Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายสตาร์ทไฮซีซัน! มาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” คูณสิทธิ 1.5 เท่า ดันเงินสะพัดชุมชน

เชียงรายสตาร์ทไฮซีซัน “เที่ยวดี มีคืน” เมืองรองคูณ 1.5 เท่า เปิดเกมภาษี–MICE–รัฐเร่งเบิกจ่าย หนุนเงินสะพัดชุมชน

เชียงราย, 22 ตุลาคม 2568 – เชียงรายยืนด่านหน้าฤดูท่องเที่ยวปลายปีอีกครั้ง. มาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” ถูกเคาะโดย ครม. เพื่ออัดฉีดกำลังซื้อช่วง 29 ตุลาคม–15 ธันวาคม 2568. เมืองรองได้คูณสิทธิ 1.5 เท่า. ภาคธุรกิจสัมมนาในเชียงรายหักรายจ่ายได้ 2 เท่า. หน่วยงานรัฐถูกตั้ง KPI เร่งเบิกจ่ายอย่างน้อย 60% ภายในมกราคม 2569. สัญญาณทั้งหมดชี้ว่าเม็ดเงินกำลังมุ่งสู่ชุมชน. ผู้ประกอบการต้องพร้อมรับดีมานด์ และชุมชนต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดี. มาตรการนี้มีเป้าหมายเป็น Quick Big Win เพื่อให้เศรษฐกิจหมุนทันเวลา. ข้อมูลหลักยืนยันจากหน่วยงานรัฐและสื่อสาธารณะหลากหลายแหล่ง

โครงสร้างมาตรการ 5 คันเร่งหนุนดีมานด์–ซัพพลาย

มาตรการของรัฐแบ่งเป็น 5 แกนหลัก. แกนแรกคือภาษีบุคคลธรรมดาสำหรับค่าที่พักและร้านอาหาร. วงเงินลดหย่อนตามจ่ายจริงไม่เกิน 20,000 บาท. เมืองรองได้คูณ 1.5 เท่า สูงสุด 30,000 บาท. 10,000 บาทแรกใช้ใบกำกับแบบกระดาษหรือ e-Tax ได้. ส่วน 10,000 บาทถัดไป ต้องเป็น e-Tax เท่านั้น. เงื่อนไขครอบคลุมผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบ VAT. ส่วนค่าตั๋วเดินทางและของฝากไม่เข้าเกณฑ์. รายละเอียดออกโดยกรมสรรพากรในเอกสารทางการ

แกนที่สองคือมาตรการภาษีนิติบุคคลด้าน MICE. จัดอบรมหรือสัมมนาในจังหวัดท่องเที่ยว “เมืองรอง” หักรายจ่ายได้ 2 เท่า. พื้นที่อื่นหักได้ 1.5 เท่า. นี่คือแรงจูงใจสำคัญให้บริษัทเลือกเชียงราย. แกนที่สามคือเร่งรัดการเบิกจ่ายภาครัฐ. เป้าหมายการใช้จ่ายฝึกอบรม–ประชุม–สัมมนา ปีงบ 2569 ไม่น้อยกว่า 60% ภายในมกราคม 2569. ทั้งหมดถูกสื่อสารโดยหน่วยงานสื่อสารภาครัฐ

แกนที่สี่คือภาษีสนับสนุนการปรับปรุงโรงแรม. อนุญาตให้หักรายจ่ายการต่อเติม เปลี่ยนแปลง หรือขยายพื้นที่ได้ 2 เท่า. ช่วงเวลามาตรการคือ 29 ตุลาคม 2568 ถึง 31 มีนาคม 2569. แกนที่ห้าคือการขยายเวลาลดภาษีกิจการบันเทิงจาก 10% เหลือ 5% อีก 1 ปี. ช่วยเพิ่มสีสันท่องเที่ยวกลางคืนและกิจกรรมผ่อนคลาย

ทำไม “เชียงราย” ได้เปรียบ

เชียงรายคือเมืองปลายทางที่มีเอกลักษณ์. ภูมิประเทศหลากหลายและวัฒนธรรมเข้มข้น. โครงสร้างพื้นฐานท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง. ข้อมูลทางการระบุว่า ปี 2566 เชียงรายมีนักท่องเที่ยวกว่า 6.14 ล้านคน. รายได้ท่องเที่ยวทะลุ 46,000 ล้านบาท. ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนศักยภาพฐานลูกค้าจริง. หากผนวกแรงคูณภาษี 1.5 เท่า ดีมานด์ปลายปีนี้จึงมีโอกาสเร่งตัว. หน่วยงานรัฐในพื้นที่ยังยืนยันบทบาทเชียงรายในยุทธศาสตร์ท่องเที่ยว

เมื่อพิจารณาจากนโยบายรัฐปัจจุบัน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้นำคณะขับเคลื่อนมาตรการเศรษฐกิจ. ความเคลื่อนไหวล่าสุดสะท้อนบทบาทเชิงรุกด้านการคลังในเวทีระหว่างประเทศและภายในประเทศ. สอดรับทิศทางนโยบายที่ต้องการผลเร็ว และกระจายโอกาสสู่เมืองรอง

จาก “นโยบาย” สู่ “ชุมชน”

นโยบายจะสำเร็จเมื่อกลไกหน้างานทำงานจริง. ภาพแรกคือครอบครัวจากกรุงเทพฯ. พวกเขาเลือกเชียงรายเพราะต้องการธรรมชาติและศิลปะ. สิทธิภาษีช่วยตัดสินใจเร็วขึ้น. โรงแรมในเมืองรองทำแพ็กเกจที่พักพร้อมอาหารท้องถิ่น. ร้านอาหารเตรียม e-Tax ครบถ้วนเพื่อลูกค้ายื่นภาษีได้ทันที. ทริปสั้นๆ เปลี่ยนเป็น 3 คืน. งบประมาณเฉลี่ยต่อทริปเพิ่ม. เงินกระจายสู่โชห่วยและรถสองแถวในชุมชน.

ภาพต่อมาคือฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัทเอกชน. งบสัมมนาปลายปีถูกปรับแผนจากเมืองหลักไปสู่เชียงราย. แพ็กเกจห้องประชุมครึ่งวัน บวกกิจกรรมทีมบิลดิ้งกลางไร่ชา. บริษัทได้หักรายจ่าย 2 เท่า. โรงแรมมีอัตราเข้าพักสูงขึ้น. วิสาหกิจชุมชนได้รับงานจัดกิจกรรมกลางแจ้ง. ผู้ให้บริการท้องถิ่นมีรายได้เพิ่ม.

