Categories
SOCIETY & POLITICS

เชียงรายมีทางออก! MRC จัดเวทีระดมสมองแก้ปัญหามลพิษแม่น้ำกก-โขง

เปิดฉาก “โต๊ะกลม MRC–ภาคประชาสังคม” เชียงราย วางหมุดหมายแก้ปัญหาน้ำข้ามพรมแดนแม่น้ำกก–โขง ดัน “ชุมชนเป็นแกนกลาง” คุมคุณภาพน้ำและจัดการความเสี่ยงอย่างยั่งยืน

เชียงราย, 20 สิงหาคม 2568 –ร้าน “Melt In Your Mouth” ริมน้ำกกค่อยๆ แน่นขนัดไปด้วยผู้คนหน้าตาคุ้นในแวดวงน้ำของภาคเหนือ—เจ้าหน้าที่รัฐ นักวิชาการผืนดินล้านนา ผู้นำท้องถิ่น เครือข่ายภาคประชาสังคม ไปจนถึงผู้ประกอบการท่องเที่ยว—ที่ต่างแบก “โจทย์เดียวกัน” มาพูดคุยบนโต๊ะเดียว: จะร่วมกันแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกก–ลำน้ำสาขา และเชื่อมโยงออกสู่แม่น้ำโขงได้อย่างไรให้ยั่งยืน เป็นรูปธรรม และ “นำโดยชุมชน”

เวทีวันนี้จัดโดย สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat: MRCS) ในรูปแบบ MRC–CSO Roundtable Discussion โดยมี นางสาวบุษฎี สันติพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) MRCS และ ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมดำเนินวงเสวนา พร้อมหัวหน้าส่วนราชการจากหลายหน่วย งานวิชาการ และเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ลุ่มน้ำกก–โขงเข้าร่วมอย่างคับคั่ง เพื่อ “ต่อจิ๊กซอว์” ข้ามพรมแดนและระดับมาตรการ ตั้งแต่ข้อมูลคุณภาพน้ำเชิงประจักษ์ไปจนถึงแนวทางปฏิบัติในชุมชน และการเชื่อมกับยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคของ MRC ที่กำลังเตรียมฉบับถัดไปปี 2026–2030

“เวทีนี้มีคุณค่าเพราะเปิดกว้างให้เห็นต่างอย่างสร้างสรรค์ บนฐานของความเคารพและการเป็นหุ้นส่วน” ผู้บริหาร MRCS ย้ำบนเวทีถึงบทบาทของพื้นที่กลางเช่นนี้ที่ตั้งใจให้ชุมชน นักวิชาการ หน่วยงานรัฐ และภาคเอกชน “ได้ฟังกันจริงๆ” ก่อนขยับไปสู่แนวทางร่วมที่ทำได้ในชีวิตจริง

แม่น้ำกกในภาวะกดดันหลายมิติ

คำถามชวนคิด: เมื่อ น้ำที่ใช้ดื่ม ใช้ทำนา เลี้ยงปลา และพานักท่องเที่ยวล่องแพ เป็นแหล่งเดียวกัน เราจะตรวจวัด–แจ้งเตือน–และตัดสินใจใช้อย่างไรให้ “ปลอดภัยพอ” สำหรับแต่ละกิจกรรม?

ตลอดปีที่ผ่านมา แม่น้ำกกและตอนล่างที่ไหลลงโขงถูกจับตาเข้มข้นจากสังคมไทยและนานาชาติจาก รายงานสารหนูปนเปื้อนเกินมาตรฐาน ในหลายจุดตรวจของจังหวัดเชียงราย โดยเฉพาะผลตรวจที่เผยแพร่โดยกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ผ่านสื่อ ระบุว่า พบค่า As เกินค่ามาตรฐานน้ำเพื่ออุปโภคบริโภค (0.01 มก./ลิตร) ใน 11 จุดตรวจ บางช่วงมีค่าสูงถึง 0.187–0.200 มก./ลิตร ซึ่งเกินเกณฑ์น้ำดื่มอย่างมีนัยสำคัญ สร้างแรงกดดันให้หน่วยงานไทยเร่งตั้ง “ระบบตรวจติดตามร่วม–แจ้งเตือน–และฟื้นฟู” ทั้งในและข้ามพรมแดนอย่างเป็นระบบมากกว่าที่เคยทำมา

ปัจจัยกดดันของแม่น้ำกกไม่ได้มาจากมิติเดียว หากเป็น “ชั้นๆ” ของกิจกรรมมนุษย์ที่ซ้อนทับกัน—ตั้งแต่ขยะชุมชนที่ไหลลงลำน้ำ การชะล้างสารเคมีเกษตรจากพื้นที่ต้นน้ำ ไปจนถึงแรงเหวี่ยงจากการท่องเที่ยว และ มลพิษข้ามพรมแดนจากกิจกรรมเหมืองในรัฐฉาน ซึ่งถูกจับตาว่าเกี่ยวเนื่องกับการพบโลหะหนักในช่วงก่อนหน้าและทำให้รัฐบาลไทยต้องเดินเกมทวิ–พหุภาคีคู่ขนานกับมาตรการภายในประเทศเพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนและเศรษฐกิจท้องถิ่นที่พึ่งพาน้ำสายนี้อย่างใกล้ชิด

เห็นต่างให้เป็นพลัง” รูปแบบเสวนาที่พาชุมชนยืนกลางเวที

เวทีโต๊ะกลมครั้งนี้ออกแบบให้มี 2 ช่วงหลัก:

  • ช่วงปรึกษาหารือ (Consultation) เปิดพื้นที่ให้ผู้ที่อยู่ “หน้าด่าน” ของปัญหา—เกษตรกร ชาวประมง บุคลากรสาธารณสุข และหน่วยงานประปา—เล่า “ความจริงในพื้นที่” ทั้งสัญญาณเตือนและช่องว่างที่พบ
  • ช่วงร่วมกันแก้ (Joint Solutions) นำเสนอทางออกสั้นกระชับจากคณะกรรมการลุ่มน้ำ ชุมชน องค์กรทั้งใน–ต่างประเทศ และสถาบันการศึกษา ก่อนแตกกลุ่มย่อยแปลง “ความเห็นร่วม” เป็น ข้อเสนอเชิงปฏิบัติ (actionable) ที่จับต้องได้

ประเด็นใหญ่ ที่เด่นชัดคือ “การทำให้ข้อมูลไหลลื่น” ระหว่างพื้นที่–จังหวัด–ส่วนกลาง–ระดับลุ่มน้ำ และการสื่อสารความเสี่ยงที่เข้าใจง่ายสำหรับชุมชน โดยเฉพาะในเวลาวิกฤตที่ปริมาณฝนสูง น้ำหลากเร็ว และจำเป็นต้อง “ตัดสินใจในหลักชั่วโมง” เช่น การงดใช้น้ำดิบบางจุดชั่วคราว การตั้งจุดจ่ายน้ำสะอาดฉุกเฉิน หรือการเปลี่ยนแผนให้น้ำการเกษตรตามคุณภาพน้ำจริง

เชื่อมพื้นที่สู่ยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำบทของ MRC และกลไกระดับชาติ

หลายความเห็นในเวทีชี้ว่า การจะ “ข้ามพรมแดน” ให้ได้จริงต้องมีกลไกกลางที่ทั้ง 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงยอมรับร่วมกัน MRC ในฐานะองค์กรระหว่างรัฐบาลของ กัมพูชา–ลาว–ไทย–เวียดนาม ถูกออกแบบมาเพื่อบทบาทนั้น—เป็น เวทีทางการทูตน้ำ (water diplomacy) และ คลังความรู้ ให้การบริหารลุ่มน้ำโขงอิงหลักฐานและความร่วมมือมากกว่าความรู้สึกหรือการเมืองระยะสั้น

กรอบวางแผนลุ่มน้ำของ MRC ปัจจุบันยึด Basin Development Strategy (BDS) 2021–2030 ซึ่งต่างจากฉบับก่อนหน้าเพราะวางระยะยาว 10 ปี มุ่ง “การลงมือ” เพื่อลดความเสี่ยงสิ่งแวดล้อม–สังคมจากการพัฒนาในลุ่มน้ำ พร้อมเร่งเครื่องระบบข้อมูลและการเตือนภัย โดยหลังปี 2025 จะก้าวสู่ แผนยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ 2026–2030 ที่อยู่ระหว่างรับฟังความคิดเห็นและเตรียมยกร่าง เวทีเชียงรายครั้งนี้จึงเป็น “ชิ้นส่วน” สำคัญในการนำเสียงชุมชนเข้ากรอบยุทธศาสตร์ภูมิภาคตั้งแต่ต้นน้ำของนโยบาย

ฝั่งไทย บทบาทของ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย (Thai National Mekong Committee) คือการเชื่อมข้อเสนอ–ข้อมูลจากพื้นที่เข้าสู่โต๊ะเจรจาระดับประเทศและ MRC ควบคู่กับการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการในประเทศให้สอดรับกัน เช่น ระบบเตือนภัยเฉพาะพื้นที่และแผนฟื้นฟูคุณภาพน้ำเชิงรุกในช่วงฤดูฝนที่น้ำหลากเร็ว

ตัวเลขที่ทำให้การตัดสินใจ “ไวขึ้น–แม่นขึ้น”

  • 11 จุดตรวจ ในแม่น้ำกกที่พบ สารหนูเกินมาตรฐานน้ำดื่ม (0.01 มก./ลิตร) โดยบางช่วงมีค่าสูงสุด ราว 0.187–0.200 มก./ลิตร — สะท้อนให้เห็นความจำเป็นของ มาตรการเฉพาะพื้นที่–ช่วงเวลา แทนการสื่อสาร “ห้าม/ได้” แบบเหมารวม เพื่อป้องกันความเสียหายทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจชุมชน (เช่น ประมง–ท่องเที่ยว) ในวงกว้าง
  • ท่าทีรัฐไทย: รัฐบาลสั่ง เร่งติดตามคุณภาพน้ำ–ฟื้นฟู–และหารือข้ามแดน อย่างต่อเนื่อง เพื่อคลี่คลายวิกฤตและคืนความเชื่อมั่นต่อแหล่งน้ำหลักของชีวิตภาคเหนือและลุ่มโขงตอนล่าง
  • สถานะ MRC: เป็น แพลตฟอร์มการทูตน้ำและองค์ความรู้ ของ 4 ประเทศลุ่มโขง ตามความตกลงแม่น้ำโขง (1995 Mekong Agreement) ซึ่งสนับสนุนการวางแผน–พัฒนาลุ่มน้ำบนฐานหลักฐาน และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียอย่างเป็นระบบ

5 ข้อเสนอเชิงปฏิบัติจากวงเสวนาทำวันนี้ พรุ่งนี้เห็นผล

  1. แปลงข้อมูลให้ใช้การได้ในพื้นที่ – จัดทำ แดชบอร์ดคุณภาพน้ำเชิงพื้นที่ ที่ “อ่านง่าย ตัดสินใจไว” แยกตามประเภทการใช้ (อุปโภคบริโภค–เพาะปลูก–ประมง–นันทนาการ) พร้อมสีสัญญาณแบบเดียวกันทั้งจังหวัด และ ลิงก์ข้อมูลแบบเปิด ไปยังระดับลุ่มน้ำเพื่อเสริมการตัดสินใจเชิงนโยบาย
  2. เตือนภัยแบบรวมศูนย์–กระจายเสียงแบบกระจายศูนย์ – เมื่อผลตรวจพบ “สัญญาณเสี่ยง” ให้ ประกาศเตือนรายตำบล/รายจุด ผ่านช่องทางราชการและชุมชน (หอกระจายข่าว–ไลน์กลุ่มอสม.–เทศบาล) อีกชั้น เพื่อให้การปรับพฤติกรรมเกิดขึ้นจริงในครัวเรือนและฟาร์ม
  3. ตั้ง “อาสาน้ำชุมชน” คู่กับหน่วยงาน – ชุมชนจัดทีม เก็บตัวอย่าง–อ่านค่าเบื้องต้น–รายงานผล ร่วมกับ อบต./เทศบาล–สาธารณสุข–ประปา เพื่ออุดช่องว่าง “เวลา-พื้นที่” ของการตรวจทางการ และสร้างความไว้วางใจในข้อมูล
  4. เชื่อมการทูตชุมชน–ชาติ–ภูมิภาค – เมื่อปัญหามีมิติข้ามพรมแดน ให้ สทนช. และ กต. ใช้เสียงจากเวทีชุมชนเป็น “ข้อมูลเชิงสังคม” ส่งเข้าสู่ โต๊ะ MRC ควบคู่กับข้อมูลเทคนิค เพื่อเร่งกลไกติดตาม–แจ้งเตือนร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยยึดหลักความโปร่งใสและประโยชน์ร่วม
  5. เยียวยา–พยุงเศรษฐกิจฐานน้ำ – ระหว่างคลี่คลายคุณภาพน้ำ ต้องมีมาตรการชั่วคราวสำหรับครัวเรือน–ผู้ประกอบการที่พึ่งพาน้ำ เช่น จุดจ่ายน้ำสะอาด–กองทุนหมุนเวียนฟื้นฟูประมง–มาตรการตลาดช่วยเหลือ เพื่อกันความเสียหายไม่ให้ลุกลามเป็น “ปัญหาใหม่”

