Categories
FEATURED NEWS

“กสว. ร่วมมือ ผู้ว่าฯเชียงใหม่” จัดงบ 150 ล้านบาท แก้ปัญหา PM 2.5

 
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) โดยกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือกองทุน ววน. ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ได้นำผู้ทรงคุณวุฒิและนักวิจัย ร่วมหารือกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เดินหน้านำงานวิจัยภายใต้การสนับสนุนของกองทุน ววน. มุ่งแก้ไขปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และปัญหาไฟป่าในจังหวัดเชียงใหม่อย่างเร่งด่วนตามโจทย์และความต้องการของจังหวัดเชียงใหม่ โดย สกสว.จัดสรรงบประมาณวิจัยภายใต้งบประมาณปี 2566 – 2567 รวม 2 ปี งบประมาณกว่า 150 ล้านบาท คิดเฉลี่ยปีละ  70 กว่าล้านบาท ใน 4 มิติเร่งด่วนสำหรับการลดฝุ่นจากต้นตอแหล่งกำเนิด ได้แก่ การลดไฟในพื้นที่ป่าไม้ การจัดการระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ การลดไฟในพื้นที่เกษตร และการลดฝุ่นข้ามแดน โดยการจัดสรรงบประมาณผ่านสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) โดยทุกภาคส่วนตั้งเป้าผลลัพธ์ทั้งการลดปัญหาที่เกิดซ้ำในแต่ละพื้นที่ การติดตามสถานการณ์ การวางแผนป้องกันและรับมือฝุ่นจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงการทำงานของทุกภาคส่วน เพื่อต่อยอดไปสู่การออกนโยบาย กฎหมาย หรือข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง การพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ ตลอดจนการปรับเปลี่ยนโครงสร้างภาคเกษตรกรรม
 
 
 

ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) เปิดเผยว่า แต่ละปีประเทศไทยมีการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องด้วยการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม สังคม และสิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับประชาชนทั้งปัจจุบันและในอนาคต อีกทั้งรัฐบาลก็ให้ความสำคัญกับการนำงานวิจัยมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศ หลังการปฏิรูประบบ ววน. ในปี 2562 ได้มีการจัดตั้งกองทุน ววน. ขึ้น โดยมี กสว. ทำหน้าที่กำหนดและขับเคลื่อนนโยบาย รวมถึงจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณของประเทศให้เหมาะสม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาและแก้ปัญหาสำคัญของประเทศในด้านต่าง ๆ ตามนโยบายและทิศทางที่สภานโยบายได้กำหนดไว้

 
 

ศ.เกียรติคุณ ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวเสริมว่า กสว. ได้อนุมัติงบประมาณ แก้ไขปัญหาและตอบสนองภาวะวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ ในประเด็น “งานวิจัยนวัตกรรมและการใช้ประโยชน์เพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วน ฝุ่นละออง PM 2.5 แบบมุ่งเป้าและบูรณาการ” โดยใช้งบประมาณ 2 ปี รวมจำนวน 155,000,000 บาท แบ่งเป็นงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ.2566 จำนวน 77,700,000 บาทและปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 77,300,000 บาทรวมทั้งให้ทุนแก่หน่วยงาน/นักวิจัยตามโจทย์สำคัญเร่งด่วน โดยใช้กระบวนการอนุมัติแผนงานสำคัญเร่งด่วนและงบประมาณให้ทันต่อสถานการณ์มองทั้งระยะสั้น กลางและระยะยาว สำหรับการนำผลงานวิจัยไปใช้ในสนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนาและการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในระดับพื้นที่ในแต่ละจังหวัด มีเป้าหมายสำคัญ คือ การเร่งนำงานวิจัยและนวัตกรรมที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากกองทุน ววน. ไปช่วยแก้ปัญหาวิกฤติ ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และส่งเสริมการกินดีอยู่ดีของประชาชน เพื่อสร้างผลลัพธ์และผลกระทบเชิงบวกต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังได้ร่วมทำงานแบบบูรณาการกับหน่วยงานระดับท้องถิ่น เพื่อให้ทราบถึงโจทย์สำคัญของผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ และให้สามารถแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับบริบท มีประสิทธิภาพภายในระยะเวลาที่เร่งด่วนหน่วยงานภาควิชาการ ได้เร่งระดมหาทางออกให้กับจังหวัดเชียงใหม่มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งเสริมให้เป็นเมืองที่ใช้ประโยชน์จากกองทุน ววน. อย่างเข้มข้น เพื่อสนับสนุนการบริหารท้องถิ่นให้คล่องตัวและสามารถบูรณาการการทำงานบนระบบข้อมูลและงานวิจัยอย่างเข้มข้นมากขึ้น

“ความสำคัญของงานวิจัยจะช่วยให้ผู้ดำเนินงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงความซับซ้อนของปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน นำมาสู่การแก้ไขที่เป็นระบบ รวมทั้งเป็นแนวทางเชิงรุกที่สามารถคลี่คลายปัญหาได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งการแจ้งเตือนสถานการณ์ความเสี่ยง การควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที การจำกัดจำนวนการเกิดเหตุไฟป่า การช่วยรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ การสร้างความร่วมมือกับชาวบ้านเพื่อเป็นอีกหนึ่งแรงสำคัญในการแก้ไขปัญหา อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ที่มีแนวโน้มประสบปัญหาเดียวกันซึ่งจะทำให้งานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนมีความยั่งยืนและมีโอกาสนำไปใช้เป็นวงกว้าง”

 
 
ขณะที่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า ช่วงที่จังหวัดเชียงใหม่ต้องเผชิญกับวิกฤติไฟป่า ฝุ่นควันต่างๆ งานวิจัยนับเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยลดข้อถกเถียงของวิธีแก้ไขที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสนระหว่างปฏิบัติงาน อย่างเช่นปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ที่ยังไม่มีแนวทางแก้ไขที่เป็นรูปธรรม งานวิจัยได้ช่วยให้มีบทสรุปขององค์ความรู้ วิธีดำเนินการ และแนวทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ตรงกับบริบทของพื้นที่ ชีวิตของคนในชุมชน และเป็นไปได้ในทางปฏิบัติแบบที่ทุกภาคส่วนต้องการ ดังนั้น เมื่อพื้นที่มีองค์ความรู้ที่หลากหลาย สิ่งที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะทำได้ คือ การเปิดพื้นที่ เชิญหลากผู้รู้จากภาคส่วนต่าง ๆ มาร่วมแลกเปลี่ยน ระดมความคิดเห็น และวิเคราะห์องค์ความรู้ที่มีร่วมกัน จนนำไปสู่การลงมือปฎิบัติจริง นอกจากนี้งานวิจัยยังช่วยให้หลากผู้รู้ยอมรับว่าการตกผลึกขององค์ความรู้ว่าทางออกที่แท้จริงของพื้นที่คืออะไร
 
