Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กาแฟเชียงรายผงาด! กวาดรางวัลสุดยอดกาแฟไทยปี 2568 สะท้อนศักยภาพระดับชาติ

 “สุดยอดกาแฟไทย” จากเวทีประกวดสู่ยุทธศาสตร์ชาติ: ถอดบทเรียนการยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟไทยและแรงขับเคลื่อนจากภาคเหนือ

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 – ตัวเลขคุณภาพขยับขึ้นจริง ปี 2567 ผู้ชนะสายอะราบิกากระบวนการแปรรูปแบบแห้งทำคะแนนแตะ 91.00 คะแนน (ระดับ “Outstanding” ตามเกณฑ์ SCA) ตอกย้ำศักยภาพกาแฟพิเศษไทยบนมาตรฐานสากล และสะท้อน “เพดานคุณภาพ” ที่ยกสูงกว่าปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญ

  • มาตรฐานเดียวกับโลก: การประกวดใช้ เกณฑ์ SCA พร้อมโครงสร้างประกาศนียบัตรเป็นขั้นบันได (Outstanding/Excellent/Very Good/ชมเชย) ช่วยให้เกษตรกร “เห็นเป้าหมาย–รู้ช่องว่าง–ปรับปรุงได้จริง” และทำให้คะแนนเป็น “ภาษากลาง” ระหว่างผู้ผลิต–ผู้คั่ว–ผู้ซื้อ
  • นโยบายเชื่อมคุณภาพกับสิ่งแวดล้อม: กรมวิชาการเกษตรวางตำแหน่งโครงการเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนคุณภาพ ควบคู่ เป้าหมายสาธารณะ เช่น การเพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟคุณภาพและสนับสนุนแนวทางลด PM2.5 ในภาคเกษตร สะท้อน “ผลลัพธ์พหุมิติ” ที่เกินกว่าการแข่งขัน
  • เหนือยังเป็นหัวรถจักร: รายชื่อผู้ชนะปี 2567 กระจุกตัวในภาคเหนืออย่างโดดเด่น (เช่น บ้านมณีพฤกษ์ จ.น่าน) และปี 2568 มีผู้ส่งตัวอย่างจากเชียงรายจำนวนมาก ชี้ทิศทาง “อัตลักษณ์แหล่งปลูก” (origin identity) ที่ชัดขึ้น และโอกาสต่อยอดเป็นแบรนด์พื้นที่/ท่องเที่ยวเชิงเกษตร

รายงานเชิงลึก

เช้าตรู่ปลายฤดูฝนของเชียงราย กลิ่นดินชื้นและเมฆต่ำเหนือดอยเป็นคิวสำคัญของฤดูกาลกาแฟ ขณะเดียวกัน “เส้นกราฟคุณภาพ” ของกาแฟไทยก็พุ่งสูงขึ้นเงียบ ๆ หากดูเพียงภายนอก การประกวดอาจเป็นเรื่องของถ้วยรางวัลและชื่อเสียง แต่สำหรับห่วงโซ่กาแฟไทย “เวทีประกวดสุดยอดกาแฟไทย (Thai Coffee Excellence)” ถูกออกแบบให้เป็น เครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์: ตั้งคะแนนเป็นเข็มทิศ กำหนดมาตรฐานร่วม และเชื่อมผู้ผลิตกับตลาดคุณภาพทั่วโลก

จากเวทีแข่งขันสู่เครื่องมือพัฒนา

หัวใจของการประกวดที่กรมวิชาการเกษตรเป็นเจ้าภาพ คือการวัดคุณภาพด้วย มาตรฐาน SCA (Specialty Coffee Association) ซึ่งเป็น “ภาษากลาง” ของอุตสาหกรรมกาแฟพิเศษทั่วโลก ระบบคะแนน (Cupping Score) ทำให้ผู้ซื้อ–ผู้ขาย–ผู้คั่ว เข้าใจตรงกันว่า “กาแฟถุงนี้” อยู่ในระดับใด และควรตั้งราคาหรือพัฒนาต่ออย่างไร โดยทั่วไป กาแฟที่ทำคะแนน ตั้งแต่ 80 คะแนน ขึ้นไปจึงถือเป็น “กาแฟพิเศษ” และยิ่งแตะ 85/90 คะแนน ความโดดเด่นทางรสชาติยิ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดสากล* (ดูกรอบมาตรฐาน SCA)

