Categories
AROUND CHIANG RAI ENVIRONMENT

ป่าไทยลด 0.03% สัญญาณเตือนถึงเชียงรายและเศรษฐกิจสีเขียวทั้งภาคเหนือ

เชียงรายเปิดหน้าต่างเศรษฐกิจสีเขียว เมื่อ “ป่าลดลงเพียง 0.03%” สะเทือนโซ่อุปทานทั้งภาคเหนือ และส่งสัญญาณถึงทั้งประเทศ

เชียงราย, 17 กันยายน 2568 — เช้าวันฝนโปรยบาง ๆ ที่ดอยตุง นักท่องเที่ยวหยุดยืนมองทะเลหมอกในมุมเดิม แต่เรื่องเล่าที่เปลี่ยนไปคือสถิติ “พื้นที่ป่าไม้ประเทศไทยปี 2567” ซึ่งชี้ว่าประเทศมีพื้นที่ป่า คิดเป็น 31.46% ของแผ่นดิน หรือ ราว 101.78 ล้านไร่ ลดลงจากปีก่อน –0.03% (หรือ ประมาณ 32,884 ไร่). ตัวเลขเพียงเศษเสี้ยวเปอร์เซ็นต์อาจดูเล็กน้อยในข่าวรายวัน หากมองด้วยสายตาของเศรษฐกิจฐานทรัพยากร โดยเฉพาะเมืองชายขอบอย่าง เชียงราย ที่รายได้ท่องเที่ยว เกษตรบนพื้นที่สูง อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนคุณภาพน้ำต้นลำน้ำกก–อิง ล้วนผูกกับผืนป่า “ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ” นี้กำลังทดสอบภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจของทั้งจังหวัดและภาคเหนือ

สถิติเชิงโครงสร้าง ทศวรรษที่ป่าเพิ่มไม่ทันป่าที่หายไป

ภาพรวม 10 ปี (พ.ศ. 2558–2567) ประเทศไทยมี “ป่าเพิ่ม” 331,951.68 ไร่ แต่ “ป่าลด” 832,080.72 ไร่ สะท้อนความจริงเชิงโครงสร้างว่า ความพยายามฟื้นฟูยังไล่ไม่ทันแรงกดดันจากการใช้ที่ดินและภัยเสี่ยงเดิม ๆ

เหตุผลของการ “เพิ่มขึ้น” มาจาก

  • การขยายตัวของป่าไม้ตามธรรมชาติ
  • การปลูกป่าเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
  • การปลูกป่าเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

เหตุผลของการ “ลดลง” ได้แก่

  • การเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดินจากป่าไปเป็นกิจกรรมอื่น
  • ไฟป่า ซึ่งยังเป็นความเสี่ยงเดิมที่กำเริบซ้ำ
  • โครงการพัฒนาที่ใช้พื้นที่ป่า ซึ่งแม้มีวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจสังคม แต่กระทบ “ทุนธรรมชาติ” ต้นทาง

มุมมองเศรษฐกิจ กระดูกสันหลังรายได้

  1. ต้นทุน–ผลตอบแทนของผืนป่าต่อเศรษฐกิจเชียงราย
    เชียงรายเป็นหนึ่งในฐานเศรษฐกิจท่องเที่ยว–เกษตรคุณภาพของภาคเหนือ โครงข่ายแหล่งน้ำจากพื้นที่ป่าต้นน้ำหล่อเลี้ยงการปลูกชา–กาแฟ–ผลไม้เมืองหนาวและเกษตรอินทรีย์ที่กำลังโตในหุบเขา การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ชุมชนชาติพันธุ์ และเส้นทาง “ซิตี้วอล์กธรรมชาติ” กลายเป็นรายได้กระจายสู่โฮมสเตย์ รถรับจ้าง ร้านอาหารท้องถิ่น และหัตถกรรม. เมื่อป่าหายไปทีละน้อย โซ่อุปทานนี้เผชิญ ต้นทุนแฝง ทั้งความเสี่ยงน้ำหลาก–แล้งยาว คุณภาพอากาศช่วงฤดูร้อน และค่าใช้จ่ายดูแลสุขภาพนักท่องเที่ยวที่สูงขึ้น ซึ่งล้วน “กัดกำไร” แบบไม่ส่งเสียง
  2. ความเสี่ยงไฟป่ากับต้นทุนควัน
    แม้สถิติปีล่าสุดชี้ว่าประเทศลดลงสุทธิเล็กน้อย แต่ ภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่สูงยังแบกรับความเสี่ยงไฟป่าและหมอกควันทุกปี ต้นทุนธุรกิจท่องเที่ยวฤดูแล้ง–ร้อนของเชียงราย (ตั้งแต่ยกเลิกทริป ไปจนถึงประกันสุขภาพนักเดินทาง) แปรผันตาม “จำนวนวันคุณภาพอากาศดี” ซึ่งขึ้นกับความสามารถในการควบคุมไฟป่าและการจัดการเชื้อเพลิงในพื้นที่ป่าและพื้นที่กันชน
  3. โอกาสทางเศรษฐกิจจากป่า
    ในอีกด้าน ป่าที่ “คงอยู่และเพิ่มขึ้น” กำลังกลายเป็นสินทรัพย์เศรษฐกิจใหม่ ทั้ง อุตสาหกรรมท่องเที่ยวยั่งยืน (eco–experience), เกษตร–วนเกษตรมูลค่าสูง (ชา–กาแฟพืชพื้นถิ่น), แนวทาง การชำระค่าสบริการระบบนิเวศ (Payments for Ecosystem Services) และ ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ ที่เริ่มได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการท้องถิ่น. สำหรับเชียงราย เมืองที่แบรนด์ “อากาศดี–ธรรมชาติสวย–วัฒนธรรมเข้ม” คือห่วงโซ่มูลค่าหลัก การรักษาผืนป่าจึงไม่ใช่เรื่องสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว แต่คือ ยุทธศาสตร์สร้างรายได้.
  4. ความสามารถแข่งขันระดับจังหวัด
    ข้อมูลจังหวัดที่ “ป่าเพิ่มขึ้น” เช่น พะเยา น่าน แพร่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และหลายจังหวัดภาคกลาง–ตะวันออก สะท้อนบทเรียนว่าการจัดการป่าแบบมีส่วนร่วมและการวางแผนใช้ที่ดินเชิงพื้นที่ช่วย “อุดรอยรั่ว” ได้จริง จังหวัดที่ทำสำเร็จสามารถต่อยอดสู่ เศรษฐกิจสีเขียว ตั้งแต่สินค้า GI–เชิงวัฒนธรรม ไปถึงท่องเที่ยวโลว์คาร์บอน. เชียงรายซึ่งตั้งอยู่ระหว่างโหนดท่องเที่ยวสำคัญ (ดอยตุง–แม่สาย–แม่ฟ้าหลวง–แม่จัน–แม่สาย) ยิ่งต้องเร่ง “เปลี่ยนความได้เปรียบด้านภูมิประเทศให้เป็นความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ” ผ่านการรักษาผืนป่า

เชียงรายในสมการภาคเหนือ ที่ต้องชัด

แม้รายชื่อจังหวัดที่ “ป่าเพิ่ม” ปีล่าสุดจะไม่ได้ระบุ เชียงราย แต่บริบทของจังหวัดก็นั่งอยู่ใจกลางโจทย์ของภาคเหนือซึ่งยัง สูญเสียพื้นที่ป่ามากที่สุด โดยสรุปภาคเหนือมีพื้นที่ป่าคิดเป็น 63.19% ของทั้งภูมิภาค (ประมาณ 37.95 ล้านไร่) แต่ ลดลงถึง 29,883.91 ไร่ ในปี 2567 — ตัวเลขนี้คือสัญญาณเตือนตรงถึงเชียงรายว่า “ภูมิภาคที่เราอยู่กำลังเสียแต้ม”

สามเหตุผลที่เชียงรายต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ

  • แหล่งน้ำต้นทุนเศรษฐกิจ ลุ่มน้ำกก–อิง–โขงตอนบนรับน้ำจากป่าอนุรักษ์ในอำเภอแม่ฟ้าหลวง แม่สาย แม่จัน ไกลไปถึงแนวชายแดน หากพื้นที่ป่ากันชนบางลง ความเสถียรของน้ำเพื่อเกษตร–ท่องเที่ยว–อุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มย่อมผันผวน
  • คุณภาพอากาศ = ความเชื่อมั่นท่องเที่ยว รีวิว–การตัดสินใจของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ผูกกับดัชนีอากาศดี (AQI). เมืองที่ควบคุมไฟป่าและควันได้ จะกลายเป็น “เดสติเนชันหน้าร้อน” ของครอบครัว–นักกีฬา–นักเดินป่า ซึ่งใช้จ่ายสูงกว่าค่าเฉลี่ย
  • การเงินสีเขียวกำลังไหลสู่ท้องถิ่น โครงการปลูกป่า/ดูแลเชื้อเพลิง–คาร์บอนเครดิต–ธุรกิจท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ เริ่มมีสถาบันการเงิน–บริษัทรายใหญ่สนับสนุน. เชียงรายที่มีเครือข่ายชุมชนเข้มแข็งสามารถเป็น “พอร์ตโฟลิโอต้นแบบ” ดึงเงินลงทุนสีเขียวเข้าสู่หมู่บ้านหุบเขา