ภาพสุดท้ายคือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น. งานอบรมบุคลากรย้ายมาจัดในพื้นที่ตัวเอง. โรงแรมขนาดกลางได้คิวเช่าเต็ม. ผู้ประกอบการรถตู้และร้านอาหารรับอานิสงส์. ระบบ e-Tax เตรียมพร้อม. เมื่อรวมกับ KPI เร่งเบิกจ่าย รายนัดหมายจึงเกิดขึ้นเร็วและถี่. สิ่งเหล่านี้ขับเคลื่อนตัวคูณทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน.

เงื่อนไขสำคัญที่ต้องรู้เล่นให้ถูกกติกา ได้สิทธิเต็มจำนวน

ผู้มีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเก็บใบกำกับภาษีให้ครบถ้วน. 10,000 บาทแรก ใช้ใบกำกับแบบกระดาษหรือ e-Tax ได้. 10,000 บาทถัดไป ต้องเป็น e-Tax เท่านั้น. ค่าใช้จ่ายที่นำไปลดหย่อนได้ ครอบคลุมค่าที่พักและค่าบริการร้านอาหารในระบบ VAT. ค่าบริการนำเที่ยวของบริษัททัวร์ที่จดทะเบียนก็เข้าเกณฑ์. ส่วนค่าน้ำมัน ทางด่วน ตั๋วเครื่องบิน และของฝาก ไม่เข้าหลักเกณฑ์. ทั้งหมดอ้างอิงตามประกาศและอินโฟกราฟิกของหน่วยงานรัฐ

นิติบุคคลที่จัดสัมมนาในเชียงราย สามารถหักรายจ่าย 2 เท่า. การวางแผนเอกสารภาษีจึงสำคัญยิ่ง. ฝ่ายบัญชีควรตรวจสอบข้อมูลผู้เสียภาษีบนใบกำกับ. โรงแรม ร้านอาหาร และผู้ให้บริการ ต้องออกเอกสารครบ. การเตรียมระบบ e-Tax ที่ไหลลื่นจะช่วยปิดการขาย. รัฐได้วางเงื่อนไขเวลาชัดเจน จึงควรดำเนินการให้ทันกรอบ

โอกาสของผู้ประกอบการเชียงรายยกระดับสู่มาตรฐานและความยั่งยืน

มาตรการปรับปรุงโรงแรม 2 เท่า เปิดโอกาสลงทุนระยะเร่งด่วน. ผู้ประกอบการควรโฟกัสงานที่ยกระดับประสบการณ์แขก. เช่น ปรับฟังก์ชันห้องพักเพื่อรองรับครอบครัว. พัฒนา Co-working zone สำหรับนักท่องเที่ยวทำงานไกล. ติดตั้งโซลาร์เพื่อลดต้นทุนพลังงานระยะยาว. โรงแรมควรเพิ่มระบบจองตรงพร้อม e-Tax อัตโนมัติ. เมื่อรวมกับส่วนลดภาษีฝั่งลูกค้า ความน่าสนใจจะยิ่งเพิ่ม

ภาคบันเทิงและกิจกรรมกลางคืนได้แรงหนุนจากการลดภาษีเหลือ 5%. ผู้ประกอบการผับ บาร์ และโชว์พื้นเมืองควรจัดตารางการแสดงรองรับไฮซีซัน. ควรประสานงานกับชุมชนเรื่องเสียงและความปลอดภัย. ความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตคือหัวใจ. หากบริหารดี เมืองจะ “เที่ยวได้ทั้งปี” อย่างเป็นรูปธรรม

เชียงรายมีฐานแข็ง พร้อมสปริงตัว

ตัวเลขปี 2566 สะท้อนศักยภาพหลักของจังหวัด. นักท่องเที่ยวรวมกว่า 6.14 ล้านคน. รายได้สูงกว่า 46,000 ล้านบาท. อัตราฟื้นตัวหลังวิกฤตเป็นไปอย่างมั่นคง. แนวโน้มปี 2567 ภาคบริการยังขยายตัวเด่น. ปัจจัยคือการกลับมาของกิจกรรมและการเชื่อมโยงคมนาคม. เม็ดเงินท่องเที่ยวช่วยดันค้าปลีกและภาษีมูลค่าเพิ่ม. เมื่อผนวกมาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” โอกาสจึงชัดเจน

ข้อมูลระดับประเทศยังชี้ว่าดีมานด์ท่องเที่ยวภายในและต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ดี. นักท่องเที่ยวต่างชาติและไทยเที่ยวไทยยังเป็นเสาหลัก. ภาคเหนือได้แรงขับจากเมืองรองที่เติบโต. เชียงรายได้ประโยชน์จากเทรนด์นี้โดยตรง. ผู้เล่นท้องถิ่นจึงควรวางกลยุทธ์ “ยืดเวลาพำนัก” และ “เพิ่มมูลค่าต่อทริป”

แผนปฏิบัติสำหรับ 8 สัปดาห์ทอง

สัปดาห์ที่ 1–2: โรงแรมจัดแพ็กเกจ “เมืองรอง 1.5 เท่า”. รวมห้องพัก อาหารเช้า เมนูท้องถิ่น และกิจกรรมชุมชน. ออก e-Tax ได้ทันที. ทำสื่อสั้น 15 วินาที เน้นคีย์เวิร์ด “หักภาษีเพิ่มได้”.
สัปดาห์ที่ 3–4: เจาะตลาดองค์กร. เสนอห้องประชุมครึ่งวันพร้อมทีมบิลดิ้ง. จับมือวิสาหกิจชุมชนทำเวิร์กช็อปชา กาแฟ หรืองานคราฟต์. ระบุสิทธิ “หัก 2 เท่า” ให้ชัดเจน.
สัปดาห์ที่ 5–6: จัด “เทศกาลอาหารชุมชน”. โปรโมตผ่านเพจท้องถิ่นและพาร์ตเนอร์ OTA. ทุกบูธออก e-Tax ได้. เชื่อมแผนที่เดินเที่ยวในระยะ 1 กิโลเมตร.
สัปดาห์ที่ 7–8: ผลักดันตลาดครอบครัวและสายสุขภาพ. นำเสนอสปาและออนเซ็นธรรมชาติ. สร้างโปรแกรม “เดินป่าเบาๆ” กับไกด์ชุมชน. ปิดแคมเปญด้วยคอนเสิร์ตท้องถิ่นภายใต้กติกาความปลอดภัย.