หมายเหตุ: ประกาศอย่างเป็นทางการของการประกวดไทยปี 2567 ใช้กรอบประกาศนียบัตร 5 ระดับ ได้แก่ Outstanding (90–100), Excellent (85–89.99), Very Good (80–84.99), ชมเชย (80–83.99 ในประกาศเฉพาะส่วน) และประกาศนียบัตรกรมวิชาการเกษตรสำหรับคะแนนต่ำกว่า 80 ซึ่งสื่อสารชัดเจนถึง “ขั้นบันไดคุณภาพ” ให้ผู้ผลิตใช้เป็นเป้าหมายในการพัฒนา

หลักฐานเชิงคุณภาพ คะแนนทะลุ 90 และรายชื่อผู้ชนะ

ปี 2567 นับเป็น “หมุดหมาย” ของกาแฟไทย เมื่อผู้ชนะสาย อะราบิกา – กระบวนการแห้ง (Natural) อย่าง นายพิเชฐ กล้าพิทักษ์ จาก บ้านมณีพฤกษ์ จ.น่าน ทำคะแนน 91.00 สูงสุดของปี ขณะที่สาย กึ่งแห้ง (Honey) อย่าง นายชาติชาย แซ่ท้าว จากแหล่งเดียวกันทำ 91.06 คะแนน สะท้อน “ศักยภาพ terroir” ของผืนป่าภาคเหนือที่ถูกเล่าเรื่องผ่านถ้วยกาแฟอย่างมีพลัง นอกจากนี้ สาย เปียก (Washed) ผู้ชนะทำคะแนนระดับ 89.94 ใกล้แตะเส้น 90 จุด ซึ่งเป็น “โซนหายาก” ของกาแฟพิเศษในตลาดโลก (รายละเอียดปรากฏในประกาศผลฉบับทางการของกรมวิชาการเกษตร)

ความสำคัญของตัวเลขไม่ได้อยู่ที่ สถิติ เท่านั้น แต่คือแรงกระเพื่อมที่เกิดตามมา—จากผู้ซื้อที่ให้ราคาตามคุณภาพ ไปจนถึงผู้ผลิตรายย่อยที่เห็น “ทางลัดสู่ตลาดพรีเมียม” ผ่านการปรับวิธีเก็บ–แปรรูป–จัดเก็บ เพื่อไล่ล่าคะแนนมากกว่าการเพิ่มปริมาณเพียงอย่างเดียว

เชียงรายบนแผนที่ ฐานการผลิต–ฐานคนเล่นคุณภาพ

แม้ปี 2567 บัลลังก์จะอยู่ที่น่าน แต่ “ฐานคุณภาพ” ของเชียงรายยังคงแข็งแรง ทั้งในบทบาทแหล่งปลูกดั้งเดิมและฐานชุมชนกาแฟรุ่นใหม่ ปี 2568 ในรอบการประกวดปัจจุบัน มีผู้ผลิตจากเชียงรายจำนวนมากส่งตัวอย่างเข้าร่วม และตามเอกสารประกาศผลเบื้องต้นกรมวิชาการเกษตรได้ประกาศผลการประกวด สุดยอดกาแฟไทย ประจำปี 2568 (Thai Coffee Excellence 2025)” ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการยกระดับคุณภาพกาแฟไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานจากสมาพันธ์กาแฟโลก (Specialty Coffee Association: SCA)

การประกวดครั้งนี้มีผู้ส่งตัวอย่างกาแฟจากทั่วประเทศเข้าร่วมอย่างคับคั่ง และผู้ผลิตจากจังหวัดเชียงรายก็สามารถคว้ารางวัลไปได้หลายรายการในหลากหลายประเภท สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของผลผลิตกาแฟที่โดดเด่นและศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในการเป็นแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพของประเทศ

ผู้ผลิตกาแฟเชียงรายกวาดรางวัลเพียบ

กรมวิชาการเกษตรได้ประกาศผลการประกวด “สุดยอดกาแฟไทย ประจำปี 2568 (Thai Coffee Excellence 2025)” ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการยกระดับคุณภาพกาแฟไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานจากสมาพันธ์กาแฟโลก (Specialty Coffee Association: SCA)

การประกวดครั้งนี้มีผู้ส่งตัวอย่างกาแฟจากทั่วประเทศเข้าร่วมอย่างคับคั่ง และผู้ผลิตจากจังหวัดเชียงรายก็สามารถคว้ารางวัลไปได้หลายรายการในหลากหลายประเภท สะท้อนให้เห็นถึงคุณภาพของผลผลิตกาแฟที่โดดเด่นและศักยภาพของจังหวัดเชียงรายในการเป็นแหล่งผลิตกาแฟคุณภาพของประเทศ

