Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ที่ปรึกษาศูนย์ฯ ชงแผนเด็ด แก้มลพิษน้ำเชียงราย ผสานสื่อสาร-เยียวยา-ข้ามแดน

 “สารปนเปื้อนในน้ำ” วิกฤตซ้ำซ้อนของลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการฯ เสนอแนวคิดสื่อสาร-เยียวยา พร้อมดันมาตรการข้ามพรมแดน

น้ำที่เคยมั่นใจ กลายเป็นความกังวลของคนเชียงราย

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 — ฤดูฝนวนกลับมาอีกครั้งในจังหวัดเชียงราย ทว่าแทนที่จะนำความชุ่มชื้นและชีวิตชีวาสู่ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำ สายน้ำในปีนี้กลับกลายเป็นแหล่งแห่งความวิตกกังวล เมื่อสารปนเปื้อนที่มองไม่เห็นได้แทรกซึมเข้าสู่แม่น้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ประชาชนในพื้นที่และภาคส่วนต่าง ๆ ต่างเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ล่าสุด นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) จังหวัดเชียงราย ณ ห้องประชุมอูหลง ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ เพื่อสรุปข้อเสนอเชิงลึกที่หวังจะแก้ไขวิกฤตน้ำที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

ประเด็นร้อนกลางวงประชุม “ประชาชนต้องการชัดเจน-มีส่วนร่วม”

เสียงสะท้อนจากภาคประชาชน ภาควิชาการ และตัวแทนภาคเอกชนต่างเน้นย้ำว่า “ข้อมูลที่โปร่งใส-เข้าถึงได้” คือหัวใจสำคัญของการจัดการวิกฤตน้ำครั้งนี้ โดยเฉพาะ 5 คำถามสำคัญที่ต้องการคำตอบเร่งด่วนจากภาครัฐ

  • รัฐบาลมีไทม์ไลน์ชัดเจนหรือไม่ในการควบคุมมลพิษที่ต้นทาง?
  • จะลดสารหนูและสารพิษอื่นในแม่น้ำด้วยวิธีใด?
  • จะมีคู่มือรับมือภาวะน้ำปนเปื้อนสำหรับประชาชนหรือไม่?
  • แหล่งน้ำทางเลือกและการเข้าถึงน้ำสะอาดมีทางออกอย่างไร?
  • จะมีเวทีวงสนทนาเปิดพื้นที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้อย่างไร?

คณะที่ปรึกษาฯ ยังเสนอให้ภาครัฐดำเนินการ “Social Listening” รับฟังเสียงและความกังวลจากโซเชียลมีเดียอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างฐานข้อมูลปัญหาและแนวทางแก้ไขที่แท้จริง

สื่อสาร-แก้ข้ามพรมแดน-เยียวยาอย่างยั่งยืน

การประชุมมีข้อเสนอสำคัญที่ต้องเร่งขับเคลื่อน ดังนี้

  1. สื่อสารความเสี่ยงแบบโปร่งใสและจริงใจ

ที่ประชุมเน้นให้ภาครัฐเผยแพร่แผนตรวจสอบและรายงานคุณภาพน้ำฉบับเต็มบนเว็บไซต์หน่วยงาน เช่น กรมควบคุมมลพิษ เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ตลอดเวลา สื่อสารข้อมูลให้สม่ำเสมอและชัดเจน รวมถึงอธิบายข้อจำกัดและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระหว่างรัฐและประชาชน

  1. เปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมา

สารพิษจำนวนมากในแม่น้ำมีต้นกำเนิดข้ามพรมแดน คณะที่ปรึกษาฯ เสนอให้รัฐบาลไทยผลักดันการเปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมา ทั้งที่ตั้ง จำนวน และประเภทของเหมือง เพื่อวางแผนรับมือและเจรจากับเพื่อนบ้านอย่างเป็นทางการ

  1. แผนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

เสนอให้สำรวจผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ ผู้ใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในพื้นที่เสี่ยง ชาวประมงที่ต้องหยุดกิจการ ผู้ประกอบการร้านอาหารและแพท่องเที่ยว รวมถึงกำหนดมาตรการเยียวยาและชดเชยภายใน 2 เดือน

  1. แผนรับมือน้ำท่วมที่มีสารพิษ

ทุกชุมชนควรได้รับคู่มือและความรู้ในการป้องกันตัวเมื่อต้องเผชิญน้ำท่วมที่มีสารโลหะหนัก เช่น วิธีหลีกเลี่ยงสัมผัสน้ำปนเปื้อน การล้างบ้านหลังน้ำลด และการจัดการโคลนที่มีสารพิษ

  1. เฝ้าระวังผลผลิตทางการเกษตร

แผนเฝ้าระวังและตรวจสอบผลผลิตเกษตรกรรมที่ใช้น้ำจากแม่น้ำที่มีสารปนเปื้อน เช่น การจัดทำห่วงโซ่อุปทาน และการตรวจสอบผลผลิตก่อนออกสู่ตลาด โดยเฉพาะข้าวนาปี หากพบการปนเปื้อนต้องมีมาตรการเยียวยาและดึงผลผลิตออกจากระบบ

  1. จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบสารโลหะหนักประจำจังหวัด

ยกระดับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์ตรวจมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพิ่มศักยภาพการตรวจสอบในจังหวัด ลดเวลารอผลและต้นทุน

  1. สร้างพลเมืองวิทยาศาสตร์-แก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

ผลักดันการสอนวิชาพลเมืองวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน-มหาวิทยาลัย และจัดกิจกรรมสัปดาห์เรียนรู้สำหรับประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย

  1. เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน

ภาครัฐควรเพิ่มสัดส่วนภาคประชาชนในคณะทำงาน แทนที่จะเน้นประชาสัมพันธ์ ควรเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างแท้จริง

วิกฤตข้ามพรมแดนต้องอาศัยพลังของ “ความโปร่งใส-ความร่วมมือ”

การประชุมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในเชียงรายไม่ใช่เรื่องในประเทศอีกต่อไป หากแต่โยงใยกับมลพิษข้ามพรมแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อุปสรรคสำคัญคือ การเปิดเผยข้อมูลและการเจรจากับเมียนมา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามจากทุกฝ่าย

ขณะเดียวกัน แม้จะมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่หลากหลาย การผลักดันให้เป็นรูปธรรมยังต้องการทรัพยากร บุคลากร งบประมาณ และระบบติดตามที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

“ความเชื่อมั่น” ของประชาชนในพื้นที่จะฟื้นคืนได้ ก็ต่อเมื่อรัฐแสดงให้เห็นความโปร่งใส จริงใจ และสามารถขับเคลื่อนข้อเสนอเหล่านี้ให้เกิดผลจริงทั้งระยะสั้นและระยะยาว

จุดเปลี่ยนของลุ่มน้ำเชียงรายบนเส้นทางความร่วมมือใหม่

การประชุมครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของการจัดการปัญหาน้ำในเชียงรายอย่างบูรณาการ ทุกข้อเสนอจะต้องถูกขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริง ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค หากคุณคือผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ คุณจะให้ความสำคัญกับข้อเสนอใดเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิ่งแวดล้อมภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

คลายกังวลภัยโลหะหนัก ผลตรวจตะกอนดินแม่น้ำกก-สาย-รวก ไม่เกินค่า

รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่หาดเชียงราย เร่งตรวจสอบสารปนเปื้อนในตะกอนดินริมแม่น้ำกก ใช้เครื่องมือทันสมัย XRF สร้างความมั่นใจแก่ประชาชน พบค่าสารหนูไม่เกินมาตรฐาน

เชียงราย, 19 มิถุนายน 2568 – ในช่วงที่ชุมชนจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ต่างจับตามองประเด็นคุณภาพสิ่งแวดล้อมจากปัญหาน้ำหลากและการขุดลอกตะกอนดิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับสุขภาพและความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ได้จัดทีมงานผู้เชี่ยวชาญลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์และสร้างความมั่นใจต่อสาธารณชน

