Categories
FEATURED NEWS LIFESTYLE

อินฟลูเอนเซอร์ไทยต้องรับผิด! บทบาทเปลี่ยนสู่ “ผู้โฆษณา” ความรับผิดทางกฎหมายทวีคูณ

เปิดโปงเงื่อนงำโลกอินฟลูเอนเซอร์ไทย: เมื่อบทบาทเปลี่ยนสู่ “ผู้โฆษณา” ความรับผิดทางกฎหมายจึงทวีคูณ และผู้บริโภคต้องรับมืออย่างไร

เชียงราย, 14 สิงหาคม 2568 ในยุคดิจิทัลที่ “อินฟลูเอนเซอร์” หรือผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภค ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2567-2568 ได้เผยให้เห็นถึงภูมิทัศน์ทางกฎหมายและธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อผู้เสียหายจำนวนมากเริ่มรวมตัวกันใช้ช่องทางกฎหมายอย่างจริงจัง สะท้อนภาพว่าอินฟลูเอนเซอร์ไม่ได้ถูกมองเป็นเพียง “ผู้มีอิทธิพล” อีกต่อไป แต่ได้รับการปฏิบัติในฐานะ “ผู้โฆษณา” หรือ “ผู้จำหน่าย” ซึ่งต้องเผชิญกับความรับผิดทางกฎหมายที่สูงขึ้นอย่างน่าตกใจ รายงานข่าวเชิงลึกฉบับนี้จะเจาะลึกถึงการเติบโตของอุตสาหกรรม, ปัญหา “รีวิวไม่ตรงปก” ที่สร้างความเสียหายแก่ผู้บริโภค, ความเสี่ยงทางกฎหมายที่อินฟลูเอนเซอร์ต้องเผชิญ, และข้อเสนอแนะในการสร้างมาตรฐานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของวงการนี้

เบื้องหลังตัวเลขการเติบโตของอาณาจักรอินฟลูเอนเซอร์ไทยมูลค่าหลายหมื่นล้าน

อุตสาหกรรมคอนเทนต์ครีเอเตอร์และอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทยได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีนัยสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยข้อมูลจาก Tellscore (เทลล์สกอร์) ที่เปิดเผยเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ระบุว่าตลาดอินฟลูเอนเซอร์ไทยมีมูลค่าสูงถึง 4.5 หมื่นล้านบาท และมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 25-30% ติดต่อกันมา 3 ปีแล้ว ตัวเลขที่น่าตกใจคือ ประเทศไทยมีคอนเทนต์ครีเอเตอร์จำนวนมากถึง 9,000,000 คน หรือคิดเป็นประมาณ 12.86% ของจำนวนประชากรไทยทั้งหมด และในจำนวนนี้ มีถึง 2 ล้านคนที่เป็นครีเอเตอร์แบบ “ฟูลไทม์” หรือทำอาชีพนี้อย่างเต็มตัว ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับคอนเทนต์ครีเอเตอร์ทั่วโลกที่มีประมาณ 200 ล้านคน หรือ 3% ของประชากรโลก

นางสาวสุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง Tellscore ได้กล่าวถึงภาพรวมตลาดคอนเทนต์ครีเอเตอร์ในประเทศไทยในปีนี้ว่า แม้เศรษฐกิจไทยโดยรวมอาจไม่สดใส แต่ภาคเอกชนไทยยังคงรุกทำการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์ครีเอเตอร์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ทุ่มงบการตลาดผ่านอินฟลูเอนเซอร์มากที่สุด 3 อันดับแรกได้แก่ กลุ่มเพื่อสุขภาพและความงาม (Health & Beauty), กลุ่มไลฟ์สไตล์ (Lifestyle), และกลุ่มการเงินและซุปเปอร์แอปฯ (Finance & Superapps) ในทางกลับกัน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และยานยนต์กลับชะลอการใช้งบประมาณลงตามภาพรวมตลาดที่หดตัว การขยายตัวนี้ทำให้บทบาทของอินฟลูเอนเซอร์ไม่จำกัดอยู่เพียงการสร้างความบันเทิงหรือให้ความรู้ แต่ยังรวมถึงการเป็นผู้กำหนดแนวคิดและพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยตรง

เปิดตัวเลขคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไทย พุง 9 ล้านคน - เจาะลึกคอนเทนต์ไหน “รุ่งปังๆ -ร่วง หลุดกระแสแล้ว”

ฝันร้ายวันเกิด: เมื่อ “รีวิว” ไม่ใช่แค่ความเห็น แต่คือ “โฆษณา” ที่ไม่ตรงปก

ภายใต้ความเจิดจรัสของตัวเลขทางเศรษฐกิจ ปัญหาด้านจริยธรรมและความโปร่งใสกลับเป็น “ภัยเงียบ” ที่กำลังคุกคามผู้บริโภค กรณีที่ผู้ใช้โซเชียลรายหนึ่งได้โพสต์เรื่องราวในกลุ่ม “พวกเราคือผู้บริโภค” ที่ถูกเผยแพร่เมื่อวันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2568 เกี่ยวกับประสบการณ์การเข้าพัก “รีสอร์ทไม่ตรงปก” ที่รีสอร์ทชื่อดังแห่งหนึ่ง ในจังหวัดชลบุรี ได้กลายเป็นประเด็นร้อนที่สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซากในวงการนี้ ผู้เสียหายรายนี้ตั้งใจจองที่พักเพื่อฉลองวันเกิดผ่านแอปพลิเคชันจองออนไลน์ โดยมีภาพที่พักที่สวยงามน่าดึงดูดใจ แต่เมื่อไปถึงสถานที่จริงกลับพบว่าบรรยากาศโดยรอบเป็นเหมือน “ที่รกร้าง” เต็มไปด้วยขยะ และสภาพที่พักก็ทรุดโทรมอย่างหนัก