ประเภทการประกวดเมล็ดกาแฟ (Thailand Best Coffee Beans 2025)

กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีแห้ง (Dry/Natural Process)

  • ประกาศนียบัตรเหรียญทองแดง (ระดับคะแนน 84 – 86.99)
    • ลำดับที่ 5: วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน (นายกิตติคุณ ช่างเขียน) – อ.แม่จัน: 84.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 6: นายพงศธร ขันทะ – อ.เมืองเชียงราย: 84.25 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรชมเชย (ระดับคะแนน 80 – 83.99)
    • ลำดับที่ 7: นายธนกฤต ชมภู – อ.แม่ฟ้าหลวง: 83.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 11: นายอุกฤษ สิงห์แก้ว – อ.เทิง: 82.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 13: นางพิน แก้วสุข – อ.เวียงแก่น: 82.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 15: นางสาววิมลรัตน์ พิสัยเลิศ – อ.แม่สรวย: 82.25 คะแนน
    • ลำดับที่ 18: นางสาวพรพิมล แลเซอ – อ.เวียงป่าเป้า: 81.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 20: นายกฤชณัท แลเซอ – อ.เวียงป่าเป้า: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 21: นายอินทฤทธิ์ วุยยะกู่ (ไร่กาแฟฅนปางขอน) – อ.เมืองเชียงราย: 81.25 คะแนน

กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีเปียก (Wet/Fully Wash Process)

  • ประกาศนียบัตรเหรียญทองแดง (ระดับคะแนน 84 – 86.99)
    • ลำดับที่ 3: นางสาวนาถือ จะแล – อ.เมืองเชียงราย: 85.00 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรชมเชย (ระดับคะแนน 80 – 83.99)
    • ลำดับที่ 5: นายยุทธนา พุ่มพลีก – อ.แม่สรวย: 83.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 10: กาแฟพิเศษห้วยชมภู (นายไกรศักดิ์ แสนหมี่) – อ.เมืองเชียงราย: 82.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 13: นางสาววิมลรัตน์ พิสัยเลิศ – อ.แม่สรวย: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 14: นายพงศธร ขันทะ – อ.เมืองเชียงราย: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 19: นายธนิน วิบูลจิตธรรม – อ.แม่สรวย: 80.50 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรจากกรมวิชาการเกษตร (ระดับคะแนนต่ำกว่า 80)
    • ลำดับที่ 20: วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน (นายกิตติคุณ ช่างเขียน) – อ.แม่จัน: 78.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 22: นางสาวยุพา เยส่อกู – อ.เมืองเชียงราย: 73.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 23: นายสมบัติ อัครวิชัยกุล – อ.เมืองเชียงราย: 73.50 คะแนน

กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปโดยวิธีกึ่งแห้ง (Semi-Dry/Honey Process)

  • ประกาศนียบัตรชมเชย (ระดับคะแนน 80 – 83.99)
    • ลำดับที่ 3: นายพงศธร ขันทะ – อ.เมืองเชียงราย: 83.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 5: นายอภิสิทธิ์ บิเซ – อ.เมืองเชียงราย: 82.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 7: นายอินทฤทธิ์ วุยยะกู – อ.เมืองเชียงราย: 81.75 คะแนน
    • ลำดับที่ 8: นายอนุสรณ์ จือปา – อ.แม่สรวย: 81.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 10: นายสินธพ จือปา – อ.แม่สรวย: 80.50 คะแนน
    • ลำดับที่ 13: นางสาววิมลรัตน์ พิสัยเลิศ – อ.แม่สรวย: 80.00 คะแนน
  • ประกาศนียบัตรจากกรมวิชาการเกษตร (ระดับคะแนนต่ำกว่า 80)
    • ลำดับที่ 20: วิสาหกิจชุมชนกลุ่มกาแฟอินทรีย์รักษาป่าภูชี้เดือน (นายกิตติคุณ ช่างเขียน) – อ.แม่จัน: 79.25 คะแนน
    • ลำดับที่ 22: นางพิน แก้วสุข – อ.เวียงแก่น: 75.25 คะแนน

กาแฟโรบัสตา ไม่แยกกระบวนการแปรรูป

  • ประกาศนียบัตรจากกรมวิชาการเกษตร (ระดับคะแนนต่ำกว่า 80)
    • ลำดับที่ 20: นายพิชิต บุญยืนพนากุล – อ.แม่สรวย: 72.00 คะแนน

