Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รฟท.เร่ง “รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” คืบ 41.99% เปิดใช้ปี 2571

รฟท.เร่ง “รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” คืบ 41.99% เดินหน้าทะลุปมอุโมงค์–น้ำหลาก ลั่นเปิดใช้ปี 2571 หนุนเศรษฐกิจเหนือ–การค้าชายแดนสู่ลาว–จีน

เชียงราย, 20 กันยายน 2568 – ในจังหวะที่ภาคเหนือกำลังมองหากลไกฟื้นเศรษฐกิจหลังเผชิญความท้าทายจากสภาพอากาศสุดขั้วและการแข่งขันระดับภูมิภาค “รถไฟทางคู่เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ ได้เดินหน้าแตะ ความก้าวหน้างานรวม 41.986% โดยเฉพาะงานโยธาคืบ 40.656% (เร็วกว่าแผนราว 1.3%) ขณะที่กรอบเวลาเปิดให้บริการ ภายในปี 2571 ยังยืนยันตามเดิม – นี่คือสัญญาณว่าระบบรางเส้นใหม่ที่ถูกวางบทบาทให้เป็น “เส้นเลือดเศรษฐกิจ” ของเหนือตอนบน กำลังใกล้วิ่งเข้าจังหวะสุดท้ายของงานติดตั้งระบบและทดสอบเดินรถ

ภาพรวมโครงการมูลค่า ประมาณ 85,345 ล้านบาท ระยะทาง 323.10 กิโลเมตร ครอบคลุม 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ลำปาง พะเยา และเชียงราย รวม 17 อำเภอ 59 ตำบล มีสถานีและที่หยุดรถ 26 แห่ง พร้อม ลานกองเก็บและขนถ่ายตู้สินค้า (CY) 4 แห่ง เพื่อรองรับสินค้าทางรางและการเชื่อมต่อพาณิชย์สมัยใหม่ตามเป้าหมายของกระทรวงคมนาคมในการยกระดับการขนส่งและโลจิสติกส์ของชาติ

แผนงาน 3 สัญญา เร่งเครื่อง–กระจายความเสี่ยง

เพื่อบริหารความซับซ้อนของพื้นที่และโครงสร้าง โครงการแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญา โดยมีสถานะล่าสุดดังนี้

  • สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย–งาว (104 กม.): ภาพรวมสะสม 41.234% แต่ช้ากว่าแผนเล็กน้อยจากเงื่อนไขพื้นที่และการปรับแบบจุดตัดสำคัญ อย่างไรก็ดี ฝ่ายก่อสร้างรายงานว่ามาตรการเร่งรัดได้ถูกนำมาใช้เต็มที่เพื่อดึงงานให้กลับเข้าเป้า
  • สัญญาที่ 2 ช่วงงาว–เชียงราย (132 กม.): สะสม 44.64% เร็วกว่าแผน 3.415% ถือเป็นโซนที่ “ลากกราฟ” งานรวมให้ก้าวหน้า โดยเฉพาะองค์ประกอบดินทาง–สะพาน–และโครงระบายน้ำในช่วงพื้นที่เนินสลับลุ่ม
  • สัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย–เชียงของ (86 กม.): สะสม 34.325% เร็วกว่าแผน 3.42% แม้มีข้อจำกัดด้านพื้นที่ชุมชนและงานทางข้ามลำน้ำ แต่กำลังเร่งเครื่องในหมวดสะพานและทางยกระดับ

การกระจายสัญญาเช่นนี้ ไม่เพียงช่วย “เฉลี่ยความเสี่ยง” เชิงพื้นที่ แต่ยังเอื้อให้ โหนดเศรษฐกิจหลัก ตลอดแนวเส้นทาง – ตั้งแต่เด่นชัย (จุดบรรจบโครงข่ายภาคเหนือ–ภาคกลาง) พะเยา–เชียงราย (เมืองท่องเที่ยว–การเกษตร–บริการ) ไปจนถึง เชียงของ (ประตูการค้าชายแดน) – ถูกเตรียมความพร้อมรับการขยายตัวของสินค้าและผู้โดยสารได้แบบ ไล่ระลอก ก่อนเปิดเต็มรูปแบบปี 2571

อุโมงค์ 4 แห่ง ผ่านดอย–ข้ามปม

งานอุโมงค์ นับเป็น “หัวใจทางวิศวกรรม” ของโครงการ เส้นทางนี้ต้องเจาะและก่อสร้างอุโมงค์ 4 แห่ง ได้แก่ อุโมงค์สอง, อุโมงค์งาว, อุโมงค์แม่กา และอุโมงค์ดอยหลวง ซึ่งปัจจุบันมีความก้าวหน้าระหว่าง 50–87% (แต่ละแห่งเผชิญเงื่อนไขธรณี–ชั้นดิน–น้ำใต้ดินต่างกัน) ทำให้กลยุทธ์การเจาะ–ค้ำยัน–ระบายน้ำ และการตรวจความมั่นคงเชิงธรณีวิทยาต้อง “ออกแบบเฉพาะพื้นที่” ขณะเดียวกัน ทีมงานโยธาได้ใช้บทเรียนจากช่วงฝนหนัก–น้ำหลาก ปีที่ผ่านมา ปรับปรุง ระบบระบายน้ำและปากอุโมงค์ ให้ทนทานขึ้น พร้อมเสริมแผน อพยพ–ซ้อมรับเหตุ ร่วมกับชุมชน

ด่วน–ปรับ–ตาม” สูตรรับมือภัยพิบัติของ รฟท.

เหตุการณ์ พายุ “วิภา” และฝนหลากที่กระทบภาคเหนือก่อนหน้านี้ ทำให้ รฟท.ต้องสั่ง ชะลอ/หยุดงานชั่วคราว บางจุดเพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะงานสะพานและระบบระบายน้ำบนพื้นที่เสี่ยง แนวทางแก้ปัญหาที่ รฟท.นำมาใช้ถูกสรุปเป็น 3 ขั้นตอน ด่วน–ปรับ–ตาม” (React–Improve–Forecast) ได้แก่

  1. แก้เร่งด่วน (React & Monitor) – เฝ้าระวังน้ำหลาก ประกาศเตือนพื้นที่เสี่ยง จัดชุดเครื่องจักร–บุคลากรเข้าพื้นที่ทันทีเมื่อสัญญาณเตือนถึงเกณฑ์
  2. เรียนรู้–ปรับปรุง (Adapt & Improve) – ปรับแบบ/เพิ่มขนาดท่อและรางระบายน้ำ เสริมคันทาง–ชั้นทางและปกป้องคอสะพาน รวมถึงวางระบบกัก–ผันน้ำเฉพาะจุด
  3. ติดตาม–พยากรณ์ (Prevent & Forecast) – ประสานองค์กรปกครองท้องถิ่น/หน่วยน้ำ เพื่อ แลกเปลี่ยนข้อมูลเรียลไทม์ ใช้ระบบแจ้งเตือนฝน–น้ำ และจัดเวทีสื่อสารกับชุมชนเป็นระยะ

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสอดคล้องกับแนวโน้มหน่วยงานกำกับอย่าง กรมการขนส่งทางราง ที่ลงพื้นที่ตรวจงานและเน้นมาตรฐานโครงสร้างระบายน้ำของโครงการทางคู่สายนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภัยพิบัติในระบบรางระยะยาว

เมื่อ “ราง” เปลี่ยนภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของเหนือ

ตัวเลขชวนคิดที่สะท้อนผลเชิงระบบหลังเปิดบริการคือ เวลาเดินทาง ที่คาดว่าจะ ร่นลงจากรถยนต์ราว 1–1.30 ชั่วโมง บนหลายคู่เมืองสำคัญ ขณะที่ในฝั่งโลจิสติกส์ การมี CY 4 แห่ง และสถานี 26 แห่ง ทำให้เกิด โหนดรวบ–กระจายสินค้า แบบใกล้แหล่งผลิต โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรแปรรูป กาแฟ ชา และอุตสาหกรรมท้องถิ่นของแพร่–พะเยา–เชียงราย ที่ต้องการความ ตรงเวลา–คาดการณ์ได้ ของการขนส่ง ซึ่งรางสามารถตอบโจทย์ได้ดีกว่ารถบรรทุกในหลายกรณี

