Categories
FEATURED NEWS

วช.ปักธง Soft Power หนุนตั้งฮับการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร

 

รศ. ดร.พรรณี สวนเพลง ผู้บริหารจัดการศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญทางด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร เปิดเผยว่า สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้เปิดตัวโครงการ ศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร (Hub of Talent Gastronomy Tourism) ในงาน อว.แฟร์: SCI POWER FOR FUTURE THAILAND มหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. มุ่งใช้ “อาหารเป็นตัวช่วยสร้างการท่องเที่ยวระดับท้องถิ่น”

ทั้งนี้ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการลิ้มลองอาหารเท่านั้น แต่เป็นการเดินทางเพื่อสัมผัสประสบการณ์ทางด้านอาหารในแต่ละพื้นที่ โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ ความบันเทิงและสันทนาการ ทั้งการรับประทานอาหาร เยี่ยมชมสถานที่ทำอาหาร เทศกาลอาหาร ตลาด งานแสดงและสาธิตการทำอาหาร หรือกิจกรรมการท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กับอาหาร ที่ครอบคลุมไปถึงการผลิต ซึ่งเชื่อมโยงไปสู่การท่องเที่ยวเชิงเกษตร เยี่ยมชมแหล่งผลิตแบบพื้นถิ่น การเลือกสรรวัตถุดิบจากแปลงเกษตรต่าง ๆ การปรุงอาหาร ซึ่งนำเสนอผ่านรูปแบบของครัวเปิด หรือการให้นักท่องเที่ยวมีส่วนร่วมในกิจกรรมการปรุงอาหารไปจนถึงขั้นหลังการบริโภค ซึ่งต่อยอดไปสู่การผลิตสินค้าที่ระลึกเพิ่มมูลค่า ตลอดจนการจัดการเศษอาหารเหลือทิ้งด้วยวิธีการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน

รูปแบบการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารตลอดห่วงโซ่นี้ จะเป็นโอกาสอันดีให้นักท่องเที่ยวได้เติมเต็มประสบการณ์ เก็บเกี่ยว วัฒนธรรมท้องถิ่น และสัมผัสกิจกรรมท่องเที่ยวอันหลากหลายที่เกี่ยวเนื่องมาจากอาหาร ซึ่งสอดแทรกประโยชน์ให้เกิดกับสังคมเศรษฐกิจของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแต่ละภูมิภาค โดยมี 4 เสาหลักเป็นองค์ประกอบ คือ การผลิตอาหารและการเกษตร เรื่องเล่าอาหาร ผลิตภัณฑ์อาหารส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งประเทศไทยมีความโดดเด่นและเอกลักษณ์ของอาหารไทยอันเกิดจากรากเหง้าของความเป็นเมืองพหุวัฒนธรรม ผสมผสานการใช้เครื่องเทศ วัตถุดิบ กรรมวิธีการผลิต การประยุกต์อาหารจากหลายชาติให้เข้ากับวัตถุดิบในท้องถิ่นไทย ผนวกกับการคิดค้นกรรมวิธีการปรุง ความประณีตในการจัดตกแต่งอาหาร งานแกะสลักที่เริ่มมีลักษณะเฉพาะในราชสกุลของกลุ่มชนชั้นสูงตามวังของขุนนางต่าง ๆ ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้นและตอนกลาง จึงทำให้อาหารไทยในปัจจุบันมีความหลากหลาย รสชาติกลมกล่อม และมีรูปร่างหน้าตาอาหารที่ดูน่ารับประทาน ที่สามารถนำไปสู่การสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจภาคธุรกิจอาหารและการท่องเที่ยว ตามนโยบายของรัฐบาลในการใช้ “วัฒนธรรมอาหารไทย” เป็นกลไกให้เกิด Soft Power  บนพื้นฐานของทุนมนุษย์ที่เข้มแข็งยอมเป็นส่วนสำคัญต่อการแข่งขันกับตลาดโลก

“การจัดตั้งศูนย์รวมผู้เชี่ยวชาญในครั้งนี้จึงมีส่วนสำคัญในการนำองค์ความรู้เชิงวิชาการ ศักยภาพของนักวิทยาศาสตร์การอาหาร นักวิชาการการท่องเที่ยวและแขนงอื่น ๆ มาช่วยเพิ่มศักยภาพและเสริมความเข้มแข็งตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมศาสตร์ด้านอาหารและการท่องเที่ยวเพื่อการพัฒนาสังคมและประเทศอย่างยั่งยืน” รศ. ดร.พรรณีระบุ