 

ทำไมคะแนนคือ “เกมยาว” ของทั้งห่วงโซ่

  1. ความโปร่งใสด้านคุณภาพ: คะแนน SCA ทำให้ผู้ผลิตรู้จุดแข็ง–จุดอ่อนเชิงรสชาติ แปลกลับเป็น “เช็กลิสต์ทางเทคนิค” เช่น ความสุกของผลเชอร์รี, สุขอนามัยในกระบวนการ, ระยะเวลาและอุณหภูมิการหมัก/อบแห้ง ฯลฯ—ทั้งหมดเชื่อมตรงกับคุณภาพในถ้วยและราคาขายปลายน้ำ.
  2. สร้างอัตลักษณ์แหล่งปลูก: เมื่อรายชื่อผู้ชนะกระจุกตัวในพื้นที่ (เช่น บ้านมณีพฤกษ์–น่าน) ต่อเนื่อง การรับรู้ “รสชาติประจำถิ่น” (origin identity) จะชัดขึ้น มีผลเชิงเศรษฐกิจทั้งต่อเมล็ดกาแฟและ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่ขาย “ประสบการณ์ถ้วยเดียว–เล่าเรื่องทั้งหุบเขา”
  3. เชื่อมคุณภาพกับสิ่งแวดล้อม: กรอบการประกาศผลปี 2567 ระบุชัดว่าการประกวดเชื่อมกับการเพิ่มพื้นที่ปลูกกาแฟคุณภาพและ ลดปัญหา PM2.5 ในภาคเกษตร นัยยะคือ การผลักดันให้พื้นที่ต้นน้ำเปลี่ยนผ่านสู่พืชยืนต้น/ระบบเกษตรเชิงฟื้นฟู (ปลูกผสม–รักษาหน้าดิน) แทนการพึ่งพาการเผาเป็นวงจร

คำถามชวนคิด (พร้อมข้อมูลสนับสนุน)

  • เราจะ “ล็อกคุณภาพให้ยั่งยืน” ได้อย่างไร? ปี 2567 คะแนนผู้ชนะทะลุ 90 ได้จริง แต่การรักษาคุณภาพปีต่อปีต้องลงทุนใน “ระบบ” ตั้งแต่โรงสีเปียกมาตรฐาน, พื้นที่ตากสะอาด, ไปจนถึง การวิเคราะห์คุณภาพซ้ำ (QC) ก่อนส่งตลาดส่งออก
  • ใครได้ประโยชน์มากที่สุด? ไม่ใช่เฉพาะผู้ชนะ แต่คือกลุ่มผู้ผลิตรายย่อยที่ “เห็นเป้าหมายชัด” และเข้าถึงตลาดพิเศษผ่านเครือข่ายผู้คั่ว–ผู้ซื้อที่ติดตามผลประกวดอย่างใกล้ชิด (รายชื่อผู้ชนะถูกเผยแพร่บนเว็บกรมฯ อย่างเป็นทางการ ช่วยเพิ่มการมองเห็นแก่ผู้ผลิตหน้าใหม่)
  • เชียงรายควรเร่งอะไร? จากรายชื่อปี 2568 (เบื้องต้น) เชียงรายมี “ฐานกว้าง” ที่พร้อมต่อยอด หากจังหวัด–อปท.–สถาบันการศึกษา จับมือยกระดับ ห้องปฏิบัติการ cupping/มาตรฐาน post-harvest แบบใช้ร่วมในพื้นที่ จะเร่ง “อัพเพอร์ฟอร์แมนซ์” ของทั้งคลัสเตอร์

กลไกรางวัล เกียรติ–แรงจูงใจ–การเข้าถึงตลาด

นอกจากคะแนน การประกวดยังมี โครงสร้างรางวัล ที่ผสาน “เกียรติยศ” และ “แรงจูงใจทางเศรษฐกิจ” เช่น ถ้วยรางวัลพระราชทานสำหรับผู้ชนะเลิศ และการยกย่องด้วยประกาศนียบัตรระดับต่าง ๆ ช่วยผลักดันให้ผู้ผลิต “ไม่หยุดที่ดีมาก” แต่ไล่สู่ ยอดเยี่ยม/โดดเด่น อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ขณะเดียวกัน รายชื่อผู้ชนะที่เผยแพร่บนเว็บไซต์กรมฯ ทำหน้าที่เป็น สมุดหน้าเหลืองของความเชื่อถือ ให้ผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศค้นหา–ติดต่อได้ง่ายขึ้น (การสื่อสารผลอย่างเป็นทางการของปี 2567 เผยแพร่แล้ว)