ทางปฏิบัติที่จับต้องได้สำหรับเชียงราย

  • จัด ผังใช้ที่ดินระดับตำบล–ลุ่มน้ำย่อย ที่กั้น “แนวกันชนชุมชน–ป่า” ชัดเจน และกำหนดโควตาเชื้อเพลิงเพลิงไฟ (fuel management) รายฤดูกาล
  • ยกระดับ วนเกษตรมูลค่าสูง (ชา–กาแฟ–แมคคาเดเมีย–ผลไม้เมืองหนาว) ควบคู่มาตรฐานสิ่งแวดล้อม เพื่อวางตำแหน่งราคาพรีเมียม
  • สร้าง เส้นทางท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ (city walk–ปั่นจักรยาน–เดินป่าเบา ๆ) เชื่อมพิพิธภัณฑ์ ศิลปะร่วมสมัย และวิถีชาติพันธุ์ โดยตั้งเป้าการใช้จ่ายต่อหัวเพิ่มผ่านแพ็กเกจประสบการณ์
  • พัฒนาระบบ ข้อมูลไฟป่า–เชื้อเพลิง แบบเรียลไทม์สำหรับผู้ประกอบการท่องเที่ยว/เกษตร เพื่อวางแผนฤดูกาล–กิจกรรม ลดความเสี่ยงยกเลิกการเดินทา

ภาพใหญ่ที่เชียงรายต้องร่วมขับเคลื่อน

ภาคเหนือระดับภูมิภาคปี 2567 มีสัญญาณผสม — ป่ามากในสัดส่วนพื้นที่ แต่ยัง ลดลงสุทธิ มากที่สุด. เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น

  • ภาคตะวันตก มีป่า 58.82% ของพื้นที่ภูมิภาค และ ลดลง 12,448.71 ไร่
  • ภาคใต้ มีป่า 24.33%, ลดลง 5,224.55 ไร่
  • อีสาน มีป่า 14.89%, ลดลง 732.61 ไร่
  • ภาคตะวันออก มีป่า 21.84%, เพิ่มขึ้น 4,373.59 ไร่
  • ภาคกลาง มีป่า 21.57%, เพิ่มขึ้น 11,032.01 ไร่

บทเรียนของภาคกลาง–ตะวันออกคือ “การจัดการเชิงพื้นที่–สิทธิประโยชน์ทางเศรษฐกิจ” ทำให้ป่ากลับมาได้จริง ทั้งจากการฟื้นตัวธรรมชาติและการปลูกป่าเศรษฐกิจ–อนุรักษ์. ภาคเหนือสามารถยืมเครื่องมือเดียวกัน แต่ต้องเสริมด้วย นวัตกรรมจัดการเชื้อเพลิง–ไฟป่า และทางเลือกทำกินช่วงหน้าแล้ง เพื่อตัดวงจรไฟซ้ำซาก

สัญญาณต่างจังหวัด–บททดสอบมหานคร

ในระดับประเทศ จังหวัดที่ป่าเพิ่มขึ้น ครอบคลุมทั้งเหนือ–กลาง–อีสาน–ตะวันออก เช่น พะเยา น่าน แพร่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ อุทัยธานี ชัยนาท ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี อ่างทอง นครปฐม ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ชลบุรี ระยอง ชุมพร สตูล หนองคาย บึงกาฬ ชัยภูมิ ขอนแก่น กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์ — แสดงให้เห็นว่าการเพิ่มพื้นที่ป่า “ทำได้ในหลายภูมิประเทศ” เมื่อมีเป้าหมายร่วมและเครื่องมือเหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ประเทศยังมี สองจังหวัดที่ไม่พบพื้นที่ป่าเลย ได้แก่ นนทบุรี และ ปทุมธานี. นี่คือโจทย์ของมหานครที่ต้องสร้าง สมดุลระหว่างความหนาแน่นเมืองกับพื้นที่สีเขียวสาธารณะ–ป่าเมือง และเชื่อมโยงกับการลดความร้อนเกาะเมือง/คุณภาพอากาศ ซึ่งสุดท้ายสะท้อนกลับไปยังความสามารถดึงดูดนักลงทุน–แรงงานทักษะ

จากกราฟตัวเลขสู่เส้นทางออก

ตัวเลข –0.03% ในปีเดียว อาจไม่ทำให้ระบบเศรษฐกิจล้มครืน แต่ “ทิศทาง 10 ปีที่ป่าลดยังมากกว่าเพิ่ม” คือสัญญาณว่าประเทศต้อง เปลี่ยนเกียร์. สำหรับเชียงราย ปมที่ต้องคลี่คือ “จะเปลี่ยนข้อได้เปรียบจากภูมิประเทศ ให้เป็น ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน แบบยั่งยืนได้อย่างไร”

แนวทางเชิงยุทธศาสตร์ที่สามารถเดินได้ทันที

  1. วางแผนเศรษฐกิจบนฐานลุ่มน้ำ กำหนดโซนนิ่งกิจกรรมเศรษฐกิจ (เกษตร–ท่องเที่ยว–บริการ) พิงความสามารถของป่าต้นน้ำและอุทกวิทยา แทนการวางแผนตามเส้นแบ่งเขตการปกครอง
  2. ทำข้อตกลง “บริการระบบนิเวศ” ระหว่างเมือง–ดอย ผู้ประกอบการในเมืองร่วมจ่ายค่าดูแลป่า–เชื้อเพลิงผ่านกลไกกองทุนหรือเครดิต เพื่อแลกกับน้ำสะอาด–อากาศดีและแบรนด์เมืองสีเขียว
  3. เร่งมาตรฐานท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ โรงแรม–ทัวร์–คาเฟ่วิวป่าตั้ง KPI ด้านการจัดการขยะ พลังงานหมุนเวียน และการชดเชยคาร์บอน เชื่อมสินค้า GI–วัฒนธรรมชาติพันธุ์
  4. ยกระดับวนเกษตรเป็นอุตสาหกรรมภูมิภาค เชื่อมโซ่อุปทานชา–กาแฟ–ผลไม้เมืองหนาวกับโรงคั่ว–โรงแปรรูป–โลจิสติกส์เย็น เพื่อดันมูลค่าเพิ่มและลดแรงกดดันบุกรุกป่า
  5. ข้อมูลเปิด–แจ้งเตือนไฟป่าแบบใกล้ชิดธุรกิจ ตั้ง “แดชบอร์ดจังหวัด” ให้ผู้ประกอบการวางแผนกิจกรรม–กำลังคน และสื่อสารนักท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์

เมื่อ “ป่ากลายเป็นทุน” เศรษฐกิจเชียงราย–ภาคเหนือ–ประเทศไทยจะปิดวงจรดีขึ้น ป่าสมบูรณ์→น้ำ–อากาศดี→ท่องเที่ยว–เกษตรคุณภาพ→รายได้ชุมชน–งบดูแลป่า→ป่ากลับมา. นี่คือสมการที่สร้าง ความมั่งคง–มั่งคั่ง–ยั่งยืน ได้พร้อมกัน

กล่องตัวเลขชวนคิด

  • พื้นที่ป่าประเทศไทย ปี 2567: 31.46% ของประเทศ หรือ ประมาณ 101,785,271.58 ไร่
  • การเปลี่ยนแปลงจากปี 2566: –0.03% (–32,884.18 ไร่)
  • สะสม 10 ปี (2558–2567): ป่า เพิ่ม 331,951.68 ไร่, ป่า ลด 832,080.72 ไร่
  • ภาคเหนือ: ป่า 63.19%, ลด 29,883.91 ไร่ (มากสุด)
  • ภาคกลาง: ป่า 21.57%, เพิ่ม 11,032.01 ไร่ (เพิ่มมากสุด)
  • จังหวัดไร้ป่า: นนทบุรี, ปทุมธานี

“ป่าลดลงเพียง –0.03%” อาจถูกเลื่อนผ่านสายตาในวันยุ่ง ๆ แต่สำหรับเชียงรายที่ยืนอยู่บนหัวใจของเศรษฐกิจสีเขียวภาคเหนือ มันคือคำถามใหญ่ของ รายได้และความน่าอยู่ ในอนาคตอันใกล้. ตัวเลขทศนิยมสองตำแหน่งกำลังบอกเราว่า ถึงเวลาต้องเลิกมองป่าเป็น “ฉากหลังท่องเที่ยว” แล้วเริ่มมองเป็น “สินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่ต้องบริหารแบบมืออาชีพ” — หากทำได้ เมืองปลายทางอย่างเชียงรายจะไม่เพียงรอดจากฤดูหมอกควัน แต่จะกลายเป็น ต้นแบบมหานครสีเขียวของภูมิภาค ที่ทำให้ “ธรรมชาติ” สร้างงาน สร้างรายได้ และสร้างความภูมิใจให้คนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: ข้อมูลสัดส่วนและพื้นที่ป่าไม้ปี 2567, การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้ 10 ปี, สถิติรายภูมิภาคและรายจังหวัด
  • มูลนิธิสืบนาคะเสถียร: รายงานสถานการณ์ป่าไม้และสิ่งแวดล้อมไทยปี 2567 และข้อมูลเชิงวิเคราะห์ด้านภัยคุกคาม–ไฟป่า
  • กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช: ข้อมูลเขตป่าอนุรักษ์ ภัยไฟป่า และมาตรการจัดการเชื้อเพลิง
  • สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.): กรอบนโยบายการพัฒนาคาร์บอนต่ำและบริการระบบนิเวศ
  • องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.): แนวทางท่องเที่ยวเชิงนิเวศ–คาร์บอนต่ำที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

