Categories
AROUND CHIANG RAI

เชียงรายทะยาน! หลังรัฐใช้มาตรการภาษีท่องเที่ยว เมืองรอง กระตุ้นเงินสะพัด 3.5 หมื่นล้าน

เที่ยวไทยลดหย่อนภาษี” เขย่าดีมานด์ปลายปี—เชียงรายฉวยจังหวะกวาดรายได้ 3.59 หมื่นล้าน ใน 9 เดือนแรก จ่ออัพไซด์อีกระลอกหากมาตรการเดินหน้าเต็มรูปแบบ

เชียงราย, 15 ตุลาคม 2568 — ลมหนาวกำลังขยับตัวลงสู่ดอยนางนอน ขณะที่แสงเช้ายังแตะยอดชาเพียงบางส่วน ข่าวดีที่เดินทางมาพร้อมอากาศเย็นคือ “โอกาสทางเศรษฐกิจ” ของเชียงราย เมื่อ คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) มีมติเห็นชอบ มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวผ่านสิทธิลดหย่อนภาษี นำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวมาหักภาษีได้ สูงสุด 20,000 บาท กำหนดช่วงใช้สิทธิ 29 ต.ค.–15 ธ.ค. ซึ่งพ้องกับหน้าท่องเที่ยวปลายปีโดยตรง

สำหรับ “เมืองรอง” อย่างเชียงราย มาตรการยังให้น้ำหนักเป็นพิเศษด้วย ตัวคูณ 1.5 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองรอง เพิ่มแรงดึงดูดให้เงินสะพัดกระจายสู่ชุมชนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ฝั่งผู้ประกอบการโรงแรมในเมืองรองยังจะได้สิทธินำค่าใช้จ่าย ปรับปรุงโรงแรม” หักภาษีได้ 2 เท่า (เช่น ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ปรับปรุงระบบพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์ ฯลฯ) เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและลดต้นทุนในระยะยาว

ภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.–ก.ย.) เชียงรายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 35,926 ล้านบาท เป็น อันดับ 2 ของภาคเหนือ รองจากเชียงใหม่ที่ 78,249 ล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงยืนยันศักยภาพของจังหวัดในฐานะ “ดาวเด่นเมืองรอง” หากยังส่งสัญญาณว่ามาตรการลดหย่อนภาษีปลายปีนี้ อาจกลายเป็นตัวเร่ง (catalyst) ให้กราฟรายได้พุ่งขึ้นอีกระลอกในช่วงเวลาเพียง 48 วันของการใช้สิทธิ—ช่วงเวลาสั้นแต่ทรงพลังในปฏิทินท่องเที่ยวไทย

ทำไม “ลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว” ถึงถูกมองว่าเป็น Quick Big Win

ปัญหาตั้งต้นที่ครม.เศรษฐกิจมองเห็น คือ สัญญาณการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวที่ชะลอ โดยมีดัชนีบางตัวติดลบราว 8% เทียบฐานก่อนหน้า ขณะเดียวกัน ภาคส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจซึ่งมีงบฝึกอบรมสัมมนาปีละกว่า 3,000 ล้านบาท มักเร่งใช้ในไตรมาสสุดท้ายจน “กระจุกเวลา” และเกิด งบเหลื่อมปี ในสัดส่วนสูงอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นปีที่ผ่านมา

สูตรคลี่คลาย จึงมาพร้อมกัน 3 ชุด

  • หักลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว” เพื่อดึงกำลังซื้อประชาชนเข้าสู่ตลาดทันที
  • “Front Load สัมมนา” สั่งเร่งเบิกจ่ายงบสัมมนาให้ได้ 60% ภายในเดือนมกราคม เปลี่ยนพฤติกรรม “ไปสิ้นปี” ให้มา “ฉีดเม็ดเงินเร็วขึ้น”
  • แรงจูงใจผู้ประกอบการ” ผ่านหักภาษี 2 เท่า สำหรับการลงทุนปรับปรุงโรงแรม โดยเฉพาะในเมืองรอง ที่รัฐต้องการให้เกิดการยกระดับคุณภาพรองรับดีมานด์ใหม่

เมื่อนำ 3 คันโยกนี้ทำงานพร้อมกัน ผลที่คาดหวังคือ ดีมานด์ฝั่งนักท่องเที่ยวเพิ่ม (จากสิทธิลดหย่อน), ดีมานด์ฝั่งสัมมนารัฐเพิ่ม (จากการ front load), และ ซัพพลายคุณภาพเพิ่ม (จากการลงทุนปรับปรุงโรงแรม) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นใน ไฮซีซันของเชียงราย ที่ปกติมีปริมาณนักท่องเที่ยวหนาแน่นอยู่แล้ว—จึงเป็นเหตุผลที่นโยบายถูกจัดอยู่ในหมวด Quick Big Win ทำช่วงสั้น แต่ให้ผลกว้างและเร็ว

เชียงรายในสมรภูมิแย่งชิงเม็ดเงินท่องเที่ยว “เมืองรอง” ที่ฟอร์มแรง

ข้อมูลรายได้ท่องเที่ยว 17 จังหวัดภาคเหนือ (ม.ค.–ก.ย. 2568) สะท้อนภาพที่น่าสนใจ

  1. เชียงใหม่ 78,249 ล้านบาท
  2. เชียงราย 35,926 ล้านบาท
  3. เพชรบูรณ์ 7,174 ล้านบาท
  4. พิษณุโลก 6,989 ล้านบาท
  5. ตาก 5,913 ล้านบาท
  6. นครสวรรค์ 5,124 ล้านบาท
  7. แม่ฮ่องสอน 4,856 ล้านบาท
  8. ลำปาง 3,991 ล้านบาท
  9. น่าน 3,298 ล้านบาท
  10.  สุโขทัย 2,623 ล้านบาท
  11. แพร่ 2,344 ล้านบาท
  12. อุตรดิตถ์ 1,864 ล้านบาท
  13. พะเยา 1,846 ล้านบาท
  14. ลำพูน 1,481 ล้านบาท
  15. กำแพงเพชร 1,428 ล้านบาท
  16. อุทัยธานี 1,343 ล้านบาท
  17. พิจิตร 1,203 ล้านบาท

สองตัวเลขแรก แสดง “ความต่างเชิงสเกล” ระหว่างเมืองหลักและเมืองรอง แต่สิ่งที่ทำให้เชียงรายโดดเด่นคือ อัตราเร่งของเม็ดเงิน ที่เติบโตตามโครงสร้างใหม่—ตั้งแต่ สนามบิน–โลจิสติกส์–ที่พัก–สินค้าเชิงวัฒนธรรม–ชายแดนเศรษฐกิจ ไปจนถึงแลนด์มาร์คธรรมชาติ–ศิลปะร่วมสมัย ที่สร้าง “เหตุผลซ้ำ” ให้คนกลับมาเยือน ประเทศไทยเคยพิสูจน์มาแล้วว่า นโยบายภาษีท่องเที่ยว เมื่อออกแบบคมและสื่อสารชัด สามารถสร้างแรงโค้ง (curvature) ให้กราฟรายได้พลิกขึ้นได้ในระยะสั้นโดยไม่ต้องใช้งบประมาณก้อนใหม่จำนวนมาก

สำหรับเชียงราย เมื่อตัวคูณ 1.5 เท่า เปิดใช้งานกับค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองรอง เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร บริการนำเที่ยว (ตามหลักเกณฑ์ที่จะประกาศโดยกรมสรรพากร) เม็ดเงินของนักท่องเที่ยวชาวไทย อาจถูก “รีรูต” จากเมืองหลักมาสู่เชียงราย มากขึ้น—โดยเฉพาะกลุ่ม “นักเดินทางสายวางแผน” ที่ต้องการเอกสารค่าใช้จ่ายชัดเจนสำหรับยื่นภาษีปลายปี

