Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 จัดกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” แปลงนาสาธิต ทหารพันธุ์ดี สืบสาน ศาสตร์พระราชา

เชียงราย – มทบ.37 สืบสาน “ศาสตร์พระราชา” ผ่านกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” แปลงนาสาธิตทหารพันธุ์ดี เชื่อมจิตอาสา–ชุมชน สร้างพื้นที่เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงอย่างเป็นรูปธรรม

เชียงราย,4 ธันวาคม 2568 – เสียงหัวเราะของเด็กนักเรียน เสียงทักทายของทหารผ่านศึก และจังหวะก้าวย่ำลงผืนนาอย่างพร้อมเพรียงของกำลังพลจิตอาสา คือภาพแรกที่ปรากฏขึ้น ณ แปลงนาสาธิต โครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายเม็งรายมหาราช เมื่อบ่ายวันที่ 2 ธันวาคม 2568

ภายใต้บรรยากาศเรียบง่ายแต่เปี่ยมความหมาย ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จัดกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตรงกับวันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2568

เบื้องหลังเพียงครึ่งวันของกิจกรรม คือ “เรื่องเล่า” ของการสืบสานพระราชปณิธานด้านการพัฒนา การยืนหยัดบนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และความพยายามเปลี่ยน “ผืนนาในค่ายทหาร” ให้เป็น “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ของคนทั้งชุมชน

พลังจิตอาสาหลากหลายรุ่น จากทหาร ถึงนักเรียนอนุบาล

หัวใจสำคัญของกิจกรรมครั้งนี้ คือ “การรวมพลัง” ของเครือข่ายจิตอาสาหลายภาคส่วน ภายใต้การนำของ พล.ต. จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีและนำกำลังพลลงแปลงนาอย่างเป็นตัวอย่าง

กิจกรรมได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานหลากหลาย ได้แก่

  • กำลังพลจิตอาสา 904
  • กำลังพลมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช
  • โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช
  • หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร
  • สำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย–พะเยา
  • โรงเรียนอนุบาลกองทัพบกอุปถัมภ์ บริบูรณ์ธนวัฒน์

การที่ “ทหารแนวหน้า – ทหารผ่านศึก – เยาวชน – บุคลากรทางการแพทย์ – ครูและนักเรียน” ลงมือทำนาเคียงบ่าเคียงไหล่กันในกิจกรรมเดียว ไม่ได้เป็นเพียงภาพเชิงสัญลักษณ์ หากยังสะท้อนแนวคิดสำคัญของงานครั้งนี้ คือ “การเรียนรู้ร่วมกัน” และ “การสืบสานวิถีเกษตรกรรมไทยอย่างมีส่วนร่วม”

แม้กิจกรรมจะใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ทุกขั้นตอนตั้งแต่การเตรียมแปลงนา การลงแขกดำนา ไปจนถึงการอธิบายขั้นตอนจัดการน้ำ ดิน และเมล็ดพันธุ์ ล้วนถูกออกแบบให้ผู้เข้าร่วมได้สัมผัสทั้ง “วิธีคิด” และ “วิธีปฏิบัติ” ตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่และศาสตร์พระราชาอย่างเป็นระบบ

ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” วงจรเวลาที่ผูกหัวใจคนกับผืนนา

ชื่อกิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” เป็นวลีที่คนไทยคุ้นหูมาหลายปี แต่ในบริบทของ มทบ.37 วลีนี้ถูกทำให้ “จับต้องได้จริง” ผ่านแปลงนาสาธิตของโครงการทหารพันธุ์ดี

แนวคิดหลักคือการใช้ “วงจรเวลา” จากเดือนสิงหาคม (วันแม่แห่งชาติ) จนถึงเดือนธันวาคม (วันพ่อแห่งชาติ) เป็นกรอบการเรียนรู้เรื่องข้าวและวิถีเกษตรกรรมแบบครบวงจร ตั้งแต่การเตรียมดิน ดำนา ดูแลรักษา ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว

แม้ในปีนี้กิจกรรมที่รายงานจะจัดขึ้นในวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงใกล้วันพ่อแห่งชาติ แต่การลงแขกดำนาในแปลงนาสาธิตครั้งนี้ก็ถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกับการ “เก็บเกี่ยวในอนาคต” อย่างชัดเจน

ข้าวที่ผู้เข้าร่วมปลูกร่วมกันในวันนี้ จะกลายเป็นผลผลิตที่สะท้อนให้เห็นว่า “การทำตามศาสตร์พระราชา” ไม่ใช่เพียงคำขวัญ หากคือกระบวนการเรียนรู้ระยะยาว ที่ต้องอาศัยความเพียร ความร่วมมือ และการวางแผนอย่างรอบคอบ

แปลงนาสาธิตโครงการทหารพันธุ์ดี ห้องเรียน “ศาสตร์พระราชา” ในค่ายทหาร

กิจกรรมทั้งหมดจัดขึ้น ณ แปลงนาสาธิต โครงการทหารพันธุ์ดี มณฑลทหารบกที่ 37 ซึ่งได้รับการพัฒนาให้เป็น “ศูนย์การเรียนรู้โครงการทหารพันธุ์ดี ค่ายเม็งรายมหาราช” ทำหน้าที่เป็นแหล่งสาธิตและถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับกำลังพล ส่วนราชการ นักเรียน และประชาชนทั่วไป

หน่วยได้ประกาศชัดว่า การดำเนินงานทั้งหมดอยู่ภายใต้ความคิด

“เรียนรู้จากผืนนา ในศาสตร์พระราชา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”

แนวคิดนี้สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ชี้ถึงแนวทางการดำรงอยู่และการพัฒนาที่ตั้งอยู่บน “ความพอประมาณ เหตุผล และภูมิคุ้มกัน” โดยอาศัยเงื่อนไขความรู้และคุณธรรมเป็นฐาน เพื่อให้ครอบครัว ชุมชน และประเทศสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

เมื่อหลักคิดดังกล่าวถูกถ่ายทอดลงสู่ “ผืนนาในค่ายทหาร” แปลงนี้จึงไม่ได้มีบทบาทเพียงเป็นพื้นที่ปลูกข้าว แต่กลายเป็น “สื่อการเรียนรู้” ที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมเห็นภาพจริงของการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างสมดุล ทั้งน้ำ ดิน พืช และแรงงานคน

เกษตรทฤษฎีใหม่ จากแนวพระราชดำริ สู่ผังการจัดการพื้นที่ของ มทบ.37

หนึ่งในหัวใจสำคัญของโครงการทหารพันธุ์ดี คือการน้อมนำ “เกษตรทฤษฎีใหม่” มาปรับใช้ในพื้นที่ของหน่วย เพื่อให้เกิดต้นแบบการจัดการพื้นที่เกษตรขนาดเล็กที่เหมาะสมกับสภาพของเกษตรกรไทย

เอกสารแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ของสำนักงาน กปร. ระบุว่า ทฤษฎีใหม่นี้เสนอให้เกษตรกรที่มีที่ดินเฉลี่ยประมาณ 10–15 ไร่ แบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วน ๆ เช่น แหล่งน้ำ พื้นที่ปลูกข้าว พื้นที่ปลูกพืชผสมผสาน และพื้นที่อยู่อาศัยหรือเลี้ยงสัตว์ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการผลิตอาหาร การกักเก็บน้ำ และการสร้างรายได้เสริมอย่างยั่งยืน

การที่มณฑลทหารบกที่ 37 นำแนวทางนี้มาปรับใช้ในแปลงนาสาธิตโครงการทหารพันธุ์ดี ไม่เพียงช่วยให้กำลังพลเข้าใจระบบเกษตรแบบบูรณาการ แต่ยังทำให้พื้นที่นี้ทำหน้าที่เป็น “ต้นแบบภาคปฏิบัติ” ให้ประชาชนในพื้นที่สามารถมาศึกษา เรียนรู้ และนำไปประยุกต์ใช้ในแปลงของตนเองได้