ปี 2568 รอบแข่งขันกำลังเดินฐานข้อมูลทางการทยอยเผยแพร่

ในรอบปี 2568 กรมวิชาการเกษตรได้ประกาศ เลื่อน/ขยายรับสมัคร และแจ้งความคืบหน้าผ่านสื่อทางการของหน่วยงาน ขณะเดียวกันเอกสารประกาศผล เบื้องต้น สำหรับบางหมวดหมู่เริ่มกระจายถึงสื่อและผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อการยืนยันข้อมูล ผู้สื่อข่าวจึงได้นำเสนอ “ภาพรวมแนวโน้ม” โดยยึดหลักความระมัดระวัง และจะติดตามอัปเดต ประกาศผลฉบับสมบูรณ์ จากหน้าเว็บไซต์ทางการของกรมฯ ต่อไป.

มุมเศรษฐกิจ–สังคมจากคะแนนในถ้วยสู่รายได้ในชุมชน

การ “ทำคะแนนให้ถึง” ไม่ได้จบที่ถ้วยตัดสิน แต่เริ่มต้นที่ ศักยภาพการตั้งราคา ของผู้ผลิต การยกระดับคุณภาพอย่างต่อเนื่องเปิดโอกาสให้เกษตรกรกำหนดราคาตามมูลค่าจริง (value-based pricing) แทนการขาย “แบบโภคภัณฑ์” ผลพลอยได้คือ การกระจายรายได้ สู่ครัวเรือนต้นน้ำ ขณะเดียวกัน คลัสเตอร์ผู้คั่ว–คาเฟ่–ท่องเที่ยวในจังหวัดอย่างเชียงรายก็ได้ประโยชน์จากเรื่องเล่าของ “แหล่งปลูก–ผู้ผลิต–คะแนน” ที่จับต้องได้

และอย่าลืม ผลลัพธ์เชิงสิ่งแวดล้อม—เมื่อตลาดและรางวัลเอื้อให้การปลูกกาแฟคุณภาพคุ้มทุน การขยายพื้นที่พืชยืนต้นที่ดูแลดิน–น้ำดีขึ้น จะช่วยลดความจำเป็นของการใช้ไฟในพื้นที่สูง เป็นการเชื่อมโยง “คะแนน” กับ “อากาศที่หายใจได้” ของทั้งลุ่มน้ำโขงเหนือในภาพรวม

ภาพใหญ่ที่เห็นชัดในปีนี้คือ ไทยไม่ได้ล่าเพียงถ้วยรางวัล แต่กำลังวาง “ระบบนิเวศคุณภาพ” ที่ปีนทีละขั้นด้วยภาษาเดียวกับโลก—SCA score—ภายใต้กรอบการประกาศผลที่โปร่งใสและสื่อสารได้ ขณะที่เชียงรายยังคงเป็นหนึ่งในหัวใจของคลัสเตอร์กาแฟเหนือที่ทั้งกว้างและลึก—มีทั้งผู้เล่นหน้าเก๋าและรุ่นใหม่จำนวนมาก การที่รายชื่อผู้ส่งเข้าประกวดจากเชียงรายคว้าประกาศนียบัตรหลายระดับในปี 2568 (ตามเอกสารเบื้องต้น) คือสัญญาณว่าฐานคุณภาพกำลัง “หนาแน่นขึ้น” อย่างแท้จริง

คำถามต่อไปคือ เราจะทำให้ “คะแนน” กลายเป็น “รายได้ที่ยั่งยืน” แก่ครัวเรือนต้นน้ำมากขึ้นแค่ไหน—คำตอบอยู่ที่การลงทุนใน post-harvest และระบบ QC ร่วมของพื้นที่, การเชื่อมโยงกับตลาดพรีเมียมในประเทศ–ต่างประเทศ, และการยึดมั่นในเกณฑ์สากลที่โปร่งใส เพื่อให้ทุกฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง “ปลายลิ้นของผู้ดื่ม” เป็นคนตัดสินใจแทนเรา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมวิชาการเกษตร – ประกาศผล “Thai Coffee Excellence 2024: Thailand Best Coffee Beans” (ระบุรายชื่อผู้ชนะ/คะแนนและเกณฑ์ประกาศนียบัตร) เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ทางการกองพืชสวน กรมวิชาการเกษตร.
  • กรมวิชาการเกษตร – ข่าว/ประกาศรายชื่อผู้ได้รับรางวัลการประกวดสุดยอดกาแฟไทย 2024 (หน้าเว็บข่าวกองพืชสวน)
  • กรมวิชาการเกษตร (กองพืชสวน) – ข่าวประชาสัมพันธ์/ประกาศขยายรับสมัครและกำหนดการ “Thai Coffee Excellence 2025” (ยืนยันการดำเนินการรอบปี 2568).
  • Specialty Coffee Association (SCA)
  • กรมส่งเสริมการเกษตร สำนักงานชุมพร
  • ไร่กาแฟครอบครัวมะ
  • LOCAL Coffee
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TRAVEL