เสียงนโยบายจากส่วนกลาง “ทำสั้น ทำให้ใหญ่ ประชาชนได้ประโยชน์”

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังการประชุมครม.เศรษฐกิจว่า มาตรการนี้ออกแบบให้ ประชาชนทั่วไปนำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวมาหักภาษีได้สูงสุด 20,000 บาท และ ถ้าเดินทางเมืองรองจะหักได้ 1.5 เท่า (เช่น ใช้จ่าย 10,000 บาท หักได้ 15,000 บาท) ขณะเดียวกัน รัฐยังขอให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ front load การสัมมนา-ฝึกอบรม อย่างน้อย 60% ภายในเดือนมกราคม เพื่ออัดฉีดดีมานด์ระยะสั้น ส่วนด้านซัพพลาย มาตรการ หักภาษี 2 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายปรับปรุงโรงแรม—โดยเฉพาะงานที่หนุนความยั่งยืน เช่นโซลาร์—ถูกผลักดันเพื่อให้ผู้ประกอบการกล้าลงทุนยกระดับคุณภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น

สาระสำคัญอีกด้านคือ การปรับลดภาษีสถานบริการจาก 10% เหลือ 5% โดยกรมสรรพสามิตและกระทรวงมหาดไทยร่วมกันผลักดัน เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการ เข้าระบบ” และได้สิทธิภาษีตามกฎหมาย ควบคู่กับการตั้ง KPI การเบิกจ่ายภาครัฐ ทั้งปีไม่ต่ำกว่า 93% (และงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 75%) ลดปัญหา “กันเหลื่อมปี” มูลค่าสูง

แกนคิดของนโยบาย  “Quick Big Win ทำสั้น ทำให้ใหญ่ และประชาชนได้ประโยชน์—โดยเฉพาะในช่วงเวลาจำกัดก่อนการยุบสภา” ซึ่งสะท้อนแรงขับเคลื่อนเชิงเวลาอย่างชัดเจน

เชียงรายคว้าโอกาสอย่างไร จาก “สิทธิของคนไทย” สู่ “รายได้ของท้องถิ่น”

  1. ตั้งโต๊ะข้อมูล—ทำโปรแกรม “เที่ยวเชียงรายให้คุ้มภาษี”
    ภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ควรทำ ชุดข้อมูลพร้อมใช้ สำหรับนักท่องเที่ยวไทย เส้นทาง–ที่พัก–ร้านอาหาร–กิจกรรม–ค่าใช้จ่ายประมาณการ–จุดรับใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ พร้อม “Checklist เอกสาร” สำหรับยื่นหักภาษี (ใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน/หลักฐานชำระเงิน) แพ็กเป็นหน้าเดียวดาวน์โหลดได้ เพื่อให้ การตัดสินใจเดินทางเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงเอกสารไม่ครบ
  2. กระตุ้นตลาดสัมมนา (MICE) ด้วย Front Load
    เชียงรายมีความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐาน (สนามบิน, ศูนย์ประชุม, ที่พักหลายระดับราคา) การเน้นขาย แพ็กเกจสัมมนา–ศึกษาดูงาน ที่มีโปรแกรมความยั่งยืน (เยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้อาชีพ, กิจกรรม CSR ปลูกป่า–เก็บขยะ, เส้นทางกาแฟ–ชา) จะตอบโจทย์ทั้ง KPI เบิกจ่าย ของหน่วยงานและ ภาพลักษณ์องค์กร ไปพร้อมกัน
  3. สองเท่าเพื่อโรงแรม”—ลงทุนที่ลดต้นทุนระยะยาว
    โอกาสของผู้ประกอบการโรงแรมอยู่ที่ การคัดโครงการลงทุนที่คืนทุนไว และมีเอกสารครบถ้วนตามเกณฑ์ภาษี เช่น โซลาร์รูฟ–ระบบน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์–ประตูคีย์การ์ดประหยัดไฟ–ฉนวนกันความร้อน–ปรับปรุงเครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงาน พร้อมจัดระบบเอกสารเพื่อใช้สิทธิได้เต็มมูลค่า
  4. แผนสื่อสาร “เมืองรอง x 1.5 เท่า” เจาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือน
    กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ฐานภาษีกลาง–บน) คือตลาดหลักของมาตรการนี้ เชียงรายควรสื่อสารแบบ ตรงกลุ่ม ผ่านบริษัท–สมาคมวิชาชีพ–เครือข่าย HR—ด้วยข้อความง่าย ๆ ว่า “พาเพื่อนไปเชียงรายช่วง 29 ต.ค.–15 ธ.ค. ใช้สิทธิ 1.5 เท่าได้” พร้อมลิงก์ดาวน์โหลด “แพ็กคู่มือภาษีท่องเที่ยวเชียงราย”

คำถาม–คำตอบที่ประชาชนอยากรู้ 

  • ใช้สิทธิอะไรได้บ้าง?
    โดยหลัก “ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว” ครอบคลุมที่พัก บริการท่องเที่ยว และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง ต้องรอประกาศหลักเกณฑ์จากกรมสรรพากร ระบุรายการและเอกสารที่ยอมรับอย่างชัดเจน
  • ทำไมต้องขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ?
    เพราะ ภาษีเป็นกฎหมายเอกสาร ใบกำกับภาษี (เต็มรูปแบบ) ตามมาตรา 86/4 เป็นหลักฐานสำคัญในการหักลดหย่อน ภาคเอกชนควรเตรียมระบบออกเอกสารถูกต้อง พร้อม e-Receipt/e-Tax Invoice เพื่อลดปัญหาตกหล่น
  • ถ้าไม่มีภาษีต้องจ่าย (รายได้ต่ำ) ยังได้ประโยชน์ไหม?
    ผู้ที่ไม่มีภาระภาษีปลายปี อาจไม่ได้ประโยชน์ทางภาษีโดยตรง แต่ยังได้ประโยชน์จากโปรโมชันที่ผู้ประกอบการทำตามแคมเปญ ทั้งนี้รัฐอาจมีมาตรการอื่นประกอบในอนาคต—ต้องติดตามมติ ครม. และประกาศทางการ
  • ตัวคูณ 1.5 เท่าใช้กับทุกจังหวัดเมืองรองหรือไม่?
    หลักการคือ “ค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในเมืองรอง” จึงได้ตัวคูณ 1.5 เท่า รายชื่อเมืองรอง ต้องยึดตามประกาศทางการ ที่จะออกมาพร้อมหลักเกณฑ์

ความเสี่ยงที่ต้องจับตา ทำเร็ว—แต่ต้องแม่น

  1. ไทม์ไลน์–รายละเอียดกฎหมาย
    แม้มติครม.เศรษฐกิจเห็นชอบหลักการแล้ว แต่ การบังคับใช้จริงต้องผ่าน ครม. และประกาศกรมสรรพากร ระบุรายการ–เงื่อนไข–ประเภทเอกสาร—หน่วยงานท้องถิ่นและเอกชนต้อง สื่อสารแบบมีเงื่อนไข ว่า “ใช้สิทธิตามหลักเกณฑ์ที่จะประกาศ” เพื่อลดความสับสน
  2. ความพร้อมเอกสารของผู้ประกอบการรายเล็ก
    ร้านอาหาร–โฮมสเตย์–ทัวร์ท้องถิ่นบางแห่ง ยังไม่มีระบบ e-Tax ควรได้รับการช่วยเหลือเชิงเทคนิคอย่างเร่งด่วน เช่น คลินิกภาษีเคลื่อนที่ ร่วมกับสำนักงานสรรพากรพื้นที่–หอการค้าจังหวัด–ททท. เพื่อให้ เม็ดเงินสิทธิภาษีไม่รั่วไหลเพราะเอกสารไม่ครบ
  3. กำลังรองรับไฮซีซัน
    หากดีมานด์พุ่งเร็ว ที่พัก–การคมนาคม–สถานที่ท่องเที่ยวต้อง บริหารสมดุล ระหว่างปริมาณ–คุณภาพ–ความปลอดภัย เช่น แผนจราจร–ที่จอดรถ–การจัดการขยะ–ห้องน้ำสาธารณะ—ทั้งหมดคือ “ประสบการณ์รวม” ที่กำหนดการกลับมาเยือน