บทบาทคีย์แมนและ “จังหวะ” เชิงยุทธศาสตร์

การที่ MRCS หยิบเวทีเชียงรายขึ้นมาในจังหวะที่กำลังเตรียม ยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำชุดใหม่ (2026–2030) ทำให้ข้อเสนอจากพื้นที่ “มีทางไป” สู่เอกสารนโยบายภูมิภาคตั้งแต่ต้นทาง—เป็นโอกาสแปลง เสียงของชุมชน เป็น มาตรการระดับลุ่มน้ำ ไม่ใช่เพียงเวที “รายงานปัญหาแล้วแยกย้าย” เหมือนที่หลายชุมชนคุ้นชินมานาน ขณะเดียวกัน การนำโดยผู้บริหาร MRCS คนไทยอย่าง คุณบุษฎี สันติพิทักษ์ (CEO) ซึ่งเข้ารับบทบาทเมื่อช่วงต้นปีนี้ ช่วย “เชื่อมภาษา” ระหว่างเวทีท้องถิ่น–ชาติ–ภูมิภาคได้ลื่นไหลขึ้น ทั้งในแง่การสื่อสารสาธารณะและการประสานงานหน่วยงานไทยที่เกี่ยวข้องกับลุ่มน้ำโขง

ด้าน สทนช. ในฐานะผู้ถือพวงมาลัยด้านนโยบายน้ำของประเทศและฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย มีภารกิจเร่งรัด ระบบเตือนภัย–การฟื้นฟู–และการเจรจาร่วม ให้ “ทันฤดูกาล” โดยเฉพาะช่วงฝนหลงฤดู–น้ำหลากเร็วที่ความเสี่ยงเพิ่มทวี เพื่อปกป้องชีวิต–สุขภาพ–และฐานเศรษฐกิจชุมชนลุ่มน้ำกก–โขงไปพร้อมกัน

จาก “เวทีพูดคุย” สู่ “ข้อตกลงทำจริง”

ท้ายเวที ผู้จัดสรุป “การบ้าน” 3 แพ็กเกจที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมในหลักการ และเริ่ม ตั้งทีมทำงานเฉพาะกิจ นำไปสู่การทดลองปฏิบัติ (pilot) ใน จุดเสี่ยงสำคัญของแม่น้ำกก ทันทีในฤดูฝนนี้ ได้แก่

  1. แพลตฟอร์มข้อมูล/สื่อสารความเสี่ยงแบบรวมศูนย์ของจังหวัด ที่ดึงข้อมูลจากทุกหน่วยเข้า “หน้าจอเดียวกัน” เปิดสาธารณะและส่งเข้าลุ่มน้ำ,
  2. อาสาน้ำชุมชน ในพื้นที่เป้าหมาย เพื่อเพิ่มความถี่การเฝ้าระวังและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในข้อมูล, และ
  3. โรดแมปประสานข้ามแดน เชื่อมไทย–ประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านช่องทางทวิภาคีและช่องทาง MRC อย่างต่อเนื่อง

คำถามปลายเปิดที่ยังทิ้งไว้ให้ทำร่วมกันคือ: เราจะทำให้ข้อมูลไหลไปเร็วเท่าน้ำหลากได้อย่างไร? และ จะทำให้การเตือนภัยกลายเป็นการ “เปลี่ยนพฤติกรรมจริง” ในครัวเรือน–ไร่นา–ท่าเรือท่องเที่ยว ได้อย่างไร—คำถามเหล่านี้อาจไม่ใช่ “โจทย์เทคนิค” ล้วนๆ แต่เป็นโจทย์ความไว้เนื้อเชื่อใจและการออกแบบการสื่อสารกับมนุษย์ ที่ต้องทำซ้ำๆ ให้ติดมือ ติดตา และ “ติดนิสัย” ของทั้งรัฐและชุมชน

อย่างไรก็ดี การมีทั้ง แพลตฟอร์มการทูตน้ำระดับภูมิภาค (MRC) และ กลไกชาติ–จังหวัด–ชุมชน ที่ยอมรับร่วมกัน กำลังทำให้ “ข้อเสนอจากเชียงราย” วันนี้มี ทางเดินชัดเจน สู่การเป็น มาตรการจริง ที่ช่วยให้คน–ปลา–และสายน้ำอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืนขึ้น

เชิงอรรถนโยบายทำไม “กรอบ MRC” จึงสำคัญกับแม่น้ำกก

  • บทบาท MRC: ทำหน้าที่เวทีกลางการทูตน้ำและคลังความรู้ภายใต้ความตกลงปี 1995 ของ กัมพูชา–ลาว–ไทย–เวียดนาม ช่วยลดความเสี่ยงจากโครงการพัฒนาและสร้างระบบเตือนภัย–ข้อมูลร่วมทั้งลุ่มน้ำ
  • BDS 2021–2030: ยุทธศาสตร์ 10 ปีฉบับแรกของลุ่มน้ำโขง วางทิศทาง “ลงมือจริง” ในประเด็นคุณภาพน้ำ ระบบข้อมูล และการมีส่วนร่วมผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งกำลังป้อนเข้าสู่ ยุทธศาสตร์ 2026–2030 ผ่านเวทีรับฟังหลายระดับรวมถึงเวทีเชียงรายครั้งนี้
  • โครงสร้างไทย: สทนช. เชื่อมเสียงพื้นที่เข้าสู่ คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย และโต๊ะ MRC ควบคู่ขับเคลื่อนแผนในประเทศ—ตั้งแต่เตือนภัยเฉพาะพื้นที่ถึงฟื้นฟูคุณภาพน้ำ—ให้สอดรับกับฤดูกาลและวิถีชุมชนลุ่มน้ำกก–โขง

สรุปสำหรับผู้อ่านเชิงลึก

  • ประเด็นหลัก: เวที MRC–CSO Roundtable เชียงราย สร้าง “ทางร่วม” ระหว่างชุมชน–รัฐ–นักวิชาการ–เอกชน สำหรับแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำกกที่โยงสู่โขง โดยเน้นข้อมูล–เตือนภัย–และการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
  • ความเร่งด่วน: ข้อมูลสารหนูปนเปื้อน 11 จุด กับค่าสูงสุดราว 0.2 มก./ลิตร เทียบมาตรฐานน้ำดื่ม 0.01 มก./ลิตร ทำให้การตัดสินใจเชิงพื้นที่–เชิงเวลา และการสื่อสารความเสี่ยงแบบเข้าใจง่าย “จำเป็นทันที”
  • โอกาสเชิงโครงสร้าง: การยกร่างยุทธศาสตร์ลุ่มน้ำฉบับใหม่ของ MRC 2026–2030 เปิดหน้าต่างให้เสียงชุมชนจากเชียงราย ถูกฝัง ลงในนโยบายภูมิภาคที่มีผลจริง
  • ทางเดินต่อไป: ตั้งทีมทำงานทดลอง แดชบอร์ดข้อมูล–เตือนภัย–อาสาน้ำชุมชน และเชื่อมทวิ–พหุภาคีผ่าน สทนช.–MRC เพื่อคลี่คลายปัญหาเชิงระบบ

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRCS)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
  • ข้อมูลจากภาคประชาสังคมและหน่วยงานท้องถิ่นที่เข้าร่วมการประชุม

 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

เชียงรายล้อมวง! หาทางออกวิกฤตแม่น้ำกก-สาย-รวก-โขง จากมลพิษเหมืองรัฐฉาน

เวทีเชียงรายชี้ชะตา “แม่น้ำกก–สาย–รวก–โขง” หลายภาคส่วนระดมสมองหาทางออกวิกฤตมลพิษข้ามพรมแดนจากเหมืองรัฐฉาน: จากสัญญาณเตือนวิทยาศาสตร์สู่แผนปฏิบัติการที่ต้องเดินหน้าเร็วและร่วมกัน

เชียงราย, 19 สิงหาคม 2568 — “ถ้าแม่น้ำคือเส้นเลือดของเมืองเหนือ แล้ววันนี้เลือดกำลังปนเปื้อนอะไรอยู่บ้าง?” คำถามทิ่มแทงใจนี้ไม่ใช่ถ้อยคำโฆษณาชวนเชื่อ แต่คือความจริงเชิงประจักษ์ที่กำลังกระเพื่อมจากชายแดนด้านตะวันตกของแม่น้ำโขง เมื่อสารโลหะหนักจากกิจกรรมเหมืองแร่ทองคำและแรร์เอิร์ทในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา ไหลผ่านลำห้วยและแม่น้ำสาขาเข้าสู่ผืนแผ่นดินไทย ส่งผลต่อเนื่องถึง ลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง ครอบคลุม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ 6 อำเภอของจังหวัดเชียงราย สถานการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงตัวเลขบนรายงาน หากคือปัจจัยเสี่ยงต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพ เศรษฐกิจฐานราก และนิเวศบริการของทั้งภูมิภาค

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 17 สิงหาคม 2568อาคารเรือนไม้หอม ไร่แม่ฟ้าหลวง อำเภอเมืองเชียงราย ได้มีการจัด เวทีสนทนาระดับจังหวัด เพื่อหาทางออกจากวิกฤตดังกล่าว โดยมี นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นแกนนำ พร้อมด้วย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายกเทศมนตรีนครเชียงราย สมาชิกรัฐสภา สมาชิกวุฒิสภา นักวิชาการ ภาคประชาสังคม ชุมชนท้องถิ่น และเครือข่ายปกป้องแม่น้ำ เข้าร่วมอย่างคับคั่ง เป้าหมายคือ “ล้อมวงข้อมูล–หาฉันทามติ–กำหนดทิศทาง” ทั้งระยะเร่งด่วนและระยะยาว

จากสัญญาณวิทยาศาสตร์สู่ภาวะเร่งด่วนสาธารณะตัวเลขที่ต้องอ่านให้ขาด

กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) รายงานว่าระดับ สารโลหะหนักอย่าง “ตะกั่ว” และ “แมงกานีส” ในบางจุดตรวจยังอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มกระจายเป็นวงกว้าง ประเด็นน่ากังวลคือสารเหล่านี้ สะสมในห่วงโซ่อาหาร ได้ ทั้งในปลา พืชน้ำ และพืชไร่ริมน้ำ ขณะเดียวกันในช่วงฤดูฝน ความเสี่ยงการชะล้าง–พัดพา ยิ่งเพิ่ม การประเมินผลกระทบจึงไม่จำกัดเฉพาะ “คุณภาพน้ำดิบเพื่อผลิตประปา” แต่ครอบคลุม เกษตร–ประมง–ท่องเที่ยว–สุขภาพชุมชน ความเสียหายอาจไม่ส่งเสียงดังในวันเดียว แต่ค่อย ๆ กัดเซาะศักยภาพพื้นที่อย่างเงียบเชียบ

เวทีได้ตั้งคำถามชวนคิด 3 ข้อ ซึ่งเป็นกรอบวิเคราะห์สำคัญของวันนั้น:

  1. น้ำดื่มน้ำใช้ ของครัวเรือนที่พึ่งพาแม่น้ำและบ่อบาดาลชายฝั่งน้ำ มีความเสี่ยงระดับใด และควร จัดหาน้ำดิบทางเลือก จากแหล่งใดทันที?
  2. ห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่ผัก–ปลา–ข้าว–ของป่า มีรูปแบบเฝ้าระวัง–เก็บตัวอย่าง–แจ้งเตือนแบบ รู้เร็ว–รู้ถูก–รู้ทัน” แล้วหรือยัง?
  3. ในบริบท ภัยพิบัติ (น้ำป่า–น้ำหลาก) ที่กำลังเข้าสู่จุดพีกของปี เมือง–ชุมชนพร้อมแค่ไหน หาก น้ำหลากปนเปื้อน เข้าท่วมพื้นที่กว้าง?