วางแผนตรวจสอบอย่างเป็นระบบ รับมือข้อกังวลชุมชน

วันที่ 19 มิถุนายน 2568 เวลา 09.00 น. นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี รองปลัด ทส. พร้อมคณะ ได้เริ่มต้นภารกิจตรวจสอบจุดยุทธศาสตร์ 2 แห่ง ได้แก่ ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมแม่น้ำกกบริเวณศาลากลางจังหวัดเชียงราย และหาดเชียงรายที่มีการดำเนินการขุดลอกลำน้ำกก โดยได้รับรายงานความก้าวหน้าจากเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ พร้อมเสนอแนะแนวทางยกระดับการทำงานและสร้างมาตรฐานให้ระบบเฝ้าระวังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยจุดที่ชุมชนให้ความกังวลคือหาดเชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการนำตะกอนดินจากการขุดลอกมาพักไว้ เพื่อป้องกันน้ำท่วมหลังเกิดเหตุการณ์น้ำหลากที่ผ่านมา ชาวบ้านจำนวนมากต่างกังวลเรื่องความเสี่ยงของโลหะหนัก โดยเฉพาะสารหนูที่อาจตกค้างในตะกอนดินและกระทบต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้าง

ใช้เทคโนโลยี XRF ตรวจวัดเร็ว แม่นยำ ประหยัดงบประมาณ

นางอรนุช เปิดเผยว่า การตรวจวัดตะกอนดินรอบนี้ใช้เครื่องมือ X-ray Fluorescence (XRF) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย สามารถตรวจวัดเบื้องต้นได้รวดเร็วภายใน 3-5 นาทีต่อจุด แม้จะไม่สามารถให้ค่าตัวเลขเป็นไมโครกรัมอย่างละเอียด แต่จะช่วยระบุจุดเสี่ยงที่ต้องส่งตัวอย่างไปตรวจเชิงลึกต่อในห้องปฏิบัติการ เป็นการคัดกรองที่ช่วยประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณในการดำเนินการ

สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 คาดว่าภารกิจตรวจตะกอนดินรอบหาดเชียงรายและจุดพักตะกอนจะใช้เวลาราว 3 วัน ด้วยความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์และเจ้าหน้าที่หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35 (นพค.35) ที่จะร่วมกันวางแผนและลงพื้นที่อย่างเป็นระบบ

ผลการตรวจสอบชัดเจน “ไม่พบสารหนูเกินมาตรฐาน” คลายกังวลประชาชน

เวลา 15.00 น. วันเดียวกัน กองตรวจมลพิษ กรมควบคุมมลพิษ ร่วมกับสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 ลงพื้นที่ตรวจวัดตะกอนดินจากการขุดลอก 3 พื้นที่หลัก ได้แก่

  1. ตะกอนดินจากการขุดลอกลำน้ำกก (หาดเชียงราย/จุดทิ้งตะกอน)
  2. ตะกอนดินจากการขุดลอกลำน้ำสาย (หัวฝาย อ.แม่สาย – ถุงบิ๊กแบ็คแนวป้องกันน้ำท่วม)
  3. ตะกอนดินจากการขุดลอกลำน้ำรวก (จุดผ่อนปรนการค้าบ้านปางห้า ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย)

การสุ่มตรวจในแต่ละพื้นที่ดำเนินไปอย่างละเอียดตามขนาดพื้นที่ ผลตรวจวัดเบื้องต้น “ไม่พบค่าสารหนูเกินค่ามาตรฐานคุณภาพดิน” (ค่ามาตรฐานเพื่อที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 6 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม หรือ 6 ppm) ทุกรายการ

สำหรับพื้นที่ใดที่อาจพบค่าปนเปื้อนสูง ทีมงานจะส่งตัวอย่างเข้าสู่ห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์ต่อไปในเชิงลึก พร้อมประชาสัมพันธ์ผลตรวจอย่างโปร่งใส

เดินหน้าเสริมสร้างมาตรฐานและความโปร่งใส

การตรวจสอบสารปนเปื้อนในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเฝ้าระวังเชิงรุกของภาครัฐในการดูแลสิ่งแวดล้อมและสุขภาพประชาชนจังหวัดเชียงรายและพื้นที่ลุ่มน้ำสำคัญ เพื่อยืนยันมาตรฐานความปลอดภัยในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการขุดลอกหรือภัยน้ำท่วมที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ภารกิจการตรวจสอบจะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมรายงานต่อหน่วยงานท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่ให้รับรู้ข้อมูลความจริงอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงรายเฝ้าระวังเข้ม ประมง-PCD ลุยตรวจสารหนูในแม่น้ำ ชี้อันตรายต่อสุขภาพ

ประมงเชียงรายจับปลาตรวจโลหะหนักในแม่น้ำกก-สาย ชลประทานสนับสนุนปรับระดับน้ำ – กรมควบคุมมลพิษเผยพบสารหนูเกินมาตรฐานต่อเนื่อง แนะประชาชนเลี่ยงใช้น้ำโดยตรงในพื้นที่เสี่ยง

เชียงราย, 14 มิถุนายน 2568 –สถานการณ์คุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ยังคงได้รับการจับตามองอย่างเข้มข้น หลังพบการปนเปื้อนของสารโลหะหนักในแม่น้ำสายหลักอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจอย่างเร่งด่วน เพื่อคลี่คลายปัญหาและสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนในพื้นที่

จับปลาตรวจสอบสารปนเปื้อนและโรคในแม่น้ำสายหลัก

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นายณัฐรัฐ พรเดชอนันต์ ประมงจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้นักวิจัยจากกรมประมง ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา และศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย ได้ลงพื้นที่จับปลาจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสายอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บตัวอย่างปลานำไปตรวจสอบทั้งด้านโรคและสารโลหะหนัก โดยดำเนินการคัดแยก ชั่ง-วัด และจำแนกชนิดปลาอย่างเป็นระบบ ก่อนจะส่งมอบตัวอย่างให้กองวิจัยและพัฒนาสุขภาพสัตว์น้ำ และกองตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำ ดำเนินการวิเคราะห์ต่อไป

ภารกิจสำคัญนี้มีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์คุณภาพสัตว์น้ำในระบบนิเวศลุ่มน้ำกก-สาย ซึ่งเป็นทั้งแหล่งอาหารและแหล่งรายได้ของประชาชนในพื้นที่ ว่ามีสารปนเปื้อนเกินเกณฑ์อันตรายหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบโรคต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของผู้บริโภค และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศโดยรวม

ชลประทานเชียงรายหนุนภารกิจด้วยการปรับระดับน้ำชั่วคราว

ขณะที่โครงการชลประทานเชียงราย ได้ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานดังกล่าว ด้วยการปรับลดระดับเก็บกักน้ำหน้าเขื่อนเชียงรายลงราว 50 เซนติเมตร ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มิถุนายน เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยแก่ทีมปฏิบัติงานที่ต้องจับปลาบริเวณท้ายเขื่อน หลังจากเสร็จสิ้นการเก็บตัวอย่างปลาตามแผนแล้ว ทางชลประทานจะปรับระดับน้ำกลับสู่สภาวะปกติทันที โดยยืนยันว่า การปรับระดับน้ำครั้งนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการส่งน้ำเพื่อการเกษตรหรือกระบวนการผลิตน้ำประปาในพื้นที่แต่อย่างใด

ผลตรวจสารโลหะหนักในน้ำยังเกินมาตรฐานต่อเนื่อง

ด้านกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ได้เผยแพร่รายงานผลการตรวจสอบคุณภาพน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ครั้งที่ 4 ระหว่างวันที่ 26-30 พฤษภาคม 2568 โดยเน้นแม่น้ำสายหลัก ได้แก่ แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ตลอดจนแม่น้ำสาขาต่าง ๆ โดยผลตรวจพบว่า

  • แม่น้ำกก ตรวจวัด 15 จุด พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานทั้ง 15 จุด ค่าสูงสุด 0.023 มิลลิกรัมต่อลิตร (มาตรฐานไม่เกิน 0.010 มก./ล.)
  • แม่น้ำสาย ตรวจวัด 3 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทุกจุด ค่าสูงสุด 0.038 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำโขง ตรวจวัด 2 จุด พบเกินค่ามาตรฐานทั้ง 2 จุด ค่าสูงสุด 0.018 มิลลิกรัมต่อลิตร
  • แม่น้ำสาขา (ฝาง, กรณ์, ลาว, สรวย) คุณภาพน้ำยังเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน

ทั้งนี้ แผนติดตามคุณภาพน้ำปี 2568 ได้มีการเก็บตัวอย่างน้ำเดือนละ 2 ครั้ง (มีนาคม-กันยายน 2568) และเก็บตัวอย่างตะกอนเดือนละ 1 ครั้ง (พฤษภาคม-กันยายน 2568) การเก็บตัวอย่างครั้งที่ 5 ดำเนินการระหว่างวันที่ 9-13 มิถุนายน 2568 ขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติการ

สถานการณ์ล่าสุดยังพบว่าค่าความขุ่นและสารหนูในแม่น้ำหลายพื้นที่สูงกว่ามาตรฐาน ส่งผลกระทบทั้งต่อสัตว์น้ำ ระบบนิเวศ และอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ หากประชาชนใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง

ข้อแนะนำประชาชนในพื้นที่เสี่ยง

เพื่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่เสี่ยง กรมควบคุมมลพิษแนะนำให้

  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำโดยตรง ทั้งการอุปโภคและบริโภค
  • หากจำเป็นต้องใช้น้ำ ควรผ่านกระบวนการบำบัดและตรวจสอบคุณภาพก่อนทุกครั้ง
  • งดเว้นกิจกรรมทางน้ำ เช่น การลงเล่นน้ำ หรือจับสัตว์น้ำโดยตรงในจุดที่เสี่ยงสูง

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลตรวจของปลาต่อเนื่อง พร้อมทั้งรายงานความคืบหน้าและแจ้งเตือนประชาชนเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงอย่างเต็มที่

บทวิเคราะห์และแนวโน้มสถานการณ์

การตรวจสอบและติดตามคุณภาพน้ำในลุ่มน้ำกก-สายอย่างใกล้ชิด สะท้อนถึงการบูรณาการทำงานระหว่างหน่วยงานระดับจังหวัดและส่วนกลาง ทั้งด้านวิทยาศาสตร์ประมงและงานวิจัยสิ่งแวดล้อม เพื่อคลี่คลายปมปัญหาด้านสุขภาพ สาธารณสุข และความมั่นคงทางอาหารในพื้นที่ แม้จะมีมาตรการบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น แต่ในระยะยาวยังคงต้องการการแก้ไขปัญหาที่ต้นทาง รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจและระบบแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพในชุมชนริมน้ำ

สถานการณ์นี้จึงเป็นจุดทดสอบการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ทั้งในด้านการสื่อสารข้อมูลสู่สาธารณะ การเสริมสร้างความมั่นใจต่อมาตรฐานความปลอดภัยของแหล่งอาหารและน้ำ รวมถึงการเร่งรัดผลักดันนโยบายป้องกันมลพิษข้ามพรมแดนอย่างเป็นรูปธรรม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประมงจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืดพะเยา
  • ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • รายงานคุณภาพน้ำประจำเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

วิกฤตสารหนูแม่น้ำกก-สาย รัฐบาลสั่งเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังด่วน! ชี้แจงประชาชนทันที

เชียงรายเร่งตั้งศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพน้ำ หลังพบสารหนูเกินมาตรฐานในแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย

ปมปัญหาสารหนูสะสมในลำน้ำสำคัญของภาคเหนือขยายวงกว้าง รัฐบาลสั่งตั้งหน่วยเฝ้าระวังและสื่อสารข้อมูลต่อสาธารณะอย่างเร่งด่วน

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – สถานการณ์การปนเปื้อนของสารหนูในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำสำคัญของจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ทวีความน่ากังวลมากขึ้น หลังกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานผลตรวจสอบล่าสุดว่าค่าความเข้มข้นของสารหนูในน้ำและตะกอนดินบางจุดเกินมาตรฐานความปลอดภัย ส่งผลให้รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร สั่งการให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชนในพื้นที่

ประชุมด่วนระดับชาติเพื่อกำหนดแนวทางรับมือ

ภายใต้ข้อสั่งการดังกล่าว ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ เรียกประชุมด่วน เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีการเชิญหน่วยงานในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งในส่วนกลางและพื้นที่ พร้อมผู้แทนจากจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ เข้าร่วมหารือผ่านระบบออนไลน์ ณ ห้องประชุมกระทรวงฯ

การประชุมครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเร่งรัดการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ซึ่งมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยเน้นการตอบสนองต่อความวิตกของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

ตั้งศูนย์เฝ้าระวัง 3 จุด สร้างระบบรับเรื่องร้องเรียนและสื่อสารเชิงรุก

นางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า มีข้อสรุปเบื้องต้นให้จัดตั้ง “ศูนย์เฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อม” จำนวน 3 จุด คือที่จังหวัดเชียงราย 2 จุด และจังหวัดเชียงใหม่ 1 จุด เพื่อทำหน้าที่ตรวจวัดคุณภาพน้ำ แจ้งผลผ่านป้ายแสดงผลในพื้นที่แบบ Real-time และเป็นจุดรับแจ้งปัญหาจากประชาชนในกรณีพบความผิดปกติหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย

เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์จะประกอบด้วยผู้แทนจากกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงสาธารณสุข และฝ่ายปกครองท้องถิ่น โดยกำหนดให้ศูนย์ฯ ต้องสามารถดำเนินงานได้จริงภายในเวลาอันใกล้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและลดความตื่นตระหนกของชุมชน

เร่งสร้างความเข้าใจผ่านการสื่อสารแบบมืออาชีพ

อีกหนึ่งมาตรการสำคัญที่กรมควบคุมมลพิษได้รับมอบหมายคือ การจัดทำ “ชุดข้อมูลอธิบายผลตรวจ” โดยร่วมมือกับกรมอนามัย เพื่อแจกแจงว่า ค่าสารหนูที่ตรวจพบในน้ำและตะกอนดินแต่ละระดับ ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ การใช้น้ำ และกิจกรรมต่าง ๆ ของประชาชน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ข้อมูลชุดนี้จะเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมถึงการแถลงข่าวกรณีที่สังคมเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยกำหนดให้กรมควบคุมมลพิษเป็น “หน่วยงานหลักในการสื่อสาร” เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพของข้อมูล และลดช่องว่างความเข้าใจระหว่างภาครัฐกับประชาชน

วางมาตรการดักตะกอนเร่งด่วนในแม่น้ำต้นน้ำจากประเทศเพื่อนบ้าน

ในด้านมาตรการเชิงเทคนิค กระทรวงฯ มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำเร่งออกแบบและติดตั้ง “ฝายดักตะกอน” ในจุดที่มีสารหนูปนเปื้อนสูง โดยเฉพาะบริเวณต้นแม่น้ำกก ณ ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดที่น้ำไหลเข้าจากฝั่งประเทศเมียนมาเข้าสู่ประเทศไทย

ทั้งนี้ ได้มีการประสานงานเบื้องต้นกับสถาบันการศึกษาในพื้นที่ซึ่งเคยมีการศึกษารูปแบบฝายดักตะกอนเพื่อใช้ข้อมูลร่วมวางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับแม่น้ำสาย ซึ่งเป็นลำน้ำข้ามแดนที่ไหลผ่านชายแดนไทย-เมียนมา ณ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย การติดตั้งฝายดักตะกอนจะต้องพิจารณาร่วมกับหน่วยงานของจังหวัดเชียงราย และอาจต้องเจรจาในระดับระหว่างประเทศ เนื่องจากลักษณะของแม่น้ำที่มีอธิปไตยร่วมในบางช่วง

บทสรุปและบทวิเคราะห์

เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างชัดเจนของผลกระทบจากมลพิษข้ามพรมแดน (Transboundary Pollution) ที่ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพประชาชนและระบบนิเวศในพื้นที่รับน้ำของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ

การจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังในระดับพื้นที่ การสื่อสารเชิงรุก และการออกแบบระบบดักตะกอนแบบมีหลักฐานทางวิชาการรองรับ ถือเป็นก้าวสำคัญในการบริหารจัดการวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อมในระดับภูมิภาค และเป็นบทเรียนสำคัญในการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้การสื่อสารและการแก้ไขปัญหามีความรวดเร็ว ตรงจุด และยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังอยู่ที่การประสานงานระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในกรณีที่แหล่งกำเนิดสารมลพิษอยู่ในพื้นที่นอกเขตอธิปไตยไทย ซึ่งจำเป็นต้องใช้ความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในระดับรัฐมนตรีและความต่อเนื่องของนโยบายเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดซ้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (www.pcd.go.th)
  • กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
  • การประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน, 4 มิถุนายน 2568
  • สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรน้ำ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายรวมพลัง! ปิดเหมืองกอบกู้แม่น้ำ จี้รัฐบาลเร่งแก้พิษ

เชียงรายรวมพลัง “ปอยหลวงปิดเหมือง” วันสิ่งแวดล้อมโลก เรียกร้องรัฐเร่งแก้ปัญหาสารพิษข้ามแดนในลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง

เชียงราย, 5 มิถุนายน 2568 – บรรยากาศเช้าวันสิ่งแวดล้อมโลกปีนี้ที่สวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เต็มไปด้วยเสียงกลอง พลังศรัทธา และความหวัง เมื่อชาวเชียงรายกว่า 1,000 คน ทั้งภาคประชาสังคม เยาวชน นักเรียน นักศึกษา และประชาชนหลากหลายกลุ่ม จัดกิจกรรม “ปอยหลวงปิดเหมือง ฟื้นฟูลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง” ภายใต้สัญลักษณ์แถลงการณ์ 5 ภาษา ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เร่งฟื้นฟูแม่น้ำสายหลักภาคเหนือที่กำลังเผชิญวิกฤตสารปนเปื้อนข้ามพรมแดนจากเหมืองในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา

จุดเริ่มต้นของ “ขบวนแห่” เพื่อสิ่งแวดล้อม

กิจกรรมเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 9 โมงเช้า ณ สวนสาธารณะแม่ฟ้าหลวง ด้วยขบวนแห่ขนาดใหญ่ นำโดยสมาคมขัวศิลปะที่นำงาน “ศพปลาแค้” สะท้อนผลกระทบจากสารพิษในแม่น้ำ ตามด้วยนักเรียน ชาวบ้าน และกลุ่มเยาวชนซึ่งหลายคนเป็น “เสียงจริง” จากชุมชนที่ได้รับผลกระทบทั้งจากการจับปลาไม่ได้ การลงเล่นน้ำแล้วมีอาการผื่นคัน ไปจนถึงการดำรงชีพที่ถูกเปลี่ยนแปลงเพราะวิกฤตสิ่งแวดล้อม

จุดไฮไลต์ของงานอยู่ที่การเดินเท้าของประชาชนและนักเรียนจากสวนฯ ไปจนถึงกลางสะพานข้ามแม่น้ำกก พร้อมการอ่านแถลงการณ์ 5 ภาษา – ไทย อังกฤษ จีน เมียนมา และไทใหญ่ – เรียกร้องให้ผู้นำประเทศ รวมถึงรัฐบาลเมียนมา จีน และกองทัพว้า เร่งปิดเหมืองต้นเหตุปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม

แถลงการณ์ถึงรัฐบาลไทยและประชาคมโลก

ตัวแทนเครือข่ายประชาชนปกป้องลุ่มน้ำกก สาย รวก โขง ได้นำรายชื่อผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 1,000 คนเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านนายขจร ศรีชวโนทัย รองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนางปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ พร้อมกับยื่นข้อเรียกร้องผ่านตัวแทนไปยังรัฐบาลเมียนมา จีน และกองทัพว้า

รองปลัดกระทรวงมหาดไทยยืนยันว่า รัฐบาลไทยไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ส่งหนังสือถึงประเทศเพื่อนบ้านเพื่อขอความร่วมมือในการหยุดกิจกรรมเหมืองแร่ พร้อมกับนัดหมายหารือระหว่างรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ วันที่ 6 มิถุนายนนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยจะประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์กับจังหวัดเชียงราย จังหวัดเชียงใหม่ และกรมควบคุมมลพิษ เพื่อเดินหน้ามาตรการอย่างเร่งด่วน

เสียงจากคนท้องถิ่น “หยุดเหมืองพิษ คืนชีวิตให้สายน้ำกก”

ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ “ครูตี๋” นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว เผยว่า ผลกระทบจากสารพิษในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่กลายเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยตรง โดยในปีนี้พบปลาจำนวนมากมีตุ่มพองและตายผิดธรรมชาติ ขณะเดียวกันก็มีรายงานจากชาวบ้านที่ลงเล่นน้ำแล้วเกิดผื่นคัน ต้องใส่ชุดป้องกันเต็มที่

“วันนี้รัฐบาลคงเห็นแล้วว่าประชาชนคนเชียงรายมองว่าปัญหานี้มีความสำคัญกับชีวิต ถ้ารัฐบาลยังช้า หรือไม่ขับเคลื่อนอย่างจริงจัง จะเกิดปัญหาสุขภาพและอาชีพประชาชนในระยะยาว สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนที่สุดคือ หยุดเหมือง และฟื้นฟูลำน้ำให้กลับมาเป็นปกติ” ครูตี๋กล่าว

ข้อเสนอและความคาดหวัง

กิจกรรมครั้งนี้ นอกจากเป็นสัญลักษณ์การรวมพลังของคนเชียงรายแล้ว ยังถือเป็นการส่งเสียงเตือนที่ดังไปถึงส่วนกลางและนานาชาติว่าการจัดการกับปัญหามลพิษข้ามพรมแดนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือหลายฝ่ายทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ พร้อมขอให้รัฐใช้มาตรการทางการทูตและความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมกับเมียนมาและจีนอย่างต่อเนื่อง เพื่อปกป้องทรัพยากรธรรมชาติของไทยไม่ให้ถูกทำลายเพราะปัญหาจากภายนอก

ประชาชนยังเสนอให้รัฐเร่งรัดระบบเตือนภัยคุณภาพน้ำ ตรวจสอบคุณภาพปลาน้ำจืดในท้องถิ่น และมีมาตรการฟื้นฟูทั้งทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน รวมถึงเร่งส่งเสริมให้มีงานวิจัยและองค์ความรู้ใหม่ๆ ด้านระบบนิเวศในลุ่มน้ำข้ามแดน

บทสรุปและผลลัพธ์

“ปอยหลวงปิดเหมือง” ในปี 2568 จึงไม่ใช่เพียงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แต่คือเสียงสะท้อนของผู้คนที่ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของสิ่งแวดล้อม และเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับรัฐบาลว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ชาวเชียงรายและประชาชนที่เกี่ยวข้องยังรอคอยความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมจากภาครัฐและความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

แม่น้ำกกยังไม่ปลอดภัย สารหนูเกินมาตรฐานต่อเนื่อง

วิกฤตสารหนูปนเปื้อนแม่น้ำกกยังไม่คลี่คลาย สสจ.เชียงรายยืนยันน้ำไม่ปลอดภัย ชุมชนหวั่นผลกระทบระยะยาว

เชียงราย, 23 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์การปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ที่เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ได้สร้างความกังวลให้กับประชาชนในจังหวัดเชียงรายอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย (สสจ.เชียงราย) ยืนยันว่าแหล่งน้ำเหล่านี้ยังไม่ปลอดภัยสำหรับการใช้งาน โดยสั่งห้ามประชาชนสัมผัสหรือใช้น้ำโดยตรง จนกว่าจะมีการยืนยันความปลอดภัยจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หลังจากการตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน พบสารหนูเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพหากมีการใช้งานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่หน่วยงานภาครัฐทั้งในระดับจังหวัดและระดับชาติเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหา แต่การเจรจากับแหล่งกำเนิดมลพิษข้ามพรมแดนยังคงไม่มีความคืบหน้าชัดเจน สร้างความไม่มั่นใจให้กับชุมชนที่ได้รับผลกระทบ

สายน้ำแห่งชีวิตที่ถูกคุกคาม

แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวเชียงรายมานานนับศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็นการเกษตร การประมง หรือการท่องเที่ยว ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำเหล่านี้พึ่งพาทรัพยากรน้ำในการดำรงชีวิตและสร้างรายได้ อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ชาวบ้านในพื้นที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของน้ำในแม่น้ำกก น้ำที่เคยใสสะอาดกลับขุ่นข้น และมีกลิ่นผิดปกติในบางช่วง ความกังวลเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีรายงานว่าสัตว์น้ำในแม่น้ำเริ่มตาย และชาวบ้านบางรายที่สัมผัสน้ำมีอาการผื่นคันและระคายเคือง

ความตื่นตระหนกทวีคูณเมื่อผลการตรวจคุณภาพน้ำโดยสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1) เปิดเผยว่าพบสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานในหลายจุดของแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา สารหนู ซึ่งเป็นโลหะหนักที่มีพิษร้ายแรง สามารถสะสมในร่างกายมนุษย์และสัตว์ ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้น เช่น ผื่นคันและคลื่นไส้ และในระยะยาว เช่น โรคมะเร็งและความเสียหายต่ออวัยวะภายใน ชาวบ้านในชุมชนริมแม่น้ำเริ่มตั้งคำถามถึงสาเหตุของมลพิษ โดยหลายฝ่ายสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับกิจกรรมเหมืองแร่ในพื้นที่ต้นน้ำของแม่น้ำกก ซึ่งอยู่ในเขตประเทศเมียนมา