ทั้งนี้ กิจกรรมหนึ่งที่สำคัญในงาน อว.แฟร์ คือ การฝึกอบรมและการทดสอบ โดยได้รับเกียรติจาก ดร.จันทร์จนา ศิริพันธ์วัฒนา ผู้จัดการสวนดุสิตโฮมเบเกอรี่ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต มาให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสุขาภิบาลอาหาร รวมถึงสำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ กรมอนามัย ที่ร่วมเปิดการทดสอบแก่ผู้สัมผัสอาหาร เพื่อขึ้นทะเบียนผ่านการอบรมหลักสูตรสำหรับผู้ประกอบกิจการตามกฎกระทรวงสุขลักษณะของสถานที่จำหน่ายอาหาร โดยผู้ผ่านเกณฑ์จะได้รับหนังสือรับรองผู้สัมผัสอาหารเป็นเครื่องยืนยันถึงความเชี่ยวชาญและมาตรฐานของบุคลากรในการให้บริการอาหาร ซึ่งเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญในการยกระดับความเชี่ยวชาญของบุคลากรการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารสู่มาตรฐานสากล และส่งเสริมการสร้าง Soft Power ด้านอาหารไทยที่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
SOCIETY & POLITICS

สธ.-อว. เตรียมความพร้อม ฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี

 

 วันนี้ (17 กรกฎาคม 2566) ที่ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรุงเทพมหานคร นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ โครงการเตรียมความพร้อมและตอบสนองทางการแพทย์ต่อภาวะฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี (Medical Preparedness and Response for Radiological and Nuclear Emergency) โดยมี นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข และนายเพิ่มสุข สัจจาภิวัฒน์ เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ เป็นสักขีพยาน


          นพ.โอภาส กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการส่งเสริม ยกระดับภารกิจด้านการเตรียมความพร้อม และการตอบสนองกรณีฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี รวมถึงตอบโต้ภัยฯ ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลและสอดคล้องกับบริบทของประเทศ ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2564 – 2570 แผนฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี พ.ศ. 2564 – 2570 และแผนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงได้ร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลงในโครงการ “เตรียมความพร้อมและตอบสนองทางการแพทย์ต่อภาวะฉุกเฉินทางนิวเคลียร์และรังสี  (Medical Preparedness and Response for Radiological and Nuclear Emergency)” เพื่อเป็นการกำหนดมาตรฐาน เป้าหมายและการปฏิบัติงานให้มีความเชื่อมโยงทุกระดับ ซึ่งจะสามารถลดความเสี่ยงและจัดการสาธารณภัยให้มีประสิทธิภาพและมีมาตรฐาน โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ “การรู้รับ – ปรับตัว – ฟื้นเร็วทั่ว – อย่างยั่งยืน”


            โดย กระทรวงสาธารณสุข จะมีภารกิจในการประสานและขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ด้านการแพทย์และการสาธารณสุขระดับชาติ ตลอดจนเป็นศูนย์ประสานงานกลางของหน่วยงานทั้งส่วนกลาง ภูมิภาค ท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย ในการตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข จัดให้มีศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขในระดับต่างๆ สนับสนุนและพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากร ระบบข้อมูลสารสนเทศ องค์ความรู้ นวัตกรรมด้านบริหารจัดการในการจัดการภาวะฉุกเฉิน รวมถึงด้านวิชาการในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัย


          ด้าน ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวว่า ขอบเขตและแนวทางการดำเนินการตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ครอบคลุมตั้งแต่การกำหนดนโยบาย, การสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อสร้างความเข้มแข็ง, บริหารจัดการระบบฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์และสถานพยาบาล, พัฒนาศักยภาพบุคลากรและงานด้านวิชาการที่เกี่ยวข้อง, การกำหนดรายละเอียดเฉพาะเรื่องให้สอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ,การติดตามประเมินผลร่วมกัน, จัดตั้งคณะทำงาน รวมถึงการนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จะมีภารกิจในการเสนอแนะนโยบาย แนวทาง และแผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ และกำกับให้เกิดความปลอดภัยแก่ผู้ใช้ ประชาชน และสิ่งแวดล้อม บริหารจัดการ กำกับดูแลความปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสี ตามพันธกรณีหรือความตกลงระหว่างประเทศและมาตรฐานสากล

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุข

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News