มุมมองเศรษฐกิจท้องถิ่น 1 บาทของนักท่องเที่ยว หมุนเป็นกี่บาทในชุมชน

งานวิจัยด้านท่องเที่ยวจำนวนมากชี้ว่า ตัวคูณทางเศรษฐกิจ (tourism multiplier) ของเมืองรองมักสูงกว่าค่าเฉลี่ย เพราะเงินส่วนใหญ่กระจายสู่ SMEs และชุมชน ทั้งร้านอาหารท้องถิ่น–รถเช่า–งานฝีมือ–ไกด์ท้องถิ่น ในเชียงรายซึ่งมีฐานผู้ประกอบการสร้างสรรค์จำนวนมาก (กาแฟ–ชา–ศิลปะ–งานจักสาน–สิ่งทอ) มาตรการที่ ขยับคนให้เดินทาง” จึงเท่ากับ ขยับเศรษฐกิจฐานราก” ในทันที

โดยเฉพาะเมื่อจับคู่กับ ตลาดสัมมนา ที่กำลังถูก front load หากหน่วยงานรัฐเลือกเชียงรายเป็นที่จัดกิจกรรม สกุลเงินที่ไหลเข้ามักมีสัดส่วนใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่า ทริปสั้นของครอบครัว และยังสร้างอุปสงค์ให้ห่วงโซ่อุปทาน บริการคุณภาพ เช่น รถบัสมาตรฐานสูง–ล่าม–ทีมเทคนิค–อุปกรณ์ประชุม—ช่วยยกระดับ ecosystem ท้องถิ่นให้เข้มแข็งขึ้น

เชียงรายต้อง “ขายอะไร” ใน 48 วันทองของภาษีท่องเที่ยว

  • เส้นทางลมหายใจปลายปี แม่ฟ้าหลวง–ดอยตุง–ไร่ชาฉุยฟง–ดอยผาหมี–สามเหลี่ยมทองคำ–เชียงแสน—แพ็กเป็น “วันธรรมชาติ x วันวัฒนธรรม” พร้อมจุดซื้อของฝากชุมชนและร้านอาหารที่ออกใบกำกับภาษีได้
  • สายศิลป์–กาแฟ พิพิธภัณฑ์–แกลเลอรี–สตรีทอาร์ต–คาเฟ่กาแฟพิเศษ—เชื่อมเป็น “ถนนศิลปิน” ในเมือง (เดินได้–ถ่ายรูปสวย–เอกสารครบ)
  • MICE x GREEN แพ็กเกจสัมมนาเช้า–บ่ายเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้กาแฟ/ชา/เกษตรอัจฉริยะ–เย็นงานชื่นใจในชุมชน ภายใต้แนวคิด Low-carbon Meeting มีรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นของที่ระลึกองค์กร
  • เส้นทางข้ามพรมแดน เชื่อมด่านพรมแดนเชียงของ–โครงสร้างพื้นฐานใหม่ (เช่น ทางคู่เด่นชัย–เชียงของที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง)—แม้ยังไม่เปิดใช้ แต่การ เล่าอนาคต สร้างแรงจูงใจให้ผู้ลงทุนและนักท่องเที่ยว “มองเชียงรายเป็นฮับ” ระยะยาว

ทำให้ “สิทธิ” กลายเป็น “รายได้” อย่างเที่ยงธรรมและยั่งยืน

มาตรการ เที่ยวไทยลดหย่อนภาษี” ที่ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบหลักการ กำลังเปิด หน้าต่างเวลา 48 วัน ที่มีความหมายต่อเศรษฐกิจเชียงรายอย่างยิ่ง ตัวเลข 35,926 ล้านบาท ใน 9 เดือนแรกของปีคือฐานที่แข็งแรงอยู่แล้ว แต่การจะแปลง สิทธิของผู้เสียภาษี ให้กลายเป็น รายได้ของจังหวัด จำเป็นต้องอาศัย 3 คีย์เวิร์ด เร็ว–ชัด–ครบเอกสาร

  • เร็ว ในการสื่อสารแพ็กเกจ “เที่ยวเชียงรายให้คุ้มภาษี” สู่กลุ่มเป้าหมาย
  • ชัด ในการระบุเงื่อนไขว่าทุกอย่างเป็นไปตาม ประกาศกรมสรรพากร ที่จะออกมา
  • ครบเอกสาร ในฝั่งผู้ประกอบการ เพื่อให้ผู้บริโภค “ใช้สิทธิได้จริง”

หากเชียงรายทำได้ครบ ภาพที่เราจะเห็นหลังสิ้นสุดมาตรการไม่ใช่เพียง คูปองภาษีที่ถูกใช้หมด แต่คือ SMEs ที่แข็งแรงขึ้น—มาตรฐานบริการที่ดีขึ้น—ทรัพยากรท้องถิ่นที่ถูกเล่าอย่างภาคภูมิ และ เมืองรองที่ยืนอย่างสง่างามในสมรภูมิท่องเที่ยวไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • กระทรวงการคลัง
  • กรมสรรพากร
  • กรมสรรพสามิต & กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • ททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) สำนักงานเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

สหรัฐฯ เก็บภาษี 36% ทั่วหน้า! ผลกระทบมหาศาลต่อเศรษฐกิจไทยทุกระดับ

วิกฤตภาษี 36% จากสหรัฐฯ บทเรียนสำคัญและผลกระทบที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับเศรษฐกิจไทย

ประเทศไทย, 8 กรกฎาคม 2568 – มาตรการภาษี “ตอบโต้” สหรัฐฯ กับ 36% ที่เขย่าเศรษฐกิจไทย เช้าวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 โลกธุรกิจไทยตื่นขึ้นมาพร้อมกับข่าวใหญ่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศผ่านโซเชียลมีเดียหลายช่องทาง สหรัฐอเมริกาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าไทยทุกประเภทในอัตราสูงถึง 36% มีผล 1 สิงหาคม 2568 นี่คือการยกระดับมาตรการ “ภาษีตอบโต้” หรือ Reciprocal Tariff ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในมาตรการปกป้องตลาดสหรัฐฯ ที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

ถ้อยแถลงนี้มีผลกระทบทันทีในวงการธุรกิจอุตสาหกรรมส่งออกของไทย ขณะเดียวกันก็กลายเป็นความกังวลของประชาชนทั่วไปที่อยู่ในสายปฏิบัติการหรือแม้แต่ภาคบริการ เพราะแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่ผลกระทบทางอ้อมจากมาตรการนี้จะแผ่ขยายในวงกว้างและลึกถึงเศรษฐกิจฐานราก

ที่มาและบริบท “ภาษี 36%” – อะไรทำให้ไทยกลายเป็นเป้า?