เสียงจากเวทีชุดข้อเสนอ “เร่งด่วน–กึ่งเร่งด่วน–เชิงโครงสร้าง”

การระดมสมองนำไปสู่ข้อเสนอเชิงปฏิบัติการหลายประเด็น โดยสรุปแกนหลักได้ดังนี้

  • จัดหาแหล่งน้ำดิบสำรอง/ทดแทน เพื่อผลิตประปาให้กับระบบประปาชุมชนที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน ลดความพึ่งพิงจากจุดน้ำแม่น้ำสายหลักในช่วงเฝ้าระวังเข้มข้น
  • ตั้ง “ศูนย์ตรวจสอบมลพิษโลหะหนัก” ประจำจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่เป็น โหนดกลางข้อมูล เชื่อม คพ.–ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์–เกษตรจังหวัด–ประมงจังหวัด–อบจ.–เทศบาล/อบต. เพื่อทดสอบ–วิเคราะห์–สื่อสารผลอย่างมีมาตรฐานเดียวกัน
  • เฝ้าระวังห่วงโซ่อาหาร โดย สุ่มเก็บตัวอย่าง “ปลา–ผลิตผลเกษตร–น้ำประปาหมู่บ้าน” รายเดือน พร้อมพัฒนา เกณฑ์สื่อสารความเสี่ยง ที่ชุมชนเข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง
  • ทบทวนแนวนโยบาย “ฝายดักตะกอน” ให้รอบด้านทั้งวิศวกรรม–นิเวศ–การจัดการตะกอนพิษหลังจบภารกิจ ป้องกันการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุโดยไม่จัดการต้นตอ
  • แผนรับมือ “น้ำหลากปนเปื้อน” วาง จุดเฝ้าระวัง–จุดแจ้งเตือน–จุดพักคอยน้ำดิบ–ระบบแจกจ่ายน้ำสะอาดฉุกเฉิน ให้คล้องจองกับปฏิทินฝน–น้ำหลากของพื้นที่จริง

ในฝั่งสาธารณสุข องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย รายงานว่าได้จัดให้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในสังกัด อบจ. 19 แห่ง ครอบคลุม 7 อำเภอ เป็น จุดรับ–คัดกรองผู้ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ” ตั้งแต่ เมษายน 2568 เป็นต้นมา ซึ่งจนถึงขณะนี้ ยังไม่พบผู้ป่วยที่ต้องรับการรักษา จากเหตุปนเปื้อนดังกล่าว ขณะเดียวกัน อบจ. เชียงรายร่วมกับ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย สำนักงานเกษตรจังหวัด และสำนักงานประมงจังหวัด เดินหน้าการ เก็บตัวอย่างปลา–น้ำประปาหมู่บ้าน–พืช ใน 7 อำเภอ อย่างน้อย เดือนละ 1 ครั้ง ตั้งแต่ พฤษภาคม 2568 เพื่อคง “หลักฐานเชิงประจักษ์ต่อเนื่อง” และแจ้งเตือนชุมชนทันเวลา

ข้ามพรมแดนด้วยการทูตหลายชั้น จากโต๊ะฉุกเฉินสู่กรอบพหุภาคี

เวทีได้สรุปไทม์ไลน์ “การขยับเขยื้อน” ของภาครัฐไทยที่ขยายตัวจาก ระดับจังหวัด–หน่วยงานกลาง–การทูตทวิภาคี–สู่กรอบพหุภาคี ดังนี้

  • 30 เม.ย. 2568: ภาคประชาชนจาก 13 ชุมชน ยื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ร้องให้เร่งตรวจสอบคุณภาพน้ำ–ดิน–ผลผลิต และเปิดเผยผลอย่างโปร่งใส รัฐบาลจัดประชุมฉุกเฉินระดับสูงในวันเดียวกัน กำหนดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งบูรณาการข้อมูล
  • 15 พ.ค. 2568: ประชุมเตรียมความพร้อมทางเทคนิค ระหว่าง คพ. กรมกิจการชายแดนทหาร กรมเอเชียตะวันออก GISTDA กพร. เพื่อ บูรณาการข้อมูลสิ่งแวดล้อม–ภาพถ่ายดาวเทียม–ภูมิสารสนเทศ สำหรับใช้ประกอบการเจรจากับเมียนมา
  • 30 มิ.ย. 2568: กำหนดการประชุม คณะผู้เชี่ยวชาญไทย–เมียนมา เพื่อวางแผนจัดการมลพิษ (รายละเอียดผลประชุมอยู่ระหว่างสรุป)
  • 2–4 ก.ค. 2568: ยกระดับเรื่องเข้าสู่การประชุม คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ซึ่งเป็นกลไกความร่วมมือทางทหารชายแดน เพื่อสร้าง ความเข้าใจร่วมด้านความมั่นคง–สิ่งแวดล้อม
  • 21 ก.ค. 2568: สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ร่วมกับ คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) จัดประชุมระดับภูมิภาคที่เชียงราย โดยมี ไทย–ลาว–กัมพูชา–เวียดนาม และ เมียนมา เข้าร่วมในฐานะ ประเทศคู่เจรจา” เพื่อเริ่ม โครงการติดตามคุณภาพน้ำร่วมกัน
  • ปลาย ส.ค. 2568: เตรียม หารือระดับรัฐมนตรี ไทย–เมียนมา ที่กรุงเนปยีดอ เพื่อยกระดับมาตรการร่วมที่ เป็นรูปธรรม ยิ่งขึ้น

การเดินหน้าตาม หลายสนาม–หลายสถาบัน สะท้อนความเข้าใจว่าโจทย์นี้ ไม่ใช่ปัญหาเชิงเทคนิคโดด ๆ หากแฝงความซับซ้อนด้าน อธิปไตยรัฐ–กลุ่มผู้ถืออาวุธในพื้นที่–แรงจูงใจทางเศรษฐกิจของผู้ลงทุนข้ามชาติ การใช้ กรอบพหุภาคี MRC จึงช่วย เปิดไฟหน้า” ให้ประเด็นนี้อยู่ในการมองเห็นร่วมของภูมิภาคและสากล เพิ่มแรงหนุนด้าน ข้อมูล–มาตรฐาน–แรงกดดันเชิงบรรทัดฐาน ต่อคู่เจรจา

ฝายดักตะกอน” กับเส้นแบ่งปลายเหตุ–ต้นเหตุทำอย่างไรให้ไม่ทิ้งระเบิดเวลา

หนึ่งในข้อถกเถียงสำคัญคือแนวทางสร้าง ฝายดักตะกอน” เพื่อชะลอ–ดักจับสารปนเปื้อนก่อนเข้าเขตเมือง เวทีย้ำว่า ต้องประเมินผลได้–ผลเสียอย่างรอบด้าน เพราะแม้ฝายจะช่วยลดความเข้มข้นสารบางช่วงเวลา แต่ก็สร้าง โจทย์การจัดการ “ตะกอนพิษ” ที่สะสมด้านหลัง หากไร้ระบบเก็บ–ขน–กำจัดอย่างปลอดภัย อาจ เปลี่ยนความเสี่ยงจากแบบกระจายตัวเป็นก้อนใหญ่ ที่รอวันหลุดรั่วในอนาคต

ที่สำคัญ การแก้ปลายทาง ไม่อาจแทนที่ การจัดการที่ ต้นเหตุฝั่งต้นน้ำ ซึ่งเกี่ยวพันกับระเบียบวิธีทำเหมือง (เช่น แบบชะละลายในชั้นดิน) มาตรฐานสิ่งแวดล้อม การกำกับผู้ประกอบการ และการเข้าถึงพื้นที่โดยรัฐที่มีข้อจำกัด เวทีจึงเสนอ “2 รางคู่ขนาน” คือ

  1. ผลิต–รักษาน้ำปลอดภัยปลายน้ำ ด้วยมาตรการวิศวกรรม–สื่อสารความเสี่ยง–น้ำทดแทน–ระบบคัดกรองสุขภาพ
  2. ลด–หยุดมลพิษต้นน้ำ ผ่าน กรอบความร่วมมือทวิภาคี/พหุภาคี การตรวจสอบโดยอิสระ และกลไกกดดันผู้ลงทุนให้ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล

เปิดข้อมูล–เปิดความไว้วางใจ ทำ “แดชบอร์ดคุณภาพน้ำ” ให้เป็นภาษาชาวบ้าน

ความไว้วางใจเกิดจาก ข้อมูลที่เข้าถึงได้และตรวจสอบได้ เวทีมีฉันทามติให้ผลักดัน แพลตฟอร์มข้อมูลคุณภาพน้ำแบบใกล้เคียงเรียลไทม์ ระดับจังหวัด รวมทั้ง รายงานคงที่รายเดือน ที่สื่อสาร สี–เกณฑ์–ข้อแนะนำปฏิบัติ ในภาษาง่าย ไม่ใช่เพียงตัวเลขทางเคมี พร้อมตั้ง หมายเลขประสานฉุกเฉิน ให้ประชาชนแจ้งเหตุผิดปกติ และเตรียม ชุดทดสอบภาคสนาม สำหรับท้องถิ่นที่จำเป็น วิธีคิดนี้จะเปลี่ยนจาก “การบอก” เป็น “การร่วมเฝ้าระวัง” ลดข่าวลือ–ลดความตื่นตระหนก และเปลี่ยนพลังชุมชนเป็น เซ็นเซอร์สังคม ที่ทำงานเคียงคู่ห้องแล็บ

สุขภาพ–เศรษฐกิจ–มนุษยธรรมทำไมประเด็นนี้ใหญ่กว่าสิ่งแวดล้อม

เวทีประเมินเอกสารวิชาการด้านพิษวิทยาชี้ว่า การสัมผัสโลหะหนักเรื้อรัง เช่น ตะกั่ว อาจสัมพันธ์กับ พัฒนาการเด็ก–ระบบประสาท–หัวใจและหลอดเลือด ส่วนแมงกานีสในระดับสูงสัมพันธ์กับ อาการคล้ายพาร์กินสัน–ความผิดปกติระบบประสาทส่วนกลาง ความเสี่ยงเหล่านี้ ไม่เท่ากันทุกคน กลุ่ม เด็กเล็ก–หญิงตั้งครรภ์–ผู้สูงวัย–ผู้มีโรคประจำตัว จะเปราะบางกว่า จึงเข้าข่าย ประเด็นสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ที่รัฐต้องจัด น้ำปลอดภัยและข้อมูลปลอดภัย ให้เพียงพอ

ในทางเศรษฐกิจ ประมงพื้นบ้าน–การเกษตรริมน้ำ–ท่องเที่ยวทางน้ำ คือฐานรายได้สำคัญของพื้นที่ชายฝั่งกก–สาย–รวก–โขง ความไม่แน่นอนเรื่องคุณภาพน้ำสร้าง ต้นทุนแฝง ทั้งยอดขายที่หายไป ค่าใช้จ่ายตรวจแล็บ การเปลี่ยนรูปแบบทำมาหากิน และภาพลักษณ์เมือง เวทีจึงเห็นพ้องให้จัด กองทุนหนุนอาชีพ–สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ–ตลาดปลอดภัย เพื่อ พยุงความเป็นอยู่ ระหว่างรอผลเชิงโครงสร้าง

แผน “4 ป.” ที่เชียงรายเสนอขึ้นสู่โต๊ะนโยบาย

  1. ป้องกัน – วางแนวกันชนพื้นที่เสี่ยง ปรับระบบสูบน้ำดิบ ปรับปรุงกระบวนการผลิตน้ำประปาและตรวจคัดกรองสุขภาพเชิงรุก
  2. พิสูจน์ – ตั้งศูนย์วิเคราะห์กลางระดับจังหวัด มาตรฐานเดียวกัน เชื่อมฐานข้อมูลกับ คพ.–สทนช.–ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ และ MRC
  3. ประสาน – เดินหน้าการทูตหลายระดับ (ผู้เชี่ยวชาญ–ทหาร–รัฐมนตรี–พหุภาคี) และใช้ ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม–ภูมิสารสนเทศ จาก GISTDA เป็นพยานหลักฐาน
  4. เปิดเผย – สร้างแดชบอร์ดคุณภาพน้ำสาธารณะ รายงานสม่ำเสมอ แจ้งเตือนตรงเป้าหมาย และเปิดช่องทางร้องเรียน–ติดตามผล