เรื่องราวนี้ไม่ได้เป็นการเกิดขึ้นเพียงกรณีเดียว แต่ยังมีเสียงสะท้อนจากผู้บริโภคคนอื่น ๆ ที่เคยมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการติดตามรีวิวของอินฟลูเอนเซอร์ สายกินสายรีวิวชื่อดังที่มีผู้ติดตามหลักล้าน ในจังหวัดชลบุรี ที่ผู้บริโภคจำนวนมากออกมายืนยันว่า “รีวิวไม่ตรงปกเกือบทุกที่” จนเลิกเชื่อถือ และเลิกติดตาม ปัญหานี้ตอกย้ำให้เห็นว่า ในยุคที่ผู้บริโภคอาศัย “รีวิว” และ “อินฟลูเอนเซอร์” เป็นหลักในการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ ความน่าเชื่อถือของข้อมูลเหล่านั้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง และการรีวิวที่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริง หรือการใช้ภาพเก่ามาประกอบการโฆษณา ถือเป็นการกระทำที่เข้าข่าย การโฆษณาเกินจริง” หรือ “การโฆษณาที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด” ซึ่งผิดตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริโภคบางรายถึงขั้นระบุว่าอินฟลูเอนเซอร์รายดังกล่าวมีพฤติกรรมเข้าข่าย “มิจฉาชีพ” และเคยถูกโกงเงินไปหลายพันบาทจากการจองที่พักผ่านเพจนั้น แสดงให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้หยุดอยู่แค่ความไม่ตรงปก แต่ลุกลามไปถึงขั้นการหลอกลวงที่สร้างความเสียหายทางการเงินอย่างร้ายแรงแก่ประชาชน

ราคาที่ต้องจ่าย ความรับผิดทางกฎหมายที่อินฟลูเอนเซอร์ต้องเผชิญ

การเปลี่ยนผ่านบทบาทของอินฟลูเอนเซอร์จาก “ผู้มีอิทธิพล” ธรรมดาไปสู่ “ผู้โฆษณา” โดยตรง ได้นำมาซึ่งความรับผิดชอบทางกฎหมายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีการบัญญัติกฎหมายเฉพาะสำหรับอินฟลูเอนเซอร์โดยตรง กฎหมายที่มีอยู่เดิมจึงถูกนำมาปรับใช้เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและควบคุมการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย ซึ่งการโฆษณาเกินจริงอาจนำไปสู่การดำเนินคดีภายใต้กฎหมายหลายฉบับพร้อมกัน ทำให้ความเสี่ยงและบทลงโทษเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ

  1. ความผิดฐานหมิ่นประมาทและการใช้สื่อออนไลน์: การโพสต์ข้อความหรือรูปภาพบนโซเชียลมีเดียที่เปิดเป็นสาธารณะและทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อาจเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท และมักถูกฟ้องควบคู่กับ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 ที่บัญญัติความผิดเกี่ยวกับการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท การมีผู้ติดตามจำนวนมากของอินฟลูเอนเซอร์จึงเป็นทั้งทรัพย์สินและความเสี่ยงทางกฎหมายที่สำคัญ
  2. คดีการโฆษณาและการหลอกลวงผู้บริโภคการโฆษณาของอินฟลูเอนเซอร์อยู่ภายใต้ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งกำหนดให้การโฆษณาต้องไม่ใช้ข้อความที่เป็นเท็จ เกินจริง หรืออาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ผู้ที่ใช้ข้อความโฆษณาที่เป็นเท็จหรือเกินความจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากอินฟลูเอนเซอร์เป็นเจ้าของสื่อที่รับโฆษณา จะต้องรับโทษในอัตรากึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ

ที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ กฎหมายเฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 และ พ.ร.บ. เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 ซึ่งมีการกำหนดโทษที่รุนแรงกว่ากฎหมายทั่วไป การโฆษณาคุณประโยชน์ คุณภาพ หรือสรรพคุณของอาหารอันเป็นเท็จหรือหลอกลวงให้ผู้บริโภคหลงเชื่อโดยไม่สมควร มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท รวมถึงข้อความต้องห้ามที่ อย. กำหนดอย่างชัดเจน เช่น คำที่สื่อว่า “รักษาโรค” หรือ “เปลี่ยนแปลงโครงสร้างร่างกาย” เช่น ลดโคเลสเตอรอล, ลดน้ำหนักถาวร, อัพไซส์ สำหรับเครื่องสำอาง การโฆษณาเกินจริงก็มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท

  1. ความรับผิดทางอาญาฐานฉ้อโกงประชาชน: หากการโฆษณามีเจตนาทุจริตเพื่อหลอกลวงประชาชนจนทำให้เสียทรัพย์ อาจเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท ซึ่งแตกต่างจากความผิดตาม พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภคตรงที่ต้องพิสูจน์ “เจตนาทุจริต” ของผู้กระทำ อินฟลูเอนเซอร์ที่ร่วมมือกับเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่รู้ว่าเป็นความเท็จและมีเจตนาหลอกลวงประชาชน อาจถูกยกระดับความผิดจากผู้โฆษณาไปเป็น ผู้สนับสนุน” หรือ “ตัวการร่วม” ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนได้
  2. คดีความรับผิดทางอาญาจากความประมาท: ในบางกรณี การสร้างคอนเทนต์อันตรายหรือท้าทายที่นำไปสู่การบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท กรณีศึกษาที่สะเทือนใจคือ การเสียชีวิตของ “แบงค์ เลสเตอร์” อินฟลูเอนเซอร์ผู้สู้ชีวิต หลังจากถูกจ้างให้ดื่มเหล้าปริมาณมาก ซึ่งอัยการได้ให้ความรู้ทางกฎหมายว่าผู้ที่ “ยุยง” หรือ “เชียร์” ให้ดื่ม โดยรู้ว่าการกระทำนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต อาจเข้าข่าย “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”

บทเรียนจากคดีสำคัญจุดเปลี่ยนของวงการอินฟลูเอนเซอร์

สถานการณ์การฟ้องร้องที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2567-2568 ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรม และส่งสัญญาณว่าการบังคับใช้กฎหมายได้เปลี่ยนผ่านจากการกำกับดูแลแบบตั้งรับไปสู่การบังคับใช้กฎหมายเชิงรุก โดยมีคดีสำคัญหลายกรณีที่สะท้อนถึงความซับซ้อนและความรุนแรงของบทลงโทษ:

  • คดี The iCon Group: เป็นตัวอย่างสำคัญของการฟ้องร้องแบบกลุ่ม (Class Action-style) ที่มีผู้เสียหายเข้าร้องเรียนกว่า 250 คน มูลค่าความเสียหายรวมประมาณ 95 ล้านบาท คดีนี้แสดงให้เห็นถึงการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานในการสืบสวนสอบสวน ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โดย สคบ. ได้เรียกอินฟลูเอนเซอร์และผู้เกี่ยวข้องเข้ามาให้ปากคำเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งทนายความชื่อดังแนะนำว่าอินฟลูเอนเซอร์ควรโฆษณาแค่สินค้าเท่านั้น และไม่ควรโฆษณาระบบธุรกิจเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีแชร์ลูกโซ่
  • คดีอินฟลูเอนเซอร์ฟ้องเอเจนซี่ฉ้อโกง: ในเดือนมีนาคม 2568 กลุ่มผู้เสียหายกว่า 50 คน ซึ่งประกอบด้วยอินฟลูเอนเซอร์ เจ้าของแบรนด์ และอดีตพนักงาน ได้รวมตัวกันแจ้งความ บก.ป. เพื่อดำเนินคดีกับบริษัทเอเจนซี่แห่งหนึ่ง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 20 ล้านบาท บริษัทมีพฤติกรรมไม่จ่ายค่าจ้าง, ไม่ผลิตงานตามสัญญา, และมีการข่มขู่ฟ้องกลับ การรวมตัวกันเพื่อดำเนินคดีอาญาในครั้งนี้เป็นการยกระดับข้อพิพาทเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่อินฟลูเอนเซอร์เองก็อาจตกเป็นเหยื่อของการฉ้อโกงได้เช่นกัน
  • คดีไลฟ์สดขายทอง “แม่ตั๊ก-ป๋าเบียร์”: กรณีนี้แสดงให้เห็นว่าการโฆษณาที่ไม่ตรงปกอาจถูกยกระดับเป็นคดีอาญาฐาน “ฉ้อโกงประชาชน” และ “พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์” เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระบุว่าจะเรียกอินฟลูเอนเซอร์ที่เคยร่วมไลฟ์สดเข้ามาให้ปากคำ เพื่อตรวจสอบว่ามีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิดหรือไม่
  • คดีโฆษณาเว็บพนันออนไลน์: กรณีของอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง “อิงฟ้า อารยา” ที่ถูกจับกุมจากการโฆษณาชักชวนให้เล่นการพนันออนไลน์ แสดงให้เห็นถึงการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดบนโลกออนไลน์ โดยตำรวจไซเบอร์ได้เปิดเผยว่ามีการจับกุมอินฟลูเอนเซอร์ในลักษณะดังกล่าวไปแล้วกว่า 100 คน

การดำเนินคดีเหล่านี้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังผู้กระทำความผิดว่า การหลอกลวงหรือการทำผิดกฎหมายจะไม่สามารถลอยนวลได้อีกต่อไป

ข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้อง สร้างจริยธรรมสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

เพื่อป้องกันปัญหาที่ซับซ้อนและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อผู้บริโภคและภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมในระยะยาว การสร้างมาตรฐานและจริยธรรม จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในภาวะที่กฎหมายเฉพาะสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ยังไม่มีการบัญญัติขึ้นอย่างชัดเจน การขับเคลื่อน ร่างจริยธรรมของอินฟลูเอนเซอร์” จึงถือเป็นการตอบสนองเชิงรุกของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ร่างจริยธรรมดังกล่าวซึ่งเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำในการคุ้มครองผู้บริโภค ประกอบด้วยข้อปฏิบัติ 5 ข้อหลัก ได้แก่:

  1. ตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า: ก่อนรับโฆษณา ต้องขอตรวจสอบใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย. หรือ มอก.
  2. ทดลองใช้สินค้าจริง: และมีหลักฐานแสดงผลการใช้ที่เป็นไปตามที่โฆษณา
  3. ยอมรับว่าการรีวิวคือการโฆษณา: และต้องมีความโปร่งใส รวมถึงเข้าใจขอบเขตทางกฎหมาย
  4. หลีกเลี่ยงสินค้าผิดกฎหมาย: เช่น บุหรี่ไฟฟ้าหรือการพนัน
  5. มีการเยียวยาผู้บริโภค: หากเกิดผลกระทบเชิงลบจากเนื้อหาที่ตนเองโฆษณาไป

การสร้าง “จริยธรรม” นี้เป็นการลดความเสี่ยงทั้งสำหรับผู้ผลิตเนื้อหาและผู้บริโภค โดยเป็นการสร้างมาตรฐานที่สูงขึ้นจากภายในอุตสาหกรรมเอง

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

  • ยกระดับการกำกับดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์: หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรผลักดันให้แพลตฟอร์มจองที่พักและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้นในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่โฆษณา เพื่อป้องกันการนำภาพเก่าหรือไม่ตรงกับสถานที่จริงมาใช้งาน
  • สร้างมาตรฐานและจรรยาบรรณนักรีวิว: ควรมีการส่งเสริมและสร้างความตระหนักรู้ถึงจรรยาบรรณของนักรีวิว ว่าการนำเสนอข้อมูลต้องเป็นไปตามความเป็นจริงและโปร่งใส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการรับเงินจากผู้ประกอบการในการรีวิว
  • ให้ความรู้แก่ผู้บริโภค: สภาผู้บริโภค และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความรู้แก่ผู้บริโภคถึงวิธีการสังเกตและตรวจสอบรีวิวที่น่าเชื่อถือ เช่น การดูรีวิวจากหลาย ๆ แหล่ง การตรวจสอบคะแนนรีวิวจากแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ และการพิจารณาภาพที่มาจากการโพสต์ของผู้ใช้บริการจริง

ข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติสำหรับทุกภาคส่วน

  • สำหรับอินฟลูเอนเซอร์: ควรยึดหลัก ตรวจสอบ-ทดลอง-เปิดเผย” คือ ตรวจสอบข้อมูลสินค้าและบริษัทคู่ค้าอย่างละเอียด พร้อมขอเอกสารการอนุญาตที่ถูกต้อง ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จริงด้วยตนเองและรีวิวตามผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง และที่สำคัญที่สุดคือ เปิดเผยให้ชัดเจนว่าเป็น “โฆษณา” หรือ “สปอนเซอร์” โดยใช้ภาษาและแฮชแท็กที่เข้าใจง่าย ควรระมัดระวังการสร้างคอนเทนต์ที่เสี่ยงอันตราย หรือการโฆษณาระบบธุรกิจที่ซับซ้อนที่อาจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่ รวมถึงระวังการแสดงความคิดเห็นที่สุ่มเสี่ยงต่อการหมิ่นประมาท โดยควรทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเสมอ นอกจากนี้ ควรจัดทำสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่รัดกุมและตรวจสอบเงื่อนไขอย่างละเอียดก่อนรับงาน โดยเฉพาะเรื่องค่าตอบแทนและขอบเขตความรับผิดชอบ.
  • สำหรับแบรนด์และเอเจนซี่: ควรจัดทำสัญญาที่รัดกุม ระบุขอบเขตความรับผิดชอบของอินฟลูเอนเซอร์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นความถูกต้องของข้อมูล การเปิดเผยความสัมพันธ์ในการโฆษณา และการหลีกเลี่ยงข้อความที่เกินจริง ควรมีนโยบายตรวจสอบอินฟลูเอนเซอร์และเนื้อหาที่สร้างขึ้นอย่างเข้มงวด รวมถึงตรวจสอบความน่าเชื่อถือของพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อป้องกันการเข้าไปพัวพันกับการฉ้อโกง และควรสนับสนุนการออกกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและสร้างมาตรฐานที่ยอมรับร่วมกันในอุตสาหกรรม.
  • สำหรับผู้บริโภค: หากได้รับความเสียหายจากการโฆษณาเกินจริงหรือผลิตภัณฑ์ที่อันตราย ควรใช้สิทธิในการร้องเรียนผ่าน