 
 

ด้านนายทศพล เผื่อนอุดม รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การปฏิบัติการแก้ปัญหาไฟป่าและหมอกควันกับสกสว. นับเป็นอีกแนวทางสำคัญที่จะทำให้วิกฤติคลี่คลายได้เร็วขึ้น โดยที่ผ่านมาทางเชียงใหม่ได้มีการนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้แล้วแต่อาจยังไม่ทั่วถึง และบางนวัตกรรมอาจยังไม่ครอบคลุมกับปัญหาทั้งหมด แต่อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดมีความยินดีและมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าทั้ง 16 โครงการวิจัยที่สกสว. และกองทุน ววน. ได้สนับสนุนมานั้นจะไม่ได้เป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือเฉพาะในระยเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่สามารถนำไปเชื่อมโยงกับพื้นที่ที่กำลังเผชิญกับปัญหา และพื้นที่ที่มีความเสี่ยง โดยการนำงานวิจัยมาใช้ยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้การปกครองส่วนท้องถิ่นเห็นความสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ที่สามารถใช้ควบคู่ไปกับการออกนโยบาย ยกระดับเมืองเชียงใหม่ให้เกิดการใช้งานวิจัยเพื่อสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ สังคม และอื่น ๆ ที่เป็นบริบทสำคัญของจังวัดได้อย่างเข้มข้น”

 

นายทศพล กล่าวทิ้งท้ายว่า การถอดบทเรียนจากสภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น เพื่อร่วมกันหาแนวทางการบริหารจัดการอย่างเป็นรูปธรรม โดยคาดหวังว่าเมื่อ จ.เชียงใหม่ ได้ทดลองปรับโครงสร้างให้องค์กรส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมนำเทคโนโลยีและงานวิจัยมาใช้ติดตาม วางแผนการรับมือ และแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM 2.5 ภายใต้การสนับสนุบงบประมาณจากกองทุน ววน. จะช่วยให้ จ.เชียงใหม่ ได้รับประโยชน์จากงานวิจัย และเกิดผลกระทบเชิงบวกทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการจัดสรรการใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างเป็นระบบที่จะเป็นแรงจูงใจไม่ให้เผาและบุกรุกป่า การส่งเสริมความเข้าใจและค่านิยมของประชาชนจากความเข้าใจถึงผลกระทบและช่วยกันลดปัญหาต่าง ๆ ปรับโครงการสร้างการเพาะปลูกเพื่อเข้าสู่วิถีเกษตรไม่เผา และมีทางเลือกสำหรับการทำเกษตรกรรมที่จะมีพืชเศรษฐกิจใหม่ ๆ ในแต่ละพื้นที่ ตลอดจนการกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในด้านองค์ความรู้ การร่วมบริหารจัดการและป้องกัน รวมถึงนโยบายความร่วมมือระหว่างประเทศ

 
 
 

รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวว่า สกสว. เป็นหน่วยงานที่มีพันธกิจสำคัญในการจัดทำ และขับเคลื่อนนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ของประเทศให้ไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงดำเนินการจัดสรรงบประมาณของกองทุน ววน. ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งเสริมให้มีการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมในระบบ ววน. ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เกิดผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ดังนั้น สกสว. พร้อมนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมในระบบ ววน. มาร่วมขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่วิกฤตเร่งด่วน ในส่วนการดำเนินงานที่ผ่านมา สกสว. โดยกองทุน ววน. ได้มีการสนับสนุนงบประมาณวิจัยในประเด็นปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ PM 2.5 และปัญหาไฟป่าในพื้นที่ปฏิบัติการ จ. เชียงใหม่  ภายใต้งบประมาณปี 2566 -2567 เป็นงบประมาณวิจัยปีละกว่า 70 ล้านบาท รวม2ปี  150 ล้านบาท  โดยพิจารณาอนุมัติงบประมาณเป็นแบบรายปี จัดสรรงบประมาณให้แก่สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จำนวน 43,050,000 บาท และสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) จำนวน 34,650,000 บาท โดยมุ่งขับเคลื่อน 4 มิติเร่งด่วน ดังนี้

 

1.โครงการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาการลดไฟในพื้นที่ป่า จะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ชุมชนมีแรงจูงใจในการรักษาผืนป่า มากกว่าเดิมด้วยกลไกการตอบแทนคุณนิเวศ หรือ Payment for Ecosystem Service (PES) ด้วยการศึกษาบริการทางนิเวศและมูลค่าของทรัพยากรเพื่อระดมทุนจากภาคเอกชนและประชาชนไปใช้สนับสนุนชุมชนในการอนุรักษ์ป่าและป้องกันไฟป่า เช่น การขายคาร์บอนเครดิต การทำวิจัยชุมชนเพื่อพัฒนากิจกรรมการอนุรักษ์และกองทุนอนุรักษ์ระดับชุมชน เพื่อ สร้างรายได้ให้กับชุมชน และเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการไฟป่าของชุมชนและหน่วยงานในพื้นที่ ตลอดจนการพัฒนาระบบติดตามและการวิเคราะห์โอกาสความเสี่ยงที่แม่นยำผ่านการใช้เทคโนโลยีเชิงลึกและงานวิจัย

 

2.การจัดการระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ หรือบิ๊กดาต้า ที่จะช่วยให้ข้อมูลที่มีทั้งหมดสามารถแก้ไขปัญหาไฟป่า – ปัญหาฝุ่นควันที่แต่เดิมมีความซับซ้อน ลดการเกิดการเผาไหม้ซ้ำ ๆ และสามารถนำข้อมูลไปจัดทำแผนและมาตรการต่าง ๆ ได้เพิ่มเติม ได้แก่ ข้อมูลชุดที่ 1 สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 และมลพิษทางอากาศ ข้อมูลด้านจุดความร้อน (Hotspot) ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาในปัจจุบัน ข้อมูลชุดที่ 2 ด้านอุตุนิยมวิทยา และสภาพของพื้นที่ ข้อมูลชุดที่ 3 ด้านการป้องกันผลกระทบและวิธีการเยียวยา ข้อมูลชุดที่ 4 ข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการ การลดสาเหตุ การรองรับการเผชิญเหตุ และรองรับการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ โดยทั้ง 4 ชุดข้อมูลนี้ยังมีโอกาสที่จะเชื่อมโยงไปสู่การกำกับและติดตามค่าฝุ่น PM 2.5 ในภาพรวมทั้งประเทศที่ดำเนินงานโดยกรมควบคุมมลพิษ และพ.ร.บ.อากาศสะอาดและมาตรการสร้างแรงจูงใจในการลดฝุ่น PM 2.5 ของกรรมการร่างพ.ร.บ.อากาศสะอาด