คลายกังวลภัยโลหะหนัก ผลตรวจตะกอนดินแม่น้ำกก-สาย-รวก ไม่เกินค่า

รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่หาดเชียงราย เร่งตรวจสอบสารปนเปื้อนในตะกอนดินริมแม่น้ำกก ใช้เครื่องมือทันสมัย XRF สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน พบค่าสารหนูไม่เกินมาตรฐาน

เชียงราย, 19 มิถุนายน 2568 – ในช่วงที่ชุมชนจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ต่างจับตามองประเด็นคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากปัญหาน้ำหลากและการขุดลอกตะกอนดิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้จัดทีมงานผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์และสร้างความมั่นใจต่อสาธารณชน

วางแผนตรวจสอบอย่างเป็นระบบ รับมือข้อกังวลชุมชน

วันที่ 19 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 น. นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี รองปลัด ทส. พร้อมคณะ ได้เริ่มต้นภารกิจตรวจสอบจุดยุทธศาสตร์ 2 แห่ง ได้แก่ ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมแม่น้ำกกบริเวณศาลากลางจังหวัดเชียงราย และหาดเชียงรายที่มีการดำเนินการขุดลอกลำน้ำกก โดยได้รับรายงานความก้าวหน้าจากเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ พร้อมเสนอแนะแนวทางยกระดับการทำงานและสร้างมาตรฐานให้ระบบเฝ้าระวังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยจุดที่ชุมชนให้ความกังวลคือหาดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการนำตะกอนดินจากการขุดลอกมาพักไว้ เพื่อป้องกันน้ำท่วมหลังเกิดเหตุการณ์น้ำหลากที่ผ่านมา ชาวบ้านจำนวนมากต่างกังวลเรื่องความเสี่ยงของโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนูที่อาจตกค้างในตะกอนดินและกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้าง

ใช้เทคโนโลยี XRF ตรวจวัดเร็ว แม่นยำ ประหยัดงบประมาณ

นางอรนุช เปิดเผยว่า การตรวจวัดตะกอนดินรอบนี้ใช้เครื่องมือ X-ray Fluorescence (XRF) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถตรวจวัดเบื้องต้นได้รวดเร็วภายใน 3-5 นาทีต่อจุด แม้จะไม่สามารถให้ค่าตัวเลขเป็นไมโครกรัมอย่างละเอียด แต่จะช่วยระบุจุดเสี่ยงที่ต้องส่งตัวอย่างไปตรวจเชิงลึกต่อในห้องปฏิบัติการ เป็นการคัดกรองที่ช่วยประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณในการดำเนินการ

สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 คาดว่าภารกิจตรวจตะกอนดินรอบหาดเชียงรายและจุดพักตะกอนจะใช้เวลาราว 3 วัน ด้วยความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 (นพค.35) ที่จะร่วมกันวางแผนและลงพื้นที่อย่างเป็นระบบ

ผลการตรวจสอบชัดเจน “ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน” คลายกังวลประชาชน

เวลา 15.00 น. วันเดียวกัน กองตรวจมลพิษ กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 ลงพื้นที่ตรวจวัดตะกอนดินจากการขุดลอก 3 พื้นที่หลัก ได้แก่

  1. ตะกอนดินจากการขุดลอกลำน้ำกก (หาดเชียงราย/จุดทิ้งตะกอน)
  2. ตะกอนดินจากการขุดลอกลำน้ำสาย (หัวฝาย อ.แม่สาย – ถุงบิ๊กแบ็คแนวป้องกันน้ำท่วม)
  3. ตะกอนดินจากการขุดลอกลำน้ำรวก (จุดผ่อนปรนการค้าบ้านปางห้า ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย)

การสุ่มตรวจในแต่ละพื้นที่ดำเนินไปอย่างละเอียดตามขนาดพื้นที่ ผลตรวจวัดเบื้องต้น “ไม่พบค่าสารหนูเกินค่ามาตรฐานคุณภาพดิน” (ค่ามาตรฐานเพื่อที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หรือ 6 ppm) ทุกรายการ

สำหรับพื้นที่ใดที่อาจพบค่าปนเปื้อนสูง ทีมงานจะส่งตัวอย่างเข้าสู่ห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์ต่อไปในเชิงลึก พร้อมประชาสัมพันธ์ผลตรวจอย่างโปร่งใส

เดินหน้าเสริมสร้างมาตรฐานและความโปร่งใส

การตรวจสอบสารปนเปื้อนในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเฝ้าระวังเชิงรุกของภาครัฐในการดูแลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญ เพื่อยืนยันมาตรฐานความปลอดภัยในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการขุดลอกหรือภัยน้ำท่วมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ภารกิจการตรวจสอบจะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมรายงานต่อหน่วยงานท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ให้รับรู้ข้อมูลความจริงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายตรวจศูนย์เฝ้าระวังน้ำพิษ เร่งแก้ปนเปื้อนแม่น้ำภาคเหนือ

เชียงรายเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ 4 จุด พร้อมเดินหน้าทำแผนแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองต้นน้ำเมียนมา

เชียงราย, 9 มิถุนายน 2568 สถานการณ์ปนเปื้อนสารโลหะหนักในลำน้ำสำคัญของภาคเหนือ โดยเฉพาะแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง กำลังกลายเป็นประเด็นวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งรับมืออย่างจริงจัง ล่าสุด นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน พร้อมเน้นย้ำการดำเนินงานเชิงรุกตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง

จุดตรวจดังกล่าวถือเป็นหนึ่งใน 4 จุดของศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้จัดตั้งขึ้น ครอบคลุมแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลกลางในการวัดคุณภาพน้ำ ตรวจสอบตะกอน และเผยแพร่ข้อมูลต่อประชาชนผ่านระบบป้ายประชาสัมพันธ์แบบเรียลไทม์ พร้อมรับเรื่องร้องเรียนและสร้างการมีส่วนร่วมจากชุมชนในทุกพื้นที่

ศูนย์เฝ้าระวัง 4 จุดในพื้นที่เสี่ยง ครอบคลุม 2 จังหวัด

ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่จัดตั้งขึ้นครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย และเชียงใหม่ โดยแบ่งเป็น 4 จุดหลัก ได้แก่

  1. สะพานท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก) – รับผิดชอบโดย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  2. ศูนย์ราชการเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย (แม่น้ำกก) – รับผิดชอบโดย กรมควบคุมมลพิษ
  3. ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย จ.เชียงราย (แม่น้ำสาย) – รับผิดชอบโดย กรมควบคุมมลพิษ
  4. สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย (แม่น้ำโขง) – รับผิดชอบโดย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล

ศูนย์ทั้ง 4 แห่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจวัดสารปนเปื้อน โดยเฉพาะสารหนู ปรอท และแคดเมียม ที่ถูกสันนิษฐานว่าไหลลงมาจากเหมืองแร่ในเขตชายแดนเมียนมา และอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาแหล่งน้ำธรรมชาติ

กรมควบคุมมลพิษเดินหน้าเจรจาระดับรัฐบาล ร่วมกับเมียนมาและจีน

ในระดับนโยบาย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ได้สั่งการให้ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำในลำน้ำกกและลำน้ำสาย พร้อมประสานกระทรวงการต่างประเทศจัดเจรจาอย่างเป็นทางการกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและสาธารณรัฐประชาชนจีน กรณีผลกระทบจากการทำเหมืองที่ต้นน้ำ

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ยังได้มอบหมายให้คณะทำงานเร่งหาข้อสรุปในการกำหนดกรอบการเจรจาระหว่างประเทศ เพื่อผลักดันให้การทำเหมืองข้ามพรมแดนอยู่ภายใต้ระบบความรับผิดชอบร่วมกัน

ข้อเสนอเสริมระบบดักตะกอนสารพิษ ก่อนปล่อยน้ำสู่แม่น้ำสายหลัก

นอกจากการติดตามตรวจสอบข้อมูล คพ. ยังได้ร่วมวางแผนกับกรมทรัพยากรน้ำ ออกแบบระบบดักตะกอนบริเวณจุดที่ตรวจพบการปนเปื้อน เพื่อนำตะกอนที่มีโลหะหนักออกจากลำน้ำ ลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนออกแบบและจัดทำระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