สถานการณ์นี้ไม่เพียงกระทบต่อสุขภาพของประชาชน แต่ยังส่งผลต่อเศรษฐกิจท้องถิ่นอย่างหนัก การท่องเที่ยวในพื้นที่ เช่น กิจกรรมล่องแพและนั่งช้างลุยน้ำ ต้องหยุดชะงัก เกษตรกรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกในการเพาะปลูกเผชิญกับความเสี่ยงจากสารพิษตกค้างในผลผลิต และชาวประมงต้องหยุดจับปลาเนื่องจากไม่มีผู้ซื้อกล้าเสี่ยงบริโภค ความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของชุมชน

การตรวจสอบและมาตรการรับมือของหน่วยงาน

เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงรายได้ออกแถลงการณ์ยืนยันว่า แม่น้ำกก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ยังคงมีสารหนูปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐาน และขอให้ประชาชนงดใช้น้ำจากแหล่งน้ำเหล่านี้ในการอุปโภค บริโภค หรือสัมผัสโดยตรง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย การตรวจวิเคราะห์คุณภาพน้ำโดย สคพ.1 ดำเนินการมาแล้ว 3 ครั้ง ระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2568 โดยเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินจากแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา 15 จุด แม่น้ำสาย 3 จุด และแม่น้ำโขง 2 จุด ผลการตรวจพบว่าคุณภาพน้ำอยู่ในระดับ “พอใช้ถึงเสื่อมโทรม” โดยบางจุดมีค่าความสกปรกจากสารอินทรีย์และแบคทีเรียเกินมาตรฐาน รวมถึงสารหนูที่เกินค่ามาตรฐานอย่างต่อเนื่อง

นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ระบบการผลิตน้ำประปาในเขตเทศบาลนครเชียงรายยังคงปลอดภัยสำหรับการใช้งาน เนื่องจากมีการบำบัดน้ำอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อื่นๆ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความถี่ในการเก็บตัวอย่างน้ำจากเดือนละครั้งเป็นสัปดาห์ละครั้ง และสำรวจรูปแบบการใช้น้ำในกิจกรรมต่างๆ รวมถึงเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว

เพื่อรับมือกับวิกฤต สสจ.เชียงราย ร่วมกับเครือข่ายบริการสุขภาพ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย ได้จัดตั้งระบบเฝ้าระวังสุขภาพประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยมีการตรวจสุขภาพอย่างใกล้ชิดและให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายจากสารปนเปื้อน คำแนะนำสำหรับประชาชนรวมถึงการหลีกเลี่ยงการใช้น้ำจากแม่น้ำในการล้างผัก อาบน้ำ หรือให้สัตว์เลี้ยงดื่ม รวมถึงการงดจับหรือบริโภคสัตว์น้ำจากแหล่งน้ำเสี่ยง

ในระดับชาติ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้ลงนามแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน โดยมีนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธาน คณะอนุกรรมการนี้มีภารกิจวิเคราะห์สาเหตุของมลพิษ กำหนดแนวทางแก้ไข และเจรจากับหน่วยงานในประเทศเมียนมาเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ การประชุมครั้งแรกของคณะอนุกรรมการมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ณ ทำเนียบรัฐบาล

หนึ่งในมาตรการที่ได้รับความสนใจคือการสำรวจพื้นที่เพื่อสร้าง “ฝายดักตะกอน” ในลำน้ำฝางและแม่น้ำกก เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 เฮลิคอปเตอร์ตรวจการณ์ของศูนย์เทคโนโลยีอากาศ (ศทอ.) ได้บินสำรวจพื้นที่เป้าหมายในอำเภอฝาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเมืองเชียงราย อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย เพื่อเก็บข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศสำหรับวิเคราะห์ความเหมาะสมในการสร้างฝายดักตะกอน 4 จุด ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปนเปื้อนของตะกอนและสารหนูในน้ำ ผลการสำรวจจะถูกส่งต่อให้กรมทรัพยากรน้ำและกรมควบคุมมลพิษเพื่อดำเนินการต่อไป

ความพยายามแก้ไขและความหวังที่ยังไม่ชัดเจน

การดำเนินการของหน่วยงานภาครัฐในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาแสดงถึงความพยายามในการจัดการวิกฤตสารหนูปนเปื้อน การเพิ่มความถี่ในการตรวจคุณภาพน้ำ การจัดตั้งคณะอนุกรรมการ และการสำรวจเพื่อสร้างฝายดักตะกอน เป็นสัญญาณของความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหา การประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อเจรจากับเมียนมา รวมถึงการใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) แสดงถึงความพยายามในการจัดการปัญหาข้ามพรมแดน

ในระดับท้องถิ่น สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงรายได้เก็บตัวอย่างดินและพืชในพื้นที่เกษตรริมแม่น้ำกกเพื่อตรวจสอบสารหนูตกค้าง พร้อมให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในการใช้น้ำอย่างปลอดภัย สำนักงานประมงจังหวัดได้ตรวจวิเคราะห์โลหะหนักในปลา ซึ่งผลการตรวจเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 พบสารหนูในระดับ 0.13 mg/kg ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข การประปาส่วนภูมิภาคจังหวัดเชียงรายได้เพิ่มความถี่ในการตรวจน้ำประปาเป็นเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัย ขณะที่ รพ.สต. 19 แห่งใน 7 อำเภอทำหน้าที่เป็นศูนย์รับแจ้งและเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความคืบหน้าในบางด้าน แต่ประชาชนในชุมชนริมแม่น้ำกกยังคงไม่มั่นใจในความปลอดภัยของน้ำ การขาดความชัดเจนในแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการเจรจากับเหมืองแร่ในเมียนมา ซึ่งคาดว่าเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่าปัญหานี้ถูกปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีทางออกที่เป็นรูปธรรม นางสาวจันทร์จิรา สุวรรณวงศ์ เกษตรกรในอำเภอเมืองเชียงราย กล่าวว่า “เราไม่กล้าใช้น้ำจากแม่น้ำกกมานานแล้ว แต่ก็ยังกังวลว่าสารพิษจะสะสมในดินและพืช ถ้าไม่แก้ที่ต้นเหตุ อนาคตเราจะอยู่อย่างไร”

ความหวังของชุมชนอยู่ที่การประชุมคณะอนุกรรมการในวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ซึ่งจะมีการหารือเกี่ยวกับระบบดักตะกอนและการเจรจาระหว่างประเทศ หากมีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม เช่น การติดตั้งฝายดักตะกอนหรือการควบคุมการปล่อยมลพิษจากเหมืองในเมียนมา อาจช่วยฟื้นฟูความมั่นใจให้กับประชาชนและชุมชนได้

ผลลัพธ์และความท้าทาย

การจัดการวิกฤตสารหนูปนเปื้อนในแม่น้ำกกมีผลลัพธ์ที่สำคัญ ดังนี้:

  1. การเฝ้าระวังที่มีประสิทธิภาพ การเพิ่มความถี่ในการตรวจคุณภาพน้ำและสุขภาพประชาชนช่วยลดความเสี่ยงจากการสัมผัสสารหนูในระยะสั้น
  2. ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน การจัดตั้งคณะอนุกรรมการและการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานในระดับจังหวัดและชาติแสดงถึงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหา
  3. การใช้เทคโนโลยี การสำรวจด้วยเฮลิคอปเตอร์และเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศช่วยระบุจุดเสี่ยงและวางแผนแก้ไขได้อย่างแม่นยำ
  4. การสื่อสารสาธารณะ การให้คำแนะนำและประชาสัมพันธ์ข้อมูลช่วยให้ประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขวิกฤตนี้ยังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

  1. ความซับซ้อนของปัญหาข้ามแดน การเจรจากับเมียนมาเกี่ยวกับเหมืองแร่ในรัฐฉานมีความท้าทาย เนื่องจากความขัดแย้งภายในและอิทธิพลของบริษัทจีน
  2. ข้อจำกัดด้านทรัพยากร การติดตั้งฝายดักตะกอนและระบบกรองน้ำต้องใช้เงินทุนและเวลา ซึ่งอาจเกินขีดความสามารถของหน่วยงานท้องถิ่น
  3. ผลกระทบระยะยาว สารหนูสามารถสะสมในดินและร่างกายมนุษย์ได้นาน การแก้ไขต้องครอบคลุมทั้งการหยุดยั้งมลพิษและการฟื้นฟูระบบนิเวศ
  4. ความไม่มั่นใจของประชาชน การขาดความชัดเจนในแนวทางแก้ไขทำให้ชาวบ้านยังคงหวาดกลัวและสูญเสียความเชื่อมั่นในหน่วยงานรัฐ