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้

Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

สายด่วน อย. 1556 หรือ สคบ. ได้โดยตรง ควรใช้วิจารณญาณที่สูงขึ้นในการพิจารณาข้อมูลจากการรีวิว และตระหนักว่าการโฆษณาและการรับรองจากอินฟลูเอนเซอร์อาจมีแรงจูงใจทางการเงินแฝงอยู่ ที่สำคัญคือ หากพบการกระทำที่ผิดกฎหมาย ควรเก็บหลักฐานให้ครบถ้วนที่สุด เช่น ภาพหน้าจอการจอง, ภาพโฆษณา, ภาพถ่ายและวิดีโอของสภาพที่พักจริง และหลักฐานการติดต่อ เพื่อใช้ในการแจ้งความต่อไป.

การวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมอินฟลูเอนเซอร์ไทยกำลังเข้าสู่ช่วงของการเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ การเติบโตอย่างก้าวกระโดดจะต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบและจริยธรรมที่เข้มแข็ง การร่วมมือกันระหว่างอินฟลูเอนเซอร์ แบรนด์ เอเจนซี่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาครัฐ ในการสร้างมาตรฐานที่โปร่งใส จะเป็นกุญแจสำคัญในการส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมมูลค่าหลายหมื่นล้านนี้ในระยะยาว ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ประชาชนผู้บริโภคทั่วไปจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากการได้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นจริง และได้รับการคุ้มครองสิทธิ์อย่างเต็มที่.

#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Tellscore: รายงานวิจัย “Futures of Content Creators 2035” และข้อมูลอินไซต์ตลาดจาก “เปิดตัวเลขคอนเทนต์ครีเอเตอร์ไทย พุง 9 ล้านคน ทำงานแบบ Full-time 2 ล้าน”.
  • สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.): ข้อมูลและอำนาจการกำกับดูแลจาก “รายงานวิเคราะห์ความรับผิดทางกฎหมายของอินฟลูเอนเซอร์จากการโฆษณาเกินจริง”.
  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค): ข้อมูลและข้อเสนอแนะจาก “รีสอร์ทไม่ตรงปก: ภัยรีวิวไร้จรรยาบรรณและการปกป้องสิทธิ์ผู้บริโภค”.
  • สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.): บทลงโทษและข้อห้ามในการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ.
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.): บทบาทในการสืบสวนคดีสำคัญ เช่น The iCon Group และคดีฉ้อโกง.
  • ประมวลกฎหมายอาญา: มาตราที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานหมิ่นประมาท, ฉ้อโกง, และประมาทเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย.
  • พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (และฉบับแก้ไข): มาตราที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ.
  • รายงานการวิเคราะห์คดีความและการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอินฟลูเอนเซอร์ในประเทศไทย พ.ศ. 2567-2568″: ข้อมูลเชิงลึกและกรณีศึกษาในภาพรวม.
  • หน่วยงานและสื่อที่อ้างอิงในแหล่งข้อมูล: เช่น Linktree, FTC (คณะกรรมาธิการการค้าแห่งสหพันธรัฐ สหรัฐอเมริกา), Thaipost.net, Thai PBS News, Sanook.com.
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS WORLD PULSE

พลังสามัคคีลาบวน! 3,000 คนชุมนุมเรียกร้องความจริงคดีนักเรียนหญิง Zara

มาเลเซียช็อกทั้งประเทศ “Justice for Zara” จุดไฟยุติความรุนแรงในโรงเรียน—เสียงสามัคคีกว่า 3,000 คนที่ลาบวน กดดันรัฐคลี่คดีให้โปร่งใส

ลาบวน/โกตาคินาบาลู, 12 สิงหาคม 2568—เสียงตะโกน “Justice for Zara” ดังก้องลานจอดรถหน้า Labuan Food Court ตลอดบ่ายวันอาทิตย์ ผู้คนแต่งชุดดำแน่นพื้นที่ ท่ามกลางแดดจัดและป้ายผ้าข้อความ “Stop Bullying” โบกสะบัดเหนือศีรษะกว่า 3,000 คน งานนี้ไม่ได้แบ่งสีการเมือง เพราะแกนนำจากหลากพรรคขึ้นเวทีร่วมเรียกร้อง “ความจริง” และ “ความยุติธรรม” ให้ซาร่า ไกรีนา มหาธีร์ เด็กหญิงวัย 13 ปี จากซีปิตัง ที่เสียชีวิตหลังถูกพบหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำของโรงเรียนประจำศาสนาในปาปาร์ รัฐซาบาห์ เมื่อรุ่งสาง 16 ก.ค. ที่ผ่านมา ก่อนสิ้นใจในโรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ 1 วันถัดมา ความสูญเสียครั้งนี้จุดระเบิดสังคมให้ลุกขึ้นทวงความจริง และหยุดยั้งการรังแกในสถานศึกษาอย่างเด็ดขาด

ลาบวน (Labuan) คือที่ไหน

ลาบวน (Labuan) เป็นดินแดนสหพันธ์แห่งหนึ่งของประเทศมาเลเซีย 🇲🇾 ตั้งอยู่บนเกาะขนาดเล็กทางตอนเหนือของเกาะบอร์เนียวในทะเลจีนใต้ ใกล้กับประเทศบรูไน