ในมุมของการสร้างความมั่นคงทางอาหาร แปลงทดสอบที่มีข้าวเป็นศูนย์กลาง และมีพืชอาหารอื่น ๆ รวมถึงการเลี้ยงสัตว์หรือปลูกพืชเศรษฐกิจเสริม ย่อมมีศักยภาพในการช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา ตลอดจนรองรับสถานการณ์วิกฤตในอนาคตได้ดีกว่าระบบเกษตรเชิงเดี่ยว

จาก “หน้าที่ทหาร” สู่ “บทบาทครู” กองทัพกับภารกิจใหม่ในชุมชน

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา กองทัพบกได้พยายามขยายบทบาทจาก “หน่วยงานด้านความมั่นคง” ไปสู่การเป็น “หุ้นส่วนการพัฒนา” กับชุมชน ผ่านโครงการด้านเกษตรและจิตอาสาต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือ “โครงการทหารพันธุ์ดี” ซึ่งถูกออกแบบให้เป็นแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพ และเป็นศูนย์การเรียนรู้ในคราวเดียวกัน

กิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” ครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็นการปรับบทบาทดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อกำลังพลไม่ได้ทำหน้าที่เพียงป้องกันประเทศ แต่ยังลงมาสวมบท “ครู” ถ่ายทอดประสบการณ์ด้านการจัดการแปลงนา การอนุรักษ์น้ำดิน และการวางแผนปลูกข้าวตามฤดูกาลให้กับเยาวชนและประชาชน

ขณะเดียวกัน การมีส่วนร่วมของหน่วยงานอย่างโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช และสำนักงานสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเขตเชียงราย–พะเยา ยังช่วยให้ภาพของกิจกรรมครั้งนี้เชื่อมโยงกับการดูแล “คนในระบบ” อย่างครบวงจร ทั้งทหารประจำการ ทหารผ่านศึก และครอบครัว

กล่าวได้ว่า แปลงนาสาธิตแปลงเล็ก ๆ แห่งนี้ กลายเป็นพื้นที่ที่ “ภารกิจการพัฒนา คุณภาพชีวิต และการปลูกฝังคุณค่าจิตอาสา” เดินไปพร้อม ๆ กับภารกิจหลักด้านความมั่นคงของกองทัพ

เมื่อเด็ก ๆ ลงนา การปลูกเมล็ดพันธุ์ “คนรุ่นใหม่” ไปพร้อมกับเมล็ดข้าว

หนึ่งในภาพที่โดดเด่นของกิจกรรม คือการที่นักเรียนจากโรงเรียนอนุบาลกองทัพบกอุปถัมภ์ บริบูรณ์ธนวัฒน์ ได้มีโอกาสลงแปลงนา เรียนรู้ขั้นตอนการปลูกข้าว รู้จักอุปกรณ์การทำนา และฟังคำอธิบายเรื่อง “ศาสตร์พระราชา” ในภาษาที่เข้าใจง่าย

สำหรับเด็กในยุคดิจิทัลที่คุ้นเคยกับหน้าจอมากกว่าผืนนา การได้สัมผัสดินโคลนด้วยตนเอง ถือเป็นประสบการณ์สำคัญที่ช่วยเชื่อมโยง “อาหารในจาน” กับ “แรงงานของชาวนาและระบบนิเวศในท้องนา” อย่างจับต้องได้

เมื่อมองในระยะยาว การเปิดพื้นที่เช่นนี้ให้เด็กและเยาวชนได้เข้ามามีส่วนร่วม ย่อมช่วยปลูกฝังทัศนคติด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การเห็นคุณค่าของแรงงานเกษตร และการเข้าใจหลักเศรษฐกิจพอเพียงตั้งแต่วัยเยาว์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสามารถประยุกต์ใช้ได้ตั้งแต่ระดับครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงระดับชาติ

ความหมายเชิงสังคม ข้าวหนึ่งรวง สะท้อนเครือข่าย “จิตอาสา – เกษตร – ชุมชน”

แม้กิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” จะเป็นเพียงหนึ่งในหลายกิจกรรมของศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มทบ.37 แต่ความหมายในเชิงสังคมของกิจกรรมนี้มีความน่าสนใจในหลายมิติ

  1. มิติด้านจิตอาสา
    การรวมตัวของกำลังพลจิตอาสา 904 หน่วยทหาร หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร และเครือข่ายทหารผ่านศึก สะท้อนให้เห็นว่าจิตอาสาในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการบรรเทาทุกข์ในภาวะวิกฤต แต่ยังขยายสู่ “การสร้างภูมิคุ้มกันเชิงโครงสร้าง” ผ่านการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความมั่นคงทางอาหารของชุมชน
  2. มิติด้านเศรษฐกิจฐานราก
    การส่งเสริมให้เกษตรกรและประชาชนทั่วไปเข้ามาเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ ช่วยให้ครัวเรือนมีโอกาสปรับรูปแบบการเพาะปลูก ให้พึ่งพาตนเองได้มากขึ้น ลดความเสี่ยงจากราคาสินค้าเกษตรผันผวน และสร้างรายได้เสริมจากพืชผสมผสานตามแนวทางที่สำนักงาน กปร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันมายาวนาน
  3. มิติด้านวัฒนธรรมและอัตลักษณ์
    ข้าวและผืนนาไม่ใช่เพียงทรัพยากรทางเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ชุมชนไทย โดยเฉพาะในภาคเหนืออย่างจังหวัดเชียงราย ที่มีทั้งชาวไทยพื้นราบและกลุ่มชาติพันธุ์หลากหลายอาศัยอยู่ วิถีเกษตรที่เชื่อมโยงกับ “ศาสตร์พระราชา” จึงเท่ากับการรักษาทั้งภูมิปัญญาและความทรงจำร่วมของชุมชน

 

จากผืนนาสู่อนาคต พื้นที่ต้นแบบที่ขยายผลได้จริง

จุดแข็งของกิจกรรมในครั้งนี้ ไม่ได้อยู่ที่จำนวนผู้เข้าร่วม แต่อยู่ที่การวาง “โจทย์ระยะยาว” ให้แปลงนาสาธิตของโครงการทหารพันธุ์ดีทำหน้าที่ต่อไปในฐานะ “ต้นแบบการเรียนรู้” ที่ขยายผลไปยังครอบครัวและชุมชนอื่น ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง

เมื่อเกษตรกรตัวจริงในพื้นที่ นักเรียน และประชาชนทั่วไป เห็นตัวอย่างของการจัดสรรพื้นที่ตามทฤษฎีใหม่ การวางระบบน้ำ การปลูกพืชระบบหมุนเวียน และการเชื่อมโยงกับตลาดอย่างพอเหมาะ พวกเขาสามารถนำแนวคิดไปปรับใช้ตามบริบทของตนเองได้ โดยไม่จำเป็นต้องลอกแบบทุกขั้นตอน

นอกจากนี้ การที่ มทบ.37 วางศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ให้เปิดรับส่วนราชการ สถานศึกษา และภาคประชาชน ยังช่วยให้ “องค์ความรู้จากศาสตร์พระราชา” ไม่ถูกจำกัดอยู่เฉพาะในกรม กอง หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่ถูกส่งต่อในรูปแบบความร่วมมือข้ามองค์กรอย่างแท้จริง

เมื่อ “ผืนนาในค่ายทหาร” กลายเป็นเวทีสืบสานศาสตร์พระราชา

หากมองเพียงผิวเผิน กิจกรรม “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” ของศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน มณฑลทหารบกที่ 37 อาจถูกมองว่าเป็นเพียงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ในช่วงวันสำคัญของชาติ

