Categories
SOCIETY & POLITICS

คลายกังวลภัยโลหะหนัก ผลตรวจตะกอนดินแม่น้ำกก-สาย-รวก ไม่เกินค่า

รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่หาดเชียงราย เร่งตรวจสอบสารปนเปื้อนในตะกอนดินริมแม่น้ำกก ใช้เครื่องมือทันสมัย XRF สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน พบค่าสารหนูไม่เกินมาตรฐาน

เชียงราย, 19 มิถุนายน 2568 – ในช่วงที่ชุมชนจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ต่างจับตามองประเด็นคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากปัญหาน้ำหลากและการขุดลอกตะกอนดิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้จัดทีมงานผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์และสร้างความมั่นใจต่อสาธารณชน

วางแผนตรวจสอบอย่างเป็นระบบ รับมือข้อกังวลชุมชน

วันที่ 19 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 น. นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี รองปลัด ทส. พร้อมคณะ ได้เริ่มต้นภารกิจตรวจสอบจุดยุทธศาสตร์ 2 แห่ง ได้แก่ ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมแม่น้ำกกบริเวณศาลากลางจังหวัดเชียงราย และหาดเชียงรายที่มีการดำเนินการขุดลอกลำน้ำกก โดยได้รับรายงานความก้าวหน้าจากเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ พร้อมเสนอแนะแนวทางยกระดับการทำงานและสร้างมาตรฐานให้ระบบเฝ้าระวังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยจุดที่ชุมชนให้ความกังวลคือหาดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการนำตะกอนดินจากการขุดลอกมาพักไว้ เพื่อป้องกันน้ำท่วมหลังเกิดเหตุการณ์น้ำหลากที่ผ่านมา ชาวบ้านจำนวนมากต่างกังวลเรื่องความเสี่ยงของโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนูที่อาจตกค้างในตะกอนดินและกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้าง

ใช้เทคโนโลยี XRF ตรวจวัดเร็ว แม่นยำ ประหยัดงบประมาณ

นางอรนุช เปิดเผยว่า การตรวจวัดตะกอนดินรอบนี้ใช้เครื่องมือ X-ray Fluorescence (XRF) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถตรวจวัดเบื้องต้นได้รวดเร็วภายใน 3-5 นาทีต่อจุด แม้จะไม่สามารถให้ค่าตัวเลขเป็นไมโครกรัมอย่างละเอียด แต่จะช่วยระบุจุดเสี่ยงที่ต้องส่งตัวอย่างไปตรวจเชิงลึกต่อในห้องปฏิบัติการ เป็นการคัดกรองที่ช่วยประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณในการดำเนินการ

สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 คาดว่าภารกิจตรวจตะกอนดินรอบหาดเชียงรายและจุดพักตะกอนจะใช้เวลาราว 3 วัน ด้วยความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 (นพค.35) ที่จะร่วมกันวางแผนและลงพื้นที่อย่างเป็นระบบ

ผลการตรวจสอบชัดเจน “ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน” คลายกังวลประชาชน

เวลา 15.00 น. วันเดียวกัน กองตรวจมลพิษ กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 ลงพื้นที่ตรวจวัดตะกอนดินจากการขุดลอก 3 พื้นที่หลัก ได้แก่

  1. ตะกอนดินจากการขุดลอกลำน้ำกก (หาดเชียงราย/จุดทิ้งตะกอน)
  2. ตะกอนดินจากการขุดลอกลำน้ำสาย (หัวฝาย อ.แม่สาย – ถุงบิ๊กแบ็คแนวป้องกันน้ำท่วม)
  3. ตะกอนดินจากการขุดลอกลำน้ำรวก (จุดผ่อนปรนการค้าบ้านปางห้า ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย)

การสุ่มตรวจในแต่ละพื้นที่ดำเนินไปอย่างละเอียดตามขนาดพื้นที่ ผลตรวจวัดเบื้องต้น “ไม่พบค่าสารหนูเกินค่ามาตรฐานคุณภาพดิน” (ค่ามาตรฐานเพื่อที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หรือ 6 ppm) ทุกรายการ

สำหรับพื้นที่ใดที่อาจพบค่าปนเปื้อนสูง ทีมงานจะส่งตัวอย่างเข้าสู่ห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์ต่อไปในเชิงลึก พร้อมประชาสัมพันธ์ผลตรวจอย่างโปร่งใส

เดินหน้าเสริมสร้างมาตรฐานและความโปร่งใส

การตรวจสอบสารปนเปื้อนในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเฝ้าระวังเชิงรุกของภาครัฐในการดูแลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญ เพื่อยืนยันมาตรฐานความปลอดภัยในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการขุดลอกหรือภัยน้ำท่วมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ภารกิจการตรวจสอบจะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมรายงานต่อหน่วยงานท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ให้รับรู้ข้อมูลความจริงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ผู้ว่าฯ เชียงรายตรวจศูนย์เฝ้าระวังน้ำพิษ เร่งแก้ปนเปื้อนแม่น้ำภาคเหนือ

เชียงรายเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ 4 จุด พร้อมเดินหน้าทำแผนแก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองต้นน้ำเมียนมา

เชียงราย, 9 มิถุนายน 2568 สถานการณ์ปนเปื้อนสารโลหะหนักในลำน้ำสำคัญของภาคเหนือ โดยเฉพาะแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง กำลังกลายเป็นประเด็นวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งรับมืออย่างจริงจัง ล่าสุด นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน พร้อมเน้นย้ำการดำเนินงานเชิงรุกตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งแสดงความห่วงใยต่อสถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง

จุดตรวจดังกล่าวถือเป็นหนึ่งใน 4 จุดของศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้จัดตั้งขึ้น ครอบคลุมแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลกลางในการวัดคุณภาพน้ำ ตรวจสอบตะกอน และเผยแพร่ข้อมูลต่อประชาชนผ่านระบบป้ายประชาสัมพันธ์แบบเรียลไทม์ พร้อมรับเรื่องร้องเรียนและสร้างการมีส่วนร่วมจากชุมชนในทุกพื้นที่

ศูนย์เฝ้าระวัง 4 จุดในพื้นที่เสี่ยง ครอบคลุม 2 จังหวัด

ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่จัดตั้งขึ้นครอบคลุมพื้นที่ 2 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย และเชียงใหม่ โดยแบ่งเป็น 4 จุดหลัก ได้แก่

  1. สะพานท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก) – รับผิดชอบโดย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  2. ศูนย์ราชการเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย (แม่น้ำกก) – รับผิดชอบโดย กรมควบคุมมลพิษ
  3. ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย จ.เชียงราย (แม่น้ำสาย) – รับผิดชอบโดย กรมควบคุมมลพิษ
  4. สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย (แม่น้ำโขง) – รับผิดชอบโดย กรมทรัพยากรน้ำบาดาล

ศูนย์ทั้ง 4 แห่งมีบทบาทสำคัญในการตรวจวัดสารปนเปื้อน โดยเฉพาะสารหนู ปรอท และแคดเมียม ที่ถูกสันนิษฐานว่าไหลลงมาจากเหมืองแร่ในเขตชายแดนเมียนมา และอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพประชาชน รวมถึงเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาแหล่งน้ำธรรมชาติ

กรมควบคุมมลพิษเดินหน้าเจรจาระดับรัฐบาล ร่วมกับเมียนมาและจีน

ในระดับนโยบาย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ได้สั่งการให้ กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำในลำน้ำกกและลำน้ำสาย พร้อมประสานกระทรวงการต่างประเทศจัดเจรจาอย่างเป็นทางการกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและสาธารณรัฐประชาชนจีน กรณีผลกระทบจากการทำเหมืองที่ต้นน้ำ

นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ยังได้มอบหมายให้คณะทำงานเร่งหาข้อสรุปในการกำหนดกรอบการเจรจาระหว่างประเทศ เพื่อผลักดันให้การทำเหมืองข้ามพรมแดนอยู่ภายใต้ระบบความรับผิดชอบร่วมกัน

ข้อเสนอเสริมระบบดักตะกอนสารพิษ ก่อนปล่อยน้ำสู่แม่น้ำสายหลัก

นอกจากการติดตามตรวจสอบข้อมูล คพ. ยังได้ร่วมวางแผนกับกรมทรัพยากรน้ำ ออกแบบระบบดักตะกอนบริเวณจุดที่ตรวจพบการปนเปื้อน เพื่อนำตะกอนที่มีโลหะหนักออกจากลำน้ำ ลดผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนออกแบบและจัดทำระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

จัดตั้ง “AIM” ศูนย์ข้อมูลกลางแห่งแรกของประเทศ

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารและลดความสับสนจากการเผยแพร่ข้อมูลหลายช่องทาง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ได้มีข้อสั่งการให้จัดตั้ง “ศูนย์ข้อมูลกลางเพื่อการรับรู้และติดตามสถานการณ์” หรือ Awareness Information Monitoring (AIM) โดยมอบหมายให้ คพ. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การประปาส่วนภูมิภาค กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย ดำเนินการรวบรวม วิเคราะห์ และเผยแพร่ข้อมูลคุณภาพน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำประปาหมู่บ้าน และผลิตผลทางการเกษตรอย่างเป็นระบบ

แต่งตั้งทีมที่ปรึกษาวิชาการ 9 ราย สนับสนุนศูนย์อำนวยการส่วนหน้า

ในการประชุมล่าสุดมีมติแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาจำนวน 9 ราย ประกอบด้วยนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย และผู้เชี่ยวชาญจากสาขาแวดล้อม ได้แก่ ศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง, นายวิชัย ไชยมงคล, ผศ.ดร.ชิตชล ผลารักษ์, ผศ.ดร.พงศ์พันธุ์ กาญจนการุณ, ดร.ณัฐนนท์ จิรกิจนิมิตร, ดร.สืบสกุล กิจนุกร, อ.ทสิตา สุพัฒนรังสรรค์, อ.ณิชภัทร์ กิจเจริญ และนายอาทิตย์ ภูบุญคง ซึ่งจะทำหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานเชิงวิชาการของศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำส่วนหน้าในพื้นที่ลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสาย

จากการตรวจเยี่ยมสู่การเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบาย

การลงพื้นที่ของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้ มิได้เป็นเพียงการให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ หากแต่เป็นการส่งสัญญาณถึงความเร่งด่วนในการยกระดับระบบเฝ้าระวังและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองต้นน้ำเมียนมาไม่อาจแก้ไขได้ด้วยมาตรการภายในประเทศเพียงลำพัง ความร่วมมือระดับภูมิภาคจึงเป็นหัวใจสำคัญ

ในขณะเดียวกัน การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลาง AIM และการสนับสนุนโดยทีมที่ปรึกษาวิชาการ ถือเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานการจัดการข้อมูลที่โปร่งใส และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนต่อบทบาทของภาครัฐในการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกฯ ห่วง! รมช.มหาดไทยนำทีมแก้ปัญหาสารพิษแม่น้ำกก-สาย ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง

แม่น้ำกก-แม่น้ำสายเผชิญวิกฤตสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ รัฐบาลเร่งตั้งศูนย์อำนวยการส่วนหน้า เดินหน้าสร้างระบบแก้ปัญหาน้ำปนเปื้อนอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 6 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งถือเป็นลำน้ำสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย เข้าสู่ภาวะวิกฤต หลังมีการตรวจพบสารปนเปื้อนโลหะหนัก โดยเฉพาะ “สารหนูและตะกั่ว” ในระดับที่เกินค่ามาตรฐานต่อเนื่องหลายเดือน กระตุ้นให้รัฐบาลเร่งตั้ง “ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า)” เพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนในระดับพื้นที่และระดับประเทศ

การเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนถึงความตั้งใจของรัฐบาลที่จะปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมของประชาชน พร้อมวางระบบรับมือภัยคุกคามด้านสุขภาพจากแหล่งน้ำอย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตเชิงโครงสร้าง – น้ำที่ดื่มไม่ได้ คือความทุกข์ที่ไม่มีเสียง

แม่น้ำกกและแม่น้ำสายไม่เพียงแต่เป็นสายน้ำหลักของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตเกษตรกรรม การประมง และการบริโภคของชุมชนมาหลายชั่วอายุคน ทว่าตั้งแต่ช่วงปลายปี 2567 สัญญาณอันตรายเริ่มปรากฏจากการตรวจวัดน้ำที่แสดงค่า “สารหนู” และ “ตะกั่ว” สูงเกินมาตรฐาน กระทั่งเข้าสู่ปี 2568 สถานการณ์ทวีความรุนแรงมากขึ้นในหลายจุด

การเฝ้าระวังโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ พบว่า “ทุกครั้งที่มีการตรวจวัด ระหว่างเดือนมีนาคม-มิถุนายน 2568 มีจุดที่พบสารหนูเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง” ส่งผลให้เกิดความกังวลลึกในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ใช้แม่น้ำในการอุปโภคบริโภคโดยตรง

ศูนย์อำนวยการฯ ส่วนหน้า ตอบสนองเร็ว-สื่อสารชัด-แก้ปัญหาจริง

ในวันนี้ (6 มิ.ย.) นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) เป็นประธานการประชุมร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายชรินทร์ ทองสุข และรองผู้ว่าฯ นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ ผ่านระบบ Zoom Meeting ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

การประชุมมีวัตถุประสงค์เพื่อ “วางแนวทางบูรณาการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ” โดยมีหัวข้อเร่งด่วน เช่น

  • รายงานคุณภาพน้ำในพื้นที่
  • การวิเคราะห์ตะกอนดิน
  • ปรับปรุงระบบสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจง่าย
  • เตรียมรับมือกรณีประชาชนร้องเรียน หรือมีข่าวที่ก่อให้เกิดความตระหนก

ที่ประชุมได้เสนอให้ “รวมข้อมูลจากทุกหน่วยงานในทิศทางเดียว” เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ทั้งจากหน่วยงานรัฐ นักวิชาการ และภาคประชาชน พร้อมข้อเสนอให้หน่วยงานเฉพาะทาง เช่น กรมประมง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และเกษตรจังหวัด ตรวจผลแล็บซ้ำเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม 4 จุดหลัก ปูโครงข่ายตรวจสอบในระดับพื้นที่

ขณะเดียวกัน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้เปิดศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ลุ่มน้ำจำนวน 4 จุดหลัก ได้แก่:

  1. จุดที่ 1 ศูนย์การแพทย์แผนไทย สะพานท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ (แม่น้ำกก) – ดูแลโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
  2. จุดที่ 2 ศูนย์หน้าศาลากลางจังหวัดเชียงราย (แม่น้ำกก) – ดูแลโดยกรมควบคุมมลพิษ
  3. จุดที่ 3 ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 1 อ.แม่สาย (แม่น้ำสาย) – ดูแลโดยสำนักงานควบคุมมลพิษ
  4. จุดที่ 4 สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน (แม่น้ำรวก-แม่น้ำโขง) – ดูแลโดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล

แต่ละจุดจะติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพน้ำแบบเรียลไทม์ พร้อมป้ายแสดงผลต่อสาธารณะ และรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนโดยตรง โดยมีหน่วยงานระดับจังหวัด-อำเภอ-ท้องถิ่น เข้าร่วมปฏิบัติงานประจำศูนย์ฯ อย่างใกล้ชิด

การสื่อสารที่ชัด คือเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่น

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งการให้ กรมประชาสัมพันธ์ เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำข้อมูลข่าวสารให้สาธารณชนรับรู้ โดยเน้นการสื่อสารที่ “ตรงความจริง ชัดเจน สม่ำเสมอ และมีภาษาที่เข้าใจง่าย” เพื่อลดความวิตกกังวลจากข่าวลือหรือข้อมูลจากแหล่งที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ พร้อมแนะนำแนวทางการปฏิบัติเมื่อพบเห็นหรือได้รับผลกระทบจากน้ำที่ปนเปื้อน

จากน้ำปนเปื้อน สู่คำถามเรื่องธรรมาภิบาลทรัพยากรน้ำ

กรณีแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเชิงสิ่งแวดล้อม แต่คือบททดสอบสำคัญของกลไกรัฐไทยในการจัดการวิกฤติระดับภูมิภาค เมื่อประชาชนเริ่มตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงใช้เวลานานเกินไปในการรับรู้ปัญหา เหตุใดข้อมูลที่เปิดเผยจึงแตกต่าง และเหตุใดแม่น้ำที่ควรเป็นแหล่งชีวิตกลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างความวิตกในทุกวัน

การจัดตั้งศูนย์ฯ ส่วนหน้า และศูนย์เฝ้าระวังระดับพื้นที่ หากสามารถทำงานอย่างบูรณาการจริงจัง จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ต้องได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณ เครื่องมือ และบุคลากร รวมถึง “เจตจำนงทางการเมือง” ที่จะไม่นิ่งเฉยเมื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งกระทบความมั่นคงด้านสุขภาพของประชาชนทั้งลุ่มน้ำ

สรุป

ปัญหาน้ำปนเปื้อนในแม่น้ำสายและแม่น้ำกก คือสัญญาณชัดเจนว่า ไทยต้องเร่งยกระดับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมและระบบสื่อสารข้อมูลภาครัฐ การบูรณาการที่ดีเพียงพอเท่านั้น จึงจะสามารถนำพาประชาชนข้ามพ้นวิกฤตนี้อย่างมั่นใจ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า)
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • กระทรวงมหาดไทย
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • รายงานการประชุมวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

วิกฤตสารหนูแม่น้ำกก-สาย รัฐบาลสั่งเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังด่วน! ชี้แจงประชาชนทันที

เชียงรายเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ หลังพบสารหนูเกินมาตรฐานในแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย

ปมปัญหาสารหนูสะสมในลำน้ำสำคัญของภาคเหนือขยายวงกว้าง รัฐบาลสั่งตั้งหน่วยเฝ้าระวังและสื่อสารข้อมูลต่อสาธารณะอย่างเร่งด่วน

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์การปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำสำคัญของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ทวีความน่ากังวลมากขึ้น หลังกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานผลตรวจสอบล่าสุดว่าค่าความเข้มข้นของสารหนูในน้ำและตะกอนดินบางจุดเกินมาตรฐานความปลอดภัย ส่งผลให้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

ประชุมด่วนระดับชาติเพื่อกำหนดแนวทางรับมือ

ภายใต้ข้อสั่งการดังกล่าว ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ เรียกประชุมด่วน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีการเชิญหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งในส่วนกลางและพื้นที่ พร้อมผู้แทนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เข้าร่วมหารือผ่านระบบออนไลน์ ณ ห้องประชุมกระทรวงฯ

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ซึ่งมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยเน้นการตอบสนองต่อความวิตกของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง 3 จุด สร้างระบบรับเรื่องร้องเรียนและสื่อสารเชิงรุก

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า มีข้อสรุปเบื้องต้นให้จัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม” จำนวน 3 จุด คือที่จังหวัดเชียงราย 2 จุด และจังหวัดเชียงใหม่ 1 จุด เพื่อทำหน้าที่ตรวจวัดคุณภาพน้ำ แจ้งผลผ่านป้ายแสดงผลในพื้นที่แบบ Real-time และเป็นจุดรับแจ้งปัญหาจากประชาชนในกรณีพบความผิดปกติหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์จะประกอบด้วยผู้แทนจากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงสาธารณสุข และฝ่ายปกครองท้องถิ่น โดยกำหนดให้ศูนย์ฯ ต้องสามารถดำเนินงานได้จริงภายในเวลาอันใกล้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดความตื่นตระหนกของชุมชน

เร่งสร้างความเข้าใจผ่านการสื่อสารแบบมืออาชีพ

อีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่กรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายคือ การจัดทำ “ชุดข้อมูลอธิบายผลตรวจ” โดยร่วมมือกับกรมอนามัย เพื่อแจกแจงว่า ค่าสารหนูที่ตรวจพบในน้ำและตะกอนดินแต่ละระดับ ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ การใช้น้ำ และกิจกรรมต่าง ๆ ของประชาชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ข้อมูลชุดนี้จะเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมถึงการแถลงข่าวกรณีที่สังคมเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยกำหนดให้กรมควบคุมมลพิษเป็น “หน่วยงานหลักในการสื่อสาร” เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพของข้อมูล และลดช่องว่างความเข้าใจระหว่างภาครัฐกับประชาชน

วางมาตรการดักตะกอนเร่งด่วนในแม่น้ำต้นน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน

ในด้านมาตรการเชิงเทคนิค กระทรวงฯ มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำเร่งออกแบบและติดตั้ง “ฝายดักตะกอน” ในจุดที่มีสารหนูปนเปื้อนสูง โดยเฉพาะบริเวณต้นแม่น้ำกก ณ ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดที่น้ำไหลเข้าจากฝั่งประเทศเมียนมาเข้าสู่ประเทศไทย

ทั้งนี้ ได้มีการประสานงานเบื้องต้นกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ซึ่งเคยมีการศึกษารูปแบบฝายดักตะกอนเพื่อใช้ข้อมูลร่วมวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำข้ามแดนที่ไหลผ่านชายแดนไทย-เมียนมา ณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย การติดตั้งฝายดักตะกอนจะต้องพิจารณาร่วมกับหน่วยงานของจังหวัดเชียงราย และอาจต้องเจรจาในระดับระหว่างประเทศ เนื่องจากลักษณะของแม่น้ำที่มีอธิปไตยร่วมในบางช่วง

บทสรุปและบทวิเคราะห์

เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนของผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดน (Transboundary Pollution) ที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพประชาชนและระบบนิเวศในพื้นที่รับน้ำของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ

การจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังในระดับพื้นที่ การสื่อสารเชิงรุก และการออกแบบระบบดักตะกอนแบบมีหลักฐานทางวิชาการรองรับ ถือเป็นก้าวสำคัญในการบริหารจัดการวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาค และเป็นบทเรียนสำคัญในการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้การสื่อสารและการแก้ไขปัญหามีความรวดเร็ว ตรงจุด และยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังอยู่ที่การประสานงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในกรณีที่แหล่งกำเนิดสารมลพิษอยู่ในพื้นที่นอกเขตอธิปไตยไทย ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในระดับรัฐมนตรีและความต่อเนื่องของนโยบายเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดซ้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • การประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน, 4 มิถุนายน 2568
  • สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรน้ำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