ยิ่งไปกว่านั้น ปลายทางที่ เชียงของ เปิดประตู เชื่อม “สะพานมิตรภาพไทย–ลาว แห่งที่ 4 (เชียงของ–ห้วยทราย)” เข้าสู่ เส้นทาง R3A และต่อเชื่อม รถไฟลาว–จีน ซึ่งเป็นโครงข่ายระดับภูมิภาค – ภาพใหญ่จึงไม่ใช่แค่ “ขนส่งภายในประเทศ” แต่คือ ห่วงโซ่ราง” สู่จีนตอนใต้ สินค้าจากภาคเหนือสามารถเข้าสู่ตลาดใหม่หรือย่นเวลาขนส่งด้วยโหมดผสมผสานราง–ถนน–รางข้ามแดนได้อย่างมีนัยสำคัญ (กรอบยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงดังที่ระบุในงานวิชาการของธนาคารแห่งประเทศไทย/ข้อมูลทางการ)

ท่องเที่ยวเชิงรางจาก “วิวเหนือ” สู่ “ประสบการณ์เหนือระดับ”

เมื่อทางคู่เปิดใช้ “การเดินทางเชิงทัศนียภาพ” จะเป็นอีกสินทรัพย์ใหม่ให้ภาคเหนือ เส้นทางเลาะไหล่ดอย–ตัดทุ่งนา–ข้ามลำน้ำ จะถูก “แพ็คเกจ” เป็น สินค้า ของผู้ประกอบการท่องเที่ยว–โรงแรม–คาเฟ่–โฮมสเตย์บนชุมชนเส้นทางราง** การเข้าถึงสะดวก–คงที่–ปลอดภัย ช่วยเพิ่มโอกาสเก็บรายได้จากนักท่องเที่ยว แบบพำนักนานขึ้น” และกระจายรายได้ไปยังอำเภอที่ไม่ใช่เมืองหลัก

แรงส่งของท่องเที่ยวเชิงรางยังต่อยอดสู่ อีเวนต์ซับคัลเจอร์ เช่น ปั่นจักรยาน–วิ่งเทรล–วัฒนธรรมชนเผ่า ที่สามารถผูกกับจังหวะเวลาเดินรถ–จุดลง–เส้นทางเชื่อมได้ เช่นกัน ผู้ประกอบการโลจิสติกส์ขนาดเล็ก–กลาง (SMEs) จะเห็นทางเลือกส่งสินค้าแบบ “กึ่งพาณิชย์–กึ่งท่องเที่ยว” (เช่น ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น) วิ่งเข้าตลาดใหม่ในกรุงเทพฯ/หัวเมือง ผ่าน โครงข่ายรางที่ตั้งเวลาได้ มากกว่า “ลุ้นเส้นทางถนน” ในฤดูฝน

ด้านเทคนิค มาตรฐานความเร็ว–ความปลอดภัย

กรอบออกแบบของสายนี้ถูกวางที่ ความเร็วออกแบบสูงสุด 160 กม./ชม. สำหรับรถโดยสาร (ความเร็วใช้งานขึ้นกับข้อกำกับการเดินรถ/ระบบอาณัติสัญญาณ) โครงสร้างพื้นฐานประกอบด้วยทางคู่–สะพาน–อุโมงค์–ทางยกระดับ รวมถึงการยกระดับ จุดตัดทางรถไฟ–ถนน เพื่อลดอุบัติเหตุและเพิ่มความต่อเนื่องของขบวน ทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยของการรถไฟฯ และหน่วยงานกำกับ พร้อมระบบอาณัติสัญญาณ/สื่อสารที่จะติดตั้งในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนทดสอบเดินรถ (ข้อมูลสเป็กและกรอบทางวิศวกรรมจากแหล่งข้อมูลทางการ/วิชาการ)

เสียงจากพื้นที่ “งานเดิน–เมืองเดิน”

ในแนวเส้นทาง หลายชุมชนได้เห็นโครงสร้างรูปเป็นร่าง—ตั้งแต่ ตอม่อสะพาน–คันทาง–ปากอุโมงค์ ไปจนถึงทางเบี่ยงเบนการจราจรชั่วคราว แม้ในบางจุดชาวบ้านต้อง “เรียนรู้” กับเสียงเครื่องจักรและการปิด–เปิดทางสลับ แต่การสื่อสาร เชิงรุก ที่ รฟท. ระบุว่าเป็นส่วนหนึ่งของ “Prevent & Forecast” (การประชุม–เวทีชุมชน–แจ้งเตือนล่วงหน้า) ทำให้ “ความไว้เนื้อเชื่อใจ” ค่อย ๆ เติบโต

ผู้ประกอบการท้องถิ่นสะท้อนมุมมองตรงกันว่า เส้นนี้คือโอกาส” – ตลาดสินค้าชุมชนจะ “เข้าเมือง” ได้ไวและแน่นอนขึ้น ขณะโรงแรม–ร้านอาหาร–คาเฟ่ แถบเมืองรองมีโอกาส “จับลูกค้าใหม่” ที่มาเยือนแบบไม่นอนค้างได้บ่อยขึ้น เพราะขึ้น–ลงรถสะดวก ตรงเวลา

“โครงสร้างใหญ่” ทำอย่างไรให้อยู่รอดในยุคภูมิอากาศสุดขั้ว

โครงการทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของสะท้อน บทเรียนรุ่นใหม่ ของการสร้างโครงสร้างพื้นฐานไทย – ไม่ใช่เพียง สร้างให้เสร็จ” แต่ต้อง สร้างให้สู้สภาพอากาศ” ด้วย มาตรการอย่างการเพิ่มหน้าตัดทางระบายน้ำ ปรับโครงสร้างคอสะพาน เสริมคันทาง และวางระบบตรวจวัดฝน–น้ำแบบเรียลไทม์ สามารถลดความเสี่ยงทั้ง ระหว่างก่อสร้าง และ หลังเปิดบริการ ขณะที่การประสานข้อมูลกับท้องถิ่นช่วยให้เห็น ภาพน้ำทั้งลุ่มน้ำ” ไม่ใช่แค่จุดก่อสร้าง

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภูมิอากาศ แนวทาง “ด่วน–ปรับ–ตาม” ของ รฟท. จึงเป็น โมเดลปฏิบัติ ที่โครงการรางอื่น ๆ ในประเทศสามารถหยิบไปใช้ได้

ไทม์ไลน์–ก้าวต่อไป จากโยธา สู่อาณัติสัญญาณ และทดสอบเดินรถ

ด้วย แกนโยธา ที่รุดหน้า (บางสัญญาเร็วกว่าแผน) ขั้นต่อไปคือการเร่ง งานโครงสร้างพิเศษ (สะพาน/อุโมงค์) ให้ผ่านจุดวิกฤต พร้อมเปิดทางให้เข้าสู่ งานระบบ (Signalling & Telecom), งานราง, และ ทดสอบวิ่ง (Trial Run) ตามลำดับ ภาพรวมจึงยังคงยึดกรอบ เปิดบริการภายในปี 2571 ตามที่ตั้งเป้า ซึ่งเมื่อถึงวันนั้น ตั๋วรถไฟใบใหม่ของภาคเหนือ จะไม่ใช่เพียงการเดินทาง แต่คือ บัตรผ่านเศรษฐกิจ ที่พาผู้คน–สินค้า–โอกาส เชื่อมจาก ใจกลางภาคเหนือ สู่ ชายแดนแม่น้ำโขง และต่อไปยัง ลาว–จีน อย่างเป็นรูปธรรม

กล่องข้อมูลโครงการ (สรุปย่อ)