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ควรมีการดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้:

  • เร่งรัดการเจรจาระหว่างประเทศ: ใช้กลไกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) และความร่วมมือทวิภาคีเพื่อกดดันเมียนมาให้ควบคุมการปล่อยมลพิษ
  • จัดหางบประมาณเพิ่มเติม ขอความสนับสนุนจากภาคเอกชนและองค์กรระหว่างประเทศในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ฝายดักตะกอนและระบบกรองน้ำ
  • เพิ่มการสื่อสารสาธารณะ ใช้สื่อท้องถิ่นและสื่อสังคมออนไลน์เพื่ออัปเดตความคืบหน้าและสร้างความมั่นใจให้ประชาชน
  • สนับสนุนชุมชนท้องถิ่น จัดหาแหล่งน้ำสะอาดและสนับสนุนอาชีพทางเลือกให้กับเกษตรกรและชาวประมงที่ได้รับผลกระทบ

สถิติและแหล่งอ้างอิง

เพื่อให้เห็นภาพความรุนแรงของปัญหาการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก ข้อมูลต่อไปนี้รวบรวมจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ:

  1. ผลการตรวจคุณภาพน้ำ:
    • แม่น้ำกก: สารหนูสูงสุด 0.038 mg/L (มาตรฐานไม่เกิน 0.01 mg/L)
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (สคพ.1). (2568). รายงานผลการตรวจคุณภาพน้ำผิวดินในแม่น้ำกกและแม่น้ำสาขา.
  2. ผลกระทบต่อสุขภาพ:
    • ผู้สัมผัสน้ำจากแม่น้ำกกที่มีสารหนูเกินมาตรฐานมีโอกาสเกิดผื่นคันถึง 30% และความเสี่ยงต่อมะเร็งผิวหนังในระยะยาวเพิ่มขึ้น 5–10%
    • แหล่งอ้างอิง: ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย. (2568). รายงานผลกระทบต่อสุขภาพจากสารหนูในแหล่งน้ำ.
  3. ผลกระทบต่อการเกษตร:
    • พื้นที่เกษตรริมแม่น้ำกกในจังหวัดเชียงรายได้รับผลกระทบราว 20,000 ไร่ ส่งผลให้ผลผลิตลดลง 15–20%
    • แหล่งอ้างอิง: สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย. (2568). รายงานผลกระทบจากมลพิษในแม่น้ำกกต่อภาคเกษตรกรรม.
  4. การผลิตแร่ในเมียนมา:
    • รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ผลิตแรร์เอิร์ธ 41,700 ตันในปี 2566 ซึ่งอาจเป็นแหล่งกำเนิดสารหนูในแม่น้ำกก
    • แหล่งอ้างอิง: Global Witness. (2568). รายงานการผลิตแร่หายากในเมียนมา.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1
  • สำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมทรัพยากรน้ำ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
TOP STORIES

รัฐบาลสั่งทุกหน่วยงาน บูรณาการ แก้ปัญหาสารพิษ วิกฤตแม่น้ำกก

วิกฤตสารหนูในแม่น้ำกก กระทบประชาชนสองจังหวัด รัฐเร่งบูรณาการแก้ไข

พบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกกเกินมาตรฐาน

ประเทศไทย, 8 พฤษภาคม 2568 – สถานการณ์แม่น้ำกกกลับมาอยู่ในความสนใจอีกครั้ง หลังกรมควบคุมมลพิษรายงานผลตรวจสอบพบสารหนูปนเปื้อนในลำน้ำเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะช่วงที่ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายตั้งแต่เดือนมีนาคม 2568 ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในระดับชุมชนถึงความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน

รัฐมนตรี ทส. ชี้ต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างมีส่วนร่วม

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถลงว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งต่อทรัพยากรน้ำ ระบบนิเวศ เศรษฐกิจชุมชน และสุขภาพประชาชน ซึ่งการดำเนินการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานภาครัฐ และองค์กรในระดับนานาชาติ

ตั้งคณะอนุกรรมการระดับชาติขับเคลื่อนการแก้ไข

เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีระบบ ที่ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2568 มีมติแต่งตั้ง “คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน” โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นรองประธาน พร้อมหน่วยงานอีก 29 แห่งในฐานะคณะทำงาน

ใช้กลไกการทูตและเทคโนโลยีทันสมัยร่วมแก้ปัญหา

รัฐบาลไทยเดินหน้าใช้กลไกความร่วมมือทางการทูตและการทหาร เจรจากับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษจากภายนอก โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำที่อาจมีการทำเหมืองแร่โดยไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงมอบหมายให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำเทคโนโลยีดาวเทียมและระบบภูมิสารสนเทศมาช่วยตรวจสอบแหล่งที่มาของการปนเปื้อน

ผลการตรวจน้ำ-สัตว์น้ำ และร่างกายมนุษย์

แม้จะพบสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก แต่การประปาส่วนภูมิภาคและกรมอนามัยได้ตรวจสอบน้ำประปาแล้วพบว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย นอกจากนี้ กรมประมงได้สุ่มตรวจสัตว์น้ำในพื้นที่และไม่พบการสะสมของสารพิษ เช่นเดียวกับตัวอย่างปัสสาวะของประชาชนในพื้นที่ก็ไม่พบสารหนูตกค้างในร่างกาย

มาตรการเฉพาะหน้าและแผนระยะยาว

ในระยะเร่งด่วน กระทรวงมหาดไทยได้จัดหาน้ำสะอาดเพื่ออุปโภคบริโภคชั่วคราวให้แก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยง พร้อมกันนี้ กรมควบคุมมลพิษได้เพิ่มความถี่ในการตรวจวัดคุณภาพน้ำเป็นเดือนละ 2 ครั้ง ส่วนกรมทรัพยากรน้ำได้ควบคุมการเปิด-ปิดประตูระบายน้ำ และเตรียมความพร้อมเครื่องจักรป้องกันน้ำเสียไหลเข้าสู่ลำน้ำสาขา

ในระยะยาว จะมีการกำหนดมาตรการควบคุมและป้องกันปัญหาซ้ำซาก พร้อมจัดทำแผนฟื้นฟูระบบนิเวศของแม่น้ำกกและแหล่งน้ำที่ได้รับผลกระทบ

ประชาชนต้องไม่ตื่นตระหนก พร้อมรับข้อมูลจากรัฐ

หน่วยงานต่าง ๆ ได้รับมอบหมายให้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอย่างโปร่งใส และสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ตื่นตระหนก โดยเฉพาะผ่านช่องทางสื่อสารชุมชนและเครือข่ายอาสาสมัครในระดับตำบล

ภาพถ่ายดาวเทียมและการข่าวสนับสนุนสืบหาต้นตอ

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ได้ร่วมมือกับกรมกิจการชายแดนทหาร ในการนำภาพถ่ายจากดาวเทียมและข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม มาประกอบการวิเคราะห์ต้นเหตุของการปนเปื้อน ซึ่งคาดว่าอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมของว้าเหนือ ประเทศเมียนมา ซึ่งมีการทำเหมืองแร่ในระดับอุตสาหกรรมโดยไม่ผ่านการตรวจสอบด้านสิ่งแวดล้อม

บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต

สถานการณ์สารพิษในแม่น้ำกกเป็นสัญญาณเตือนด้านสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ ความชัดเจนของข้อมูล และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่ซึ่งเป็นผู้รับผลกระทบโดยตรง

สถิติและข้อมูลอ้างอิง

  • ผลการตรวจน้ำประปาในเขตเชียงใหม่และเชียงราย (กรมอนามัย, เมษายน 2568): ไม่พบการปนเปื้อนสารหนู
  • รายงานคุณภาพสัตว์น้ำจากกรมประมง (2568): ไม่มีการสะสมสารหนูในสัตว์น้ำตัวอย่าง
  • ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ: พบสารหนูเกินมาตรฐานเฉพาะในแม่น้ำกกช่วงต้นเดือนเมษายน 2568
  • รายงานจาก GISTDA: แหล่งที่มาสารหนูอาจมาจากการทำเหมืองในเขตชายแดนไทย-เมียนมา
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2566): ประชากรที่ใช้น้ำจากแม่น้ำกกโดยตรงในเชียงรายและเชียงใหม่รวมกันกว่า 1.3 ล้านคน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • กรมอนามัย
  • กรมประมง
  • GISTDA
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ผลตรวจ ‘แม่น้ำกก’ อ.แม่อาย เบื้องต้นอยู่ในเกณฑ์ดี

