Categories
NEWS UPDATE

ผลตรวจ ‘แม่น้ำกก’ อ.แม่อาย เบื้องต้นอยู่ในเกณฑ์ดี

ผลตรวจคุณภาพน้ำเบื้องต้นแม่น้ำกกเผยอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องรอผลวิเคราะห์สารปนเปื้อนจากเหมืองทอง

เชียงใหม่, 20 มีนาคม 2568 – เจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษ สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ร่วมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่สำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำในแม่น้ำกก บริเวณตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อตรวจสอบคุณภาพน้ำ หลังจากที่ชาวบ้านในพื้นที่ร้องเรียนถึงความผิดปกติของแม่น้ำกกที่มีสีขุ่นข้นและเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยผลการตรวจสอบเบื้องต้นในภาคสนามพบว่าคุณภาพน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดีตามมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดิน แต่ยังต้องรอผลการวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำในห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันว่ามีการปนเปื้อนจากสารเคมีหรือโลหะหนักที่อาจเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองทองในเขตต้นน้ำหรือไม่

การลงพื้นที่ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ประชาชนในชุมชนท้องถิ่น รวมถึงผู้นำชุมชน ได้เรียกร้องให้หน่วยงานราชการเข้ามาตรวจสอบ เนื่องจากแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่ไหลมาจากเขตรัฐฉาน ประเทศเมียนมา เข้าสู่เขตอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ มีลักษณะขุ่นมัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงต้นปี 2568 โดยชาวบ้านเริ่มมีความกังวลถึงความปลอดภัยในการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค รวมถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศและการท่องเที่ยวในพื้นที่

การตรวจสอบคุณภาพน้ำและผลเบื้องต้น

เจ้าหน้าที่จากกรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการเก็บตัวอย่างน้ำจาก 3 จุดหลัก ได้แก่

  1. จุดที่ 1: บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา ฐานริมกก หมู่ที่ 3 ตำบลท่าตอน
  2. จุดที่ 2: สะพานมิตรภาพแม่นาวาง-ท่าตอน เชื่อมระหว่างหมู่ 5 ตำบลท่าตอน และหมู่ 14 หย่อมบ้านป๊อกป่ายาง ตำบลแม่นาวาง
  3. จุดที่ 3: บริเวณหมู่ 12 บ้านผาใต้ ตำบลท่าตอน

การตรวจสอบในภาคสนามมุ่งเน้นไปที่พารามิเตอร์พื้นฐานตามมาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ซึ่งรวมถึงค่าออกซิเจนละลายน้ำ (Dissolved Oxygen: DO) และค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ผลการตรวจพบว่า

  • ค่าออกซิเจนละลายน้ำ (DO): อยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนถึงความสามารถในการรองรับสิ่งมีชีวิตในน้ำที่ยังอยู่ในระดับปกติ
  • ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH): อยู่ในช่วง 7-9 ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมตามมาตรฐาน และไม่พบความเป็นกรดหรือด่างที่อาจส่งผลกระทบต่อการสัมผัสหรือการใช้งาน
  • ค่าการนำไฟฟ้า (Electrical Conductivity): ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างจุดตรวจทั้ง 3 แห่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าในเบื้องต้นยังไม่มีจุดใดที่มีการปนเปื้อนในระดับสูง

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระบุว่า การตรวจสอบในภาคสนามเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสรุปได้ว่าน้ำในแม่น้ำกกมีการปนเปื้อนจากสารเคมีหรือโลหะหนักหรือไม่ เนื่องจากลักษณะทางกายภาพที่พบ เช่น ความขุ่นของน้ำ อาจเกิดจากตะกอนธรรมชาติหรือสารปนเปื้อนจากกิจกรรมมนุษย์ เช่น การทำเหมืองทองในเขตต้นน้ำ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ตัวอย่างน้ำที่เก็บจากทั้ง 3 จุดได้ถูกส่งไปยังห้องปฏิบัติการของกรมควบคุมมลพิษ เพื่อวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนเพิ่มเติม โดยเฉพาะโลหะหนัก เช่น ปรอท (Mercury) และสารไซยาไนด์ (Cyanide) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการทำเหมืองทอง

ความกังวลของชุมชนและบริบทของปัญหา

นางธีระพันธุ์ กันธิยาใจ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านร่มไท หมู่ที่ 14 ตำบลท่าตอน เปิดเผยว่า ชาวบ้านในพื้นที่มีความตื่นตระหนกตั้งแต่สังเกตเห็นสีของน้ำในแม่น้ำกกเปลี่ยนไปเป็นสีขุ่น ซึ่งในช่วงแรกเชื่อว่าเป็นผลจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2567 ที่พัดพาตะกอนดินโคลนลงมา อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปหลายเดือน สภาพน้ำยังไม่กลับมาใสเหมือนเดิม ทำให้เกิดความสงสัยว่าอาจมีสาเหตุอื่น โดยเฉพาะเมื่อมีรายงานว่าที่บ้านฮุง เขตปกครองพิเศษที่ 2 สหรัฐว้า รัฐฉาน ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 36 กิโลเมตร มีการอนุญาตให้กลุ่มทุนจีนดำเนินการทำเหมืองแร่ โดยเฉพาะเหมืองทองคำมากกว่า 23 บริษัท

“เดิมทีชาวบ้านใช้แม่น้ำกกเพื่อการอุปโภคบริโภค อาบน้ำ ล้างจาน หรือแม้แต่จับปลามากิน แต่ตอนนี้ไม่มีใครกล้าใช้น้ำจากแม่น้ำแล้ว เพราะกลัวว่ามีสารเคมีปนเปื้อน” นางธีระพันธุ์กล่าว พร้อมระบุว่าปลาในแม่น้ำลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวบ้านที่พึ่งพาแหล่งน้ำแห่งนี้

ด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นหนึ่งในจุดเด่นของตำบลท่าตอนที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเยี่ยมชมธรรมชาติและล่องเรือ แต่เมื่อน้ำเปลี่ยนสีและมีข่าวลือถึงมลพิษ ทำให้ชาวบ้านเกรงว่านักท่องเที่ยวจะลดลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น

การดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2568 นางสลีลญา คำภาแก้ว นายอำเภอแม่อาย ได้มอบหมายให้ปลัดอำเภอและเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่, สำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่อาย, กองบังคับการควบคุมทหารพราน, และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ลงพื้นที่สำรวจและเก็บตัวอย่างน้ำเพิ่มเติม โดยเจ้าหน้าที่ได้นั่งเรือจากบ้านแก่งทราย หมู่ที่ 14 ไปยังจุดรอยต่อชายแดนไทย-เมียนมา เพื่อตรวจสอบแหล่งน้ำต้นทางที่อาจได้รับผลกระทบจากเหมืองทอง

การวิเคราะห์ตัวอย่างน้ำในห้องปฏิบัติการคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 15-30 วัน โดยจะเน้นตรวจหาโลหะหนัก เช่น ปรอท, สารหนู (Arsenic), และตะกั่ว (Lead) รวมถึงสารไซยาไนด์ ซึ่งเป็นสารเคมีที่มักใช้ในกระบวนการสกัดทองคำ หากพบว่ามีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐาน จะมีการประสานงานกับหน่วยงานระหว่างประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาที่ต้นตอในเขตเมียนมา

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและการรอผลวิเคราะห์

หากผลการวิเคราะห์ยืนยันว่ามีสารปนเปื้อนจากเหมืองทองจริง อาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ รวมถึงระบบนิเวศของแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขงในที่สุด การปนเปื้อนของไซยาไนด์และโลหะหนักสามารถสะสมในสิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น ปลา และเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ได้ ขณะเดียวกัน ความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยวอาจทำให้รายได้ของชุมชนลดลงอย่างมาก

ในทางกลับกัน หากผลการตรวจไม่พบสารปนเปื้อนในระดับที่เป็นอันตราย ชาวบ้านอาจกลับมาไว้วางใจและใช้น้ำจากแม่น้ำกกได้ตามปกติ แต่ก็ยังต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากกิจกรรมเหมืองทองในเขตต้นน้ำยังคงดำเนินการอยู่อย่างไม่หยุดนิ่ง

สถิติที่เกี่ยวข้อง

จากข้อมูลที่ผ่านมาเกี่ยวกับผลกระทบของการทำเหมืองทองต่อแหล่งน้ำ:

  • ปี 2566: รายงานจากกรมทรัพยากรน้ำระบุว่า แหล่งน้ำผิวดินในประเทศไทยกว่า 30% ได้รับผลกระทบจากมลพิษ โดยเฉพาะในพื้นที่ใกล้เขตชายแดนที่มีกิจกรรมเหมืองแร่จากประเทศเพื่อนบ้าน (ที่มา: กรมทรัพยากรน้ำ)
  • ปี 2565: องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า การปนเปื้อนของไซยาไนด์ในน้ำดื่มที่เกิน 0.07 มิลลิกรัมต่อลิตร สามารถก่อให้เกิดพิษเฉียบพลันต่อร่างกาย เช่น อาการคลื่นไส้และหายใจลำบาก (ที่มา: WHO Drinking Water Guidelines)
  • ปี 2567: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่รายงานว่า ปลาในแม่น้ำกกบริเวณอำเภอแม่อายลดลง 70% จากภาวะน้ำขุ่นในช่วงน้ำท่วมใหญ่ (ที่มา: สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่)