โดยปกติ สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้ากับสินค้าไทยตามพิกัดศุลกากรปกติ (เฉลี่ย 0-5%) บางประเภทต่ำถึงศูนย์ บางประเภทในกลุ่มเปราะบางอาจสูงขึ้น แต่ทั้งหมดล้วนเป็นไปตามกติกา WTO หรือข้อตกลงทวิภาคี

มาตรการ 36% รอบนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิง เป็นภาษีแบบ “เหมารวม” ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท สะท้อนท่าทีใหม่ที่ “แรง” กว่าทุกครั้งในอดีต จุดเริ่มต้นจากนโยบาย “America First” ที่ต้องการลดดุลการค้าขาดดุลกับต่างชาติ โดยอ้างว่าประเทศคู่ค้าเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ สูงเกินควร จึงต้องเรียกเก็บคืนแบบเท่าเทียม สัญญาณนี้หนักแน่นผ่านจดหมายถึงผู้นำ 14 ประเทศ ซึ่งไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ถูกเก็บ 36% พร้อมกัมพูชา ในขณะที่ ลาวและเมียนมา ถูกเรียกเก็บ 40% ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย 25-30% สะท้อนเจตนาชัดว่าต้องการทบทวนความสัมพันธ์ทางการค้าใหม่หมด

จากห่วงโซ่โลกถึงร้านค้าปลีกในเชียงราย

ผลกระทบต่อการส่งออกไทย

  • สหรัฐฯ คือคู่ค้าสำคัญอันดับต้นของไทย คิดเป็นสัดส่วน 15% ของการส่งออกไทย (ปี 2567 มูลค่ากว่า 48,000 ล้านดอลลาร์)
  • สินค้าหลักที่ได้รับผลกระทบตรง: อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยางพารา ฯลฯ
  • การเก็บภาษี 36% ทำให้ต้นทุนสินค้าสูงขึ้นทันที โอกาสแข่งขันกับเวียดนาม เม็กซิโก หรือแม้แต่สินค้าจีนที่อาจเจรจาผ่อนปรนสำเร็จ จะน้อยลง คำสั่งซื้อใหม่จะถูกย้ายฐานไปประเทศอื่น
  • ผลกระทบลูกโซ่: โรงงานขนาดใหญ่ที่ผลิตเพื่อส่งออกอาจลดกำลังการผลิต เลิกจ้างแรงงาน หรือหยุดการขยายการลงทุนโดยตรง (FDI) ในไทย
  • ภาพรวม GDP ไทยปี 2568 อาจหดตัว 0.3-1.2% หากภาษีนี้คงอยู่ยาวเกิน 6 เดือน (ประมาณการโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ)

กระทบต่อแรงงานและครอบครัว

  • อุตสาหกรรมส่งออกจ้างงานโดยตรงกว่า 3.5 ล้านคน เฉพาะกลุ่มโรงงานใหญ่รอบ กทม.-ภาคตะวันออก
  • ถ้าเพียง 5% ของแรงงานกลุ่มนี้ว่างงาน จะมีผู้ว่างงานใหม่ 175,000 คน ภายในปีเดียว กดดันหนี้ครัวเรือน-ตลาดแรงงานและระบบเงินกู้ในภูมิภาค

ทบถึงภาคเกษตรและเชียงราย

  • เชียงราย แม้ไม่ใช่ฐานการผลิตหลักของสินค้าส่งออกอุตสาหกรรม แต่เป็นแหล่งผลิตสินค้าเกษตรสำคัญ ที่ส่งผลผลิตป้อนโรงงานในภาคกลางและตะวันออก หากโรงงานเหล่านั้นลดคำสั่งซื้อ ราคาสินค้าเกษตรจะตกต่ำ กระทบรายได้เกษตรกรโดยตรง
  • หากคนงานที่กลับภูมิลำเนาเดิม (เช่นจากสมุทรปราการ ชลบุรี) มีรายได้ลดลง ย่อมทำให้กำลังซื้อภายในพื้นที่เชียงรายอ่อนแรง ซ้ำเติมเศรษฐกิจฐานราก

ผลต่อการท่องเที่ยวและบริการ

  • เมื่อรายได้ประชาชนโดยรวมลดลง การเดินทางท่องเที่ยว การใช้บริการในโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้าท้องถิ่นย่อมซบเซาตาม ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
  • ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในพื้นที่จะลดลง การขยายกิจการใหม่ในจังหวัดชะลอตัว

การค้าชายแดน

  • เชียงรายเป็นประตูโลจิสติกส์ไทย-ลาว-เมียนมา เมื่อเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว การค้าชายแดน, การขนส่ง, ธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งขาเข้า-ออกย่อมได้รับผลกระทบตามมา

ไทยควรรับมืออย่างไร?

รัฐบาลต้องเร่งเจรจาและแสวงหาข้อยุติใหม่

  • เร่งเดินหน้าเจรจากับ USTR, ใช้กลยุทธ์ “แลกเปลี่ยน” ลดภาษีสินค้าอเมริกันบางรายการ, เปิดตลาดใหม่ในอาเซียน-ตะวันออกกลาง และเร่งหาพันธมิตรการค้าใหม่รองรับ
  • ต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ลดการพึ่งพาตลาดเดิม พัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะภาคบริการ เกษตรแปรรูป และการท่องเที่ยว

ประชาชนควรบริหารการเงินอย่างรัดกุม

  • มีเงินสำรองฉุกเฉิน 3-6 เดือน ลดภาระหนี้ระยะสั้น สำรวจรายจ่ายอย่างมีวินัย
  • อาชีพเสริม/Reskill คือทางรอดใหม่ ต้องเปิดใจเรียนรู้ทักษะที่ตลาดต้องการหรือสร้างรายได้เสริมผ่านออนไลน์

ธุรกิจท้องถิ่นและเกษตรกรควรขยายตลาดและพัฒนานวัตกรรม

  • ผลิตสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคภายในประเทศมากขึ้น และหันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เป็นช่องทางหลัก
  • กลุ่มเกษตรกรอาจรวมกลุ่มผลิต-ขายตรงให้กับผู้บริโภคในเมือง ลดการพึ่งพาโรงงานขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว

ภาครัฐส่วนภูมิภาค

  • เร่งอบรมอาชีพ-Reskill ให้กับแรงงานที่อาจได้รับผลกระทบ สนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ
  • จัดกิจกรรมส่งเสริมท่องเที่ยว-ตลาดนัดสินค้าเกษตร เพิ่มโอกาสขายในจังหวัด สร้างแรงจูงใจให้คนไทยท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น

วิกฤตภาษี 36% – โจทย์ท้าทายที่คนไทยต้อง “ร่วมมือ” ฝ่าวิกฤต

แม้มาตรการภาษี 36% จากสหรัฐฯ คือความท้าทายทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่สุดในรอบทศวรรษ แต่มันคือบทเรียนสำคัญว่าประเทศที่พึ่งพาการส่งออกและตลาดเดิมมากเกินไปมีจุดเปราะบางสูง โลกใหม่หลังปี 2568 จะยิ่งแข่งกันดุและเปลี่ยนแปลงเร็วยิ่งขึ้น รัฐบาล ภาคธุรกิจ และประชาชนต้องเร่งปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งการต่อรองเจรจา คิดตลาดใหม่ หาช่องทางเสริมรายได้ พร้อมกับวินัยการเงินและนวัตกรรมในชีวิตประจำวัน