สารหนูเกินมาตรฐานทส. ชี้แม่น้ำกก-สายยังน่าห่วง

รมว.ทส. สั่งเร่งติดตามและแก้ไขปัญหาสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกก-สาย-โขง จ.เชียงราย เดินหน้าประชุมมาตรการเข้มข้นเพื่อคืนคุณภาพชีวิตประชาชน

เชียงราย, 3 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์วิกฤตมลพิษสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง กลายเป็นประเด็นสำคัญที่หน่วยงานรัฐทุกระดับต้องขับเคลื่อนอย่างเร่งด่วน หลังการตรวจพบค่าปนเปื้อนสารหนูในแหล่งน้ำธรรมชาติของจังหวัดเชียงรายเกินกว่าค่ามาตรฐานซ้ำซ้อนหลายจุด สร้างความวิตกกังวลต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน ยืนยันเดินหน้าแก้ไขปัญหาทั้งเชิงรุกและระยะยาว เพื่อเร่งคืนคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม

วิกฤตสารหนูข้ามพรมแดนในพื้นที่ลุ่มน้ำเชียงราย

ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ปัญหาการปนเปื้อนของสารหนูในลุ่มน้ำสำคัญของภาคเหนือโดยเฉพาะแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ถูกจับตามองจากประชาชน สื่อมวลชน และนักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพน้ำจากกรมควบคุมมลพิษและกรมทรัพยากรน้ำพบค่าการปนเปื้อนสารหนู ซึ่งเป็นโลหะหนักที่เป็นอันตรายสูงต่อร่างกายมนุษย์และสัตว์น้ำ เกินมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกและประเทศไทยกำหนดไว้ สร้างความวิตกกังวลเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกับประชาชนในพื้นที่ซึ่งต้องใช้น้ำในชีวิตประจำวัน

สถานการณ์ดังกล่าวซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อพบว่าแหล่งกำเนิดมลพิษส่วนใหญ่มีต้นทางมาจากนอกประเทศ ครอบคลุมพื้นที่ต้นน้ำในเขตชายแดนเมียนมาและพื้นที่ชายแดนจีน ซึ่งควบคุมและตรวจสอบต้นเหตุโดยตรงได้ยาก รัฐบาลไทยจึงต้องดำเนินงานเชิงรุก ทั้งมาตรการเฉพาะหน้าและแผนความร่วมมือระหว่างประเทศ

รมว.ทส. สั่งประชุมเร่งรัดมาตรการ รับมือผลกระทบสุขภาพและสิ่งแวดล้อม

ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์หลังร่วมลงนามถวายพระพรในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ พระบรมมหาราชวัง ว่าได้ติดตามสถานการณ์นี้อย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 4 มิถุนายน 2568 ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ ประชุมติดตามมาตรการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน ตามกรอบที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ที่มีรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธาน เพื่อเร่งรัดการปฏิบัติงานและคลายข้อห่วงใยจากประชาชนในพื้นที่

รัฐมนตรีฯ ย้ำว่า แม้มาตรการที่ทำได้ในทันทีอาจเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาปลายเหตุ เช่น การออกแบบระบบดักตะกอนเพื่อชะลอการกระจายของสารปนเปื้อนและเพิ่มจุดตรวจวัดคุณภาพน้ำ แต่ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างใกล้ชิด ทั้งกรมทรัพยากรน้ำ (ทน.) และกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) จะต้องเพิ่มจำนวนและความถี่ของการเก็บตัวอย่างน้ำ ครอบคลุมตลอดลำน้ำและสาขา ทั้งน้ำผิวดิน ตะกอนดิน สัตว์หน้าดิน ไปจนถึงตรวจระดับสารพิษในร่างกายของประชาชนกลุ่มเสี่ยง

แม่น้ำกก-สาย ยังเกินมาตรฐานในบางจุด

รายงานจากกรมควบคุมมลพิษเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2568 ระบุว่า แม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำโขงและประเทศเพื่อนบ้าน ยังพบค่าการปนเปื้อนของสารหนูเกินกว่าค่ามาตรฐานในการตรวจวัดทั้งน้ำผิวดินและตะกอนดิน โดยเฉพาะในพื้นที่ก่อนถึงจุดที่น้ำไหลผ่านฝายเชียงรายไปยังแม่น้ำโขง พบว่าหลังผ่านฝายดังกล่าว ค่าสารปนเปื้อนมีแนวโน้มลดลง สาเหตุจากกระแสน้ำถูกลดความเร็ว ส่งผลให้มีการตกตะกอนเพิ่มมากขึ้น

ส่วนแม่น้ำสาขา เช่น แม่น้ำกรณ์ แม่น้ำลาว และแม่น้ำสรวย คุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้จะพบสารหนูในตะกอนเกินค่ามาตรฐานสำหรับการปกป้องสัตว์หน้าดิน แต่ยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ในขณะนี้

ความร่วมมือระหว่างประเทศ ความท้าทายที่ต้องใช้เวลา

ดร.เฉลิมชัย เน้นว่า การแก้ไขปัญหาสารหนูที่ต้นเหตุต้องอาศัยกระบวนการเจรจาและความร่วมมือระหว่างประเทศ ทั้งกับเมียนมาและจีนซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำ แม้จะต้องใช้เวลานาน แต่รัฐบาลไทยมุ่งมั่นประสานความร่วมมือผ่านเวทีทวิภาคีและภูมิภาค พร้อมทั้งผลักดันข้อตกลงด้านสิ่งแวดล้อมและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกัน เพื่อแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนในอนาคต

ขณะเดียวกัน มาตรการในประเทศต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนประชาชนให้งดกิจกรรมทางน้ำในพื้นที่เสี่ยง ให้ใช้น้ำเฉพาะแหล่งที่ผ่านการรับรองคุณภาพ และจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้ที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ และหญิงตั้งครรภ์

การสื่อสารและแจ้งเตือนประชาชน สร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรัฐ

รมว.ทส. ฝากถึงประชาชนในพื้นที่ จ.เชียงราย และใกล้เคียง ให้ติดตามข่าวสารและประกาศแจ้งเตือนจากหน่วยงานรัฐอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัย ให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่าตื่นตระหนกจนเกินไป เนื่องจากทุกหน่วยงานกำลังร่วมมือกันอย่างเต็มที่ เพื่อเฝ้าระวังและเร่งแก้ไขสถานการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด

วิเคราะห์และแนวโน้มผลกระทบ

กรณีปนเปื้อนสารหนูในลุ่มน้ำเชียงรายถือเป็นแบบอย่างสำคัญของวิกฤตสิ่งแวดล้อมข้ามพรมแดน ที่ต้องอาศัยทั้งมาตรการภายในประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ ขณะที่ภาคประชาชนจำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน พร้อมแนวทางปฏิบัติอย่างปลอดภัยและต่อเนื่อง หากสถานการณ์คลี่คลายได้ จะเป็นบทเรียนสำคัญในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมระดับภูมิภาคสำหรับอนาคต

สถิติที่เกี่ยวข้องและแหล่งอ้างอิง

  • รายงานตรวจวัดคุณภาพน้ำแม่น้ำกก-สาย-โขง (กรมควบคุมมลพิษ, 1 มิ.ย. 2568)
  • ค่าสารหนูเกินมาตรฐานในน้ำผิวดินและตะกอนในหลายจุด (กรมควบคุมมลพิษ)
  • การเพิ่มจุดและความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอน (กรมทรัพยากรน้ำ)
  • แนวทางความร่วมมือระหว่างประเทศในการแก้ไขปัญหาสารพิษข้ามพรมแดน (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
  • แนวทางแจ้งเตือนและเฝ้าระวังประชาชน (กรมควบคุมมลพิษ, สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำ
  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