เมืองแห่งชาและกาแฟ เชียงรายยกระดับกาแฟไทยสู่เวทีโลก สร้างมูลค่าพันล้าน

เชียงรายผงาด! ศูนย์กลางกาแฟโลก ผนึกกำลังรัฐ-เอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยั่งยืน

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – เชียงรายก้าวสู่ผู้นำกาแฟระดับโลก ด้วยสายพันธุ์-แบรนด์-นวัตกรรมครบเครื่อง กำลังก้าวเข้าสู่บทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางกาแฟระดับโลก ด้วยความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ พันธุ์กาแฟอาราบิก้าคุณภาพสูง การส่งเสริมจากภาครัฐ และการเติบโตของธุรกิจเอกชน ตั้งแต่ฟาร์มปลูกกาแฟจนถึงแบรนด์ร้านกาแฟระดับประเทศ

การขับเคลื่อนเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ด้วยแนวนโยบาย “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2565 ส่งผลให้เชียงรายกลายเป็นโมเดลเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ผสานเกษตรกรรม การท่องเที่ยว และนวัตกรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างยั่งยืน

ตลาดกาแฟโตไม่หยุด “เชียงราย” ตัวแปรสำคัญขับเคลื่อนประเทศ

จากข้อมูลการวิเคราะห์ตลาดปี 2567-2568 พบว่าตลาดกาแฟไทยมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มสูงถึง 3-5 เท่าของกาแฟทั่วไป และเชียงรายกลายเป็นจังหวัดที่ครองบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิตนี้

กาแฟ GI อย่าง “ดอยตุง” และ “ดอยช้าง” เป็นเครื่องการันตีคุณภาพระดับประเทศ สอดรับกับแบรนด์ใหม่ที่เติบโตเร็ว เช่น 1:2 Coffee ที่เน้น “คุณภาพดี ราคาจับต้องได้” และขยายสาขาทั่วประเทศกว่า 50 แห่ง กลายเป็นตัวแบบสำเร็จในการต่อยอดผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นสู่สเกลชาติ

เทศกาลกาแฟทั่วเชียงราย ยกระดับเมืองแห่งประสบการณ์กาแฟ

เชียงรายไม่ได้เป็นเพียงแหล่งผลิตกาแฟเท่านั้น แต่ยังสร้าง “ประสบการณ์” ให้กับนักท่องเที่ยวผ่านงานเทศกาลตลอดปี 2568 ดังนี้

  • Tea & Coffee Central CEI 25–29 มิ.ย. 2568 ณ เซ็นทรัล เชียงราย
  • Eastern Lanna Tea & Coffee 25–28 ก.ค. 2568
  • Brewtopia ไร่แม่ฟ้าหลวง 17–20 ส.ค. 2568
  • TEDxChiangRai 23 ส.ค. 2568 (เจาะลึกองค์ความรู้และนวัตกรรมกาแฟ)
  • CCL Coffee Journey by TCEB 26–28 ส.ค. 2568

ภายในงานมีการแข่งขัน Latte Art ชิงแชมป์บาริสต้ามือทอง เวิร์คช็อปคั่วบด การชิมกาแฟเชิงลึก (cupping) และกิจกรรมสร้างสรรค์อื่นๆ ที่มีเป้าหมายกระตุ้นเศรษฐกิจภาคเหนือด้วยเม็ดเงินหมุนเวียนมากกว่า 700 ล้านบาทต่อปี

นวัตกรรม-วิจัย อาวุธลับสร้างความต่างสู่เวทีโลก

เชียงรายไม่เพียงแต่ผลิตกาแฟคุณภาพสูง หากแต่ยังลงทุนวิจัยอย่างต่อเนื่อง โดยกรมวิชาการเกษตรพัฒนาสายพันธุ์ “เชียงราย 1” และ “เชียงราย 2” ให้เหมาะกับภูเขาสูงโดยเฉพาะ

นอกจากนี้ยังมีการสร้างต้นแบบ “จมูกอิเล็กทรอนิกส์” ที่สามารถวิเคราะห์รสชาติเฉพาะของกาแฟแต่ละสายพันธุ์ และงานวิจัยลดปริมาณคาเฟอีนในกาแฟได้มากถึง 93.12% โดยไม่สูญเสียรสชาติ ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ

ภาครัฐรวมพลังทุกภาคส่วน ยกระดับเมืองกาแฟ

การยกระดับ “เชียงรายเมืองแห่งชาและกาแฟ” ไม่ได้เกิดขึ้นจากหน่วยงานเดียว แต่เกิดจากการผนึกกำลังของภาครัฐ ภาควิชาการ และชุมชน ได้แก่

  • จังหวัดเชียงราย ตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายตั้งแต่ปี 2565
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สนับสนุนทุนวิจัยด้านกาแฟ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ ราชภัฏเชียงราย ร่วมจัดกิจกรรมการศึกษา สัมมนา และหลักสูตรกาแฟ
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย ช่วยประสานเครือข่ายระดับประเทศและต่างประเทศ

การสนับสนุนนี้ครอบคลุมตั้งแต่การรับรองมาตรฐาน (GMP, HACCP, GAP) ไปจนถึงการขยายพื้นที่ผลิตแบบ Organic Thailand ที่ช่วยผลักดันกาแฟเชียงรายสู่ตลาดพรีเมียมได้อย่างมั่นคง

ความท้าทายที่ต้องรับมือ โอกาสแฝงในวิกฤต

แม้เชียงรายจะมีศักยภาพมหาศาล แต่ก็ยังเผชิญกับหลายปัจจัยท้าทาย

  • สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ทำให้ผลผลิตผันผวนและต้นทุนสูงขึ้น
  • การแข่งขันจากกาแฟนำเข้า ที่มีต้นทุนต่ำกว่าในบางตลาด
  • การรับรู้ในระดับโลก กาแฟไทยยังไม่เป็นที่รู้จักในบางภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นโอกาสใหม่ เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงกาแฟ ผสานไร่กาแฟกับฟาร์มสเตย์ โรงคั่ว และร้านกาแฟท้องถิ่นในรูปแบบ Coffee Trail ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้จากการขายเมล็ด แต่ยังเพิ่มรายได้ผ่านการท่องเที่ยวและการให้บริการประสบการณ์กาแฟโดยตรง

ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์ สู่อนาคตกาแฟยั่งยืน

  1. เกษตรกรและผู้ผลิต
    • รวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์หรือวิสาหกิจชุมชน
    • พัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟพิเศษที่มีมาตรฐาน
    • ใช้นวัตกรรมเพิ่มมูลค่า ลดต้นทุน และรักษาสิ่งแวดล้อม
  2. ผู้ประกอบการและธุรกิจ
    • สร้างแบรนด์ที่มีเรื่องราว
    • ขยายช่องทางออนไลน์และส่งออก
    • พัฒนาโมเดลธุรกิจที่เข้าถึงได้ง่ายและแตกต่าง
  3. ภาครัฐและนโยบาย
    • ขยายผลแผน “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ให้เป็นนโยบายระดับชาติ
    • สนับสนุนทุนวิจัย แพลตฟอร์มประชาสัมพันธ์ และการเข้าถึงเงินทุน
    • พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่ง บรรจุภัณฑ์ และลอจิสติกส์

เชียงรายไม่ใช่แค่แหล่งปลูกกาแฟ แต่คือเมืองแห่งอนาคต

เชียงรายกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมกาแฟไม่ใช่แค่เรื่องของการเกษตร แต่คือการออกแบบเศรษฐกิจอย่างชาญฉลาด ที่เชื่อมโยงผู้ผลิต นวัตกรรม วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าด้วยกัน

หากเดินตามแนวทางอย่างต่อเนื่อง เชียงรายจะไม่ใช่แค่ “เมืองแห่งชาและกาแฟ” ของไทย แต่จะเป็นหนึ่งใน “จุดหมายกาแฟระดับโลก” ที่สร้างทั้งรายได้ ความยั่งยืน และความภาคภูมิใจให้กับคนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
  • กรมวิชาการเกษตร
  • สมาคมกาแฟพิเศษไทย
  • งานวิจัย “จมูกอิเล็กทรอนิกส์วิเคราะห์กาแฟ GI” ปี 2567
  • รายงานการตลาด Specialty Coffee ปี 2567 โดย TCEB และ Cluster Coffee Lab
  • บันทึกการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเมืองแห่งชาและกาแฟ จังหวัดเชียงราย (3 พ.ค. 2565)
  • CCL Chiangrai Coffee Lovers
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