จัดตั้ง “AIM” ศูนย์ข้อมูลกลางแห่งแรกของประเทศ

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารและลดความสับสนจากการเผยแพร่ข้อมูลหลายช่องทาง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ได้มีข้อสั่งการให้จัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์” หรือ Awareness Information Monitoring (AIM) โดยมอบหมายให้ คพ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การประปาส่วนภูมิภาค กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ดำเนินการรวบรวม วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลคุณภาพน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำประปาหมู่บ้าน และผลิตผลทางการเกษตรอย่างเป็นระบบ

แต่งตั้งทีมที่ปรึกษาวิชาการ 9 ราย สนับสนุนศูนย์อำนวยการส่วนหน้า

ในการประชุมล่าสุดมีมติแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาจำนวน 9 ราย ประกอบด้วยนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญจากสาขาแวดล้อม ได้แก่ ศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง, นายวิชัย ไชยมงคล, ผศ.ดร.ชิตชล ผลารักษ์, ผศ.ดร.พงศ์พันธุ์ กาญจนการุณ, ดร.ณัฐนนท์ จิรกิจนิมิตร, ดร.สืบสกุล กิจนุกร, อ.ทสิตา สุพัฒนรังสรรค์, อ.ณิชภัทร์ กิจเจริญ และนายอาทิตย์ ภูบุญคง ซึ่งจะทำหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานเชิงวิชาการของศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำส่วนหน้าในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสาย

จากการตรวจเยี่ยมสู่การเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบาย

การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ มิได้เป็นเพียงการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ หากแต่เป็นการส่งสัญญาณถึงความเร่งด่วนในการยกระดับระบบเฝ้าระวังและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองต้นน้ำเมียนมาไม่อาจแก้ไขได้ด้วยมาตรการภายในประเทศเพียงลำพัง ความร่วมมือระดับภูมิภาคจึงเป็นหัวใจสำคัญ

ในขณะเดียวกัน การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลาง AIM และการสนับสนุนโดยทีมที่ปรึกษาวิชาการ ถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานการจัดการข้อมูลที่โปร่งใส และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อบทบาทของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกฯ ห่วง! รมช.มหาดไทยนำทีมแก้ปัญหาสารพิษแม่น้ำกก-สาย ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง

แม่น้ำกก-แม่น้ำสายเผชิญวิกฤตสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ รัฐบาลเร่งตั้งศูนย์อำนวยการส่วนหน้า เดินหน้าสร้างระบบแก้ปัญหาน้ำปนเปื้อนอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 6 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งถือเป็นลำน้ำสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย เข้าสู่ภาวะวิกฤต หลังมีการตรวจพบสารปนเปื้อนโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนูและตะกั่ว” ในระดับที่เกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องหลายเดือน กระตุ้นให้รัฐบาลเร่งตั้ง “ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า)” เพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนในระดับพื้นที่และระดับประเทศ

การเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมของประชาชน พร้อมวางระบบรับมือภัยคุกคามด้านสุขภาพจากแหล่งน้ำอย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตเชิงโครงสร้าง – น้ำที่ดื่มไม่ได้ คือความทุกข์ที่ไม่มีเสียง

แม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เพียงแต่เป็นสายน้ำหลักของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตเกษตรกรรม การประมง และการบริโภคของชุมชนมาหลายชั่วอายุคน ทว่าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 สัญญาณอันตรายเริ่มปรากฏจากการตรวจวัดน้ำที่แสดงค่า “สารหนู” และ “ตะกั่ว” สูงเกินมาตรฐาน กระทั่งเข้าสู่ปี 2568 สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้นในหลายจุด

การเฝ้าระวังโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ พบว่า “ทุกครั้งที่มีการตรวจวัด ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2568 มีจุดที่พบสารหนูเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง” ส่งผลให้เกิดความกังวลลึกในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ใช้แม่น้ำในการอุปโภคบริโภคโดยตรง

ศูนย์อำนวยการฯ ส่วนหน้า ตอบสนองเร็ว-สื่อสารชัด-แก้ปัญหาจริง

ในวันนี้ (6 มิ.ย.) นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) เป็นประธานการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข และรองผู้ว่าฯ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ ผ่านระบบ Zoom Meeting ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

การประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อ “วางแนวทางบูรณาการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ” โดยมีหัวข้อเร่งด่วน เช่น

  • รายงานคุณภาพน้ำในพื้นที่
  • การวิเคราะห์ตะกอนดิน
  • ปรับปรุงระบบสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจง่าย
  • เตรียมรับมือกรณีประชาชนร้องเรียน หรือมีข่าวที่ก่อให้เกิดความตระหนก

ที่ประชุมได้เสนอให้ “รวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานในทิศทางเดียว” เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ทั้งจากหน่วยงานรัฐ นักวิชาการ และภาคประชาชน พร้อมข้อเสนอให้หน่วยงานเฉพาะทาง เช่น กรมประมง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเกษตรจังหวัด ตรวจผลแล็บซ้ำเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 4 จุดหลัก ปูโครงข่ายตรวจสอบในระดับพื้นที่

ขณะเดียวกัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เปิดศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำจำนวน 4 จุดหลัก ได้แก่:

  1. จุดที่ 1 ศูนย์การแพทย์แผนไทย สะพานท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก) – ดูแลโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  2. จุดที่ 2 ศูนย์หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย (แม่น้ำกก) – ดูแลโดยกรมควบคุมมลพิษ
  3. จุดที่ 3 ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย (แม่น้ำสาย) – ดูแลโดยสำนักงานควบคุมมลพิษ
  4. จุดที่ 4 สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน (แม่น้ำรวก-แม่น้ำโขง) – ดูแลโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล

แต่ละจุดจะติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ พร้อมป้ายแสดงผลต่อสาธารณะ และรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนโดยตรง โดยมีหน่วยงานระดับจังหวัด-อำเภอ-ท้องถิ่น เข้าร่วมปฏิบัติงานประจำศูนย์ฯ อย่างใกล้ชิด

การสื่อสารที่ชัด คือเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่น

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ กรมประชาสัมพันธ์ เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำข้อมูลข่าวสารให้สาธารณชนรับรู้ โดยเน้นการสื่อสารที่ “ตรงความจริง ชัดเจน สม่ำเสมอ และมีภาษาที่เข้าใจง่าย” เพื่อลดความวิตกกังวลจากข่าวลือหรือข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ พร้อมแนะนำแนวทางการปฏิบัติเมื่อพบเห็นหรือได้รับผลกระทบจากน้ำที่ปนเปื้อน

จากน้ำปนเปื้อน สู่คำถามเรื่องธรรมาภิบาลทรัพยากรน้ำ

กรณีแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเชิงสิ่งแวดล้อม แต่คือบททดสอบสำคัญของกลไกรัฐไทยในการจัดการวิกฤติระดับภูมิภาค เมื่อประชาชนเริ่มตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงใช้เวลานานเกินไปในการรับรู้ปัญหา เหตุใดข้อมูลที่เปิดเผยจึงแตกต่าง และเหตุใดแม่น้ำที่ควรเป็นแหล่งชีวิตกลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างความวิตกในทุกวัน

การจัดตั้งศูนย์ฯ ส่วนหน้า และศูนย์เฝ้าระวังระดับพื้นที่ หากสามารถทำงานอย่างบูรณาการจริงจัง จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณ เครื่องมือ และบุคลากร รวมถึง “เจตจำนงทางการเมือง” ที่จะไม่นิ่งเฉยเมื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งกระทบความมั่นคงด้านสุขภาพของประชาชนทั้งลุ่มน้ำ

สรุป

ปัญหาน้ำปนเปื้อนในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก คือสัญญาณชัดเจนว่า ไทยต้องเร่งยกระดับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและระบบสื่อสารข้อมูลภาครัฐ การบูรณาการที่ดีเพียงพอเท่านั้น จึงจะสามารถนำพาประชาชนข้ามพ้นวิกฤตนี้อย่างมั่นใจ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า)
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กระทรวงมหาดไทย
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • รายงานการประชุมวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

วิกฤตสารหนูแม่น้ำกก-สาย รัฐบาลสั่งเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังด่วน! ชี้แจงประชาชนทันที

เชียงรายเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ หลังพบสารหนูเกินมาตรฐานในแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย

ปมปัญหาสารหนูสะสมในลำน้ำสำคัญของภาคเหนือขยายวงกว้าง รัฐบาลสั่งตั้งหน่วยเฝ้าระวังและสื่อสารข้อมูลต่อสาธารณะอย่างเร่งด่วน

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์การปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำสำคัญของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ทวีความน่ากังวลมากขึ้น หลังกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานผลตรวจสอบล่าสุดว่าค่าความเข้มข้นของสารหนูในน้ำและตะกอนดินบางจุดเกินมาตรฐานความปลอดภัย ส่งผลให้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

ประชุมด่วนระดับชาติเพื่อกำหนดแนวทางรับมือ

ภายใต้ข้อสั่งการดังกล่าว ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ เรียกประชุมด่วน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีการเชิญหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งในส่วนกลางและพื้นที่ พร้อมผู้แทนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เข้าร่วมหารือผ่านระบบออนไลน์ ณ ห้องประชุมกระทรวงฯ