วิกฤตนี้หนักหนาแต่ไม่ใช่จุดจบ หากเราร่วมมือกัน สร้างภูมิคุ้มกันใหม่ให้ประเทศและเศรษฐกิจฐานราก สังคมไทยจะผ่านพ้นและยืนหยัดได้อย่างมั่นคง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานนโยบาย “ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff)” โดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ CNBCTV
  • ข้อมูลเศรษฐกิจจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC)
  • สถิติแรงงานจากกระทรวงแรงงาน
  • รายงานธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ
  • ข้อมูลภาคส่งออกและการคาดการณ์ GDP จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ (TDRI, EIC)
  • ข่าวการแถลงของนายพิชัย ชุณหวชิร รมว.คลัง (7 ก.ค. 68)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ธนารักษ์เอื้อราษฎร์ รมช.คลัง มอบที่ดินทำกิน-ที่อยู่ ลดเหลื่อมล้ำแม่สาย

รมช.คลังมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” แก่ชาวแม่สาย หนุนความมั่นคงที่ดิน ลดเหลื่อมล้ำ สู่เศรษฐกิจฐานรากเข้มแข็ง

เชียงราย, 12 มิถุนายน 2568 – นับเป็นอีกก้าวสำคัญของนโยบายด้านที่ดินเพื่อประชาชน เมื่อกระทรวงการคลัง โดยนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ลงพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชร.1154 ให้กับประชาชนตามโครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” ซึ่งมีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน ลดความเหลื่อมล้ำด้านทรัพย์สิน และขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืนให้แก่ประชาชนฐานราก

พิธีมอบสัญญาเช่า สู่ชีวิตใหม่ของ 200 ครอบครัวแม่สาย

บรรยากาศที่หอประชุมที่ว่าการอำเภอแม่สายในวันนี้อบอวลด้วยรอยยิ้มและความปลื้มปีติของประชาชน 196 รายที่ได้รับสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุอย่างเป็นทางการ อีก 4 รายได้รับการอนุมัติเพิ่มเติม รวมทั้งสิ้น 200 ราย รวมพื้นที่ประมาณ 31 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา การส่งมอบสัญญาเช่าในครั้งนี้ นอกจากจะสร้างหลักประกันด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้แก่ชาวบ้านแล้ว ยังเป็นการขับเคลื่อนเจตนารมณ์ของรัฐในการจัดการทรัพยากรเพื่อสาธารณะอย่างเป็นธรรม

โดยมีนายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ นายวรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่สาย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมเป็นเกียรติ ร่วมแสดงความยินดีกับประชาชนผู้รับสัญญาเช่า

จากนโยบายสู่ความเปลี่ยนแปลงจริง

โครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ตอบโจทย์ปัญหาการถือครองที่ดินราชพัสดุในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยหรือกลุ่มที่อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่มาก่อนวันที่ 4 ตุลาคม 2546 โดยการให้สิทธิ์เช่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ในอัตราที่เหมาะสม ลดความกังวลเรื่องที่ดินไร้สถานะและปัญหาข้อพิพาท ช่วยสร้างความมั่นคงและเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กรมธนารักษ์ได้ขับเคลื่อนโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนฐานรากมีความมั่นใจในชีวิตและอนาคต สามารถเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐาน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโต

รมช.คลัง ชู “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์” สร้างสังคมแห่งความเสมอภาค

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เน้นย้ำเจตนารมณ์ของรัฐบาลและกระทรวงการคลังในการสร้างความมั่นคงด้านที่ดิน พร้อมขอบคุณทุกหน่วยงานที่ผลักดันและสนับสนุนโครงการจนเกิดผลสำเร็จ ยืนยันว่าจะบริหารจัดการที่ราชพัสดุให้เกิดประโยชน์สูงสุดในด้านที่อยู่อาศัย โอกาสทางเศรษฐกิจ และการเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างเท่าเทียม

ตรวจติดตามแผนป้องกันอุทกภัย เสริมความปลอดภัยระยะยาว

ในโอกาสเดียวกัน คณะรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ ยังได้ลงพื้นที่สะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 1 เพื่อติดตามความคืบหน้าการก่อสร้างคันกั้นน้ำในแผนป้องกันอุทกภัยของอำเภอแม่สาย โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมซ้ำซาก สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและยกระดับคุณภาพชีวิตในพื้นที่ชายแดน

สู่สังคมที่มั่นคงและยั่งยืน

การมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุในวันนี้ จึงเป็นทั้งสัญลักษณ์และกลไกขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของประชาชนแม่สาย นำไปสู่ความมั่นคงด้านที่ดิน การอยู่อาศัยที่ปลอดภัย การทำกินที่ยั่งยืน และการเข้าถึงโอกาสใหม่ๆ ในเศรษฐกิจฐานราก ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเสมอภาคในสังคมไทยอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย (12 มิถุนายน 2568)
  • กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง
  • กระทรวงการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ซื้อหนี้ประชาชน ‘ศิริกัญญา’ ชี้ เสี่ยงซ้ำรอยดิจิทัลวอลเล็ต

ซื้อหนี้เสีย: ‘ทักษิณ’ ชูแนวคิดใหม่, ‘ศิริกัญญา’ เตือนผลกระทบ”

กรุงเทพฯ, 19 มีนาคม 2568 – รองหัวหน้าพรรคประชาชน ตั้งคำถามโครงการซื้อหนี้ หวั่นกระทบความน่าเชื่อถือของรัฐบาล

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงแนวคิดของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เสนอให้รัฐบาลรับซื้อหนี้เสียจากประชาชน โดยยืนยันว่าจะไม่ใช้เงินจากภาครัฐ ซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัยว่ารัฐบาลจะใช้เงินจากแหล่งใด

ข้อกังวลเกี่ยวกับแนวทางการจัดการหนี้

น.ส.ศิริกัญญา ระบุว่า รูปแบบการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้นั้นมีทั้งกรณีที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย พร้อมตั้งคำถามว่าการซื้อหนี้เสียจากธนาคารพาณิชย์จะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดหรือไม่ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์อาจได้รับประโยชน์สูงสุดจากโครงการนี้ ในขณะที่ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบ

นอกจากนี้ แนวคิดเรื่อง การนำลูกหนี้ออกจากเครดิตบูโร ก็อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อในอนาคต หากไม่มีข้อมูลทางเครดิตของประชาชนเลย อาจทำให้การกู้เงินใหม่เป็นไปได้ยากขึ้น เธอเสนอว่า ควรมีแนวทางเปลี่ยนสถานะลูกหนี้เป็น ลูกหนี้ประวัติดี” มากกว่าการลบประวัติทั้งหมด

เปรียบเทียบกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต

น.ส.ศิริกัญญา ยังตั้งข้อสังเกตว่า แผนการซื้อหนี้ประชาชนอาจซ้ำรอยปัญหาของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ยังไม่มีแนวทางชัดเจนจากกระทรวงการคลัง และเคยเผชิญกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการหลายครั้ง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนและตลาดการเงิน

การที่ยังไม่มีแผนการที่ชัดเจน อาจเป็นการพูดเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน แต่หากทำไม่ได้จริงก็อาจส่งผลเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล” น.ส.ศิริกัญญากล่าว

งบประมาณที่ต้องใช้และศักยภาพของภาคเอกชน

แนวคิดของนายทักษิณ ระบุว่าจะซื้อหนี้เสียทั้งหมดจากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งหนี้เสีย (NPL) มีมูลค่ารวมกว่า 1.2 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน บริษัทบริหารสินทรัพย์ในประเทศไทย 87 แห่ง จัดการหนี้เสียรวมเพียง 3 แสนล้านบาท เท่านั้น หากต้องการซื้อหนี้ทั้งหมด ต้องใช้เงินไม่น้อยกว่า 3-5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณที่สูงมาก

น.ส.ศิริกัญญา ยังระบุว่า รัฐบาลต้องมีความชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนที่ใช้ และตั้งคำถามว่า หากไม่มีเงินจากภาครัฐ เงินจะมาจากไหน และใครจะเป็นผู้บริหารหนี้เหล่านี้

ท่าทีของกระทรวงการคลัง

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวคิดนี้ว่า การปรับโครงสร้างหนี้สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การยืดระยะเวลาชำระหนี้และลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นมาตรการที่สถาบันการเงินเคยดำเนินการมาก่อน

แนวทางหนึ่งที่อาจนำมาใช้คือ การตั้งหน่วยงานบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ โดยทำงานร่วมกับสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นเจ้าของหนี้ ในขณะที่ภาครัฐจะมีบทบาทช่วยกำกับดูแล อย่างไรก็ตาม รายละเอียดการดำเนินงานยังอยู่ระหว่างการพิจารณา

เราต้องดูข้อมูลทั้งหมดก่อน และจะหารือกับสมาคมธนาคารไทยเกี่ยวกับแนวทางที่เหมาะสม” นายพิชัยกล่าว

ทักษิณ ชินวัตร ยืนยันแนวคิดช่วยเหลือประชาชน

นายทักษิณ ชินวัตร กล่าวบนเวทีปราศรัยที่จังหวัดพิษณุโลก ยืนยันว่าแผนการซื้อหนี้เป็นนโยบายที่คิดร่วมกับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยมุ่งหวังให้ประชาชนสามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ โดยไม่ต้องใช้เงินจากภาครัฐ แต่จะเป็นการให้ภาคเอกชนลงทุนแทน

สถิติที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหนี้ครัวเรือน

ข้อมูลจาก TTB Analytics ปี 2567 ระบุว่า:

  • หนี้ครัวเรือนไทยมีมูลค่ารวม 16.3 ล้านล้านบาท ณ ไตรมาส 3 ปี 2567
  • บัญชีลูกหนี้ที่ไม่สามารถระบุตัวตน (Anonymous Account) มากกว่า 84 ล้านบัญชี มีหนี้คงค้างกว่า 13.6 ล้านล้านบาท
  • หนี้เสีย (NPL) ที่อยู่ในระบบมีมูลค่ากว่า 1.2 ล้านล้านบาท

สรุป

แนวคิดการซื้อหนี้ของประชาชนจากธนาคารพาณิชย์ที่เสนอโดย นายทักษิณ ชินวัตร กำลังเป็นประเด็นถกเถียงในแวดวงการเมืองและเศรษฐกิจ โดย ฝ่ายสนับสนุนมองว่าเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่มีภาระหนี้สินหนัก ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านกังวลว่า อาจเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด และเพิ่มภาระทางการเงินโดยไม่แน่ชัดว่าเงินทุนจะมาจากแหล่งใด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : TTB Analytics, 2567 / กระทรวงการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกเทศมนตรี-เลขานุการคลัง เยี่ยมอาสาช่วยน้ำท่วมเชียงราย

 

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2567 นายกเทศมนตรีนครเชียงรายและเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้กำลังใจเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิสยามเชียงรายสำนักงานใหญ่ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเชียงราย

จากสถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย หลายภาคส่วนร่วมช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง พร้อมเร่งดำเนินการช่วยฟื้นฟูหลังน้ำลดลง นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ร.ต.อ.ดร.ธนรัช จงสุทธานามณี เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง มอบเงินสดผ่านมูลนิธิสยามเชียงราย สำนักงานใหญ่ ห้าแยกพ่อขุนเม็งราย พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่อาสาสมัครในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเชียงราย
 
ด้านในเขตเทศบาลนครเชียงราย นายพัศพงศ์ ใจคล่องแคล่ว ผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงราย นำผู้ต้องขังจากเรือนจำกลางเชียงรายมาช่วยบรรจุกระสอบทราย ซึ่งผู้ต้องขังมีโอกาสทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม อีกทั้งเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย ขุดลอกระบายน้ำในชุมชนสันตาลเหลือง และนำธงแดงไปติดตั้งจุดสวนสาธารณะหาดนครเชียงราย สะพานพญาเม็งราย ชุมชนป่าแดง เพื่อเตือนระวังอันตรายจากระดับน้ำกก
 
ทางด้าน พ.จ.อ.ภูมิรพี ทวีกสิกรรม รองปลัดเทศบาลนครเชียงราย และกองการแพทย์เทศบาลนครเชียงราย นำถุงยังชีพช่วยเหลือครอบครัวอสม.นครเชียงรายที่ได้รับผลกระทบจากปริมาณน้ำรอการระบาย เนื่องจากปริมาณน้ำฝนตกอย่างต่อเนื่อง
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : เทศบาลนครเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ ธนารักษ์เอื้อราษฎร์ เชียงใหม่-เชียงราย

 

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567 กระทรวงการคลังโดยกรมธนารักษ์จัดพิธีมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ ประจำปี พ.ศ. 2567 ภายใต้โครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ “สัญญาเช่าที่ดิน พลิกชีวิต” พร้อมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลเพื่อแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ระหว่างวันที่ 3 – 4 สิงหาคม 2567 ณ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย โดยในวันที่ 3 สิงหาคม 2567 มีพิธีมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ ในแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชม. 1927 (บางส่วน) ตำบลขี้เหล็ก อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธี และวันที่ 4 สิงหาคม 2567 มีพิธีมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ ในแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ชร. 1154 (บางส่วน) ตำบลเวียงพาคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยมีนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธี โดยที่ผ่านมากรมธนารักษ์จัดให้เช่าที่ราชพัสดุไปแล้วกว่า 134,728 ราย ทั่วประเทศ

นายจำเริญ โพธิยอด อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์ เป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่ในการปกครองดูแลที่ราชพัสดุ และสนับสนุนที่ราชพัสดุเพื่อใช้ประโยชน์ในทางราชการตามภารกิจของหน่วยงาน รวมทั้งการดำเนินโครงการตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีเจตนารมณ์ขับเคลื่อนการบริหารจัดการที่ราชพัสดุให้ผลสัมฤทธิ์สูงสุด และตระหนักถึงนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งเน้น
การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมและเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน โดยพิจารณาที่ราชพัสดุจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ในราชการและปล่อยให้มีการบุกรุก มาสนับสนุนโครงการของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้แก่ประชาชน และจัดให้ประชาชนที่ถือครองที่ราชพัสดุอยู่ก่อนวันที่ 4 ตุลาคม 2546 เช่าที่ราชพัสดุในอัตราผ่อนปรน ผ่านกลไกการจัดให้เช่าของกรมธนารักษ์ ทำให้ประชาชนที่ยินยอมเช่าที่ราชพัสดุสามารถเข้าถึงสาธารณูปโภค ระบบสาธารณูปการ การบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของทางราชการ อีกทั้งเป็นการสร้างรายได้ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ

สำหรับการมอบสัญญาเช่าให้แก่ราษฎรที่ถือครองที่ราชพัสดุในพื้นที่ครั้งนี้ มีผู้ได้รับสัญญาเช่าที่ราชพัสดุรวม 600 ราย ประกอบด้วย อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 100 ราย เนื้อที่ 281 – 1 – 77 ไร่ และอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จำนวน 500 ราย เนื้อที่ 273 – 0 -76.90 ไร่ โดยในปี พ.ศ. 2567 ได้ดำเนินการจัดให้เช่าที่ราชพัสดุมาอย่างต่อเนื่อง 6 พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดนครพนม จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย รวมจำนวน 1,750 ราย รวมเนื้อที่ 5,418 – 2 – 97.90 ไร่ แบ่งเป็นเพื่ออยู่อาศัย เนื้อที่ประมาณ 824-1-56.90 ไร่ และเพื่อการเกษตร เนื้อที่ประมาณ 4,553 – 1 – 93 ไร่ และจะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในอีก 5 พื้นที่ ประกอบด้วย จังหวัดนครสวรรค์ กาฬสินธุ์ ปัตตานี สุราษฎร์ธานี และราชบุรี ซึ่งจะมีผู้ได้รับสิทธิเพิ่มเติมประมาณ 829 ราย

อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวโดยสรุปว่า ที่ผ่านมากรมธนารักษ์ได้ตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้แก่ประชาชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพิ่มคุณภาพชีวิตด้านที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน โดยในปี พ.ศ. 2568 รัฐบาลมีนโยบายดำเนินการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ “สัญญาเช่าที่ดิน พลิกชีวิตประชาชน” โดยตั้งเป้าหมายในการมอบสัญญาเช่าที่ราชพัสดุให้แก่ประชาชนไม่น้อยกว่า 2,000 ราย ให้ครอบคลุมทั้งประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

แจกสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุเชียงราย 273 ไร่ – เชียงใหม่ 281 ไร่

 

เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2567  นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.การคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ ได้เร่งดำเนินโครงการ “ธนารักษ์เอื้อราษฎร์ มอบสัญญาเช่าที่ดิน พลิกชีวิตประชาชน” ซึ่งเป็นโครงการที่ต้องการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินให้แก่ประชาชน เพื่อบริหารที่ดินราชพัสดุให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยในปีนี้มีแผนจัดสรรที่ราชพัสดุให้ประชาชนในพื้นที่ 9 จังหวัด กว่า 1,900 ราย พื้นที่กว่า 7,389 ไร่ ภายใน 6 เดือน ประกอบด้วยจังหวัดนครราชสีมา 248 ไร่, เชียงราย 273 ไร่, เชียงใหม่ 281 ไร่, นครสวรรค์ 1,120 ไร่, นครพนม 661 ไร่, กาฬสินธุ์ 1,174 ไร่, ปัตตานี 29 ไร่, ราชบุรี 1,500 ไร่ และสุราษฎร์ธานี 2,100 ไร่ พร้อมทั้งได้ตั้งเป้าหมายให้กรมธนารักษ์ ต้องจัดสรรที่ดินราชพัสดุให้ประชาชนรายย่อยไม่น้อยกว่า 2 พันรายต่อ1 ปี

 

ทั้งนี้ จากการสำรวจของกรมธนารักษ์ในปี 2561 พบว่า มีที่ราชพัสดุที่ถูกบุกรุกกว่า 6 แสนไร่ โดยในปีที่ผ่านมากรมธนารักษ์ได้จัดสรรทึ่ดินให้ประชาชน ผ่านโครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ ไปแล้วกว่า 1.34 แสนราย เนื้อที่ 3.38 แสนไร่

 

สำหรับโครงการดังกล่าว จะคิดค่าเช่าในอัตราที่ผ่อนปรน โดยที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย หากไม่เกิน 100 ตารางวา อัตราเช่า 0.25 บาท/ตารางวา/เดือน หากเกิน 100 ตารางวา อัตราเช่า 0.50 บาท/ตารางวา/เดือน และหากเป็นที่ดินเพื่อประกอบการเกษตร เนื้อที่ไม่เกิน 50 ไร่ อัตราเช่า 20 บาท/ไร่/ปี และหากเกิน 50 ไร่ อัตราเช่า 30 บาท/ไร่/ปี เป็นสัญญาเช่าครั้งละ 3 ปี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการเช่าของกรมที่ดินให้กับประชาชน แต่สามารถขอเป็นสัญญาเช่า 30 ปีได้ หากผู้เช่าประสงค์จะนำไปเป็นหลักประกันขอสินเชือกับสถาบันการเงิน

เป็นสัญญาเช่าครั้งละ 3 ปี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนการเช่าของกรมที่ดินให้กับประชาชน แต่สามารถขอเป็นสัญญาเช่า 30 ปีได้ หากผู้เช่าประสงค์จะนำไปเป็นหลักประกันขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน

นอกจากนี้ ในส่วนของเป้าหมายการหารายได้ของกรมธนารักษ์ ซึ่งในปีที่ผ่านมามีรายได้กว่า 1 หมื่นล้านบาท และตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้อีกปีละ 5% นั้น ส่วนใหญ่รายได้มาจากการให้เช่าที่ดินเชิงพาณิชย์กว่า 97%

โดยมอบนโยบายให้พิจารณาเรื่องการคิดค่าเช่าที่เชิงพาณิชย์ตามศักยภาพของที่ดิน โดยคิดอัตราค่าตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ไม่น้อยกว่า 3% และยังเปิดให้เช่า 30 ปี หรือทบทวนได้หากมีการต่อสัญญาใหม่

 

ส่วนกรณีที่ราชพัสดุหมอชิต ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมธนารักษ์ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ (รฟม.) และสำนักนโยบายและแผนขนส่งจราจร (สนข.) ทบทวนศักยภาพที่ดิน องค์ประกอบต่าง ๆ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพื่อหาข้อสรุปบนกรอบกฎหมายและต้องถูกต้องตามสัญญา คาดว่าจะมีการประชุมในต้นเดือนหน้า ส่วนเรื่องการขอคืนที่ราชพัสดุคืนจากส่วนราชการ ทางกรมธนารักษ์ ได้ทำหนังสือถึงส่วนราชการว่ามีการใช้ประโยชน์ที่ดินตามที่ได้เสนอขอหรือไม่ และมีผู้บุกรุกที่ดินดังกล่าวหรือไม่ เพื่อนำไปสู่การทำข้อตกลงเพื่อขอที่ดินคืนจากส่วนราชการต่าง ๆ เพื่อนำกลับมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
WORLD PULSE

พัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT)

 

การประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 29 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT)  ระหว่างวันที่ 28 – 29 กันยายน 2566 ณ เมืองบาตัม จังหวัดหมู่เกาะเรียล สาธารณรัฐอินโดนีเซีย

นายจุลพันธ์  อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะรัฐมนตรีประจำแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle: IMT-GT) แถลงว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันอังคารที่ 26 กันยายน 2566 มอบหมายให้ตนเป็นรัฐมนตรีประจำแผนงาน IMT-GT และเดินทางเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 29 แผนงาน IMT-GT ณ เมืองบาตัม จังหวัดหมู่เกาะเรียล สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ในระหว่างวันที่ 28 – 29 กันยายน 2566 เพื่อเข้าร่วมหารือกับรัฐมนตรีประสานงานกิจการเศรษฐกิจ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ประเทศมาเลเซียโดย IMT-GT เป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่าง 3 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ที่มีความเชื่อมโยงของ 3 ประเทศ โดยได้มีการหารือในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่
1. แผนงานการก่อสร้างความเชื่อมโยงทางกายภาพ (Physical Connectivity Projects: PCPs) แผนงาน PCPs เป็นแผนงานที่มีมูลค่ารวมกว่า 2.10 ล้านล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมาโครงการของไทยที่มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรมคือ โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมโยงระหว่างด่านศุลกากรสะเดา-บูกิตกะยูฮิตัม โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก แห่งที่ 2 (สุไหงโก-ลก-รันเตาปันยัง) นอกจากนี้ ไทยจะมีการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในภาคใต้ อาทิ โครงการก่อสร้าง Motor Way หาดใหญ่-สะเดา โครงการก่อสร้าง Land Bridge ชุมพร-ระนอง
2. โครงการเมืองยางพาราและความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยาง แผนงาน IMT-GT มีความก้าวหน้าที่ต่อยอดมาจากการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการเมืองยางพาราและความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมยาง ซึ่งได้ลงนามในการประชุมระดับรัฐมนตรีเมื่อเดือนกันยายน 2565 MOU นี้จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการอำนวยความสะดวกการดำเนินธุรกิจ ส่งผลให้เกิดการกระจายรายได้สู่เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจของภาคใต้
3. ความร่วมมือด้านการเงินเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศไทยโดยกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยและอินโดนีเซีย ได้ร่วมกันผลักดันให้เกิดการชำระเงินระหว่างประเทศผ่านทาง QR Code เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวสามารถชำระเงินเพื่อการซื้อขายสินค้าและบริการได้โดยไม่ต้องแลกเปลี่ยนเงิน และได้แจ้งฝ่ายมาเลเซียเพื่อให้การสนับสนุนเพื่อสร้างความร่วมมือในลักษณะเดียวกันต่อไป

ในการนี้ ที่ประชุมได้ให้การรับรองแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 29 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการร่วมมือกันของประเทศสมาชิก IMT-GT ในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการเงิน รวมถึงการผลักดันให้พื้นที่อนุภูมิภาค IMT-GT พัฒนาไปอย่างยั่งยืนบนฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรม และเป็นการเน้นย้ำถึงบทบาทเชิงสร้างสรรค์ของไทยในฐานะหุ้นส่วนการพัฒนาที่สำคัญในอนุภูมิภาค IMT-GT ที่ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจและสังคมกับประเทศเพื่อนบ้าน อันจะส่งผลให้ไทยมีบทบาทเชิงรุกอย่างสร้างสรรค์และมีความร่วมมือกับนานาชาติในลักษณะที่จะเกื้อหนุนต่อความก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน รวมไปถึงการสร้างผลประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ

อนึ่ง ในวันที่ 28 กันยายน 2566 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้มีโอกาสหารือทวิภาคีกับ Mr. Winfried F. Wicklein ผู้อำนวยการสำนักเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank: ADB) ในประเด็นที่ประเทศไทยต้องการผลักดันให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาเครื่องมือทางการเงิน เช่น ตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-linked Bond: SLB) และการสร้างความร่วมมือทางการเงินเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอนาคตอันใกล้นี้ โดย ADB ได้ตอบรับประเด็นดังกล่าวและจะให้มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิดต่อไป

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0 2273 9020 ต่อ 3613

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงการคลัง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

พลาสติกชีวภาพ (Bio Plastic) ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

 

คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการคลัง เสนอให้สามารถนำเอทานอลไปผลิตอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ นอกเหนือการเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพและการผลิตสุรา สอดรับหลักการ BCG Model ด้านกรมสรรพสามิตขานรับนโยบายหนุนอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ (Bio Plastic) รองรับการขยายตัวตามเทรนด์โลกในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตามยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยภาษีสรรพสามิต มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) สร้างมาตรฐานสากล  เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2566 รับทราบแนวทางส่งเสริมการนำเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากการเป็นเชื้อเพลิงชีวภาพและการผลิตสุรา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG อันจะเป็นการสร้างระบบนิเวศน์เพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสำหรับผู้ผลิตเอทานอลในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับเป้าหมายการเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 กระทรวงการคลังจึงกำหนดแนวทางการส่งเสริม   การนำเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ ซึ่งจะทำให้เกิดการผลิตเม็ดพลาสติกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ในชั้นบรรยากาศ รวมถึงลดการใช้ปิโตรเคมีจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตเม็ดพลาสติก

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร พร้อมดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลัง โดยจะสนับสนุนให้นำเอทานอลไปผลิตพลาสติกชีวภาพได้ โดยกำหนดให้ผู้ใช้เอทานอลจะต้องใช้เอทานอลที่ผลิตในประเทศก่อนเป็นลำดับแรก

สำหรับแนวทางในการนำเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ สามารถสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. จัดทำมาตรฐานการผลิตเอทานอลภายในประเทศ ซึ่งมีสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำมาตรฐานการผลิตเอทานอลร่วมกับผู้เชี่ยวชาญภายในประเทศ ผู้ผลิตเอทานอลและผู้ใช้เอทานอล รวมถึงสนับสนุนการพัฒนามาตรฐานทางเทคนิคและการพัฒนาบุคลากรให้สามารถเป็นผู้ตรวจประเมินตามมาตรฐานที่กำหนด


2. กระทรวงการคลังจะแต่งตั้งคณะกรรมการ ประกอบด้วยผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาปริมาณการผลิตเอทานอลที่เป็นไปตามมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับร่วมกันระหว่างผู้ผลิตเอทานอลและผู้ใช้เอทานอลจากผู้ผลิตในประเทศล่วงหน้าในแต่ละปี ในกรณีที่ผู้ผลิตในประเทศไม่สามารถผลิตเอทานอลได้ตรงตามมาตรฐานและไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้เอทานอล จะกำหนดปริมาณการนำเข้าเอทานอลที่จะได้รับสิทธิอากรขาเข้าในอัตราพิเศษเพื่อนำมาใช้ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ


3. ภาครัฐให้การสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรและผู้ผลิตเอทานอลในประเทศให้สามารถจำหน่าย เอทานอลในราคาที่สามารถแข่งขันกับเอทานอลนำเข้าได้อย่างยั่งยืน


4. กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรจะพิจารณาดำเนินการออกมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการนำเอทานอลไปใช้ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ

โดยคาดว่าในเบื้องต้นจะมีความต้องการใช้เอทานอลประมาณ 450 ล้านลิตรต่อปี ซึ่งแนวทางการส่งเสริมเอทานอลชีวภาพในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับเกษตรกรและผู้ผลิตเอทานอลในการลงทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพของเอทานอลในประเทศไทย รวมถึงเป็นการเพิ่มตลาดใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านการใช้เอทานอลในภาคการขนส่งจากนโยบายการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า” นายเอกนิติกล่าว  

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการผลิตพลาสติกจากวัตถุดิบปิโตรเลียม ประมาณ 5 ล้านตันต่อปี เพื่อใช้ในประเทศและส่งออก ซึ่งหากเปลี่ยนวัตถุดิบเป็นเอทานอลที่มาจากพืช เช่น อ้อย หรือมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นวัตถุดิบชีวภาพ (Bio-based) จะสามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จำนวนมาก โดยกระบวนการปลูกพืช  เพื่อนำมาผลิตเอทานอลและนำไปใช้ในการผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพเป็นกระบวนการผลิตที่มี Carbon Footprint ต่ำ สามารถดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 15 ล้านตันต่อปี นอกจากนี้ ในการผลิตพลาสติกชีวภาพ ผู้ประกอบอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องจักร จึงเป็นการช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยบนเวทีโลก และหากประเทศไทยสามารถปรับกระบวนการผลิตเป็นพลาสติกชีวภาพได้ทั้งหมด 5 ล้านตัน จะช่วยสนับสนุนความต้องการเอทานอลมากกว่า 10,000 ล้านลิตรต่อปี ทำให้เกษตรกรและผู้ผลิตมีความมั่นใจในการลงทุนพัฒนาคุณภาพเอทานอลในประเทศให้มีมาตรฐานระดับสากล ส่งเสริมและสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งส่งผลดีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศจากโอกาสดังกล่าว ที่สำคัญยังเป็นการตอบสนองต่อฉันทามติสากลในการลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ และส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจ BCG อย่างแท้จริง

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News