เจ้าบ้านที่ดีและกระบอกเสียงที่เชื่อถือได้

ททท. เน้นบทบาท “เจ้าบ้านที่ดี” อย่างต่อเนื่อง. การต้อนรับที่อบอุ่นสร้างประสบการณ์และการกลับมา. ชุมชนควรจัดทำลิสต์แหล่งท่องเที่ยวที่รับผิดชอบ. สื่อท้องถิ่นช่วยคัดกรองข้อมูลที่ถูกต้อง. ผู้ประกอบการควรทำคู่มือ “ใช้สิทธิอย่างไร” แจกลูกค้า. เมื่อข้อมูลครบถ้วน นักท่องเที่ยวจะมั่นใจและใช้สิทธิได้จริง

 

คำกล่าวจากภาครัฐ ทิศทาง–เป้าหมาย–กลไก

ปลัดกระทรวงการคลัง แถลงหลัง ครม. มีมติว่า มาตรการชุดนี้ตั้งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจสั้น และเพิ่มขีดความสามารถระยะยาว. นโยบายเน้นการกระจายพื้นที่ โดยโฟกัสเมืองรอง. โครงสร้างภาษีถูกออกแบบให้จูงใจทุกภาคส่วน. ภาครัฐย้ำกรอบเวลาชัดเจน และย้ำการใช้ e-Tax เพื่อความโปร่งใส. สาระสำคัญถูกสื่อสารผ่านสื่อสาธารณะและเอกสารทางการ

ในมุมการคลังระดับนโยบาย บทบาทรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีความสำคัญ. ท่าทีเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศย้ำความพร้อมด้านเสถียรภาพ. นี่คือบริบทที่หนุนความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวและนักลงทุน. ความมั่นใจคือหัวใจของการใช้จ่ายปลายปี

ความเสี่ยงที่ต้องบริหาร เอกสาร–ดีมานด์–สมดุลชุมชน

ความเสี่ยงแรกคือเอกสารภาษีไม่ครบ. ผู้ประกอบการต้องกำกับคุณภาพใบกำกับ. ลูกค้าต้องตรวจชื่อ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี และวันที่จ่าย. ความเสี่ยงที่สองคือดีมานด์กระจุกในสุดสัปดาห์. โรงแรมควรกระจายโปรโมชันไปวันธรรมดา. เสนอสิทธิพิเศษสำหรับ “สัปดาห์ทำงานยืดหยุ่น”. ความเสี่ยงที่สามคือผลกระทบชุมชนจากการท่องเที่ยวหนาแน่น. ควรจัดการเรื่องเสียงและขยะ. สร้างกติกา “ท่องเที่ยวรับผิดชอบ” ในทุกกิจกรรม.

หน้าต่างเวลาสั้น แต่ผลลัพธ์ยาว

เชียงรายมีฐานท่องเที่ยวแข็งแรงและชุมชนเข้มแข็ง. มาตรการ “เที่ยวดี มีคืน” เติมเชื้อไฟฝั่งดีมานด์. มาตรการภาษี MICE และ KPI เบิกจ่ายภาครัฐ ช่วยย้ำความแน่นอน. ซัพพลายที่ยกระดับมาตรฐานจะรับโอกาสได้เต็มที่. หากทุกฟันเฟืองเดินพร้อมกัน เงินจะหมุนสู่ร้านเล็ก ร้านใหญ่ และครัวเรือน. หน้าต่างเวลา 29 ตุลาคม–15 ธันวาคม 2568 จึงสำคัญยิ่ง. ผู้เกี่ยวข้องควรลงมือทันที. ทำให้สิทธิถูกใช้จริง ทำให้ประสบการณ์ดีจริง. แล้วผลลัพธ์ระยะยาวจะตกผลึกเป็นความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ “เชียงราย” ทั้งปี.

เช็กลิสต์ “ใช้สิทธิอย่างมืออาชีพ”

  1. วางแผนเดินทางให้ตรงกรอบเวลา.
  2. เลือกผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบ VAT.
  3. เก็บใบกำกับภาษีครบถ้วน โดยเฉพาะ e-Tax ส่วนเกิน 10,000 บาท.
  4. หากเป็นองค์กร ให้ขอใบเสนอราคาและเอกสารภาษีที่สอดคล้อง.
  5. ใช้สิทธิเมืองรองคูณ 1.5 เท่าให้คุ้ม.
  6. ยื่นแบบภาษีช่วง ก.พ.–มี.ค. 2569 พร้อมแนบหลักฐาน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมสรรพากร
  • กรมการคลัง
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI

เชียงรายทะยาน! หลังรัฐใช้มาตรการภาษีท่องเที่ยว เมืองรอง กระตุ้นเงินสะพัด 3.5 หมื่นล้าน

เที่ยวไทยลดหย่อนภาษี” เขย่าดีมานด์ปลายปี—เชียงรายฉวยจังหวะกวาดรายได้ 3.59 หมื่นล้าน ใน 9 เดือนแรก จ่ออัพไซด์อีกระลอกหากมาตรการเดินหน้าเต็มรูปแบบ

เชียงราย, 15 ตุลาคม 2568 — ลมหนาวกำลังขยับตัวลงสู่ดอยนางนอน ขณะที่แสงเช้ายังแตะยอดชาเพียงบางส่วน ข่าวดีที่เดินทางมาพร้อมอากาศเย็นคือ “โอกาสทางเศรษฐกิจ” ของเชียงราย เมื่อ คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) มีมติเห็นชอบ มาตรการกระตุ้นท่องเที่ยวผ่านสิทธิลดหย่อนภาษี นำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวมาหักภาษีได้ สูงสุด 20,000 บาท กำหนดช่วงใช้สิทธิ 29 ต.ค.–15 ธ.ค. ซึ่งพ้องกับหน้าท่องเที่ยวปลายปีโดยตรง

สำหรับ “เมืองรอง” อย่างเชียงราย มาตรการยังให้น้ำหนักเป็นพิเศษด้วย ตัวคูณ 1.5 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองรอง เพิ่มแรงดึงดูดให้เงินสะพัดกระจายสู่ชุมชนมากขึ้น ขณะเดียวกัน ฝั่งผู้ประกอบการโรงแรมในเมืองรองยังจะได้สิทธินำค่าใช้จ่าย ปรับปรุงโรงแรม” หักภาษีได้ 2 เท่า (เช่น ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ปรับปรุงระบบพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์ ฯลฯ) เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและลดต้นทุนในระยะยาว