ผลตรวจคุณภาพน้ำเบื้องต้นแม่น้ำกกเผยอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องรอผลวิเคราะห์สารปนเปื้อนจากเหมืองทอง

เชียงใหม่, 20 มีนาคม 2568 – เจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่สำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก บริเวณตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำ หลังจากที่ชาวบ้านในพื้นที่ร้องเรียนถึงความผิดปกติของแม่น้ำกกที่มีสีขุ่นข้นและเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยผลการตรวจสอบเบื้องต้นในภาคสนามพบว่าคุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดีตามมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดิน แต่ยังต้องรอผลการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำในห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันว่ามีการปนเปื้อนจากสารเคมีหรือโลหะหนักที่อาจเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองทองในเขตต้นน้ำหรือไม่

การลงพื้นที่ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประชาชนในชุมชนท้องถิ่น รวมถึงผู้นำชุมชน ได้เรียกร้องให้หน่วยงานราชการเข้ามาตรวจสอบ เนื่องจากแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ไหลมาจากเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา เข้าสู่เขตอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ มีลักษณะขุ่นมัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 โดยชาวบ้านเริ่มมีความกังวลถึงความปลอดภัยในการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค รวมถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศและการท่องเที่ยวในพื้นที่

การตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลเบื้องต้น

เจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างน้ำจาก 3 จุดหลัก ได้แก่

  1. จุดที่ 1: บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ฐานริมกก หมู่ที่ 3 ตำบลท่าตอน
  2. จุดที่ 2: สะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอน เชื่อมระหว่างหมู่ 5 ตำบลท่าตอน และหมู่ 14 หย่อมบ้านป๊อกป่ายาง ตำบลแม่นาวาง
  3. จุดที่ 3: บริเวณหมู่ 12 บ้านผาใต้ ตำบลท่าตอน

การตรวจสอบในภาคสนามมุ่งเน้นไปที่พารามิเตอร์พื้นฐานตามมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งรวมถึงค่าออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved Oxygen: DO) และค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ผลการตรวจพบว่า

  • ค่าออกซิเจนละลายน้ำ (DO): อยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนถึงความสามารถในการรองรับสิ่งมีชีวิตในน้ำที่ยังอยู่ในระดับปกติ
  • ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH): อยู่ในช่วง 7-9 ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมตามมาตรฐาน และไม่พบความเป็นกรดหรือด่างที่อาจส่งผลกระทบต่อการสัมผัสหรือการใช้งาน
  • ค่าการนำไฟฟ้า (Electrical Conductivity): ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างจุดตรวจทั้ง 3 แห่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าในเบื้องต้นยังไม่มีจุดใดที่มีการปนเปื้อนในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระบุว่า การตรวจสอบในภาคสนามเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสรุปได้ว่าน้ำในแม่น้ำกกมีการปนเปื้อนจากสารเคมีหรือโลหะหนักหรือไม่ เนื่องจากลักษณะทางกายภาพที่พบ เช่น ความขุ่นของน้ำ อาจเกิดจากตะกอนธรรมชาติหรือสารปนเปื้อนจากกิจกรรมมนุษย์ เช่น การทำเหมืองทองในเขตต้นน้ำ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ตัวอย่างน้ำที่เก็บจากทั้ง 3 จุดได้ถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษ เพื่อวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนเพิ่มเติม โดยเฉพาะโลหะหนัก เช่น ปรอท (Mercury) และสารไซยาไนด์ (Cyanide) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการทำเหมืองทอง

ความกังวลของชุมชนและบริบทของปัญหา

นางธีระพันธุ์ กันธิยาใจ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านร่มไท หมู่ที่ 14 ตำบลท่าตอน เปิดเผยว่า ชาวบ้านในพื้นที่มีความตื่นตระหนกตั้งแต่สังเกตเห็นสีของน้ำในแม่น้ำกกเปลี่ยนไปเป็นสีขุ่น ซึ่งในช่วงแรกเชื่อว่าเป็นผลจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2567 ที่พัดพาตะกอนดินโคลนลงมา อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปหลายเดือน สภาพน้ำยังไม่กลับมาใสเหมือนเดิม ทำให้เกิดความสงสัยว่าอาจมีสาเหตุอื่น โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานว่าที่บ้านฮุง เขตปกครองพิเศษที่ 2 สหรัฐว้า รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 36 กิโลเมตร มีการอนุญาตให้กลุ่มทุนจีนดำเนินการทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะเหมืองทองคำมากกว่า 23 บริษัท

“เดิมทีชาวบ้านใช้แม่น้ำกกเพื่อการอุปโภคบริโภค อาบน้ำ ล้างจาน หรือแม้แต่จับปลามากิน แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าใช้น้ำจากแม่น้ำแล้ว เพราะกลัวว่ามีสารเคมีปนเปื้อน” นางธีระพันธุ์กล่าว พร้อมระบุว่าปลาในแม่น้ำลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านที่พึ่งพาแหล่งน้ำแห่งนี้

ด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นหนึ่งในจุดเด่นของตำบลท่าตอนที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมธรรมชาติและล่องเรือ แต่เมื่อน้ำเปลี่ยนสีและมีข่าวลือถึงมลพิษ ทำให้ชาวบ้านเกรงว่านักท่องเที่ยวจะลดลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

การดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 นางสลีลญา คำภาแก้ว นายอำเภอแม่อาย ได้มอบหมายให้ปลัดอำเภอและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่, สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่อาย, กองบังคับการควบคุมทหารพราน, และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ลงพื้นที่สำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำเพิ่มเติม โดยเจ้าหน้าที่ได้นั่งเรือจากบ้านแก่งทราย หมู่ที่ 14 ไปยังจุดรอยต่อชายแดนไทย-เมียนมา เพื่อตรวจสอบแหล่งน้ำต้นทางที่อาจได้รับผลกระทบจากเหมืองทอง

การวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำในห้องปฏิบัติการคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15-30 วัน โดยจะเน้นตรวจหาโลหะหนัก เช่น ปรอท, สารหนู (Arsenic), และตะกั่ว (Lead) รวมถึงสารไซยาไนด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่มักใช้ในกระบวนการสกัดทองคำ หากพบว่ามีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน จะมีการประสานงานกับหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอในเขตเมียนมา

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและการรอผลวิเคราะห์

หากผลการวิเคราะห์ยืนยันว่ามีสารปนเปื้อนจากเหมืองทองจริง อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงระบบนิเวศของแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงในที่สุด การปนเปื้อนของไซยาไนด์และโลหะหนักสามารถสะสมในสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น ปลา และเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้ ขณะเดียวกัน ความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวอาจทำให้รายได้ของชุมชนลดลงอย่างมาก

ในทางกลับกัน หากผลการตรวจไม่พบสารปนเปื้อนในระดับที่เป็นอันตราย ชาวบ้านอาจกลับมาไว้วางใจและใช้น้ำจากแม่น้ำกกได้ตามปกติ แต่ก็ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกิจกรรมเหมืองทองในเขตต้นน้ำยังคงดำเนินการอยู่อย่างไม่หยุดนิ่ง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลที่ผ่านมาเกี่ยวกับผลกระทบของการทำเหมืองทองต่อแหล่งน้ำ:

  • ปี 2566: รายงานจากกรมทรัพยากรน้ำระบุว่า แหล่งน้ำผิวดินในประเทศไทยกว่า 30% ได้รับผลกระทบจากมลพิษ โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้เขตชายแดนที่มีกิจกรรมเหมืองแร่จากประเทศเพื่อนบ้าน (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ)
  • ปี 2565: องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การปนเปื้อนของไซยาไนด์ในน้ำดื่มที่เกิน 0.07 มิลลิกรัมต่อลิตร สามารถก่อให้เกิดพิษเฉียบพลันต่อร่างกาย เช่น อาการคลื่นไส้และหายใจลำบาก (ที่มา: WHO Drinking Water Guidelines)
  • ปี 2567: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่รายงานว่า ปลาในแม่น้ำกกบริเวณอำเภอแม่อายลดลง 70% จากภาวะน้ำขุ่นในช่วงน้ำท่วมใหญ่ (ที่มา: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่)