หน้าต่างเวลาไม่รอ—ต้อง “ทำพร้อมกันหลายอย่าง” และทำให้เร็วพอ

วิกฤตมลพิษข้ามพรมแดน ไม่ได้มีสวิตช์ปิด–เปิด แต่มี “หน้าต่างเวลา” ที่ถ้าทำเร็วและถูกทางจะจำกัดความเสียหายได้ เวทีเชียงรายได้แสดง ความพร้อม–ความตั้งใจ–และแผนการ ที่จับต้องได้ ตั้งแต่การจัดแหล่งน้ำสำรอง การตั้งศูนย์วิเคราะห์กลาง การเฝ้าระวังห่วงโซ่อาหาร การทบทวนมาตรการวิศวกรรม ไปจนถึงการขยายพลังการทูตกับประเทศเพื่อนบ้านและกรอบภูมิภาค

โจทย์ถัดไปคือ ทำให้ต่อเนื่องและโปร่งใส พร้อมส่งเสียงจากชายแดนให้ดังพอถึงส่วนกลางและโต๊ะเจรจาระหว่างประเทศ ในขณะที่ชุมชนต้องมีเครื่องมือ–ข้อมูล–และทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ปลอดภัยกว่าเดิม ทุกฝ่ายรู้ดีว่า แม่น้ำไหลไม่หยุด และ สารพิษก็เช่นกัน เวลาเท่านั้นที่จะเป็นตัวชี้วัดว่า “เรือเดียวกัน” ของคนลุ่มน้ำกก–สาย–รวก–โขง จะแล่นผ่านความปั่นป่วนนี้ไปได้โดยไม่ปล่อยให้ใครตกน้ำ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • กรมควบคุมมลพิษ (คพ.): รายงานสถานการณ์คุณภาพน้ำและการปนเปื้อนโลหะหนักในลุ่มน้ำภาคเหนือ (ข้อมูลเชิงเทคนิคและผลตรวจในพื้นที่)
  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.): สรุปผลประชุมและโรดแมปความร่วมมือด้านการติดตามคุณภาพน้ำข้ามพรมแดน
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC): เอกสารแนวคิดการติดตามคุณภาพน้ำร่วมกับประเทศสมาชิกและ “ประเทศคู่เจรจา” รวมถึงแนวทางมาตรฐานการเฝ้าระวังภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
  • ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1/1 เชียงราย (กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์): ผลการเก็บ–ตรวจตัวอย่าง ปลา–น้ำประปาหมู่บ้าน–พืช ในพื้นที่ 7 อำเภอของเชียงราย (รายเดือน ตั้งแต่ พ.ค. 2568)
  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย (อบจ.เชียงราย): แผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขชุมชน รพ.สต. 19 แห่งใน 7 อำเภอ และสรุปการประสานงานกับหน่วยงานวิชาการ–เกษตร–ประมง
  • กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.): ข้อมูลพื้นฐานกิจกรรมเหมืองและมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง (ประกอบการวิเคราะห์ต้นเหตุ)
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA): ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม–ภูมิสารสนเทศ สนับสนุนการติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ต้นน้ำ
  • คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC): บันทึกการประชุมความร่วมมือชายแดนไทย–เมียนมา (ประเด็นความมั่นคงชายแดนและสิ่งแวดล้อม)
  • จังหวัดเชียงราย/ศูนย์ดำรงธรรม: เอกสารการรับเรื่องร้องเรียนของประชาชน การประสานงานส่วนกลาง และสรุปผลเวทีสาธารณะ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

มลพิษแม่น้ำกก! คุกคามเศรษฐกิจเชียงรายเสียหายหนักกว่า 1.3 พันล้านบาท

วิกฤตแม่น้ำกกภัยมลพิษซ้ำเติมเศรษฐกิจเชียงราย มูลค่าเสียหายกว่า 1.3 พันล้านบาท/ปี ภาคราชการสุ่มเสี่ยงไร้ความต่อเนื่องช่วงเปลี่ยนผ่าน

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 – วิกฤตมลพิษจากเหมืองแร่รัฐฉานที่ไหลลงสู่แม่น้ำกก ซึ่งเป็นเส้นเลือดหลักของจังหวัดเชียงราย ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นภัยคุกคามทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่กำลังซ้ำเติมความเปราะบางของพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่การบริหารราชการของกระทรวงมหาดไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่จากการโยกย้ายและเกษียณอายุ

รายงานการประเมินมูลค่าความเสียหายเบื้องต้นจากสำนักข่าว Lanner เผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า หากแม่น้ำกกไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ความเสียหายทางเศรษฐกิจรวมจะสูงถึง 1,300,006,731 บาทต่อปี ซึ่งเป็นหายนะที่คุกคามปากท้องและอนาคตของชุมชนกว่า 20 ตำบลที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำกกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หายนะทางเศรษฐกิจมูลค่าความเสียหายใน 3 ภาคส่วนหลัก

ความเสียหายจากวิกฤตแม่น้ำกกกระจายตัวครอบคลุมสามภาคส่วนหลักของเศรษฐกิจเชียงราย ดังนี้:

  1. ภาคการท่องเที่ยว:
    • มูลค่าความเสียหาย: สูงถึง 773,530,143 บาทต่อปี
    • ผลกระทบ: โรงแรมและรีสอร์ทริมแม่น้ำกกเสียหายกว่า 669 ล้านบาท และธุรกิจการท่องเที่ยวริมน้ำ เช่น การล่องเรือ แพเปียก และการขี่ช้าง เสียหายอีกกว่า 104 ล้านบาท เนื่องจากสายน้ำที่เคยดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับกลายเป็นแหล่งมลพิษ
    • ตัวอย่าง: ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดเล็กและเจ้าของเรือนำเที่ยวต้องเผชิญกับรายได้ที่หดหายในพริบตา ส่งผลกระทบทางอ้อมต่อร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และผู้ให้บริการขนส่งที่พึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยว
  2. ภาคเกษตรกรรม:
    • มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 511,450,458 บาทต่อปี
    • ผลกระทบ: พื้นที่เกษตรกรรมริมฝั่งแม่น้ำกกใน 20 ตำบล ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เสี่ยงรวม 131,607 ไร่ ไม่สามารถใช้น้ำเพื่อเพาะปลูกได้ โดยในพื้นที่นี้มีพื้นที่ปลูกข้าว (นาปีและนาปรัง) กว่า 103,924 ไร่ และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 27,682 ไร่ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลัก
    • ตัวอย่าง: หากน้ำปนเปื้อนจนใช้ไม่ได้ หมายถึงการสูญเสียผลผลิตที่ทำกินของครัวเรือนเกษตรกรจำนวนมาก ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อรายได้ของครัวเรือนเกษตรกรจำนวน 162,922 ครัวเรือน ในจังหวัดเชียงราย
  3. ภาคประมง:
    • มูลค่าความเสียหาย: ประมาณ 15,026,130 บาทต่อปี
    • ผลกระทบ: ชาวประมงจำนวน 105 คนที่พึ่งพารายได้จากการจับปลาในแม่น้ำกก ต้องสูญเสียรายได้ตลอดทั้งฤดูกาล เนื่องจากปลาไม่สามารถอาศัยอยู่ในน้ำที่ปนเปื้อนได้
    • ตัวอย่าง: การสูญเสียรายได้นี้ไม่เพียงแต่กระทบต่อปากท้อง แต่ยังเป็นการสูญเสียวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชุมชนริมแม่น้ำที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน

ภัยซ้ำเติมการปรับทัพข้าราชการกับวิกฤตความต่อเนื่อง

ในขณะที่วิกฤตแม่น้ำกกกำลังทวีความรุนแรง การบริหารราชการใน กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาในระดับจังหวัด ก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ภายใต้การบริหารของ นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่

มีการดำเนินการโยกย้ายข้าราชการระดับสูงหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงการย้าย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง รวมถึงอธิบดีกรมสำคัญอื่นๆ ก็ถูกโยกย้ายด้วยเช่นกัน แม้การโยกย้ายจะเป็นเรื่องปกติ แต่ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ การปรับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญอาจส่งผลต่อความต่อเนื่องในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาที่ต้องอาศัยความรวดเร็วและเฉียบขาด

นอกจากนี้ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า กระทรวงมหาดไทยจะเผชิญกับการเกษียณอายุราชการของข้าราชการจำนวนมาก ซึ่งหากไม่มีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ อาจเกิด ช่องว่างในการทำงาน ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำกก

ทางออกสำหรับเชียงรายรัฐต้องเร่งมือ-ประชาชนต้องได้รับเยียวยา

เพื่อให้ประชาชนในเชียงรายสามารถผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้ รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยจำเป็นต้องแสดงความมุ่งมั่นและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ โดยมีข้อเสนอแนะที่สำคัญดังนี้:

  1. เร่งรัดการตัดสินใจและมาตรการฉุกเฉิน: แม้จะมีการปรับเปลี่ยนตำแหน่ง ผู้บริหารระดับสูงควรใช้อำนาจที่มีในการสั่งการและสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นอย่างทันท่วงที เพื่อประเมินสถานการณ์และกำหนดมาตรการบรรเทาผลกระทบฉุกเฉินแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
  2. สร้างความมั่นใจในความต่อเนื่องของนโยบาย: การถ่ายทอดนโยบายและแผนงานอย่างชัดเจนให้กับข้าราชการที่เข้ารับตำแหน่งใหม่เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่สะดุดหยุดลง
  3. จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรอย่างเร่งด่วน: ด้วยมูลค่าความเสียหายกว่า 1.3 พันล้านบาทต่อปี รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณฉุกเฉินและทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อชดเชยความเสียหาย ฟื้นฟูสภาพแวดล้อม และสนับสนุนอาชีพทางเลือกให้กับผู้ได้รับผลกระทบ เช่น การส่งเสริมพืชเศรษฐกิจอนาคตไกลของจังหวัด อย่างกาแฟดอยตุง, ชาเชียงราย, สับปะรดนางแล และพืชสมุนไพร
  4. โปร่งใสและสื่อสารกับประชาชน: การสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน และโปร่งใสเกี่ยวกับการดำเนินงานแก้ไขปัญหา รวมถึงเปิดรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืน

วิกฤตแม่น้ำกกจึงเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับกลไกการบริหารราชการของไทย ว่าจะสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพื่อให้สายน้ำกกกลับมาเป็นสายเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตและเศรษฐกิจของชาวเชียงรายได้อย่างยั่งยืนอีกครั้ง

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สองวิกฤตซ้ำ! เชียงรายน้ำท่วมกว่า 8 พันครัวเรือน ปัญหาสารหนูยังไม่คลี่คลาย

เชียงรายอ่วม! น้ำท่วม 9 อำเภอ ปภ.เร่งช่วยเหลือประชาชน ขณะที่วิกฤต “สารหนูปนเปื้อนแม่น้ำกก” ยังรุนแรง ระดับชาติต้องเร่งแก้ไข

ประเทศไทย, 31 กรกฎาคม 2568 – “สองวิกฤต” ถล่มเชียงราย จากสถานการณ์ฝนตกหนักต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 28-29 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดอุทกภัยฉับพลันและดินถล่มในพื้นที่ 9 อำเภอของจังหวัดเชียงราย สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชนกว่า 8,300 ครัวเรือน ขณะเดียวกัน ปัญหาเก่าที่ยังคงเป็นระเบิดเวลาของพื้นที่คือ “สารหนูและโลหะหนักปนเปื้อนในแม่น้ำกก” ที่ส่งผลต่อทั้งสุขภาพประชาชนและความมั่นคงของแหล่งน้ำในอนาคต

มวลน้ำถล่มหนัก – 8,363 ครัวเรือนวิกฤต

ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย) เปิดเผยว่าสถานการณ์น้ำท่วมและดินถล่มเกิดขึ้นใน 9 อำเภอ 32 ตำบล 189 หมู่บ้าน รวมถึง 4 ชุมชนในเขตเทศบาลนครเชียงราย นับตั้งแต่ฝนสะสมสูงสุดที่ 127 มิลลิเมตร ในตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2568 ส่งผลให้ประชาชนเดือดร้อนกว่า 8,363 ครัวเรือน โครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ได้แก่

