Categories
NEWS UPDATE

นิด้าโพลชี้! กองทัพไทยได้รับความไว้วางใจสูงสุด ปมขัดแย้งกัมพูชา

นิด้าโพลเผยคนไทย “รักสงบแต่ไม่ขลาด” กองทัพยังได้รับความไว้วางใจสูงสุด ปมขัดแย้งไทย-กัมพูชา สะท้อนภาพความเชื่อมั่นต่อสถาบันหลักและระดับชาตินิยมในสังคม

ประเทศไทย, 15 มิถุนายน 2568 – ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจล่าสุดเรื่อง “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” สะท้อนความรู้สึก ความไว้วางใจ และความพอใจของประชาชนต่อบทบาทของภาคส่วนต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ผลสำรวจดังกล่าวดำเนินการระหว่างวันที่ 9-11 มิถุนายน 2568 ด้วยกลุ่มตัวอย่างประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่างทั่วประเทศ ผ่านวิธีสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) และสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ กำหนดค่าความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 0.05 ที่ระดับความเชื่อมั่น 97.0%

กองทัพ” ยังคงเป็นที่พึ่งหลัก ประชาชนให้ความไว้วางใจสูงสุด

ผลสำรวจในประเด็น “ความไว้วางใจในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติ” พบว่ากองทัพได้รับความไว้วางใจสูงสุด โดยร้อยละ 62.52 ระบุว่า “ไว้วางใจมาก” รองลงมาร้อยละ 23.74 “ค่อนข้างไว้วางใจ” ขณะที่ “ไม่ค่อยไว้วางใจ” และ “ไม่ไว้วางใจเลย” อยู่ที่ร้อยละ 8.85 และ 4.89 ตามลำดับ ส่วนรัฐบาลไทยมีสัดส่วนความไม่ไว้วางใจสูงถึงร้อยละ 37.48 “ไม่ไว้วางใจเลย” และร้อยละ 31.68 “ไม่ค่อยไว้วางใจ” ขณะที่ร้อยละ 18.85 “ค่อนข้างไว้วางใจ” และร้อยละ 11.99 “ไว้วางใจมาก” กระทรวงการต่างประเทศเองก็มีแนวโน้มคล้ายกัน โดยร้อยละ 35.42 “ไม่ค่อยไว้วางใจ” และร้อยละ 30.76 “ไม่ไว้วางใจเลย” สะท้อนความรู้สึกสงสัยและขาดความมั่นใจในกลไกบริหารจัดการด้านการทูต

ความพอใจต่อการทำงาน “กองทัพ” โดดเด่น ขณะที่รัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศยังเผชิญความท้าทาย

เมื่อถามถึง “ความพอใจต่อบทบาท” ของแต่ละภาคส่วนในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา พบว่า กองทัพได้รับคะแนน “พอใจมาก” ร้อยละ 61.76 “ค่อนข้างพอใจ” ร้อยละ 23.97 ส่วนกลุ่ม “ไม่ค่อยพอใจ” และ “ไม่พอใจเลย” รวมกันเพียงร้อยละ 14.27 สำหรับรัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศยังคงต้องเผชิญความท้าทายในการสร้างความเชื่อมั่นจากประชาชน เนื่องจากร้อยละ 37.94 “ไม่พอใจเลย” กับบทบาทของรัฐบาลและร้อยละ 30.99 “ไม่ค่อยพอใจ” ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศร้อยละ 35.73 “ไม่ค่อยพอใจ” และร้อยละ 29.00 “ไม่พอใจเลย”

คนไทยส่วนใหญ่ “สนับสนุนหนักแน่น” แนวคิดไทยรักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด

สำหรับทัศนคติต่อข้อความในเพลงชาติไทย “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” ร้อยละ 69.39 ของกลุ่มตัวอย่างสนับสนุนมาก ร้อยละ 19.24 “ค่อนข้างสนับสนุน” ขณะที่กลุ่มที่ไม่ค่อยสนับสนุนและไม่สนับสนุนเลยมีเพียงร้อยละ 7.02 และ 3.05 ตามลำดับ นี่คือการสะท้อน “ใจรักชาติ” และความพร้อมที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาติในมุมมองประชาชน

แนวคิด “ชาตินิยม” ในประชากรไทย ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์

เมื่อลงลึกถึงแนวคิด “ชาตินิยม” พบว่าร้อยละ 48.24 ระบุว่ามีความเป็นชาตินิยม “มาก” ขณะที่ร้อยละ 31.60 มองว่า “ขึ้นอยู่กับสถานการณ์” และร้อยละ 14.20 ระบุว่า “ค่อนข้างมีความเป็นชาตินิยม” สะท้อนถึงพลวัตในความคิดและพฤติกรรมทางสังคมของประชาชนที่พร้อมปรับตัวตามสภาพแวดล้อมและสถานการณ์โลก

โครงสร้างประชากร – สะท้อนมิติเชิงสังคมและเศรษฐกิจ

ลักษณะของกลุ่มตัวอย่างครั้งนี้มีความหลากหลายทั้งด้านภูมิภาค เพศ อายุ ศาสนา ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ สัดส่วนประชากรหญิง 52.06% ชาย 47.94% อาศัยอยู่ทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (33.28%) ภาคเหนือ (17.79%) ภาคกลาง (18.70%) ภาคใต้ (13.82%) กรุงเทพฯ (8.55%) และภาคตะวันออก (7.86%) กลุ่มอายุหลากหลายโดยร้อยละ 26.34 อยู่ในช่วง 46-59 ปี รองลงมา 60 ปีขึ้นไป (25.80%) กลุ่มวัยแรงงาน (18-45 ปี) รวมกว่า 47.66% สะท้อนมุมมองข้ามช่วงวัย ขณะเดียวกัน ระดับการศึกษาหลักอยู่ที่มัธยมศึกษา (38.32%) และปริญญาตรี (31.60%)

กลุ่มอาชีพและรายได้กระจายหลากหลาย ได้แก่ พนักงานเอกชน เจ้าของธุรกิจ อาชีพอิสระ เกษตรกร/ประมง รับจ้างทั่วไป และนักเรียน/นักศึกษา โดยกว่า 20% ไม่มีรายได้ และ 31.45% มีรายได้ 10,001-20,000 บาทต่อเดือน

ข้อเท็จจริงที่ซ่อนอยู่ในตัวเลข

ผลสำรวจนี้ชี้ชัดถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่ยังคงมอบให้กับกองทัพในฐานะสถาบันหลักของประเทศ แม้ว่าบทบาทของรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศจะถูกตั้งคำถามด้านความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ความคิดชาตินิยมและการสนับสนุนหลักคิด “รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด” ยังคงแน่นแฟ้นในสังคมไทย สะท้อนถึงทัศนคติและจุดยืนต่อสถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาค การวิเคราะห์เชิงลึกจากนิด้าโพลจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการสะท้อนภาพความรู้สึกของสังคมที่มีต่อปัจจัยด้านความมั่นคง และความคาดหวังต่อภาคส่วนต่าง ๆ ในการปกป้องผลประโยชน์ของชาติไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
  • รายงานผลสำรวจ 15 มิถุนายน 2568
  • ข้อมูลประกอบจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • รายงานสรุปประเด็นข่าวจาก “นิด้าโพล”
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไทยจำใจคุมชายแดน กัมพูชาเสริมกำลัง หลังเหตุปะทะช่องบก

กระทรวงการต่างประเทศแถลงจุดยืนไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเหตุปะทะช่องบก ยืนยันใช้สันติวิธีแก้ปัญหา ยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคง พร้อมเปิดกลไกเจรจาทวิภาคี

ประเทศไทย, 7 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาเริ่มมีความตึงเครียดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายบริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 จนส่งผลให้รัฐบาลไทยจำเป็นต้องแถลงจุดยืนต่อสาธารณชน โดยย้ำเจตนารมณ์ในการรักษาอธิปไตย ควบคู่กับการแสวงหาทางออกอย่างสันติ และยืนยันความพร้อมในการเปิดเวทีเจรจาแบบทวิภาคี