เกาะลาบวนมีชื่อเสียงในฐานะ ศูนย์กลางทางการเงินนอกชายฝั่ง (offshore financial centre) และเป็นแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงจากซากเรือจมหลายลำ ซึ่งเป็นซากเรือจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และซากเรืออื่นๆ ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักดำน้ำและนักท่องเที่ยวที่สนใจประวัติศาสตร์

ผู้จัดคือ “Kelab Wanita Sejahtera” โดยมีดาโต๊ะ โมห์ด ราฟี อาลี ฮัสซัน แกนนำจากพรรครัฐบาลร่วมขึ้นนำ พร้อมตัวแทนจาก PKR และ Warisan ร่วมวงปราศรัย เนื้อหากดดันให้รัฐ “ไม่ปล่อยให้ความรุนแรงต่อเด็กถูกมองข้ามอีกต่อไป” ภาพผู้คนในชุดดำหลากวัย สะท้อนพลังสาธารณะข้ามสายงานและฐานะทางสังคมอย่างเด่นชัด ขบวนการนี้จึงก้าวพ้นพรมแดนการเมือง กลายเป็น “วาระมนุษยธรรม” ของทั้งประเทศ

ขณะเดียวกัน ความคืบหน้าคดีเดินหน้าอย่างเข้ม สำนักงานอัยการสูงสุดมาเลเซีย (AGC) สั่งขุดศพเพื่อนำมาชันสูตรอย่างเป็นทางการ หลังเกิดข้อกังขาหลายด้าน ต่อมามีการขุดศพเมื่อคืน 9 ส.ค. และเคลื่อนร่างถึงโรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ I เวลาราว 22.30 น. เริ่มชันสูตรเช้าวันที่ 10 ส.ค. โดยทีมพยาธิแพทย์ 4 คน และที่ปรึกษานิติเวช ร่วมตรวจอย่างละเอียดนานกว่า 8 ชั่วโมง ภายใต้การสังเกตการณ์จากทนายครอบครัวและตำรวจ

อย่างไรก็ดี กระแสข่าวลือที่ลุกลามทางออนไลน์โดยเฉพาะ “ทฤษฎีเครื่องซักผ้า” ถูกทนายครอบครัวปฏิเสธชัด ว่าเป็นเพียงการคาดเดา ไม่ใช่ข้อมูลที่มารดาของผู้ตายให้ไว้ พร้อมขอให้ลบข้อมูลที่สร้างความเสียหาย และให้ผู้โพสต์นำรายละเอียดส่งตำรวจเพื่อเอาผิดตามกฎหมายไซเบอร์ของมาเลเซียต่อไป เพื่อไม่ให้การสืบสวนไขว้เขว.

Public outcry for justice in Zara's case - Opinion

เส้นเวลาเหตุสะเทือนใจจากร่องรอยก่อนตาย สู่แรงกดดันให้รัฐเร่งคลี่คดี

คืนเกิดเหตุ 16 ก.ค. เวลาตีสามถึงตีสี่ มีผู้พบเด็กหญิงหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำ ในพื้นที่หอพักโรงเรียนประจำศาสนาในปาปาร์ เธอถูกนำส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิตวันที่ 17 ก.ค. รายงานเบื้องต้นสื่อท้องถิ่นระบุว่า ครอบครัวพบรอยช้ำขณะทำพิธีอาบน้ำศพ ก่อนตัดสินใจยื่นรายงานตำรวจ เพิ่มคำให้การ และขอให้มีการขุดศพเพื่อตรวจสอบใหม่ โดยเฉพาะเมื่อคลิปเสียงความยาว 44 วินาทีของบทสนทนาระหว่างแม่กับลูก สร้างข้อสงสัยต่อ “ทฤษฎีตกจากที่สูงโดยไม่ตั้งใจ” ที่เธอถูกบอกเล่าในตอนแรก.

วันที่ 2 ส.ค. ตำรวจซาบาห์ยื่นสำนวนสืบสวนเบื้องต้นต่อ AGC และเริ่มกระบวนการให้ความเห็นทางคดี ขณะที่ผู้ว่าการรัฐซาบาห์และผู้นำการเมืองระดับชาติ ต่างออกมาขอ “คลี่ทุกเงื่อนงำ ไม่ละเว้นผู้ใด” นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ยังย้ำไม่ให้ “การเมืองแทรกแซงการสืบสวน” และขอประชาชนหลีกเลี่ยงการคาดเดาทำลายพยานหลักฐาน.

ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตำรวจกลาง Bukit Aman รับไม้คุมสอบสวนต่อ เพื่อให้คดีเดินอย่างเป็นระบบระดับชาติ สร้างมาตรฐานการทำงานเดียวกัน และป้องกันอิทธิพลนอกคดี กระบวนการนี้สะท้อนความตั้งใจของรัฐในการ “เอาจริง” กับความรุนแรงต่อเด็กและการกลั่นแกล้งในสถานศึกษา.

ความจริงต้องไปต่อ” เมื่อกระแสสังคมกดดันให้ระบบยุติธรรมโปร่งใส

มุมหนึ่ง กระแส “Justice for Zara” คือบทเรียนสำคัญของการขับเคลื่อนสังคมแบบสันติ ผู้คนมารวมตัวโดยสมัครใจ แต่งชุดดำเป็นสัญลักษณ์ ไร้ความรุนแรง เนื้อหาบนเวทีชัดเจนหยุดความรุนแรงต่อเด็ก สืบสวนอย่างโปร่งใส ไม่ปกป้องผู้กระทำผิดและข้ามเส้นแบ่งทางการเมืองอย่างน่าจับตา สื่อมาเลย์หลายฉบับรายงานเอกภาพในพื้นที่ พร้อมยืนยันตัวเลขผู้เข้าร่วมหลักพันตั้งแต่เช้าจรดบ่าย.

อีกมุมหนึ่ง พลังของข่าวลือบนโลกออนไลน์ก็ท้าทายความยุติธรรมไม่แพ้กัน การแชร์ข้อมูลคาดเดาอาจทำลายกระบวนการสืบสวน สร้างบาดแผลซ้ำให้ครอบครัวผู้ตาย และเปิดช่อง “อาชญากรรมไซเบอร์ทับซ้อนคดีหลัก” ทนายครอบครัวจึงประกาศให้ลบและหยุดเผยแพร่ทันที พร้อมเรียกผู้โพสต์เข้าให้ปากคำ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการ “ตัดไฟแต่ต้นลม” เพื่อปกป้องการพิสูจน์ข้อเท็จจริง.