  • ถนน 22 จุดได้รับความเสียหาย
  • พื้นที่เกษตร 23,850 ไร่จมน้ำ
  • บ่อปลา 100 บ่อเสียหาย
  • สัตว์เลี้ยงตายหลายร้อยชีวิต
    อย่างไรก็ตาม ปภ. ยังคงสำรวจความเสียหายเพิ่มเติมและจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ

ทุกหน่วยงานระดมเครื่องจักร-เจ้าหน้าที่ 24 ชั่วโมง

ตลอดช่วงวิกฤตนี้ ปภ.เชียงราย ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่และเครื่องจักรกลเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ก็ได้นำเทคโนโลยีดาวเทียม Pléiades วิเคราะห์ภาพถ่ายบริเวณน้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำกกและแม่น้ำยม รวมพื้นที่น้ำท่วมขังในเชียงรายและแพร่กว่า 1,000 ไร่ ส่งต่อข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้วางแผนบริหารจัดการในระยะเร่งด่วน

สารหนูปนเปื้อนแม่น้ำกก – ปมร้อนวาระแห่งชาติ

ในขณะที่ปัญหาอุทกภัยยังคงต้องเร่งช่วยเหลือ ในอีกด้านหนึ่ง เชียงรายยังต้องเผชิญกับปัญหามลพิษสารหนูและโลหะหนักในแม่น้ำกก ซึ่งเป็นแหล่งน้ำหลักของประชาชน โดยย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2566 พบว่ามีสารหนูเกินมาตรฐานในแหล่งน้ำผิวดินบริเวณสบกก อ.เชียงแสน ก่อนขยายวงกว้างสู่แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขงต่อมา

ล่าสุด ที่ประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน ครั้งที่ 2/2568 โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ เป็นประธาน มีหน่วยงานระดับสูงทุกฝ่ายเข้าร่วมถกหาทางออก ทั้งกระทรวงมหาดไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย (นายชรินทร์ ทองสุข) นักวิจัยและองค์กรที่เกี่ยวข้อง

ต้นตอสารพิษ – หลายปัจจัยเชื่อมโยงข้ามประเทศ

การประชุมระบุว่า สาเหตุของการปนเปื้อนอาจเกิดได้จาก 3 ปัจจัยหลัก

  1. การเปิดหน้าดินและการชะล้างจากธรรมชาติ
  2. กิจกรรมของมนุษย์ เช่น การใช้สารเคมีทางเกษตร การเผาในที่โล่ง
  3. ปัญหาจากประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา-จีน) เนื่องจากแม่น้ำกกเป็นแม่น้ำนานาชาติ
    ที่ประชุมได้เน้นย้ำให้ “ตรวจสอบแหล่งกำเนิด” อย่างจริงจัง พร้อมเดินหน้าเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านผ่านกลไก MRC (คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง) อย่างต่อเนื่อง

แผนบูรณาการแก้ปัญหา – ตั้งเป้ายั่งยืน

มาตรการแก้ไขระยะเร่งด่วนที่ประชุมกำหนดประกอบด้วย

  • การศึกษา/วิจัย สัดส่วนสารพิษโดยกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ฯ
  • ตรวจสอบกิจกรรมต้นเหตุโดยกรมเหมืองแร่ กรมวิชาการเกษตร และองค์กรท้องถิ่น
  • การติดตั้งอุปกรณ์ดักตะกอนในแหล่งน้ำ
  • เจรจาต่างประเทศและความร่วมมือกับ MRC
  • แผนบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่

ขณะที่ภาคประชาชนและกลุ่มอนุรักษ์แสดงความห่วงใยอย่างมาก เนื่องจากผลกระทบของสารพิษในแหล่งน้ำอาจส่งผลต่อสุขภาพทั้งระยะสั้นและยาว รวมถึงระบบนิเวศและการเกษตร โดยเฉพาะเมื่อแม่น้ำกกเป็นแหล่งน้ำดิบผลิตประปาหลักของเชียงรายและชุมชนริมฝั่ง

เชียงรายในห้วงเปราะบาง – เมื่อวิกฤตธรรมชาติ-สิ่งแวดล้อมทวีคูณ

การรับมืออุทกภัยอย่างทันท่วงทีเป็นภารกิจเร่งด่วนที่ต้องอาศัยการประสานทุกฝ่าย แต่ปัญหาคุณภาพน้ำและสารพิษในแม่น้ำกก คือภัยเงียบที่ต้องได้รับการจัดการเชิงระบบ โดยเฉพาะการตรวจสอบแหล่งกำเนิด การควบคุมกิจกรรมมนุษย์ และการเจรจาต่างประเทศให้เกิดการจัดการร่วมกันอย่างแท้จริง
ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาขึ้นอยู่กับการลงมือปฏิบัติจริง การติดตามผลอย่างต่อเนื่อง และการสื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใสให้ประชาชนได้รับรู้ เพื่อลดความวิตกกังวลและสร้างความมั่นใจต่อแหล่งน้ำที่ปลอดภัยในระยะยาว
เชียงรายจึงอยู่ในจุดทดสอบความสามารถของระบบบริหารจัดการภัยพิบัติและสิ่งแวดล้อมของไทย – วิกฤตครั้งนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการปฏิรูปเชิงนโยบายและสร้างต้นแบบการแก้ไขปัญหาอย่างบูรณาการในระดับประเทศและภูมิภาค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย (ปภ.เชียงราย)
  • สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
  • กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
  • คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงรายลุ้น! แม่น้ำกกใกล้จุดวิกฤต เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวัง 24 ชม. หวั่นน้ำทะลักเข้าเมือง

เชียงราย, 28 กรกฎาคม 2568 – สถานการณ์น้ำกกขยับใกล้จุดวิกฤต – วอร์รูมเทศบาลฯ ระดมแผนฉุกเฉินช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้ จังหวัดเชียงรายกำลังเผชิญสถานการณ์ที่สร้างความกังวลอย่างยิ่งให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ริมลุ่มน้ำกก เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ต้นน้ำอย่างอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำกกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว รายงานล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง ระดับน้ำเพิ่มสูงถึง 12 เซนติเมตรในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง และอยู่ห่างจากระดับวิกฤตเพียง 31 เซนติเมตรเท่านั้น สัญญาณเตือนอันตรายที่ไม่อาจนิ่งนอนใจ

เทศบาลนครเชียงรายโดยนายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรี ได้เรียกประชุมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมด่วนที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ภายในสถานีขนส่งแห่งที่ 1 พร้อมประชุมออนไลน์ร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานระดับจังหวัด เพื่อสรุปและเร่งประสานแผนรับมือสถานการณ์

ข้อมูลน้ำ-ฝนจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เผยตัวเลขใกล้เสี่ยงล้นตลิ่ง

จากรายงานของทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย รวมถึงข้อมูลจากส่วนอุทกวิทยาที่ 2 สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ พบว่าปริมาณน้ำกกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นน้ำในอำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

  • เวลา 12.00 น. ที่สถานีแม่นาวาง-ท่าตอน ระดับน้ำอยู่ที่ 5.99 เมตร (ค่าวิกฤต 6.50 เมตร) ปริมาณน้ำ 487 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลา 13.00 น. ที่สะพานพ่อขุนฯ ระดับน้ำอยู่ที่ 5.07 เมตร ปริมาณน้ำ 442 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
  • เวลาเดียวกัน ที่สะพานขัวพญามังราย ต.ริมกก ระดับน้ำอยู่ที่ 3.64 เมตร จากระดับวิกฤต 6.00 เมตร

ทีมวิจัยระบบเตือนภัยฯ ยังระบุว่าหากแนวโน้มฝนและระดับน้ำยังเป็นเช่นนี้ ระดับน้ำในเมืองเชียงรายอาจถึงจุดวิกฤตและล้นตลิ่งได้ภายใน 24 ชั่วโมง พร้อมขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงริมแม่น้ำกกเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมย้ายของขึ้นที่สูง

เตรียมพร้อมรอบด้าน – เฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง

นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาล ออกสำรวจระดับน้ำและเฝ้าติดตามสถานการณ์รอบพื้นที่ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมประสานงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาสาสมัคร และประชาชนในชุมชนริมฝั่งแม่น้ำกก เพื่อเตรียมพร้อมแผนอพยพและการแจ้งเตือนล่วงหน้าหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

นอกจากนี้ ยังมีการสำรวจความพร้อมของศูนย์พักพิงและสถานที่อพยพฉุกเฉิน เช่น วัด โรงเรียน และอาคารสาธารณะ ตลอดจนการจัดเตรียมอุปกรณ์ช่วยเหลือประชาชน อาทิ กระสอบทราย เรือท้องแบน และเครื่องสูบน้ำ เพื่อให้พร้อมใช้งานได้ทันที

ภัยคุกคาม “น้ำกก” กับมาตรการเชิงรุกของเชียงราย

สถานการณ์น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในวันนี้ สะท้อนถึงความเปราะบางของพื้นที่เมืองเชียงรายต่อภัยน้ำหลากที่อาจเกิดขึ้นจากฝนหนักในพื้นที่ต้นน้ำอย่างฉับพลัน ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตาและถือเป็นบทเรียนเชิงนโยบายมีดังนี้

  • การเฝ้าระวังต้นน้ำอย่างรอบด้าน: การติดตามข้อมูลน้ำฝนและปริมาณน้ำตั้งแต่สถานีต้นน้ำถึงปลายน้ำ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้หน่วยงานท้องถิ่นมีข้อมูลสำหรับวางแผนรับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที
  • ข้อมูลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี: การใช้ข้อมูลจากทีมวิจัยและส่วนอุทกวิทยา สะท้อนให้เห็นถึงการบูรณาการระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการบริหารจัดการภาครัฐอย่างเป็นระบบ เพิ่มความแม่นยำของการตัดสินใจและการสื่อสารความเสี่ยงต่อประชาชน
  • ความพร้อมของหน่วยงานท้องถิ่น: การตั้งวอร์รูม ประชุมร่วมกับหน่วยงานจังหวัด และจัดชุดเจ้าหน้าที่ออกสำรวจเฝ้าระวัง 24 ชั่วโมง เป็นมาตรการเชิงรุกที่แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจและความพร้อมในการป้องกันและบรรเทาผลกระทบ
  • การสื่อสารกับประชาชน: เทศบาลนครเชียงรายเน้นการแจ้งเตือนประชาชนริมฝั่งแม่น้ำกกให้ทราบความเสี่ยงและวิธีเตรียมตัวล่วงหน้า ลดความสูญเสียและสร้างความตื่นตัวให้กับชุมชนอย่างทั่วถึง

โจทย์ท้าทายและประเด็นที่ต้องติดตาม

  • ความเร็วของกระแสน้ำ: ระดับน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว (12 เซนติเมตรใน 1 ชั่วโมง) เป็นสัญญาณเตือนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งยกระดับการแจ้งเตือนและการอพยพ
  • ผลกระทบต่อชุมชนริมฝั่ง: หากน้ำล้นตลิ่งในเขตเมือง พื้นที่ชุมชนริมฝั่งและตลาดจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก จำเป็นต้องเตรียมสถานที่พักพิงและการช่วยเหลือให้พร้อม
  • การบริหารจัดการเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต้นน้ำ: ประสานงานกับหน่วยงานรับผิดชอบเขื่อนและอ่างเก็บน้ำเพื่อลดการระบายน้ำในช่วงวิกฤต เป็นกลยุทธ์สำคัญในการควบคุมปริมาณน้ำปลายน้ำ
  • การประสานงานกับชุมชน: การสร้างเครือข่ายสื่อสารภาคประชาชนและอาสาสมัคร ช่วยกระจายข้อมูลข่าวสารและรับมือภัยพิบัติอย่างรวดเร็วและทั่วถึง

สรุป

สถานการณ์แม่น้ำกกใกล้แตะจุดวิกฤตในครั้งนี้ นับเป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมเชิงรุก การวางระบบสื่อสารที่เข้มแข็ง และการประสานทุกภาคส่วนร่วมกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เชียงรายผ่านพ้นภัยพิบัติด้วยความเสียหายน้อยที่สุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • ทีมวิจัยระบบเตือนภัยและแนวทางป้องกันน้ำท่วมในเขตเมืองเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวังน้ำ 24 ชม. “นายกวันชัย” สั่งเปิดประตูระบายน้ำรับมือภัยฝน