เมื่อเวลา 16.30 น. ที่ห้องแถลงข่าว กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ โฆษกกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงพัฒนาการของสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนภาคตะวันออก

เหตุปะทะชายแดนและจุดยืนไทยในการป้องกันประเทศ

นายนิกรเดช เปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม เป็นผลจากการที่ฝ่ายทหารไทยจำเป็นต้องป้องกันตนเองอย่างเหมาะสมและชอบธรรม เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และแนวทางปฏิบัติสากล ซึ่งภายหลังเหตุการณ์ ฝ่ายไทยได้ดำเนินการอย่างอดทนอดกลั้น และพยายามหาทางคลี่คลายปัญหาด้วยการสื่อสารและเจรจาทั้งในระดับรัฐบาลและระดับทหารอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้เรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินมาตรการลดระดับความตึงเครียดในพื้นที่ และจำกัดสถานการณ์ให้อยู่เฉพาะบริเวณจุดปะทะเท่านั้น โดยมีกระบวนการหารือผ่านนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม และผู้บัญชาการกองทัพของทั้งสองฝ่าย

“แม้ฝ่ายไทยจะใช้ความอดทนและเน้นการเจรจาเป็นหลัก แต่การดำเนินการของฝ่ายกัมพูชา กลับไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์สันติภาพ” นายนิกรเดช กล่าว

กัมพูชาปฏิเสธแนวทางลดความตึงเครียด ขัดข้อตกลง MOU 2543

ในช่วงวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา มีการประชุมหารือระดับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศ ที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งฝ่ายไทยได้เสนอให้มีการปรับลดกำลังทหารกลับสู่ระดับก่อนเกิดเหตุการณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเผชิญหน้าทางทหาร และลดผลกระทบต่อประชาชนบริเวณชายแดน

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายกัมพูชากลับปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวโดยทันที และยังคงเสริมกำลังทหารในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปฏิเสธการดำเนินงานตามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ปี 2543 ที่วางแนวทางไว้สำหรับการเจรจาอย่างสันติ ซึ่งโฆษกกระทรวงการต่างประเทศมองว่า การกระทำดังกล่าวสะท้อนถึงการขาดเจตจำนงร่วมในการยุติความขัดแย้ง

ไทยตอบสนองด้วยมาตรการควบคุมชายแดนแบบขั้นตอน

ภายใต้สถานการณ์ที่มีแนวโน้มจะขยายตัว สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้ประชุมเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 และมีมติเห็นชอบให้ยกระดับมาตรการรักษาความมั่นคง โดยมอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 และกองทัพภาคที่ 2 รวมถึงกองกำลังจันทบุรีและตราด กำหนดแนวทางควบคุมการเปิด-ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ตามความเหมาะสมและสภาพการณ์

พล.ต.วินธัย สุวารี ระบุว่า มาตรการดังกล่าวจะดำเนินการเป็น 4 ขั้นตอน เริ่มจากการจำกัดการผ่านแดนเฉพาะบุคคลที่มีเหตุจำเป็น เช่น การรักษาพยาบาล หรือการศึกษา จากนั้นจะมีการควบคุมช่วงเวลาเปิด-ปิดจุดผ่านแดน และอาจดำเนินมาตรการ “Selective Closure” หรือการปิดบางจุดผ่านแดนชั่วคราวในพื้นที่เสี่ยง สุดท้ายหากสถานการณ์รุนแรงถึงระดับวิกฤต อาจมีการปิดแนวชายแดนทั้งหมดในระยะสั้น

“แม้จะมีคำสั่งให้ควบคุมชายแดน แต่กองทัพยังคงประสานงานกับทุกหน่วยเพื่อไม่ให้กระทบกับชีวิตประจำวันของประชาชนโดยไม่จำเป็น” พล.ต.วินธัย กล่าว