คลี่ปมเชิงระบบ เมื่อ “บูลลี่” ไม่ใช่เรื่องเล็ก และโรงเรียนต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย

ประเด็นที่สังคมมาเลเซียถกเถียงไม่ใช่แค่ “ใครผิด” หากแต่คือ “ระบบผิดตรงไหน” เพราะความรุนแรงในสถานศึกษาไม่ควรถูกจัดการด้วยคำขอโทษหรือคำมั่นว่าจะ “ดูแลให้ดี” เท่านั้น นักจิตวิทยาและนักนโยบายศึกษาย้ำว่า สถานศึกษาต้องสร้างวัฒนธรรมไม่ยอมรับการรังแก และมีช่องทางร้องเรียนที่เชื่อถือได้ สอดคล้องกับสัญญาณเชิงนโยบายจากกระทรวงศึกษาธิการมาเลเซีย ที่ยืนยัน “เปิดทางให้ตำรวจทำงานเต็มที่” และพร้อมทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันเหตุซ้ำ.

ในอีกด้าน ประเทศไทยเองกำลังขยับ “ยกระดับความปลอดภัยในรั้วมหาวิทยาลัย” หลายสถาบันประกาศงดกิจกรรมรับน้องรุนแรง ล่าสุด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา เชียงราย ออกประกาศงดกิจกรรมรับน้องทุกชนิด ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย พร้อมขู่ลงโทษวินัยร้ายแรงหากฝ่าฝืน การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนเทรนด์ภูมิภาคที่เดินหน้า “สังคมการศึกษาไร้ความรุนแรง” อย่างจริงจัง.

ประชาชนได้อะไรจากการยืนหยัดเรียกร้องความจริง

ประการแรก ประชาชนได้ “ความโปร่งใส” เป็นเดิมพันร่วมกัน การขุดศพพร้อมชันสูตรโดยทีมแพทย์นิติเวชหลายฝ่าย เป็นขั้นตอนมาตรฐานที่ยกระดับความน่าเชื่อถือของผลทางการแพทย์ และช่วยลดข้อสงสัยในสังคม เมื่อผลชันสูตรมีฐานวิชาการแข็งแรง การตัดสินใจทางคดีจะยืนอยู่บนข้อเท็จจริงมากกว่าความรู้สึก.

ประการที่สอง สังคมได้ “บทเรียนการรู้เท่าทันข้อมูลผิด” คำชี้แจงจากทนายครอบครัวเกี่ยวกับข่าวลือเครื่องซักผ้า เป็นตัวอย่างการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา และเน้นให้ร่วมมือกับตำรวจแทนการแชร์ซ้ำบนโซเชียล ความรับผิดชอบร่วมกันของผู้ใช้แพลตฟอร์ม คือเกราะคุ้มกันคดีเด็กที่บอบบางจาก “ความโกลาหลดิจิทัล”.

ประการที่สาม การรวมตัวอย่างสันติในลาบวนได้ “สร้างแรงกดดันเชิงบวก” ต่อระบบยุติธรรม พร้อมส่งสัญญาณชัดเจนว่า “ความรุนแรงต่อเด็กเป็นเส้นแดง” ที่สังคมไม่ยอมรับอีกต่อไป พลังข้ามพรรคการเมือง ยังทำให้ข้อเรียกร้อง “ปลอดการเมือง” และดึงประเด็นกลับสู่สิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์.

ประการที่สี่ เหตุการณ์นี้สะท้อน “ความจำเป็นของแนวทางป้องกันต้นน้ำ” โรงเรียนและหอพักต้องมีกติกาชัดเจน ช่องร้องเรียนปลอดภัย ระบบคุมความเสี่ยง 24 ชั่วโมง และการอบรมครู–นักเรียนเรื่องการแทรกแซงเมื่อเห็นเหตุรุนแรง การป้องกันที่ดีช่วยลดโอกาสการเกิดเหตุสุดโต่ง ก่อนกลายเป็นคดีร้ายแรง. (อ้างอิงทิศทางนโยบายและคำยืนยันจากฝ่ายการศึกษามาเลเซียในคดีนี้).

Vigils across Sabah demand justice for Zara Qairina Borneo Post Online

จากลาบวนถึงห้องชันสูตร สิบคำถามชวนคิด สังคมจะเดินไปอย่างไร

  1. เหตุใดการชันสูตรแรกเริ่มจึงไม่เกิดขึ้นทันที?
  2.  ใครมีอำนาจสั่งให้คืนความจริงทางการแพทย์แก่ครอบครัวได้เร็วขึ้น?
  3.  ระบบดูแลนักเรียนประจำปลอดภัยพอหรือยัง?
  4. กล้องวงจรปิดในพื้นที่เสี่ยงครอบคลุมเพียงพอหรือไม่?
  5. ครู–ผู้ดูแลได้รับการอบรมรับมือเหตุฉุกเฉินแค่ไหน?
  6. ช่องร้องเรียนภายในโรงเรียนเชื่อถือได้เพียงใด?
  7. ารบูรณาการตำรวจ–อัยการ–สาธารณสุขในคดีเด็กทำได้ไวแค่ไหน?
  8. กฎหมายคุ้มครองเด็กและความผิดไซเบอร์ใช้รับมือข่าวลือได้จริงหรือ?
  9. สื่อและประชาชนควรยืนเส้นแบ่งจริยธรรมตรงไหนเมื่อรายงานคดีเยาวชน? และ
  10. จะยกระดับวัฒนธรรม “ไม่ยอมรับการรังแก” ให้เป็นกติกาสังคมได้อย่างไร?

คำถามเหล่านี้ไม่ใช่แค่โจทย์ของมาเลเซีย แต่เป็นกระจกสะท้อนทั้งภูมิภาค รวมถึงไทย ที่ต้องจัดสมดุล “สิทธิเด็กเสรีภาพสื่อความยุติธรรม” ให้เดินไปด้วยกันอย่างมีหลักฐานรองรับ

เสียงจากรัฐ “จะไม่ให้ใครแทรกแซง” และ “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย”

หลังแรงกดดันเพิ่มสูง นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ย้ำว่า รัฐบาลจะไม่ปล่อยให้มีการเมืองแทรกแซง และจะเร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานตามขั้นตอน ทั้งยังเรียกร้องให้สังคมยึดข้อเท็จจริง ไม่ด่วนสรุปต่อหน้าสื่อหรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ขณะเดียวกัน Bukit Aman รับช่วงสอบสวน เพื่อให้มาตรฐานการสืบสวนอยู่ในมือหน่วยกลาง ลดอิทธิพลและเพิ่มความเป็นเอกภาพ.