‘ธรรมนัส’ ร่วมงานครบรอบ 51 ปี พร้อมมอบนโยบายกรมวิชาการเกษตร

 

 ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีอ่านสารแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสวันสถาปนากรมวิชาการเกษตร ครบรอบ 51 ปี โดยมี นายอภัย สุทธิสังข์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 314 ตึกกสิกรรม กรมวิชาการเกษตร ว่า นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในปี 2566 นี้ มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าในการการสร้างรายได้ สร้างโอกาสและสร้างคุณภาพชีวิตโดยใช้หลักการ “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี 

 

โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการภาคเกษตรที่ครบถ้วนทุกด้าน ตั้งแต่ดิน น้ำ พันธุ์พืช นวัตกรรม ด้วยการ สนับสนุนให้ปลูกพืช ให้เหมาะสมกับพื้นที่พัฒนาพันธุ์พืชที่ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกร การใช้สารชีวภัณฑ์ลดการใช้สารเคมี รวมถึง การประกาศสงครามกับปุ๋ย และเคมีเกษตรปลอม ตลอดจนทำสงครามกับศัตรูพืช


      รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ในโอกาสที่กรมวิชาการเกษตรก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 6 กรมวิชาการเกษตร ต้องมีอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย สามารถให้บริการตรวจสอบรับรองที่ฉับไว ห้องปฏิบัติการแห่งอนาคต “DOA Future Lab” จึงเป็นการยกระดับเทคโนโลยีนวัตกรรม ห้องปฏิบัติการที่ล้ำสมัยของกรมวิชาการเกษตรทั่วประเทศ เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขัน ลดปัญหาและอุปสรรคทางการค้าระหว่างประเทศ ด้วยการยกระดับห้องปฏิบัติการส่วนภูมิภาคให้ได้ มาตรฐานระดับสากล ที่เป็นห้องปฏิบัติการอ้างอิงระดับประเทศ และระดับนานาชาติ 

 

รวมทั้ง การพัฒนาผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมสมัยใหม่ ที่สามารถนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ได้อย่างแท้จริง สร้างคุณค่าให้กับองค์กรให้เติบโต เข้มแข็งขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ให้กับการพัฒนาการเกษตรของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และยั่งยืน


        สำหรับแนวทางในการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ  มาเป็นแนวทางปฏิบัติภายใต้ภารกิจของกรมวิชาการเกษตร ซึ่งมีโครงการที่กรมวิชาการเกษตรที่สามารถดำเนินการตามได้ทันที ได้แก่ การประกาศสงครามกับศัตรูพืช เช่น หนอนเจาะผลทุเรียน  โรคใบด่างมันสำปะหลัง เข้มงวดการตรวจสินค้านำเข้าเพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย เร่งการวิจัยพัฒนาพืชที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงเพื่อยกระดับสินค้าเกษตร  และเสริมศักยภาพเกษตรกร Plant Base Food  ส่งเสริมการจัดการ Carbon Credit ในพืชเศรษฐกิจที่สำคัญเพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกร  

 

การแก้ปัญหาฝุ่น ควัน PM 2.5 ภาคการเกษตร  และการเตรียมการเพื่อรองรับการแก้ไขปัญหา Climate Change รวมถึง การพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญและยกระดับให้เป็น MR พืช ผลักดันในการส่งออกผัก และผลไม้ไทยโดยเฉพาะทุเรียนให้มีมูลค่าการส่งออกปีละกว่า 2 แสนล้านบาท  โดยจัดทำ ”จันทบุรี โมเดล” ให้เป็นต้นแบบการขยายผลทุเรียนคุณภาพไปทั่วทุกภูมิภาค

 

       ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2515 โดยตลอดระยะเวลา 50 ปีมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมทางด้านการเกษตรที่สำคัญอย่างต่อเนื่อง ผลิตผลงานวิจัยที่สำคัญและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่มีประโยชน์สำหรับเกษตรกร  รวมถึงการลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกร  สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตรไทย และยังมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำสร้างนวัตกรรม งานวิจัย เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในภาคการเกษตรของประเทศไทย 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News