 

3.การแก้ปัญหาการลดไฟในพื้นที่เกษตร การทำให้ชุมชนปรับเปลี่ยนระบบเกษตรเป็นการปลูกพืชแบบไม่เผา และมีนวัตกรรม / วิธีทำเกษตรที่สร้างรายได้สูงกว่าเดิม โดยเฉพาะวิธีการจัดการแปลงก่อนเริ่มทำการเพาะปลูกและหลังกระบวนการเก็บเกี่ยว ตลอดจนการปรับเปลี่ยนจากพืชล้มลุกเป็นพืชที่มีมูลค่าสูง เช่น กาแฟ แมคคาเดเมีย อะโวคาโด หรือ ไม้ยืนต้นและไม้โตเร็วที่มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอน และโครงการวิจัยในกลุ่มนี้ยังมุ่งให้มีการนำเศษวัสดุทางการเกษตรไปทำพลังงานชีวมวลทดแทนพลังงานเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำให้ทั้งเกษตรกร ผลผลิต และไร่นาแต่ละพื้นที่มีความยั่งยืนขึ้น

 

4.การลดฝุ่นข้ามแดน ซึ่งจะช่วยให้ประเทศเพื่อนบ้านนำแนวทางการลดฝุ่น (Best Practice) ไปขยายผลกับการผลิตการเกษตรภายในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงเกิดการถ่ายอดองค์ความรู้ที่สำคัญที่สามารถใช้ได้ร่วมกันระหว่างสามประเทศ คือ ไทย ลาว เมียนมา และถอดบทเรียนการพัฒนาและการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพในการลดมลพิษหมอกควันข้ามแดน

 

ด้านนายบัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ประธานกรรมการกำกับติดตามแผนงานการนำ ววน. ไปใช้แก้ปัญหาวิกฤติฝุ่นละออง PM2.5 กรรมาธิการวิสามัญร่างกฎหมายบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด กล่าวว่า ขณะนี้ (ร่าง) พ.ร.บ. อากาศสะอาด อยู่ในขั้นการพิจารณาของกรรมาธิการ จำนวน 7 ฉบับ ซึ่งเป็นกระบวนการนี้ต้องการข้อมูลงานวิจัยมาช่วยสนับสนุนการพิจารณาให้เนื้อหามีความสมบูรณ์ และครบถ้วนในทุกมิติ  

 

       การจะแก้ปัญหาสำคัญของประเทศให้เป็นรูปธรรมได้นั้นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ต้องบูรณาการข้อมูลและส่งต่อผลงานอย่างเป็นระบบ รวมทั้งต้องมีเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับผู้ใช้ และผู้ได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำความคิดเห็นไปปรับกระบวนการขับเคลื่อนให้ตอบโจทย์และความต้องการมากที่สุด ดังนั้น การหารือในครั้งนี้จะทำให้ กสว. และหน่วยงานทุกภาคส่วนได้รับทราบภาพรวมความคืบหน้าการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมในระบบ ววน. มาขับเคลื่อนแก้ไขปัญหา PM 2.5 ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ รศ.ดร. ปัทมาวดี กล่าวเสริม

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สกสว.

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS SOCIETY & POLITICS

คุณตัน มอบเงินแสนให้ 54 หมู่บ้านหลังจบ ภารกิจท้าชาวเชียงใหม่ลด “จุดความร้อน”

 

เมื่อวันที่  2 พ.ค.2567 ที่ผ่านมา หอประชุมที่ว่าการอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ คุณตัน ภาสกรนที หรือ “ตัน อิชิตัน” นักธุรกิจเจ้าของเครื่องดื่มชื่อดังของเมืองไทย ได้เดินทางมามอบเงินรางวัลให้กับหมู่บ้านที่สามารถลดจุดความร้อนได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ ตามเงื่อนไขที่ได้มีการลงนาม MOU ร่วมกันระหว่างมูลนิธิตันปัน กับ มูลนิธิป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นควัน จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะประธานมูลนิธิป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นควันจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายอำเภอแม่ริมและนายอำเภอหางดง ร่วมเป็นสักขีพยาน

หลังมูลนิธิตันปัน นำโดย คุณตัน ภาสกรนที ได้มาร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับมูลนิธิป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นควัน จังหวัดเชียงใหม่ โดยเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2567  เพื่อบูรณาการความร่วมมือ และทดสอบความท้าทายในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ร่วมกับ 69 หมู่บ้าน โดยเริ่มเก็บสถิติเป็นเวลา 40 วัน เงื่อนไขให้ลดจำนวนจุดความร้อนให้ได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับจำนวนจุดความร้อนในช่วงระยะเวลาเดียวกันในปี 2566  ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม – 30 เมษายน 2567 หากสามารถทำได้ตามเงื่อนไขได้ จะมอบงบประมาณสนับสนุนเป็นเงินรางวัลให้หมู่บ้านละ 100,000 บาท

ซึ่งผลปรากฏว่า มี 54 หมู่บ้าน จากทั้งหมด 69 หมู่บ้าน ที่สามารถก้าวข้ามความท้าทายและดำเนินการตามเงื่อนไขได้สำเร็จ ประกอบไปด้วย หมู่บ้านในอำเภอแม่ริม 36 หมู่บ้าน และ หมู่บ้านในอำเภอหางดง 18 หมู่บ้าน ส่งผลให้จำนวนจุดความร้อนใน 2 อำเภอ ลดลงเป็นจำนวนมาก จากเดิมในปี 2566 เกิดจุดความร้อนทั้งหมด 324 จุด ส่วนปีนี้ลดลงเหลือเพียง 111 จุด หรือลดลงจากเดิมกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม คุณตัน ยังได้มอบเงินรางวัลปลอบใจให้กับอีก 15 หมู่บ้าน ที่ไม่สามารถทำได้ตามเป้าอีกหมู่บ้านละ 10,000 บาท รวมเป็นยอดเงินสนับสนุนในครั้งนี้กว่า 5.5 ล้านบาท