แต่เมื่อพิจารณาอย่างลึกซึ้ง จะเห็นว่า

  • ผืนนาสาธิตโครงการทหารพันธุ์ดี คือ “ห้องเรียนกลางแจ้ง” ที่แปลงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ให้จับต้องได้จริง
  • การผนึกกำลังของทหาร จิตอาสา นักเรียน ทหารผ่านศึก และหน่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ คือ “รูปธรรมของความสามัคคี” ที่สะท้อนให้เห็นว่าการพัฒนาชุมชนไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยลำพังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
  • วงจรเวลา “ปลูกวันแม่ เกี่ยววันพ่อ” เป็นเครื่องเตือนใจให้สังคมเห็นคุณค่าของการวางแผนระยะยาว ความเพียร และการเรียนรู้จากธรรมชาติ ซึ่งล้วนเป็นแก่นสำคัญของศาสตร์พระราชา

ในโลกที่เผชิญทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภัยพิบัติด้านสภาพภูมิอากาศ และความเหลื่อมล้ำทางโอกาส การมี “แปลงนาสาธิต” ที่ขับเคลื่อนบนหลักคิด “พอเพียง มั่นคง ยั่งยืน” ในทุกมณฑลทหารบก อาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมดของปัญหา แต่ย่อมเป็น “จุดตั้งต้นที่สำคัญ” ในการสร้างภูมิคุ้มกันให้ชุมชนไทยยืนหยัดได้ด้วยตนเอง

สำหรับจังหวัดเชียงราย กิจกรรมในวันนั้นจึงไม่ได้ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าบนผืนนา หากยังทิ้ง “เมล็ดพันธุ์ความคิด” ไว้ในหัวใจของผู้เข้าร่วม ว่าการเคารพสถาบันหลักของชาติ การรักถิ่นฐานบ้านเกิด และการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ สามารถเดินไปด้วยกันได้อย่างกลมกลืน

และทุกครั้งที่ชาวบ้าน หรือเด็ก ๆ ได้กลับมาเห็นรวงข้าวที่เคยร่วมกันปลูกค่อย ๆ ตั้งท้องและสุกเหลืองพร้อมเก็บเกี่ยว พวกเขาย่อมตระหนักได้ว่า “วันที่เราลงนา” ไม่ได้เป็นเพียงภาพในอดีต แต่คือบทเรียนที่ต่อยอดไปสู่การตัดสินใจและการใช้ชีวิตในอนาคต

สำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 จัด Open House ทหารใหม่

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดกิจกรรม “เปิดบ้านทหารใหม่ Open House” เชื่อมสายใยครอบครัว – ทหาร – สังคม เสริมศักยภาพกองทัพแห่งอนาคต

เชียงราย, 5 กรกฎาคม 2568 – มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) จังหวัดเชียงราย เปิดบ้านต้อนรับครอบครัวทหารใหม่ในกิจกรรม “เปิดบ้านทหารใหม่ Open House” เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ณ สนามฝึกหน้ากองร้อย มทบ.37 โดยมี พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการ มทบ.37 เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยคณะสมาคมแม่บ้านทหารบก สาขามณฑลทหารบกที่ 37 ร่วมเป็นเจ้าภาพ ถ่ายทอดความอบอุ่น ความภาคภูมิใจ และการมีส่วนร่วมของครอบครัวในเส้นทางของชายชาติทหาร

 

เปิดบ้านครั้งนี้ไม่ใช่แค่พิธี แต่คือการ “สื่อสารใจ” ระหว่างครอบครัวกับกองทัพ

ภายใต้แนวนโยบายของผู้บัญชาการทหารบกที่มุ่งให้กองทัพเป็นที่พึ่งของประชาชนและยึดโยงกับสังคม “กิจกรรมเปิดบ้านทหารใหม่” จึงไม่ใช่เพียงพิธีการ แต่คือพื้นที่ที่เปิดให้ครอบครัวของทหารใหม่ ได้มาสัมผัสชีวิตและวิถีของกองทัพด้วยสายตาตนเอง

เนื่องในโอกาสวันเสร็จสิ้นการฝึกทหารใหม่ ผลัดที่ 1/2568 การเปิดบ้านครั้งนี้ไม่เพียงต้อนรับครอบครัวและญาติพี่น้องของทหารใหม่ แต่ยังต้อนรับประชาชนทั่วไปให้เข้ามามีส่วนร่วมกับบทบาทของกองทัพบกในสังคมผ่านกิจกรรมหลากหลายที่ผสานทั้งความรู้ ความสนุก และการเรียนรู้ด้านทหารอย่างรอบด้าน

 

โชว์ศักยภาพทหารใหม่ – ผสมผสานมิติฝึกวินัยและความเป็นคน

บรรยากาศในงานเป็นไปอย่างคึกคัก โดยเริ่มจากการนำเสนอผลการฝึกของทหารใหม่ที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่น ความอดทน และระเบียบวินัย ผ่านการแสดง 3 ชุดหลัก ได้แก่

  • การยิงปืนฉับพลัน
  • การแสดงศิลปะแม่ไม้มวยไทย
  • การร้องเพลงประสานเสียง “เพื่อผืนดินไทย”

นอกจากนี้ ยังมีการแสดงของหมวดดุริยางค์มณฑลทหารบกที่ 37 การสาธิตยุทโธปกรณ์ การแสดงของชุด Robocop และทหารสารวัตรที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ของทหารในทุกสถานการณ์

 

สานสัมพันธ์ครอบครัว – เปิดมุมมองใหม่สู่ “ชีวิตทหาร”

สิ่งที่โดดเด่นในงานนี้ คือกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ครอบครัวได้ร่วมเยี่ยมชมหน่วยงานต่าง ๆ เช่น โครงการทหารพันธุ์ดี นิทรรศการวิถีชีวิตและวิชาชีพของทหารใหม่ เช่น การซ่อมจักรยานยนต์ งานช่าง การเกษตร ตลอดจนบูธจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากสมาคมแม่บ้านทหารบกฯ

นอกจากนี้ยังมีบริการทางการแพทย์จากโรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช และครัวสนามที่เปิดให้ครอบครัวร่วมรับประทานอาหารกับบุตรหลานทหารใหม่ สะท้อนถึงความเอาใจใส่ในมิติด้านสุขภาพและสังคมที่กองทัพบกได้เตรียมไว้

 

ปลายทางไม่ใช่แค่การฝึกสำเร็จ แต่คือการเติบโตเป็น “พลเมืองดีของชาติ”

เสียงสะท้อนจากผู้ปกครองจำนวนมากให้ความเห็นตรงกันว่า บุตรหลานมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ โดยเฉพาะการมีระเบียบวินัย ความอดทน การรู้จักกตัญญู และการเสียสละเพื่อส่วนรวม

หนึ่งในผู้ปกครองกล่าวว่า “สิ่งที่ลูกชายได้จากกองทัพ ไม่ใช่แค่กล้ามแขนหรือความแข็งแรง แต่คือความเป็นผู้ใหญ่ รู้หน้าที่ รู้คุณพ่อแม่ และมองชีวิตด้วยมุมใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้น”

 

กองทัพไทยในศตวรรษที่ 21 – ทหารกับบทบาทใหม่ในสังคมประชาธิปไตย

กิจกรรม “Open House” ครั้งนี้ สะท้อนทิศทางใหม่ของกองทัพไทยที่ต้องการลดช่องว่างระหว่างหน่วยทหารกับประชาชน และเน้นการมีส่วนร่วมกับสังคมอย่างเป็นระบบ ผ่านการเปิดบ้าน พัฒนาโครงการร่วมกับชุมชน และสร้างภาพลักษณ์ของกองทัพที่ยึดโยงกับสันติภาพ ความมั่นคง และมนุษยธรรม

จากงานที่ดูเหมือนเล็กในพื้นที่หนึ่งของเชียงราย กลับมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาแนวคิดกองทัพไทยให้ “รับใช้ประชาชน” อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองประชาสัมพันธ์ มณฑลทหารบกที่ 37
  • สมาคมแม่บ้านทหารบก สาขา มทบ.37
  • โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ทหารพันธุ์ดี เสริมแกร่ง ศปร.ทบ. ตรวจเยี่ยมเชียงราย-พะเยา ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน

มทบ.37 ต้อนรับ ผอ.ศปร.ทบ. ลงพื้นที่เชียงราย-พะเยา ติดตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ–ขยายผล “ทหารพันธุ์ดี” หนุนความมั่นคงยั่งยืน

เชียงราย, 25 มิถุนายน 2568 – พลเอก พรมงคล พึ่งเสมา ผู้อำนวยการสำนักงานประสานราชการในพระองค์ กองทัพบก (ศปร.ทบ.) พร้อมคณะ เดินทางลงพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 จังหวัดเชียงรายและจังหวัดพะเยา เพื่อติดตามความคืบหน้าและขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ รวมถึงโครงการ “โคก หนอง นา” และโครงการ “ทหารพันธุ์ดี” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ความมั่นคงทางอาหาร และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ภาคเหนือ

ก้าวสำคัญของการพัฒนาจากพระราชดำริสู่ความมั่นคงชุมชน

เวลา 09.00 น. วันที่ 25 มิถุนายน 2568 พล.ต.จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (ผบ.มทบ.37) ให้การต้อนรับ พล.อ. พรมงคล พึ่งเสมา และคณะ ณ ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย ก่อนเข้าสู่ภารกิจหลัก ได้แก่ การรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานและการขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ณ ห้องประชุมพญาเม็งราย บก.มทบ.37 และเยี่ยมชมโครงการ “ทหารพันธุ์ดี” ที่ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในพื้นที่ค่ายเม็งรายมหาราช

จากนั้น คณะฯ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมโครงการผลิตแพะพันธุ์แบล็คเบงกอล “เพื่อนช่วยเพื่อน” ของ ร.17 พัน.3 ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพระราชทานที่มุ่งเน้นการส่งเสริมอาชีพแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล สร้างต้นแบบด้านความมั่นคงทางอาหารและการพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืน

ตรวจเยี่ยมและขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่สูง

ในการเดินทางครั้งนี้ คณะ สปร.ทบ. ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในหลายจุดสำคัญ อาทิ

  • โครงการดอยยาว ดอยผาหม่น ดอยผาจิ จังหวัดเชียงรายและพะเยา
  • โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ บ้านหนองห้า อ.เชียงคำ จ.พะเยา
  • โครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงบ้านสันติสุข อ.ปง จ.พะเยา
  • โครงการทดลองเลี้ยงแกะและสัตว์ปีก บ้านร่มฟ้าทอง อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย

ทุกโครงการล้วนมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพของชุมชน ส่งเสริมการเกษตรบนพื้นที่สูง และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตามแนวพระราชดำริที่เน้นการพึ่งพาตนเอง ยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างโอกาสทางอาชีพ และลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ชนบท

ผลักดัน “ทหารพันธุ์ดี” ขยายผลสู่ชุมชน สร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อความมั่นคง

การดำเนินงานโครงการ “ทหารพันธุ์ดี” ซึ่งริเริ่มโดยกองทัพบก ได้ขยายผลอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ร่วมมือกับกรมทหารราบที่ 17 กองพันทหารราบที่ 3 (ร.17 พัน.3) ผลักดันโครงการฝึกอบรมเกษตรกรต้นแบบ การผลิตและกระจายพันธุ์สัตว์เศรษฐกิจ (เช่น แพะพันธุ์แบล็คเบงกอล) และการส่งเสริมการปลูกพืชผสมผสานในพื้นที่ของหน่วยงานทหาร นำไปสู่การส่งเสริมรายได้และสร้างอาชีพให้กับประชาชนในพื้นที่โดยรอบค่ายทหาร

นอกจากนี้ สปร.ทบ. ยังรับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อพัฒนาและต่อยอดโครงการไปยังชุมชนที่ยังขาดโอกาส และสนับสนุนการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนผ่านเครือข่ายภาครัฐ ภาคประชาชน และชุมชนท้องถิ่น

วิเคราะห์ผลลัพธ์และทิศทางในอนาคต

การลงพื้นที่ติดตามและขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกองทัพบกในการสืบสานแนวคิด “ประชาชนอยู่ดี มีสุข” ผ่านการผนึกกำลังกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานรัฐ ท้องถิ่น และประชาชน โดยเน้นการพัฒนาคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความมั่นคงทางอาหาร อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และผลักดันนวัตกรรมเกษตรในพื้นที่สูงของภาคเหนือ

ในอนาคต การบริหารจัดการและขยายผลโครงการฯ ให้ครอบคลุมมากขึ้น จะยิ่งส่งเสริมให้ประชาชนในพื้นที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ขณะเดียวกันก็สร้างเครือข่ายความร่วมมือที่ยั่งยืนระหว่างหน่วยงานรัฐและประชาชน อันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • มณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37)
  • สำนักงานประสานราชการในพระองค์ กองทัพบก (ศปร.ทบ.)
  • คณะทำงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

แม่สายเร่งสู้ภัยน้ำ สทนช. ลงพื้นที่ติดตามขุดลอก-เสริมแนวป้องกัน

เลขาธิการ สทนช. ลงพื้นที่แม่สาย ติดตามคืบหน้าโครงการขุดลอกลำน้ำสาย-แนวป้องกันน้ำ เตรียมรับมือฤดูฝนปี 2568

เชียงราย, 22 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางความกังวลเรื่องภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในฤดูฝนปีนี้ จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอแม่สาย ได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ ได้ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าโครงการขุดลอกลำน้ำสาย การก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร และตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่สำคัญริมแม่น้ำสายและลำน้ำรวก โดยมี พล.ท.สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หัวหน้าส่วนราชการ ทหาร และเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นร่วมให้ข้อมูลอย่างพร้อมเพรียง

สานภารกิจหลังอุทกภัยรุนแรง – ป้องกันซ้ำรอยน้ำหลากและดินโคลนถล่ม

ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เปิดเผยระหว่างลงพื้นที่ว่า การติดตามครั้งนี้เป็นภารกิจตามข้อสั่งการของนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่เน้นย้ำให้หน่วยงานภาครัฐบูรณาการรับมือฤดูฝนในพื้นที่เสี่ยง โดยแม่สายเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญจากบทเรียนอุทกภัยรุนแรงเมื่อปีก่อน โดยเฉพาะปัญหาน้ำหลาก ลำน้ำเปลี่ยนทิศ และดินโคลนถล่ม

“วันนี้ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการส่วนหน้าติดตามความคืบหน้าขุดลอกลำน้ำสาย-ลำน้ำรวก ซึ่งดำเนินงานโดยความร่วมมือระหว่าง สทนช. และกองทัพบก เพื่อป้องกันน้ำท่วมและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดซ้ำ คาดว่าการขุดลอกลำน้ำรวกจะเสร็จในกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ขณะเดียวกันได้เร่งดำเนินการอุดรูรั่ว ก่อสร้างแนวป้องกันน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวร และเตรียม Big Bag สำรอง เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยในฤดูฝน” เลขาธิการ สทนช. กล่าว

มาตรการเสริม – เตรียมกำแพงกันน้ำชั่วคราว-เตือนภัยเข้มรับสถานการณ์

จากการประเมินสถานการณ์น้ำในปี 2567 คาดว่าอาจเกิดน้ำล้นข้ามสะพานมิตรภาพไทย–เมียนมาแห่งที่ 1 ได้อีกครั้ง จึงมีการวางแผนก่อสร้างแนวกำแพงกันน้ำชั่วคราวตลอดแนวลำน้ำสายยาวกว่า 200 เมตร พร้อมระบบแจ้งเตือนภัยและมาตรการเฝ้าระวังในฤดูน้ำหลาก

พล.ท.สิรภพ ศุภวานิช เจ้ากรมการทหารช่าง เสริมว่า “ภารกิจสร้างแนวป้องกันน้ำเป็นไปตามแผนที่กำหนด คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 15 กรกฎาคม 2568 ขณะเดียวกัน กำลังพลและทรัพยากรของกองทัพบกได้ลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย”