เทศบาลนครเชียงรายเฝ้าระวังน้ำ 24 ชม. “นายกวันชัย” สั่งเปิดประตูระบายน้ำเร่งด่วน เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ตลอดแนวแม่น้ำสำคัญ

เชียงราย, 27 กรกฎาคม 2568 – เทศบาลนครเชียงรายเดินหน้า “บริหารจัดการน้ำเชิงรุก” รักษาความปลอดภัยเมืองท่ามกลางฤดูฝน ในช่วงฤดูฝนที่ปริมาณน้ำฝนและน้ำท่ามีความผันผวนสูงเช่นนี้ เทศบาลนครเชียงรายอยู่ในสภาวะตื่นตัวสูงสุด โดยเฉพาะเมื่อได้รับอิทธิพลจากพายุฤดูร้อนและฝนตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำกก ลาว และกรณ์ ซึ่งมีความสำคัญต่อความปลอดภัยในเขตเมือง ล่าสุด นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยลงพื้นที่ตรวจสอบจุดเสี่ยง สำรวจและบริหารจัดการประตูระบายน้ำทุกจุดตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันไม่ให้มวลน้ำไหลเข้าท่วมในเขตเมือง โดยให้ความสำคัญกับแนวตลิ่งแม่น้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำลาว และแม่น้ำกรณ์

เดินแผนบริหาร “ประตูน้ำ” ปิดจุดเสี่ยง-เปิดระบายต่อเนื่อง

ผลจากการสำรวจพบว่าระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำกรณ์อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะบริเวณสะพานขัวพญาเม็งราย วัดระดับน้ำที่ 3.11 เมตร ซึ่งยังต่ำกว่าตลิ่งที่ 6 เมตร แต่อย่างไรก็ตามเทศบาลยังคงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น โดยประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองทั้งหมด 9 บาน ได้รับคำสั่งปิดไว้ตลอด เพื่อป้องกันน้ำจากแม่น้ำสายหลักไม่ให้ไหลเข้าสู่เขตเมือง ในขณะที่ประตูน้ำฝั่งหนองด่าน 4 บาน และประตูน้ำดอยสะเก็น 5 บาน ได้รับคำสั่งเปิดยกขึ้นเต็มที่ เพื่อเร่งระบายน้ำออกสู่แม่น้ำกกและลดความเสี่ยงน้ำท่วมขังในพื้นที่ต่ำ

สำรวจจุดเสี่ยง-เสริมกำลัง “กระสอบทราย” เตรียมรับมือชุมชนริมแม่น้ำ

นอกจากการตรวจสอบระดับน้ำและประตูน้ำแล้ว เทศบาลนครเชียงรายยังได้ส่งเจ้าหน้าที่เทศกิจลงพื้นที่สำรวจแม่น้ำลาว โดยเฉพาะที่จุดประตูน้ำพื้นที่ท่าสาย ซึ่งพบว่าระดับน้ำลดลงจากวันก่อนถึง 60 เซนติเมตร พร้อมทั้งเสริมกำลังนำกระสอบทรายไปวางเพิ่มเติมในจุดบิ๊กแบ็ค และทางเชื่อมต่อลำน้ำสาขาที่เสี่ยงน้ำไหลเข้า เช่น พื้นที่บ้านทุ่งพญาหมี ชุมชนสันหนอง และชุมชนข้างเคียง เพื่อเป็นการป้องกันเชิงรุก

เทศบาลฯ ยังประสานการทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น กองช่าง สำนักการโยธา และฝ่ายปกครอง รวมถึงกลุ่มจิตอาสาในพื้นที่ เพื่อบูรณาการแผนเฝ้าระวังและรับมือสถานการณ์อุทกภัยให้ครอบคลุมที่สุด โดยมีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานสลับเวรตลอด 24 ชั่วโมง

วิเคราะห์สถานการณ์ความตื่นตัวของเทศบาลนครเชียงรายกับโจทย์ “เมืองปลอดภัย”

การสั่งการของนายกเทศมนตรีนครเชียงรายในการเฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำและการบริหารจัดการประตูน้ำทุกจุดเป็นตัวอย่างที่ดีของการบริหารภัยพิบัติในระดับท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นสูง ประเด็นที่น่าสังเกตได้แก่

  • การเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง: เทศบาลฯ ใช้ระบบการติดตามสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์ มีการจัดเวรยามสำรวจทุกช่วงเวลาเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
  • กลยุทธ์ปิด-เปิดประตูน้ำ: การวางแผนปิดประตูน้ำฝั่งเข้าเมืองและเปิดฝั่งระบายออก เป็นมาตรการสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงน้ำไหลเข้าท่วมพื้นที่ชุมชนเมือง
  • การสำรวจจุดเสี่ยงและเสริมกำลังล่วงหน้า: การนำกระสอบทรายไปวางในพื้นที่ชุมชนเสี่ยงล่วงหน้า เป็นการป้องกันก่อนเกิดเหตุการณ์จริงและสามารถลดผลกระทบในกรณีฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การประสานงานกับภาคส่วนต่าง ๆ: การทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐและกลุ่มจิตอาสาในพื้นที่ เป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการรับมือภัยพิบัติ โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องระดมสรรพกำลังอย่างเร่งด่วน

ข้อท้าทายและข้อเสนอแนะ

แม้ว่าสถานการณ์น้ำในวันนี้จะยังไม่ถึงระดับวิกฤต แต่หากเกิดฝนตกหนักในพื้นที่ต้นน้ำหรือจากอิทธิพลของพายุฤดูร้อน ต้องเตรียมพร้อมแผนสำรองในการอพยพและการแจ้งเตือนประชาชนอย่างทันท่วงที นอกจากนี้ การสื่อสารข้อมูลกับประชาชนโดยตรง ผ่านช่องทางออนไลน์ของเทศบาลหรือกลุ่มชุมชน จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยลดความตื่นตระหนกและสร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรัฐ

การดำเนินงานของเทศบาลนครเชียงรายในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเป็นมืออาชีพในเชิงบริหารจัดการวิกฤตแบบ “เชิงรุก” ซึ่งสมควรเป็นแบบอย่างให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น ๆ ในการสร้างเมืองปลอดภัยและรับมือกับภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักการโยธา เทศบาลนครเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์น้ำ กองป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลนครเชียงราย
  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • รายงานสถานการณ์ประจำวัน, กลุ่มชุมชนเขตเทศบาลนครเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

พายุ “วิภา” จ่อเชียงราย! ผู้ว่าฯ นำทัพตรวจน้ำ มทบ.37 เตรียมพร้อมรับมือ 24 ชม.

เชียงรายเฝ้าระวังน้ำ “วิภา” ไม่ประมาท! ผู้ว่าฯ ลงพื้นที่แม่น้ำกก-อิง ยันระดับน้ำลด – มทบ.37 เตรียมกำลังพลพร้อมรับมือ 24 ชั่วโมง

เชียงราย, 18 กรกฎาคม 2568 – ติดตามสถานการณ์อย่างเข้มข้นรับมือพายุ “วิภา” ฝนหนักกลางเดือนกรกฎาคม จังหวัดเชียงรายยังคงเดินหน้าติดตามสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนอิทธิพลของพายุโซนร้อน “วิภา” ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบให้ภาคเหนือมีฝนตกหนักระลอกใหม่ โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 2568 ที่สถานการณ์น้ำเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เพราะเชียงรายมีแม่น้ำสายหลักหลายสายไหลผ่านใจกลางเมือง และเคยประสบเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในอดีต

ในภาวะเสี่ยงนี้ นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย จึงนำคณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจและติดตามระดับน้ำในแม่น้ำกกและแม่น้ำอิงด้วยตนเอง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่ารัฐบาลจังหวัดไม่ประมาทและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ขณะที่ มณฑลทหารบกที่ 37 หรือ มทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ สนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัยตลอด 24 ชั่วโมง

แม่น้ำกก ระดับน้ำลดต่อเนื่อง สัญญาณบวกต่อเมืองเชียงราย

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมด้วยนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำกก บริเวณใต้สะพานขัวพญามังราย เขตเทศบาลนครเชียงราย ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของระบบเฝ้าระวังน้ำหลาก

จากการตรวจสอบพบว่า ระดับน้ำแม่น้ำกกยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยที่สถานีสะพานพ่อขุนเม็งราย ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย ระดับน้ำวัดได้ 4.72 เมตร (ณ เวลา 12.00 น.) ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.50 เมตร ส่วนที่สถานีสะพานขัวพญามังราย (ชุมชนบ้านใหม่) ต.ริมกก วัดได้ 3.30 เมตร ต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติที่ 5.00 เมตร เช่นกัน

นายชรินทร์ ทองสุข เปิดเผยว่า “จังหวัดเชียงรายได้ติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดและมีการประชุมร่วมทุกวัน พร้อมกับแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะริมแม่น้ำกกให้เฝ้าระวัง แต่ไม่ควรตื่นตระหนก และขอให้ติดตามข้อมูลจากทางราชการเป็นหลัก”

ด้านนายทวีชัย โค้วตระกูล ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเชียงราย ระบุว่า ขณะนี้ได้เปิดบานประตูระบายน้ำทั้ง 11 บานเต็มที่ และใช้ระบบติดตามน้ำ 24 ชั่วโมง หากพบว่าน้ำจากต้นน้ำ (อำเภอแม่อาย) มีปริมาณมากขึ้น จะสามารถคำนวณเวลาและแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ทัน (ประมาณ 10–12 ชั่วโมงถึงตัวเมืองเชียงราย)

นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการขุดลอกลำน้ำกกในจุดวิกฤติ เพื่อขจัดเนินทรายที่ขวางทางน้ำ ทำให้การไหลของน้ำในช่วงสะพานฮ่องอ้อถึงหาดเชียงรายคล่องตัวมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำ ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการป้องกันน้ำท่วม

แม่น้ำอิง ระดับน้ำยังต่ำกว่าค่าวิกฤติ แต่คงเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน นายชรินทร์ ทองสุข พร้อมคณะ ได้ออกตรวจติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำอิง เขตอำเภอเทิง โดยลงพื้นที่สถานีเตือนภัยบ้านสันทรายงาม ตำบลสันทรายงาม อำเภอเทิง ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เฝ้าระวังสำคัญ

จากการตรวจวัดระดับน้ำในแม่น้ำอิง พบว่าอยู่ที่ 8.462 เมตร ซึ่งต่ำกว่าระดับวิกฤติ แต่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 19-24 กรกฎาคม ที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่าจะมีฝนตกหนักจากอิทธิพลของพายุ “วิภา” ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมมือกันเฝ้าระวัง พร้อมเตรียมความพร้อมอุปกรณ์และบุคลากรสำหรับให้ความช่วยเหลือทันทีหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

มณฑลทหารบกที่ 37 ปลุกศักยภาพ “บรรเทาสาธารณภัย” เตรียมเคลื่อนกำลังภายใน 1 ชั่วโมง

ในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ที่กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 37 ค่ายเม็งรายมหาราช พลตรี จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ ผู้บัญชาการมทบ.37 ได้สั่งตรวจความพร้อมของชุดปฏิบัติการบรรเทาสาธารณภัย นำโดยพันเอก บุรฉัตร ภูนาเมือง หัวหน้าฝ่ายกิจการพลเรือน ซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ 36 นาย จากหลายหน่วยงาน เช่น โรงพยาบาลค่ายเม็งรายมหาราช กองร้อยทหารสารวัตร และแผนกยุทธโยธา พร้อมยานพาหนะปฏิบัติการ 5 คัน

การตรวจความพร้อมในครั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าหากได้รับคำสั่ง หน่วยจะสามารถเคลื่อนย้ายกำลังพล ยานพาหนะ และยุทโธปกรณ์ไปช่วยเหลือประชาชนได้ภายใน 1 ชั่วโมง พลตรี จักรวีร์ เน้นย้ำว่า “กำลังพลทุกนายต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน พร้อมสนับสนุนการบูรณาการทำงานกับจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอด 24 ชั่วโมง”