โดย คุณตัน ภาสกรนที เปิดเผยว่า การดำเนินการดังกล่าวถือว่าประสบผลอย่างมาก ทั้งสองอำเภอสามารถช่วยกันลดจุดความร้อนได้กว่า 65 เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลาเพียง 40 วัน ทั้งที่อยู่ในช่วงที่เป็นจุดพีคของการเกิดไฟป่า อย่างไรก็ตามหากจะให้เกิดความยั่งยืน ประชาชนทุกคนจะต้องให้ความร่วมมือแก้ไขปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM2.5 อย่างจริงจัง ส่วนในปีหน้าก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุนอีก แต่เพียงตนเองอาจจะมีกำลังไม่มากพอ ดังนั้น อาจจะต้องร่วมมือกับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ โรงแรม ห้างร้าน และหน่วยงานภาคเอกชนอื่นๆ เข้ามาร่วมสนับสนุน เพื่อให้ครอบคลุมทั่วทั้งจังหวัด ถือเป็นการคืนความสุขให้กับประชาชน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

AIS เผย จ.เชียงใหม่ ใช้มือถือสูงสุด อันดับ 5 ช่วงสงกรานต์ ปี 2567

 

เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2567 โดยจากการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานตั้งแต่วันที่ 12-15 เมษายน 2567 พบข้อมูลที่น่าสนใจอีกหลายประเด็น อาทิ

Top 10 จุดเล่นน้ำใช้อินเทอร์เน็ตฉ่ำที่สุด คือ 1. ถนนข้าวหลาม ชลบุรี 2. ป่าตอง ภูเก็ต 3. ถนนข้าวเหนียว ขอนแก่น 4. ประตูชุมพล นครราชสีมา 5. ถนนข้าวสุก อ่างทอง 6. ไอคอนสยาม กรุงเทพ 7. สยามสแควร์ กรุงเทพ 8. RCA กรุงเทพ 9. ถนนข้าวดอกข่า พังงา 10. ถนนข้าวสาร กรุงเทพ

 

 

ส่วนจังหวัดที่มีการใช้งานมือถือสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, นครราชสีมา, สมุทรปราการ และเชียงใหม่ โดยจังหวัดที่มีการใช้งานเน็ตบ้านสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, นนทบุรี, ชลบุรี, ปทุมธานี และสมุทรปราการ ซึ่งมีอัตราการเติบโตของการใช้งานสูงขึ้นจากปีก่อน กว่า 15.78% แสดงให้เห็นว่ายังมีลูกค้าที่ใช้เวลาในช่วงวันหยุดยาวทำกิจกรรมร่วมกันภายในบ้านกับครอบครัว

 

ขณะที่จุดท่องเที่ยววันหยุดยาวที่มีการใช้งาน AIS Super Wifi สูงสุด คือ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ด้านถนนสายหลักยอดฮิตในการเดินทางที่ใช้งานสูงสุด ได้แก่ ถนนเพชรเกษม, ถนนพหลโยธิน, ถนนสุขุมวิท และถนนมิตรภาพ ตามลำดับ ส่วนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่ถูกใช้งานสูงสุดผ่านมือถือ ได้แก่คือ Facebook, TikTok และ YouTube ตามลำดับ และบนเน็ตบ้าน ได้แก่ Facebook, TikTok และ YouTube เช่นกัน

 

สำหรับคอนเทนต์ที่ถูกรับชมมากที่สุดบน AIS PLAYBOX คือ หนังและซีรีย์ 24% รายการเกี่ยวกับเด็กและครอบครัว 10% โดยพบว่ารายการเกี่ยวกับเด็กและครอบครัวถูกใช้เวลาในการรับชมนานกว่าหนังและซีรีย์ถึง 2 เท่า แสดงถึงพฤติกรรมการใช้งานของกลุ่มครอบครัวที่ใช้เวลาร่วมกันในช่วงวันหยุดยาว

 

ขณะที่อัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย (Inbound Roamer) เติบโตถึง 38% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และอัตราการเติบโตของการแลกสิทธิเศษในช่วงสงกรานต์ เพิ่มขึ้น 15-30% ต่อวัน โดย Top 3 อันดับ สิทธิพิเศษที่ลูกค้าใช้คะแนน AIS 1 Points แลกมากที่สุด อันดับ 1 คูปองส่วนลดบิ๊กซี มูลค่า 100 บาท อันดับ 2 อุ่นใจซองกันน้ำ และอันดับ 3 แลกรับโค้ดชม WeTV VIP

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : AIS

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
NEWS UPDATE

ไฟป่า 2 จังหวัด แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ สร้างเสียหายแล้วกว่า 450,000 ไร่

 
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 รายงานข่าวจาก GISTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ระบุว่า จากสถานการณ์ไฟป่าที่มีความรุนแรงในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นอีก 2 พื้นที่ ไฟป่า แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เสียหายแล้วกว่า 450,000 ไร่
 
 
จากสถานการณ์ไฟป่าที่มีความรุนแรงในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ของจังหวัดแม่ฮ่องสอนและจังหวัดเชียงใหม่ ถือเป็นอีก 2 พื้นที่ที่พบว่ามีจุดความร้อนติดอันดับต้นๆ ของประเทศในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ล่าสุดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เผยข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม Landsat-8 ของวันที่ 31 มีนาคม 2567 เวลา 10.48 น. แสดงพื้นที่เผาไหม้ที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ของอำเภอ แม่ลาน้อย แม่สะเรียง สบเมย ของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งพบพื้นที่ความเสียหายทั้งสิ้น 251,037 ไร่ และ ในพื้นที่ของอำเภอ แม่แจ่ม จอมทอง ฮอด อมก๋อย ดอยเต่า ของจังหวัดเชียงใหม่ที่มีความเสียหายทั้งสิ้น 203,573 ไร่ โดยรวมพื้นที่ความเสียหายทั้งหมด 454,610 ไร่ สำหรับสาเหตุการเกิดไฟป่ายังคงมาจากการจุดไฟเผาเพื่อหาของป่า ล่าสัตว์ รวมถึงการเผาพื้นที่เกษตรก่อนเตรียมการเพาะปลูก และการเผาหลังเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นต้น
 
 
ข้อมูลดังกล่าวจะใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเข้าตรวจสอบในพื้นที่จริงร่วมกับจังหวัด เพื่อนำไปสู่การวางแผนฟื้นฟู ป้องกัน และสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในพื้นที่ในการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน อันจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจ ความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยว และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน
 
 
ดาวเทียม Landsat 8 เป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รับการพัฒนาโดยความร่วมมือ ระหว่างองค์การ NASA และ USGS (U.S. Geological Survey) มีการโคจรซ้ำตำแหน่งเดิมทุก ๆ 16 วัน ความกว้างของแนวถ่ายภาพ 185 กิโลเมตร ประกอบด้วยระบบบันทึกภาพ 2 ชนิด คือ Operation land Image (OIL) และ The Thermal Infrared Sensor (TIRS) จำนวน 11 ช่วงคลื่น ให้รายละเอียดจุดภาพช่วงคลื่น visible, NIR, SWIR  30 เมตร ช่วงคลื่น thermal 100 เมตร และ panchromatic 15 เมตร

