Categories
TOP STORIES

ต้มยำกุ้งขึ้นทะเบียนยูเนสโก มรดกวัฒนธรรมโลกปี 2567

ยูเนสโกขึ้นทะเบียน “ต้มยำกุ้ง” มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติปี 2567

เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 ของ ยูเนสโก ณ นครอซุนซิออน สาธารณรัฐปารากวัย มีมติรับรองให้ “ต้มยำกุ้ง” อาหารชื่อดังของไทย ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ประจำปี 2567 ต่อจาก โขน, นวดไทย, โนรา, และสงกรานต์

ภูมิปัญญาไทยที่สะท้อนวิถีชีวิต

รมว.วธ. ระบุว่า “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการประกาศขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติเมื่อปี พ.ศ. 2554 ในสาขาความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับธรรมชาติและจักรวาล โดยต้มยำกุ้งสะท้อนถึงวิถีชีวิตเรียบง่ายของชาวไทยในชุมชนเกษตรกรรม โดยใช้วัตถุดิบธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น กุ้ง, ข่า, ตะไคร้, ใบมะกรูด, มะนาว, และพริก มาปรุงรสแบบจัดจ้าน

Soft Power ไทยบนเวทีโลก

ปัจจุบัน ต้มยำกุ้งได้รับความนิยมทั่วโลก และเป็นตัวอย่างของ Soft Power ด้านอาหารที่กระทรวงวัฒนธรรมให้การสนับสนุน โดยจะมีการส่งเสริมเมนูต้มยำกุ้งให้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการท่องเที่ยว เมนูสำคัญในงานประชุมระดับนานาชาติ และเป็นเมนูที่ต้องลองเมื่อมาเยือนประเทศไทย

รมว.วธ. ยังกล่าวว่า กระทรวงวัฒนธรรมเตรียมขับเคลื่อนเศรษฐกิจทางวัฒนธรรม โดยใช้ต้มยำกุ้งเป็นตัวเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์, ละคร, เกม และรายการโทรทัศน์ รวมถึงร่วมมือกับธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม และภัตตาคาร เพื่อจัดแคมเปญส่งเสริมยอดขายเมนูต้มยำกุ้ง

กิจกรรมฉลองความสำเร็จ

เนื่องในโอกาสที่ “ต้มยำกุ้ง” ได้รับการขึ้นทะเบียน กระทรวงวัฒนธรรมจัดงาน “ฉลองต้มยำกุ้งและเคบายา มรดกวัฒนธรรมของมนุษยชาติ” ระหว่างวันที่ 6-8 ธันวาคม 2567 ณ Quartier Avenue ชั้น G ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ ภายในงานจะมี:

  • พิธีเปิดงานโดย รมว.วธ.
  • การสาธิตทำต้มยำกุ้งโดยเชฟชื่อดัง เช่น เชฟไอซ์ ศุภักษร และ เชฟตุ๊กตา
  • แฟชั่นโชว์ชุด “เคบายา” และนิทรรศการอาหารเปอรานากัน
  • การแสดงทางวัฒนธรรม และการชิมต้มยำกุ้งฟรี

เคบายา: มรดกอีกหนึ่งรายการที่รอรับรอง

นอกจากนี้ ในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา 19.30 – 22.30 น. ตามเวลาไทย ชาวไทยยังมีโอกาสลุ้นอีกหนึ่งรายการมรดกวัฒนธรรมคือ “เคบายา” ที่เสนอขอขึ้นทะเบียนร่วม 5 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย, บรูไน, อินโดนีเซีย, สิงคโปร์ และไทย

การผลักดันต่อยอด

การได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกฯ ของ “ต้มยำกุ้ง” ถือเป็นการส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมของไทยในระดับสากล พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจจากรากฐานวัฒนธรรมในทุกมิติ โดยกระทรวงวัฒนธรรมมุ่งผลักดันให้เกิดการรับรู้ถึงคุณค่าอันลึกซึ้งของเมนูต้มยำกุ้ง และใช้เป็นแรงขับเคลื่อนเพื่อสร้างรายได้และความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในอนาคต.

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : กระทรวงวัฒนธรรม

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
FOLLOW ME
MOST POPULAR
Categories
SOCIETY & POLITICS

นายกฯ หนุนอาหารให้ไทยเป็น Soft Power เปิดโอกาส Start up

 

เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2566 เวลา 11.30 น. ที่ผ่านมา ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รับฟังการนำเสนอ Thailand Soft Power Halal & Future Food จากนายบุญเลิศ อ่องไพบูลย์ รองประธานคณะกรรมการธุรกิจอาหารแปรรูปและอาหารแห่งอนาคต (PFC) สภาหอการค้าไทย 

นายบุญเลิศ กล่าวว่า อุตสาหกรรมฮาลาล ครอบคลุมสินค้าและบริการ ได้แก่ การเงิน อาหาร แฟชั่น สื่อและสันทนาการ ยาและการแพทย์ ท่องเที่ยว เครื่องสำอาง ฯ มีอัตราการเติบโต 7.5% (2021-2025) มีมูลค่าประมาณ 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (2025) ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ฮาลาล และอุตสาหกรรมฮาลาลไทย ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ โดยอาหารฮาลาล คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของการส่งออกอาหารทั้งหมดของประเทศไทย และร้อยละ 60 ของการส่งออกอาหารฮาลาลไปยังประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน คิดเป็นมูลค่าเกือบ 6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2564/2565 

นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมองเห็นโอกาสในสินค้า Halal ที่เป็นตลาดขนาดใหญ่ซึ่งมีผู้บริโภคจำนวนมาก มีศักยภาพในการจับจ่ายสูง และในกลุ่ม Future food ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เราอยากใช้อุตสาหกรรมอาหารมาเป็นส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนประเทศ และอยากผลักดัน Gastronomy Diplomacy โดยไทยเป็นประเทศแรกที่ผลักดันการทูตเชิงอาหาร (Gastronomy diplomacy) แต่ประเทศเกาหลีใต้ผลักดันได้ไกลกว่าประเทศไทย โดยรัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญทั้งเงินทุน การตลาด การทำหลักสูตร การทำ Certificate การส่งออกอาหาร จะช่วยทำให้สินค้าการเกษตรมีราคาที่ดีขึ้น เพราะเป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าในประเทศทำให้พี่น้องเกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง สร้างองค์ความรู้ด้านอาหารให้ประเทศไทยเป็น Soft Power โดยอาหารไทยรูปแบบใหม่ ๆ จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยว เปิดโอกาสให้ Start up ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอาหาร สามารถเกิดขึ้นได้

นายกรัฐมนตรีฝากให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนภาคเอกชน โดยให้บูรณาการการทำงาน กำหนดแผน กำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจน สอดคล้องกับความต้องการของตลาด และภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนผลักดันให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความมั่นคงด้านอาหาร เป็นแหล่งผลิตอาหารฮาลาลที่หลายประเทศมีความต้องการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News