ตรวจคุณภาพน้ำแม่สาย-แก้ปัญหาครอบคลุมจุดเสี่ยง

หลังการประชุม คณะ สทนช. ได้ลงเรือสำรวจแนวกั้นน้ำชั่วคราว-กึ่งถาวรที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และตรวจสอบจุดวัดคุณภาพน้ำในพื้นที่แม่สาย ก่อนจะเดินทางต่อไปยังตำบลเกาะช้าง ซึ่งเป็นจุดเสี่ยงภัยอีกแห่งหนึ่ง เช่น บริเวณคันกั้นน้ำขาด และทางหลวงชนบทที่ทรุดตัว เพื่อประเมินความเสี่ยงและหาแนวทางป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

แผนบูรณาการแม่สาย ป้องกันซ้ำรอยน้ำท่วม

การลงพื้นที่ของเลขาธิการ สทนช. ครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาอุทกภัยแม่สายอย่างเป็นระบบ การขุดลอกลำน้ำสาย-รวกและก่อสร้างแนวป้องกันน้ำ เป็นมาตรการเร่งด่วนที่ต้องเดินหน้าควบคู่กับการเตรียมการรับมือระยะยาว เช่น ระบบแจ้งเตือนภัย การสำรอง Big Bag และความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ หากดำเนินการตามแผนได้สำเร็จ ย่อมช่วยลดผลกระทบซ้ำซากที่ชุมชนเผชิญในช่วงฤดูฝนในอดีต พร้อมวางรากฐานการจัดการภัยพิบัติอย่างยั่งยืนในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • กองทัพบก
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพบกผนึกกำลังอำเภอแม่สาย สู้ภัยดินโคลน เร่งสร้างแนวป้องกัน

เชียงรายเดินหน้าป้องกันดินโคลนน้ำหลาก กองทัพบกร่วมอำเภอแม่สาย เร่งขุดลอกแม่น้ำ-เสริมแนวป้องกันชั่วคราว สร้างภูมิคุ้มกันชุมชนช่วงฤดูฝน

เชียงราย, 22 มิถุนายน 2568 – ท่ามกลางสภาพอากาศฤดูฝนที่ทวีความรุนแรงในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย จังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะเขตอำเภอแม่สาย กำลังเผชิญกับความเสี่ยงจากดินโคลนน้ำหลากและน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในวงกว้าง จากสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานทหารกองทัพบก โดยหน่วยทหารช่าง ได้ประสานความร่วมมือกับที่ว่าการอำเภอแม่สาย ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาพื้นที่เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง

เดินหน้า 2 แนวทางหลัก ขุดลอก-เสริมแนวป้องกัน

การบริหารจัดการพื้นที่ในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การขุดลอกดินตะกอนในแม่น้ำสายสำคัญ เพื่อเปิดทางน้ำและลดการท่วมขัง และการเสริมแนวป้องกันชั่วคราวในเขตชุมชนเศรษฐกิจ เพื่อปกป้องประชาชนในพื้นที่เสี่ยงในช่วงรอการก่อสร้างแนวป้องกันถาวรในอนาคต

โดยเฉพาะในส่วนของแม่น้ำรวก ฝั่งไทย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในลำน้ำสายหลักที่มักมีน้ำหลากไหลผ่านและก่อให้เกิดน้ำท่วมในหลายชุมชน ความคืบหน้าการขุดลอกล่าสุดอยู่ที่ 65.91% งานนี้ดำเนินการด้วยความต่อเนื่องแม้จะเผชิญกับสภาพฝนฟ้าคะนอง เพื่อให้สามารถลดปริมาณตะกอน เปิดทางระบายน้ำ ลดความเสี่ยงจากภัยน้ำท่วม และรองรับปริมาณน้ำในฤดูฝนที่กำลังจะถึง

ขณะเดียวกัน โครงการเสริมแนวป้องกันชั่วคราวในเขตชุมชนเศรษฐกิจ ได้เร่งอุดและเสริมความแข็งแรงให้กับแนวป้องกันเดิม เพื่อเพิ่มความมั่นคงก่อนจะมีการก่อสร้างแนวป้องกันถาวรตามแผนยุทธศาสตร์ของกรมโยธาธิการและผังเมือง งานในส่วนนี้มีความคืบหน้าถึง 73.06% แล้ว ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับบ้านเรือน ผู้ประกอบการ และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ชุมชน

ทหารช่างลุย 24 ชั่วโมง – ปฏิบัติการกลางฝน

กองกำลังจากหน่วยทหารช่างของกองทัพบกยังคงเดินหน้าปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืน ภายใต้สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย เนื่องจากการเตรียมความพร้อมสำหรับรับมือกับดินโคลนน้ำหลากจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเร่งด่วน เป้าหมายสูงสุดคือให้ทุกภารกิจแล้วเสร็จก่อนที่ฝนหนักจะเริ่มส่งผลกระทบที่รุนแรงขึ้นในพื้นที่

ทั้งนี้ ในการปฏิบัติงานแต่ละวัน มีการวางแผนและติดตามผลอย่างใกล้ชิด พร้อมการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร ช่างผู้ควบคุมเครื่องจักร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นและปรับแผนงานให้ทันต่อสถานการณ์

ผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนและเศรษฐกิจ

ความคืบหน้าในการขุดลอกและเสริมแนวป้องกันชั่วคราวในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความเสี่ยงจากดินโคลนน้ำหลากเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ทั้งในแง่ของความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนช่วยลดความเสียหายต่อเศรษฐกิจในเขตชุมชนที่เป็นศูนย์กลางการค้าและการท่องเที่ยวของอำเภอแม่สาย

บทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมและดินโคลนไหลหลากในอดีต ทำให้ทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงรายตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการจัดการเชิงรุก โดยอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น ทหาร และประชาชน ซึ่งการขับเคลื่อนเชิงรุกในปีนี้คาดว่าจะช่วยลดความสูญเสียและผลกระทบจากภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บทสรุปและวิเคราะห์

จากความร่วมมืออย่างแข็งขันระหว่างกองทัพบกกับที่ว่าการอำเภอแม่สายในครั้งนี้ สะท้อนถึงแนวคิด “ป้องกันดีกว่าแก้ไข” ที่เน้นการบูรณาการแผนงานระยะสั้นและระยะยาวควบคู่กันอย่างเป็นระบบ นำไปสู่เป้าหมายสูงสุด คือความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยของเชียงราย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • หน่วยทหารช่างกองทัพบก
  • ที่ว่าการอำเภอแม่สาย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

ช่องบกคลี่คลาย! ทหารกัมพูชากลบหลุม-ถอยกำลัง หวังเจรจา JBC

ทหารเขมรถอยทัพจากช่องบก ไทยเดินหน้ากลไก JBC ลดตึงเครียดชายแดน

สถานการณ์ชายแดนช่องบกคลี่คลาย ไทย-กัมพูชาเห็นพ้องถอยกำลัง

อุบลราชธานี,8 มิถุนายน 2568 – ที่บริเวณ “ช่องบก” พื้นที่รอยต่อชายแดนไทย-ลาว-กัมพูชา ในอำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี สถานการณ์ที่ตึงเครียดจากข้อพิพาทเรื่องเขตแดนเริ่มคลี่คลาย หลังการเจรจาระดับสูงระหว่างกองทัพไทยและกองทัพกัมพูชา ส่งผลให้ฝ่ายกัมพูชายินยอมถอนกำลังกลับไปยังแนวเดิมตามที่เคยตกลงกันไว้ในปี 2567

ย้ำแนวทางสันติวิธี กลบคูเลตคืนสู่สภาพธรรมชาติ

จากการหารือระหว่าง พลตรี สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี และ พลโท สรัย ดึก รองผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ได้ข้อสรุปว่าฝ่ายกัมพูชาจะถอยกำลังจากบริเวณต้นพญาสัตบรรณกลับไปยังแนวศาลาตรีมุข และดำเนินการกลบ “คูเลต” ที่มีลักษณะเป็นร่องแนวการวางกำลังคืนให้สภาพพื้นที่เดิม