นายกฯ สั่งด่วน แก้ปัญหา สารพิษแม่น้ำกก เร่งเจรจาเมียนมา

นายกฯ สั่งด่วนแก้วิกฤตมลพิษแม่น้ำกก สางปัญหาสารปนเปื้อนข้ามแดน ร่วมมือทุกภาคส่วนปกป้องลุ่มน้ำ

เชียงราย, 20 พฤษภาคม 2568 – จากสถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกกที่ทวีความรุนแรงจากการปนเปื้อนของสารหนูและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการด่วนให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาในทุกมิติ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ และลดผลกระทบต่อสุขภาพ ระบบนิเวศ และวิถีชีวิตของชุมชน การสั่งการครั้งนี้เน้นย้ำถึงการจัดการต้นตอของปัญหา ซึ่งมีสาเหตุหลักจากการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา พร้อมผลักดันการเจรจาข้ามแดนเพื่อหยุดยั้งการปล่อยสารพิษลงสู่ลุ่มน้ำกก การดำเนินการนี้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่างๆ รวมถึงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อฟื้นฟูแม่น้ำกกให้กลับมาเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชุมชนอย่างยั่งยืน

แม่น้ำกกในภาวะวิกฤต

แม่น้ำกกเป็นมากกว่าแหล่งน้ำธรรมชาติสำหรับชาวเชียงรายและเชียงใหม่ มันคือสายน้ำแห่งชีวิตที่หล่อเลี้ยงเกษตรกรรม การประมง และการท่องเที่ยวของชุมชนในพื้นที่ ตั้งแต่ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ไปจนถึงอำเภอเมืองเชียงรายและอำเภอเชียงแสน แม่น้ำกกไหลจากเทือกเขาสูงในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ผ่านพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ก่อนบรรจบกับแม่น้ำโขงที่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ชาวบ้านในพื้นที่พึ่งพาแม่น้ำสายนี้ในการดำรงชีวิตมานานนับศตวรรษ ตั้งแต่การเพาะปลูกข้าว การเลี้ยงสัตว์น้ำ ไปจนถึงการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนค่ายช้างและสถานที่ท่องเที่ยวริมน้ำ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แม่น้ำกกเริ่มส่งสัญญาณแห่งความผิดปกติ ชาวบ้านในตำบลท่าตอนสังเกตว่าน้ำในแม่น้ำขุ่นข้นผิดปกติ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในเดือนกันยายน 2567 ซึ่งพัดพาโคลนและตะกอนจำนวนมากลงสู่ท้ายน้ำ เด็กที่ลงเล่นน้ำเริ่มมีอาการผื่นคันรุนแรง ปลาในแม่น้ำตายเป็นจำนวนมาก และพืชผลเกษตรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำเริ่มมีสภาพผิดปกติ ความกังวลของชุมชนทวีคูณเมื่อผลการตรวจคุณภาพน้ำในช่วงต้นปี 2568 ระบุว่ามีสารหนูและตะกั่วปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย-เมียนมา

ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ซึ่งใช้ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลังตั้งแต่ปี 2560–2568 เผยให้เห็นการขยายตัวของการทำเหมืองแร่ในรัฐฉาน โดยเฉพาะในช่วงปี 2567–2568 พบการเปิดหน้าดินขนาดใหญ่ในหลายพื้นที่ ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของความขุ่น (turbidity) ในแม่น้ำกก การค้นพบนี้ชี้ชัดว่าต้นตอของมลพิษมาจากการทำเหมืองทองและแรร์เอิร์ธ (แร่หายาก) ในเขตเมืองยอนและเมืองสาด รัฐฉาน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพสหรัฐว้า (United Wa State Army – UWSA) และมีบริษัทจากจีนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง

วิกฤตครั้งนี้ไม่เพียงกระทบต่อชุมชนในฝั่งไทย แต่ยังส่งผลถึงชุมชนในฝั่งเมียนมา โดยเฉพาะหมู่บ้านเปียงคำที่ชาวบ้านรายงานว่าปลาตายและน้ำไม่สามารถใช้ได้ ชาวบ้านบางส่วนที่สัมผัสน้ำปนเปื้อนมีอาการระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรง ความเปราะบางของระบบนิเวศในลุ่มน้ำกกกลายเป็นประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป

คำสั่งนายกฯ และการเคลื่อนไหวของภาครัฐ

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยอย่างยิ่งต่อสถานการณ์มลพิษในแม่น้ำกก และได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างครอบคลุม โดยมุ่งเน้นสี่ด้านหลัก ได้แก่ การจัดการแหล่งที่มาของมลพิษ การแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ การเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และการบริหารจัดการเชิงนโยบาย

นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งการต่อไปยัง นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรฯ และนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ เพื่อติดตามและจัดการแหล่งที่มาของมลพิษ โดยเฉพาะการเจรจากับเมียนมาเพื่อควบคุมหรือปรับปรุงวิธีการทำเหมืองที่ปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำกก

การดำเนินการของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมามีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ได้จัดการประชุมคณะทำงานขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำแม่น้ำระหว่างประเทศ ลุ่มน้ำโขงเหนือ ครั้งที่ 1/2568 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธาน ในการประชุมครั้งนี้ GISTDA ได้นำเสนอข้อมูลจากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม ซึ่งยืนยันการขยายตัวของเหมืองในรัฐฉาน และส่งข้อมูลดังกล่าวให้กรมกิจการชายแดนทหารและกรมควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการต่อ

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 กรมควบคุมมลพิษได้จัดการประชุมร่วมกับกรมกิจการชายแดนทหาร กรมเอเชียตะวันออก GISTDA และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) เพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับการเจรจาข้ามแดน โดยกรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานหลักในการประมวลผลข้อมูลในสามด้าน ได้แก่ การบ่งชี้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อม ผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศ และแนวทางการให้ความช่วยเหลือเมียนมาในการทำเหมืองที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อให้กรมกิจการชายแดนทหารและกรมเอเชียตะวันออกเพื่อใช้ในการเจรจากับเมียนมา

ในด้านการแก้ไขมลพิษในแหล่งน้ำ หน่วยทหารช่างมีแผนขุดลอกแม่น้ำกกเป็นระยะทาง 3 กิโลเมตร บริเวณหมู่บ้านธนารักษ์-สะพานย่องลี อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อลดการสะสมของตะกอน กรมควบคุมมลพิษกำลังศึกษาวิธีการจัดการตะกอน เช่น การปรับสภาพน้ำ ระบบตักตะกอน และการเบี่ยงกระแสน้ำ ขณะที่การประปาส่วนภูมิภาคได้จัดเตรียมแผนบริหารจัดการน้ำในกรณีที่แหล่งน้ำผิวดินปนเปื้อนในระยะยาว เพื่อให้ประชาชนมีน้ำสะอาดสำหรับอุปโภคและบริโภค