เมื่อบ้านและโรงเรียนต้องเปิดใจคุยกัน

ข้อมูลเชิงลึกจากคุณ นุชนาฎ สุขเกตุ เจ้าหน้าที่ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กและอดีตนักจิตวิทยา ซึ่งทำงานในโครงการป้องกันการรังแกกันในโรงเรียนของมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก ได้ให้ภาพที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมอย่างยิ่งว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนต้องเริ่มต้นจากที่บ้าน สู่ห้องเรียน และระบบนิเวศของสถานศึกษาในที่สุด

สัญญาณเตือนภัยที่ผู้ปกครองต้องสังเกต

ผู้ปกครองคือคนแรกที่จะต้องรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับลูกหลาน แต่ปัญหาคือเด็กจำนวนไม่น้อยมักจะเก็บงำความลับนี้ไว้คนเดียวด้วยความกลัว อับอาย หรือไม่รู้ว่าจะบอกใคร . คุณนุชนาฎได้ชี้ให้เห็นถึงสัญญาณเตือนที่ผู้ปกครองควรสังเกตอย่างละเอียด:

  • พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด: หากลูกที่เคยร่าเริงและมีความสุขกับการไปโรงเรียนกลับแสดงอาการไม่อยากไปโรงเรียน เก็บตัวเงียบ หรือซึมเศร้า นี่คือสัญญาณแรกที่ไม่อาจมองข้ามได้
  • ร่องรอยทางร่างกาย: รอยช้ำ บาดแผล หรือร่องรอยบาดเจ็บที่ไม่สามารถอธิบายที่มาได้อย่างสมเหตุสมผล ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องใส่ใจ
  • การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์: ลูกอาจมีอาการหงอยเหงา ไม่สดใส หรือแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงเมื่อถูกพูดถึงเรื่องที่โรงเรียน ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการถูกกลั่นแกล้ง

การวิเคราะห์ การสังเกตสัญญาณเหล่านี้ถือเป็น การแก้ไขที่ต้นทาง” ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้ปัญหาลุกลามไปสู่ความเสียหายที่รุนแรงขึ้นกว่าเดิม การที่เด็กตัดสินใจบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับผู้ปกครองไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เป็นเพราะความรู้สึกไว้วางใจที่ผู้ปกครองได้สร้างขึ้นมาก่อนหน้า ซึ่งคุณนุชนาฎได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของ การสื่อสารเชิง

บวก” โดยใช้คำถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นให้ลูกเล่าเรื่องราวได้อย่างเต็มที่ และที่สำคัญที่สุดคือการ ซัพพอร์ตทางอารมณ์” โดยปราศจากอคติหรือการตัดสินใดๆ และให้กำลังใจว่าผู้ปกครองจะอยู่เคียงข้างเสมอ

กลไก ‘ผู้บริโภค’ และความรับผิดชอบของสถานศึกษา

ประเด็นสำคัญที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้คือ การวิเคราะห์สถานะของนักเรียนและผู้ปกครองในฐานะ ผู้บริโภค” ของบริการทางการศึกษา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับการยืนยันและสร้างบรรทัดฐานที่ชัดเจนในคดีความรุนแรงในโรงเรียนเอกชนเมื่อไม่นานมานี้ การที่ผู้ปกครองส่งบุตรหลานเข้าเรียนในโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนรัฐหรือเอกชน ถือเป็น การทำสัญญาบริการ” ที่โรงเรียนในฐานะ “ผู้ประกอบธุรกิจ” มีหน้าที่ต้องให้บริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพและปลอดภัย ไม่เพียงแค่เรื่องวิชาการ แต่ยังรวมถึงการดูแลความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและจิตใจของนักเรียน หากโรงเรียนบกพร่องในการดูแลจนเกิดความเสียหายขึ้น ถือเป็นบริการที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่คาดหวังตามระเบียบที่ระบุไว้ ซึ่งผู้ปกครองในฐานะผู้บริโภคสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในการเรียกร้องค่าเสียหายได้

“การที่สถานศึกษาไม่ได้ให้ความคุ้มครองความปลอดภัยอย่างที่ผู้ปกครองคาดหวัง จึงเป็น ‘ความเสียหาย’ ที่นอกเหนือไปจากมาตรฐานที่คาดหวังจากบริการ ซึ่งต้องมีการตีความทางกฎหมายอย่างละเอียดเพื่อบังคับใช้สิทธิของผู้บริโภคอย่างแท้จริง” คุณนุชนาฏ สุขเกตุ (นักพัฒนาครอบครัว และอดีตนักจิตวิทยา) กล่าว ซึ่งเป็นมุมมองที่อ้างอิงจากบทวิเคราะห์ในรายงานของนักพัฒนาครอบครัว ผู้เชี่ยวชาญเรื่องกลไกและสิทธิทางกฎหมายในการรับมือความรุนแรงในโรงเรียน

ไทยต้องทำอะไรวันนี้เชื่อมบทเรียนสู่การปฏิบัติในพื้นที่ของเรา

ประเด็นความปลอดภัยในสถานศึกษาไทยยังมีโจทย์ท้าทาย ตั้งแต่การยุติ “รับน้องรุนแรง” ไปจนถึงการสร้างระบบแจ้งเหตุที่ไวและไว้วางใจได้ ตัวอย่างของ มทร.ล้านนา เชียงราย ที่ประกาศงดกิจกรรมรับน้องทุกชนิด และบังคับใช้วินัยอย่างจริงจัง เป็นก้าวเล็กแต่สำคัญ ขณะเดียวกัน มหาวิทยาลัยควรตั้ง “ศูนย์สวัสดิภาพนักศึกษา” คู่กับสายด่วนภายนอก เพื่อให้ผู้เสียหายมีตัวเลือกที่เป็นอิสระจากโครงสร้างอำนาจภายใน.