ใช้กลไก TBC สร้างความเข้าใจ ลดความเข้าใจผิด

ทั้งสองฝ่ายตกลงใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (TBC) เป็นช่องทางหลักในการพูดคุย เพื่อป้องกันเหตุการณ์เข้าใจผิดที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าในอนาคต โดยจะมีการพบปะกันของกำลังทหารสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สร้างบรรยากาศแห่งความร่วมมือ ลดการยั่วยุ และเปิดพื้นที่ให้กับแนวทางสันติ

28 พ.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี หลังพบขุดคูเลต จากจุดต้นสัตบรรณถึงสามแยกลาว ระยะทาง 650 เมตร
8 มิ.ย.68 ทหารฝ่ายกัมพูชา ปิดกลบคูเลต ปรับพื้นที่ อยู่ในสภาพเดิม ทำให้ปัจจุบันกองกำลังทั้งสองฝ่าย ได้ถอยกำลัง กลับไปยังจุดเดิมแล้ว

รัฐบาลย้ำไทยรักสงบ แต่ไม่ยอมให้รุกล้ำอธิปไตย

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่าทั้งสองฝ่ายมีความพยายามลดความตึงเครียดและหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี พร้อมชื่นชมการปฏิบัติงานของทหารไทยที่อดทน อดกลั้น และยึดหลักสันติภาพ โดยกองทัพบกไทยได้ออกลาดตระเวนร่วมกับกัมพูชา ตรวจสอบการถอยทัพและการกลบคูเลตตามที่ตกลงไว้

นายกรัฐมนตรีหญิงโพสต์ย้ำความคืบหน้า สันติภาพคือเป้าหมาย

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โพสต์ผ่านสื่อโซเชียลว่ารัฐบาลไทยได้หารือร่วมกับรัฐบาลกัมพูชาและมีความคืบหน้าในการลดบรรยากาศการเผชิญหน้า โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะใช้กลไก JBC หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม เพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาในระดับนโยบาย ซึ่งจะมีการหารือในวันที่ 14 มิถุนายน 2568

ย้ำมาตรการกดดันต่อในพื้นที่อื่นที่ยังตึงเครียด

แม้สถานการณ์ช่องบกจะคลี่คลายลง แต่ยังมีรายงานว่าฝ่ายกัมพูชายังคงวางกำลังในจุดอื่นตามแนวชายแดน ซึ่งฝ่ายไทยจะเดินหน้ากดดันต่อผ่านการเจรจาเชิงยุทธศาสตร์และการทูต ทั้งนี้ กองทัพยังคงเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด พร้อมทั้งเตรียมรับมือหากเกิดเหตุที่กระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดน

แนวโน้มการเจรจา JBC ความหวังใหม่ของสันติภาพ

การประชุม JBC วันที่ 14 มิถุนายน 2568 ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ทั้งสองประเทศจะสามารถยุติความขัดแย้งในจุดที่ยังตกลงกันไม่ได้ และวางแนวทางจัดการเขตแดนร่วมกันอย่างยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลไทยตั้งเป้าว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

ความร่วมมือคือคำตอบของอนาคต

การถอยทัพของฝ่ายกัมพูชาในครั้งนี้ไม่เพียงลดความตึงเครียดในพื้นที่พิพาท แต่ยังเป็นสัญญาณบวกถึงการเปิดใจพูดคุยของทั้งสองประเทศ เพื่อวางแนวทางแก้ปัญหาเขตแดนอย่างยั่งยืน บนพื้นฐานของความเคารพอธิปไตยและสันติภาพระหว่างกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองทัพบกไทย (Army PR Department)
  • กระทรวงกลาโหม
  • สำนักงานคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูชา (JBC)
  • โพสต์ทางการของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร
  • รายงานข่าวจากกองกำลังสุรนารี วันที่ 8 มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยจำใจคุมชายแดน กัมพูชาเสริมกำลัง หลังเหตุปะทะช่องบก

กระทรวงการต่างประเทศแถลงจุดยืนไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเหตุปะทะช่องบก ยืนยันใช้สันติวิธีแก้ปัญหา ยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคง พร้อมเปิดกลไกเจรจาทวิภาคี

ประเทศไทย, 7 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 จนส่งผลให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องแถลงจุดยืนต่อสาธารณชน โดยย้ำเจตนารมณ์ในการรักษาอธิปไตย ควบคู่กับการแสวงหาทางออกอย่างสันติ และยืนยันความพร้อมในการเปิดเวทีเจรจาแบบทวิภาคี

เมื่อเวลา 16.30 น. ที่ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ โฆษกกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนภาคตะวันออก

เหตุปะทะชายแดนและจุดยืนไทยในการป้องกันประเทศ

นายนิกรเดช เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม เป็นผลจากการที่ฝ่ายทหารไทยจำเป็นต้องป้องกันตนเองอย่างเหมาะสมและชอบธรรม เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และแนวทางปฏิบัติสากล ซึ่งภายหลังเหตุการณ์ ฝ่ายไทยได้ดำเนินการอย่างอดทนอดกลั้น และพยายามหาทางคลี่คลายปัญหาด้วยการสื่อสารและเจรจาทั้งในระดับรัฐบาลและระดับทหารอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้เรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินมาตรการลดระดับความตึงเครียดในพื้นที่ และจำกัดสถานการณ์ให้อยู่เฉพาะบริเวณจุดปะทะเท่านั้น โดยมีกระบวนการหารือผ่านนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม และผู้บัญชาการกองทัพของทั้งสองฝ่าย

“แม้ฝ่ายไทยจะใช้ความอดทนและเน้นการเจรจาเป็นหลัก แต่การดำเนินการของฝ่ายกัมพูชา กลับไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์สันติภาพ” นายนิกรเดช กล่าว

กัมพูชาปฏิเสธแนวทางลดความตึงเครียด ขัดข้อตกลง MOU 2543

ในช่วงวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา มีการประชุมหารือระดับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอให้มีการปรับลดกำลังทหารกลับสู่ระดับก่อนเกิดเหตุการณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเผชิญหน้าทางทหาร และลดผลกระทบต่อประชาชนบริเวณชายแดน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชากลับปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวโดยทันที และยังคงเสริมกำลังทหารในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปฏิเสธการดำเนินงานตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ที่วางแนวทางไว้สำหรับการเจรจาอย่างสันติ ซึ่งโฆษกกระทรวงการต่างประเทศมองว่า การกระทำดังกล่าวสะท้อนถึงการขาดเจตจำนงร่วมในการยุติความขัดแย้ง

ไทยตอบสนองด้วยมาตรการควบคุมชายแดนแบบขั้นตอน

ภายใต้สถานการณ์ที่มีแนวโน้มจะขยายตัว สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 และมีมติเห็นชอบให้ยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคง โดยมอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 รวมถึงกองกำลังจันทบุรีและตราด กำหนดแนวทางควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตามความเหมาะสมและสภาพการณ์

พล.ต.วินธัย สุวารี ระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 4 ขั้นตอน เริ่มจากการจำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การรักษาพยาบาล หรือการศึกษา จากนั้นจะมีการควบคุมช่วงเวลาเปิด-ปิดจุดผ่านแดน และอาจดำเนินมาตรการ “Selective Closure” หรือการปิดบางจุดผ่านแดนชั่วคราวในพื้นที่เสี่ยง สุดท้ายหากสถานการณ์รุนแรงถึงระดับวิกฤต อาจมีการปิดแนวชายแดนทั้งหมดในระยะสั้น