  • ชื่อโครงการ: รถไฟทางคู่สายใหม่ เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ
  • ระยะทาง: ~323.10 กม. / จังหวัด: แพร่–ลำปาง–พะเยา–เชียงราย / สถานี–ที่หยุดรถ: 26 แห่ง
  • มูลค่าโครงการ: ~85,345 ล้านบาท
  • สัญญาก่อสร้าง: 3 สัญญา (เด่นชัย–งาว / งาว–เชียงราย / เชียงราย–เชียงของ)
  • งานอุโมงค์หลัก: อุโมงค์สอง, งาว, แม่กา, ดอยหลวง
  • CY (ลานกองเก็บ/ขนถ่ายตู้สินค้า): 4 แห่ง
  • ความเร็วออกแบบสูงสุด (โดยสาร): 160 กม./ชม.
  • เป้าหมายเปิดบริการ: ภายในปี 2571

มุมมองเชิงนโยบาย ทำไม “ราง” ถูกเลือกในเวลานี้

  1. ลดต้นทุน–เพิ่มขีดความสามารถ: รางช่วยลดต้นทุนต่อตัน–กม. และลดการพึ่งพาน้ำมันในขนส่งถนน ซึ่งสำคัญต่อภาคเหนือที่มีสินค้าเกษตร–แปรรูปจำนวนมาก
  2. สิ่งแวดล้อม–ภูมิอากาศ: ระบบรางปล่อยคาร์บอนต่อผู้โดยสาร/ตันสินค้าน้อยกว่า โยงเข้าสู่เป้าหมาย Net Zero ระยะยาวของประเทศ
  3. การเชื่อมภูมิภาค: ปลายทางเชียงของเชื่อม R3A–รถไฟลาว–จีน ยกระดับไทยเป็น สะพานการค้า สู่จีนตอนใต้/อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
  4. พัฒนาเมือง–ชุมชน: สถานีคือ ศูนย์กลางบริการ ใหม่ของเมืองรอง สร้างงาน–ธุรกิจต่อเนื่อง (ที่พัก–บริการ–โลจิสติกส์ชุมชน)

คำถามสุดท้ายก่อนขึ้นราง ประชาชนจะได้อะไร “ในมือ” ตั้งแต่วันแรก?

  • เวลา: การเดินทางเมืองหลักเร็วขึ้นราว 1–1.30 ชม. (ตามคู่เมือง)
  • เงินในกระเป๋า: ต้นทุนโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการลดลง มีผลต่อราคาสินค้า/รายได้เกษตรกร
  • โอกาส: การท่องเที่ยวเชิงราง–สินค้า OTOP–เกษตรแปรรูปเข้าเมือง–ออกชายแดนสะดวกขึ้น
  • ความปลอดภัย: จุดตัดลดลง ระบบอาณัติสัญญาณ–สื่อสารสมัยใหม่เพิ่มความปลอดภัยการเดินรถ

ความคืบหน้า 41.986% ของ “เด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ” ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ แต่มันหมายถึง โครงร่างเศรษฐกิจใหม่ ของภาคเหนือที่กำลังก่อตัว – โครงร่างที่วางอยู่บนรางเหล็ก อุโมงค์ 4 แห่ง สะพานนับสิบ และโมเดลบริหารความเสี่ยงที่เรียนรู้จากฝนหลาก–น้ำท่วม เพื่อส่งมอบการเดินทางที่ ตรงเวลา–ปลอดภัย–คุ้มค่า ให้ประชาชน และเปิดพรมแดนเศรษฐกิจให้ผู้ประกอบการไทยก้าวไกลไปอีกขั้น

เมื่อรถไฟสายนี้ทดลองวิ่งและเปิดบริการในปี 2571 เสียงหวูดจะไม่ได้ดังเพียงเพื่อประกาศ “เปิดเดินรถ” เท่านั้น หากแต่เป็นสัญญาณว่า ภาคเหนือ ได้ก้าวขึ้นขบวนเศรษฐกิจใหม่ที่พร้อมเชื่อม บ้านเรา เข้ากับ ภูมิภาค อย่างมั่นคงและยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (สายนโยบายภาคเหนือ)
  • ประชาชาติธุรกิจ
  • มติชนออนไลน์
  • กรมการขนส่งทางราง/สำนักข่าว MCOT (TNA)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

บจ.เชียงรายเปิดสะพานข้ามลำน้ำเกี๋ยง เสริมโครงสร้าง ช่วยน้ำท่วมโรงเรียนแม่คำ

อบจ.เชียงรายลุยแก้ปัญหา! เปิดใช้สะพานใหม่ข้ามลำน้ำเกี๋ยง อ.เชียงแสน พร้อมเร่งช่วยน้ำท่วมโรงเรียนบ้านแม่คำ

เชียงราย, 30 กรกฎาคม 2568 – อบจ.เชียงรายเดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิต เปิดใช้สะพานใหม่ข้ามลำน้ำเกี๋ยง ลดต้นทุนขนส่ง หนุนเศรษฐกิจฐานราก องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย) ยังคงสานต่อนโยบาย “สร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อชุมชน” ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างยั่งยืน ล่าสุดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีเปิดใช้งานสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามลำน้ำเกี๋ยง บ้านห้วยเกี๋ยง หมู่ 8 ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นจากการต้อนรับของชุมชน โดยมีผู้นำท้องถิ่นและประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

สะพานใหม่แห่งนี้มีขนาดกว้าง 7 เมตร ยาว 12 เมตร สร้างขึ้นเพื่อทดแทนสะพานเดิมที่ถูกน้ำกัดเซาะจนชำรุดเสียหายอย่างหนักจากเหตุอุทกภัยในรอบหลายปีที่ผ่านมา สะพานเก่ากลายเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง การขนส่งผลผลิตทางการเกษตร รวมถึงชีวิตประจำวันของประชาชนโดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่เสี่ยงอันตรายจากกระแสน้ำเชี่ยว อบจ.เชียงรายจึงได้เร่งรัดจัดสรรงบประมาณกว่า 1,775,000 บาท ผ่านความเห็นชอบของประชาคมท้องถิ่น เพื่อดำเนินการก่อสร้างโดยเทศบาลตำบลเวียง

เปิดสะพานใหม่เพิ่มศักยภาพชุมชน ลดความเสี่ยงอุทกภัย

สะพานข้ามลำน้ำเกี๋ยงแห่งใหม่นี้ไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งการพัฒนาและความมั่นคงในชีวิตประจำวันของประชาชน ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแรงปลอดภัย ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ทั้งในด้านการสัญจร การขนส่งสินค้าและผลผลิตการเกษตร ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรและผู้ประกอบการในพื้นที่

เป้าหมายของโครงการนี้ชัดเจน ได้แก่

  • อำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการสัญจร สำหรับประชาชนในหมู่บ้านและผู้ใช้เส้นทาง
  • ลดภาระค่าใช้จ่าย ในการเดินทางของประชาชนและต้นทุนขนส่งผลผลิต
  • ส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจชุมชน ด้วยเส้นทางคมนาคมที่สมบูรณ์
  • ป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยซ้ำซาก ลดความเสี่ยงจากน้ำกัดเซาะและน้ำท่วมขัง

เร่งช่วยเหลือโรงเรียนบ้านแม่คำ สู้ภัยน้ำท่วม

ในวันเดียวกัน นายก อบจ.เชียงราย พร้อมคณะ ยังได้ลงพื้นที่สำรวจโรงเรียนบ้านแม่คำ (ธรรมาประชาสรรค์) ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมขังจนส่งผลกระทบต่อการเรียนการสอนและความเป็นอยู่ของคณะครูและนักเรียน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น อบจ.เชียงรายได้นำน้ำดื่ม 50 แพ็คไปมอบให้โรงเรียน และสั่งการให้กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยติดตั้งเครื่องสูบน้ำเข้าพื้นที่โดยด่วน พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เร่งสำรวจและดำเนินการแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

 “สะพานแห่งความหวัง” และการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง – ต้นแบบการพัฒนาอย่างยั่งยืนของท้องถิ่น

การเปิดใช้งานสะพานข้ามลำน้ำเกี๋ยงและการลงพื้นที่ช่วยเหลือโรงเรียนบ้านแม่คำของ อบจ.เชียงรายในครั้งนี้ เป็นภาพสะท้อนของบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เข้าใจและตอบโจทย์ชีวิตจริงของประชาชนในทุกมิติ

จุดเด่นและผลลัพธ์สำคัญ:

  • แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง: สะพานคอนกรีตเสริมเหล็กใหม่ เป็นการแก้ปัญหาถึงรากฐานและยั่งยืน ลดความเสียหายจากน้ำท่วมขังในระยะยาว และป้องกันการถูกตัดขาดจากโลกภายนอกในช่วงวิกฤต
  • เสริมศักยภาพเศรษฐกิจและการเกษตร: การคมนาคมสะดวกขึ้น เอื้อให้เกษตรกรส่งผลผลิตสู่ตลาดได้รวดเร็ว ช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของพื้นที่
  • การมีส่วนร่วมของประชาชน: การจัดสรรงบประมาณและดำเนินการโดยผ่านความเห็นชอบของประชาคม สะท้อนให้เห็นว่าท้องถิ่นรับฟังและตอบสนองต่อความต้องการแท้จริงของชุมชน
  • บูรณาการช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉิน: การลงพื้นที่ช่วยเหลือโรงเรียนบ้านแม่คำอย่างทันท่วงที เป็นการดูแลและเยียวยาคุณภาพชีวิตของเยาวชนและครอบครัวในพื้นที่อย่างจริงจัง
  • พัฒนาการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงาน: ความร่วมมือระหว่าง อบจ.เชียงราย เทศบาลตำบลเวียง และผู้นำชุมชน ส่งผลให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมสูงสุด

ข้อเสนอแนะและประเด็นท้าทาย:

  • ควรจัดทำแผนบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อยืดอายุการใช้งานของสะพาน
  • วางแผนป้องกันน้ำท่วมทั้งระบบเพื่อความยั่งยืน ไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาเฉพาะจุด
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการดูแลรักษาสาธารณประโยชน์ เพื่อสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

สรุป:

การเปิดใช้งานสะพานใหม่ข้ามลำน้ำเกี๋ยงและการช่วยเหลือโรงเรียนบ้านแม่คำโดย อบจ.เชียงราย คือแบบอย่างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มุ่งมั่นพัฒนาอย่างครอบคลุม ตอบโจทย์ชีวิตประชาชนทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ถือเป็นโมเดลต้นแบบของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการดูแลคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนในระดับชุมชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • เทศบาลตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน
  • กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อบจ.เชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

รฟท. หยุดสร้างรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ รับมือพายุ “วิภา” เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

พายุ “วิภา” ถล่มเหนือ! รฟท. สั่งหยุดงานโครงการรถไฟเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ชั่วคราว “ผู้ว่าฯ วีริศ” ย้ำ “ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก”

เชียงราย, 24 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์ภัยพิบัติจากพายุ “วิภา” โครงการรถไฟสายยุทธศาสตร์ต้องหยุดชะงัก พายุโซนร้อน “วิภา” ที่สร้างผลกระทบหนักต่อหลายจังหวัดในภาคเหนือในสัปดาห์นี้ มิได้ส่งผลกระทบเพียงประชาชนในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสร้างแรงสะเทือนต่อโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศอย่างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ ซึ่งเป็นโครงการยุทธศาสตร์ระดับชาติด้านโลจิสติกส์และการเชื่อมโยงเศรษฐกิจไทย-จีน-ลาว

ภายใต้สถานการณ์ฝนตกหนักและสภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟฯ ได้ประกาศสั่ง “หยุดหรือชะลอการดำเนินงานชั่วคราว” ในบางช่วงของโครงการ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของพนักงาน วิศวกร และโครงสร้างต่างๆ ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง ซึ่งครอบคลุมงานสำคัญ อาทิ การยกชิ้นส่วนโครงสร้าง (Girder), การติดตั้งนั่งร้านในที่สูง, และงานระบบไฟฟ้าต่างๆ

มาตรการเข้มงวด! เฝ้าระวัง 24 ชม. ป้องกันอุบัติเหตุและช่วยเหลือประชาชน

นอกจากคำสั่งหยุดงานแล้ว รฟท. ยังจัดเจ้าหน้าที่ประจำจุดต่างๆ ในโครงการให้เฝ้าระวังสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งเตรียมอุปกรณ์และแผนตอบโต้เหตุฉุกเฉิน เพื่อเข้าแก้ไขทันทีหากเกิดสถานการณ์คับขัน นอกจากนี้ยังมอบหมายให้มีเจ้าหน้าที่คอยประสานงานและให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่โครงการและชุมชนโดยรอบอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ผลกระทบจากเหตุการณ์ธรรมชาติครั้งนี้ “น้อยที่สุด”

ผู้ว่าการรถไฟฯ ยังเน้นย้ำว่า รฟท. มีการประเมินสถานการณ์พายุและสภาพอากาศอย่างใกล้ชิดโดยอาศัยข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา เพื่อวางแผนการทำงานและปรับแผนก่อสร้างแบบวันต่อวัน หากสภาพอากาศเอื้ออำนวยจะสามารถ “กลับเข้าสู่ภาวะปกติ” และเดินหน้าก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว

ความปลอดภัยต้องมาก่อนทุกความก้าวหน้า”  โมเดลบริหารจัดการในยุคภัยธรรมชาติรุนแรง

การตัดสินใจของ รฟท. ในครั้งนี้สะท้อนปรัชญา “ความปลอดภัยต้องมาก่อนความก้าวหน้า” อย่างแท้จริง แม้จะส่งผลกระทบต่อไทม์ไลน์ของโครงการ ซึ่งมีเป้าหมายจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาคในอนาคต แต่การยึดมั่นในมาตรการป้องกันอุบัติเหตุและลดความเสี่ยงในสถานการณ์วิกฤตถือเป็นแนวทางที่ถูกต้องและได้รับการยอมรับในระดับสากล

ในช่วงที่สภาพภูมิอากาศผันผวนรุนแรงบ่อยครั้ง โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทั่วโลกต่างต้องปรับแผน “บริหารความเสี่ยงเชิงรุก” มากขึ้น ตัวอย่างเช่น รฟท. ที่สั่งหยุดงานทันทีในงานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การยกโครงสร้างหนักและงานบนที่สูง เพื่อปกป้องชีวิตและสุขภาพของบุคลากร รวมถึงปกป้องโครงสร้างที่อยู่ระหว่างก่อสร้างไม่ให้ได้รับความเสียหายรุนแรง

นอกจากนี้ รฟท. ยังนำข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยามาใช้ในการตัดสินใจและวางแผนงานอย่างเป็นระบบ (Data-driven Decision Making) เพื่อให้แต่ละช่วงของโครงการมีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างทันท่วงที

ผลกระทบและความท้าทาย การชะลอโครงการและโอกาสสู่การยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย

แม้มาตรการหยุดงานชั่วคราวจะทำให้เกิดความล่าช้าต่อแผนการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย–เชียงราย–เชียงของ แต่ก็เป็นโอกาสสำคัญในการทบทวนและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในโครงการขนาดใหญ่ของไทยในยุคสภาพภูมิอากาศรุนแรง การบริหารความเสี่ยงและการเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติได้อย่างเป็นระบบจะเป็น “ต้นแบบใหม่” ให้กับโครงการเมกะโปรเจกต์ในอนาคต

ประเด็นวิเคราะห์สำคัญ

  • การสร้างสมดุลระหว่างความก้าวหน้าและความปลอดภัย: การตัดสินใจหยุดงานในจุดเสี่ยงโดยไม่คำนึงถึงกำหนดเวลาที่ต้องเร่งรัด แสดงให้เห็นถึงการให้คุณค่ากับชีวิตและสุขภาพคนงานมากกว่าตัวเลขเป้าหมาย
  • การบูรณาการข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ: ใช้ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาและเครือข่ายเตือนภัยมาเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติงานประจำวัน
  • ความรับผิดชอบต่อชุมชน: การเตรียมแผนช่วยเหลือประชาชนรอบพื้นที่โครงการ สะท้อนจริยธรรมองค์กรและความโปร่งใสในการบริหาร