ด้านการเฝ้าระวัง กรมควบคุมมลพิษจะเพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำและตะกอนดินในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และลำน้ำสาขาเป็น 2 ครั้งต่อเดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกันยายน 2568 กรมประมงได้ตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในสัตว์น้ำ 3 ครั้ง ในวันที่ 11 เมษายน 28 เมษายน และ 2 พฤษภาคม 2568 โดยผลการตรวจไม่พบแคดเมียมและตะกั่วเกินมาตรฐาน ส่วนกรณีปลาที่มีตุ่มแดงเกิดจากปรสิต กรมอนามัยได้ตรวจคุณภาพน้ำประปาและปัสสาวะของประชาชนในเดือนเมษายน 2568 พบว่าน้ำประปาไม่มีสารหนูและตะกั่วเกินมาตรฐาน และผลตรวจปัสสาวะอยู่ในเกณฑ์ปกติ

ด้านการบริหารจัดการ รองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานและผลักดันนโยบายอย่างเป็นระบบ

แผนปฏิบัติการข้ามแดนและความหวังในการฟื้นฟู

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีได้จุดประกายความหวังในการแก้ไขวิกฤตแม่น้ำกก โดยเฉพาะการผลักดันให้มีการเจรจากับเมียนมาในระดับทวิภาคี ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee: RBC) ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองเชียงตุง รัฐฉาน ระหว่างวันที่ 17–20 มิถุนายน 2568 กรมกิจการชายแดนทหารจะหยิบยกประเด็นมลพิษในแม่น้ำกกและแม่น้ำสายเป็นวาระสำคัญ นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมเอเชียตะวันออก ได้ส่งหนังสือผ่านสถานทูตไทยในเมียนมาและเชิญผู้แทนสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทยเพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหา

การดำเนินการในระดับท้องถิ่นก็มีความคืบหน้าเช่นกัน หน่วยงานในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ได้เพิ่มการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และผลิตผลเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน การขุดลอกแม่น้ำและการจัดหาน้ำสะอาดเป็นมาตรการเร่งด่วนที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชุมชนในระยะสั้น ขณะที่การใช้ข้อมูลจากดาวเทียมของ GISTDA ช่วยให้หน่วยงานสามารถระบุแหล่งที่มาของมลพิษได้แม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเจรจากับเมียนมาและกองทัพสหรัฐว้า

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ประจำสำนักวิชานวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง วิจารณ์ว่าการสั่งการของนายกรัฐมนตรีส่วนใหญ่เป็นการดำเนินงานตามกลไกปกติของหน่วยงานราชการ ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อความซับซ้อนของปัญหา เขาเสนอให้ตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศ และเชิญผู้แทนจากเมียนมาและจีนที่ประจำอยู่ในประเทศไทยมาร่วมหารือ “วิกฤตนี้เกี่ยวข้องกับหลายภาคส่วน การจัดตั้งกลไกเฉพาะกิจและการเจรจาจะช่วยให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพมากขึ้น” ดร.สืบสกุลกล่าว

ข้อมูลจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่และสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตยืนยันถึงความรุนแรงของปัญหา โดยพบว่าการทำเหมืองแรร์เอิร์ธในเมืองยอน รัฐฉาน ซึ่งเริ่มตั้งแต่กลางปี 2566 มีลักษณะเป็นบ่อวงกลมคลุมด้วยผ้าใบสีดำ ตั้งอยู่ห่างจากแม่น้ำกกเพียง 3.6 กิโลเมตร การทำเหมืองเหล่านี้ใช้สารเคมีที่เป็นพิษสูง ส่งผลให้ระบบนิเวศในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงเสียหายอย่างหนัก สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตยังรายงานการพบปลาติดเชื้อใน 6 จุดของแม่น้ำกกและแม่น้ำโขงตั้งแต่ปี 2567 ถึงพฤษภาคม 2568 ซึ่งบ่งชี้ถึงการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศอย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์และความท้าทายในการแก้ไขวิกฤต

คำสั่งของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ได้สร้างแรงผลักดันสำคัญในการแก้ไขปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ผลลัพธ์ที่โดดเด่น ได้แก่

  1. การบูรณาการหน่วยงาน: การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธานคณะอนุกรรมการช่วยให้มีการประสานงานระหว่างหน่วยงานอย่างเป็นระบบ การประชุมเมื่อวันที่ 13 และ 15 พฤษภาคม 2568 แสดงถึงความพยายามในการรวบรวมข้อมูลและวางแผนปฏิบัติการ
  2. การใช้เทคโนโลยี: การวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA ช่วยระบุแหล่งที่มาของมลพิษได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเจรจาข้ามแดน
  3. การเจรจาระดับนานาชาติ: การบรรจุประเด็นมลพิษในแม่น้ำกกเป็นวาระในการประชุม RBC และการดำเนินการผ่านกระทรวงการต่างประเทศแสดงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาข้ามแดน
  4. การบรรเทาผลกระทบในพื้นที่: การขุดลอกแม่น้ำ การจัดหาน้ำสะอาด และการเพิ่มความถี่ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำช่วยลดความเดือดร้อนของประชาชนในระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขวิกฤตนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

  1. ความซับซ้อนของการเมืองข้ามแดน: การเจรจากับกองทัพสหรัฐว้าและรัฐบาลเมียนมาเป็นเรื่องท้าทาย เนื่องจากความขัดแย้งภายในเมียนมาและอิทธิพลของบริษัทจีนในพื้นที่
  2. ข้อจำกัดด้านทรัพยากร: การขุดลอกแม่น้ำ การจัดการตะกอน และการตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำต้องใช้เงินทุนและบุคลากรจำนวนมาก ซึ่งอาจเกินขีดความสามารถของหน่วยงานท้องถิ่น
  3. ผลกระทบระยะยาว: สารโลหะหนัก เช่น สารหนูและตะกั่ว สามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นานหลายสิบปี การแก้ไขต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษที่ต้นตอและการฟื้นฟูระบบนิเวศ
  4. การมีส่วนร่วมของประชาชน: แม้ว่าภาครัฐจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่การสื่อสารกับประชาชนยังไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดความตื่นตระหนกและความไม่มั่นใจในบางชุมชน

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติมดังนี้

  • จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ: เพื่อประสานงานระหว่างหน่วยงานในและต่างประเทศ และเร่งรัดการเจรจากับเมียนมาและจีน
  • เพิ่มการสื่อสารสาธารณะ: ใช้สื่อท้องถิ่นและสื่อสังคมออนไลน์เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนแก่ประชาชน และลดความตื่นตระหนก
  • ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน: สนับสนุนงบประมาณให้มหาวิทยาลัยในเชียงรายจัดตั้งศูนย์ตรวจสอบคุณภาพน้ำ และพัฒนานวัตกรรมในการจัดการตะกอน
  • ยกระดับสู่เวทีนานาชาติ: ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ เช่น คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) หรือ UNEP เพื่อกดดันให้มีการแก้ไขปัญหาข้ามแดน

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหามลพิษในแม่น้ำกก ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
    • แม่น้ำกก (ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.031 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
    • แม่น้ำกก (บ้านแซว อำเภอเชียงแสน): สารหนู 0.036 mg/L
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษ (สคพ.) ที่ 1 เชียงใหม่. (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดิน.
  2. การขยายตัวของเหมืองในรัฐฉาน:
    • การเปิดหน้าดินในรัฐฉานเพิ่มขึ้นในช่วงปี 2567–2568 โดยเฉพาะในเมืองยอนและเมืองสาด
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA). (2568). รายงานการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมย้อนหลัง 2560–2568.
  3. การผลิตแรร์เอิร์ธในเมียนมา:
    • ปี 2566: เมียนมาผลิตแรร์เอิร์ธ 41,700 ตัน มูลค่า 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
    • การผลิตเพิ่มขึ้น 40% ในช่วงปี 2564–2566
    • แหล่งอ้างอิง: Global Witness. (2568). รายงานการผลิตแร่หายากในเมียนมา.
  4. การพบปลาติดเชื้อ:
    • พบปลาติดเชื้อในแม่น้ำกกและแม่น้ำโขง 6 จุด ตั้งแต่ปี 2567 ถึงพฤษภาคม 2568
    • แหล่งอ้างอิง: สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต. (2568). รายงานการพบปลาติดเชื้อในลุ่มน้ำกกและโขง.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
  • กรมกิจการชายแดนทหาร
  • กรมเอเชียตะวันออก
  • กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
  • กรมประมง
  • กรมอนามัย
  • การประปาส่วนภูมิภาค
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่
  • สมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิต
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