เชียงราย “ไม่ประมาท” บูรณาการทุกภาคส่วน รับมือสถานการณ์น้ำ

เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมและความเข้มแข็งของจังหวัดเชียงราย ในการบริหารจัดการภัยพิบัติและตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินในยุคที่สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยขึ้นอย่างรวดเร็ว
จุดแข็งที่เห็นได้ชัด ได้แก่

  • การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด: ผู้ว่าราชการจังหวัดลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเองและประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
  • การบริหารจัดการน้ำ: โครงการชลประทานใช้วิธีบริหารประตูระบายน้ำ ขุดลอกแม่น้ำ และใช้ระบบเตือนภัยแบบเรียลไทม์
  • การสื่อสารกับประชาชน: มีการแจ้งเตือนผ่านสื่อท้องถิ่น และเน้นย้ำให้ประชาชนไม่ตื่นตระหนกแต่ควรเตรียมพร้อม
  • ความพร้อมของหน่วยทหาร: มทบ.37 สามารถระดมกำลังเข้าช่วยเหลือภายในเวลา 1 ชั่วโมงหลังรับแจ้ง
  • การประสานงานทุกภาคส่วน: จากฝ่ายจังหวัด ชลประทาน ปภ. กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน จนถึงกองทัพ สะท้อนความเข้าใจในบทเรียนอดีต และมุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการเยียวยา

ข้อควรจับตา:

  • การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่คาดเดาได้ยาก อาจเปลี่ยนสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
  • พื้นที่เสี่ยงน้ำป่า ดินถล่ม และลุ่มต่ำริมแม่น้ำยังคงต้องเฝ้าระวัง
  • การนำข้อมูลและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาพัฒนา “ระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า” ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

บทเรียนจากอดีตคือการ “ไม่ประมาท” และการบูรณาการทุกภาคส่วนอย่างมีแผนงาน จะเป็นหัวใจสำคัญในการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเชียงรายอย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย
  • โครงการชลประทานเชียงราย
  • ส่วนอุทกวิทยาที่ 2 เชียงราย สำนักงานทรัพยากรน้ำที่ 1 กรมทรัพยากรน้ำ
  • มณฑลทหารบกที่ 37
  • กรมอุตุนิยมวิทยา
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ที่ปรึกษาศูนย์ฯ ชงแผนเด็ด แก้มลพิษน้ำเชียงราย ผสานสื่อสาร-เยียวยา-ข้ามแดน

 “สารปนเปื้อนในน้ำ” วิกฤตซ้ำซ้อนของลุ่มน้ำกก-สาย-รวก-โขง ที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการฯ เสนอแนวคิดสื่อสาร-เยียวยา พร้อมดันมาตรการข้ามพรมแดน

น้ำที่เคยมั่นใจ กลายเป็นความกังวลของคนเชียงราย

เชียงราย, 10 กรกฎาคม 2568 — ฤดูฝนวนกลับมาอีกครั้งในจังหวัดเชียงราย ทว่าแทนที่จะนำความชุ่มชื้นและชีวิตชีวาสู่ชุมชนริมฝั่งแม่น้ำ สายน้ำในปีนี้กลับกลายเป็นแหล่งแห่งความวิตกกังวล เมื่อสารปนเปื้อนที่มองไม่เห็นได้แทรกซึมเข้าสู่แม่น้ำสำคัญอย่างแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง ประชาชนในพื้นที่และภาคส่วนต่าง ๆ ต่างเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ล่าสุด นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมคณะที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) จังหวัดเชียงราย ณ ห้องประชุมอูหลง ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ร่วมกับคณะผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ เพื่อสรุปข้อเสนอเชิงลึกที่หวังจะแก้ไขวิกฤตน้ำที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

ประเด็นร้อนกลางวงประชุม “ประชาชนต้องการชัดเจน-มีส่วนร่วม”

เสียงสะท้อนจากภาคประชาชน ภาควิชาการ และตัวแทนภาคเอกชนต่างเน้นย้ำว่า “ข้อมูลที่โปร่งใส-เข้าถึงได้” คือหัวใจสำคัญของการจัดการวิกฤตน้ำครั้งนี้ โดยเฉพาะ 5 คำถามสำคัญที่ต้องการคำตอบเร่งด่วนจากภาครัฐ

  • รัฐบาลมีไทม์ไลน์ชัดเจนหรือไม่ในการควบคุมมลพิษที่ต้นทาง?
  • จะลดสารหนูและสารพิษอื่นในแม่น้ำด้วยวิธีใด?
  • จะมีคู่มือรับมือภาวะน้ำปนเปื้อนสำหรับประชาชนหรือไม่?
  • แหล่งน้ำทางเลือกและการเข้าถึงน้ำสะอาดมีทางออกอย่างไร?
  • จะมีเวทีวงสนทนาเปิดพื้นที่ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้อย่างไร?

คณะที่ปรึกษาฯ ยังเสนอให้ภาครัฐดำเนินการ “Social Listening” รับฟังเสียงและความกังวลจากโซเชียลมีเดียอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างฐานข้อมูลปัญหาและแนวทางแก้ไขที่แท้จริง

สื่อสาร-แก้ข้ามพรมแดน-เยียวยาอย่างยั่งยืน

การประชุมมีข้อเสนอสำคัญที่ต้องเร่งขับเคลื่อน ดังนี้

  1. สื่อสารความเสี่ยงแบบโปร่งใสและจริงใจ

ที่ประชุมเน้นให้ภาครัฐเผยแพร่แผนตรวจสอบและรายงานคุณภาพน้ำฉบับเต็มบนเว็บไซต์หน่วยงาน เช่น กรมควบคุมมลพิษ เพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้ตลอดเวลา สื่อสารข้อมูลให้สม่ำเสมอและชัดเจน รวมถึงอธิบายข้อจำกัดและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นระหว่างรัฐและประชาชน

  1. เปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมา

สารพิษจำนวนมากในแม่น้ำมีต้นกำเนิดข้ามพรมแดน คณะที่ปรึกษาฯ เสนอให้รัฐบาลไทยผลักดันการเปิดเผยข้อมูลเหมืองแร่ในเมียนมา ทั้งที่ตั้ง จำนวน และประเภทของเหมือง เพื่อวางแผนรับมือและเจรจากับเพื่อนบ้านอย่างเป็นทางการ

  1. แผนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

เสนอให้สำรวจผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ได้แก่ ผู้ใช้น้ำเพื่ออุปโภคบริโภคในพื้นที่เสี่ยง ชาวประมงที่ต้องหยุดกิจการ ผู้ประกอบการร้านอาหารและแพท่องเที่ยว รวมถึงกำหนดมาตรการเยียวยาและชดเชยภายใน 2 เดือน

  1. แผนรับมือน้ำท่วมที่มีสารพิษ

ทุกชุมชนควรได้รับคู่มือและความรู้ในการป้องกันตัวเมื่อต้องเผชิญน้ำท่วมที่มีสารโลหะหนัก เช่น วิธีหลีกเลี่ยงสัมผัสน้ำปนเปื้อน การล้างบ้านหลังน้ำลด และการจัดการโคลนที่มีสารพิษ

  1. เฝ้าระวังผลผลิตทางการเกษตร

แผนเฝ้าระวังและตรวจสอบผลผลิตเกษตรกรรมที่ใช้น้ำจากแม่น้ำที่มีสารปนเปื้อน เช่น การจัดทำห่วงโซ่อุปทาน และการตรวจสอบผลผลิตก่อนออกสู่ตลาด โดยเฉพาะข้าวนาปี หากพบการปนเปื้อนต้องมีมาตรการเยียวยาและดึงผลผลิตออกจากระบบ

  1. จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบสารโลหะหนักประจำจังหวัด

ยกระดับศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์และศูนย์ตรวจมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพิ่มศักยภาพการตรวจสอบในจังหวัด ลดเวลารอผลและต้นทุน

  1. สร้างพลเมืองวิทยาศาสตร์-แก้ปัญหามลพิษข้ามพรมแดน

ผลักดันการสอนวิชาพลเมืองวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน-มหาวิทยาลัย และจัดกิจกรรมสัปดาห์เรียนรู้สำหรับประชาชนในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย

  1. เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน

ภาครัฐควรเพิ่มสัดส่วนภาคประชาชนในคณะทำงาน แทนที่จะเน้นประชาสัมพันธ์ ควรเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างแท้จริง

วิกฤตข้ามพรมแดนต้องอาศัยพลังของ “ความโปร่งใส-ความร่วมมือ”

การประชุมครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ปัญหาคุณภาพน้ำในเชียงรายไม่ใช่เรื่องในประเทศอีกต่อไป หากแต่โยงใยกับมลพิษข้ามพรมแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อุปสรรคสำคัญคือ การเปิดเผยข้อมูลและการเจรจากับเมียนมา ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามจากทุกฝ่าย

ขณะเดียวกัน แม้จะมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่หลากหลาย การผลักดันให้เป็นรูปธรรมยังต้องการทรัพยากร บุคลากร งบประมาณ และระบบติดตามที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

“ความเชื่อมั่น” ของประชาชนในพื้นที่จะฟื้นคืนได้ ก็ต่อเมื่อรัฐแสดงให้เห็นความโปร่งใส จริงใจ และสามารถขับเคลื่อนข้อเสนอเหล่านี้ให้เกิดผลจริงทั้งระยะสั้นและระยะยาว

จุดเปลี่ยนของลุ่มน้ำเชียงรายบนเส้นทางความร่วมมือใหม่

การประชุมครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นของการจัดการปัญหาน้ำในเชียงรายอย่างบูรณาการ ทุกข้อเสนอจะต้องถูกขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริง ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค หากคุณคือผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ คุณจะให้ความสำคัญกับข้อเสนอใดเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่อย่างแท้จริง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำ (ส่วนหน้า) จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • กรมควบคุมมลพิษ
  • มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิ่งแวดล้อมภาคเหนือ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ENTERTAINMENT

วิกฤตแม่น้ำกก สารหนูข้ามแดนคุกคามชีวิต “ปลาป่วย” สัญญาณเตือนภัยเงียบ!

วิกฤตแม่น้ำกก สารหนูข้ามแดนคุกคามชีวิต ปลากลายเป็นสัญญาณเตือน “ภัยเงียบ” ที่ไม่ควรมองข้าม!

เชียงราย,8 กรกฎาคม 2568  – ผลวิจัยล่าสุดจาก สกสว. และมหาวิทยาลัยนเรศวร ตอกย้ำข้อเท็จจริงสุดช็อก! แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย กำลังเผชิญหน้ากับการปนเปื้อนสารหนูและโลหะหนักข้ามพรมแดนจากเหมืองแร่ในประเทศพม่า สารพิษจากเหมืองแร่หายากและเหมืองทองคำกำลังรุกคืบเข้าสู่ระบบนิเวศอันเปราะบาง แม้สถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพมนุษย์ แต่ “ปลาป่วย” ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยอันตรายที่ไม่อาจละเลย การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนต้องพุ่งเป้าไปที่ “ต้นตอ” ด้วยการเจรจาข้ามประเทศ พร้อมเร่งพัฒนาระบบเฝ้าระวังอัจฉริยะเพื่อปกป้องแม่น้ำกกและชีวิตของชาวบ้านในระยะยาว

กว่าสิบปีที่ผ่านมา ปัญหามลพิษข้ามพรมแดนได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่คุกคามทรัพยากรธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวชายแดนที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเข้มข้น ล่าสุด สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้เปิดเผยผลการศึกษาที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุข นั่นคือการประเมินความเสี่ยงจากการปนเปื้อนโลหะและกึ่งโลหะใน แม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย ซึ่งผลวิจัยได้ชี้ชัดอย่างไม่น่าสงสัยว่า แม่น้ำสายสำคัญนี้กำลังรับพิษจากมลภาวะข้ามพรมแดนจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างสาหัส