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ซึ่งมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยเน้นการตอบสนองต่อความวิตกของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง 3 จุด สร้างระบบรับเรื่องร้องเรียนและสื่อสารเชิงรุก

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า มีข้อสรุปเบื้องต้นให้จัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม” จำนวน 3 จุด คือที่จังหวัดเชียงราย 2 จุด และจังหวัดเชียงใหม่ 1 จุด เพื่อทำหน้าที่ตรวจวัดคุณภาพน้ำ แจ้งผลผ่านป้ายแสดงผลในพื้นที่แบบ Real-time และเป็นจุดรับแจ้งปัญหาจากประชาชนในกรณีพบความผิดปกติหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์จะประกอบด้วยผู้แทนจากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงสาธารณสุข และฝ่ายปกครองท้องถิ่น โดยกำหนดให้ศูนย์ฯ ต้องสามารถดำเนินงานได้จริงภายในเวลาอันใกล้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดความตื่นตระหนกของชุมชน

เร่งสร้างความเข้าใจผ่านการสื่อสารแบบมืออาชีพ

อีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่กรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายคือ การจัดทำ “ชุดข้อมูลอธิบายผลตรวจ” โดยร่วมมือกับกรมอนามัย เพื่อแจกแจงว่า ค่าสารหนูที่ตรวจพบในน้ำและตะกอนดินแต่ละระดับ ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ การใช้น้ำ และกิจกรรมต่าง ๆ ของประชาชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ข้อมูลชุดนี้จะเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมถึงการแถลงข่าวกรณีที่สังคมเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยกำหนดให้กรมควบคุมมลพิษเป็น “หน่วยงานหลักในการสื่อสาร” เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพของข้อมูล และลดช่องว่างความเข้าใจระหว่างภาครัฐกับประชาชน

วางมาตรการดักตะกอนเร่งด่วนในแม่น้ำต้นน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน

ในด้านมาตรการเชิงเทคนิค กระทรวงฯ มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำเร่งออกแบบและติดตั้ง “ฝายดักตะกอน” ในจุดที่มีสารหนูปนเปื้อนสูง โดยเฉพาะบริเวณต้นแม่น้ำกก ณ ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดที่น้ำไหลเข้าจากฝั่งประเทศเมียนมาเข้าสู่ประเทศไทย

ทั้งนี้ ได้มีการประสานงานเบื้องต้นกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ซึ่งเคยมีการศึกษารูปแบบฝายดักตะกอนเพื่อใช้ข้อมูลร่วมวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำข้ามแดนที่ไหลผ่านชายแดนไทย-เมียนมา ณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย การติดตั้งฝายดักตะกอนจะต้องพิจารณาร่วมกับหน่วยงานของจังหวัดเชียงราย และอาจต้องเจรจาในระดับระหว่างประเทศ เนื่องจากลักษณะของแม่น้ำที่มีอธิปไตยร่วมในบางช่วง

บทสรุปและบทวิเคราะห์

เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนของผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดน (Transboundary Pollution) ที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพประชาชนและระบบนิเวศในพื้นที่รับน้ำของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ

การจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังในระดับพื้นที่ การสื่อสารเชิงรุก และการออกแบบระบบดักตะกอนแบบมีหลักฐานทางวิชาการรองรับ ถือเป็นก้าวสำคัญในการบริหารจัดการวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาค และเป็นบทเรียนสำคัญในการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้การสื่อสารและการแก้ไขปัญหามีความรวดเร็ว ตรงจุด และยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังอยู่ที่การประสานงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในกรณีที่แหล่งกำเนิดสารมลพิษอยู่ในพื้นที่นอกเขตอธิปไตยไทย ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในระดับรัฐมนตรีและความต่อเนื่องของนโยบายเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดซ้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • การประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน, 4 มิถุนายน 2568
  • สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรน้ำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐานทส. ชี้แม่น้ำกก-สายยังน่าห่วง

รมว.ทส. สั่งเร่งติดตามและแก้ไขปัญหาสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง จ.เชียงราย เดินหน้าประชุมมาตรการเข้มข้นเพื่อคืนคุณภาพชีวิตประชาชน

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์วิกฤตมลพิษสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง กลายเป็นประเด็นสำคัญที่หน่วยงานรัฐทุกระดับต้องขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน หลังการตรวจพบค่าปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติของจังหวัดเชียงรายเกินกว่าค่ามาตรฐานซ้ำซ้อนหลายจุด สร้างความวิตกกังวลต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ยืนยันเดินหน้าแก้ไขปัญหาทั้งเชิงรุกและระยะยาว เพื่อเร่งคืนคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตสารหนูข้ามพรมแดนในพื้นที่ลุ่มน้ำเชียงราย

ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปัญหาการปนเปื้อนของสารหนูในลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือโดยเฉพาะแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ถูกจับตามองจากประชาชน สื่อมวลชน และนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพน้ำจากกรมควบคุมมลพิษและกรมทรัพยากรน้ำพบค่าการปนเปื้อนสารหนู ซึ่งเป็นโลหะหนักที่เป็นอันตรายสูงต่อร่างกายมนุษย์และสัตว์น้ำ เกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกและประเทศไทยกำหนดไว้ สร้างความวิตกกังวลเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกับประชาชนในพื้นที่ซึ่งต้องใช้น้ำในชีวิตประจำวัน

สถานการณ์ดังกล่าวซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อพบว่าแหล่งกำเนิดมลพิษส่วนใหญ่มีต้นทางมาจากนอกประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำในเขตชายแดนเมียนมาและพื้นที่ชายแดนจีน ซึ่งควบคุมและตรวจสอบต้นเหตุโดยตรงได้ยาก รัฐบาลไทยจึงต้องดำเนินงานเชิงรุก ทั้งมาตรการเฉพาะหน้าและแผนความร่วมมือระหว่างประเทศ

รมว.ทส. สั่งประชุมเร่งรัดมาตรการ รับมือผลกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์หลังร่วมลงนามถวายพระพรในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ พระบรมมหาราชวัง ว่าได้ติดตามสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ ประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน ตามกรอบที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธาน เพื่อเร่งรัดการปฏิบัติงานและคลายข้อห่วงใยจากประชาชนในพื้นที่

รัฐมนตรีฯ ย้ำว่า แม้มาตรการที่ทำได้ในทันทีอาจเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ เช่น การออกแบบระบบดักตะกอนเพื่อชะลอการกระจายของสารปนเปื้อนและเพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำ แต่ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างใกล้ชิด ทั้งกรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) และกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) จะต้องเพิ่มจำนวนและความถี่ของการเก็บตัวอย่างน้ำ ครอบคลุมตลอดลำน้ำและสาขา ทั้งน้ำผิวดิน ตะกอนดิน สัตว์หน้าดิน ไปจนถึงตรวจระดับสารพิษในร่างกายของประชาชนกลุ่มเสี่ยง

แม่น้ำกก-สาย ยังเกินมาตรฐานในบางจุด

รายงานจากกรมควบคุมมลพิษเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ระบุว่า แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำโขงและประเทศเพื่อนบ้าน ยังพบค่าการปนเปื้อนของสารหนูเกินกว่าค่ามาตรฐานในการตรวจวัดทั้งน้ำผิวดินและตะกอนดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อนถึงจุดที่น้ำไหลผ่านฝายเชียงรายไปยังแม่น้ำโขง พบว่าหลังผ่านฝายดังกล่าว ค่าสารปนเปื้อนมีแนวโน้มลดลง สาเหตุจากกระแสน้ำถูกลดความเร็ว ส่งผลให้มีการตกตะกอนเพิ่มมากขึ้น

ส่วนแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกรณ์ แม่น้ำลาว และแม่น้ำสรวย คุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะพบสารหนูในตะกอนเกินค่ามาตรฐานสำหรับการปกป้องสัตว์หน้าดิน แต่ยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ในขณะนี้

ความร่วมมือระหว่างประเทศ ความท้าทายที่ต้องใช้เวลา

ดร.เฉลิมชัย เน้นว่า การแก้ไขปัญหาสารหนูที่ต้นเหตุต้องอาศัยกระบวนการเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งกับเมียนมาและจีนซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ แม้จะต้องใช้เวลานาน แต่รัฐบาลไทยมุ่งมั่นประสานความร่วมมือผ่านเวทีทวิภาคีและภูมิภาค พร้อมทั้งผลักดันข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต

ขณะเดียวกัน มาตรการในประเทศต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนประชาชนให้งดกิจกรรมทางน้ำในพื้นที่เสี่ยง ให้ใช้น้ำเฉพาะแหล่งที่ผ่านการรับรองคุณภาพ และจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์

การสื่อสารและแจ้งเตือนประชาชน สร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรัฐ

รมว.ทส. ฝากถึงประชาชนในพื้นที่ จ.เชียงราย และใกล้เคียง ให้ติดตามข่าวสารและประกาศแจ้งเตือนจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัย ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่าตื่นตระหนกจนเกินไป เนื่องจากทุกหน่วยงานกำลังร่วมมือกันอย่างเต็มที่ เพื่อเฝ้าระวังและเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด

วิเคราะห์และแนวโน้มผลกระทบ

กรณีปนเปื้อนสารหนูในลุ่มน้ำเชียงรายถือเป็นแบบอย่างสำคัญของวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ที่ต้องอาศัยทั้งมาตรการภายในประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ขณะที่ภาคประชาชนจำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน พร้อมแนวทางปฏิบัติอย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง หากสถานการณ์คลี่คลายได้ จะเป็นบทเรียนสำคัญในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาคสำหรับอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานตรวจวัดคุณภาพน้ำแม่น้ำกก-สาย-โขง (กรมควบคุมมลพิษ, 1 มิ.ย. 2568)
  • ค่าสารหนูเกินมาตรฐานในน้ำผิวดินและตะกอนในหลายจุด (กรมควบคุมมลพิษ)
  • การเพิ่มจุดและความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอน (กรมทรัพยากรน้ำ)
  • แนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาสารพิษข้ามพรมแดน (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
  • แนวทางแจ้งเตือนและเฝ้าระวังประชาชน (กรมควบคุมมลพิษ, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

นายกฯ สั่งด่วน แก้ปัญหา สารพิษแม่น้ำกก เร่งเจรจาเมียนมา

นายกฯ สั่งด่วนแก้วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก สางปัญหาสารปนเปื้อนข้ามแดน ร่วมมือทุกภาคส่วนปกป้องลุ่มน้ำ

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – จากสถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกกที่ทวีความรุนแรงจากการปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการด่วนให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาในทุกมิติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ และลดผลกระทบต่อสุขภาพ ระบบนิเวศ และวิถีชีวิตของชุมชน การสั่งการครั้งนี้เน้นย้ำถึงการจัดการต้นตอของปัญหา ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา พร้อมผลักดันการเจรจาข้ามแดนเพื่อหยุดยั้งการปล่อยสารพิษลงสู่ลุ่มน้ำกก การดำเนินการนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อฟื้นฟูแม่น้ำกกให้กลับมาเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชุมชนอย่างยั่งยืน

แม่น้ำกกในภาวะวิกฤต

แม่น้ำกกเป็นมากกว่าแหล่งน้ำธรรมชาติสำหรับชาวเชียงรายและเชียงใหม่ มันคือสายน้ำแห่งชีวิตที่หล่อเลี้ยงเกษตรกรรม การประมง และการท่องเที่ยวของชุมชนในพื้นที่ ตั้งแต่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ไปจนถึงอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอเชียงแสน แม่น้ำกกไหลจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ผ่านพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ก่อนบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ชาวบ้านในพื้นที่พึ่งพาแม่น้ำสายนี้ในการดำรงชีวิตมานานนับศตวรรษ ตั้งแต่การเพาะปลูกข้าว การเลี้ยงสัตว์น้ำ ไปจนถึงการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนค่ายช้างและสถานที่ท่องเที่ยวริมน้ำ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม่น้ำกกเริ่มส่งสัญญาณแห่งความผิดปกติ ชาวบ้านในตำบลท่าตอนสังเกตว่าน้ำในแม่น้ำขุ่นข้นผิดปกติ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน 2567 ซึ่งพัดพาโคลนและตะกอนจำนวนมากลงสู่ท้ายน้ำ เด็กที่ลงเล่นน้ำเริ่มมีอาการผื่นคันรุนแรง ปลาในแม่น้ำตายเป็นจำนวนมาก และพืชผลเกษตรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำเริ่มมีสภาพผิดปกติ ความกังวลของชุมชนทวีคูณเมื่อผลการตรวจคุณภาพน้ำในช่วงต้นปี 2568 ระบุว่ามีสารหนูและตะกั่วปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ซึ่งใช้ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลังตั้งแต่ปี 2560–2568 เผยให้เห็นการขยายตัวของการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน โดยเฉพาะในช่วงปี 2567–2568 พบการเปิดหน้าดินขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของความขุ่น (turbidity) ในแม่น้ำกก การค้นพบนี้ชี้ชัดว่าต้นตอของมลพิษมาจากการทำเหมืองทองและแรร์เอิร์ธ (แร่หายาก) ในเขตเมืองยอนและเมืองสาด รัฐฉาน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army – UWSA) และมีบริษัทจากจีนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง

วิกฤตครั้งนี้ไม่เพียงกระทบต่อชุมชนในฝั่งไทย แต่ยังส่งผลถึงชุมชนในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะหมู่บ้านเปียงคำที่ชาวบ้านรายงานว่าปลาตายและน้ำไม่สามารถใช้ได้ ชาวบ้านบางส่วนที่สัมผัสน้ำปนเปื้อนมีอาการระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรง ความเปราะบางของระบบนิเวศในลุ่มน้ำกกกลายเป็นประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

คำสั่งนายกฯ และการเคลื่อนไหวของภาครัฐ

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกก และได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุม โดยมุ่งเน้นสี่ด้านหลัก ได้แก่ การจัดการแหล่งที่มาของมลพิษ การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ การเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และการบริหารจัดการเชิงนโยบาย

นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งการต่อไปยัง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ เพื่อติดตามและจัดการแหล่งที่มาของมลพิษ โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาเพื่อควบคุมหรือปรับปรุงวิธีการทำเหมืองที่ปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำกก

การดำเนินการของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมามีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้จัดการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำระหว่างประเทศ ลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 1/2568 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน ในการประชุมครั้งนี้ GISTDA ได้นำเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยืนยันการขยายตัวของเหมืองในรัฐฉาน และส่งข้อมูลดังกล่าวให้กรมกิจการชายแดนทหารและกรมควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการต่อ

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 กรมควบคุมมลพิษได้จัดการประชุมร่วมกับกรมกิจการชายแดนทหาร กรมเอเชียตะวันออก GISTDA และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับการเจรจาข้ามแดน โดยกรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการประมวลผลข้อมูลในสามด้าน ได้แก่ การบ่งชี้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศ และแนวทางการให้ความช่วยเหลือเมียนมาในการทำเหมืองที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อให้กรมกิจการชายแดนทหารและกรมเอเชียตะวันออกเพื่อใช้ในการเจรจากับเมียนมา

ในด้านการแก้ไขมลพิษในแหล่งน้ำ หน่วยทหารช่างมีแผนขุดลอกแม่น้ำกกเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร บริเวณหมู่บ้านธนารักษ์-สะพานย่องลี อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อลดการสะสมของตะกอน กรมควบคุมมลพิษกำลังศึกษาวิธีการจัดการตะกอน เช่น การปรับสภาพน้ำ ระบบตักตะกอน และการเบี่ยงกระแสน้ำ ขณะที่การประปาส่วนภูมิภาคได้จัดเตรียมแผนบริหารจัดการน้ำในกรณีที่แหล่งน้ำผิวดินปนเปื้อนในระยะยาว เพื่อให้ประชาชนมีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภค

ด้านการเฝ้าระวัง กรมควบคุมมลพิษจะเพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และลำน้ำสาขาเป็น 2 ครั้งต่อเดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน 2568 กรมประมงได้ตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในสัตว์น้ำ 3 ครั้ง ในวันที่ 11 เมษายน 28 เมษายน และ 2 พฤษภาคม 2568 โดยผลการตรวจไม่พบแคดเมียมและตะกั่วเกินมาตรฐาน ส่วนกรณีปลาที่มีตุ่มแดงเกิดจากปรสิต กรมอนามัยได้ตรวจคุณภาพน้ำประปาและปัสสาวะของประชาชนในเดือนเมษายน 2568 พบว่าน้ำประปาไม่มีสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐาน และผลตรวจปัสสาวะอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ด้านการบริหารจัดการ รองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานและผลักดันนโยบายอย่างเป็นระบบ

แผนปฏิบัติการข้ามแดนและความหวังในการฟื้นฟู

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีได้จุดประกายความหวังในการแก้ไขวิกฤตแม่น้ำกก โดยเฉพาะการผลักดันให้มีการเจรจากับเมียนมาในระดับทวิภาคี ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองเชียงตุง รัฐฉาน ระหว่างวันที่ 17–20 มิถุนายน 2568 กรมกิจการชายแดนทหารจะหยิบยกประเด็นมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นวาระสำคัญ นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมเอเชียตะวันออก ได้ส่งหนังสือผ่านสถานทูตไทยในเมียนมาและเชิญผู้แทนสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทยเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหา

การดำเนินการในระดับท้องถิ่นก็มีความคืบหน้าเช่นกัน หน่วยงานในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ได้เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และผลิตผลเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน การขุดลอกแม่น้ำและการจัดหาน้ำสะอาดเป็นมาตรการเร่งด่วนที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชุมชนในระยะสั้น ขณะที่การใช้ข้อมูลจากดาวเทียมของ GISTDA ช่วยให้หน่วยงานสามารถระบุแหล่งที่มาของมลพิษได้แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเจรจากับเมียนมาและกองทัพสหรัฐว้า