ภาพรวม 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.–ก.ย.) เชียงรายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว 35,926 ล้านบาท เป็น อันดับ 2 ของภาคเหนือ รองจากเชียงใหม่ที่ 78,249 ล้านบาท ตัวเลขดังกล่าวไม่เพียงยืนยันศักยภาพของจังหวัดในฐานะ “ดาวเด่นเมืองรอง” หากยังส่งสัญญาณว่ามาตรการลดหย่อนภาษีปลายปีนี้ อาจกลายเป็นตัวเร่ง (catalyst) ให้กราฟรายได้พุ่งขึ้นอีกระลอกในช่วงเวลาเพียง 48 วันของการใช้สิทธิ—ช่วงเวลาสั้นแต่ทรงพลังในปฏิทินท่องเที่ยวไทย

ทำไม “ลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว” ถึงถูกมองว่าเป็น Quick Big Win

ปัญหาตั้งต้นที่ครม.เศรษฐกิจมองเห็น คือ สัญญาณการใช้จ่ายด้านท่องเที่ยวที่ชะลอ โดยมีดัชนีบางตัวติดลบราว 8% เทียบฐานก่อนหน้า ขณะเดียวกัน ภาคส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจซึ่งมีงบฝึกอบรมสัมมนาปีละกว่า 3,000 ล้านบาท มักเร่งใช้ในไตรมาสสุดท้ายจน “กระจุกเวลา” และเกิด งบเหลื่อมปี ในสัดส่วนสูงอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นปีที่ผ่านมา

สูตรคลี่คลาย จึงมาพร้อมกัน 3 ชุด

  • หักลดหย่อนภาษีท่องเที่ยว” เพื่อดึงกำลังซื้อประชาชนเข้าสู่ตลาดทันที
  • “Front Load สัมมนา” สั่งเร่งเบิกจ่ายงบสัมมนาให้ได้ 60% ภายในเดือนมกราคม เปลี่ยนพฤติกรรม “ไปสิ้นปี” ให้มา “ฉีดเม็ดเงินเร็วขึ้น”
  • แรงจูงใจผู้ประกอบการ” ผ่านหักภาษี 2 เท่า สำหรับการลงทุนปรับปรุงโรงแรม โดยเฉพาะในเมืองรอง ที่รัฐต้องการให้เกิดการยกระดับคุณภาพรองรับดีมานด์ใหม่

เมื่อนำ 3 คันโยกนี้ทำงานพร้อมกัน ผลที่คาดหวังคือ ดีมานด์ฝั่งนักท่องเที่ยวเพิ่ม (จากสิทธิลดหย่อน), ดีมานด์ฝั่งสัมมนารัฐเพิ่ม (จากการ front load), และ ซัพพลายคุณภาพเพิ่ม (จากการลงทุนปรับปรุงโรงแรม) ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นใน ไฮซีซันของเชียงราย ที่ปกติมีปริมาณนักท่องเที่ยวหนาแน่นอยู่แล้ว—จึงเป็นเหตุผลที่นโยบายถูกจัดอยู่ในหมวด Quick Big Win ทำช่วงสั้น แต่ให้ผลกว้างและเร็ว

เชียงรายในสมรภูมิแย่งชิงเม็ดเงินท่องเที่ยว “เมืองรอง” ที่ฟอร์มแรง

ข้อมูลรายได้ท่องเที่ยว 17 จังหวัดภาคเหนือ (ม.ค.–ก.ย. 2568) สะท้อนภาพที่น่าสนใจ

  1. เชียงใหม่ 78,249 ล้านบาท
  2. เชียงราย 35,926 ล้านบาท
  3. เพชรบูรณ์ 7,174 ล้านบาท
  4. พิษณุโลก 6,989 ล้านบาท
  5. ตาก 5,913 ล้านบาท
  6. นครสวรรค์ 5,124 ล้านบาท
  7. แม่ฮ่องสอน 4,856 ล้านบาท
  8. ลำปาง 3,991 ล้านบาท
  9. น่าน 3,298 ล้านบาท
  10.  สุโขทัย 2,623 ล้านบาท
  11. แพร่ 2,344 ล้านบาท
  12. อุตรดิตถ์ 1,864 ล้านบาท
  13. พะเยา 1,846 ล้านบาท
  14. ลำพูน 1,481 ล้านบาท
  15. กำแพงเพชร 1,428 ล้านบาท
  16. อุทัยธานี 1,343 ล้านบาท
  17. พิจิตร 1,203 ล้านบาท

สองตัวเลขแรก แสดง “ความต่างเชิงสเกล” ระหว่างเมืองหลักและเมืองรอง แต่สิ่งที่ทำให้เชียงรายโดดเด่นคือ อัตราเร่งของเม็ดเงิน ที่เติบโตตามโครงสร้างใหม่—ตั้งแต่ สนามบิน–โลจิสติกส์–ที่พัก–สินค้าเชิงวัฒนธรรม–ชายแดนเศรษฐกิจ ไปจนถึงแลนด์มาร์คธรรมชาติ–ศิลปะร่วมสมัย ที่สร้าง “เหตุผลซ้ำ” ให้คนกลับมาเยือน ประเทศไทยเคยพิสูจน์มาแล้วว่า นโยบายภาษีท่องเที่ยว เมื่อออกแบบคมและสื่อสารชัด สามารถสร้างแรงโค้ง (curvature) ให้กราฟรายได้พลิกขึ้นได้ในระยะสั้นโดยไม่ต้องใช้งบประมาณก้อนใหม่จำนวนมาก

สำหรับเชียงราย เมื่อตัวคูณ 1.5 เท่า เปิดใช้งานกับค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นในพื้นที่เมืองรอง เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร บริการนำเที่ยว (ตามหลักเกณฑ์ที่จะประกาศโดยกรมสรรพากร) เม็ดเงินของนักท่องเที่ยวชาวไทย อาจถูก “รีรูต” จากเมืองหลักมาสู่เชียงราย มากขึ้น—โดยเฉพาะกลุ่ม “นักเดินทางสายวางแผน” ที่ต้องการเอกสารค่าใช้จ่ายชัดเจนสำหรับยื่นภาษีปลายปี

เสียงนโยบายจากส่วนกลาง “ทำสั้น ทำให้ใหญ่ ประชาชนได้ประโยชน์”

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังการประชุมครม.เศรษฐกิจว่า มาตรการนี้ออกแบบให้ ประชาชนทั่วไปนำค่าใช้จ่ายท่องเที่ยวมาหักภาษีได้สูงสุด 20,000 บาท และ ถ้าเดินทางเมืองรองจะหักได้ 1.5 เท่า (เช่น ใช้จ่าย 10,000 บาท หักได้ 15,000 บาท) ขณะเดียวกัน รัฐยังขอให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ front load การสัมมนา-ฝึกอบรม อย่างน้อย 60% ภายในเดือนมกราคม เพื่ออัดฉีดดีมานด์ระยะสั้น ส่วนด้านซัพพลาย มาตรการ หักภาษี 2 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายปรับปรุงโรงแรม—โดยเฉพาะงานที่หนุนความยั่งยืน เช่นโซลาร์—ถูกผลักดันเพื่อให้ผู้ประกอบการกล้าลงทุนยกระดับคุณภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น