ทัศนคติเป็นกลาง: มุมมองทั้งสองฝั่ง

จากมุมมองของชาวบ้านและผู้ที่กังวลถึงผลกระทบจากเหมืองทอง การเปลี่ยนแปลงของแม่น้ำกกเป็นสัญญาณที่น่ากลัว การที่น้ำขุ่นต่อเนื่องหลายเดือนและมีรายงานการทำเหมืองในเขตต้นน้ำ ทำให้เกิดความสงสัยว่าสารเคมีอาจรั่วไหลลงสู่แม่น้ำ ซึ่งหากเป็นจริงจะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพและวิถีชีวิต การเรียกร้องให้ตรวจสอบและแก้ไขอย่างเร่งด่วนจึงเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล เพื่อปกป้องชุมชนและสิ่งแวดล้อม

ในทางกลับกัน การทำเหมืองทองในเขตเมียนมาถือเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ให้กับท้องถิ่นในรัฐฉาน หากไม่มีหลักฐานชัดเจนว่ามลพิษมาจากเหมือง การกล่าวหาอาจสร้างความตึงเครียดระหว่างประเทศโดยไม่จำเป็น ผลการตรวจในภาคสนามที่ระบุว่าน้ำยังอยู่ในเกณฑ์ดี อาจบ่งชี้ว่าความขุ่นเกิดจากตะกอนธรรมชาติมากกว่าสารเคมี ซึ่งต้องรอผลวิเคราะห์ที่แน่นอนเพื่อตัดสิน

ทั้งสองฝั่งมีเหตุผลที่น่าเห็นใจ การรอผลการตรวจอย่างละเอียดจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นกลางและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสม โดยไม่รีบด่วนตัดสินจากอารมณ์หรือข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์

การติดตามผลการวิเคราะห์ในครั้งนี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา และสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนในพื้นที่ต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • กรมควบคุมมลพิษ
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงใหม่
  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่
  • องค์การอนามัยโลก (WHO)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ขยะน้ำท่วม ‘เชียงราย-แม่สาย’ ตกค้าง 5.5 หมื่นตัน ขอเอกชนฝังกลบ

 

เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 นายสุรินทร์ วรกิจธำรง รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และรองโฆษก คพ. เปิดเผยว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้สั่งการ คพ. ติดตามสำรวจขยะมูลฝอย ประสานหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งภาคเอกชน ให้ความช่วยเหลือเร่งการจัดเก็บขนขยะมูลฝอยหลังน้ำลดให้แก่ประชาชนในจังหวัดเชียงรายเร่งด่วน..

นายสุรินทร์กล่าวว่า คพ.ได้ประสานขอความร่วมมือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด (SCG ลำปาง) และสมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่า พร้อมลงพื้นที่เพื่อสรุปการทำงานร่วมกันในการการคัดแยกขยะในพื้นที่ประสบอุทกภัยไปใช้ประโยชน์ โดย SCG ลำปาง ยินดีรับขยะไปเผาเป็นพลังงาน ซึ่งต้องมีการรื้อร่อนขยะเอาดินออก ขยะที่สามารถนำไปใช้ได้ ได้แก่ พลาสติก และไม้บางส่วน คาดว่าจะมีประมาณ ร้อยละ 40 ของปริมาณขยะทั้งหมด และจะเป็นผู้จัดหารถเพื่อขนขยะที่รื้อร่อนแล้วส่งไปยังโรงงาน SCG ลำปาง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ ในส่วนสมาคมซาเล้งและร้านรับซื้อของเก่ายินดีให้การสนับสนุนเครื่องจักรในการรื้อร่อน และอยู่ระหว่างประสานกับเทศบาลนครเชียงรายเพื่อหาจุดที่ตั้งที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเป็น ณ บริเวณศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยของเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งใกล้บ่อฝังกลบ ส่วนดินโคลนที่เหลือจากการรื้อร่อน สมาคมจะช่วยหาแนวทางในการนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป

นายสุรินทร์กล่าวต่อว่า รายงานการกำจัดขยะมูลฝอยพื้นที่น้ำท่วม ณ วันที่ 25 กันยายน 2567 เทศบาลตำบลแม่สาย มีปริมาณขยะที่เกิดขึ้น 18,000 ตัน ปริมาณขยะที่เก็บขนได้ 3,721 ตัน นำไปฝังกลบ ณ ศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยเทศบาลตำบลแม่สาย พื้นที่ตำบลเวียงพางคำ คงเหลือขยะตกค้าง 14,279 ตัน เทศบาลนครเชียงราย มีปริมาณขยะที่เกิดขึ้น 50,000 ตัน ปริมาณขยะที่เก็บขนได้ 9,000 ตัน นำไป ณ จุดพักขยะชั่วคราว ดอยสะเก็น และหลังเดอะมูน คงเหลือขยะตกค้าง 41,000 ตัน ปัญหาอุปสรรค ทั้งสองพื้นที่มีจุดพักขยะไม่เพียงพอทำให้มีกองขยะสูงเริ่มส่งกลิ่นเหม็น เครื่องจักรและแรงงานไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องจัดหาจุดพักขยะ เครื่องจักร และแรงงานเพิ่มเติม พร้อมจัดระเบียบการขนย้ายระหว่างจุดพักขยะและบ่อฝังกลบให้สมดุลกัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กรมควบคุมมลพิษ (คพ.)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

เตือนไทย! เตรียมรับมือเข้าสู่ ‘ฤดูฝุ่น’ กรมควบคุมมลพิษ หนักสุดในช่วง ก.พ. 67

 

เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2567 ร้อยเอก รชฏ พิสิษฐบรรณกร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วยนางสาวปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ร่วมกันประกาศไทยเข้าสู่ฤดูฝุ่น ขอให้ทุกหน่วยงานคุมเข้ม ควบคุมต้นตอแหล่งกำเนิดฝุ่น

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า สถานการณ์ฝุ่นในวันนี้จะเริ่มรุนแรง ช่วงวันที่ 5 – 12 มกราคมนี้ ซึ่งมีผลมาจากความกดอากาศสูง อัตราการระบายฝุ่นต่ำ ลมสงบ ทำให้เกิดการสะสมของฝุ่นในปริมาณมาก ขณะที่แหล่งกำเนิดฝุ่นหลักในกทม.นอกจากการจราจรแล้ว การเผาพื้นที่การเกษตรในพื้นที่โล่ง นาข้าว จากภาคตะวันออก โดยเฉพาะจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทรา ลอยตามทิศทางลมมายังกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จึงต้องเฝ้าระวัง ขอให้ทุกหน่วยงาน ควบคุมแหล่งกำเนิดฝุ่นในพื้นที่ตนเอง เพราะก่อนปีใหม่พบจุดความร้อนประมาณ 200 จุด แต่หลังปีใหม่พบจุดความร้อนมากกว่า 1,200 จุด

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ บอกด้วยว่า โดยปกติฤดูฝุ่น PM2.5 จะเริ่มขึ้นตั้งแต่พฤศจิกายน – มีนาคม แต่คาดว่า ฝุ่นจะหนักสุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์  

ส่วน น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่าในปัจจุบันอยู่ที่ 1,200 จุด ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ทางการเกษตรและนาข้าว โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ประกาศงดการเผา และควบคุมการเผา รวมทั้งมีหนังสือแจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดให้ควบคุมการเผาผ่านมาตรการต่าง ๆ เพื่อไม่ให้กระทบพื้นที่ท้ายลม อีกทั้งได้ซักซ้อมกับ 76 จังหวัดทั่วประเทศ ถึงขั้นตอนการปฏิบัติงานควบคุมฝุ่นพิษ

คำแนะนำการดูแลและป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจาก PM 2.5

1. ให้อยู่ภายในอาคารบ้านเรือน หากไม่จำเป็นอย่าออกนอกบ้าน โดยเฉพาะประชาชนกลุ่มเสี่ยง

2. ปิดประตูหน้าต่างป้องกันฝุ่นเข้า หากปิดไม่ได้ให้ใช้ผ้าชุบน้ำทำเป็นม่านปิดแทน

3. หากต้องออกนอกบ้าน ให้ใช้ผ้าชุบน้ำบิดพอหมาดๆ ปิดจมูกและปาก หรือใส่หน้ากากกรองฝุ่น

4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายและทำงานหนัก เมื่ออยู่นอกบ้าน

5. ดื่มน้ำมากๆ และไม่สูบบุหรี่ ในช่วงที่มีปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก

6. ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์และเด็กเล็ก ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสอากาศที่มีฝุ่นละออง

7. ไม่เผาขยะ โดยเฉพาะขยะที่เป็นสารพิษ เช่น พลาสติก, ยางรถยนต์ รวมทั้งขยะทั่วไป

8. ลดการใช้รถยนต์ หรือใช้เท่าที่จำเป็น เพื่อไม่ให้มลพิษจากท่อไอเสีย ทำให้คุณภาพอากาศแย่ลง.

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News