“แม้จะมีคำสั่งให้ควบคุมชายแดน แต่กองทัพยังคงประสานงานกับทุกหน่วยเพื่อไม่ให้กระทบกับชีวิตประจำวันของประชาชนโดยไม่จำเป็น” พล.ต.วินธัย กล่าว

กระทรวงกลาโหมยืนยันยังยึดสันติวิธี รัฐบาลไทยพร้อมเปิดเวทีเจรจา

พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ กล่าวเสริมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กำชับหน่วยในพื้นที่ให้เฝ้าระวังอย่างเข้มข้น และยืนยันว่าฝ่ายไทยยังไม่ปิดโอกาสการเจรจา โดยยังคงยึดมั่นแนวทางสันติวิธี และความร่วมมือกับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคี อาทิ การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยเขตแดน (JBC) ที่จะจัดขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเน้นย้ำว่าการดำเนินการของตนมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ รวมถึงความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน โดยจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้มาตรการควบคุมกระทบต่อการค้า วิถีชีวิต หรือความสัมพันธ์ของประชาชนตามแนวชายแดน

สรุปสถานการณ์

สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาตามแนวชายแดนตะวันออก แม้จะมีร่องรอยความรุนแรงจากเหตุปะทะ แต่รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าด้วยแนวทางที่รอบคอบบนพื้นฐานของสันติวิธี มุ่งเน้นการรักษาอธิปไตย ควบคู่ไปกับความพยายามลดผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนและความสัมพันธ์ระดับประชาชนกับประชาชน อนาคตของเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองของฝ่ายกัมพูชา และประสิทธิภาพของกลไกเจรจาทางการทูตที่ทั้งสองประเทศได้วางไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย, แถลงข่าวอย่างเป็นทางการ 7 มิถุนายน 2568
  • สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
  • กองทัพบกไทย
  • สำนักข่าวความมั่นคงชายแดนภาคตะวันออก
  • บันทึกความเข้าใจ MOU ปี 2543 ไทย-กัมพูชา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ส่งมอบหน้าที่ มทบ.37 ‘พล.ต.บุญญฤทธิ์’ ส่งต่อ ‘พล.ต.จักรวีร์’

มณฑลทหารบกที่ 37 จัดพิธีรับ-ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการ ย้ำความต่อเนื่องของภารกิจเพื่อประชาชนและความมั่นคงของชาติ

พิธีรับ-ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

เชียงราย – วันที่ 4 เมษายน 2568 ณ กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (มทบ.37) ได้จัดพิธีรับ-ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการระหว่าง พลตรี บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ซึ่งพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 และพลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ซึ่งเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการคนใหม่ โดยมีพิธีการครบถ้วนตามแบบธรรมเนียมทหาร

พิธีเริ่มต้นด้วยการประกอบพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหน่วย ได้แก่ พระมหาจักรพรรดิธรรมราชา พระพุทธมารวิชัยไตรรัตนาธิคุณ และพระบรมราชานุสาวรีย์พญามังรายมหาราช ณ ลานหน้าบก.มทบ.37 รวมถึงศาลพระภูมิเจ้าที่ ณ ดอยเจดีย์ เพื่อความเป็นสิริมงคล

พิธีมอบการบังคับบัญชาอย่างสมเกียรติ

ภายหลังพิธีสักการะ เป็นพิธีลงนามเอกสารรับ-ส่งหน้าที่ ณ ห้องประชุมพญามังราย และพิธีมอบการบังคับบัญชาที่ลานหน้ากองบัญชาการ โดยมีนายทหารระดับสูง ข้าราชการ ลูกจ้าง และกำลังพลในสังกัดเข้าร่วมเป็นสักขีพยานจำนวนมาก บรรยากาศเป็นไปอย่างสง่างาม แสดงถึงระเบียบวินัย ความสามัคคี และการเปลี่ยนผ่านอย่างราบรื่นของหน่วยทหาร

คำกล่าวอำลาอย่างอบอุ่นของผู้บัญชาการคนเดิม

พลตรี บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ได้กล่าวแสดงความรู้สึกในการอำลาตำแหน่งว่า “เป็นเกียรติสูงสุดที่ได้มีโอกาสรับราชการในมณฑลทหารบกที่ 37 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมมุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง ทั้งกายและใจ เพื่อให้หน่วยมีศักยภาพสูงสุดในการปฏิบัติภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านความมั่นคง การสนับสนุนพัฒนาประเทศ หรือการเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส ผมเชื่อมั่นว่าผู้บัญชาการคนใหม่จะนำพาหน่วยไปสู่ความก้าวหน้าที่ยิ่งกว่าเดิม”

ผบ.มทบ.37 คนใหม่มุ่งพัฒนาและรับมือบริบทความมั่นคงยุคใหม่

พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการคนใหม่ ได้แสดงเจตนารมณ์ในการรับหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น โดยระบุว่า จะสานต่อภารกิจของมณฑลทหารบกที่ 37 อย่างเต็มกำลัง พร้อมปรับบทบาทของหน่วยให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบทด้านความมั่นคง และเน้นการพัฒนาศักยภาพกำลังพลทุกระดับ ให้สามารถปฏิบัติภารกิจทั้งในภาวะปกติและวิกฤตได้อย่างเข้มแข็ง มีความพร้อมในทุกด้าน

มณฑลทหารบกที่ 37 กับบทบาทสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือ

มทบ.37 เป็นหน่วยทหารในสังกัดกองทัพบก ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบในเขตจังหวัดเชียงรายและจังหวัดใกล้เคียง โดยมีบทบาทสำคัญในการรักษาความสงบเรียบร้อย การสนับสนุนการปฏิบัติการร่วมกับตำรวจ ฝ่ายปกครอง และองค์กรภาคประชาชน รวมถึงการเข้าช่วยเหลือประชาชนในยามเกิดภัยธรรมชาติและสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ

ที่ผ่านมา มทบ.37 มีภารกิจสนับสนุนด้านการแพทย์ฉุกเฉิน การอพยพผู้ประสบภัยน้ำท่วม รวมถึงการช่วยเหลือในสถานการณ์หมอกควันไฟป่าในจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นปัญหาซ้ำซากในช่วงต้นปีของทุกปี

ความเห็นจากทั้งสองมุมมอง สะท้อนความคาดหวังที่แตกต่าง

จากฝั่ง ผู้สนับสนุนภารกิจทหาร เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งผู้บัญชาการเป็นสิ่งจำเป็นตามวาระ และควรมองเป็นโอกาสในการปรับปรุงแนวทางปฏิบัติงานให้ทันยุคทันเหตุการณ์ โดยเฉพาะในยุคที่ภัยคุกคามมีความหลากหลายทั้งรูปแบบและเทคโนโลยี พร้อมทั้งเสนอให้ มทบ.37 เพิ่มความร่วมมือกับชุมชนในการแก้ไขปัญหาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน

ขณะที่ ฝั่งภาคประชาชนบางส่วน มองว่า ควรมีการเปิดเผยแผนยุทธศาสตร์ของหน่วยอย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนเข้าใจบทบาทของทหารในยุคสมัยใหม่มากขึ้น และแนะนำให้หน่วยงานของกองทัพมีส่วนร่วมในการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก เช่น การฝึกอาชีพให้กับประชาชน และการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ขาดแคลน

ข้อเสนอแนะเพื่อเพิ่มบทบาทและความสัมพันธ์กับประชาชน

ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงเสนอว่า มณฑลทหารบกที่ 37 ควรขยายบทบาทสู่การเป็น “หน่วยทหารของประชาชนอย่างแท้จริง” โดยเน้นการพัฒนาเชิงรุก สร้างพันธมิตรกับภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อเสริมความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม

การจัดอบรมเยาวชนเพื่อเสริมสร้างคุณธรรม ความมีวินัย และการปลูกฝังจิตสำนึกรักชาติควรได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง ซึ่งไม่เพียงช่วยลดพฤติกรรมเสี่ยงในกลุ่มเยาวชน แต่ยังเสริมสร้าง “กำลังสำรอง” ทางสังคมให้กับประเทศในระยะยาว