ความท้าทายที่ยังต้องจับตา

  • ผลกระทบต่อไทม์ไลน์: โครงการจะต้องเร่งฟื้นฟูการทำงานเมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย เพื่อให้กระทบกับกำหนดการน้อยที่สุด
  • ความยืดหยุ่นและแผนสำรอง: ในอนาคต การปรับปรุงระบบการทำงานให้มีความยืดหยุ่นสูง และมีแผนสำรองที่ชัดเจน จะเป็นสิ่งจำเป็นต่อโครงการขนาดใหญ่

มาตรการรับมือภัยธรรมชาติของ รฟท. ในสถานการณ์พายุ “วิภา” ครั้งนี้ คือบทพิสูจน์สำคัญของ “ภาวะผู้นำเชิงรุก” ที่คำนึงถึงสวัสดิภาพชีวิตและความปลอดภัยของทุกฝ่ายอย่างสูงสุด แม้ต้องแลกมาด้วยเวลาที่ล่าช้าลงบ้าง แต่ถือเป็นแนวทางที่ทุกโครงการขนาดใหญ่ควรนำไปปรับใช้ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและปลอดภัยสำหรับประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

AOT ปั้นเชียงราย ยกระดับสนามบินแม่ฟ้าหลวง สู่ฮับการบินระดับโลก

“AOT เดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย รองรับ 6 ล้านผู้โดยสารต่อปีในปี 2576 สู่มาตรฐาน World Class”

เชียงราย, 1 กรกฎาคม 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ครบรอบ 46 ปี ประกาศเป้าหมายยกระดับท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จากเดิมที่รองรับผู้โดยสาร 3 ล้านคนต่อปี สู่ 6 ล้านคนต่อปี คาดว่าแผนการขยายโครงสร้างพื้นฐานจะแล้วเสร็จภายในปี 2576 เสริมศักยภาพเมืองเชียงรายสู่ศูนย์กลางการบินและประตูท่องเที่ยวภาคเหนือ ตอบรับการเติบโตของผู้โดยสาร-เศรษฐกิจและภาคบริการภายใต้แนวคิด “World Class Hospitality” และคุณภาพการบริการมาตรฐานสากล 

AOT บริหารท่าอากาศยานหลัก 6 แห่งของประเทศไทย ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ท่าอากาศยานภูเก็ต และท่าอากาศยานหาดใหญ่ โดยในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (เดือนตุลาคม 2567 – พฤษภาคม 2568) มีผู้โดยสารใช้บริการท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งรวม 88.53 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 54.24 ล้านคน เพิ่มขึ้น 10.8% และผู้โดยสารภายในประเทศ 34.29 ล้านคน เพิ่มขึ้น 6.9% ขณะที่มีเที่ยวบิน 544,590 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.9% แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 308,777 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 12.5% และเที่ยวบินภายในประเทศ 235,813 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 8.9% นอกจากนี้ AOT ได้ประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศในปีงบประมาณ 2569 (เดือนตุลาคม 2568 – กันยายน 2569) คาดว่าจะมีผู้โดยสารรวมกว่า 130 ล้านคน เที่ยวบินรวมกว่า 859,000 เที่ยวบิน และคาดว่าจะมีจำนวนสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ (Cargo) ประมาณ 1.64 ล้านตัน

เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-รองรับการเติบโต

จากสถิติ 8 เดือนแรกปีงบประมาณ 2568 ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งภายใต้ AOT รองรับผู้โดยสารรวมกว่า 88.53 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9.2% เที่ยวบินกว่า 544,590 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้น 10.9% ขณะที่ปีงบประมาณ 2569 คาดยอดผู้โดยสารทั่วประเทศทะลุ 130 ล้านคน เที่ยวบินรวมกว่า 859,000 เที่ยวบิน แนวโน้มนี้สะท้อนความต้องการเดินทางและศักยภาพการเติบโตของเชียงรายในฐานะจุดยุทธศาสตร์

AOT วางแผนพัฒนาท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงให้รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยจะเร่งก่อสร้างขยายอาคารผู้โดยสาร เพิ่มพื้นที่บริการ สิ่งอำนวยความสะดวก โซนพักผ่อน สนามเด็กเล่น โซนชาร์จไฟและพื้นที่นวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้เดินทางทุกกลุ่มอย่างครบวงจร และเน้นย้ำมาตรฐานความปลอดภัย ความสะอาด และบริการที่เหนือระดับ

AOT กับบทบาทขับเคลื่อนเศรษฐกิจและนวัตกรรม

นอกจากบทบาท “ประตูสู่ประเทศ” AOT ยังเดินหน้าสร้างรายได้ใหม่ ๆ เช่น โครงการเชิงพาณิชย์ ศูนย์ซ่อมบำรุง MRO โรงแรม Terminal Attraction และ Logistics Hub ซึ่งมีนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศสนใจเข้าร่วมกว่า 28 โครงการแล้ว ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจและโอกาสการจ้างงานในภูมิภาค

สำหรับสนามบินแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีบทบาทสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการภาคเหนือ ซึ่งในอนาคตจะสามารถรองรับทั้งสายการบินระหว่างประเทศ เพิ่มปริมาณเที่ยวบินและผู้โดยสาร ช่วยดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่เชียงรายและเมืองเศรษฐกิจรอบข้าง สร้างโอกาสให้ท้องถิ่นเติบโตอย่างมั่นคง

บทวิเคราะห์และความท้าทาย

การขยายสนามบินเชียงรายไม่ใช่แค่เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นการวางรากฐานอนาคตเมืองเชียงรายสู่การเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์และท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ หากแผนนี้สำเร็จตามเป้าหมาย จะเปลี่ยนโฉมการเดินทางของคนไทยและชาวต่างชาติในภูมิภาคเหนืออย่างสิ้นเชิง พร้อมเชื่อมโยงเมืองเชียงรายกับตลาดโลก ท้าทายสำคัญคือการบริหารจัดการเพื่อคงคุณภาพบริการในขณะที่การใช้งานสนามบินเพิ่มขึ้น การลงทุนและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT)
  • ศูนย์เรียนรู้การบริหารจัดการสินค้าเกษตรเชียงราย
  • กระทรวงคมนาคม
  • รายงานสถิติสายการบิน/ผู้โดยสาร 2568-2569
  • ข่าวประชาสัมพันธ์ AOT (1 กรกฎาคม 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

นายกฯ อบจ.เชียงรายไม่ทิ้งใคร เร่งช่วยน้ำท่วมแม่เปา มอบน้ำ-ถุงยังชีพ

นายก อบจ.เชียงราย นำทีมลงพื้นที่น้ำป่าแม่เปา ฟื้นฟูพื้นที่-ดูแลประชาชนอย่างใกล้ชิด

เชียงราย, 29 มิถุนายน 2568 – ในช่วงหลังจากเกิดเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากรุนแรงในพื้นที่ตำบลแม่เปา อำเภอพญาเม็งราย จังหวัดเชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย พร้อมด้วยทีมบริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งนำทีมลงพื้นที่ทันทีเพื่อสำรวจความเสียหาย ฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน และเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง

ลงพื้นที่ช่วยเหลือ-ประชุมวางแผนฟื้นฟู

นางอทิตาธร พร้อมนายวสันต์ วงศ์ดี ผู้อำนวยการสำนักช่าง อบจ.เชียงราย, นางสาวปราณปรียา โพธิเลิศ ผอ.กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, พันจ่าเอกทวีป เชี่ยวสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายป้องกันฯ และเจ้าหน้าที่ ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้นำท้องถิ่นที่ศูนย์เฉพาะกิจฯ ต.แม่เปา เพื่อติดตามรายงานสถานการณ์ ค้นหาผู้สูญหาย ซ่อมแซมคอสะพาน และเร่งฟื้นฟูพื้นที่ให้กลับมาใช้งานได้อย่างรวดเร็ว โดยได้เน้นย้ำให้เร่งซ่อมแซมสะพานและเส้นทางสัญจรที่ได้รับความเสียหาย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและอำนวยความสะดวกให้กับชาวบ้าน