สาระสำคัญอีกด้านคือ การปรับลดภาษีสถานบริการจาก 10% เหลือ 5% โดยกรมสรรพสามิตและกระทรวงมหาดไทยร่วมกันผลักดัน เพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการ เข้าระบบ” และได้สิทธิภาษีตามกฎหมาย ควบคู่กับการตั้ง KPI การเบิกจ่ายภาครัฐ ทั้งปีไม่ต่ำกว่า 93% (และงบลงทุนไม่ต่ำกว่า 75%) ลดปัญหา “กันเหลื่อมปี” มูลค่าสูง

แกนคิดของนโยบาย  “Quick Big Win ทำสั้น ทำให้ใหญ่ และประชาชนได้ประโยชน์—โดยเฉพาะในช่วงเวลาจำกัดก่อนการยุบสภา” ซึ่งสะท้อนแรงขับเคลื่อนเชิงเวลาอย่างชัดเจน

เชียงรายคว้าโอกาสอย่างไร จาก “สิทธิของคนไทย” สู่ “รายได้ของท้องถิ่น”

  1. ตั้งโต๊ะข้อมูล—ทำโปรแกรม “เที่ยวเชียงรายให้คุ้มภาษี”
    ภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ควรทำ ชุดข้อมูลพร้อมใช้ สำหรับนักท่องเที่ยวไทย เส้นทาง–ที่พัก–ร้านอาหาร–กิจกรรม–ค่าใช้จ่ายประมาณการ–จุดรับใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ พร้อม “Checklist เอกสาร” สำหรับยื่นหักภาษี (ใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน/หลักฐานชำระเงิน) แพ็กเป็นหน้าเดียวดาวน์โหลดได้ เพื่อให้ การตัดสินใจเดินทางเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงเอกสารไม่ครบ
  2. กระตุ้นตลาดสัมมนา (MICE) ด้วย Front Load
    เชียงรายมีความพร้อมเชิงโครงสร้างพื้นฐาน (สนามบิน, ศูนย์ประชุม, ที่พักหลายระดับราคา) การเน้นขาย แพ็กเกจสัมมนา–ศึกษาดูงาน ที่มีโปรแกรมความยั่งยืน (เยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้อาชีพ, กิจกรรม CSR ปลูกป่า–เก็บขยะ, เส้นทางกาแฟ–ชา) จะตอบโจทย์ทั้ง KPI เบิกจ่าย ของหน่วยงานและ ภาพลักษณ์องค์กร ไปพร้อมกัน
  3. สองเท่าเพื่อโรงแรม”—ลงทุนที่ลดต้นทุนระยะยาว
    โอกาสของผู้ประกอบการโรงแรมอยู่ที่ การคัดโครงการลงทุนที่คืนทุนไว และมีเอกสารครบถ้วนตามเกณฑ์ภาษี เช่น โซลาร์รูฟ–ระบบน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์–ประตูคีย์การ์ดประหยัดไฟ–ฉนวนกันความร้อน–ปรับปรุงเครื่องปรับอากาศประหยัดพลังงาน พร้อมจัดระบบเอกสารเพื่อใช้สิทธิได้เต็มมูลค่า
  4. แผนสื่อสาร “เมืองรอง x 1.5 เท่า” เจาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือน
    กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ฐานภาษีกลาง–บน) คือตลาดหลักของมาตรการนี้ เชียงรายควรสื่อสารแบบ ตรงกลุ่ม ผ่านบริษัท–สมาคมวิชาชีพ–เครือข่าย HR—ด้วยข้อความง่าย ๆ ว่า “พาเพื่อนไปเชียงรายช่วง 29 ต.ค.–15 ธ.ค. ใช้สิทธิ 1.5 เท่าได้” พร้อมลิงก์ดาวน์โหลด “แพ็กคู่มือภาษีท่องเที่ยวเชียงราย”

คำถาม–คำตอบที่ประชาชนอยากรู้ 

  • ใช้สิทธิอะไรได้บ้าง?
    โดยหลัก “ค่าใช้จ่ายท่องเที่ยว” ครอบคลุมที่พัก บริการท่องเที่ยว และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง ต้องรอประกาศหลักเกณฑ์จากกรมสรรพากร ระบุรายการและเอกสารที่ยอมรับอย่างชัดเจน
  • ทำไมต้องขอใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ?
    เพราะ ภาษีเป็นกฎหมายเอกสาร ใบกำกับภาษี (เต็มรูปแบบ) ตามมาตรา 86/4 เป็นหลักฐานสำคัญในการหักลดหย่อน ภาคเอกชนควรเตรียมระบบออกเอกสารถูกต้อง พร้อม e-Receipt/e-Tax Invoice เพื่อลดปัญหาตกหล่น
  • ถ้าไม่มีภาษีต้องจ่าย (รายได้ต่ำ) ยังได้ประโยชน์ไหม?
    ผู้ที่ไม่มีภาระภาษีปลายปี อาจไม่ได้ประโยชน์ทางภาษีโดยตรง แต่ยังได้ประโยชน์จากโปรโมชันที่ผู้ประกอบการทำตามแคมเปญ ทั้งนี้รัฐอาจมีมาตรการอื่นประกอบในอนาคต—ต้องติดตามมติ ครม. และประกาศทางการ
  • ตัวคูณ 1.5 เท่าใช้กับทุกจังหวัดเมืองรองหรือไม่?
    หลักการคือ “ค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นในเมืองรอง” จึงได้ตัวคูณ 1.5 เท่า รายชื่อเมืองรอง ต้องยึดตามประกาศทางการ ที่จะออกมาพร้อมหลักเกณฑ์

ความเสี่ยงที่ต้องจับตา ทำเร็ว—แต่ต้องแม่น

  1. ไทม์ไลน์–รายละเอียดกฎหมาย
    แม้มติครม.เศรษฐกิจเห็นชอบหลักการแล้ว แต่ การบังคับใช้จริงต้องผ่าน ครม. และประกาศกรมสรรพากร ระบุรายการ–เงื่อนไข–ประเภทเอกสาร—หน่วยงานท้องถิ่นและเอกชนต้อง สื่อสารแบบมีเงื่อนไข ว่า “ใช้สิทธิตามหลักเกณฑ์ที่จะประกาศ” เพื่อลดความสับสน
  2. ความพร้อมเอกสารของผู้ประกอบการรายเล็ก
    ร้านอาหาร–โฮมสเตย์–ทัวร์ท้องถิ่นบางแห่ง ยังไม่มีระบบ e-Tax ควรได้รับการช่วยเหลือเชิงเทคนิคอย่างเร่งด่วน เช่น คลินิกภาษีเคลื่อนที่ ร่วมกับสำนักงานสรรพากรพื้นที่–หอการค้าจังหวัด–ททท. เพื่อให้ เม็ดเงินสิทธิภาษีไม่รั่วไหลเพราะเอกสารไม่ครบ
  3. กำลังรองรับไฮซีซัน
    หากดีมานด์พุ่งเร็ว ที่พัก–การคมนาคม–สถานที่ท่องเที่ยวต้อง บริหารสมดุล ระหว่างปริมาณ–คุณภาพ–ความปลอดภัย เช่น แผนจราจร–ที่จอดรถ–การจัดการขยะ–ห้องน้ำสาธารณะ—ทั้งหมดคือ “ประสบการณ์รวม” ที่กำหนดการกลับมาเยือน

มุมมองเศรษฐกิจท้องถิ่น 1 บาทของนักท่องเที่ยว หมุนเป็นกี่บาทในชุมชน

งานวิจัยด้านท่องเที่ยวจำนวนมากชี้ว่า ตัวคูณทางเศรษฐกิจ (tourism multiplier) ของเมืองรองมักสูงกว่าค่าเฉลี่ย เพราะเงินส่วนใหญ่กระจายสู่ SMEs และชุมชน ทั้งร้านอาหารท้องถิ่น–รถเช่า–งานฝีมือ–ไกด์ท้องถิ่น ในเชียงรายซึ่งมีฐานผู้ประกอบการสร้างสรรค์จำนวนมาก (กาแฟ–ชา–ศิลปะ–งานจักสาน–สิ่งทอ) มาตรการที่ ขยับคนให้เดินทาง” จึงเท่ากับ ขยับเศรษฐกิจฐานราก” ในทันที

โดยเฉพาะเมื่อจับคู่กับ ตลาดสัมมนา ที่กำลังถูก front load หากหน่วยงานรัฐเลือกเชียงรายเป็นที่จัดกิจกรรม สกุลเงินที่ไหลเข้ามักมีสัดส่วนใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่า ทริปสั้นของครอบครัว และยังสร้างอุปสงค์ให้ห่วงโซ่อุปทาน บริการคุณภาพ เช่น รถบัสมาตรฐานสูง–ล่าม–ทีมเทคนิค–อุปกรณ์ประชุม—ช่วยยกระดับ ecosystem ท้องถิ่นให้เข้มแข็งขึ้น

เชียงรายต้อง “ขายอะไร” ใน 48 วันทองของภาษีท่องเที่ยว

  • เส้นทางลมหายใจปลายปี แม่ฟ้าหลวง–ดอยตุง–ไร่ชาฉุยฟง–ดอยผาหมี–สามเหลี่ยมทองคำ–เชียงแสน—แพ็กเป็น “วันธรรมชาติ x วันวัฒนธรรม” พร้อมจุดซื้อของฝากชุมชนและร้านอาหารที่ออกใบกำกับภาษีได้
  • สายศิลป์–กาแฟ พิพิธภัณฑ์–แกลเลอรี–สตรีทอาร์ต–คาเฟ่กาแฟพิเศษ—เชื่อมเป็น “ถนนศิลปิน” ในเมือง (เดินได้–ถ่ายรูปสวย–เอกสารครบ)
  • MICE x GREEN แพ็กเกจสัมมนาเช้า–บ่ายเยี่ยมชมแหล่งเรียนรู้กาแฟ/ชา/เกษตรอัจฉริยะ–เย็นงานชื่นใจในชุมชน ภายใต้แนวคิด Low-carbon Meeting มีรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์เป็นของที่ระลึกองค์กร
  • เส้นทางข้ามพรมแดน เชื่อมด่านพรมแดนเชียงของ–โครงสร้างพื้นฐานใหม่ (เช่น ทางคู่เด่นชัย–เชียงของที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง)—แม้ยังไม่เปิดใช้ แต่การ เล่าอนาคต สร้างแรงจูงใจให้ผู้ลงทุนและนักท่องเที่ยว “มองเชียงรายเป็นฮับ” ระยะยาว

ทำให้ “สิทธิ” กลายเป็น “รายได้” อย่างเที่ยงธรรมและยั่งยืน

มาตรการ เที่ยวไทยลดหย่อนภาษี” ที่ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบหลักการ กำลังเปิด หน้าต่างเวลา 48 วัน ที่มีความหมายต่อเศรษฐกิจเชียงรายอย่างยิ่ง ตัวเลข 35,926 ล้านบาท ใน 9 เดือนแรกของปีคือฐานที่แข็งแรงอยู่แล้ว แต่การจะแปลง สิทธิของผู้เสียภาษี ให้กลายเป็น รายได้ของจังหวัด จำเป็นต้องอาศัย 3 คีย์เวิร์ด เร็ว–ชัด–ครบเอกสาร

  • เร็ว ในการสื่อสารแพ็กเกจ “เที่ยวเชียงรายให้คุ้มภาษี” สู่กลุ่มเป้าหมาย
  • ชัด ในการระบุเงื่อนไขว่าทุกอย่างเป็นไปตาม ประกาศกรมสรรพากร ที่จะออกมา
  • ครบเอกสาร ในฝั่งผู้ประกอบการ เพื่อให้ผู้บริโภค “ใช้สิทธิได้จริง”

หากเชียงรายทำได้ครบ ภาพที่เราจะเห็นหลังสิ้นสุดมาตรการไม่ใช่เพียง คูปองภาษีที่ถูกใช้หมด แต่คือ SMEs ที่แข็งแรงขึ้น—มาตรฐานบริการที่ดีขึ้น—ทรัพยากรท้องถิ่นที่ถูกเล่าอย่างภาคภูมิ และ เมืองรองที่ยืนอย่างสง่างามในสมรภูมิท่องเที่ยวไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
  • กระทรวงการคลัง
  • กรมสรรพากร
  • กรมสรรพสามิต & กระทรวงมหาดไทย
  • สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
  • ททท. (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) สำนักงานเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อินฟลูฯ-ขายออนไลน์ สรรพากรเตือน ยื่นภาษี ก่อนโดนปรับหนัก

กรมสรรพากรเร่งย้ำประชาชนยื่นภาษีภายในกำหนดปี 2568 – อินฟลูเอนเซอร์-อีคอมเมิร์ซเป้าหมายหลัก

กรุงเทพฯ, 22 มีนาคม 2568 – กรมสรรพากรแจ้งเตือนประชาชนทุกกลุ่มอาชีพให้เร่งยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2567 ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2568 โดยผู้ที่ยื่นผ่านระบบออนไลน์ เช่น D-MyTax หรือ e-Filing จะสามารถยื่นได้ถึงวันที่ 8 เมษายน 2568 พร้อมระบุว่า กลุ่มอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ อีคอมเมิร์ซ และผู้ค้าขายออนไลน์ เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ต้องได้รับการติดตามอย่างเข้มข้น หลังพบว่าเป็นกลุ่มที่หลีกเลี่ยงการยื่นภาษีสูงสุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ยอดการยื่นแบบภาษีเพิ่มขึ้น แต่ยังมีผู้เลี่ยงภาษีจำนวนมาก

นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า รายได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาถือเป็นรายได้อันดับที่สามของกรมสรรพากร โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาทต่อปี ข้อมูลล่าสุดถึงวันที่ 13 มีนาคม 2568 มีการยื่นแบบภาษีแล้วกว่า 7.4 ล้านแบบ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 13 โดยมีการขอคืนภาษีกว่า 3.5 ล้านแบบ คิดเป็นร้อยละ 46.9 ของจำนวนแบบที่ยื่นเข้ามาทั้งหมด และกรมฯ ได้คืนภาษีไปแล้วกว่า 82%

อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่น่าห่วงคือกลุ่มที่มีรายได้แต่ไม่เคยยื่นภาษีเลย ซึ่งจากการสำรวจพบว่าเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มผู้ทำงานอิสระ และกลุ่มที่มีรายได้จากช่องทางดิจิทัล เช่น ขายของออนไลน์ ทำคอนเทนต์ รีวิวสินค้า หรืออินฟลูเอนเซอร์

อินฟลูเอนเซอร์ไม่ยื่นภาษี เสี่ยงถูกตรวจย้อนหลัง

อธิบดีกรมสรรพากรยืนยันว่า มีการติดตามการเสียภาษีของกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ชั้นนำ ผ่านการวิเคราะห์จากข้อมูลในโซเชียลมีเดีย และพบว่าหลายรายไม่มีประวัติการยื่นภาษีย้อนหลังถึง 3-4 ปี ทั้งที่มีรายได้เข้าข่ายต้องเสียภาษี ซึ่งกรมฯ มีอำนาจตรวจสอบย้อนหลังได้ 2 ปี และขยายได้ถึง 5 ปี หากพบว่าไม่ยื่นแบบโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จะต้องเสียภาษีพร้อมเบี้ยปรับ ซึ่งบางรายจากภาษีแค่ 10,000 บาท อาจต้องจ่ายถึง 50,000 บาท

แนวทางยื่นภาษีของอาชีพอินฟลูเอนเซอร์และผู้ขายออนไลน์

กรมสรรพากรได้กำหนดแนวทางชัดเจนในการยื่นภาษีสำหรับกลุ่มอาชีพอินฟลูเอนเซอร์ ดังนี้

  1. รายได้จากค่าจ้างทั่วไป ต้องยื่นแบบภาษีเหมือนพนักงานประจำ
  2. รายได้ที่มีต้นทุน เช่น รีวิวสินค้า สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง
  3. รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
  4. รายได้ที่ได้รับในรูปแบบสินค้า ต้องประเมินมูลค่าเทียบเท่าเงินสดและยื่นเป็นรายได้เช่นเดียวกับเงินสด

ทั้งนี้ อินฟลูเอนเซอร์ยังต้องยื่นภาษีกลางปี และสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้ตามรายการที่กำหนดกว่า 20 รายการ โดยมีสำนักงานสรรพากรพื้นที่ และช่องทางออนไลน์ให้คำแนะนำตลอดการยื่นแบบ

กรณีตัวอย่าง “เซฟ กระทะฮ้าง” จุดกระแสดราม่าภาษีบนโซเชียล

กรณี “เซฟ กระทะฮ้าง” หรือ นายสมบูรณ์ วรรณวงศ์ อดีตเชฟโรงแรมที่ผันตัวมาเป็นครีเอเตอร์ดิจิทัล โพสต์ตัดพ้อผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับภาษีที่ต้องจ่ายเกือบ 2 แสนบาท ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจเป็นการเลี่ยงภาษีหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวออกมายืนยันว่าจะจ่ายแน่นอนเพียงแต่ยังไม่ทราบกระบวนการที่ชัดเจน

เรื่องนี้กลายเป็นบทเรียนสำหรับผู้ที่ทำอาชีพอิสระ หรือมีรายได้จากโลกออนไลน์ว่า แม้จะไม่มีรายได้ประจำ แต่เมื่อมีรายได้เข้าข่ายเกณฑ์ ก็ควรต้องยื่นแบบเสียภาษีอย่างถูกต้อง

ทัศนะจากทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายกรมสรรพากร ยืนยันว่าไม่ได้มุ่งเล่นงานกลุ่มใดเป็นพิเศษ แต่ต้องดูแลความเป็นธรรมและสร้างระบบรายได้ของประเทศอย่างยั่งยืน พร้อมเน้นย้ำว่าการไม่ยื่นภาษีหรือหลบเลี่ยง อาจทำให้ต้องเผชิญกับค่าปรับจำนวนมากในอนาคต

ฝ่ายประชาชนและผู้เสียภาษี บางส่วนมีความกังวลว่าหากเข้าระบบแล้วจะถูกเรียกเก็บย้อนหลัง จึงเลือกไม่ยื่นแบบภาษี ขณะเดียวกันบางรายยังขาดความรู้ในการยื่นแบบภาษี ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง

บทลงโทษสำหรับผู้ไม่ปฏิบัติตาม

อธิบดีกรมสรรพากรชี้แจงว่า ผู้ไม่ยื่นแบบภาษีภายในกำหนด หรือไม่ชำระภาษี จะถูกปรับไม่เกิน 2,000 บาท และต้องชำระเงินเพิ่มอัตรา 1.5% ต่อเดือน หากพบว่ามีเจตนาหลบเลี่ยงภาษี อาจถูกจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากแจ้งข้อมูลเท็จ อาจถูกจำคุก 3 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000 บาทถึง 200,000 บาท

สถานการณ์ตลาดอินฟลูเอนเซอร์ในปี 2568

ปี 2568 เป็นปีที่มีแนวโน้มการเติบโตของอาชีพอินฟลูเอนเซอร์อย่างก้าวกระโดด โดยข้อมูลจาก MI GROUP คาดการณ์ว่าจำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทยอาจแตะ 3 ล้านราย จากปี 2567 ที่มีประมาณ 2 ล้านราย เติบโตจากกลุ่ม Micro และ Nano Influencer ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก

ในแง่เศรษฐกิจ สื่อดิจิทัลเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าเม็ดเงินโฆษณาในปี 2568 จะอยู่ที่ 92,048 ล้านบาท โดยเฉพาะโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์จะมีมูลค่าแตะ 2,360 ล้านบาท และเติบโตเฉลี่ยปีละ 10.24% จนถึงปี 2572 ตามข้อมูลจาก Statista

ความเห็นจากภาคธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญ

นายภวัต เรืองเดชวรชัย จาก MI GROUP ระบุว่า อินฟลูเอนเซอร์จะยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำตลาด โดยเฉพาะกลุ่ม Micro และ Nano ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้สูงในงบประมาณจำกัด ขณะที่นายศิวัตม์ วิลาสศักดานนท์ จาก AnyMind Group เผยว่า อินฟลูเอนเซอร์ไทยเข้าสู่ยุคใหม่ที่เน้นความเรียลและเข้าถึงผู้บริโภคได้จริง พร้อมระบุว่าผู้ใช้จริงและนักขายออนไลน์จะเป็นกลุ่มหลักในอนาคตของอุตสาหกรรมนี้

สถิติที่เกี่ยวข้องกับข่าว

  • ยอดการยื่นภาษีถึงวันที่ 13 มีนาคม 2568: 7.4 ล้านแบบ (กรมสรรพากร, 2568)
  • อัตราขอคืนภาษี: 46.9% หรือ 3.5 ล้านแบบ (กรมสรรพากร, 2568)
  • จำนวนอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทย (คาดการณ์ปี 2568): 3 ล้านคน (MI GROUP, 2568)
  • มูลค่าตลาดโฆษณาผ่านอินฟลูเอนเซอร์ปี 2567: 2,360 ล้านบาท (Statista, 2567)
  • การซื้อสินค้าออนไลน์รายสัปดาห์ของคนไทย: 66.9% (DataReportal, 2567)
  • อัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของคนไทย: 89.5% (สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลฯ, 2566)

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมสรรพากร
  • สำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
  • บริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด (MI GROUP)
  • บริษัท AnyMind Group ประเทศไทย
  • Statista
  • สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.)
  • DataReportal
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

กรมสรรพากร ได้รับเลือกเป็น “ประธาน SGATAR” การประชุมผู้บริหารจัดเก็บภาษี

 

 

เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 ที่ประชุม SGATAR ประจำปี ครั้งที่ 52 ได้เลือกไทยเป็นประธาน SGATAR สืบต่อจากมาเลเซีย โดยทำหน้าที่ในช่วง 1 ปีนับจากนี้

 

ดร.กุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมบัญชีกลาง รักษาราชการแทน อธิบดีกรมสรรพากร หัวหน้าคณะผู้แทนไทยได้กล่าวขอบคุณสมาชิก SGATAR ที่ไว้วางใจให้ทำหน้าที่ประธาน พร้อมกล่าวแสดงความยินดีแก่มาเลเซียที่จัดการประชุม SGATAR ประจำปี ครั้งที่ 51 ได้สำเร็จลุล่วง และกล่าวแสดงความชื่นชมแก่คณะทำงาน SGATAR (SGATAR Taskforce) ที่พยายามอย่างอุตสาหะให้การจัดการประชุม SGATAR ประจำปีสำเร็จด้วยดี

 

ดร.กุลยา ตันติเตมิท ยังได้เน้นความสำคัญของ SGATAR ในการเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการอภิปรายอย่างเปิดกว้าง การแลกเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ และการระบุความท้าทายร่วมกันของหน่วยงานบริหารการจัดเก็บภาษี รวมทั้งการร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ เพื่อความก้าวหน้าของการบริหารการจัดเก็บภาษีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยไทยในฐานะประธานจะพยายามอย่างเต็มที่ให้ภารกิจอันมีวิสัยทัศน์นี้ ของ SGATAR บรรลุเป้าหมาย

 

ทั้งนี้ ประธาน SGATAR ได้แต่งตั้งนายนิรันดร์ ประจวบเหมาะ ให้ทำหน้าที่เลขาธิการในการประชุม SGATAR ประจำปีครั้งนี้

SGATAR จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2513 (ค.ศ. 1970) เป็นที่ประชุมประจำปีของผู้บริหารการจัดเก็บภาษี เพื่อเพิ่มพูนความร่วมมือของหน่วยงานบริหารการจัดเก็บภาษี ปรับปรุงการบริหารการจัดเก็บภาษี และอภิปรายประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการจัดเก็บภาษี ปัจจุบันมีสมาชิก 18 เขตเศรษฐกิจ และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 6 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม SGATAR ประจำปี โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้บริหารและเจ้าหน้าที่หน่วยงานบริหารการจัดเก็บภาษีของ 18 เขตเศรษฐกิจและผู้แทนองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ รวมกว่า 150 คน

 

 

 

Thailand has been elected as the Chair of SGATAR

Yesterday (31st October 2023), during the 52nd SGATAR Annual Meeting, Thailand was elected as the Chair of SGATAR, succeeding Malaysia, and will serve in this capacity one year from now.

Dr.Kulaya Tantitemit, the Director-General of the Comptroller General’s Department acting Director-General of the Revenue Department and the Head of Thai Delegation, expressed gratitude to SGATAR members for entrusting Thailand with the Chairmanship.

She also extended congratulations to Malaysia for successfully hosting the 51st SGATAR Annual Meeting and commended the SGATAR Taskforce for their dedicated efforts in ensuring the success of the the SGATAR Annual Meeting.

Dr.Kulaya also emphasised the importance of SGATAR as a platform for open discussions, exchange of best practices, and identification of common challenges among tax administrations as well as collaboration with international organisations to advance tax administration in the Asia-Pacific region. In her role as Chair, Thailand will fully commit to achieving this SGATAR’s visionary mission.

The Chair of SGATAR appointed Mr.Nirandara Prachuabmoh from Thailand to act as the Secretary-General for the SGATAR Annual Meeting this year.

SGATAR was established in 1970 as an annual forum for tax administrators to enhance cooperation among tax administrations, improve tax administration, and discuss issues related to tax administration. At present, there are 18 member jurisdictions. This year marks the 6th time Thailand has hosted the SGATAR Annual Meeting. There are over 150 participants, including executives and officials from tax administrations in 18 member jurisdictions, as well as representatives from various international organisations.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมสรรพากร

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News