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  • ข้อมูลจากกองทัพบก ระบุว่า มีการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลประจำปี เฉลี่ย 500 ตำแหน่งต่อปี
  • จังหวัดเชียงราย มีหน่วยงานทหารประจำการ 7 หน่วยหลัก ซึ่งรวมถึง มณฑลทหารบกที่ 37 (ที่มา: ศูนย์ข้อมูลภูมิภาค กองทัพบก)
  • ผลสำรวจโดยสถาบันพระปกเกล้า ปี 2567 พบว่า ร้อยละ 76.2 ของประชาชน เห็นว่าทหารมีบทบาทในการพัฒนาชุมชนที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
  • อัตราความพึงพอใจต่อการปฏิบัติงานของทหารในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน สูงถึง ร้อยละ 82.5 (ที่มา: ศูนย์วิจัยความคิดเห็นสาธารณะ ม.เชียงใหม่)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กองทัพบก
  • ศูนย์ข้อมูลภูมิภาค กองทัพบก
  • สถาบันพระปกเกล้า
  • มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • มณฑลทหารบกที่ 37 จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มทบ.37 จัดฝึกโดดร่ม นศท. พัฒนาศักยภาพกำลังพล

หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มทบ.37 ฝึกกระโดดร่มพาราเซล รุ่นที่ 46

เชียงราย, 12 กุมภาพันธ์ 2568 – หน่วยฝึกนักศึกษาวิชาทหาร มณฑลทหารบกที่ 37 (นฝ.นศท.มทบ.37) ได้จัดการฝึกกระโดดร่มแบบพาราเซล รุ่นที่ 46 สำหรับนักศึกษาวิชาทหาร (นศท.) ชั้นปีที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2567 โดยมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย และวิทยาลัยเทคนิคกาญจนาภิเษกเชียงราย จำนวน 3 นายเข้าร่วม เพื่อเพิ่มทักษะ ความชำนาญ และขีดความสามารถทางทหาร ณ ค่ายฝึก นศท. เขาชนไก่ ตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี

รายละเอียดการฝึก

 วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10:00 – 17:00 น.

พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 (ผบ.มทบ.37) ได้มอบหมายให้หน่วยฝึกดำเนินการฝึกในหลักสูตรดังกล่าว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ นศท. ได้รับการพัฒนาทักษะทางการทหาร โดยเฉพาะการกระโดดร่มแบบพาราเซล ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกายและจิตใจของนักศึกษาก่อนการฝึกภาคสนามจริง

ลำดับการฝึก

1. พิธีทางศาสนาและบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เวลา 06:29 น. – จัดพิธีทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้เข้ารับการฝึก โดยมี พล.ต.นิธิ รัตนะวรรธนะ รอง ผอ.กอ.ฝึกฯ (4) เป็นประธานในพิธี

2. การฝึกเบื้องต้น 4 สถานี

  • สถานีที่ 1: ขึ้นร่มและบังคับร่ม

  • สถานีที่ 2: ฝึกลงพื้นระดับ 2 ฟุต

  • สถานีที่ 3: ฝึกลงพื้นระดับ 4 ฟุต

  • สถานีที่ 4: ฝึกลงพื้นจากรอกวิ่ง

3. สถานีโดดหอสูง 34 ฟุต
การฝึกกระโดดจากหอสูง 34 ฟุต เพื่อทดสอบกำลังใจของนักศึกษาวิชาทหาร และช่วยให้ปรับตัวให้คุ้นชินกับความสูงก่อนการฝึกกระโดดร่มจริง

วัตถุประสงค์ของการฝึก

การฝึกกระโดดร่มพาราเซลเป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นพัฒนาขีดความสามารถทางร่างกายและจิตใจของ นศท. ให้มีความกล้าหาญ มั่นใจ และสามารถควบคุมร่มชูชีพขณะทำการลงสู่พื้นได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังเป็นการเสริมสร้างวินัยและการทำงานเป็นทีม เพื่อให้ นศท. สามารถนำทักษะที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ในภารกิจทางทหารต่อไปในอนาคต

บทสรุป

การฝึกกระโดดร่มพาราเซล รุ่นที่ 46 ของ นศท. ชั้นปีที่ 4 ประจำปีการศึกษา 2567 ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มพูนทักษะและขีดความสามารถของนักศึกษาวิชาทหารแล้ว ยังเป็นโอกาสในการพัฒนาศักยภาพและความกล้าหาญของกำลังพลรุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการฝึกทหารให้พร้อมปฏิบัติภารกิจต่างๆ ในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กองทัพบกหนุนพัฒนาการศึกษา สัมมนาผู้บริหารโรงเรียนในเครือข่าย

เสริมสร้างศักยภาพผู้บริหารโรงเรียนกองทัพบก: มุ่งเน้นการพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืน

กรุงเทพมหานคร,เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 – พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 และผู้จัดการโรงเรียนในเครือข่ายกองทัพบกอุปถัมภ์ พร้อมด้วย ดร.ธาราทิพย์ วงษ์บรรณะ ผู้อำนวยการโรงเรียนนวมินทราชูทิศพายัพ และนางพิกุล ไชยยศ ผู้อำนวยการโรงเรียนในเครือข่ายกองทัพบกอุปถัมภ์ ได้ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาโครงการเสริมสร้างพัฒนาศักยภาพผู้บริหารโรงเรียนสายสามัญที่อยู่ในความอุปถัมภ์ของกองทัพบก

การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้น ณ โรงแรมเลอบัว โฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้บริหารโรงเรียนให้มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการสถานศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ

พิธีเปิดและการบรรยายพิเศษ

พล.ต.บุญญฤทธิ์ เกษตรเวทิน ได้กล่าวถึงความสำคัญของการพัฒนาการศึกษาว่า “การศึกษาเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาประเทศ การเสริมสร้างศักยภาพของผู้บริหารโรงเรียนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้โรงเรียนสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการของสังคม”

นอกจากนี้ ดร.ธาราทิพย์ วงษ์บรรณะ ยังได้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “บทบาทของผู้บริหารโรงเรียนในยุคดิจิทัล” โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการและการเรียนการสอน

การสัมมนาเชิงปฏิบัติการ

ในช่วงบ่ายของวันแรก ผู้เข้าร่วมการสัมมนาได้แบ่งกลุ่มเพื่อเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการในหัวข้อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการโรงเรียน เช่น การวางแผนกลยุทธ์ การบริหารงานบุคคล การบริหารงบประมาณ และการพัฒนาหลักสูตร

วันที่สองของการสัมมนา

ในวันที่สองของการสัมมนา ผู้เข้าร่วมได้นำเสนอผลการปฏิบัติงานของกลุ่มและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ยังมีการบรรยายพิเศษจากผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา

ความคาดหวังและผลลัพธ์

ผู้จัดงานคาดหวังว่า ผู้บริหารโรงเรียนที่เข้าร่วมการสัมมนาในครั้งนี้ จะได้รับความรู้และประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ในการนำไปพัฒนาโรงเรียนของตนเองให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

นางพิกุล ไชยยศ กล่าวว่า “การสัมมนาครั้งนี้เป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้บริหารโรงเรียนที่จะได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และนำความรู้ที่ได้รับไปปรับปรุงการบริหารจัดการโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

การสนับสนุนจากกองทัพบก

กองทัพบกให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษามาโดยตลอด และได้ให้การสนับสนุนโรงเรียนในเครือข่ายกองทัพบกอุปถัมภ์อย่างต่อเนื่อง การจัดสัมมนาในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกองทัพบกในการพัฒนาการศึกษาของชาติ

อนาคตของการศึกษาไทย

การสัมมนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการพัฒนาการศึกษาของไทยให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน การเสริมสร้างศักยภาพของผู้บริหารโรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้โรงเรียนสามารถผลิตนักเรียนที่มีคุณภาพและเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE