Categories
ECONOMY

นโยบายการเงินลดดอกเบี้ยกระตุ้นเศรษฐกิจ ลูกหนี้ได้ประโยชน์

เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 2.50% มาอยู่ที่ 2.25% ทำให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งในประเทศไทยทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามมา โดยให้มีผลตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2567 กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ผลของการลดดอกเบี้ยดังกล่าว ว่าจะช่วยลดภาระทางการเงินของลูกหนี้ทั้งภาคครัวเรือนและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ได้ในระยะสั้น และจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว

จากการประเมินของศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าสัดส่วนของสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะอยู่ที่ประมาณ 40.9% ของสินเชื่อรวมในระบบธนาคารพาณิชย์ของไทย การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้รวมเกือบ 1,300 ล้านบาทในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม 2567 แม้จะไม่ส่งผลให้ยอดผ่อนชำระรายเดือนของลูกหนี้ลดลงทันที เนื่องจากการปรับลดดอกเบี้ยในระดับ 0.25% ยังคงไม่มากพอที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างหนี้ที่ลูกหนี้ต้องชำระ แต่ลูกหนี้จะได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยในระยะยาว ซึ่งจะทำให้สามารถปิดสัญญาหนี้ได้เร็วขึ้น

ประโยชน์ที่ลูกหนี้จะได้รับ

การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ส่งผลดีในแง่ของการลดดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย แต่ยังไม่ส่งผลให้ยอดผ่อนชำระรายเดือนลดลงทันที ลูกหนี้ที่มีสินเชื่อบ้านหรือสินเชื่อบุคคลที่มีหลักประกันจะได้รับประโยชน์จากการที่เงินต้นถูกลดลงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้หมดเร็วขึ้น แม้ว่าลูกหนี้ยังต้องสำรองเงินเพื่อชำระยอดผ่อนชำระในแต่ละเดือนเช่นเดิม อย่างไรก็ตาม สำหรับลูกหนี้ที่ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายรายเดือน อาจต้องพิจารณาลดค่าใช้จ่ายในหมวดอื่นๆ ของครัวเรือนร่วมด้วย เช่น ค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยานพาหนะและการเดินทาง

ผลกระทบต่อธุรกิจ SMEs

ในภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs การลดอัตราดอกเบี้ยนี้จะช่วยลดต้นทุนทางการเงินได้บ้าง แต่ยังไม่เพียงพอที่จะส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากต้นทุนหลักของธุรกิจ SMEs อยู่ที่วัตถุดิบ แรงงาน และค่าเช่าสถานที่ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายทางดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ และช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการลงทุนในอนาคตได้ดีขึ้น

อัตราการเติบโตของสินเชื่อในปี 2567

สำหรับภาพรวมของสินเชื่อในปี 2567 ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์อาจปิดปีด้วยการเติบโตไม่เกิน 1.5% เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อการใช้สินเชื่อ โดยปัจจัยอื่นๆ เช่น แนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต การลงทุน และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ ก็เป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณาร่วมด้วย

บทสรุป

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2567 โดยธนาคารพาณิชย์ถือเป็นความพยายามในการปรับลดต้นทุนทางการเงินเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ และช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้ทั้งในภาคครัวเรือนและธุรกิจ แม้ว่าการลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้จะยังไม่ทำให้ยอดผ่อนชำระลดลงทันที แต่จะส่งผลดีต่อการลดภาระหนี้ในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เตรียม Kick Off เปิดเมืองเชียงราย 26 ต.ค. 67 กระตุ้นการท่องเที่ยว

รองผู้ว่าราชการเชียงรายวางแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวส่งเสริมเศรษฐกิจจังหวัด

การประชุมวางแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยว

เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ณ ห้องประชุมพวงแสด ชั้น 3 ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมเพื่อหารือแผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยว รวมถึงการประชาสัมพันธ์และการตลาด เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย การประชุมมีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง

แนวทางการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยว

ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการนำเสนอแนวทางการกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว โดยเน้นการจัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย รวมถึงปฏิทินกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีที่จัดโดยหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อให้เห็นภาพรวมของการพัฒนาการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายอย่างชัดเจน

การฟื้นฟูการท่องเที่ยวและช่วยเหลือผู้ประกอบการ

ในช่วงแรกของแผนการฟื้นฟู จะมุ่งเน้นที่การเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวในพื้นที่ และช่วยเหลือผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย การดำเนินการนี้จะควบคู่กับการสร้างการรับรู้และสร้างภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวให้กลับคืนมาอีกครั้ง เพื่อให้ผู้มาเยือนเกิดความเชื่อมั่นและกระตุ้นการเดินทางมายังจังหวัดเชียงรายในช่วงปลายปีนี้

กิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวประจำปี

ตัวอย่างกิจกรรมที่วางแผนไว้ เช่น ททท.สำนักงานเชียงรายกำหนดจัดกิจกรรมเปิดการท่องเที่ยวภาคเหนือ “เหนือ..พร้อมเที่ยว” ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ณ จังหวัดเชียงราย โดยจะมีพิธีสืบชะตาหลวงล้านนาเพื่อเสริมสิริมงคลแก่เมืองเชียงราย มีผู้ประกอบการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศเข้าร่วมพิธีจำนวน 300 คน นอกจากนี้ยังร่วมกับสายการบิน Thai Air Asia นำคณะสื่อมวลชน บล็อกเกอร์ และ KOL จากกรุงเทพฯ มาเดินทางจัดทำคอนเทนต์การท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย

กิจกรรม Kick Off เปิดเมืองเชียงราย

เทศบาลนครเชียงรายจัดกิจกรรม Kick Off เปิดเมืองในวันที่ 26 ตุลาคม 2567 ณ สวนตุงและโคมเมืองเชียงราย โดยมีกิจกรรมถนนคนเดินและกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวต่อเนื่องไปจนถึงงานลอยกระทงริมคลอง การจัดกิจกรรมนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มสีสันและดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนเชียงรายมากยิ่งขึ้น

การประกวดติ๊กต๊อกเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) จะจัดประกวดติ๊กต๊อกเพื่อสื่อสารให้จังหวัดเชียงรายมีภาพจำที่น่าท่องเที่ยว โดยมีรางวัลเป็นตั๋วเครื่องบิน ที่พัก ร้านอาหาร และร้านกาแฟในจังหวัดเชียงราย สำหรับการท่องเที่ยว 3 วัน 2 คืน ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการโปรโมทจังหวัด

ความร่วมมือเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวถึงความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างทุกภาคส่วนในการฟื้นฟูและส่งเสริมการท่องเที่ยว การผสมผสานระหว่างการท่องเที่ยว กีฬา ผลิตภัณฑ์ชุมชน และวิถีวัฒนธรรมท้องถิ่น จะช่วยให้จังหวัดเชียงรายสามารถเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเตรียมพร้อมสำหรับกิจกรรมตลอดทั้งปี

ในฤดูกาลท่องเที่ยวปีนี้ จังหวัดเชียงรายจะมีกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี โดยมีการจัดงานประชุม สัมมนา และกิจกรรมต่างๆ จากภาครัฐ ภาคเอกชน และท้องถิ่น เช่น เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อให้การส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับเชียงราย

การฟื้นฟูการท่องเที่ยวในเชียงรายไม่เพียงแต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับเมืองเชียงรายในสายตานักท่องเที่ยว การมีสภาพแวดล้อมที่สะอาดและมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจ จะทำให้เชียงรายเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าตื่นตาตื่นใจและมีความน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวในทุกฤดูกาล

บทสรุป

การประชุมวางแผนฟื้นฟูการท่องเที่ยวของรองผู้ว่าราชการเชียงราย เป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูและพัฒนาการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงรายอย่างยั่งยืน ด้วยการร่วมมือกันของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การจัดกิจกรรมที่หลากหลายและมีเป้าหมายชัดเจน จะช่วยให้เชียงรายกลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าดึงดูดและส่งเสริมเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

เหนือ-อีสานหนัก ร้านอาหาร ยอดขายหาย 50% เร่งรัฐบาลแก้

 

เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2567 นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย ได้ออกมาเปิดเผยถึงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อของรัฐบาล โดยเรียกร้องให้มีการลงรายละเอียดให้ชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีเพียงนโยบายที่กล่าวถึงในเชิงทั่วไป และยังขาดรายละเอียดเชิงลึกที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีสามารถเข้าใจและปรับตัวได้

นางฐนิวรรณแสดงความเห็นว่า ภาคธุรกิจเอสเอ็มอียังคงเผชิญกับปัญหาสินค้าราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีธุรกิจจากต่างชาติเข้ามาแข่งกับคนไทย เช่น ธุรกิจร้านอาหาร ส่งผลให้ภาคธุรกิจภายในประเทศได้รับผลกระทบอย่างมาก เธอเรียกร้องให้รัฐบาลควรมีการรับฟังเสียงของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และควรบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจังเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนไทย

3 ประเด็นเร่งด่วนที่ภาคธุรกิจร้านอาหารต้องการให้รัฐบาลดำเนินการ

  1. ทบทวนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ:
    นางฐนิวรรณระบุว่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน โดยต้องดำเนินการตามกลไกของคณะกรรมการไตรภาคี เนื่องจากการขึ้นค่าแรงทั่วประเทศในวันที่ 1 ตุลาคมนี้อาจส่งผลให้ธุรกิจโดยเฉพาะร้านอาหารซึ่งเป็นธุรกิจขนาดเล็กต้องรับภาระหนักขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซา การขึ้นค่าแรงจึงควรพิจารณาตามบริบทเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละพื้นที่
  2. ลดหรือตรึงค่าพลังงาน:
    ธุรกิจร้านอาหารต้องเผชิญกับต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้นจากราคาพลังงาน เช่น ค่าไฟฟ้า นางฐนิวรรณเสนอว่ารัฐบาลควรพิจารณามาตรการในการลดหรืออย่างน้อยควรตรึงราคาพลังงาน เพื่อช่วยบรรเทาภาระให้กับผู้ประกอบการในช่วงเวลานี้
  3. เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2567-2568:
    นางฐนิวรรณชี้ว่า การเบิกจ่ายงบประมาณที่รวดเร็วจะช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคธุรกิจร้านอาหาร การที่รัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการและส่งเสริมการฟื้นฟูเศรษฐกิจในท้องถิ่น

สถานการณ์ธุรกิจร้านอาหารยังซบเซา

นางฐนิวรรณเปิดเผยว่า ขณะนี้ธุรกิจร้านอาหารยังคงประสบปัญหาด้านกำลังซื้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยรวมยอดขายของร้านอาหารไม่ถึง 50% ในบางจังหวัด เช่น ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถานการณ์แย่ลงมากยิ่งขึ้น สาเหตุหลักมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ต่ำลง ผู้ประกอบการหวังว่ารัฐบาลจะสามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ที่คาดว่าจะเริ่มในเดือนกันยายนนี้

นางฐนิวรรณยังได้เสนอให้รัฐบาลกำหนดให้ผู้ได้รับเงินดิจิทัลสามารถใช้จ่ายเงินนี้ในร้านอาหารได้ เพื่อช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในธุรกิจร้านอาหารมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมและเป็นการฟื้นฟูกำลังซื้อในภาคธุรกิจร้านอาหาร

ความคาดหวังต่อมาตรการรัฐบาล

นางฐนิวรรณกล่าวปิดท้ายว่า ภาคธุรกิจร้านอาหารหวังว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดเล็กมากขึ้น โดยเฉพาะการออกมาตรการที่สามารถบรรเทาผลกระทบในด้านค่าแรงและต้นทุนการดำเนินงาน นอกจากนี้ การสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีที่เป็นกลุ่มใหญ่ในภาคเศรษฐกิจจะเป็นกุญแจสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ

สรุปสถานการณ์:
นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศในเดือนตุลาคมนี้อาจจะซ้ำเติมธุรกิจที่กำลังเผชิญกับความท้าทายจากเศรษฐกิจซบเซา รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการที่ละเอียดและชัดเจนในการช่วยเหลือผู้ประกอบการร้านอาหาร รวมถึงธุรกิจเอสเอ็มอีเพื่อให้สามารถฟื้นฟูและดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

รัฐบาลเดินหน้าฟื้นฟูประเทศ 3 เดือน ลดรายจ่าย กระตุ้นเศรษฐกิจไทย

 

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหา เสริมขีดความสามารถให้กับประชาชนผ่านการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่าในระหว่างที่รัฐบาลกำลังดำเนินการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ในช่วงไตรมาส 4 โครงการนี้จะลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เพิ่มช่องทางการซื้อขาย ซึ่งเป็นการบรรเทาค่าใช้จ่ายที่ประชาชนจับต้องได้ในช่วงเวลานี้ จัดทำ 3 โครงการร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชน


     นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ได้จัดทำโครงการฯ ด้วยแนวความคิดตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือแบ่งเบา ผู้ประกอบการรายเล็ก เติมเงินในกระเป๋าให้กับประชาชน และลดภาระค่าครองชีพครั้งใหญ่ กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยจะขับเคลื่อนโครงการฯ กำหนดระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 20 สิงหาคม – 20 พฤศจิกายน 2567 แบ่งเป็น 3 โครงการ ดังนี้ 


 1. ลดต้นทุนผู้ประกอบการรายเล็ก จะร่วมกับภาครัฐทุกกระทรวง ทำการลดค่าเช่าร้านค้า ค่าเช่าแผงตลาด กว่า 30,000 แผง โดยมีตลาดที่อยู่ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และตลาดในสังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่สำคัญ รวมทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์ เจรจากับกระทรวงมหาดไทยใช้ศาลากลางจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์ประสานงาน มีพาณิชย์จังหวัดขับเคลื่อน และใช้สถานที่ท่องเที่ยว ตลาดใหญ่ ต่างๆ ทั่วประเทศ กระทรวงกลาโหมมีพื้นที่ 3,000 กว่าแห่งที่สามารถเข้าไปใช้ได้ รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวขายสินค้าเป็นกรณีพิเศษกระทรวงสาธารณสุขจะใช้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ลงพื้นที่ประสานงานท้องที่ และสำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีรถธงฟ้า จะส่งเสริมให้ประชาชนขายผ่านรถพุ่มพวง โดยจะส่งสินค้า อาทิ หมู ไก่ น้ำตาล น้ำมัน สินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน


 2. จัดตลาดนัดพาณิชย์ทั่วประเทศ กำหนดไว้ 4 รูปแบบ คือ 
1) ตลาดพาณิชย์ ให้ผู้ประกอบการรายเล็ก โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัด 76 จังหวัด จะร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนจัดหาพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันในราคาถูก อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ทั้ง 76 จังหวัด ระยะเวลา 3 เดือน 
2) ตลาดนัดพาณิชย์บวกการจำหน่ายสินค้าธงฟ้า เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายเล็กได้ขายสินค้าและให้ผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าราคาถูก กำหนดจัดในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ศาลากลางจังหวัด สถานที่ท่องเที่ยว นิคมอุตสาหกรรม ปั๊มน้ำมัน มหาวิทยาลัย ลานหน้าห้างค้าส่ง-ปลีก ลานหน้าห้างท้องถิ่น หมู่บ้านจัดสรร 
3) ตลาดพาณิชย์ บวกธงฟ้า และหอการค้าแฟร์ จะเป็นงานใหญ่ ลดทั้งจังหวัด 
4) ตลาดพาณิชย์เคลื่อนที่ บวกรถโมบายธงฟ้า จะส่งเข้าถึงพื้นที่ชุมชนห่างไกลทั่วประเทศ


    3. ร่วมมือผู้ผลิตและผู้ค้าส่งรายใหญ่ จัดมหกรรมลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ ภายใต้ Campaign “ลดกระหน่ำทั้งประเทศ” และในช่วงเทศกาล โดยมีผู้ประกอบการเอกชนพร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการส่วนนี้กับรัฐบาล 
ประเมินลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนได้ 7,000 ล้านบาท


    หลังจากวันที่ 20 สิงหาคม 2567 จะเปิดพร้อมกันทั่วประเทศ ทุกจังหวัด เป็นความร่วมมือกันของภาครัฐ กระทรวงต่างๆ ภาคเอกชนและสมาคมต่างๆ สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย กลุ่มบริษัทผู้ผลิตสินค้า ยูนิลิเวอร์ ไทยเบฟเวอเรจ เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยให้ไม่กระทบกับร้านค้ารายย่อย และจะดึงร้านค้ารายย่อยให้มีส่วนร่วมในโครงการฯ “ประเมินขั้นต้นว่าสามารถลดค่าใช้จ่ายให้พี่น้องประชาชนได้ประมาณ 7,000 ล้านบาท จะเป็นพื้นฐานก่อนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตออก ให้ประชาชนสามารถเพิ่มการลงทุน ค้าขายได้ทั่วประเทศ ถือเป็นมติให้ดำเนินการและกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานทั้งหมด” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News