแรก – เก็บกวาดพื้นฐาน: ห้องน้ำ–ป้าย–ซ่อมไฟ–ตรวจความปลอดภัยกิจกรรม, อบรมหน้าบ้าน (โรงแรม ร้านอาหาร คาเฟ่ ไกด์)
60 วันถัดมา – เปิดชัทเทิลรูท, ทดลอง Night Economy ทุกสุดสัปดาห์, เปิด Help Desk สองภาษา, เปิด City Pass รุ่นทดลอง
90 วัน – ลุยแคมเปญตลาดเป้าหมาย 5 ประเทศผ่านอินฟลูเอนเซอร์/เอเจนซี, เสนอแพ็กเกจ “เชียงใหม่–เชียงราย 4 วัน 3 คืน” เน้นภาพลักษณ์ “ภาคเหนือสะอาด–สงบ–ปลอดภัย–ชำระเงินง่าย”

ประเด็นนโยบายที่ควรหารือร่วมจังหวัด

  1. อำนวยความสะดวกเที่ยวบินตรงฤดูกาลหนาว จากเมืองรองในจีน–เกาหลี–ญี่ปุ่น พร้อมกำกับคุณภาพทัวร์
  2. มาตรฐานโฮมสเตย์–แอดเวนเจอร์ ระดับจังหวัดเดียวกัน ลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ
  3. ข้อมูลท่องเที่ยวแบบเปิด (Open Data) ให้ผู้ประกอบการเข้าถึง เพื่อวางแผนราคา–บุคลากรอย่างมีข้อมูล
  4. สิ่งแวดล้อมเป็นวาระท่องเที่ยว – จัดการขยะในแหล่งท่องเที่ยว/เส้นทางยอดนิยม พร้อมมาตรการชัดเจนช่วงเทศกาล

ตัวเลขประเทศ “เตือนให้เข้ม” แต่ไม่ใช่เหตุให้ถอย

2.58 ล้านคนและรายได้ 1.19 แสนล้านบาทในสิงหาคมที่หดตัวสองหลัก เป็นสัญญาณเตือนว่า “การแข่งขันท่องเที่ยวปี 2568 ดุเดือด” เมืองที่ไปต่อได้ต้องอ่านเกมไว ปรับสินค้า–บริการให้เข้ากับความคาดหวังนักเดินทางยุคใหม่ และสร้างความสะดวก–สบายใจแบบไร้รอยต่อ

สำหรับ เชียงราย เมืองที่มีทั้งภูมิทัศน์งดงาม วัฒนธรรมเข้ม และเส้นเลือดใหญ่ชายแดน—หากทำการบ้านตามขั้นตอน (พื้นฐานแน่น/สินค้าแตกต่าง/จ่ายเงินง่าย/สื่อสารสองภาษา/ปลอดภัยรู้สึกดี) โอกาสพลิก “ผู้โดยสารต่อเครื่อง” ให้กลายเป็น “ผู้พัก 2–3 คืน” อยู่ไม่ไกล และเมื่อเขากลับบ้านพร้อมคำว่า “รู้สึกเหมือนอยู่บ้านเดียวกัน” เม็ดเงินที่หายไปย่อมมีทางกลับมา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (มท.): อินโฟกราฟิก “Tourism Situation in August 2025 – Inbound August” และสรุปสถานการณ์ท่องเที่ยว (ข้อมูล ณ 7 กันยายน 2568) ใช้ประกอบตัวเลขสำคัญ ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.58 ล้านคน (-12.81% YoY), รายได้ 1.19 แสนล้านบาท (-13.40% YoY), สัดส่วนภูมิภาค และ 5 ประเทศแหล่งตลาดหลักพร้อมรายได้.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News