กระทรวงกลาโหมยืนยันยังยึดสันติวิธี รัฐบาลไทยพร้อมเปิดเวทีเจรจา

พ.อ.หญิง ผศ.ดร.พญ.ดังใจ สุวรรณกิตติ กล่าวเสริมว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กำชับหน่วยในพื้นที่ให้เฝ้าระวังอย่างเข้มข้น และยืนยันว่าฝ่ายไทยยังไม่ปิดโอกาสการเจรจา โดยยังคงยึดมั่นแนวทางสันติวิธี และความร่วมมือกับกัมพูชาผ่านกลไกทวิภาคี อาทิ การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยเขตแดน (JBC) ที่จะจัดขึ้น ณ กรุงพนมเปญ ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้

ทั้งนี้ ฝ่ายไทยเน้นย้ำว่าการดำเนินการของตนมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ รวมถึงความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดน โดยจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้มาตรการควบคุมกระทบต่อการค้า วิถีชีวิต หรือความสัมพันธ์ของประชาชนตามแนวชายแดน

สรุปสถานการณ์

สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชาตามแนวชายแดนตะวันออก แม้จะมีร่องรอยความรุนแรงจากเหตุปะทะ แต่รัฐบาลไทยยังคงเดินหน้าด้วยแนวทางที่รอบคอบบนพื้นฐานของสันติวิธี มุ่งเน้นการรักษาอธิปไตย ควบคู่ไปกับความพยายามลดผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนและความสัมพันธ์ระดับประชาชนกับประชาชน อนาคตของเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนจะขึ้นอยู่กับการตอบสนองของฝ่ายกัมพูชา และประสิทธิภาพของกลไกเจรจาทางการทูตที่ทั้งสองประเทศได้วางไว้

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย, แถลงข่าวอย่างเป็นทางการ 7 มิถุนายน 2568
  • สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)
  • กองทัพบกไทย
  • สำนักข่าวความมั่นคงชายแดนภาคตะวันออก
  • บันทึกความเข้าใจ MOU ปี 2543 ไทย-กัมพูชา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายคุยเมียนมา พัฒนาสาธารณสุข พื้นที่ชายแดน

ไทย-เมียนมา จับมือพัฒนาสาธารณสุขชายแดน คณะกระทรวงการต่างประเทศลงพื้นที่เชียงราย หารือแนวทางความร่วมมือ

เชียงราย, 4 มีนาคม 2568 – รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย เพื่อหารือความร่วมมือด้านสาธารณสุข ไทย-เมียนมา โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน มุ่งส่งเสริมการพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข การควบคุมโรคติดต่อ และการสนับสนุนด้านการศึกษาแก่ชาวเมียนมา พร้อมร่วมแลกเปลี่ยนแนวทางความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่

หารือแนวทางพัฒนาสาธารณสุขชายแดน

นายไพศาล หรูพาณิชย์กิจ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมด้วย นายจุลวัจน์ นรินทรางกูร ณ อยุธยา อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ และคณะ ได้ลงพื้นที่ จังหวัดเชียงราย เพื่อหารือแนวทางความร่วมมือด้านการพัฒนาสาธารณสุขระหว่างไทยและเมียนมา โดยได้รับการต้อนรับจาก นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายรุจติศักดิ์ รังษี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องรับรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ศาลากลางจังหวัดเชียงราย

การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการสนับสนุนความร่วมมือด้านสาธารณสุขแก่เมียนมาตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือไทย-เมียนมา ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 3-5 มีนาคม 2568 ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข การควบคุมโรคติดต่อ และการเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ชายแดน

แนวทางขับเคลื่อนความร่วมมือ ไทย-เมียนมา

ภายหลังการประชุมหารือ นายไพศาล หรูพาณิชย์กิจ และคณะ ได้ร่วมประชุมกับหัวหน้าหน่วยงานราชการและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมพญาพิภักดิ์ ชั้น 2 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย เพื่อขับเคลื่อนแผนพัฒนาความร่วมมือระหว่างไทยและเมียนมา โดยมีประเด็นหารือสำคัญ ดังนี้

  1. แนวทางการพัฒนาสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดน
    • การสนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์และยารักษาโรคแก่โรงพยาบาลชายแดน
    • การฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่เพื่อเสริมศักยภาพการให้บริการด้านสุขภาพ
    • การสร้างความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลชายแดนของไทยและเมียนมา เพื่อให้สามารถรับส่งต่อผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. การควบคุมและป้องกันโรคติดต่อระหว่างประเทศ
    • การติดตั้งระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนโรคติดต่อที่อาจแพร่ระบาดในพื้นที่ชายแดน
    • การบูรณาการข้อมูลด้านสุขภาพของไทยและเมียนมา เพื่อให้สามารถดำเนินมาตรการควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • การรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับโรคติดต่อที่พบบ่อย และแนวทางการป้องกัน
  3. ความร่วมมือด้านการศึกษาแก่ชาวเมียนมา
    • การส่งเสริมการศึกษาสำหรับเด็กชาวเมียนมาในพื้นที่ชายแดน
    • การสนับสนุนหลักสูตรภาษาไทยให้แก่แรงงานข้ามชาติ เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงานอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย
    • การขยายความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาไทยและเมียนมา เพื่อยกระดับการศึกษาของเยาวชนในพื้นที่

นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับอุปสรรคในการดำเนินงานที่ผ่านมา รวมถึงแนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ลงพื้นที่เยี่ยมชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ภายหลังการประชุมหารือ รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และคณะ ได้เดินทางไปยัง อำเภอแม่สาย เพื่อตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสาธารณสุขชายแดน ได้แก่

  • โรงพยาบาลแม่สาย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักในการให้บริการด้านสาธารณสุขแก่ประชาชนในพื้นที่ชายแดน และรับส่งต่อผู้ป่วยจากฝั่งเมียนมา
  • ด่านศุลกากรแม่สาย เพื่อตรวจสอบมาตรการควบคุมและป้องกันโรคติดต่อที่อาจแพร่ระบาดจากการเดินทางข้ามแดน
  • ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการเฝ้าระวังและป้องกันโรคติดต่อที่อาจแพร่ระบาดจากการเดินทางระหว่างประเทศ
  • ด่านพรมแดนแม่สายแห่งที่ 2 ซึ่งเป็นจุดผ่านแดนสำคัญระหว่างไทยและเมียนมา ที่มีการเดินทางของแรงงานข้ามชาติและนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก

สถิติที่เกี่ยวข้องกับสาธารณสุขชายแดนไทย-เมียนมา

  • จำนวนผู้ป่วยชาวเมียนมาที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลไทย (ปี 2567) – มากกว่า 30,000 ราย
  • จำนวนแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงราย – ประมาณ 50,000 คน
  • สัดส่วนโรคติดต่อที่พบมากในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา (ปี 2567)
    • วัณโรค 35%
    • ไข้มาลาเรีย 25%
    • โรคติดต่อทางเดินอาหาร 20%
    • โรคระบบทางเดินหายใจ 15%
  • งบประมาณที่ไทยให้การสนับสนุนด้านสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนเมียนมา (ปี 2567) – มากกว่า 200 ล้านบาท

ความคิดเห็นจากภาคส่วนต่างๆ

กลุ่มที่สนับสนุนความร่วมมือไทย-เมียนมา

  • บุคลากรทางการแพทย์ เห็นว่าการพัฒนาระบบสาธารณสุขในพื้นที่ชายแดนจะช่วยลดภาระของโรงพยาบาลในประเทศไทย และช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ
  • ภาคธุรกิจในพื้นที่ชายแดน มองว่าการปรับปรุงมาตรฐานสุขอนามัยจะช่วยส่งเสริมการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ
  • องค์กรระหว่างประเทศและ NGOs สนับสนุนให้มีการบูรณาการข้อมูลด้านสุขภาพระหว่างไทยและเมียนมา เพื่อให้สามารถควบคุมโรคติดต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