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วิจารณ์ว่าการสั่งการของนายกรัฐมนตรีส่วนใหญ่เป็นการดำเนินงานตามกลไกปกติของหน่วยงานราชการ ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อความซับซ้อนของปัญหา เขาเสนอให้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ และเชิญผู้แทนจากเมียนมาและจีนที่ประจำอยู่ในประเทศไทยมาร่วมหารือ “วิกฤตนี้เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน การจัดตั้งกลไกเฉพาะกิจและการเจรจาจะช่วยให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น” ดร.สืบสกุลกล่าว

ข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่และสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตยืนยันถึงความรุนแรงของปัญหา โดยพบว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในเมืองยอน รัฐฉาน ซึ่งเริ่มตั้งแต่กลางปี 2566 มีลักษณะเป็นบ่อวงกลมคลุมด้วยผ้าใบสีดำ ตั้งอยู่ห่างจากแม่น้ำกกเพียง 3.6 กิโลเมตร การทำเหมืองเหล่านี้ใช้สารเคมีที่เป็นพิษสูง ส่งผลให้ระบบนิเวศในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงเสียหายอย่างหนัก สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตยังรายงานการพบปลาติดเชื้อใน 6 จุดของแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงตั้งแต่ปี 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 ซึ่งบ่งชี้ถึงการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์และความท้าทายในการแก้ไขวิกฤต

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ได้สร้างแรงผลักดันสำคัญในการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ผลลัพธ์ที่โดดเด่น ได้แก่

  1. การบูรณาการหน่วยงาน: การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะอนุกรรมการช่วยให้มีการประสานงานระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นระบบ การประชุมเมื่อวันที่ 13 และ 15 พฤษภาคม 2568 แสดงถึงความพยายามในการรวบรวมข้อมูลและวางแผนปฏิบัติการ
  2. การใช้เทคโนโลยี: การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA ช่วยระบุแหล่งที่มาของมลพิษได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเจรจาข้ามแดน
  3. การเจรจาระดับนานาชาติ: การบรรจุประเด็นมลพิษในแม่น้ำกกเป็นวาระในการประชุม RBC และการดำเนินการผ่านกระทรวงการต่างประเทศแสดงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาข้ามแดน
  4. การบรรเทาผลกระทบในพื้นที่: การขุดลอกแม่น้ำ การจัดหาน้ำสะอาด และการเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำช่วยลดความเดือดร้อนของประชาชนในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขวิกฤตนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

  1. ความซับซ้อนของการเมืองข้ามแดน: การเจรจากับกองทัพสหรัฐว้าและรัฐบาลเมียนมาเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากความขัดแย้งภายในเมียนมาและอิทธิพลของบริษัทจีนในพื้นที่
  2. ข้อจำกัดด้านทรัพยากร: การขุดลอกแม่น้ำ การจัดการตะกอน และการตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำต้องใช้เงินทุนและบุคลากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเกินขีดความสามารถของหน่วยงานท้องถิ่น
  3. ผลกระทบระยะยาว: สารโลหะหนัก เช่น สารหนูและตะกั่ว สามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นานหลายสิบปี การแก้ไขต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษที่ต้นตอและการฟื้นฟูระบบนิเวศ
  4. การมีส่วนร่วมของประชาชน: แม้ว่าภาครัฐจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่การสื่อสารกับประชาชนยังไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกและความไม่มั่นใจในบางชุมชน

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติมดังนี้

  • จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ: เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานในและต่างประเทศ และเร่งรัดการเจรจากับเมียนมาและจีน
  • เพิ่มการสื่อสารสาธารณะ: ใช้สื่อท้องถิ่นและสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่ประชาชน และลดความตื่นตระหนก
  • ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: สนับสนุนงบประมาณให้มหาวิทยาลัยในเชียงรายจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำ และพัฒนานวัตกรรมในการจัดการตะกอน
  • ยกระดับสู่เวทีนานาชาติ: ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) หรือ UNEP เพื่อกดดันให้มีการแก้ไขปัญหาข้ามแดน

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
    • แม่น้ำกก (ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.031 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
    • แม่น้ำกก (บ้านแซว อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.036 mg/L
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่. (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดิน.
  2. การขยายตัวของเหมืองในรัฐฉาน:
    • การเปิดหน้าดินในรัฐฉานเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2567–2568 โดยเฉพาะในเมืองยอนและเมืองสาด
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA). (2568). รายงานการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลัง 2560–2568.
  3. การผลิตแรร์เอิร์ธในเมียนมา:
    • ปี 2566: เมียนมาผลิตแรร์เอิร์ธ 41,700 ตัน มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • การผลิตเพิ่มขึ้น 40% ในช่วงปี 2564–2566
    • แหล่งอ้างอิง: Global Witness. (2568). รายงานการผลิตแร่หายากในเมียนมา.
  4. การพบปลาติดเชื้อ:
    • พบปลาติดเชื้อในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง 6 จุด ตั้งแต่ปี 2567 ถึงพฤษภาคม 2568
    • แหล่งอ้างอิง: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต. (2568). รายงานการพบปลาติดเชื้อในลุ่มน้ำกกและโขง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • กรมกิจการชายแดนทหาร
  • กรมเอเชียตะวันออก
  • กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
  • กรมประมง
  • กรมอนามัย
  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

รัฐบาลสั่งทุกหน่วยงาน บูรณาการ แก้ปัญหาสารพิษ วิกฤตแม่น้ำกก

วิกฤตสารหนูในแม่น้ำกก กระทบประชาชนสองจังหวัด รัฐเร่งบูรณาการแก้ไข

พบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกเกินมาตรฐาน

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์แม่น้ำกกกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังกรมควบคุมมลพิษรายงานผลตรวจสอบพบสารหนูปนเปื้อนในลำน้ำเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะช่วงที่ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในระดับชุมชนถึงความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

รัฐมนตรี ทส. ชี้ต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วม

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งต่อทรัพยากรน้ำ ระบบนิเวศ เศรษฐกิจชุมชน และสุขภาพประชาชน ซึ่งการดำเนินการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรในระดับนานาชาติ

ตั้งคณะอนุกรรมการระดับชาติขับเคลื่อนการแก้ไข

เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีระบบ ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 มีมติแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน” โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นรองประธาน พร้อมหน่วยงานอีก 29 แห่งในฐานะคณะทำงาน

ใช้กลไกการทูตและเทคโนโลยีทันสมัยร่วมแก้ปัญหา

รัฐบาลไทยเดินหน้าใช้กลไกความร่วมมือทางการทูตและการทหาร เจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษจากภายนอก โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำที่อาจมีการทำเหมืองแร่โดยไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำเทคโนโลยีดาวเทียมและระบบภูมิสารสนเทศมาช่วยตรวจสอบแหล่งที่มาของการปนเปื้อน

ผลการตรวจน้ำ-สัตว์น้ำ และร่างกายมนุษย์

แม้จะพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก แต่การประปาส่วนภูมิภาคและกรมอนามัยได้ตรวจสอบน้ำประปาแล้วพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย นอกจากนี้ กรมประมงได้สุ่มตรวจสัตว์น้ำในพื้นที่และไม่พบการสะสมของสารพิษ เช่นเดียวกับตัวอย่างปัสสาวะของประชาชนในพื้นที่ก็ไม่พบสารหนูตกค้างในร่างกาย

มาตรการเฉพาะหน้าและแผนระยะยาว

ในระยะเร่งด่วน กระทรวงมหาดไทยได้จัดหาน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคบริโภคชั่วคราวให้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมกันนี้ กรมควบคุมมลพิษได้เพิ่มความถี่ในการตรวจวัดคุณภาพน้ำเป็นเดือนละ 2 ครั้ง ส่วนกรมทรัพยากรน้ำได้ควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ และเตรียมความพร้อมเครื่องจักรป้องกันน้ำเสียไหลเข้าสู่ลำน้ำสาขา

ในระยะยาว จะมีการกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกันปัญหาซ้ำซาก พร้อมจัดทำแผนฟื้นฟูระบบนิเวศของแม่น้ำกกและแหล่งน้ำที่ได้รับผลกระทบ

ประชาชนต้องไม่ตื่นตระหนก พร้อมรับข้อมูลจากรัฐ

หน่วยงานต่าง ๆ ได้รับมอบหมายให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างโปร่งใส และสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ตื่นตระหนก โดยเฉพาะผ่านช่องทางสื่อสารชุมชนและเครือข่ายอาสาสมัครในระดับตำบล

ภาพถ่ายดาวเทียมและการข่าวสนับสนุนสืบหาต้นตอ

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ได้ร่วมมือกับกรมกิจการชายแดนทหาร ในการนำภาพถ่ายจากดาวเทียมและข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม มาประกอบการวิเคราะห์ต้นเหตุของการปนเปื้อน ซึ่งคาดว่าอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมของว้าเหนือ ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการทำเหมืองแร่ในระดับอุตสาหกรรมโดยไม่ผ่านการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม

บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต

สถานการณ์สารพิษในแม่น้ำกกเป็นสัญญาณเตือนด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ความชัดเจนของข้อมูล และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ผลการตรวจน้ำประปาในเขตเชียงใหม่และเชียงราย (กรมอนามัย, เมษายน 2568): ไม่พบการปนเปื้อนสารหนู
  • รายงานคุณภาพสัตว์น้ำจากกรมประมง (2568): ไม่มีการสะสมสารหนูในสัตว์น้ำตัวอย่าง
  • ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ: พบสารหนูเกินมาตรฐานเฉพาะในแม่น้ำกกช่วงต้นเดือนเมษายน 2568
  • รายงานจาก GISTDA: แหล่งที่มาสารหนูอาจมาจากการทำเหมืองในเขตชายแดนไทย-เมียนมา
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2566): ประชากรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรงในเชียงรายและเชียงใหม่รวมกันกว่า 1.3 ล้านคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย
  • กรมประมง
  • GISTDA
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI

เทศมนตรีแม่ยาวนำทีมช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเชียงราย

 

เมื่อวันศุกร์ ที่ 13 กันยายน 2567 เวลา 15.30 น. นายอภิรักษ์ อินต๊ะวัง เทศมนตรีตำบลแม่ยาว นำทีมบริหารและเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลแม่ยาว พร้อมกับกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่เพื่อมอบน้ำดื่มและอาหารให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ตำบลแม่ยาว บ้านแคววัวดำ บ้านลอบือ บ้านจะสอป่า บ้านผาสุข และบ้านห้วยหลุหลวง โดยจัดตั้งจุดรับแจกสิ่งของที่โรงเรียนแม่ยาววิทยา

เหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ดังกล่าวเกิดขึ้นจากฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนของประชาชนและพื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหาย ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวจึงต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ทั้งในด้านอาหาร น้ำดื่ม และการดูแลสุขภาพ เนื่องจากพื้นที่ประสบอุทกภัยอยู่ห่างไกลและเข้าถึงได้ยาก

เทศมนตรีตำบลแม่ยาว นายอภิรักษ์ อินต๊ะวัง กล่าวเพิ่มเติมว่า เทศบาลตำบลแม่ยาวได้ร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ในการนำความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ประสบภัยโดยเร็วที่สุด โดยไม่เพียงแต่มอบน้ำดื่มและอาหารเท่านั้น แต่ยังเน้นให้ความสำคัญกับการให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยในช่วงสถานการณ์น้ำท่วม เพื่อให้ประชาชนได้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ นายอภิรักษ์ยังได้กล่าวว่า การฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจะเป็นภารกิจที่สำคัญหลังน้ำลด โดยเทศบาลตำบลแม่ยาวและกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมจะร่วมมือกันในการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความเสียหายให้กลับคืนมาอย่างเร็วที่สุด รวมถึงการจัดเตรียมมาตรการป้องกันน้ำท่วมในอนาคต เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป

ประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่างแสดงความขอบคุณต่อความช่วยเหลือที่ได้รับจากทั้งภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการจัดส่งน้ำดื่มและอาหารที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตเช่นนี้ หลายคนได้กล่าวว่าความช่วยเหลือนี้ทำให้พวกเขามีกำลังใจที่จะผ่านพ้นสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไปได้

นอกจากนี้ เทศบาลตำบลแม่ยาวยังได้จัดเตรียมทีมงานช่วยเหลือในด้านอื่น ๆ อาทิ การตรวจสอบและซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภคที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม เช่น ถนน ระบบประปา และไฟฟ้า รวมถึงการดูแลด้านสุขอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคที่อาจเกิดขึ้นหลังจากน้ำลดลง

ในอนาคต เทศบาลตำบลแม่ยาวและกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมมีแผนที่จะพัฒนาโครงการป้องกันน้ำท่วมเพิ่มเติม เพื่อเสริมสร้างความพร้อมให้กับชุมชนในการเผชิญกับเหตุการณ์ธรรมชาติที่ไม่คาดคิด โดยการดำเนินการดังกล่าวจะเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชน เพื่อให้ได้มาตรการที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

เหตุการณ์นี้เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือกันในภาวะวิกฤต ซึ่งทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในชุมชนต่างช่วยกันอย่างเต็มที่ในการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วม และการฟื้นฟูหลังน้ำลด ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชุมชนที่เข้มแข็งและมีความพร้อมในการเผชิญกับวิกฤตในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“พัชรวาท” สั่ง ปิดป่า – ยกระดับคุมจุดความร้อน 17 จังหวัดภาคเหนือ

 

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2567  พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม ผ่านระบบ VDO Conference ติดตามการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ ร่วมกับ 17 จังหวัดภาคเหนือ สั่งการยกระดับมาตรการที่เข้มงวด ปรับรูปแบบ การจัดกำลังดับไฟป่า “ปิดป่า” ห้ามบุคคลเข้าพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่สถานการณ์รุนแรง บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติการด้วยความ “แม่นยำ รวดเร็ว ทันท่วงที มีประสิทธิภาพ” ประกอบด้วย 6 มาตรการสำคัญ ได้แก่

 

1) ปรับรูปแบบการจัดกำลังดับไฟป่า ด้วยยุทธวิธีผสมผสานทั้งการตรึงพื้นที่ด้วยจุดเฝ้าระวัง โดยให้วอร์รูมบัญชาการชุดปฏิบัติการดับไฟป่าตลอดเวลาที่มีการเข้าพื้นที่
 
2) ติดตามสถานการณ์จุดความร้อน เมื่อพบต้องเร่งเข้าปฏิบัติการควบคุมสถานการณ์โดยทันที แต่ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และงดการใช้อาสาสมัครที่ไม่ได้รับการฝึกปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสีย
 
3) สนับสนุนและบูรณาการทำงานอย่างเต็มที่เป็นหนึ่งเดียว กับศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์กลาง
 
4) “ปิดป่า” ห้ามมิให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่สถานการณ์รุนแรง บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด ยกระดับการจับกุมดำเนินคดีกับผู้ลักลอบจุดไฟเผาป่า
 
5) พื้นที่เกษตร ต้องติดตามเฝ้าระวังประสานงานกับฝ่ายปกครองอย่างใกล้ชิด เพื่อลดและควบคุมไม่ให้เกิดการเผาและหากเกิดต้องควบคุมให้ได้โดยเร็ว
 
6) สื่อสาร แจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละอองอย่างทั่วถึง ทันท่วงทีเพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่รวดเร็ว ถูกต้อง สร้างความรู้ ทำความเข้าใจกับประชาชนให้ปฏิบัติตนตามคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม
กระทรวงเกษตรฯ สั่งลุยสยบ PM 2.5 เชียงใหม่ ใช้เทคนิคเด็ด “โปรยน้ำและน้ำแข็งแห้ง”
นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยถึงสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดอื่นในภาคเหนือ การปฏิบัติการในครั้งนี้ กรมฝนหลวงฯ ได้ใช้ “เทคนิคลดอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศผกผันด้วยการโปรยน้ำและโปรยน้ำแข็งแห้งเพื่อเป็นการเจาะช่องบรรยากาศให้สามารถระบายฝุ่นละอองขึ้นต่อไปได้ ” สำหรับผลการปฏิบัติในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 4 – 10 มีนาคม 2567 พบว่า ฝุ่นละอองขนาดเล็ก บริเวณ จ.เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ น่าน มีแนวโน้มลดลง
กรมควบคุมโรคแนะ 3 แนวทางคนไทย “รู้-ลด-เลี่ยง” ฝุ่น PM 2.5
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะนำ 3 แนวทางรับมือและป้องกันฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้คนไทยนำไปปรับใช้เพื่อรับมือกับ “ฝุ่น” ที่นับวันก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ได้แก่
 
• รู้ : ตรวจสอบสภาพอากาศทุกครั้งก่อนเดินทางออกจากบ้าน ผ่านการติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในแอปพลิเคชัน Air4thai และเพจคนรักอนามัย ใส่ใจอากาศ PM 2.5 หรือติดตามข่าวสารตามช่องทางต่าง ๆ ของหน่วยงานด้านสาธารณสุข
• ลด : การสร้างมลพิษ ลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละออง PM 2.5 เช่น จุดธูป เผากระดาษ
ปิ้งย่างที่ทําให้เกิดควัน การเผาใบไม้ เผาขยะ เผาพืชผลทางการเกษตร เป็นต้น รวมถึงการติดเครื่องยนต์ในบ้านเป็นเวลานาน
• เลี่ยง : หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีฝุ่นละอองสูง การอยู่กลางแจ้ง หรือทำกิจกรรมนอกอาคารเป็นเวลานานในช่วงที่ฝุ่นละออง PM 2.5 มีปริมาณมากกว่า 26 – 37 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป โดยปราศจากอุปกรณ์ป้องกันฝุ่นละอองในอากาศ
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News