เปิดหลักฐานเชิงประจักษ์ สารหนูจากพม่าเข้าสู่แม่น้ำกก

รายงานผลการศึกษาฉบับนี้ ได้ใช้เทคนิคนิติวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมผสานการมีส่วนร่วมของวิทยาศาสตร์พลเมือง เพื่อระบุ “แหล่งที่มา” ของการปนเปื้อนโลหะหนักในแม่น้ำกกอย่างแม่นยำ และผลลัพธ์ที่ได้นั้นเป็นเหมือนฟ้าผ่ากลางใจแม่น้ำ การวิเคราะห์ยืนยันว่า ร้อยละ 69.7 ของสารปนเปื้อนมาจากเหมืองแร่หายาก (Rare Earth) ในประเทศพม่า และอีก ร้อยละ 30.3 มาจากเหมืองทองคำ สารปนเปื้อนเหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ในเขตแดนของประเทศต้นทาง แต่ได้ไหลหลั่งข้ามพรมแดนเข้ามาตามกระแสน้ำ และแม้จะมีการเจือจางไปบ้างตามระยะทาง แต่ปริมาณที่ตรวจพบก็เพียงพอที่จะสร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อระบบนิเวศและสุขภาพของสิ่งมีชีวิตในพื้นที่

“การค้นพบนี้ไม่ใช่แค่เพียงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นเสียงสะท้อนจากธรรมชาติที่กำลังส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ” นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวรกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของผลการศึกษาชิ้นนี้

ปลาป่วย” สัญญาณเตือนภัยเชิงระบบนิเวศที่ไม่อาจมองข้าม

แม้ว่าในปัจจุบัน สถานการณ์การปนเปื้อนยังอยู่ในระดับที่นักวิจัยระบุว่า “ปลอดภัย” ต่อสุขภาพของมนุษย์ ทั้งจากการใช้น้ำบาดาลตื้น การบริโภคพืชผักที่เพาะปลูกริมฝั่งแม่น้ำ และการบริโภคปลาจากแม่น้ำกก แต่สิ่งที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญต้องขมวดคิ้วด้วยความกังวล คือการตรวจพบ สัญญาณเตือน” ที่น่าจับตาอย่างยิ่ง นั่นคือ ปลาในแม่น้ำกกมีอาการป่วยผิดปกติ

อาการป่วยของปลานี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลโดยตรงจากสารปนเปื้อนโลหะและกึ่งโลหะที่อยู่ในน้ำ สารพิษเหล่านี้ไม่ได้ฆ่าปลาโดยตรงในทันที แต่กลับค่อยๆ บ่อนทำลายภูมิคุ้มกันของปลา ทำให้ปลาอ่อนแอและติดเชื้อโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น เปรียบเสมือนปลาที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษจึงต้องต่อสู้กับโรคร้ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักวิจัยระบุว่านี่คือ ตัวชี้วัดความเสี่ยงเชิงระบบนิเวศ” ที่สำคัญอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพราะหากปลาซึ่งเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดสุขภาพของแม่น้ำได้รับผลกระทบหนักขึ้นเรื่อยๆ ย่อมหมายความว่าสถานการณ์กำลังเลวร้ายลง และอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อห่วงโซ่อาหารและมนุษย์ในอนาคตอันใกล้

เดินหน้าประเมินความเสี่ยงและหาทางออก

เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย นักวิจัยกำลังเร่งจัดทำรายงานเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับภายใน 1 เดือน และ 2 เดือนตามลำดับ ซึ่งจะประเมิน แบบจำลองการปนเปื้อน” ที่ครอบคลุมไปถึงการสะสมของสารหนูในน้ำใต้ดินตื้น และดินเกษตรกรรม เพื่อตอบคำถามสำคัญว่า “เมื่อไหร่ที่สารพิษเหล่านี้จะเริ่มกระทบต่อความปลอดภัยทางอาหาร?” ซึ่งเป็นคำถามที่รอคำตอบและจะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดมาตรการรับมือต่อไป หากแหล่งกำเนิดมลพิษยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแก้ไข

“ดับไฟที่ต้นลม” ด้วยการเจรจาข้ามพรมแดนและเทคโนโลยี AI

การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการที่ ต้นเหตุ” ของมลพิษ ไม่ใช่เพียงแค่การบรรเทาผลกระทบที่ปลายน้ำ ดังนั้น การเร่งเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศพม่า หรือแม้กระทั่งกับผู้ซื้อแร่ เพื่อ หยุดการปล่อยน้ำเสียจากเหมือง” จึงเป็นหัวใจสำคัญ หากไม่มีการดำเนินการใดๆ สถานการณ์ความเสี่ยงก็จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต สร้างความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ต่อสิ่งแวดล้อมและชีวิตของผู้คน

ในขณะเดียวกัน สกสว. และมหาวิทยาลัยนเรศวร ไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิเคราะห์ปัญหา แต่ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันเพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ โดยกำลังพัฒนา ระบบเฝ้าระวังด้วยวิทยาศาสตร์พลเมืองเสริมด้วย AI” ระบบนี้จะใช้เซนเซอร์ที่สามารถตรวจวัดสารหนูได้อย่างแม่นยำกว่า 71% และที่สำคัญคือสามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าแบบ 24 ชั่วโมง ผ่านระบบที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานรัฐและจังหวัด คาดว่าจะเริ่มทดสอบใช้งานจริงภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งหากระบบนี้ใช้งานได้ผลจริง จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยได้อย่างรวดเร็ว ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถเข้าถึงข้อมูลและตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที

การผสานพลังเพื่ออนาคตของแม่น้ำกก

รายงานฉบับนี้จึงมีความสำคัญในหลายมิติ ไม่เพียงแต่สะท้อนสถานการณ์มลพิษข้ามพรมแดนด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน แต่ยังชี้แนะแนวทางการป้องกัน ฟื้นฟู และเตือนภัยล่วงหน้าด้วยนวัตกรรมที่ผสานพลังจากภาครัฐ นักวิจัย และประชาชนเข้าด้วยกัน เพื่อรับมือกับวิกฤตสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบและทันเวลา

เรื่องราวของแม่น้ำกกไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของมลพิษจากสารหนูและโลหะหนักเท่านั้น แต่มันเป็นอุทาหรณ์ที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการทำงานร่วมกันข้ามพรมแดน การนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้ในการแก้ไขปัญหา และที่สำคัญที่สุดคือการตระหนักถึง “สัญญาณเตือน” จากธรรมชาติ เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของทุกคนให้ยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.)
  • มหาวิทยาลัยนเรศวร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

สัญญาณอันตรายจากแม่กก สารหนูปนเปื้อน! รัฐ-ชุมชนผนึกกำลังกอบกู้สายน้ำ

เฝ้าระวังแม่กก” รัฐลุยแก้มลพิษน้ำ โลหะหนักเกินมาตรฐาน กระตุ้นชุมชนมีส่วนร่วม

สัญญาณอันตรายจากสายน้ำแม่กก จุดเริ่มต้นของปฏิบัติการเชิงรุก

เชียงราย, 9 กรกฎาคม 2568 – สายน้ำแม่กก ซึ่งเป็นเส้นเลือดหล่อเลี้ยงชีวิตของคนเชียงราย กำลังเผชิญกับภัยคุกคามเชิงสิ่งแวดล้อม เมื่อสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) ตรวจพบสารโลหะหนักบางชนิดในแม่น้ำกกเกินค่ามาตรฐาน โดยเฉพาะสารหนู (Arsenic) ที่อาจสะสมในระบบนิเวศและส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว

ด้วยความตระหนักถึงอันตรายที่อาจตามมา สำนักงานสิ่งแวดล้อมฯ จึงจัดกิจกรรม “ออกหน่วยเฝ้าระวังคุณภาพสิ่งแวดล้อมในชุมชน” ณ เทศบาลตำบลแม่ยาว อำเภอเมืองเชียงราย เพื่อลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำ วิเคราะห์สารปนเปื้อน และสื่อสารข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจสถานการณ์อย่างถูกต้อง

จากความวิตกของประชาชน สู่การขับเคลื่อนโดยหน่วยงานรัฐ

การตรวจพบค่าปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำกก ไม่เพียงแต่ส่งแรงสั่นสะเทือนไปถึงหน่วยงานรัฐ หากแต่ยังสร้างความวิตกกังวลในวงกว้างของชาวบ้านที่อาศัยและพึ่งพาน้ำจากแม่น้ำสายนี้โดยตรง

โดยมี นายสุรศักดิ์ วณิชอนุกูล ผู้อำนวยการส่วนสิ่งแวดล้อม สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย และ นางสาวปิยนุช ทรวงคำ ผู้อำนวยการส่วนการจัดการคุณภาพน้ำ อากาศและเสียง สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 นำทีมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำ วิเคราะห์ผลแบบทันที และให้ความรู้กับประชาชน

ปฏิบัติการ 7 ครั้ง 5 อำเภอ เฝ้าระวังน้ำจากต้นทาง

กิจกรรมจะจัดขึ้นทั้งหมด 7 ครั้ง ครอบคลุม 5 อำเภอหลักของจังหวัดเชียงราย ได้แก่ เมืองเชียงราย เวียงชัย เวียงเชียงรุ้ง ดอยหลวง และแม่จัน

ภารกิจหลักคือการเก็บตัวอย่างน้ำจากหลากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำบริโภค น้ำประปา หรือน้ำในแม่น้ำสาขา เพื่อวิเคราะห์ค่ามาตรฐานในระดับทันที ณ จุดตรวจสอบ ซึ่งช่วยให้สามารถตอบสนองต่อความผิดปกติได้รวดเร็วและตรงจุด

ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่า แหล่งน้ำอุปโภคบริโภคส่วนใหญ่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่แม่น้ำกกยังคงต้องได้รับการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจพบสารโลหะหนักที่สามารถเป็นอันตรายต่อสุขภาพและระบบนิเวศโดยรวม

ไม่ใช่แค่ตรวจน้ำ แต่สร้างความรู้ สื่อสาร และฟังเสียงชุมชน

ในกิจกรรมยังมีการจัดนิทรรศการ สื่อความรู้ และเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหา และตระหนักรู้ถึงอันตรายของสารปนเปื้อน พร้อมเรียนรู้วิธีการเฝ้าระวังในระดับชุมชน

เป้าหมายหลักคือการกระตุ้นให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์แหล่งน้ำ และรู้จักการสังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในชุมชนของตน รวมถึงรายงานข้อมูลต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การมีส่วนร่วมของประชาชน คือกุญแจสำคัญในการสร้างระบบเฝ้าระวังที่ยั่งยืน เพราะชุมชนที่ตื่นรู้และพร้อมมีส่วนร่วม จะช่วยลดช่องว่างระหว่างประชาชนกับหน่วยงานรัฐ และเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้มากขึ้น

แผนป้องกันระยะยาว ระบบเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมเชิงพื้นที่

สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 1 ยังมีแผนต่อเนื่องในการพัฒนาระบบเฝ้าระวังคุณภาพน้ำแบบเชิงพื้นที่ โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ชุมชน และภาควิชาการ เพื่อป้องกันปัญหามลพิษจากต้นทาง

นอกจากนี้ ผลการตรวจวิเคราะห์จะถูกรวบรวมเพื่อใช้ประกอบการวางแผนและกำหนดมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับสภาพพื้นที่จริง สำนักงานสิ่งแวดล้อมยืนยันว่าจะดำเนินการประเมินและสื่อสารข้อมูลอย่างโปร่งใส เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลและมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

บทเรียนจากแม่กก จากวิกฤติสู่โอกาสของการพัฒนา

แม่น้ำกกในวันนี้อาจกำลังเผชิญกับภาวะปนเปื้อน แต่ปฏิบัติการเชิงรุกของหน่วยงานรัฐในครั้งนี้ นับเป็นก้าวแรกของการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมจากรากฐาน

หากชุมชนสามารถยืนหยัดและร่วมมือกับภาครัฐอย่างเข้มแข็ง ปัญหานี้จะไม่เพียงแต่ได้รับการแก้ไขเฉพาะหน้า แต่จะนำไปสู่การจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน

เชียงรายในอนาคตอาจไม่ใช่เพียงเมืองที่ลุ่มน้ำแม่กกหล่อเลี้ยงชีวิต แต่จะกลายเป็นต้นแบบของการปกป้องแม่น้ำด้วยพลังของประชาชนและความรู้ที่เข้าถึง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่)
  • สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดเชียงราย
  • ข่าวประชาสัมพันธ์และสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ ณ เทศบาลตำบลแม่ยาว
  • รายงานวิเคราะห์คุณภาพน้ำประจำเดือนกรกฎาคม 2568
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News