Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

‘พิสันต์’ ถ่ายทอดฟื้นฟูเชียงราย งานมหกรรมดนตรีพื้นบ้าน

 

เมื่อวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงรายได้จัดงานมหกรรมดนตรีพื้นบ้านจังหวัดเชียงรายภายใต้โครงการบูรณาการการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัด โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 3 – 4 สิงหาคม 2567 เวลา 11.00 – 20.00 น. ณ ลานกาสะลอง ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย กิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดและฟื้นฟูอัตลักษณ์ดนตรีท้องถิ่นภาคเหนือของจังหวัดเชียงรายตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ซึ่งประกอบด้วยเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน

งานนี้ได้รับเกียรติจากนายพิสันต์ จันทร์ศิลป์ วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมมอบรางวัลให้แก่ทีมที่ชนะการประกวดตีกลองสะบัดชัย นางพรทิวา ขันธมาลา ผู้อำนวยการกลุ่มยุทธศาสตร์และเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กล่าวรายงานเกี่ยวกับความสำคัญของกิจกรรมนี้

ภายในงานมีการจัดกิจกรรมหลากหลาย เช่น การประกวดตีกลองสะบัดชัยสำหรับเด็กและเยาวชนอายุไม่เกิน 25 ปี ซึ่งมีทีมที่ผ่านการคัดเลือกเข้ามาแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศจำนวน 5 ทีม การจัดนิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับดนตรีพื้นบ้านล้านนา ได้แก่ สะล้อ ซอ ซึง ปี่พาทย์ล้านนา และกลองสะบัดชัย การแสดงดนตรีและการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมและเครื่องดนตรีพื้นบ้านล้านนา และกิจกรรมกาดหมั้วคัวเมือง

การฟื้นฟูอัตลักษณ์ดนตรีท้องถิ่น

การจัดงานมหกรรมดนตรีพื้นบ้านจังหวัดเชียงรายในครั้งนี้มีความสำคัญในการฟื้นฟูและรักษาอัตลักษณ์ดนตรีท้องถิ่นภาคเหนือ ซึ่งถือเป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่มีค่าของพื้นที่ งานนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจในดนตรีพื้นบ้านของเยาวชนและประชาชนทั่วไป แต่ยังเป็นการสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมท้องถิ่น

การสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต

การฟื้นฟูและรักษาอัตลักษณ์ดนตรีท้องถิ่นไม่เพียงแต่ช่วยรักษามรดกทางวัฒนธรรม แต่ยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคตได้หลายทาง การสร้างความรู้ความเข้าใจและความชื่นชอบในดนตรีพื้นบ้านสามารถกระตุ้นการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ซึ่งจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงราย นอกจากนี้ การเปิดโอกาสให้เยาวชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนี้ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้สนใจเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านดนตรีพื้นบ้าน

การจัดนิทรรศการและกิจกรรมต่างๆ ภายในงานยังเป็นการสร้างโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมและเครื่องดนตรีพื้นบ้านล้านนาให้ได้รับความนิยมและมีตลาดที่กว้างขวางมากขึ้น การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวัฒนธรรมและเครื่องดนตรียังสามารถเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญให้กับชุมชนท้องถิ่น

การจัดกิจกรรมนี้จึงเป็นการส่งเสริมให้ดนตรีพื้นบ้านเชียงรายยังคงอยู่และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจท้องถิ่นในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
MOST POPULAR
FOLLOW ME
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

‘สุดาวรรณ’ เยือนชุมชนปกาเกอะญอ จัดพื้นที่คุ้มครองวีถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

 
เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่ติดตามการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยได้เดินทางไปติดตามการดำเนินงานตามแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยง ณ ชุมชนปกาเกอะญอ บ้านห้วยหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย โดยเยี่ยมชมและร่วมหารือกับชุมชนถึงแนวคิดการจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ของชุมชน เป็นต้นแบบให้กับชุมชน ชาติพันธุ์ในหลายพื้นที่
 
ในโอกาสนี้ นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังเยี่ยมชมการบริหารจัดการพื้นที่ชุมชนว่า “รู้สึกยินดีมาก ที่ได้มาเห็นรูปธรรมความสำเร็จของชุมชนพี่น้องปกาเกอะญอ บ้านห้วยหินลาดใน ซึ่งเป็นชุมชนที่ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 สิงหาคม 2553 ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ เพราะได้เห็นถึงแนวทางการจัดการที่ดีของชุมชน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของชุมชนชาติพันธุ์ที่สามารถพึ่งตนเองได้บนฐานทุนทางวัฒนธรรม ที่สำคัญ คือ การกำหนดเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นแนวทางที่นอกจากจะทำให้ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นแล้ว ยังทำให้ลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างชุมชนกับเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ และเป็นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องชาติพันธุ์ด้วยมิติวัฒนธรรม ทำให้ชุมชนมีความมั่นคงในชีวิต สามารถทำธุรกิจและสร้างรายได้ได้อย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กับการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล จึงเห็นว่านี่เป็นรูปธรรมของการใช้พลังทางวัฒนธรรม หรือ Soft Power เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาความเดือนร้อนของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์”
 
นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล กล่าวด้วยว่า “รัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน มีนโยบายที่ชัดเจนที่จะดูแลพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีงาน มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ให้เป็นกฎหมายที่จะคุ้มครองสิทธิและส่งเสริมศักยภาพของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มในประเทศไทยอย่างเสมอภาคกัน ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างกระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว เชื่อว่าเมื่อกฎหมายนี้ประกาศใช้แล้วจะเป็นหลักประกันให้ชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์มีความมั่นคงในชีวิต สามารถประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืน ดำรงอยู่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีรายได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี มากไปกว่านั้น คือ เป็นประโยชน์กับประเทศที่เราจะได้โอบรับความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ไว้เป็นทุนทางวัฒนธรรมของชาติ ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนด้วยทุนทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ และทุนวัฒนธรรมที่หลากหลาย”
 
“ประโยชน์กับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มในประเทศไทย และการที่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมเยือนชุมชนพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ บ้านห้วยหินลานใน ในวันนี้ นอกจากได้เห็นและให้กำลังใจพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์แล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้มาบอกกล่าวกับพี่น้องให้ได้ร่วมยินดีที่ในอีกเร็ววันนี้ที่เราจะมีกฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ฉบับแรกของประเทศไทย” นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล กล่าวปิดท้าย
 
บ้านห้วยหินลาดใน เป็นชุมชนปกาเกอะญอ ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ชาวบ้านห้วยหินลาดในอยู่ที่นี่มานานกว่า 150 ปี ได้รับการประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ นำร่อง 1 ใน 4 พื้นที่ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยง โดยชาวบ้านได้จัดทำข้อตกลงในการดูแลป่าชุมชนบนฐานวัฒนธรรมและข้อห้ามตามประเพณี ทำให้ชุนชนที่มีจำนวนชาวบ้านเพียงกว่าร้อยชีวิต สามารถรักษาผืนป่ากว่า 10,000 ไร่เอาไว้อย่างสมบูรณ์
 
นอกจากนี้ชุมชนยังประสบความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชนโดยเฉพาะกาแฟ ชา และน้ำผึ้ง สร้างรายได้ให้กับชุมชนจำนวนมาก การจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนของชุมชนบ้านห้วยหินลานในได้รับการยอมรับจากในประเทศและต่างประเทศ โดยได้รับรางวัลลูกโลกสีเขียว เมื่อปี 2548 และได้รับรางวัลชุมชนต้นแบบการจัดการทรัพยากรบนฐานวัฒนธรรมของชุมชนที่ประเทศมาเลเซียเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมาอีกด้วย
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI CULTURE

รมว.วัฒนธรรม เยี่ยมบ้านเมืองรวง ชุมชนโดดเด่นด้านเศรษฐกิจพอเพียง

 

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567 ที่บ้านเมืองรวง ตำบลแม่กรณ์ อำเภอเมืองเชียงราย นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมลงพื้นที่เยี่ยมชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเมืองรวง จังหวัดเชียงราย เพื่อติดตามผลการดำเนินโครงการกิจกรรมของกระทรวงวัฒนธรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 – 2568 ระหว่างวันที่ 3 – 4 สิงหาคม 2567 ณ จังหวัดเชียงราย โดยมี นายสถาพร เที่ยงธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม นายวิเชียร สุขสร้อย เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายวันชัย จงสุทธานามณี นายกเทศมนตรีนครเชียงราย นายธนรัช จงสุทธานามณี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายบุญส่ง ตินารี นายอำเภอเมืองเชียงราย วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม หัวหน้าและผู้แทนส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และชาวชุมชนชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเมืองรวง เข้าร่วม

 
ในการนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้กราบนมัสการพระพระณัฐวัฒน์ กิตฺติโสภโณ เจ้าอาวาสวัดท่าไคร้ บ้านเมืองรวง ต.แม่กรณ์ อ.เมือง จังหวัดเชียงราย และร่วมรับฟังผลการดำเนินงานของชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเมืองรวง และเยี่ยมชมผลิตภัณฑ์และสินค้าชุมชน
 
ทั้งนี้ ชุมชนคุณธรรมฯ บ้านเมืองรวง อยู่ที่หมู่ 5 ตำบลแม่กรณ์ อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย เป็นชุมชนชาวไทยวนและมีชาติพันธุ์อาข่าอพยพมาอยู่ในชุมชนร่วมกันอย่างเอื้ออาทรและสามัคคี ชุมชนก่อตั้งประมาณปี พ.ศ. 2397 ผู้ริเริ่มสร้างหมู่บ้านครั้งแรก เป็นชาวลวงซึ่งเดินทางมาจากจังหวัดเชียงใหม่ โดยให้ชื่อหมู่บ้านว่า บ้าน “เมืองลวง” ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2527 ได้เปลี่ยนชื่อหมู่บ้านเป็นบ้าน “เมืองรวง”
 
ชุมชนแห่งนี้มีความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจพอเพียง ได้รับคัดเลือกเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ อยู่เย็น เป็นสุขดีเด่น ระดับเขตและระดับภาค ชุมชนต้นแบบจัดการขยะ ชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี และได้รับคัดเลือกจากกระทรวงวัฒนธรรมเป็น 1 ใน 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ“เที่ยวชุมชน ยลวิถี” ต่อเนื่องกัน 2 ปี ได้แก่ ปี 2564 และ 2565 มีกิจกรรมท่องเที่ยววิถีชุมชน หมู่บ้านน่าอยู่ ผักปลอดสารพิษ ผลิตภัณฑ์และสินค้าชุมชน เช่น กาแฟ น้ำพริกตาแดงปลาช่อนป่น มะขามแก้ว ผลิตภัณฑ์จักสาน สบู่สมุนไพร และ “แหนมหมู”หรือ “จิ้นส้ม” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT) ที่ขึ้นชื่อของชุมชนแห่งนี้ เพื่อจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยวผ่านตลาดวัฒนธรรม“สุดสาย ยายกอง” และมีลานวัฒนธรรมสร้างสุข นำเสนอความเข้มแข็งของชุมชน ศิลปะและวัฒนธรรมประเพณีอันงดงามของชุมชน เช่น การแสดงฟ้อนเล็บ การแสดงชาติพันธุ์อาข่า เป็นต้น แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เช่น วัดท่าไคร้ วัดพุทธมิ่งโมลี และเทศกาล ประเพณีท้องถิ่น เช่น พิธีสงเคราะห์ทำบุญสืบชะตาหมู่บ้านเนื่องในประเพณีปี๋ใหม่เมือง ประเพณีตานก๋วยสลาก เป็นต้น
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

อบจ.เชียงราย ยกระดับศักยภาพ สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ (YEC) Chiang Rai

 

เมื่อวันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม 2567 เวลา 09.00 น. นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย เป็นประธานเปิดโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงรายสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ พร้อมด้วย นางทานตะวัน แสนพิช สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย อำเภอเมือง เขต 7 นายญาณาฤทธิ์ หนสมสุข รองปลัดองค์การบริหาร ส่วนจังหวัดเชียงราย

นายวิญญู ทองทัน เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กลุ่มผู้ประกอบการรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) Chiang Rai ร่วมการเปิดโครงการ โดยมี นางศศิธร ดวงใจประเสริฐ ผู้อำนวยการกองคลัง เป็นผู้กล่าวรายงานในครั้งนี้
 
องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ร่วมกับ สมาคมนักศึกษาเก่ามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และผู้ประกอบการรุ่นใหม่หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) Chiang Rai ดำเนินการจัดอบรมสัมมนาโครงการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงรายสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการสู่การค้าระหว่างประเทศ เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่สร้างช่องทางการตลาดในระบบธรรมดาทั่วไป (ออฟไลน์) จนถึงการค้าผ่านระบบดิจิทัล (ออนไลน์) โดยเล็งเห็นความสำคัญในการสร้างผู้ประกอบการ และเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเพื่อรองรับการค้าระหว่างประเทศที่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางการค้าอย่างต่อเนื่อง 
 
การจัดโครงการในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการในจังหวัดเชียงรายให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำการค้าในเศรษฐกิจยุคใหม่ สามารถประยุกต์การทำการตลาด และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการในทุกระดับ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการดำเนินธุรกิจให้ผู้ประกอบการสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ทำให้เกิดรายได้เพิ่มมากขึ้น และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ เพื่อพัฒนาให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวและเพิ่มความสามารถแข่งขันในการทำการค้าต่อยอดสู่การค้าระหว่างประเทศอันจะเป็นการเสริมสร้างขีดความสามารถตามแนวทาง Thailand 4.0 และสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้ประชาชนในจังหวัดเชียงราย มีรายได้เพิ่มขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้
 
ทั้งนี้ การดำเนินโครงการได้รับความอนุเคราะห์วิทยากรการบรรยาย ประกอบด้วย คุณธีรยสถ์ จิตต์เสนา คุณศรุตนันท์ โสภณิก คุณรวิศ หาญอุตสาหะ โดยมีกลุ่มเป้าหมายได้แก่ ผู้ประกอบการทุกระดับ ประชาชนทั่วไปที่สนใจประกอบธุรกิจ นักเรียน นักศึกษา สถาบันการศึกษา หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการค้าในจังหวัดเชียงราย รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,000 คน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการบูรณาการการทำงานเพื่อประชาชนในท้องถิ่นร่วมกันต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : อบจ.เชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

กอ.รมน.เชียงราย เสริมความสัมพันธ์ สร้างเครือข่ายระดับผู้บริหารของจังหวัด

 

เมื่อวันที่ 3 ส.ค.67 นายพุฒิพงศ์ ศิริมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ในฐาณะ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเชียงราย เป็นประธานเปิดการอบรมการพัฒนาความสัมพันธ์เครือข่ายความมั่นคงระดับผู้บริหาร กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย (พคบ.จังหวัด ช.ร.) รุ่นที่ 2 ประจำปี 2567 โดยมี พ.อ.จักรวีร์ เสนีย์วรยุทธ์ รอง ผอ.รมน.จังหวัดเชียงราย(ท.) นำผู้เข้ารับการอบรม ประกอบด้วยส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และแกนนำกลุ่มมวลชนระดับจังหวัดเข้าร่วม ที่โรงแรม เอ็มบูทีค รีสอร์ท เชียงราย

นายพุฒิพงศ์ กล่าวว่า การอบรมหลักสูตรพัฒนาความสัมพันธ์เครือข่ายความมั่นคงระดับผู้บริหารของ จังหวัดเชียงราย รุ่นที่ 2 ในวันนี้ กอ.รมน.จังหวัดเชียงราย ได้รับมอบหมายจาก กอ.รมน. ให้ดำเนินการจัดอบรมตามแผนการเสริมสร้างความมั่นคง ของสถาบันหลักของชาติ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นด้านความมั่นคงเพื่อให้การปฏิบัติงานตามแผนการขับเคลื่อนงานด้านมวลชน ของ กอ.รมน. โดยการเสริมสร้างมวลชน เพื่อความมั่นคง 
 
รวมทั้งเสริมสร้างความรัก ความสามัคคี ของคนในชาติ การส่งเสริมการปกครอง ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และการสร้างมวลชนเพื่อเป็นกลไกการมีส่วนร่วมในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการของทุกภาคส่วน ให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ต่อไป
 
พ.อ.จักรวีร์ กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์อันเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปอย่างรวดเร็ว มีความซับซ้อนและกระทำได้หลากหลายรูปแบบ อาจเกิดขึ้นได้ทั้งภายนอก และภายในประเทศ ทั้งจากการกระทำของบุคคล หรือภัยจากธรรมชาติ อันเป็นสาธารณภัย
 
ประกอบกับยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาประเทศให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน มีความสงบเรียบร้อย ในทุกระดับตั้งแต่ระดับชาติ สังคม ชุมชน ให้มีความพร้อม สามารถรับมือกับภัยคุกคาม และภัยพิบัติที่
อาจเกิดขึ้น ได้ทุกรูปแบบ ควบคู่ไปกับการป้องกันและแก้ไขปัญหา ในทุกมิติโดยใช้กลไก แก้ไขปัญหาแบบการมีส่วนร่วม และบูรณาการของทุกภาคส่วน ดังนั้น กอ.รมน. 
 
จึงได้กำหนดให้มีการอบรมหลักสูตรดังกล่าวขึ้น เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในสถาบันหลัก และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสร้างองค์ความรู้ ความเข้าใจให้รู้บทบาท และหน้าที่ของ กอ.รมน. และเพื่อบูรณาการ การปฏิบัติงานด้านความมั่นคงของทุกภาคส่วน ตลอดจนเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์และสร้างเครือข่าย ในระดับผู้บริหารของหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และภาคผู้นำมวลชนในระดับจังหวัด 
 
เพื่อสร้างกระบวนการที่มีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคงในระดับจังหวัด และเพื่อขับเคลื่อนระบบการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และมวลชนมีส่วนร่วมปฏิบัติงานและสนับสนุนการปฏิบัติงาน ของส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้องหรือตามที่ได้รับมอบหมายต่อไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

มหกรรมไกล่เกลี่ยช่วยเหลือหนี้ ช่วยเหลือประชาชนให้รับความเป็นธรรม

 

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567 ที่โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย โฮเทล แอนด์คอนเวนชั่น อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และนายกำธร นาคทิพย์ ผอ.สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงราย ผอ.สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงใหม่ ผู้แทนอธิบดีกรมบังคับคดี ร่วมกันทำพิธีเปิดโครงการ “มหกรรมไกล่เกลี่ยช่วยเหลือหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อกี่ศึกษา และหนี้ครัวเรือน ประจำปี 2567” 

โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ เจ้าหนี้ที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้ง 10 หน่วยงาน และสถาบันการเงิน ตลอดจนลูกหนี้ เข้าร่วมพิธีเปิดจำนวนมาก ซึ่งจัดโดยสำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงราย ร่วมกับเจ้าหนี้เข้าร่วมโครงการ ประกอบด้วยสถาบันการเงิน 6 สถาบัน ส่วนราชการ 2 แห่ง และบริษัทเอกชน 1 แห่ง คือ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ บริษัท ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร บริษัทโตโยต้า ลิสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด สหกรณ์การเกษตรเวียงชัย จำกัด และเจ้าหนี้อื้นๆ มาร่วมให้ความรู้ความเข้าใจในด้านต่างๆ สำหรับการไกล่เกลี่ยช่วยเหลือหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา และหนี้ครัวเรือน 

โดยมีผู้ไกล่เกลี่ยของกรมบังคับคดีเป็นคนกลางช่วยไกล่เกลี่ย ให้ความช่วยเหลือคู่ความ ผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้องกับการบังคับคดี เพื่อหาข้อยุติร่วมกัน โดยจะทำให้ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้รับการชำระหนี้ได้รวดเร็วขึ้น เป็นที่พอใจกับทั้งสองฝ่าย ส่งผลให้ปริมาณคดีการยึดทรัพย์ขายทอดตลาด และการอายัดทรัพย์สินลดลง ก่อให้เกิดความสงบสุขในสังคม และช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงความเป็นธรรมได้โดยง่าย และส่งผลให้สามารถยุติข้อพิพาทชั้นบังคับคดีด้วยความรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย อีกด้วย

นายกำธร นาคทิพย์ ผอ.สำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า สำหรับโครงการ “มหกรรมไกล่เกลี่ยช่วยเหลือหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อกี่ศึกษา และหนี้ครัวเรือน ประจำปี 2567” ครั้งนี้ สืบเนื่องจากกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการยึดทรัพย์สิน การอายัดทรัพย์สิน หลังศาลมีคำพิพากษา ได้เห็นความสำคัญของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทชั้นบังคับคดี สืบเนื่องจากลูกหนี้ตามคำพิพากษาหลายรายประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงินชั่วคราว หรือได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID 19) หรือมีเหตุอื่นทำให้ขาดสภาพคล่องทางการเงินจนไม่สามารถชำระหนี้ได้ 
 
เป็นเหตุให้ถูกฟ้องร้องบังคับคดี ถูกยึดทรัพย์ขายทอดตลาด หรือถูกอายัดทรัพย์ ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว กรมบังคับคดี โดยสำนักงานบังคับคดีจังหวัดเชียงราย จึงได้เล็งเห็นความสำคัญของการจัดโครงการ “มหกรรมไกล่เกลี่ยช่วยเหลือหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อกี่ศึกษา และหนี้ครัวเรือน ประจำปี 2567” เป็นประโยชน์และช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าต่อไป
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

รัฐบาลเดินหน้าฟื้นฟูประเทศ 3 เดือน ลดรายจ่าย กระตุ้นเศรษฐกิจไทย

 

เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหา เสริมขีดความสามารถให้กับประชาชนผ่านการสร้างรายได้ ลดรายจ่าย สร้างโอกาส ลดความเหลื่อมล้ำ และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจของกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่าในระหว่างที่รัฐบาลกำลังดำเนินการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ในช่วงไตรมาส 4 โครงการนี้จะลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เพิ่มช่องทางการซื้อขาย ซึ่งเป็นการบรรเทาค่าใช้จ่ายที่ประชาชนจับต้องได้ในช่วงเวลานี้ จัดทำ 3 โครงการร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชน


     นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยว่า ได้จัดทำโครงการฯ ด้วยแนวความคิดตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือแบ่งเบา ผู้ประกอบการรายเล็ก เติมเงินในกระเป๋าให้กับประชาชน และลดภาระค่าครองชีพครั้งใหญ่ กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยจะขับเคลื่อนโครงการฯ กำหนดระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ 20 สิงหาคม – 20 พฤศจิกายน 2567 แบ่งเป็น 3 โครงการ ดังนี้ 


 1. ลดต้นทุนผู้ประกอบการรายเล็ก จะร่วมกับภาครัฐทุกกระทรวง ทำการลดค่าเช่าร้านค้า ค่าเช่าแผงตลาด กว่า 30,000 แผง โดยมีตลาดที่อยู่ในสังกัดกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และตลาดในสังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่สำคัญ รวมทั้งแพลตฟอร์มออนไลน์ เจรจากับกระทรวงมหาดไทยใช้ศาลากลางจังหวัด มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์ประสานงาน มีพาณิชย์จังหวัดขับเคลื่อน และใช้สถานที่ท่องเที่ยว ตลาดใหญ่ ต่างๆ ทั่วประเทศ กระทรวงกลาโหมมีพื้นที่ 3,000 กว่าแห่งที่สามารถเข้าไปใช้ได้ รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวขายสินค้าเป็นกรณีพิเศษกระทรวงสาธารณสุขจะใช้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ลงพื้นที่ประสานงานท้องที่ และสำหรับพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีรถธงฟ้า จะส่งเสริมให้ประชาชนขายผ่านรถพุ่มพวง โดยจะส่งสินค้า อาทิ หมู ไก่ น้ำตาล น้ำมัน สินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน


 2. จัดตลาดนัดพาณิชย์ทั่วประเทศ กำหนดไว้ 4 รูปแบบ คือ 
1) ตลาดพาณิชย์ ให้ผู้ประกอบการรายเล็ก โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัด 76 จังหวัด จะร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนจัดหาพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการรายเล็ก จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันในราคาถูก อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ทั้ง 76 จังหวัด ระยะเวลา 3 เดือน 
2) ตลาดนัดพาณิชย์บวกการจำหน่ายสินค้าธงฟ้า เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายเล็กได้ขายสินค้าและให้ผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าราคาถูก กำหนดจัดในสถานที่ต่าง ๆ เช่น ศาลากลางจังหวัด สถานที่ท่องเที่ยว นิคมอุตสาหกรรม ปั๊มน้ำมัน มหาวิทยาลัย ลานหน้าห้างค้าส่ง-ปลีก ลานหน้าห้างท้องถิ่น หมู่บ้านจัดสรร 
3) ตลาดพาณิชย์ บวกธงฟ้า และหอการค้าแฟร์ จะเป็นงานใหญ่ ลดทั้งจังหวัด 
4) ตลาดพาณิชย์เคลื่อนที่ บวกรถโมบายธงฟ้า จะส่งเข้าถึงพื้นที่ชุมชนห่างไกลทั่วประเทศ


    3. ร่วมมือผู้ผลิตและผู้ค้าส่งรายใหญ่ จัดมหกรรมลดราคาสินค้าครั้งใหญ่ ภายใต้ Campaign “ลดกระหน่ำทั้งประเทศ” และในช่วงเทศกาล โดยมีผู้ประกอบการเอกชนพร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการส่วนนี้กับรัฐบาล 
ประเมินลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนได้ 7,000 ล้านบาท


    หลังจากวันที่ 20 สิงหาคม 2567 จะเปิดพร้อมกันทั่วประเทศ ทุกจังหวัด เป็นความร่วมมือกันของภาครัฐ กระทรวงต่างๆ ภาคเอกชนและสมาคมต่างๆ สภาอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย กลุ่มบริษัทผู้ผลิตสินค้า ยูนิลิเวอร์ ไทยเบฟเวอเรจ เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยให้ไม่กระทบกับร้านค้ารายย่อย และจะดึงร้านค้ารายย่อยให้มีส่วนร่วมในโครงการฯ “ประเมินขั้นต้นว่าสามารถลดค่าใช้จ่ายให้พี่น้องประชาชนได้ประมาณ 7,000 ล้านบาท จะเป็นพื้นฐานก่อนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตออก ให้ประชาชนสามารถเพิ่มการลงทุน ค้าขายได้ทั่วประเทศ ถือเป็นมติให้ดำเนินการและกระทรวงพาณิชย์ จะเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานทั้งหมด” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

“ขนส่งศูนย์เหรียญ” จีนตั้งคลังส่งสินค้า พร้อมรถสิบล้อของจีนโผล่ในไทย

 

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 นายทองอยู่ คงขันธ์ ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย (คนใหม่) เปิดเผยว่า สหพันธ์ฯ กำลังประสานขอเข้าพบนาย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อหาแนวทางรับมือทุนจีน เข้ามาตั้งคลังส่งสินค้า แล้วเปิดกิจการขนส่งเองอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีการนำเข้ารถบรรทุกจากจีนเข้ามาใช้งานเอง ส่งผลให้การจ้างงานผู้ประกอบการขนส่งไทยลดน้อยลง

โดยเฉพาะหลังการเปิดเสรีการค้าอาเซียน-จีน ทำให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทยเป็นจำนวนมาก โดยสินค้าเหล่านั้นมีการใช้รถขนส่งสินค้าของจีนเกือบทั้งหมดผ่านบริษัทนอมินี ซึ่งปัจจุบันประเมินว่า มีสัดส่วนราว 1% ของจำนวนรถบรรทุกในไทย หรือ ราว ๆ 10,000 คัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 10,000 คัน ซึ่งหากมีการดัมพ์ราคาขนส่งด้วย จะทำให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันไม่ได้ ซึ่งหากไม่เตรียมตัว หรือ มีมาตรการรับ มือที่ดีพอ จะทำให้ผู้ประกอบการไทยอยู่ไม่ได้
นอกจากนี้ จะมีการพูดคุยเรื่องการเยียวยากลุ่มรถป้ายเหลืองขนส่งสาธารณะ ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นด้วย ซึ่งจะขอเข้าหารือกับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานด้วย เพื่อขอความชัดเจนเกี่ยวกับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ และการดูแลราคาน้ำมันดีเซลที่ขึ้นมาถึง 33 บาทต่อลิตรกระทบรถบรรทุกจนต้องหยุดวิ่งไปแล้วกว่า 50% ก่อนพิจารณแนวทางกการเคลื่อนไหวของคาราวานม็อบรถบรรทุกในเร็วๆ นี้
 

โดยในที่ประชุมสหพันธ์การขนส่งมีมติ ยังไม่ขึ้นราคาค่าขนส่งเพิ่มจากเดิมที่เคยขึ้น 3-9% ก่อนหน้านี้ และจะยังไม่มีการเคลื่อนไหวของคาราวานม็อบรถบรรทุกเร็วๆ นี้เช่นกัน แต่จะมีการเคาะ 2 แนวทาง ดังนี้

1.สหพันธ์การขนส่งจะขอเข้าพบ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยคาดว่าจะเป็นช่วงต้นเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อหารือรายละเอียดว่าทางกระทรวงพลังงานจะทำอย่างไรต่อไปกับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ โดยเฉพาะการเดินโครงสร้างแก้ไขข้อกฎหมายต่างๆ รวมถึงทางสหพันธ์การขนส่งต้องการไปให้กำลังใจนายพีรพันธุ์ด้วย

2.สหพันธ์การขนส่งเตรียมขอเข้าพบหารือกับ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อหาหาแนวทางร่วมกันว่าทางกระทรวงคมนาคมจะมีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยสหพันธ์การขนส่งในการเยียวยากลุ่มรถป้ายทะเบียนสีเหลืองขนส่งสาธารณะที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้นได้บ้าง ซึ่งคาดว่าจะขอเข้าพบกลางเดือนสิงหาคมนี้

นายทองอยู่กล่าวว่า สถานการณ์ของการวิ่งรถบรรทุกของสมาชิกสหพันธ์การขนส่งนั้น ปัจจุบันภาพรวมค่อนข้างซบเซา รถบรรทุกเกือบ 50% ของสมาชิกต้องจอด ด้วยสาเหตุจากผลกระทบจากราคาน้ำมันดีเซลที่แพงขึ้น งานจ้างขนส่งลดลง และหลังจากมีการปรับค่าขนส่งขึ้น 3-9% ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางรายสู้ไม่ไหว ขอยุติการเดินรถ

“หนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้กิจการรถบรรทุกไทยซบเซาคือ การเข้ามาของพลอตฟอร์มต่างชาติที่เข้ามาตั้งคลังส่งสินค้าเอง เช่น ผู้ประกอบการชาวจีน ที่เปิดกิจการขนส่งอย่างเต็มรูปแบบ รวมทั้งนำเข้ารถบรรทุกจากต่างประเทศเข้ามาใช้งานเอง จึงส่งผลทำให้การจ้างผู้ประกอบการขนส่งรถบรรทุกในไทยลดน้อยลง” นายทองอยู่กล่าว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
SOCIETY & POLITICS

อิ๊งค์ ลุยนำทีมพรรคเพื่อไทยเดินสายช่วยหาเสียงนายก อบจ. พะเยา

 

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2567 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) นำทีมพรรคเพื่อไทยเดินทางถึงท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย โดยมีประชาชนจำนวนมากมาต้อนรับและให้กำลังใจอย่างอบอุ่น ก่อนที่ น.ส.แพทองธาร จะเดินทางต่อไปยัง จ.พะเยา เพื่อช่วยนายธวัช สุทธวงค์ ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) พะเยา หมายเลข 2 หาเสียงในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่จะมีขึ้นในวันที่ 4 สิงหาคม 2567

น.ส.แพทองธาร และทีมพรรคเพื่อไทย ได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัด ณ วัดศรีโคมคำ อ.เมืองพะเยา พร้อมทักทายพี่น้องประชาชนชาวพะเยาที่มาต้อนรับอย่างอบอุ่น ท่ามกลางฝนโปรยปราย ทั้งนี้ พระครูพิศาลสรกิจ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดศรีโคมคำ (พระอารามหลวง) ได้ให้พรแก่ทีมงานทุกคนด้วย

จากนั้น น.ส.แพทองธาร พร้อมด้วย นายธวัช และคณะ ได้เดินทางต่อไปยังหน้าลานอนุเสาวรีย์พ่อขุนงำเมือง อ.เมืองพะเยา เพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพะเยา โดย น.ส.แพทองธาร ได้กล่าวขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มารอต้อนรับ แม้ฝนจะโปรยปรายแต่ก็ยังอยู่ให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง พร้อมขอให้นายธวัช ผู้สมัครนายก อบจ.พะเยา หมายเลข 2 จากพรรคเพื่อไทย ได้รับการเลือกตั้งเพื่อกลับเข้าไปรับใช้พี่น้องประชาชน ด้วยนโยบายมุ่งเน้นส่งเสริมคุณภาพชีวิตทั้งด้านสุขภาพกาย สุขภาพใจของคนพะเยา และมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจพะเยาให้เติบโตตั้งแต่ระดับชุมชนไปถึงระดับจังหวัด

ท่ามกลางเสียงเชียร์ของชาวพะเยาที่เข้ามาทักทายอย่างหนาแน่น น.ส.แพทองธาร ได้แสดงความขอบคุณและยืนยันถึงความมุ่งมั่นของพรรคเพื่อไทยในการทำงานเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง จากนั้น น.ส.แพทองธาร ได้เดินทางไปพูดคุยกับผู้ประกอบการที่กาดหล่ายต้าในช่วงบ่ายต่อไป

การเลือกตั้งท้องถิ่นใน จ.พะเยา นี้ ยังสะท้อนถึงภาพรวมของการเมืองระดับประเทศที่พรรคเพื่อไทยมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งนโยบายการพัฒนาที่จะถูกผลักดันจากระดับท้องถิ่นจะเชื่อมโยงกับนโยบายของรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเมือง

บทบาทของการเมืองท้องถิ่นใน จ.พะเยา นั้นมีผลกระทบอย่างมากต่อภาพรวมของรัฐบาลไทย เพราะการเลือกตั้งนายก อบจ. และการพัฒนาท้องถิ่นนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบการเมืองระดับประเทศ การพัฒนาท้องถิ่นที่มีประสิทธิภาพและการตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริงจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นในรัฐบาล

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย Kick Off 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว

 

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายเป็นประธานเปิดกิจกรรม Kick Off โครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว จังหวัดเชียงราย โดยมี นพ.วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย พญ.อัจฉรา ละอองนวลพานิช ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ คณะผู้บริหาร และบุคลากรสาธารณสุขเชียงราย ร่วมพิธีฯ เปิดกิจกรรม

นายแพทย์วัชรพงษ์ คำหล้า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าผลการดำเนินงานของจังหวัดเชียงราย โครงการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ออกใบรับรองแพทย์ดิจิทัลได้มากกว่า 22,155 ครั้ง ให้บริการการแพทย์และเภสัชกรรมทางไกลผ่านระบบออนไลน์ทุกช่องทาง 20,528 ครั้ง ประชาชนลงทะเบียน Health ID กว่า 477,949 คน ให้บริการประชาชนนัดหมายผ่านระบบออนไลน์ 255 ครั้ง ทั้งนี้หน่วยบริการเอกชนที่เข้าร่วมในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประชาชนใช้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย มีประชาชนเข้ารับบริการคลินิกพยาบาลชุมชนอบอุ่น จำนวนกว่า 223,033 ครั้ง การเยี่ยมบ้านจำนวนกว่า 40,991 ครั้ง รับบริการร้านยาคุณภาพของฉัน จำนวนกว่า 48,885 ครั้ง บริการกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น จำนวน 3,211 ครั้ง บริการคลินิกเทคนิคการแพทย์ชุมชนอบอุ่น จำนวน 13 ครั้ง บริการคลินิกเวชกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 1,726 ครั้ง และบริการคลินิกทันตกรรมชุมชนอบอุ่น จำนวน 911 ครั้ง โดยพบว่าประชาชนที่ใช้บริการแล้ว ส่วนใหญ่จะกลับเข้ามาใช้บริการซ้ำอีก
 
นางสุภาพรรณ หมั่นเจริญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า กิจกรรม Kick Off ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียวในครั้งนี้ เพื่อยกระดับการให้บริการประชาชน จาก 30 บาท รักษาทุกโรค สู่การเป็น 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ ให้ประชาชนชาวเชียงราย สามารถเข้ารับบริการด้านสุขภาพได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ซึ่งเข้ารับบริการได้ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ เอกชน คลินิก ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ (LAB) และร้านขายยาใกล้บ้าน อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพ ควบคุม ป้องกันโรค รักษาพยาบาล และฟื้นฟูสุขภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย เท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ และให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่สะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และคุณภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งสามารถเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ ของตนเองและครอบครัวได้
 
ทั้งนี้ภายในงานยังมีการจัดบูธนิทรรศการ และการให้บริการประชาชน จำนวน 6 บูธ ประกอบด้วย 1. บูธนิทรรศการ ได้แก่ Provider ID (การยืนยันตัวตันผู้ให้บริการ) และ Health ID (การยืนยันตัวตนภาคประชาชน) 2. บูธนิทรรศการ Health Rider (บริการส่งยาถึงบ้าน) 3. บูธนิทรรศการ Telemedicine (การแพทย์ทางไกล) 4. บูธนิทรรศการ หน่วยบริการนวัตกรรมบริการสาธารณสุขวิถีใหม่ (คลินิก, ร้านยาชุมชนอบอุ่น) 5. บูธนิทรรศการ Lab Anywhere (เจาะเลือด ตรวจแล็บ ที่คลินิกแล็บใกล้บ้าน) และ 6. บูธนิทรรศการ การตรวจวัดสมรรถภาพหลอดเลือดแดง จากภาคเอกชน โดยได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงาน และประชาชนมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News