ประโยชน์ของภาพที่จะนำไปใช้ : 

  • การจัดทำแผนที่ scale ใหญ่
  • การจำแนกการใช้ประโยชน์ที่ดิน
  • การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่
  • การวิเคราะห์ดินและพืชพรรณ – Soil/vegetative analysis
  • การศึกษาด้านธรณีวิทยา อาทิ น้ำมัน ก๊าซ เหมืองแร่ เป็นต้น
  • การติดตามพื้นที่ด้านสิ่งแวดล้อม
  • การวัดปริมาณน้ำ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ชายฝั่ง
  • การวิเคราะห์มลภาวะ และหมอกควัน 
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : GISTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

กรมชลประทาน ยืนยันแผ่นดินไหว เชียงใหม่ล่าสุด ไม่กระทบเขื่อนเชียงใหม่-เชียงราย

 
เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 รายงานข่าวจากกรมชลประทาน ระบุว่า ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว บริเวณตำบลเวียง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อเวลา 05.31 น. ของวันนี้ (1 เมษายน 2567) มีขนาด 3.0 ที่ความลึก 6 กิโลเมตร นั้น
 
 
กรมชลประทาน โดยส่วนวิศวกรรมธรณี และส่วนความปลอดภัยเขื่อน ได้ร่วมกันเข้าตรวจสอบค่าความเร่งสูงสุดจากสถานีตรวจวัดแผ่นดินไหวของสำนักสำรวจด้านวิศวกรรมและธรณีวิทยา ในพื้นที่เขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าความเร่งสูงสุดที่ตรวจวัดได้มีค่าเท่ากับ 0.0000532g ซึ่งต่ำกว่าค่าความเร่งของพื้นดินจากแผ่นดินไหวที่ใช้ในการออกแบบอย่างมาก (ค่าที่ใช้ในการออกแบบจะไม่น้อยกว่า 0.2g) ดังนั้นเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ จึงไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของตัวเขื่อนทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลางที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมชลประทาน ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงแต่อย่างใด
 
 
ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้ออกแบบเขื่อนทุกแห่ง ให้สามารถรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว นอกจากนี้ ได้ดำเนินการตรวจสอบ และติดตามข้อมูลทางสถิติของค่าความเร่งสูงสุดที่เกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวตลอดเวลา เพื่อนำมาประเมินสถานการณ์ รวมทั้งแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเขื่อน เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ท้ายเขื่อน มีความมั่นใจ และเชื่อมั่นในความปลอดภัยแข็งแรงของเขื่อน
 
 
ซึ่งเขื่อนแม่กวงอุดมธารา เป็นเขื่อนดินเก็บกักน้ำ ปิดกั้นลำน้ำแม่กวง ตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เขื่อนหลัก เขื่อนฝั่งขวา และเขื่อนฝั่งซ้าย ระดับสันเขื่อนสูงกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง 390 เมตร มีพื้นที่อ่างเก็บน้ำที่ระดับกักเก็บ 15 ตารางกิโลเมตร ปริมาณน้ำไหลลงอ่าง 204 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตร 148,400 ไร่ ครอบคลุมพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ด อำเภอสันทราย อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ อำเภอบ้านธิ และอำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน
 
 
สร้างขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 โดยกรมชลประทาน เริ่มสำรวจออกแบบ และก่อสร้าง ในปี พ.ศ. 2520 พร้อมทั้งขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเพื่อขอใช้เงินกู้จากต่างประเทศ โดยขอกู้เงินจากญี่ปุ่น ในระหวาง พ.ศ. 2525 ถึงปี พ.ศ. 2530 รวมเป็นเงิน 7,000.5 ล้านเยน 
 
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเขื่อนว่า เขื่อนแม่กวงอุดมธารา เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 ในปี พ.ศ. 2558 กรมชลประทาน ได้เริ่มต้นดำเนินโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนแม่กวงอุดมธารา โดยการก่อสร้างอุโมงค์ผันน้ำขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 เมตร ด้วยงบประมาณกว่า 15,000 ล้านบาท เพื่อผันน้ำจากลำน้ำแม่แตง และเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล มายังเขื่อนแม่กวงอุดมธารา
 
ส่วนแผ่นดินไหวที่เชียงรายใหม่ทีมข่าวได้มีการตรวจสอบย้อนหลังไปตั้งแต่ช่วงเช้ามือดพบว่ามีแผ่นดินไหวที่เชียงใหม่ ติดเนื่องในวันที่ 1 เม.ย. 2567
 
เวลา 03:25 น.แผ่นดินไหว ต.ป่าไผ่ อ.สันทรา จ.เชียงใหม่(18.92°N,99.07°E) ขนาด 2.8 ลึก 4 กม. 
 
เวลา 05:31 น. แผ่นดินไหว ต.เวียง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่(19.37°N,99.23°E) ขนาด 3.0 ลึก 6 กม. 

เวลา 05:40 น.แผ่นดินไหว ต.เวียง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่(19.38°N,99.19°E) ขนาด 1.7 ลึก 5 กม. 
 
เวลา 06:01 น. แผ่นดินไหว ต. ป่าตุ้ม อ.พร้าว จ.เชียงใหม่(19.36°N,99.29°E) ขนาด 1.5 ลึก 3 กม. วันที่ 1 เม.ย. 2567  

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข้าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI TOP STORIES

ผู้ว่าฯ เชียงราย สั่งเตรียมเฮลิคอปเตอร์ จากเชียงใหม่เสริมภารกิจดับไฟป่า

 

เมื่อวันที่20 มีนาคม 2567 ที่ห้องศูนย์ปฏิบัติการหมอกควันไฟป่า และ PM2.5 จังหวัดเชียงราย นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์หมอกควันไฟป่า และฝุ่นPM2.5 โดยใช้เฮลิคอปเตอร์ KA-32 (Kamov Ka-32 ) ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย 

 

ในการดับไฟป่ากรณีพื้นที่สูงชัน หรือพื้นที่ ที่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ และเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ดูแลเป็นกรณีพิเศษในพื้นที่ 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอแม่จัน เมืองเชียงราย แม่สรวย และอำเภอเวียงป่าเป้า และเตรียมการรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ในโอกาสเสด็จมา ทรงประกอบพิธีตัดหวายลูกนิมิตอุโบสถบุญชุ่มรัตนปุรีศรีธรรมราชา ณ วัดพระธาตุดอยเวียงแก้ว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ในวันที่ 30 มี.ค. 67 โดยมีนายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายครรชิต ชมภูแดง หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดเชียงราย/ พ.อ.พักตร์พงษ์ เงสันเที๊ยะ หน.กลุ่มงานนโยบายแผนและการข่าวฯ กอ.รมน. /นายสุรศักดิ์ วณิชอนุกูล ผู้อำนวยการส่วนสิ่งแวดล้อม ทสจ.ชร. และทีมนักบินผู้เชียวชาญเข้าร่วมประชุม

 

ทั้งนี้ KA-32 สามารถทำการบินต่อเนื่องได้นาน 2 ชั่วโมง 45 นาที ความเร็วเดินทาง 222 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสมรรถนะภาพดับไฟป่าโดยตัวเครื่องมี 2 ใบพัด “Coaxial Rotors” ใบพัด 2 ชั้นหมุนไปในทิศทางตรงข้ามกัน มีท่อดูดน้ำยาว 42 เมตร สูบน้ำ 1 นาที บรรจุได้ 3,000 ลิตร เพื่อนำน้ำไปทิ้งในพื้นที่เกิดไฟไหม้ และฉีดน้ำได้ไกลถึง 50 เมตร โดยเฮลิคอปเตอร์ “Kamov Ka-32” จะถูกใช้ในการปฏิบัติภารกิจป้องกันสาธารณภัย เช่น การควบคุมไฟป่าในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ รวมถึงเหตุสาธารณภัยอื่น ๆ รวมถึงภารกิจการช่วยเหลือและขนย้ายผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่เข้าถึงด้วยความยากลำบาก เนื่องจากมีสมรรถนะในการทรงตัวสูง บินช้า ลอยตัวนิ่งได้นานกว่าเฮลิคอปเตอร์รุ่นอื่น ทนต่อสภาวะอากาศเลวร้ายได้ดี นอกจากนี้ Kamov Ka-32 ได้ทำการบินอย่างเป็นทางการเที่ยวแรกในภารกิจการฝึกควบคุมไฟป่าหมอกควันร่วมกับกองทัพอากาศ ณ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2563
 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

อสังหาเชียงใหม่-เชียงรายแข่งลดราคา กู้ไม่ผ่านพุ่ง คาดในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ดีขึ้น

 
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เปิดเผยว่าจากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคเหนือ 5 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย นครสวรรค์ พิษณุโลก ลำพูน

ในครึ่งหลังปี 2566 พบว่าอุปทานพร้อมขายมี 16,954 หน่วย ลดลงจากครึ่งปีแรก 0.2% แต่มีมูลค่า 68,440 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% แบ่งเป็น

 

  • อาคารชุด 1,795  หน่วย เพิ่มขึ้น 26.3 % มูลค่า 5,289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.3 %
  • บ้านจัดสรร 15,159 หน่วย ลดลง 2.6% มูลค่า 63,151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  0.6 % เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 จำนวนหน่วยพร้อมขายเพิ่มขึ้น 1.9% มูลค่าเพิ่มขึ้น 3.1% ทำให้ภาพรวมปี 2566 มีที่อยู่อาศัยใหม่เข้าสู่ตลาด 3,096 หน่วย มูลค่า 12,287 ล้านบาท

มีหน่วยขายได้ใหม่ลดลง 31.9% และมีหน่วยเหลือขาย 15,441 หน่วย เพิ่มขึ้น 3.6% มูลค่า 62,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5%

คาดการณ์ปี 2567  ภาพรวมเริ่มเป็นบวก ยอดขายใหม่มีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 27.5% และอัตราดูดซับจะขยับขึ้นเป็น 1.8%

 

“จากจำนวนหน่วยเหลือขายแยกตามประเภทก่อสร้าง มีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จเหลือขายถึง 4,877 หน่วยหรือ31.6% ของจำนวนหน่วยเหลือขายทั้งหมด เป็นอาคารชุดอยู่ระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จเหลือขาย 1,543 หน่วย คิดเป็น 10% ส่วนบ้านจัดสรรสร้างเสร็จ 4,040 หน่วย อยู่ระหว่างสร้าง 2,497หน่วย ซึ่งเป็นที่น่าจับตา”นายวิชัยกล่าว

 

นายวิชัย กล่าวว่า สำหรับ 5 ทำเลที่มียอดขายสูงสุดในครึ่งปีหลัง ได้แก่ สันทราย เมืองเชียงราย แม่โจ้ ม.พายัพ และสารภี ส่วน 5 ทำเลที่มีหน่วยเหลือขายสูงสุด ได้แก่ เมืองเชียงราย 1,468 หน่วย มูลค่า 6,418 ล้านบาท สันทราย 1,339 หน่วย มูลค่า 4,434 ล้านบาท บ่อสร้าง-ดอยสะเก็ด 1,279 หน่วย มูลค่า 6,136 ล้านบาท ม.พายัพ 1,209 หน่วย มูลค่า 5,810 ล้านบาทและสนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง 1,169 หน่วย มูลค่า 4,167 ล้านบาท

 

นายวิชัยกล่าวว่า คาดการณ์ปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ 3,142 หน่วย มูลค่า 12,487 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 2,629 หน่วย มูลค่า 11,047 ล้านบาท และอาคารชุด 512 หน่วย มูลค่า 1,440 ล้านบาท โดยภาพรวมมีจำนวนเพิ่มขึ้น 1.5%  และคาดว่าจะมีหน่วยขายได้ใหม่ 4,105 หน่วย มูลค่า 17,323 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 3,034 หน่วย มูลค่า 14,360 ล้านบาท  และอาคารชุด 1,071 หน่วย มูลค่า 2,963 ล้านบาท

 

“จากการลงพื้นที่ภาคสนามพบเชียงใหม่จะแข่งขันลดราคาบ้านจัดสรร ขายดีเป็นบ้านเดี่ยว 3-5 ล้านบาท ส่วนอาคารชุดเน้นของแถมมากกว่าลดราคา ขายดีราคา 2-3 ล้านบาท ส่วนเชียงรายทำเลในเมืองยังได้รับความสนใจ โดยบ้านเป็นราคา 3-5 ล้านบาท อาคารชุด 1.5-2 ล้านบาท และใช้กลยุทธ์ลดราคาจูงใจในการซื้อ” นายวิชัยกล่าว

 

นายชินะ สุทธาธนโชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงราย กล่าวว่า การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯในเชียงราย ยังล้อไปกับเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นเมืองรอง การท่องเที่ยวจึงขึ้นลงตามฤดูกาล ขณะที่สถานการณ์ตลาดกลุ่มบ้านเดี่ยวยังขยายตัวได้ดีโดยเฉพาะราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป ลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่กลุ่ม 1-3 ล้านบาท ชะลอตัวลงอย่างชัดเจนและตลาดมีสต๊อกสะสมอยู่จำนวนมา ทำให้การแข่งขันในตลาดรุนแรง และโดยมากถูกพัฒนาโดยบริษัทอสังหาท้องถิ่นรายเล็ก มีปัญหาขาดสภาพคล่อง ต้องใช้กลยุทธ์ลดราคาขายเพื่อดึงกระแสเงินสดกลับมา ขณะที่การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดแข่งขันสูง คาดในช่วงครึ่งหลังปี 2567 ตลาดอสังหาฯเชียงรายน่าจะมีการปรับตัวดีขึ้น

 

นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯเชียงใหม่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์ภาคการท่องเที่ยวและต่างชาติที่เข้ามาจำนวนมาก โดยปี 2566 มีกว่า 3.5 ล้านคน เติบโต 50% จากปีก่อน โดยชาวจีนยังเป็นกลุ่มหลัก กว่า 50% รองลงมาอินเดีย ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยในระยะยาว ทำให้ทุกโครงการของบริษัทที่เปิดขายตั้งแต่ปี 2565 ถึงปัจจุบันมีต่างชาติจองซื้อเกือบเต็ม
โควต้า 49%แล้ว

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

นุ่งซิ่นตีนจก แอ่วแม่แจ่ม ม่วนใจ๋ เปิดขบวนรถผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า

 

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีเปิดงาน “มหกรรมผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า อำเภอแม่แจ่ม ครั้งที่ 29 ประจำปี 2567” โดยมี นายสุรพล เกียรติไชยากร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายชัชวาลย์ ปัญญา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ หัวหน้าส่วนราชการ นายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ คณะกรรมการจัดงาน ประชาชนชาวอำเภอแม่แจ่ม แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ณ เวทีกลางหน้าที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม ภายในงานพบกับขบวนเปิดงานมหกรรมฯ และการประกวดรถขบวนผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า จากนั้นปลัดวธ.พร้อมคณะ เดินชมนิทรรศการแม่แจ่มยั่งยืน คืนชีวิตให้แจ่ม แบบบูรณาการและเยี่ยมชมนิทรรศการผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า ลานวัฒนธรรม บ้านชนเผ่า การละเล่นพื้นบ้าน/ชนเผ่า (พิธีขึ้นบ้านใหม่ของ พี่น้อง ชนเผ่าทั้ง 4 ชนเผ่า คือ ชนพื้นเมือง ชนเผ่าม้ง ชนเผ่าล้ำวะ ชนเผ่ากะเหรี่ยง) ณ ลานหน้าที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม

 

นางยุพา กล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) มุ่งขับเคลื่อนงานศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม ปรับบทบาทสู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน จึงได้สนับสนุนการจัดงานมหกรรมผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่าอำเภอแม่แจ่ม ครั้งที่ 29 ประจำปี 2567 เพื่อส่งเสริมให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับประชาชน จากการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ซึ่งนับว่าเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่พี่น้องชาวอำเภอแม่แจ่ม ทุกภาคส่วนในพื้นที่ได้ร่วมกันจัดกิจกรรม เพื่อส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่งดงาม ผ้าตีนจกแม่แจ่มเป็นผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงของอำเภอแม่แจ่มและจังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้ง อำเภอแม่แจ่ม นอกจากจะมีผ้าตีนจกที่มีชื่อเสียงแล้ว ยังมีศิลปภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมชนเผ่าที่งดงาม ที่สมควรได้รับการส่งเสริมและอนุรักษ์ให้อยู่คู่กับอำเภอแม่แจ่มสืบไป ทั้งนี้ งานดังกล่าวจึงนับเป็นการส่งเสริมอาชีพของประชาชนในอำเภอแม่แจ่ม ให้สามารถพัฒนาเป็นอาชีพหลัก ส่งเสริมการท่องเที่ยวของอำเภอแม่แจ่มด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่โดดเด่น มีอัตลักษณ์อย่างแท้จริง อีกทั้งการต่อยอดหลังจากการเปิดงานในครั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรม พร้อมเป็นหน่วยงานผลักดัน สนับสนุน ฟื้นฟู และคุ้มครองงานภูมิปัญญาท้องถิ่น อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภูมิปัญญา ที่มีเอกลักษณ์ของชาวชาติพันธุ์ ชนเผ่าต่างๆ สอดคล้องกับรัฐบาลที่มุ่งให้ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ หรือเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาชาติพันธุ์ ได้ให้คำปรึกษาและดำเนินงานคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ตามร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ…

 

ด้านนายสุระวุธ จันทร์งาม นายอำเภอแม่แจ่ม คณะกรรมการจัดงานฯงานมหกรรมผ้าตีนจกแม่แจ่ม กล่าวว่า งานมหกรรมผ้าตีนจกแม่แจ่ม จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2537 มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งการจัดงานในปี 2567 นี้ นับเป็นการจัดงานครั้งที่ 29 ชื่องานว่า “งานมหกรรมผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า อำเภอแม่แจ่ม ครั้งที่ 29 ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 14-18 กุมภาพันธ์ 2567 ณ บริเวณลานหน้าที่ว่าการอำเภอแม่แจ่ม ลานหน้าสถานีตำรวจภูธรแม่แจ่ม และลานหน้าสำนักงานสาธารณสุขอำเภอแม่แจ่ม เพื่อส่งเสริมอนุรักษ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าตีนจกและผลิตภัณฑ์ชนเผ่าอำเภอแม่แจ่ม ศิลปะภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมชนเผ่าแม่แจ่ม ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวอำเภอแม่แจ่ม สร้างงาน สร้างรายได้ พัฒนาเศรษฐกิจในชุมชน รวมทั้งยกย่องเชิดชูเกียรติแม่ครูผ้าทอและผู้ก่อตั้งการจัดงานผ้าตีนจกแม่แจ่มด้วย

 

สำหรับกิจกรรมภายในงาน ตลอดการจัดงานทั้ง 5 วัน มีนิทรรศการมากมายให้เลือกชม อาทิ นิทรรศการภูมิปัญญาท้องถิ่น ลานวัฒนธรรมบ้านชนเผ่า นิทรรศการผ้าตีนจกและผ้าทอชนเผ่า นิทรรศการแสง สี เส้นทอ และนิทรรศการโครงการหลวงในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม ม่วนอกม่วนใจ๋ไปกับความบันเทิงภายในงาน อาทิ การประกวดธิดาผ้าตีนจก และธิดาชนเผ่าและไทใหญ่ การประกวดรำวงย้อนยุค กิจกรรมการแสดงชนเผ่า ขบวนแห่ผ้าตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่า การเดินแฟชั่นโชว์ผ้าตีนจกและผ้าชนเผ่า แบบโบราณและแบบประยุกต์ การประกวดธิดาจำแลงแม่แจ่ม การแสดงดนตรีของเยาวชนอำเภอแม่แจ่ม พร้อมชวนช้อปร้านจำหน่ายสินค้าของโครงการหลวง การออกร้านจำหน่ายผ้าตีนจก ผลิตภัณฑ์กลุ่มโอทอป และ ผลิตภัณฑ์ชนเผ่า กาดมั่วคัวฮอม ณ สาธารณสุขอำเภอแม่แจ่ม

 

ทั้งนี้ แม่แจ่ม เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ตั้งอยู่ในหุบเขาซึ่งมีเทือกเขาถนนธงชัยและ ดอยอินทนนท์ล้อมรอบ สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและป่าไม้ ซึ่งถือเป็นแหล่งต้นน้ำ ที่สำคัญของภาคเหนือ นับเป็นหนึ่งในชุมชนไม่กี่แห่งของไทยที่ยังคงรักษาและสืบทอดมรดกพื้นเมืองซิ่นตีนจก และ ผ้าทอหลายประเภท อันเป็นศิลปหัตถกรรมที่มีคุณค่าทั้งความงดงามและความหมาย วิถีชีวิตของ คนแม่แจ่ม ยังคงมีเอกลักษณ์เฉพาะตนของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยวน ไม่ว่าจะเป็นประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน และเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตที่ผูกพันกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและศรัทธาต่อศาสนา

 

“ผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่ม” เป็นงานหัตถกรรมผ้าทอพื้นบ้านของผู้หญิงในอำเภอแม่แจ่มที่เกิดจากฝีมือการทออย่างประณีตตามกรรมวิธีการทอและการสร้างลวดลายบนผืนผ้าด้วยเทคนิคการจกแบบดั้งเดิมที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและเป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาของกลุ่มชนชาวไทยวนในอำเภอแม่แจ่ม ทำให้เกิดเป็นผ้าที่มีลวดลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะท้องถิ่นของชาวแม่แจ่มที่มีความงดงาม เป็นผ้าซิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่เหมือนที่อื่น มีความละเอียดประณีต ลวดลายอ่อนช้อย มีความหมายในตัวเอง ความประณีตของลวดลายเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้มีอารมณ์เยือกเย็นสุขุมมีกฎเกณฑ์ บางผืนอาจซ่อนเร้นเรื่องราวและเนื้อหาที่สามารถเล่าขานถึงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชน การตั้งถิ่นฐาน เชื้อชาติ สภาพภูมิศาสตร์ ความเชื่อ และประเพณี นอกจากนี้ยังเป็นผ้าทอที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเชียงใหม่ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ สันนิษฐานว่าซิ่นตีนจกแม่แจ่มน่าจะมีขึ้นในยุคสมัยที่พุทธศาสนาของล้านนามีความเจริญรุ่งเรือง จากลวดลายของซิ่นตีนจกแม่แจ่ม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความคิด ความเชื่อทางพุทธศาสนา จากองค์ประกอบของซิ่นตีนจกแม่แจ่มจะปรากฏลวดลายต่างๆ เช่น โคม ขัน นาค หงส์ น้ำต้น สะเปา อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญของความเชื่อทางพุทธศาสนา

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

ปลัดฯ จตุพร ลงพื้นที่แม่แจ่ม ติดตามการแก้ไขปัญหาที่อยู่ที่ทำกิน

 

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (รมว.ทส.) มอบหมายให้ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ลงพื้นที่ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ติดตามผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยทำกิน และการป้องกันไฟป่าในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่แจ่ม พร้อมเป็นสักขีพยานในการมอบสมุดประจำตัวให้แก่ราษฎรที่ได้รับการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่แจ่ม ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 และ 2 ท้องที่อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 11,294 ราย เนื้อที่ 18,529 แปลง จาก นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ ให้กับผู้แทน 6 ตำบล ใน อ.แม่แจ่ม โดยมี นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่ ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ อบต. กองแขก อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่

 

ปลัด ทส. กล่าวว่า รัฐบาลนำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาที่ทำกินให้กับประชาชน โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.แม่แจ่ม ถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของกระทรวงฯ ต้องขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ที่ร่วมแรงร่วมใจกันแก้ไขปัญหาใน อ.แม่แจ่ม ให้สำเร็จลุล่วง การมอบสมุดประจำตัวผู้อยู่อาศัยทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติครั้งนี้ จะทำให้ประชาชนสามารถพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในพื้นที่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และสิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นต่อไปจากนี้ คือ ปฏิญญาว่าด้วยการบริหารจัดการแม่แจ่มโมเดล ที่จะนำแม่แจ่มไปสู่ความยั่งยืน ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ต่อไป

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
CULTURE

เชียงใหม่ เปิดกิจกรรมตามรอยเส้นทางธรรมแห่งศรัทธา วัดพระสิงห์

 

เมื่อวันเสาร์ที่ 27 มกราคม 2567 เวลา 18.00 น. จังหวัดเชียงใหม่ จัดพิธีเปิดกิจกรรมตามรอยเส้นทางธรรมแห่งศรัทธา สักการะพระธาตุประจำปีเกิด ภายใต้โครงการจาริกเส้นทางบุญในมิติทางศาสนา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม จังหวัดเชียงใหม่ คณะสงฆ์จังหวัดเชียงใหม่ และสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้คัดเลือกวัดที่ร่วมโครงการ ดังนี้

  1. วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร พระมหาธาตุเจดีย์พระธาตุประจำปีเกิดปีมะโรง
  2. วัดเจ็ดยอด พระเจดีย์ศรีมหาโพธิ์พุทธคยา พระธาตุประจำปีเกิดปีมะเส็ง
  3. วัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร พระบรมธาตุดอยสุเทพ พระธาตุประจำปีเกิดปีมะแม
  4. วัดเกตการาม พระธาตุเกศแก้วจุฬามณี พระธาตุประจำปีเกิดปีจอ

 

 

โดยมีพระพรหมเสนาบดี เจ้าคณะภาค 7 เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวต้อนรับ นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวรายงาน พร้อมด้วยนางโชติกา อัครกิจโสภากุล รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม วัฒนธรรมจังหวัดภาคเหนือ 16 จังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ หน่วยงาน องค์กร ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมพิธี ณ วัดพระสิงห์ วรมหาวิหาร ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

 

ในการนี้ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย โดย นายพิสันต์  จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยนางสุพรรณี เตชะตน นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ เข้าร่วมงานดังกล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สนง.วัฒนธรรม เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News