กลุ่มที่กังวลเกี่ยวกับผลกระทบของความร่วมมือ

  • ประชาชนในพื้นที่ กังวลว่าการเปิดรับแรงงานข้ามชาติและการให้บริการทางการแพทย์แก่ชาวเมียนมา อาจทำให้ทรัพยากรด้านสาธารณสุขของไทยตึงตัว
  • กลุ่มนักวิชาการด้านสาธารณสุข ระบุว่าจำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เพื่อให้ความช่วยเหลือสามารถดำเนินไปได้โดยไม่กระทบต่อบริการสาธารณสุขของคนไทย

บทสรุป

การหารือความร่วมมือด้านสาธารณสุขไทย-เมียนมาในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพในพื้นที่ชายแดน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง และลดความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยจำเป็นต้องหาสมดุลระหว่างการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับการรักษาทรัพยากรสาธารณสุขให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนในประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ก.ต่างประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูล กับผู้อบรมจากสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

 

เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 นางกาญจนา ภัทรโชค อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงฯ พร้อมรองอธิบดีธนวัต ศิริกุล และผู้บริหารของกรมฯ ได้ให้การต้อนรับผู้เข้ารับการอบรมโครงการ “เพิ่มองค์ความรู้สื่อมวลชนเรื่อง: โลกาภิวัตน์ในกระบวนทัศน์ใหม่ของสื่อ” จากสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ 31 คน โดยได้บรรยายและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับทิศทางนโยบายต่างประเทศ แนวทางการรายงานข่าวด้านการต่างประเทศของสื่อมวลชนไทย ตลอดจนบทบาทและภารกิจของกระทรวงการต่างประเทศ และจุดเน้นด้านการต่างประเทศของรัฐบาล ทั้งนี้ อธิบดีฯ ได้เน้นความสำคัญของสื่อมวลชนในการสร้างองค์ความรู้ด้านการต่างประเทศต่อสาธารณชน การสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ในเวลาที่เหมาะสม รวมถึงยังได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการสื่อสารในช่วงวิกฤต และการสร้างความเข้าใจอันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน

ในโอกาสนี้ นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้เข้าร่วมการอบรมหลักสูตรโครงการ “เพิ่มองค์ความรู้สื่อมวลชนเรื่อง : โลกาภิวัตน์ในกระบวนทัศน์ใหม่ของสื่อ” ซึ่งจัดขึ้นโดยสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้แนะนำถึงโครงการอบรมที่มีผู้เข้าร่วมจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และสื่อมวลชน ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อให้ส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับการสื่อสารองค์กรของหน่วยงานแต่ละแห่งได้มีโอกาสสร้างเครือข่าย ทำความเข้าใจ แลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติ และศึกษากลยุทธ์ในการสื่อสารจากภาคส่วนต่าง ๆ โดยการได้รับฟังแนวทางทางการสื่อสารจากกระทรวงการต่างประเทศทำให้เข้าใจประเด็นต่าง ๆ มากขึ้น และพร้อมร่วมมือกับกระทรวงฯ ต่อไป 
 
 
 
 
 
Department of Information welcomed and exchanged views with participants of an executive training course by the National Press Council of Thailand
 
On 9 January 2024, Mrs. Kanchana Patarachoke, Director-General of the Information Department and the Ministry’s Spokesperson, together with Deputy Director-General Thanawat Sirikul, as well as executives of the Department received 31 participants of the “Globalization in the new paradigm of media” course, hosted by the National Press Council of Thailand (NPCT). The Department briefed the group on ways and means to report news on international affairs by Thai media, roles and duties of the Ministry, as well as the key focuses of the Government’s foreign policy. DG Kanchana also stressed on the importance of the media in shaping public perception of global affairs, communication of correct and useful information in the timely manner, communication during the time of crisis, and also ways to develop understanding with neighbouring countries.
 
 
On this occasion, Mr. Chavarong Limpattamapanee, Chairman of the NPCT, introduced the course that is comprised of participants from public, private, civil society, and media sectors and informed that the objective of this couse is to provide an opportunity for those working in each agency’s public relations to network, build understanding, exchange practices, and learn one another’s communication strategies. The views exchanged with the Ministry provided the understanding of various issues to the participants which stand ready for further cooperation with the Ministry.
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการต่างประเทศ Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News