ทัศนคติเป็นกลาง: มุมมองทั้งสองฝั่ง

จากมุมมองของชาวบ้านและผู้ที่กังวลถึงผลกระทบจากเหมืองทอง การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำกกเป็นสัญญาณที่น่ากลัว การที่น้ำขุ่นต่อเนื่องหลายเดือนและมีรายงานการทำเหมืองในเขตต้นน้ำ ทำให้เกิดความสงสัยว่าสารเคมีอาจรั่วไหลลงสู่แม่น้ำ ซึ่งหากเป็นจริงจะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและวิถีชีวิต การเรียกร้องให้ตรวจสอบและแก้ไขอย่างเร่งด่วนจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพื่อปกป้องชุมชนและสิ่งแวดล้อม

ในทางกลับกัน การทำเหมืองทองในเขตเมียนมาถือเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นในรัฐฉาน หากไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามลพิษมาจากเหมือง การกล่าวหาอาจสร้างความตึงเครียดระหว่างประเทศโดยไม่จำเป็น ผลการตรวจในภาคสนามที่ระบุว่าน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี อาจบ่งชี้ว่าความขุ่นเกิดจากตะกอนธรรมชาติมากกว่าสารเคมี ซึ่งต้องรอผลวิเคราะห์ที่แน่นอนเพื่อตัดสิน

ทั้งสองฝั่งมีเหตุผลที่น่าเห็นใจ การรอผลการตรวจอย่างละเอียดจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นกลางและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม โดยไม่รีบด่วนตัดสินจากอารมณ์หรือข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์

การติดตามผลการวิเคราะห์ในครั้งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา และสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนในพื้นที่ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ขยะน้ำท่วม ‘เชียงราย-แม่สาย’ ตกค้าง 5.5 หมื่นตัน ขอเอกชนฝังกลบ

 

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 นายสุรินทร์ วรกิจธำรง รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และรองโฆษก คพ. เปิดเผยว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สั่งการ คพ. ติดตามสำรวจขยะมูลฝอย ประสานหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งภาคเอกชน ให้ความช่วยเหลือเร่งการจัดเก็บขนขยะมูลฝอยหลังน้ำลดให้แก่ประชาชนในจังหวัดเชียงรายเร่งด่วน..

นายสุรินทร์กล่าวว่า คพ.ได้ประสานขอความร่วมมือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด (SCG ลำปาง) และสมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า พร้อมลงพื้นที่เพื่อสรุปการทำงานร่วมกันในการการคัดแยกขยะในพื้นที่ประสบอุทกภัยไปใช้ประโยชน์ โดย SCG ลำปาง ยินดีรับขยะไปเผาเป็นพลังงาน ซึ่งต้องมีการรื้อร่อนขยะเอาดินออก ขยะที่สามารถนำไปใช้ได้ ได้แก่ พลาสติก และไม้บางส่วน คาดว่าจะมีประมาณ ร้อยละ 40 ของปริมาณขยะทั้งหมด และจะเป็นผู้จัดหารถเพื่อขนขยะที่รื้อร่อนแล้วส่งไปยังโรงงาน SCG ลำปาง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ ในส่วนสมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่ายินดีให้การสนับสนุนเครื่องจักรในการรื้อร่อน และอยู่ระหว่างประสานกับเทศบาลนครเชียงรายเพื่อหาจุดที่ตั้งที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเป็น ณ บริเวณศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งใกล้บ่อฝังกลบ ส่วนดินโคลนที่เหลือจากการรื้อร่อน สมาคมจะช่วยหาแนวทางในการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

นายสุรินทร์กล่าวต่อว่า รายงานการกำจัดขยะมูลฝอยพื้นที่น้ำท่วม ณ วันที่ 25 กันยายน 2567 เทศบาลตำบลแม่สาย มีปริมาณขยะที่เกิดขึ้น 18,000 ตัน ปริมาณขยะที่เก็บขนได้ 3,721 ตัน นำไปฝังกลบ ณ ศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลตำบลแม่สาย พื้นที่ตำบลเวียงพางคำ คงเหลือขยะตกค้าง 14,279 ตัน เทศบาลนครเชียงราย มีปริมาณขยะที่เกิดขึ้น 50,000 ตัน ปริมาณขยะที่เก็บขนได้ 9,000 ตัน นำไป ณ จุดพักขยะชั่วคราว ดอยสะเก็น และหลังเดอะมูน คงเหลือขยะตกค้าง 41,000 ตัน ปัญหาอุปสรรค ทั้งสองพื้นที่มีจุดพักขยะไม่เพียงพอทำให้มีกองขยะสูงเริ่มส่งกลิ่นเหม็น เครื่องจักรและแรงงานไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องจัดหาจุดพักขยะ เครื่องจักร และแรงงานเพิ่มเติม พร้อมจัดระเบียบการขนย้ายระหว่างจุดพักขยะและบ่อฝังกลบให้สมดุลกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เตือนไทย! เตรียมรับมือเข้าสู่ ‘ฤดูฝุ่น’ กรมควบคุมมลพิษ หนักสุดในช่วง ก.พ. 67

 

เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2567 ร้อยเอก รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกันประกาศไทยเข้าสู่ฤดูฝุ่น ขอให้ทุกหน่วยงานคุมเข้ม ควบคุมต้นตอแหล่งกำเนิดฝุ่น

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า สถานการณ์ฝุ่นในวันนี้จะเริ่มรุนแรง ช่วงวันที่ 5 – 12 มกราคมนี้ ซึ่งมีผลมาจากความกดอากาศสูง อัตราการระบายฝุ่นต่ำ ลมสงบ ทำให้เกิดการสะสมของฝุ่นในปริมาณมาก ขณะที่แหล่งกำเนิดฝุ่นหลักในกทม.นอกจากการจราจรแล้ว การเผาพื้นที่การเกษตรในพื้นที่โล่ง นาข้าว จากภาคตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทรา ลอยตามทิศทางลมมายังกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จึงต้องเฝ้าระวัง ขอให้ทุกหน่วยงาน ควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นในพื้นที่ตนเอง เพราะก่อนปีใหม่พบจุดความร้อนประมาณ 200 จุด แต่หลังปีใหม่พบจุดความร้อนมากกว่า 1,200 จุด

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ บอกด้วยว่า โดยปกติฤดูฝุ่น PM2.5 จะเริ่มขึ้นตั้งแต่พฤศจิกายน – มีนาคม แต่คาดว่า ฝุ่นจะหนักสุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์  

ส่วน น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่าในปัจจุบันอยู่ที่ 1,200 จุด ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ทางการเกษตรและนาข้าว โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประกาศงดการเผา และควบคุมการเผา รวมทั้งมีหนังสือแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดให้ควบคุมการเผาผ่านมาตรการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้กระทบพื้นที่ท้ายลม อีกทั้งได้ซักซ้อมกับ 76 จังหวัดทั่วประเทศ ถึงขั้นตอนการปฏิบัติงานควบคุมฝุ่นพิษ

คำแนะนำการดูแลและป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจาก PM 2.5

1. ให้อยู่ภายในอาคารบ้านเรือน หากไม่จำเป็นอย่าออกนอกบ้าน โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเสี่ยง

2. ปิดประตูหน้าต่างป้องกันฝุ่นเข้า หากปิดไม่ได้ให้ใช้ผ้าชุบน้ำทำเป็นม่านปิดแทน

3. หากต้องออกนอกบ้าน ให้ใช้ผ้าชุบน้ำบิดพอหมาดๆ ปิดจมูกและปาก หรือใส่หน้ากากกรองฝุ่น

4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายและทำงานหนัก เมื่ออยู่นอกบ้าน

5. ดื่มน้ำมากๆ และไม่สูบบุหรี่ ในช่วงที่มีปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก

6. ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็ก ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศที่มีฝุ่นละออง

7. ไม่เผาขยะ โดยเฉพาะขยะที่เป็นสารพิษ เช่น พลาสติก, ยางรถยนต์ รวมทั้งขยะทั่วไป

8. ลดการใช้รถยนต์ หรือใช้เท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้มลพิษจากท่อไอเสีย ทำให้คุณภาพอากาศแย่ลง.

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News