รัฐบาลสั่งทุกหน่วยงาน บูรณาการ แก้ปัญหาสารพิษ วิกฤตแม่น้ำกก

วิกฤตสารหนูในแม่น้ำกก กระทบประชาชนสองจังหวัด รัฐเร่งบูรณาการแก้ไข

พบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกเกินมาตรฐาน

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์แม่น้ำกกกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังกรมควบคุมมลพิษรายงานผลตรวจสอบพบสารหนูปนเปื้อนในลำน้ำเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะช่วงที่ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในระดับชุมชนถึงความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

รัฐมนตรี ทส. ชี้ต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วม

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งต่อทรัพยากรน้ำ ระบบนิเวศ เศรษฐกิจชุมชน และสุขภาพประชาชน ซึ่งการดำเนินการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรในระดับนานาชาติ

ตั้งคณะอนุกรรมการระดับชาติขับเคลื่อนการแก้ไข

เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีระบบ ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 มีมติแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน” โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นรองประธาน พร้อมหน่วยงานอีก 29 แห่งในฐานะคณะทำงาน

ใช้กลไกการทูตและเทคโนโลยีทันสมัยร่วมแก้ปัญหา

รัฐบาลไทยเดินหน้าใช้กลไกความร่วมมือทางการทูตและการทหาร เจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษจากภายนอก โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำที่อาจมีการทำเหมืองแร่โดยไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำเทคโนโลยีดาวเทียมและระบบภูมิสารสนเทศมาช่วยตรวจสอบแหล่งที่มาของการปนเปื้อน

ผลการตรวจน้ำ-สัตว์น้ำ และร่างกายมนุษย์

แม้จะพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก แต่การประปาส่วนภูมิภาคและกรมอนามัยได้ตรวจสอบน้ำประปาแล้วพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย นอกจากนี้ กรมประมงได้สุ่มตรวจสัตว์น้ำในพื้นที่และไม่พบการสะสมของสารพิษ เช่นเดียวกับตัวอย่างปัสสาวะของประชาชนในพื้นที่ก็ไม่พบสารหนูตกค้างในร่างกาย

มาตรการเฉพาะหน้าและแผนระยะยาว

ในระยะเร่งด่วน กระทรวงมหาดไทยได้จัดหาน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคบริโภคชั่วคราวให้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมกันนี้ กรมควบคุมมลพิษได้เพิ่มความถี่ในการตรวจวัดคุณภาพน้ำเป็นเดือนละ 2 ครั้ง ส่วนกรมทรัพยากรน้ำได้ควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ และเตรียมความพร้อมเครื่องจักรป้องกันน้ำเสียไหลเข้าสู่ลำน้ำสาขา

ในระยะยาว จะมีการกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกันปัญหาซ้ำซาก พร้อมจัดทำแผนฟื้นฟูระบบนิเวศของแม่น้ำกกและแหล่งน้ำที่ได้รับผลกระทบ

ประชาชนต้องไม่ตื่นตระหนก พร้อมรับข้อมูลจากรัฐ

หน่วยงานต่าง ๆ ได้รับมอบหมายให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างโปร่งใส และสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ตื่นตระหนก โดยเฉพาะผ่านช่องทางสื่อสารชุมชนและเครือข่ายอาสาสมัครในระดับตำบล

ภาพถ่ายดาวเทียมและการข่าวสนับสนุนสืบหาต้นตอ

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ได้ร่วมมือกับกรมกิจการชายแดนทหาร ในการนำภาพถ่ายจากดาวเทียมและข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม มาประกอบการวิเคราะห์ต้นเหตุของการปนเปื้อน ซึ่งคาดว่าอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมของว้าเหนือ ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการทำเหมืองแร่ในระดับอุตสาหกรรมโดยไม่ผ่านการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม

บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต

สถานการณ์สารพิษในแม่น้ำกกเป็นสัญญาณเตือนด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ความชัดเจนของข้อมูล และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ผลการตรวจน้ำประปาในเขตเชียงใหม่และเชียงราย (กรมอนามัย, เมษายน 2568): ไม่พบการปนเปื้อนสารหนู
  • รายงานคุณภาพสัตว์น้ำจากกรมประมง (2568): ไม่มีการสะสมสารหนูในสัตว์น้ำตัวอย่าง
  • ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ: พบสารหนูเกินมาตรฐานเฉพาะในแม่น้ำกกช่วงต้นเดือนเมษายน 2568
  • รายงานจาก GISTDA: แหล่งที่มาสารหนูอาจมาจากการทำเหมืองในเขตชายแดนไทย-เมียนมา
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2566): ประชากรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรงในเชียงรายและเชียงใหม่รวมกันกว่า 1.3 ล้านคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย
  • กรมประมง
  • GISTDA
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

เทศมนตรีแม่ยาวนำทีมช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเชียงราย

 

เมื่อวันศุกร์ ที่ 13 กันยายน 2567 เวลา 15.30 น. นายอภิรักษ์ อินต๊ะวัง เทศมนตรีตำบลแม่ยาว นำทีมบริหารและเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลแม่ยาว พร้อมกับกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่เพื่อมอบน้ำดื่มและอาหารให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยในพื้นที่ตำบลแม่ยาว บ้านแคววัวดำ บ้านลอบือ บ้านจะสอป่า บ้านผาสุข และบ้านห้วยหลุหลวง โดยจัดตั้งจุดรับแจกสิ่งของที่โรงเรียนแม่ยาววิทยา

เหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ดังกล่าวเกิดขึ้นจากฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนของประชาชนและพื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหาย ประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวจึงต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน ทั้งในด้านอาหาร น้ำดื่ม และการดูแลสุขภาพ เนื่องจากพื้นที่ประสบอุทกภัยอยู่ห่างไกลและเข้าถึงได้ยาก

เทศมนตรีตำบลแม่ยาว นายอภิรักษ์ อินต๊ะวัง กล่าวเพิ่มเติมว่า เทศบาลตำบลแม่ยาวได้ร่วมมือกับกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ในการนำความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ประสบภัยโดยเร็วที่สุด โดยไม่เพียงแต่มอบน้ำดื่มและอาหารเท่านั้น แต่ยังเน้นให้ความสำคัญกับการให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยในช่วงสถานการณ์น้ำท่วม เพื่อให้ประชาชนได้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัย

นอกจากนี้ นายอภิรักษ์ยังได้กล่าวว่า การฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจะเป็นภารกิจที่สำคัญหลังน้ำลด โดยเทศบาลตำบลแม่ยาวและกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมจะร่วมมือกันในการซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่ได้รับความเสียหายให้กลับคืนมาอย่างเร็วที่สุด รวมถึงการจัดเตรียมมาตรการป้องกันน้ำท่วมในอนาคต เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป

ประชาชนที่ได้รับผลกระทบต่างแสดงความขอบคุณต่อความช่วยเหลือที่ได้รับจากทั้งภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการจัดส่งน้ำดื่มและอาหารที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตเช่นนี้ หลายคนได้กล่าวว่าความช่วยเหลือนี้ทำให้พวกเขามีกำลังใจที่จะผ่านพ้นสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไปได้

นอกจากนี้ เทศบาลตำบลแม่ยาวยังได้จัดเตรียมทีมงานช่วยเหลือในด้านอื่น ๆ อาทิ การตรวจสอบและซ่อมแซมระบบสาธารณูปโภคที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม เช่น ถนน ระบบประปา และไฟฟ้า รวมถึงการดูแลด้านสุขอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงจากโรคที่อาจเกิดขึ้นหลังจากน้ำลดลง

ในอนาคต เทศบาลตำบลแม่ยาวและกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมมีแผนที่จะพัฒนาโครงการป้องกันน้ำท่วมเพิ่มเติม เพื่อเสริมสร้างความพร้อมให้กับชุมชนในการเผชิญกับเหตุการณ์ธรรมชาติที่ไม่คาดคิด โดยการดำเนินการดังกล่าวจะเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในชุมชน เพื่อให้ได้มาตรการที่มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

เหตุการณ์นี้เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของการร่วมมือกันในภาวะวิกฤต ซึ่งทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในชุมชนต่างช่วยกันอย่างเต็มที่ในการรับมือกับสถานการณ์น้ำท่วม และการฟื้นฟูหลังน้ำลด ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างชุมชนที่เข้มแข็งและมีความพร้อมในการเผชิญกับวิกฤตในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

“พัชรวาท” สั่ง ปิดป่า – ยกระดับคุมจุดความร้อน 17 จังหวัดภาคเหนือ

 

เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2567  พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นประธานการประชุม ผ่านระบบ VDO Conference ติดตามการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ภาคเหนือ ร่วมกับ 17 จังหวัดภาคเหนือ สั่งการยกระดับมาตรการที่เข้มงวด ปรับรูปแบบ การจัดกำลังดับไฟป่า “ปิดป่า” ห้ามบุคคลเข้าพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่สถานการณ์รุนแรง บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติการด้วยความ “แม่นยำ รวดเร็ว ทันท่วงที มีประสิทธิภาพ” ประกอบด้วย 6 มาตรการสำคัญ ได้แก่

 

1) ปรับรูปแบบการจัดกำลังดับไฟป่า ด้วยยุทธวิธีผสมผสานทั้งการตรึงพื้นที่ด้วยจุดเฝ้าระวัง โดยให้วอร์รูมบัญชาการชุดปฏิบัติการดับไฟป่าตลอดเวลาที่มีการเข้าพื้นที่
 
2) ติดตามสถานการณ์จุดความร้อน เมื่อพบต้องเร่งเข้าปฏิบัติการควบคุมสถานการณ์โดยทันที แต่ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และงดการใช้อาสาสมัครที่ไม่ได้รับการฝึกปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสีย
 
3) สนับสนุนและบูรณาการทำงานอย่างเต็มที่เป็นหนึ่งเดียว กับศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัดที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์กลาง
 
4) “ปิดป่า” ห้ามมิให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่สถานการณ์รุนแรง บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด ยกระดับการจับกุมดำเนินคดีกับผู้ลักลอบจุดไฟเผาป่า
 
5) พื้นที่เกษตร ต้องติดตามเฝ้าระวังประสานงานกับฝ่ายปกครองอย่างใกล้ชิด เพื่อลดและควบคุมไม่ให้เกิดการเผาและหากเกิดต้องควบคุมให้ได้โดยเร็ว
 
6) สื่อสาร แจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละอองอย่างทั่วถึง ทันท่วงทีเพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่รวดเร็ว ถูกต้อง สร้างความรู้ ทำความเข้าใจกับประชาชนให้ปฏิบัติตนตามคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม
กระทรวงเกษตรฯ สั่งลุยสยบ PM 2.5 เชียงใหม่ ใช้เทคนิคเด็ด “โปรยน้ำและน้ำแข็งแห้ง”
นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยถึงสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดอื่นในภาคเหนือ การปฏิบัติการในครั้งนี้ กรมฝนหลวงฯ ได้ใช้ “เทคนิคลดอุณหภูมิในชั้นบรรยากาศผกผันด้วยการโปรยน้ำและโปรยน้ำแข็งแห้งเพื่อเป็นการเจาะช่องบรรยากาศให้สามารถระบายฝุ่นละอองขึ้นต่อไปได้ ” สำหรับผลการปฏิบัติในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 4 – 10 มีนาคม 2567 พบว่า ฝุ่นละอองขนาดเล็ก บริเวณ จ.เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ อุตรดิตถ์ น่าน มีแนวโน้มลดลง
กรมควบคุมโรคแนะ 3 แนวทางคนไทย “รู้-ลด-เลี่ยง” ฝุ่น PM 2.5
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แนะนำ 3 แนวทางรับมือและป้องกันฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้คนไทยนำไปปรับใช้เพื่อรับมือกับ “ฝุ่น” ที่นับวันก็ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ได้แก่
 
• รู้ : ตรวจสอบสภาพอากาศทุกครั้งก่อนเดินทางออกจากบ้าน ผ่านการติดตามสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในแอปพลิเคชัน Air4thai และเพจคนรักอนามัย ใส่ใจอากาศ PM 2.5 หรือติดตามข่าวสารตามช่องทางต่าง ๆ ของหน่วยงานด้านสาธารณสุข
• ลด : การสร้างมลพิษ ลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นละออง PM 2.5 เช่น จุดธูป เผากระดาษ
ปิ้งย่างที่ทําให้เกิดควัน การเผาใบไม้ เผาขยะ เผาพืชผลทางการเกษตร เป็นต้น รวมถึงการติดเครื่องยนต์ในบ้านเป็นเวลานาน
• เลี่ยง : หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีฝุ่นละอองสูง การอยู่กลางแจ้ง หรือทำกิจกรรมนอกอาคารเป็นเวลานานในช่วงที่ฝุ่นละออง PM 2.5 มีปริมาณมากกว่า 26 – 37 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป โดยปราศจากอุปกรณ์ป้องกันฝุ่นละอองในอากาศ
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ปลัดฯ จตุพร ลงพื้นที่แม่แจ่ม ติดตามการแก้ไขปัญหาที่อยู่ที่ทำกิน

 

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) มอบหมายให้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ติดตามผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยทำกิน และการป้องกันไฟป่าในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่แจ่ม พร้อมเป็นสักขีพยานในการมอบสมุดประจำตัวให้แก่ราษฎรที่ได้รับการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่แจ่ม ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และ 2 ท้องที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 11,294 ราย เนื้อที่ 18,529 แปลง จาก นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ ให้กับผู้แทน 6 ตำบล ใน อ.แม่แจ่ม โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ อบต. กองแขก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่

 

ปลัด ทส. กล่าวว่า รัฐบาลนำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่ทำกินให้กับประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.แม่แจ่ม ถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงฯ ต้องขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไขปัญหาใน อ.แม่แจ่ม ให้สำเร็จลุล่วง การมอบสมุดประจำตัวผู้อยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติครั้งนี้ จะทำให้ประชาชนสามารถพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในพื้นที่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นต่อไปจากนี้ คือ ปฏิญญาว่าด้วยการบริหารจัดการแม่แจ่มโมเดล ที่จะนำแม่แจ่มไปสู่ความยั่งยืน ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News