ลงพื้นที่แจกถุงยังชีพ-สร้างขวัญกำลังใจ

จากนั้น คณะได้เดินทางต่อไปยังบ้านขุนห้วย ตำบลแม่เปา สำรวจจุดที่ได้รับผลกระทบ พร้อมมอบน้ำดื่ม 700 แพ็ค และถุงยังชีพ 65 ชุดให้ประชาชน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้น โดยมีนายฐิติพันธ์ เข็มขาว นายก อบต.แม่เปา ให้การต้อนรับและร่วมลงพื้นที่

นางอทิตาธร ได้เน้นย้ำว่าทุกชีวิตคือความสำคัญ อบจ.เชียงรายจะเร่งสนับสนุนทั้งทรัพยากร งบประมาณ และกำลังคน เพื่อดูแลประชาชนอย่างรอบด้าน พร้อมวางแผนฟื้นฟูระยะยาวในประเด็นโครงสร้างพื้นฐานและการป้องกันเหตุซ้ำในอนาคต พร้อมทั้งประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับเพื่อสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์ และความรู้ด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติในระยะต่อไป

ความสำเร็จและเป้าหมายการฟื้นฟู

การดำเนินการครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนการทำงานร่วมกันของหน่วยงานท้องถิ่นและจังหวัด ที่เห็นถึงความสำคัญของความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตของประชาชนเป็นหลัก ทั้งในช่วงเกิดเหตุและหลังเหตุการณ์ ผ่านการบูรณาการความร่วมมือกับ อบต., กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน และภาคประชาชน

สำหรับแผนฟื้นฟูต่อจากนี้ อบจ.เชียงรายจะเร่งสำรวจความเสียหายทั้งโครงสร้างพื้นฐาน ถนน สะพาน ระบบประปา รวมถึงวางแนวทางในการพัฒนาระบบเตือนภัยและการฟื้นฟูพื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับผลกระทบ เพื่อให้ประชาชนสามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติและเตรียมพร้อมต่อการรับมือภัยพิบัติในอนาคต

ข้อคิดและวิเคราะห์สถานการณ์

เหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากครั้งนี้ เป็นเครื่องเตือนใจทุกภาคส่วนว่าการเฝ้าระวังและรับมือภัยพิบัติยังคงเป็นความท้าทายสำคัญของจังหวัดเชียงราย การมีผู้นำท้องถิ่นที่กระตือรือร้น ลงพื้นที่จริงจัง พร้อมขับเคลื่อนการแก้ไขและฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างขวัญกำลังใจและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์เฉพาะกิจฯ ตำบลแม่เปา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

รัฐบาลทุ่ม ‘พันล้าน’ พัฒนา 141 โครงการพลิกโฉม ‘เชียงราย’

จังหวัดเชียงรายเดินหน้า141 โครงการ พัฒนาท้องถิ่น ใช้งบกว่า 1,000 ล้าน ยกระดับคุณภาพชีวิต-เกษตรกรรม-ท่องเที่ยว

เชียงราย,31 พฤษภาคม 2568 – ท่ามกลางเป้าหมายในการสร้างจังหวัดเชียงรายให้เป็นหนึ่งในศูนย์กลางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ รัฐบาลกลางได้เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัดจัดทำข้อเสนอแผนพัฒนาพื้นที่เพื่อนำเสนอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ภายใต้กรอบวงเงินรวมกว่า 157,000 ล้านบาท ซึ่งจังหวัดเชียงรายได้เร่งจัดทำแผนโครงการพัฒนาจำนวน 141 รายการ วงเงินรวมมากกว่า 1,000 ล้านบาท ครอบคลุม 18 อำเภอทั่วจังหวัด โดยเน้นหนักในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการน้ำ การป้องกันตลิ่ง การส่งเสริมการท่องเที่ยว และความปลอดภัยในชุมชน

การเคลื่อนไหวเชิงนโยบายนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงความตั้งใจของจังหวัดในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ยั่งยืน หากแต่ยังเป็นการต่อยอดจากปัญหาที่มีมานาน ทั้งถนนชำรุด น้ำท่วมซ้ำซาก และการขาดโครงสร้างพื้นฐานรองรับนักท่องเที่ยวที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเชียงรายเริ่มกลายเป็นจุดหมายของนักลงทุนและนักเดินทางจากประเทศเพื่อนบ้าน

จุดเริ่มต้นของการเสนอแผนงบประมาณเชิงพื้นที่

ในช่วงต้นปี 2568 จังหวัดเชียงรายได้จัดประชุมร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานราชการ และภาคประชาสังคม เพื่อรวบรวมปัญหาและความต้องการเร่งด่วนในพื้นที่ ก่อนจะสังเคราะห์เป็นแผนงบประมาณ โดยให้ความสำคัญกับการกระจายงบอย่างเป็นธรรม และเน้นผลสัมฤทธิ์เชิงพื้นที่อย่างแท้จริง

โครงการทั้งหมดถูกรวบรวมและจัดลำดับความสำคัญ โดยสำนักงานจังหวัดเชียงราย และนำเสนอเข้าสู่ระบบงบประมาณตามกรอบของสำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ

  1. เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมและสาธารณูปโภค
  2. พัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและอุปโภคบริโภค
  3. ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติธรรมชาติ
  4. สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวชุมชน
  5. เสริมความปลอดภัยในพื้นที่และความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว

วิเคราะห์โครงการเด่นและผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ

  1. ด้านโครงสร้างพื้นฐานและถนน (วงเงินรวมประมาณ 330 ล้านบาท)
  • ถนน คสล. สาย ชร.ถ.69-146 บ้านโป่งเกลือใต้ อ.เมือง วงเงิน 11,166,000 บาท ครอบคลุมประชาชน 988 คน
  • งานบำรุงทางหลวง 1098 และ 1429 ใน อ.แม่จัน และ อ.เชียงแสน ใช้งบกว่า 30 ล้านบาท
  • ถนนสายรองในพื้นที่ชนบทอีกกว่า 10 โครงการ ครอบคลุมผู้ใช้งานรวมกว่า 100,000 คน
  1. ระบบน้ำเพื่อการเกษตรและชลประทาน (วงเงินรวมกว่า 400 ล้านบาท)
  • สถานีสูบน้ำบ้านสบคำ อ.เชียงแสน วงเงิน 45 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูก 1,500 ไร่
  • ขุดลอกลำห้วยน้ําเหลือง ต.ท่าสุด อ.เมือง วงเงิน 497,500 บาท ได้ประโยชน์กว่า 12,000 คน
  • ปรับปรุงอ่างเก็บน้ำหนองแหวน และอ่างใน ต.นางแล รวมกว่า 10 โครงการ
  1. ป้องกันตลิ่งและภัยธรรมชาติ (รวมกว่า 100 ล้านบาท)
  • เขื่อนริมแม่น้ำกก หลังศูนย์ราชการ อ.เมือง วงเงิน 1,292,000 บาท คุ้มครอง 500 ครัวเรือน
  • เขื่อนริมแม่น้ำลาว บ้านเฟือยไฮ อ.เวียงป่าเป้า งบ 2.8 ล้านบาท ปกป้องพื้นที่เกษตรกว่า 1,500 ไร่
  1. ส่งเสริมการท่องเที่ยวและความปลอดภัย (วงเงินรวมกว่า 25 ล้านบาท)
  • ปรับปรุงสวนญี่ปุ่น – สวนตุง – สวนหิน อ.เวียงเชียงรุ้ง วงเงินรวม 1.5 ล้านบาท
  • รถรางนำเที่ยว บ้านโป่งศรีนคร ต.โรงช้าง งบ 900,000 บาท
  • กล้องวงจรปิด 120 จุด ต.โรงช้าง งบ 1.2 ล้านบาท เพื่อเพิ่มความมั่นใจนักท่องเที่ยว

ใครได้ประโยชน์จากแผนนี้

จากการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ พบว่าประชาชนกว่า 250,000 คนใน 18 อำเภอจะได้รับประโยชน์โดยตรง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ขาดแคลนสาธารณูปโภค โดยแบ่งเป็นกลุ่มหลัก ได้แก่:

  • เกษตรกร ได้รับประโยชน์จากระบบน้ำและการชลประทานที่เพิ่มขึ้น
  • ผู้สัญจรและชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล ได้ใช้ถนนใหม่ ปลอดภัยขึ้น และลดเวลาเดินทาง
  • ผู้ประกอบการในชุมชนและภาคการท่องเที่ยว ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มระบบโครงสร้างและเครื่องมือสนับสนุน
  • ประชาชนทั่วไป มีความมั่นใจในระบบความปลอดภัยมากขึ้นจากกล้อง CCTV และเขื่อนป้องกันน้ำหลาก

วิเคราะห์แนวโน้มและผลลัพธ์เชิงระบบ

แม้งบประมาณที่เสนอยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา แต่โครงการที่นำเสนอมีความเชื่อมโยงกับแผนพัฒนาจังหวัดและเป้าหมาย BCG Economy ได้แก่

  • การใช้ทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน ผ่านระบบสูบน้ำและฝายแบบประหยัดพลังงาน
  • การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยการพัฒนาท่องเที่ยวชุมชนและใช้ทรัพยากรในท้องถิ่น
  • การสร้างรายได้ให้คนในพื้นที่ ผ่านงานก่อสร้างและระบบบริการในแต่ละโครงการ

ในระยะยาว หากโครงการทั้งหมดได้รับงบสนับสนุนและบริหารจัดการได้อย่างโปร่งใส จะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และเสริมศักยภาพของเชียงรายในการเป็นเมืองเศรษฐกิจชายแดนเต็มรูปแบบ

สถิติประกอบข่าว

  • จำนวนโครงการทั้งหมด 141 โครงการ
  • วงเงินรวม1,226,677,700 บาท
  • ประชาชนที่ได้รับประโยชน์โดยตรง ราว 250,000 คน
  • พื้นที่เกษตรกรรมที่ได้รับการพัฒนา มากกว่า 20,000 ไร่
  • งบโครงสร้างพื้นฐาน 330 ล้านบาท
  • งบระบบน้ำ 400 ล้านบาท
  • งบป้องกันภัยพิบัติ: 100 ล้านบาท
  • งบท่องเที่ยวและความปลอดภัย 25 ล้านบาท

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

เพื่อให้การดำเนินโครงการภายใต้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทของจังหวัดเชียงรายเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ ควรมีแนวทางสนับสนุนเพิ่มเติม

  1. จัดให้มีระบบติดตามและประเมินผลอย่างโปร่งใส
    ควรเผยแพร่ความคืบหน้าการดำเนินโครงการผ่านเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มสาธารณะของจังหวัด พร้อมรายละเอียดงบประมาณที่ใช้ในแต่ละช่วง เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้
  2. เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นระดับอำเภอ
    การจัดประชุมหรือเวทีเสวนาร่วมกับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหรือเกี่ยวข้องกับโครงการ จะช่วยให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน และปรับแผนให้สอดคล้องกับความต้องการจริงของพื้นที่
  3. ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดเก็บข้อมูลและรายงานผล
    เช่น การสร้างระบบฐานข้อมูลกลางหรือแดชบอร์ดออนไลน์ที่แสดงความก้าวหน้าของแต่ละโครงการแบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยลดความล่าช้าและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ
  4. บูรณาการแผนงานร่วมกับส่วนกลางและท้องถิ่น
    การเชื่อมโยงเป้าหมายของจังหวัดกับแผนระดับกระทรวง หน่วยงานรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะช่วยให้การดำเนินงานไม่ซ้ำซ้อนและสามารถต่อยอดเป็นโครงการเชิงระบบในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • เอกสารงบประมาณ “บัญชีโครงการที่เสนอขอภายใต้แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาทของจังหวัดเชียงราย” จากสำนักงานจังหวัดเชียงราย
  • ข้อมูลสถิติจำนวนประชากร: สำนักงานสถิติแห่งชาติ (2567)
  • แผนพัฒนาจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2566 – 2570
  • แนวทางการจัดทำงบประมาณภาครัฐ ประจำปี พ.ศ. 2568 จากสำนักงบประมาณ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
ECONOMY

ทอท.โชว์ผลงาน 6 เดือนแรก รายได้ทะลุเป้า หนุนสนามบินไทย

AOT เผยรายได้ 6 เดือนแรกปีงบประมาณ 2568 พุ่งแตะ 36,235 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าพัฒนาท่าอากาศยาน 6 แห่งทั่วประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประเทศไทย, 15 พฤษภาคม 2568 – บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT รายงานผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – มีนาคม 2568) โดยมีรายได้รวม 36,235.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 5.98 สะท้อนการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการบินและการเดินทางภายหลังสถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลายลง พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และบริการของท่าอากาศยานหลัก 6 แห่งทั่วประเทศ เพื่อรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รายได้จากกิจการการบินเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า ปริมาณเที่ยวบินในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 รวมทั้งสิ้น 414,377 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นเที่ยวบินระหว่างประเทศ 237,511 เที่ยวบิน และเที่ยวบินภายในประเทศ 176,866 เที่ยวบิน

ผู้โดยสารรวมทั้งหมด 68.42 ล้านคน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.76 แบ่งเป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศ 42.34 ล้านคน และผู้โดยสารภายในประเทศ 26.08 ล้านคน ซึ่งส่งผลให้รายได้จากกิจการการบินอยู่ที่ 18,188.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง ร้อยละ 17.82

เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน-บริการ-เทคโนโลยี มุ่งสู่ “Smart Airport – Smart Immigration”

เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว AOT ได้ดำเนินโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องในท่าอากาศยานหลักทั้ง 6 แห่ง ได้แก่:

  • ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ: กำลังดำเนินโครงการขยายศักยภาพรองรับผู้โดยสารเพิ่มอีก 15 ล้านคนต่อปีภายในปี 2573
  • ท่าอากาศยานดอนเมือง: เตรียมขยายขีดความสามารถจาก 30 ล้านคนเป็น 50 ล้านคนต่อปีภายในปี 2576
  • ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และภูเก็ต: อยู่ระหว่างพัฒนาอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ รวมถึงการศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างท่าอากาศยานแห่งที่ 2 ในทั้งสองจังหวัด

ในด้านเทคโนโลยี AOT ได้นำระบบอัจฉริยะมาใช้บริการภายในสนามบินเพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้โดยสาร อาทิ:

  • ระบบบริหารจัดการเที่ยวบินแบบ A-CDM
  • ระบบเช็กอินอัตโนมัติ
  • ระบบโหลดสัมภาระอัตโนมัติ
  • ระบบสแกนใบหน้า (Biometric)
  • ระบบตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ (ABC)
  • การใช้ Thailand Digital Arrival Card (TDAC) แทน ตม.6 แบบเดิม

ระบบเหล่านี้ช่วยลดระยะเวลารอคอย เพิ่มความปลอดภัย และลดความแออัด โดยเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 เป็นต้นมา

เดินหน้าพัฒนาโครงการเชิงพาณิชย์และร่วมลงทุน PPP สร้างรายได้ยั่งยืน

AOT ไม่เพียงมุ่งพัฒนาบริการสนามบิน แต่ยังได้ขับเคลื่อนโครงการพาณิชย์เพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ได้แก่:

  • โครงการ AOT Property Showcase
  • โครงการ ลานจอดและอุปกรณ์ภาคพื้น
  • โครงการ คลังสินค้า
  • การก่อสร้างอาคาร Junction Building อาคารจอดรถ และศูนย์เชื่อมต่อระบบราง ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง

โดยทั้งหมดนี้เปิดรับการลงทุนในรูปแบบ ร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ซึ่งจะช่วยยกระดับการบริการและสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจรอบสนามบินให้เข้มแข็ง

การพัฒนาที่ยั่งยืน สู่เป้าหมาย Net Zero Emissions

ด้านสิ่งแวดล้อม AOT ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยติดอันดับ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ทั้งในระดับโลกและตลาดเกิดใหม่ต่อเนื่อง 6 และ 10 ปี ตามลำดับ และยังได้รับการจัดอันดับ SET ESG Ratings ระดับ A

AOT ตั้งเป้าเป็นองค์กรที่ปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2587 ผ่านการดำเนินงาน เช่น:

  • การติดตั้งระบบ โซลาร์เซลล์
  • การใช้ พลังงานสะอาด
  • การเปลี่ยน ยานพาหนะในสนามบินเป็นระบบไฟฟ้า (EV)

ความสำเร็จระดับโลกสะท้อนภาพลักษณ์องค์กร

ปี 2025 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้รับการจัดอันดับจาก Skytrax ให้เป็นท่าอากาศยานที่ดีที่สุดอันดับที่ 39 ของโลก เพิ่มขึ้น 19 อันดับจากปีก่อน และติดอันดับ 3 ท่าอากาศยานที่พัฒนาดีที่สุดในโลก ขณะเดียวกันอาคาร SAT-1 ยังคว้ารางวัล Prix Versailles 2024 ในฐานะท่าอากาศยานที่สวยที่สุดในโลก

ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย กับบทบาทในระบบการบินภาคเหนือ

แม้จะเป็นท่าอากาศยานระดับภูมิภาค แต่ ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ยังคงมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างภูมิภาคเหนือกับศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศ

ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงรองรับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มประเทศ และยังได้รับการรับรอง ระดับ 2 (Level 2) ด้านคุณภาพบริการภายใต้โครงการ Customer Experience จากสภาท่าอากาศยานนานาชาติ (ACI) ซึ่งถือเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการของสนามบินในพื้นที่ระดับจังหวัด

บทบาท AOT ต่อเศรษฐกิจไทยและเชียงราย

จากภาพรวมการดำเนินงานของ AOT จะเห็นได้ว่าท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของบริษัทเป็น “ฟันเฟืองหลัก” ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในด้านการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุน โดยมีการลงทุนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สนามบินไทยสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

ในขณะที่สนามบินระดับภูมิภาคอย่าง แม่ฟ้าหลวง เชียงราย ก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยอิงกับการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยวภาคเหนือที่มีแนวโน้มเติบโต ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์แบบองค์รวมของ AOT ที่ไม่เน้นเพียงสนามบินหลักในเมืองใหญ่ แต่ยังพัฒนาท่าอากาศยานทั่วประเทศให้เติบโตอย่างสมดุล

สถิติที่เกี่ยวข้อง

รายการ

ข้อมูล

แหล่งอ้างอิง

รายได้รวม AOT

36,235.82 ล้านบาท

รายงาน AOT, พ.ค. 2568

กำไรสุทธิ

10,397.57 ล้านบาท

AOT

จำนวนเที่ยวบินทั้งหมด

414,377 เที่ยวบิน

AOT

จำนวนผู้โดยสารทั้งหมด

68.42 ล้านคน

AOT

เที่ยวบินระหว่างประเทศ

237,511 เที่ยวบิน

AOT

เที่ยวบินภายในประเทศ

176,866 เที่ยวบิน

AOT

รายได้จากกิจการการบิน

18,188.15 ล้านบาท

AOT

เป้าหมาย Net Zero Emissions

ภายในปี 2587

รายงานความยั่งยืน AOT

ระดับการรับรองบริการ ACI (เชียงราย)

Customer Experience Level 2

Airport Council International

AOT ยืนยันศักยภาพการเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมการบินของภูมิภาค ด้วยการพัฒนาเชิงรุก ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี การให้บริการ และความยั่งยืน สะท้อนถึงบทบาทที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับชาติควบคู่กับการยกระดับท่าอากาศยานภูมิภาคอย่าง “ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย” ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและการท่องเที่ยวของภาคเหนือ.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
NEWS UPDATE

ทอท.เร่งขยายสนามบิน รับนักท่องเที่ยวพุ่งปี 2568

การท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว นักท่องเที่ยวรัสเซีย-ฝรั่งเศสเพิ่มขึ้น ขณะตลาดเอเชียชะลอตัว

กรุงเทพฯ, 11 กุมภาพันธ์ 2568 – นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตลาดระยะไกล (Long-haul Market) ซึ่งมีอัตราเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น 4.15% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นำโดย ตลาดรัสเซียและฝรั่งเศส ที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 41.53% จากปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ การส่งเสริมตลาด จำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น และการเข้าสู่ช่วงปิดเทอมของยุโรป (School Holiday)

อย่างไรก็ตาม ตลาดนักท่องเที่ยวระยะใกล้ (Short-haul Market) กลับมีแนวโน้มชะลอตัวลงหลังเทศกาลตรุษจีน โดยเฉพาะ นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุทางอากาศ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และค่าเงินที่ผันผวน ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดในสัปดาห์นี้อยู่ที่ 837,407 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อน 109,551 คน (-11.57%) คิดเป็นค่าเฉลี่ยนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไทย 119,630 คนต่อวัน

5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย

  1. มาเลเซีย – 134,912 คน
  2. จีน – 114,930 คน
  3. รัสเซีย – 55,948 คน
  4. เกาหลีใต้ – 41,579 คน
  5. อินเดีย – 37,406 คน

นักท่องเที่ยวจาก อินเดีย และ รัสเซีย มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้า 11.75% และ 1.06% ตามลำดับ ขณะที่ จีน (-35.37%), มาเลเซีย (-21.01%), และเกาหลีใต้ (-9.42%) มีจำนวนลดลง

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเดินทางในสัปดาห์ถัดไป

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ คาดการณ์ว่าปริมาณนักท่องเที่ยวจะทรงตัว โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นการเดินทาง ได้แก่

  • โครงการ Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025
  • มาตรการ Ease of Traveling เช่น ยกเว้นบัตร ตม.6 ที่ด่านทางบก
  • การส่งเสริมความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน
  • การเพิ่มจำนวนเที่ยวบินของสายการบิน

รายได้จากการท่องเที่ยวไทยแตะ 234,958 ล้านบาท

ข้อมูล ณ วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2568 ระบุว่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 9 กุมภาพันธ์ 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวสะสม อยู่ที่ 4,804,876 คน สร้างรายได้ 234,958 ล้านบาท โดย 5 อันดับแรกของนักท่องเที่ยวสะสมสูงสุด ได้แก่

  1. จีน – 825,617 คน
  2. มาเลเซีย – 617,631 คน
  3. รัสเซีย – 330,628 คน
  4. เกาหลีใต้ – 263,572 คน
  5. อินเดีย – 232,828 คน

คมนาคมเตรียมความพร้อมรับนักท่องเที่ยวฤดูร้อน 2568

นายสุริยะ จึงรุ่งเรือง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ช่วง 30 มีนาคม – 26 ตุลาคม 2568 ซึ่งเป็น ตารางบินฤดูร้อน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้น จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเตรียมแผนรองรับที่สนามบินต่าง ๆ เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย

สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) รายงานว่า

  • สนามบินสุวรรณภูมิ รองรับ 1,930 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 1,202 เที่ยวบิน/วัน (+16.36%)
  • สนามบินดอนเมือง รองรับ 1,222 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 745 เที่ยวบิน/วัน (-2.74%)
  • สนามบินเชียงใหม่ รองรับ 444 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 240 เที่ยวบิน/วัน (+17.65%)
  • สนามบินภูเก็ต รองรับ 424 เที่ยวบิน/วัน จัดสรรแล้ว 340 เที่ยวบิน/วัน (+7.59%)

เพิ่มเที่ยวบิน รองรับผู้โดยสาร 7.88 ล้านคนในฤดูร้อน 2568

กรมท่าอากาศยาน (ทย.) คาดการณ์จำนวนเที่ยวบินทั้งหมด 27,077 เที่ยวบิน แบ่งเป็น

  • เที่ยวบินภายในประเทศ – 25,395 เที่ยวบิน (+6.67%)
  • เที่ยวบินระหว่างประเทศ – 1,682 เที่ยวบิน (+43.28%)
  • จำนวนผู้โดยสาร7,887,295 คน (+10.52%)

นายสุริยะเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานเร่งพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยเพื่อทำให้ประเทศไทยเป็น ศูนย์กลางการบินของอาเซียน ภายใน 5 ปีข้างหน้า

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE