Categories
FEATURED NEWS

ข่าวดีผู้ใช้ Samsung จอเขียว! สภาผู้บริโภคเปิดให้ยื่นขอคืนเงินค่าซ่อมแล้ววันนี้

ซัมซุงจอเขียวสะเทือนวงการ! สภาผู้บริโภคเปิดศึกคดีกลุ่ม จุดชนวน ‘เลมอน ลอว์’ ยุคใหม่ของการทวงคืนสิทธิ

กรุงเทพฯ, 8 สิงหาคม 2568 – การฟ้องคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ของผู้บริโภคกว่า 100 รายต่อบริษัทซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ประเทศไทย สะท้อนภาพใหม่ของการลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิผู้บริโภคในสังคมไทย ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้ในครั้งนี้ยังเป็นการเปิดเวทีผลักดันกฎหมายใหม่ “เลมอน ลอว์” หรือ พระราชบัญญัติความรับผิดชอบต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า ที่จะปฏิวัติความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายอย่างมีนัยสำคัญ

ปัญหาจากเส้นสีเขียวในจอ สู่คลื่นพลังของผู้บริโภคยุคใหม่

เริ่มต้นจากผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ Samsung Galaxy หลายรุ่นพบปัญหาหน้าจอมีเส้นสีเขียวหรือสีชมพูหลังจากอัปเดตซอฟต์แวร์ ซึ่งไม่เพียงสร้างความไม่สะดวกในการใช้งาน แต่ยังเป็นภาระทางการเงินมหาศาลให้กับผู้บริโภคที่ต้องเสียเงินค่าซ่อมจอใหม่ในราคาตั้งแต่ 7,000–15,000 บาท โดยที่บริษัทปฏิเสธความรับผิดชอบ อ้างว่าเป็นปัญหาที่ไม่อยู่ในประกันหรือเกิดจากการใช้งานของผู้ใช้เอง

เมื่อจำนวนผู้ร้องเรียนเพิ่มขึ้นกว่า 250 ราย สภาองค์กรของผู้บริโภค หรือ “สภาผู้บริโภค” จึงเริ่มลงมือรวบรวมหลักฐาน และในที่สุด ได้ยื่นฟ้องศาลแพ่งกรุงเทพใต้เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2567 โดยมีผู้เสียหาย 119 รายเป็นตัวแทนในการฟ้องคดีแบบกลุ่มต่อบริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด และ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด

เมื่อ “คดีกลุ่ม” กลายเป็นเครื่องมือสร้างความยุติธรรม

นายโสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค อธิบายว่า คดีแบบกลุ่มเป็นกลไกทางกฎหมายที่ทรงพลัง โดยช่วยลดต้นทุนการฟ้องของแต่ละบุคคล และยังส่งผลให้ผู้เสียหายทั้งหมดได้รับการเยียวยาเมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดโดยไม่ต้องแยกยื่นฟ้องใหม่ ซึ่งถือเป็นการสร้างความเป็นธรรมอย่างทั่วถึงในระบบกฎหมาย

“การฟ้องคดีกลุ่มครั้งนี้ไม่เพียงเพื่อซ่อมมือถือ แต่เป็นการซ่อมแซมระบบความยุติธรรมที่ผู้บริโภคไทยควรได้รับมานานแล้ว” นายโสภณกล่าว

จากความเสียหายเฉพาะราย สู่กฎหมายแห่งความเท่าเทียม “เลมอน ลอว์”

การฟ้องคดีซัมซุงจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของสินค้าเสียหาย แต่ยังเปิดโปงช่องโหว่ของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทยที่ไม่ครอบคลุม และเปิดช่องให้ผู้ประกอบการปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างง่ายดาย

สภาผู้บริโภคจึงเดินหน้าผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า หรือที่เรียกกันว่า เลมอน ลอว์” ซึ่งจะให้อำนาจผู้บริโภคในกรณีที่ซื้อสินค้ามีปัญหา โดยสามารถเลือกได้ 5 แนวทาง ได้แก่:

  1. ขอซ่อม
  2. ขอเปลี่ยน
  3. ขอลดราคา
  4. ขอเลิกสัญญาและคืนเงิน
  5. ขอปฏิเสธการชำระเงินงวด (หากเป็นสินค้าที่ผ่อนชำระ)

กฎหมายนี้ได้ถูกใช้ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ และกำลังถูกบรรจุเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของรัฐสภาไทย เพื่อสร้างการปกป้องสิทธิอย่างรอบด้านในสังคมที่เทคโนโลยีและการซื้อขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว

ประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่แค่คดี แต่คือระบบที่ดีกว่า

การฟ้องคดีกลุ่มในกรณีซัมซุงกลายเป็น “ต้นแบบ” ที่สำคัญของการรวมตัวของผู้บริโภคเพื่อปกป้องสิทธิของตนเองอย่างมีระบบ และยังแสดงให้เห็นถึงพลังขององค์กรกลางอย่างสภาผู้บริโภคในการเป็นสื่อกลางและผู้ผลักดันการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย

นางสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวย้ำว่า “นี่เป็นเพียงก้าวแรกของการสร้างเมืองที่ผู้บริโภคอยู่ได้อย่างเป็นธรรม ผู้บริโภคต้องได้รับสิทธิอย่างเต็มที่ และไม่ควรถูกมองว่าเป็นผู้ที่ไม่มีทางเลือก”

จากข้อมูลสถิติปี 2567 (ต.ค. 2566 – ก.ย. 2567) สภาผู้บริโภคได้รับเรื่องร้องเรียนจำนวน 17,028 เรื่อง โดยสามารถดำเนินการช่วยเหลือสำเร็จ 80.10% รวมเป็นเงินชดเชยมากกว่า 236 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทขององค์กรภาคประชาชนที่กำลังเติบโตและกลายเป็นเสาหลักของความยุติธรรมในสังคมยุคใหม่

ซัมซุงไม่ใช่รายแรก และจะไม่ใช่รายสุดท้าย

กรณีของซัมซุงอาจจบลงด้วยคำพิพากษาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่ผลกระทบเชิงโครงสร้างของคดีนี้จะยังคงสั่นสะเทือนตลาดและวงการธุรกิจไปอีกนาน เพราะสิ่งที่ผู้บริโภคเรียกร้องไม่ใช่แค่เงินคืน แต่คือการยอมรับความผิดและการเปลี่ยนแปลงของระบบ

ผู้ประกอบการในอนาคตจะต้องคำนึงถึงคุณภาพสินค้าอย่างแท้จริง เพราะเมื่อเสียงของผู้บริโภครวมพลังกัน เสียงนั้นจะดังเกินกว่าจะเพิกเฉยได้ และผู้บริโภคเองก็ต้องเรียนรู้ว่าตนมีสิทธิมากกว่าที่คิด — หากมีเครื่องมือและองค์กรที่พร้อมยืนเคียงข้างพวกเขา

ประชาชนได้อะไร?

  1. สิทธิตามกฎหมายชัดเจนขึ้น หากเลมอน ลอว์ผ่าน พ.ร.บ. นี้จะกลายเป็นหมุดหมายใหม่ของสิทธิขั้นพื้นฐานในการซื้อสินค้า
  2. เยียวยารวดเร็วขึ้น จากการใช้คดีแบบกลุ่มแทนการฟ้องร้องเดี่ยว
  3. ลดภาระค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องรวมตัวต่อสู้กับบริษัทขนาดใหญ่
  4. เสริมสร้างวินัยให้ผู้ผลิต เพราะทุกการละเลยความรับผิดชอบอาจนำไปสู่การเสียชื่อเสียงและผลกระทบทางธุรกิจในวงกว้าง

สรุป

ในโลกที่เทคโนโลยีเติบโตเร็ว ปัญหาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เสียหายไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ ระบบ” ที่รองรับและเยียวยาอย่างยุติธรรม ซึ่งกรณีซัมซุงจอเขียวครั้งนี้ได้จุดประกายให้เห็นว่า เสียงของประชาชน เมื่อรวมกันอย่างมีพลังและอยู่ภายใต้การนำที่ถูกต้อง ย่อมสามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริง

ใครก็ตามที่ใช้งานโทรศัพท์มือถือ Samsung 11 รุ่นที่ระบุ และมีปัญหาหน้าจอขึ้นเส้นแนวตั้ง ซึ่งได้นำไปซ่อมและชำระเงินค่าซ่อมเองก่อนวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 มีสิทธิยื่นขอคืนเงินค่าซ่อมได้ โดยต้องยื่นเอกสารภายในวันที่ 19 สิงหาคม 2568 เท่านั้น

รุ่นโทรศัพท์ที่เข้าข่าย

มีทั้งหมด 11 รุ่นดังนี้:

  • Note 20 / Note 20 5G
  • Note 20 Ultra / Note 20 Ultra 5G
  • S20 Plus / S20 Ultra
  • S21 FE / S21 Ultra
  • S22 / S22 Plus / S22 Ultra

วิธีการยื่นขอคืนเงิน

ผู้ที่มีสิทธิตามเงื่อนไขสามารถยื่นเอกสารได้ 2 ช่องทาง คือ:

  1. ออนไลน์: ผ่านเว็บไซต์สภาผู้บริโภคที่ลิงก์ https://www.tcc.or.th/samsung-greenline/
  2. ออฟไลน์: (ไม่มีระบุไว้ในข้อมูล)

เอกสารที่ต้องใช้

ในการยื่นเรื่องขอคืนเงิน ต้องแนบเอกสารดังต่อไปนี้:

  • สำเนาบัตรประชาชน (พร้อมรับรองสำเนาถูกต้อง)
  • ภาพถ่ายหน้าจอโทรศัพท์ที่ขึ้นเส้นและหน้าจอ “About phone”
  • ใบเสร็จค่าซ่อมหรือใบสั่งซ่อมจากศูนย์บริการ
  • ภาพหรือข้อมูลหมายเลข Serial Number หรือ IMEI
  • ข้อมูลติดต่อ (ชื่อ-นามสกุล, เบอร์โทรศัพท์, อีเมล)

การยื่นเอกสารต้องทำภายในวันที่ 19 สิงหาคม 2568 หากพ้นกำหนดจะไม่สามารถพิจารณาสิทธิได้

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค)
  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • Statista
  • เว็บไซต์: www.tcc.or.th
  • สายด่วนผู้บริโภค: 1502
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

รถไฟฟ้า 20 บาท ความท้าทายของความเท่าเทียมในระบบของผู้บริโภคต่างจังหวัด

รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ความท้าทายของความเท่าเทียมในระบบผู้บริโภค

เชียงราย, 8 สิงหาคม 2568กรณีศึกษา EV Bus เชียงรายที่ต้องหยุดให้บริการแม้ประชาชนต้องการ นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่รัฐบาลนำเสนอเป็นนโยบายเพื่อคนไทยทุกคน แต่ในอีกมุมหนึ่งกลับเผยให้เห็นความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนระหว่างกรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ อย่างชัดเจนขึ้น เมื่อกรณีของรถ EV Bus ในจังหวัดเชียงรายที่ต้องหยุดให้บริการในปี 2567 แม้จะมีผู้โดยสารใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ และได้รับการตอบรับจากประชาชนในจังหวัดเชียงรายเป็นอย่างดี

จุดเริ่มต้นของความหวัง EV Bus เชียงราย เปิดตัว

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 จังหวัดเชียงรายได้เปิดให้บริการรถประจำทางปรับอากาศ EV Bus เชียงรายเป็นครั้งแรก โดยให้บริการเส้นทางที่ครอบคลุมในสถานที่สำคัญของจังหวัด เริ่มต้นจากท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ไปตามถนนเวียงบูรพา ผ่านองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย สนามกีฬากลางจังหวัด อนุสาวรีย์พญามังราย สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ไนท์บาซาร์ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และสิ้นสุดที่สถานีขนส่งผู้โดยสารเชียงรายแห่งที่ 2

รถ EV Bus นี้ให้บริการวันละ 4 เที่ยว คิดค่าโดยสาร 28 บาทต่อคน และได้รับความนิยมจากผู้โดยสารเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากสนามบิน ด้วยความสะดวกสบายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ความจริงเบื้องหลังการขาดทุน

แม้จะมีผู้โดยสารเฉลี่ย 78 คนต่อวัน และรายได้ประมาณ 65,520 บาทต่อเดือน แต่ต้นทุนการดำเนินกิจการกลับสูงถึง 320,000 บาทต่อเดือน ทำให้เกิดการขาดทุนสุทธิ 254,480 บาทต่อเดือน รายละเอียดค่าใช้จ่ายประกอบไปด้วย เงินเดือนค่าจ้างพนักงาน 10 คน รวม 150,000 บาท ค่าชาร์จไฟฟ้า 90,000 บาท ค่าเช่าสถานที่ 30,000 บาท และค่าบริหารอื่น ๆ อีก 50,000 บาท

จากการวิเคราะห์พบว่า หากไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐ โครงการนี้จะขาดทุนสะสมกว่า 11 ล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการเอกชนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้

อุปสรรคที่เกินกว่าจะแก้ไขได้

ปัญหาหลักที่ทำให้โครงการ EV Bus เชียงรายล้มเหลว มาจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายใน และภายนอก

ด้านปัจจัยภายใน ได้แก่ ต้นทุนและข้อจำกัดด้านสัมปทาน เนื่องจากรูปแบบสัมปทานรถโดยสารจากกรมขนส่งฯ ให้ผู้ประกอบการแบกรับต้นทุนการจัดการทั้งหมด ตั้งแต่การจัดหารถยนต์ไฟฟ้า การบริหารจัดการ รวมถึงการที่ทางขนส่งไม่มีสถานีประจำ หรือที่พักรถให้ ส่งผลให้เกิดภาระหนักทั้งด้านการลงทุนและการซ่อมบำรุง

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ แม้จะมีการเปิดสถานีชาร์จไฟฟ้าเพิ่มในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย แต่การเข้าถึงสถานีชาร์จที่เพียงพอและมีมาตรฐานสูงยังไม่ครอบคลุมระบบเดินรถ EV ในเมืองอย่างเหมาะสม

ส่วนปัจจัยภายนอก พบว่า ระบบภาครัฐของไทยมีการยื่นขอเอกสารกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องค่อนข้างล่าช้า และไม่ยืดหยุ่น ประกอบกับการต่อต้านจากระบบขนส่งเดิม ๆ ที่เห็นว่า EV Bus เป็นคู่แข่งที่มาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด จึงมีการยื่นเรื่องขัดขวางกับทางขนส่ง

เสียงจากผู้ประกอบการที่ทำเพื่อสังคมแม้ขาดทุน

ตัวแทนจากทีมงาน EV Bus เชียงรายเปิดเผยว่า “การประมาณงบคร่าว ๆ ทำให้รู้ว่าจะขาดทุน แต่เราก็ทำ เพราะอยากให้นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและคนจากสนามบินเข้าเมืองได้สะดวก แต่ปัจจัยภายนอกกระทบมาก และแบกรับต้นทุนไม่ไหว จึงต้องหยุด”

จากการสัมภาษณ์พบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องการระบบขนส่งที่สะดวกและราคาไม่แพง หากมีการสนับสนุนจากภาครัฐ อาจช่วยให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน

ความเหลื่อมล้ำในนโยบายขนส่งมวลชน

นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่ถูกชูว่าเป็นนโยบายเพื่อคนไทยทุกคน ในความเป็นจริงกลับถูกจำกัดอยู่แค่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ขณะที่ประชาชนและผู้บริโภคในต่างจังหวัดยังต้องเสียค่าเดินทางสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งค่ารถเหมา ค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือค่ารถสองแถว ที่ยังไม่มีโครงข่ายขนส่งมวลชนทันสมัยมารองรับ

การที่นโยบายนี้ใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชนทั้งประเทศ แต่ประโยชน์กลับตกแค่เฉพาะคนในพื้นที่บางพื้นที่เท่านั้น ทำให้เกิดคำถามว่า นี่คือนโยบาย “เพื่อคนไทยทุกคน” หรือ “เพื่อคนบางพื้นที่” กันแน่

แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้

จากการวิเคราะห์กรณี EV Bus เชียงราย พบว่า หากภาครัฐต้องการให้ระบบขนส่งสาธารณะครอบคลุมอย่างแท้จริง ควรมีการสนับสนุนในหลายรูปแบบ อย่างเช่น

  • การอุดหนุนการลงทุนเริ่มต้น โดยสนับสนุน 30-50% ของราคารถยนต์ไฟฟ้า หรือให้กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำผ่านกองทุนรัฐ เพื่อลดภาระต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้า
  • การอุดหนุนค่าพลังงานไฟฟ้า โดยรัฐช่วยอุดหนุนค่าชาร์จไฟฟ้า เช่น 50% ของค่าไฟใน 3 ปีแรก และส่งเสริมสถานีชาร์จของรัฐร่วมกับเทศบาล
  • การอุดหนุนการเดินรถตามจำนวนเที่ยวหรือคนโดยสาร โดยจ่ายอุดหนุนแบบ “per passenger” เช่น รัฐช่วย 10 บาทต่อคนที่ขึ้นรถ หรือ “per trip” เช่น ช่วย 500-1,000 บาทต่อเที่ยววิ่งที่กำหนด
  • การให้ใช้ทรัพย์สินรัฐฟรี โดยใช้สถานที่ราชการที่ว่าง เช่น สถานีขนส่งเก่า โรงเรียนไม่ใช้ช่วงวันหยุด มาทำจุดจอดหรือสถานีชาร์จ รวมถึงยกเว้นค่าเช่าพื้นที่ 3 ปีแรก
  • การประชาสัมพันธ์และสวัสดิการให้ประชาชนใช้งาน โดยให้เครดิตเดินทางฟรีแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทำแคมเปญ “ขึ้นฟรี 1 เดือนแรก” หรือลดค่าโดยสารสำหรับนักเรียน นักศึกษา และผู้สูงอายุ

จากการประมาณการ หากมีการสนับสนุนตามแนวทางดังกล่าว รัฐจะต้องใช้งบประมาณประมาณ 5 ล้านบาทต่อปี สำหรับโครงการ EV Bus ขนาด 3 คัน ซึ่งจะลดลงเมื่อจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้

บทเรียนสำคัญจากจังหวัดเชียงราย

ความล้มเหลวของ EV Bus เชียงรายพิสูจน์แล้วว่า แม้จะมีความตั้งใจดี หากไม่มีโครงสร้างสนับสนุนจากภาครัฐ ระบบก็ไม่สามารถไปต่อได้ แม้จะมีประชาชนพร้อมใช้บริการก็ตาม ความล้มเหลวครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของผู้ประกอบการหรือประชาชน แต่อาจจะเป็นความผิดพลาดในการออกแบบนโยบาย โดยที่ไม่ได้เล็งเห็นความจริง และความจำเป็นในพื้นที่

ผลกระทบต่อประชาชน

ในทางปฏิบัติ ผู้ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายอย่างชัดเจน คือ ผู้โดยสารในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงผู้ประกอบการที่ได้รับเงินชดเชยจากรัฐ ส่วนผู้เสียประโยชน์ คือ คนในต่างจังหวัดที่ต้องจ่ายภาษีเท่ากัน แต่กลับไม่มีสิทธิ์ ไม่มีโอกาสได้ใช้บริการใด ๆ จากนโยบายนี้เลย

การขาดแคลนระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัดส่งผลให้ประชาชนต้องพึ่งพายานพาหนะส่วนตัว ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนการครองชีพ เพิ่มมลพิษทางอากาศ และสร้างปัญหาการจราจร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวหรือสถานศึกษาขนาดใหญ่

ข้อเสนอแนะจากประชาชน

ประชาชนในต่างจังหวัดต้องการเห็นนโยบายที่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่เฉพาะในเมืองใหญ่ รัฐบาลควรเปิดพื้นที่ให้เอกชนและท้องถิ่นได้พัฒนาโดยมีภาครัฐหนุนหลัง โดยเฉพาะการเชื่อมต่อเส้นทางจากสนามบิน โรงพยาบาล สถานศึกษา และแหล่งท่องเที่ยวภายในจังหวัด

กรณีของจังหวัดเชียงรายอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี หากภาครัฐปรับเปลี่ยนวิธีคิดจากการให้สิทธิพิเศษแก่คนในพื้นที่บางพื้นที่ มาเป็นการสร้างโอกาสให้ในทุก ๆ พื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองรองที่ภาครัฐต้องการจะสนับสนุนให้คนมาท่องเที่ยวเพื่อกระจายรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้มีระบบขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

วิเคราะห์ผลกระทบระยะยาว

หากรัฐบาลยังคงดำเนินการในการจัดทำนโยบายแบบเดิม อาจส่งผลให้เกิดความแตกแยกทางสังคมมากขึ้น เมื่อคนในกรุงเทพฯ มีสิทธิประโยชน์มากกว่า ในขณะที่คนในต่างจังหวัดไม่มี ทั้งที่ทุกคนเป็นผู้เสียภาษีเท่ากัน

ในระยะยาว การขาดระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัด อาจจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น เนื่องจากการเดินทางที่ไม่สะดวก อาจลดการเคลื่อนย้ายของแรงงานและนักท่องเที่ยว ส่งผลให้การกระจายรายได้นั้นไม่ทั่วถึง

ขนส่งมวลชนคือความยุติธรรมเชิงพื้นที่

นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” เป็นเรื่องของความยุติธรรมทางพื้นที่ ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขหรืองบประมาณ หากรัฐบาลยังเลือกสนับสนุนเพียงพื้นที่ที่เสียงดัง และปล่อยให้ภูมิภาคหรือพื้นที่อื่นเงียบหาย เท่ากับตอกย้ำความเหลื่อมล้ำของระบบขนส่งสาธารณะของผู้บริโภคคนไทย

กรณีศึกษาของ EV Bus เชียงรายแสดงให้เห็นว่า ความตั้งใจดีและความต้องการของประชาชนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากไม่มีนโยบายจากภาครัฐมาสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัดจะยังคงเป็นเพียงความฝัน

คนไทยทุกคนควรมีสิทธิ์เข้าถึงระบบขนส่งที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหน ไม่ใช่แค่ในเมืองหลวง การสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนจึงเป็นภารกิจสำคัญที่ภาครัฐต้องดำเนินการอย่างจริงจัง หากต้องการให้นโยบายขนส่งเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้

Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

หากคุณมีปัญหาเสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำและดำเนินการร้องเรียนได้ฟรี

#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สัมภาษณ์ทีมงาน EV Bus เชียงราย (2568)
  • กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม
  • รายงานสำนักงบประมาณ ปี 2568
  • บทวิเคราะห์เศรษฐกิจจาก TDRI (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย)
  • คณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

หยุดเอาเปรียบ! สภาผู้บริโภคเรียกร้องรัฐคุมค่ารักษาฯ แก้ปัญหาประกันภัยที่ไม่เป็นธรรม

หยุดเอาเปรียบ! สภาผู้บริโภคจี้รัฐคุมค่ารักษาพยาบาล – สะสางกลโกงประกันภัย ชี้ Co-Payment แก้ไม่ตรงจุด

เชียงราย, 6 สิงหาคม 2568 – ท่ามกลางวิกฤตค่ารักษาพยาบาลที่พุ่งสูง และความไม่เป็นธรรมจากเงื่อนไขกรมธรรม์ที่เปลี่ยนไปโดยไม่แจ้งล่วงหน้า สภาองค์กรของผู้บริโภคได้ออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของบริษัทประกันสุขภาพที่ “เอาเปรียบผู้บริโภค” พร้อมเรียกร้องให้รัฐเร่งควบคุมโครงสร้างราคาของโรงพยาบาลเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อคืนความมั่นคงให้ระบบประกันภัย และสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ที่ยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภคไทย

เรื่องเล่าจากสนามร้องเรียนจุดเริ่มต้นของปัญหา

จุดเริ่มต้นของข่าวนี้มาจากกรณีผู้บริโภคจำนวนหนึ่ง ร้องเรียนไปยังสภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) ว่าบริษัทประกันสุขภาพหลายแห่งได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขกรมธรรม์ รวมถึงอัตราเบี้ยประกัน โดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หรือให้ข้อมูลที่ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีของบริษัท “กรุงไทย-แอกซ่า” ซึ่งกลายเป็นกรณีตัวอย่างที่จุดชนวนความไม่พอใจจากผู้เอาประกันทั่วประเทศ

แม้ว่ากรณีดังกล่าวจะมีการเจรจาและยุติปัญหาไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่กรณีนี้ก็กลายเป็นเครื่องชี้วัดความเปราะบางของระบบประกันสุขภาพในประเทศไทย ที่อาจเปิดช่องให้บริษัทประกันใช้กลไกภายในเพื่อปรับสิทธิประโยชน์แบบเงียบ ๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อภาระที่ผู้บริโภคต้องแบกรับ

การแสดงจุดยืน สภาผู้บริโภคชี้ชัด – “ไม่ยุติธรรม!”

นายจิณณะ แย้มอ่วม อนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร ของสภาผู้บริโภค ได้ออกมาแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์โดยระบุว่า การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกรมธรรม์หลังจากผู้บริโภคได้ทำสัญญาไปแล้ว เป็นพฤติกรรมที่ “ไม่ยุติธรรม” และละเมิดจริยธรรมในอุตสาหกรรมประกันภัยโดยตรง เพราะบริษัทได้ผ่านการประเมินความเสี่ยงมาแล้วก่อนเสนอผลิตภัณฑ์ต่อผู้บริโภค หากพบว่ารายจ่ายสูงเกินควร บริษัทควรบริหารความเสี่ยง ไม่ใช่โยนภาระให้ผู้บริโภคในภายหลัง

ปัญหาเชิงโครงสร้างการผลักภาระและ Co-payment ที่แก้ไม่ตรงจุด

หนึ่งในนโยบายที่หลายบริษัทประกันนำมาใช้อย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คือระบบ “Co-Payment” หรือการให้ผู้เอาประกันจ่ายร่วมกับบริษัทประกันในแต่ละเคสการรักษา แต่สภาผู้บริโภคชี้ว่าแนวทางนี้เป็นเพียง “การแก้ที่ปลายเหตุ” เพราะไม่ได้แก้ปัญหาค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นอย่างไม่มีเพดานในภาคเอกชน

ในบางกรณี โรงพยาบาลเรียกเก็บค่าห้องพิเศษสูงกว่าระดับสากล หรือมียาและอุปกรณ์ที่กำหนดราคาสูงเกินจริง โดยไม่มีการกำกับจากหน่วยงานรัฐที่ชัดเจน ส่งผลให้บริษัทประกันนำต้นทุนที่สูงผิดปกตินั้นมากำหนดเบี้ยเพิ่ม หรือปรับลดสิทธิประโยชน์ของผู้เอาประกัน แทนที่จะควบคุมต้นตอปัญหา

ทางรอดที่แท้จริง กลไกควบคุมค่ารักษาในโรงพยาบาลเอกชน

สภาผู้บริโภคจึงเรียกร้องอย่างเร่งด่วนให้ภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เข้ามาควบคุมโครงสร้างราคาค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน ด้วยมาตรการชัดเจน เช่น

  • กำหนดเพดานราคายา
  • เปิดเผยต้นทุนค่ารักษาต่อสาธารณะ
  • สร้างระบบเปรียบเทียบราคาผ่านแพลตฟอร์มกลาง

เพื่อให้ทั้งบริษัทประกันและผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้อย่างเป็นธรรม

ผลกระทบที่ประชาชนควรเข้าใจจากความไม่รู้ สู่ความรับผิดชอบ

การที่ผู้บริโภคไม่ทราบว่าเงื่อนไขประกันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้พวกเขาไม่มีอำนาจต่อรองหรือร้องเรียนได้ทันเวลา สภาผู้บริโภคจึงแนะนำให้ผู้เอาประกันทุกคนหมั่นตรวจสอบรายละเอียดกรมธรรม์ทุกปี และหากมีข้อสงสัยหรือพบความผิดปกติ สามารถยื่นร้องเรียนผ่านเว็บไซต์ของสภาผู้บริโภคโดยตรง https://complaint.tcc.or.th/complaint

สร้างภูมิคุ้มกันให้ตลาดประกันภัย

การออกมาเคลื่อนไหวของสภาผู้บริโภคในครั้งนี้ แม้จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่ถือเป็นการ “วางหมาก” อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้กับผู้บริโภคในระยะยาว ผ่านการเรียกร้องสิทธิอย่างมีข้อมูล และมีองค์กรที่คอยหนุนหลังทางกฎหมายและนโยบาย

เมื่อผู้บริโภคตื่นรู้มากขึ้น บริษัทประกันจะต้องกลับมาทบทวนบทบาท ไม่ใช่เพียงเป็น “ผู้ขายกรมธรรม์” แต่ต้องเป็น “ผู้บริหารความเสี่ยง” ที่อยู่บนหลักธรรมาภิบาลอย่างแท้จริง

จากวิกฤตสู่โอกาสในการปฏิรูประบบ

ในระยะยาว การควบคุมค่ารักษาพยาบาลและการปรับบทบาทของบริษัทประกัน คือหัวใจของการปฏิรูประบบสุขภาพเชิงเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน หากภาครัฐเข้ามาจัดการได้อย่างเป็นระบบ ร่วมกับการเสริมสร้างความรู้ให้ผู้บริโภค ระบบประกันภัยไทยจะสามารถกลับมาเป็น “เครื่องมือแห่งความมั่นคง” แทนที่จะเป็นภาระของคนไทยอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (https://www.tcc.or.th)
  • สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) (https://www.oic.or.th)
  • บทสัมภาษณ์นายจิณณะ แย้มอ่วม – สภาผู้บริโภค
  • สถิติเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันสุขภาพจากสภาผู้บริโภค (2567 – 2568)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ตพุ่ง 3 เท่า แฟนเพลงเจ็บหนัก-เศรษฐกิจเสียหาย

วงการ K-Pop สะเทือน! “เว็บ Bot” ปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ต BLACKPINK พุ่ง 3 เท่า แฟนเพลงเจ็บหนัก-เศรษฐกิจเสียหาย

กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2567 – วงการ K-Pop ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ จากปัญหาการปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ตโดยใช้ เว็บ Bot” เพื่อกว้านซื้อบัตรจำนวนมากและนำไปขายต่อในราคาที่สูงเกินจริง ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อทั้งแฟนเพลงและเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะการประกาศเวิลด์ทัวร์ของวง BLACKPINK WORLD TOUR < DEADLINE > IN BANGKOK ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2568 ณ ราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการบัตรที่สูงลิ่ว แต่ก็มาพร้อมกับความกังวลว่าปัญหา “บัตรผี” จะกลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง

ข่าวล่าสุดจาก YG Entertainment ค่ายต้นสังกัดของ BLACKPINK ที่ประกาศความสำเร็จของเพลง “PINK VENOM” ซึ่งทำยอดชมทะลุ 1 พันล้านวิวบน YouTube ตอกย้ำถึงความนิยมที่แข็งแกร่งของวงและอุตสาหกรรม K-Pop ที่ยั่งยืนมาอย่างยาวนาน แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้กลับกลายเป็นดาบสองคมที่เปิดช่องให้กลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์

บัตรผี” ราคาพุ่ง 3 เท่ากรณีศึกษา GOT7

แม้จะมีการประกาศเวิลด์ทัวร์ของ BLACKPINK ที่น่าตื่นเต้น แต่ก็มีความกังวลถึงปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในคอนเสิร์ตอื่นๆ เช่น “2025 GOT7 CONCERT in BANGKOK” ซึ่งจัดแสดง 2 รอบที่สนามราชมังคลากีฬาสถานและบัตรเข้าชมได้ถูกจำหน่ายหมดลงอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลพบว่า ราคาบัตรคอนเสิร์ตของ GOT7 ที่มีราคาหน้าบัตรสูงสุด 9,900 บาท ถูกนำไปขายต่อในเว็บไซต์ของจีนในราคาสูงถึง 40,000 – 50,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาหน้าบัตรถึง 3 เท่าตัว!

เงินจำนวนมหาศาลจากการขายบัตรผีเหล่านี้ไหลออกนอกประเทศอย่างไร้หลักฐานการรับรองกำไรที่ชัดเจน และยังส่งผลให้เกิดการโกงบัตรเพิ่มมากขึ้น โดยผู้เสียหายหลายรายถูกหลอกให้ซื้อบัตรราคาแพงโดยอ้างว่าสามารถเลือกที่นั่งได้ก่อนใคร แต่ไม่กล้าออกมาแจ้งความเพราะกลัวความผิดในฐานะผู้ซื้อบัตรผี

โดยเฉลี่ยแล้ว ความเสียหายจากกรณีการโกงบัตรคอนเสิร์ตอยู่ที่หลักหมื่นต่อคน หากมีคอนเสิร์ตใหญ่ 20 งานต่อปี และแต่ละงานมีผู้เสียหายหลักสิบราย มูลค่าความเสียหายรวมอาจสูงถึง 20 ล้านบาทต่อปี เลยทีเดียว แต่ทั้งภาครัฐและเอกชนกลับยังคงนิ่งเฉยกับปัญหานี้ และไม่มีระบบหรือกฎหมายที่เอาจริงเอาจังในการจัดการกับการโกงที่เกิดขึ้น

กลไกการทำงานของ “เว็บ Bot” เหนือมนุษย์และหลบเลี่ยงกฎ

เว็บ Bot” คือซอฟต์แวร์อัตโนมัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อซื้อบัตรจำนวนจำกัดด้วยความเร็วที่เหนือกว่ามนุษย์อย่างมาก โดยบอทเหล่านี้จะเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์แต่ทำงานได้เร็วกว่าและในปริมาณที่มากกว่า ทำให้สามารถกว้านซื้อบัตรได้หลายร้อยใบในทันทีที่การขายเริ่มต้นขึ้น

นอกจากนี้ บอทยังถูกใช้เพื่อ “Denial of Inventory” โดยการจองบัตรเข้าตะกร้าสินค้าไว้ ทำให้บัตรเหล่านั้นไม่สามารถซื้อได้สำหรับแฟนเพลงตัวจริง ผู้ดำเนินการบอททราบดีว่าความต้องการที่สูงจะทำให้แฟนเพลงยอมจ่ายในราคาที่สูงเกินจริงเพื่อหาบัตรมาครอบครอง

ผลกระทบที่รุนแรง จากความฝันสู่การฉ้อโกง

การแพร่หลายของบอทส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง:

  • การปั่นราคาที่สูงเกินจริง: ความต้องการที่สูงและอุปทานที่ถูกจำกัดโดยบอท ทำให้ราคาบัตรในตลาดรองพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล เปลี่ยนงานอีเวนต์ทางวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร
  • การหลอกลวงที่แพร่หลาย: การกว้านซื้อบัตรโดยบอทนำไปสู่การหลอกลวงที่เพิ่มขึ้น ทั้งการขายบัตรปลอมคุณภาพสูง และการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากผู้ซื้อก่อนจะหายตัวไปในที่สุด
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจ: เงินจากการขายบัตรราคาแพงจำนวนมหาศาลไหลออกจากประเทศไปสู่กลุ่มสเกลเปอร์ ซึ่งมักเป็นกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ ทำให้เม็ดเงินเหล่านี้ไม่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของไทย
  • ทำลายความเชื่อมั่น: แฟนเพลงรู้สึกผิดหวังและสิ้นหวังที่ความรักต่อศิลปินถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม

กฎหมายไทยยังเป็นช่องโหว่ ขาดมาตรการเอาผิดการปั่นราคา

ในขณะที่หลายประเทศ เช่น จีนและญี่ปุ่น ได้ออกกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อต่อต้านการปั่นราคาบัตรและกำหนดให้มีการจำหน่ายบัตรระบุชื่อจริง ประเทศไทยยังคงไม่มีกฎหมายเฉพาะที่มุ่งเป้าไปที่การปั่นราคาบัตรโดยตรง ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดรอง

แม้ว่าแพลตฟอร์มจำหน่ายบัตรอย่าง Thaiticketmajor จะมีแนวปฏิบัติที่เข้มงวด เช่น การใช้บัตรแข็งที่พิมพ์ชื่อผู้ซื้อและห้ามการโอน แต่มาตรการเหล่านี้ก็อาจผลักดันให้แฟนเพลงตัวจริงต้องหันไปพึ่งพาช่องทางที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น

ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์แก้ปัญหาวิกฤตอย่างยั่งยืน

เพื่อแก้ไขปัญหาการปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ต K-Pop ที่เกิดขึ้นซ้ำซาก และปกป้องแฟนเพลงจากความเสียหายที่รุนแรง ควรมีการดำเนินกลยุทธ์แบบหลายชั้นดังนี้:

  1. เร่งออกกฎหมายต่อต้านการปั่นราคา: ภาครัฐควรพิจารณาออกกฎหมายที่ชัดเจนและมีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับผู้ที่ใช้บอทในการกว้านซื้อบัตรและขายต่อในราคาที่สูงเกินจริง
  2. พัฒนาเทคโนโลยีต่อต้านบอท: ผู้จัดงานและแพลตฟอร์มจำหน่ายบัตรควรลงทุนในระบบต่อต้านบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเทคโนโลยีการวิเคราะห์พฤติกรรมขั้นสูง เพื่อตรวจจับและบล็อกกิจกรรมที่น่าสงสัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. บังคับใช้ระบบบัตรระบุชื่อจริง: พิจารณาการใช้ระบบบัตรระบุชื่อจริงอย่างเข้มงวด พร้อมกับพัฒนากลไกการโอนบัตรที่ปลอดภัยและเป็นทางการในราคาหน้าบัตร เพื่อให้แฟนเพลงตัวจริงยังคงได้รับความยืดหยุ่นในการเดินทาง
  4. เพิ่มความโปร่งใส: ผู้จัดงานควรมีการกำกับดูแลการจัดสรรบัตรอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการสมรู้ร่วมคิดกับสเกลเปอร์ และควรมีช่องทางการสื่อสารที่ชัดเจนกับแฟนเพลง
  5. ให้ความรู้และช่องทางร้องเรียน: แฟนเพลงควรได้รับการให้ความรู้เกี่ยวกับสัญญาณเตือนภัยของการหลอกลวงบัตร และควรมีช่องทางการร้องเรียนที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตนเอง หากมีปัญหาเกิดขึ้น

ในสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมบันเทิงกำลังเติบโตและเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ปัญหาการปั่นราคาบัตรไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป หากไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ความเสียหายทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของแฟนเพลงจะยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้
Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th

และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับการซื้อบัตรคอนเสิร์ต สามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำและดำเนินการร้องเรียนได้ฟรี 
#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานจาก YG Entertainment, BLACKPINKOFFICIAL

  • รายงาน GOT7 Concert in Bangkok 2025

  • Thaiticketmajor

  • บทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี Ticketing Systems

  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC Thailand): โทร. 1502 / Line: @tccthailand / Facebook และ Tiktok: tccthailand

  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์

  • รายงานตลาด Ticket Resale จาก Deloitte Asia 2023

  • รายงานโดยกันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อต้ั้งสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อต้ั้งสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘บัตรคอนเสิร์ต’ เรื่องร้องทุกข์อันดับ 1 ของผู้บริโภค ในปี 66

 
 

ภาพที่ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรม การได้รับข้อมูลที่ไม่เพียงพอหรือไม่จนไม่สามารถตัดสินใจเลือกใช้หรือเลือกซื้อสินค้าและบริการได้อย่างถูกต้องหรือมีคุณภาพ กลายเป็นภาพสะท้อนที่พบเห็นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันและอาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต ขณะที่การโฆษณาหรือรีวิวสินค้าของบุคคลมีชื่อเสียงที่ผลิตและเผยแพร่คลิปวิดีโอสินค้าต่าง ๆ เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคอยากได้ อยากมี และตัดสินใจซื้อสินค้า จนทำให้หลาย ๆ ครั้ง ผู้บริโภคอาจไม่ได้สังเกตรายละเอียดของข้อมูลหรือไม่ได้ศึกษาข้อมูลก่อนการซื้อจนทำให้ถูกละเมิดสิทธิผู้บริโภคของตัวเองหรือถูกเอารัดเอาเปรียบ

            ในปีงบประมาณ 2566 (เดือนตุลาคม 2565 – เดือนกันยายน 2566) สภาผู้บริโภคจึงได้รวบรวมข้อมูลและรายงานสถานการณ์ผู้บริโภคจากการรับเรื่องร้องทุกข์ทั่วประเทศ ได้แก่ สำนักงานสภาผู้บริโภค หน่วยงานประจำจังหวัดใน 15 จังหวัด และองค์กรสมาชิกของสภาผู้บริโภค โดยในปีนี้มีผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิผู้บริโภคได้ร้องทุกข์เข้ามาเป็นจำนวน 16,142 เรื่อง ซึ่งสภาผู้บริโภคได้ช่วยเหลือผู้บริโภคให้ได้รับการชดเชยเยียวยาเสร็จสิ้นทั้งหมด 12,837 เรื่อง หรือคิดเป็นร้อยละ 79 และสามารถคิดรวมเป็นมูลค่าความสำเร็จในการคุ้มครองผู้บริโภคได้ถึง 71,703,984.46 บาท ส่วนที่เหลืออีก 3,305 เรื่อง อยู่ระหว่างการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค อย่างไรก็ตามกรณีใดที่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยหรือยุุติปัญหาได้ สภาผู้บริโภคจะเดินหน้าสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือในการฟ้องคดีให้กับผู้บริโภค

 

            เมื่อลงรายละเอียดในภาพรวมเรื่องร้องทุกข์ที่ผู้บริโภคร้องทุกข์เข้ามาในปีงบประมาณ 2566 ปัญหาที่มีผู้ร้องทุกข์เข้ามาที่สภาผู้บริโภคมากที่สุด คือ ปัญหาด้านสินค้าและบริการทั่วไป จำนวน 10,150 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 62.88 เกินครึ่งหนึ่งของเรื่องร้องทุกข์ทั้งหมด ซึ่งมากกว่าเรื่องร้องทุกข์ในปีงบประมาณ 2565 ถึง 7,875 เรื่อง

 

            ในสถานการณ์โควิด19 ที่เริ่มซาลง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการบันเทิง อาทิ คอนเสิร์ต แฟนมีตตี้ง หรืองานอีเว้นท์ต่าง ๆ ได้เริ่มกลับมาจัดงาน เมื่อผู้บริโภคตัดสินใจซื้อบริการเหล่านี้ก็ได้พบกับปัญหาที่ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับ ‘ข้อสัญญา’ เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงผังคอนเสิร์ต การสมัครสมาชิกแต่ไม่ได้รับสิทธิตามที่ระบุ การจัดงานที่ไม่ตรงตามที่โฆษณาไว้ในครั้งแรก ไม่สามารถคืนบัตรได้ แจ้งราคาบัตรโดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าธรรมเนียม การประชาสัมพันธ์ไม่ชัดเจน รวมถึงราคาบัตรที่แพงเกินไป ซึ่งเมื่อคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนได้รับความเดือดร้อนในปัญหาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันจึงได้ส่งเสียง ส่งต่อช่องทางและร้องทุกข์เข้ามาที่สภาผู้บริโภคถึง 5,906 เรื่อง ในอีกทางนั้นการที่ผู้บริโภคร้องทุกข์เข้ามาในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคอนเสิร์ตเป็นจำนวนมาก อาจสะท้อนได้ว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ร้องทุกข์เข้ามาในประเด็นปัญหาข้างต้นอยู่ในวัยที่โตมากับเทคโนโลยีและมีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างคล่องแคล่ว จึงเข้าถึงข้อมูลว่าตัวเองกำลังถูกผู้ประกอบการเอารัดเอาเปรียบและต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวเองได้รับความเป็นธรรม จนกระทั่งการเข้าถึงช่องทางการช่วยเหลือและใช้เครื่องมือการสื่อสารเพื่อร้องทุกข์ได้อย่างรวดเร็ว

 

            อย่างไรก็ตาม ปัญหาข้างต้นล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับ ‘ข้อสัญญา’ สภาผู้บริโภคจึงได้ติดต่อและประสานงานกับบริษัทผู้จัดงานหรือบริษัทที่จัดจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตต่าง ๆ ให้ชี้แจงข้อเท็จจริงและแนวทางการชดเชยเยียวยาความเสียหาย รวมถึงการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หน่วยงานกำกับดูแลให้เข้ามาจัดการปัญหา ผ่านการออกหลักเกณฑ์หรือแนวปฏิบัติเรื่องการทำสัญญาระหว่างภาคธุรกิจกับผู้บริโภค โดยจะกำหนดสิ่งที่ต้องระบุในสัญญาและสิ่งที่ห้ามระบุในสัญญา เช่น การซื้อสินค้าแล้วไม่รับเปลี่ยนหรือคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ และหากสัญญาไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ถือว่าสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะเพื่อให้การใช้สิทธิของผู้บริโภคในทุกประเด็นไม่มีข้อจำกัด นอกจากนี้ธุรกิจที่ต้องควบคุมสัญญาไม่ควรพิจารณาเป็นรายธุรกิจหรือรายกิจการ เพราะการแก้ปัญหาในลักษณะดังกล่าวเสมือนเป็นการไล่ตามปัญหาและต้องแก้ไขกันไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นการแก้ปัญหาเชิงป้องกันด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์กลางด้านสัญญาจึงเป็นผลดีกว่าในหลายมิติ

 

            นอกจากประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสัญญาในด้านสินค้าฯ ข้างต้น ปัญหาการซื้อสินค้าทางออนไลน์และปัญหาที่ผู้บริโภคได้รับความเสียหายจากการเข้าไปใช้บริการเสริมความงามเป็นปัญหาที่ผู้บริโภคร้องทุกข์เข้ามาในจำนวนใกล้เคียงกัน 1,474 เรื่อง และ 1,110 ตามลำดับ สำหรับการซื้อขายสินค้าทางออนไลน์นั้นส่วนใหญ่เป็นกรณีการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะการซื้อสินค้าในเฟซบุ๊กแฟนเพจ แต่ไม่ได้รับสินค้าและไม่ได้รับเงินคืน หรือการได้รับสินค้าไม่ตรงตามที่สั่งซื้อไป ซึ่งผู้บริโภคมักถูกหลอกหลวงจากการที่มิจฉาชีพซื้อโฆษณาบนเฟซบุ๊กโปรโมทสินค้าหรือเปิดเฟซบุ๊กแฟนเพจขายสินค้า โดยในช่วงแรกทำทีส่งสินค้าให้เพื่อให้มีเครดิตว่าเป็นร้านค้าที่ไม่ได้คิดจะหลอกลวง เพราะมีผู้บริโภคการันตีว่าได้รับสินค้า แต่เมื่อผ่านไปสักพักจนผู้บริโภครายอื่น ๆ หลงเชื่อ จึงจะหลอกให้โอนเงินแต่สุดท้ายกลับไม่ส่งสินค้าให้ ส่วนในกรณีการได้รับความเสียหายจากการเข้าไปใช้บริการเสริมความงามนั้นจะมีความคล้ายคลึงกับกรณีของการจองหรือกดบัตรคอนเสิร์ต แต่คลินิกหรือสถานเสริมความงามกลับผิดสัญญาตามที่ตกลงไว้ตั้งแต่ครั้งแรก โดยผู้บริโภคที่เข้ามาร้องเรียนกรณีสถานเสริมความงามนั้นได้รับความเสียหายจากการที่คลินิกหรือสถานเสริมความงามอ้างว่าปิดปรับปรุงหรือปิดกิจการทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถใช้บริการได้ อาทิ กรณีอาร์ฑิชัยคลินิกที่อ้างปิดปรับปรุงชั่วคราว หรือกรณีคลินิกเอสเตลล่าที่ปิดดำเนินการโดยไม่แจ้งลูกค้าล่วงหน้า จนทำให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน เป็นต้น

 

            ทั้งนี้ ในกรณีของการซื้อขายสินค้าในออนไลน์ สภาผู้บริโภคได้ประสานความร่วมมือทั้งกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อจัดการแก้ไขปัญหา รวมทั้งยังมีการทำสื่อเผยแพร่เพื่อให้ความรู้และเตือนภัยผู้บริโภค อีกทั้งหน่วยงานประจำจังหวัดรวมถึงองค์กรสมาชิกของสภาองค์กรของผู้บริโภคลงพื้นที่ให้ความรู้ทั้งเรื่องสิทธิผู้บริโภค และการรับมือกับกลโกงออนไลน์เพื่อให้ผู้บริโภครู้เท่าทันและมีข้อมูลในการตัดสินใจ นอกจากนี้ยังมีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย เป็นต้น เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค ขณะที่กรณีของเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้บริการที่สถานเสริมความงามนั้น สภาผู้บริโภคได้ติดต่อเพื่อเจรจากับบริษัททั้งสอง โดยที่การเจรจากับคลินิกอาร์ฑิชัยมีผลสรุปออกมาได้ 2 ทาง ได้แก่ คลินิกเสนอให้ผู้บริโภคที่ยังเหลือคอร์สเสริมความงามอยู่สามารถเข้าไปใช้บริการต่อได้ ส่วนผู้บริโภคที่ไม่ต้องการใช้บริการต่อแล้วและต้องการเงินคืนสามารถใช้สิทธิทางศาลต่อสู้และเรียกร้องเงินคืนได้ โดยที่สภาผู้บริโภคจะเป็นตัวแทนผู้บริโภคในการฟ้องร้องเป็นคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ขณะที่กรณีคลินิกเอสเตลล่าที่ปิดดำเนินการโดยไม่แจ้งลูกค้าล่วงหน้านั้น คณะอนุกรรมการด้านคดีผู้บริโภค สภาผู้บริโภคมีมติเดินหน้าฟ้องร้องเป็นคดีแบบกลุ่ม เนื่องจากเห็นว่ามีผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากและไม่สามารถเจรจาหรือไกล่เกลี่ยกับบริษัทเพื่อให้คลินิกคืนเงินให้ผู้บริโภคได้

 

            ส่วนปัญหาที่มีผู้ร้องเรียนมากเป็นอันดับที่ 2 ได้แก่ ปัญหาด้านการเงินและการธนาคาร จำนวน 2,084 กรณี หรือคิดเป็นร้อยละ 12.91 ซึ่งสัดส่วนการร้องทุกข์เข้ามานั้นน้อยกว่าในปีงบประมาณ 2565 แต่กลับเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงโควิด19 และในปัจจุบันยังคงมีผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการเคลมประกันโควิดหรือถูกปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน สภาผู้บริโภคจึงได้ช่วยเหลือผู้เอาประกันที่ถูกปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ดังนี้ 1) ติดต่อและประสานงานกับบริษัทประกันภัยซึ่งเป็นเจ้าของกรมธรรม์เพื่อให้จ่ายค่าสินไหมให้กับผู้บริโภค แต่ทั้งนี้จากการเจรจาไกล่เกลี่ยพบว่าบางกรณีมีปัญหาเรื่องการออกใบรับรองแพทย์ สภาผู้บริโภคจึงได้แจ้งผู้เอาประกันเข้าไปแก้ไขใบรับรองแพทย์และยื่นขอเคลมค่าสินไหมอีกครั้ง 2) สภาผู้บริโภคเป็นที่ปรึกษาให้ผู้บริโภคที่ยื่นฟ้องคดีด้วยตนเอง กรณีที่บริษัทฯ ที่ไม่สามารถจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนได้ และ 3) ฟ้องคดีให้กับผู้บริโภค ในการยื่นฟ้องทิพยประกันภัยที่ขอยื่นเป็นคดีกลุ่มนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างศาลชั้นต้นนัดไต่สวนผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายและตัวแทนจากบริษัททิพยประกันภัย

 

            อันดับที่ 3 เป็นปัญหาด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 918 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 5.69 กรณีการถูกหลอกลวงจากข้อความสั้น (SMS) ที่มิจฉาชีพส่งเข้ามาบนโทรศัพท์ของผู้บริโภคและแนบลิงก์มาให้กด ยังเป็นปัญหาที่ผู้บริโภคพบไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเผลอกดอาจสูญเงินหรือถูกขโมยข้อส่วนตัว และประเด็นปัญหาที่ผู้บริโภคร้องทุกข์เข้ามาในด้านการสื่อสารฯ มากไม่แพ้กันคือ การถูก ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ โทรเข้ามาและอ้างว่ามาจากหน่วยงานหรือองค์กรของภาครัฐ รวมถึงปรับเปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงโดยใช้เทคโนโลยีปลอมเป็นเสียงของบุคคลที่รู้จักและหลอกให้โอนเงิน ทั้งนี้เนื่องจากการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ต้องอาศัยความรวดเร็วเพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับเงินคืนหรือได้รับการชดเชยเยียวยา ดังนั้น สภาผู้บริโภคจึงได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) บก.ปคบ. บช.สอท. รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้ติดตามและสกัดเส้นทางการเงินที่ผู้บริโภคถูกหลอกให้โอนเงิน

 

            ขณะที่เรื่องร้องทุกข์ที่เหลือนั้นจะเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการพบสิ่งปนเปื้อนในอาหารที่เป็นซากแมลง เศษพลาสติกหนังยาง หรือของแปลกปลอมอื่น ๆ อีกทั้งยังพบประเด็นที่ไม่สามารถใช้สิทธิรักษาสุขภาพได้หรือการถูกเรียกเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งที่โรงพยาบาลไม่มีสิทธิในการเรียกเก็บเพิ่มเติม รวมถึงปัญหาด้านการขนส่งและยานพาหนะที่ผู้บริโภคมักพบกับปัญหาค่าโดยสาร ถูกให้นั่งเบาะเสริม คนขับพูดจาไม่สุภาพ หรือขับรถเร็วเกินกำหนด นอกจากนี้ผู้บริโภคยังพบกับปัญหาในประเด็นความไม่เป็นธรรมในการทำสัญญาซื้อขายบ้านหรืออาคารชุดต่าง ๆ ปัญหาบ้านร้าว หรือแม้แต่ปัญหาการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ในพื้นที่ชุมชน

 

            หากมองภาพรวมของการช่วยเหลือผู้บริโภคของสภาผู้บริโภคในการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้บริโภคได้ช่วยเหลือผู้บริโภคเป็นรายบุคคลและกลุ่มเฉพาะที่พบปัญหาในลักษณะเดียวกัน ผ่านการรับเรื่องร้องทุกข์จากผู้บริโภคในทุกช่องทางโดยการให้คำปรึกษา คำแนะนำ การช่วยเจรจาและไกล่เกลี่ย รวมถึงหากไม่สามารถตกลงได้จะเดินหน้าฟ้องร้องคดีแทนและสนับสนุนการฟ้องร้องคดีให้กับผู้บริโภค ทั้งนี้สภาผู้บริโภคเดินหน้าคุ้มครองผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องโดยเน้นว่ากระบวนการเอาเปรียบต้องยุติเร็วที่สุดและผู้บริโภคต้องสูญเสียน้อยที่สุด

 

            นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าสภาผู้บริโภคยังได้ดำเนินการที่ทำให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคที่ครอบคลุมประชาชนทั้งประเทศในหลายกรณี เนื่่องจากการแก้ไขความเสียหาย หรือการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นทำให้ผู้บริโภคทั้งประเทศได้รับการคุ้มครองผ่านการจัดทำข้อเสนอแนะ ข้อเสนอเชิงนโยบาย และมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ในปีงบประมาณ 2566 สภาผู้บริโภคได้จัดทำนโยบายระดับจังหวัดและระดับประเทศ รวม 36 เรื่อง แบ่งเป็นนโยบายระดับประเทศ 25 เรื่อง และนโยบายระดับจังหวัด 9 เรื่อง

 

            เมื่อลงรายละเอียดนโยบายระดับประเทศ 25 ข้อ แบ่งได้เป็นข้อเสนอแนะ 10 ข้อ เช่น เรียกร้องให้สถานพยาบาลแสดงรายละเอียดต้นทุนค่าบริการรักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP) เพื่อนำไปประเมินกลไกการควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน กรณี UCEP ให้มีความเหมาะสมโดยคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงการแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 65 พ.ศ. 2558 ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เพื่อปรับปรุงกฎหมายเรื่องควบคุมอาคารให้สอดคล้องกับบริบทและลักษณะทางกายภาพของเมืองมากขึ้น เป็นต้น ข้อเสนอเชิงนโยบาย 8 ข้อ เช่น การยกระดับสิทธิประโยชน์ด้านบริการทันตกรรมของผู้ประกันตน โดยเสนอให้ปรับสิทธิประโยชน์ให้ทัดเทียมกับสิทธิบัตรทอง รวมไปถึงการจัดตั้งกองทุนบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ ที่เสนอให้รัฐบาลจัดสรรเงินบำนาญถ้วนหน้า เดือนละ 3,000 บาทให้กับผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นต้น มาตรการคุ้มครองผู้บริโภค 7 มาตรการ เช่น การควบคุมการใช้กัญชา – กัญชงในอาหาร การพัฒนาระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย สินค้าออนไลน์ เป็นต้น

 

            ส่วนข้อเสนอแนะนโยบายระดับจังหวัด 9 ข้อ แบ่งเป็น ข้อเสนอแนะ 1 ข้อ ได้แก่ เรื่องการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐโดยเฉพาะสิทธิการรักษาพยาบาลเมื่ออยู่ระหว่างการรับรองสถานะชาติไทย ของหน่วยงานประจำจังหวัดร้อยเอ็ด ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 3 ข้อ เช่น การแก้ไขปัญหาตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มาตรการคุ้มครองผู้บริโภค 5 มาตรการ เช่น การแก้ไขปัญหาการเลี่ยงจัดสรรที่ดินของผู้ประกอบการธุรกิจ บ้านจัดสรรในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รณรงค์เรื่องการมีถุงลมนิรภัยที่ปลอดภัย ของหน่วยงานจังหวัดพะเยา เป็นต้น

 

            ปัจจุบันข้อเสนอแนะ ข้อเสนอเชิงนโยบาย และมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่ได้เสนอไปในปีงบประมาณ 2566 ได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 9 ประเด็น ดังนี้ 1) มาตรการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านการนำพืชกัญชา และกัญชงมาเป็นวัตถุดิบในอาหาร 2) การเร่งยุติการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซีดาฟในแพลตฟอร์มออนไลน์ 3) ข้อเสนอให้ผู้ประกอบการสถานพยาบาลแสดงรายละเอียดต้นทุนค่ารักษาบริการสิทธิ UCEP ในงบการเงิน 4) การออกใบอนุญาตติดตั้งตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญในเขตกรุงเทพมหานคร 5) การแก้ไขปัญหากรณีการขายทุเรียนอ่อนในจังหวัดกาญจนบุรี 6) การจำหน่ายยาในตลาดนัด ร้านค้า และท้องถิ่น จังหวัดสมุทรสงคราม 7) ปัญหาการเลี่ยงขอจัดสรรที่ดินบ้านจัดสรร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 8) การรณรงค์เรื่องถุงลมนิรภัยไม่ปลอดภัย ในจังหวัดพะเยา และ 9) การใช้สารเคมีที่ปลอดภัย ในจังหวัดลำพูน

 

            ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคยังคังเดินหน้าเสนอแนะ ผลักดันนโยบาย และมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการผลักดันเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและแรงผลักดันจากประชาชนทุกคนในการกระตุ้นและกดดันให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค เพื่อนำไปสู่การพัฒนานโยบายและยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาองค์กรของผู้บริโภค

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News