นอกจากนี้ โรงเรียนประจำและหอพักควรทบทวนมาตรการกลางคืน ปรับผังพื้นที่เสี่ยงให้ปลอดภัย เพิ่มกล้องและแสงสว่าง ติดตั้งปุ่มแจ้งเหตุฉุกเฉิน และฝึกซ้อมแผนรับมือทุกเทอม เพราะ “นาทีแรก” ของเหตุฉุกเฉินอาจชี้ชะตาชีวิตได้ จากนั้นต้องเปิดพื้นที่ให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมมากขึ้น ทั้งในคณะกรรมการสถานศึกษาและแผนเฝ้าระวังชุมชน

มองไปข้างหน้าให้ความยุติธรรมเดินบนข้อเท็จจริง พร้อมเยียวยาใจ

ท้ายที่สุด สังคมควรย้ำหลักการสำคัญสามประการ เคารพกระบวนการยุติธรรมที่ขับเคลื่อนด้วยหลักฐาน ปกป้องศักดิ์ศรีผู้เสียชีวิตและครอบครัวจากการสรุปผิดพลาด และเปลี่ยนความเศร้าเป็นพลังนโยบายในห้องเรียนและหอพักทุกแห่ง หากผลชันสูตรยืนยันข้อเท็จจริงใด ก็ต้องเดินหน้าดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่ละเว้น ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ ทั้งทางอาญา ทางวินัย และทางสังคม

การเสียชีวิตของซาร่าไม่ควรจบลงที่ “ไว้อาลัย” เพียงอย่างเดียว แต่ต้องกลายเป็นจุดเริ่มของข้อตกลงใหม่ในสังคมว่า “โรงเรียนต้องปลอดภัยสำหรับเด็กทุกคน” และ “ข่าวลือไม่มีที่ยืนเหนือความจริง”

ไทม์ไลน์ย่อคดี “Zara Qairina” (อ้างอิงรายงานสื่อมาเลเซีย)

  • 16 ก.ค. พบหมดสติใกล้ท่อระบายน้ำโรงเรียนในปาปาร์ ช่วงตี 3–ตี 4 นำส่งโรงพยาบาล.
  • 17 ก.ค. เสียชีวิตที่โรงพยาบาลควีนเอลิซาเบธ I เมืองโกตาคินาบาลู.
  • ปลาย ก.ค.–ต้น ส.ค. ครอบครัวแจ้งความเพิ่มเติม ส่งคลิปเสียง และร้องขอขุดศพ; ตำรวจส่งสำนวนเบื้องต้นให้ AGC.
  • 9 ส.ค. ขุดศพในซีปิตัง เคลื่อนร่างไปโกตาคินาบาลูช่วงดึก.
  • 10 ส.ค. ชันสูตรโดยทีมแพทย์ 4 คน ใช้เวลากว่า 8 ชั่วโมง ท่ามกลางการสังเกตการณ์.
  • 10 ส.ค. จัดชุมนุมใหญ่ “Justice for Zara” ที่ลาบวน ผู้ร่วมกว่า 3,000 คน แต่งชุดดำ.
  • สัปดาห์เดียวกัน Bukit Aman รับไม้ดูแลสืบสวนต่อ.

สรุปเชิงบรรณาธิการ

คดีความจากข่าวข้างต้นนี้ยังอยู่ในชั้นสืบสวน ผลชันสูตรและความเห็นทางคดียังไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ การรายงานจึงยึดข้อเท็จจริงจากเอกสารและคำให้สัมภาษณ์ของหน่วยงานรัฐและทนายครอบครัว โดยหลีกเลี่ยงการคาดเดาที่อาจกระทบสิทธิ์ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย สาระสำคัญคือ การยุติความรุนแรงในโรงเรียน หรือวิธีการรับมือเมื่อลูกหลานในการปกครองถูกกลั่นแกล้ง การเผชิญความรุนแรงในสถานศึกษา รวมไปถึงบทบาทของผู้ปกครองและสถานศึกษาในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น

#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • Malay Mail: รายงานชุมนุมลาบวนและบริบทคดี, 10 ส.ค. 2025. Malay Mail
  • The Star: รายงานจำนวนผู้ร่วมและคำปราศรัย, 10 ส.ค. 2025. Malay Mail
  • MalaysiaGazette / Astro Awani / The Sun: ภาพรวมผู้ร่วมชุมนุมและถ้อยแถลงข้ามพรรค.
  • Free Malaysia Today: Bukit Aman รับช่วงตรวจสอบคดี. Yahoo News Malaysia
  • Wikipedia สรุปเหตุการณ์และพยานหลักฐานตามแหล่งข่าวหลัก (ใช้เพื่อยืนยันลำดับเหตุ). The Star
  • Malay Mail: ถ้อยแถลงทนายครอบครัว ปฏิเสธข่าวลือ “เครื่องซักผ้า” และขอให้ลบข้อมูล. Newswav
  • The Star: รายงาน AGC สั่งขุดศพและขั้นตอนนิติเวช.
  • Malaysiakini: รายละเอียดชันสูตรและการสังเกตการณ์. Mothership
  • Free Malaysia Today: คำยืนยันของนายกฯ อันวาร์ ไม่ให้การเมืองแทรกแซงสืบสวน. The Star
  • Matichon / เพจทางการ RMUTL เชียงราย: ประกาศงดกิจกรรมรับน้องในไทย. มติชนออนไลน์Facebook
  • คุณนุชนาฏ สุขเกตุ (นักพัฒนาครอบครัว และอดีตนักจิตวิทยา)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY FEATURED NEWS

ค่าครองชีพพุ่ง-เงินเฟ้อติดลบ! ผลักคนไทยสู่หนี้นอกระบบดอกเบี้ยโหด

เปิดวงจร “หนี้นอกระบบ” อัตราดอกเบี้ยสุดโหด ซ่อนใต้ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่ลดลง

ประเทศไทย, 12 สิงหาคม 2568 – แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่ำกว่า 90% เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่ครัวเรือนไทยจำนวนมากกลับถูกผลักออกจากสินเชื่อในระบบ จนพึ่งพาหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้นอย่างน่าห่วง ตัวเลขที่ดูดีอาจกำลังบัง “วิกฤตเงียบ” ที่ลุกลามสู่ชุมชนทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่เปราะบางอย่างภาคเหนือและชายขอบเมืองใหญ่

บ่ายวันฝนโปรยในเชียงราย เสียงโทรศัพท์ทวงหนี้ดังขึ้นตรงเวลา ความกังวลเรื่องรายได้และค่าครองชีพกลับมาทับซ้อนอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ตัวเลขมหภาคบอกว่าหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่อเนื่อง อยู่ที่ราว 88.4% สิ้นไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2563 ทว่า “ภาพรวมสีเขียว” ไม่ได้แปลว่าครัวเรือนแข็งแรงขึ้น เพราะปัจจัยสำคัญคือการเข้มงวดสินเชื่อของสถาบันการเงิน ทำให้คนจำนวนมากต้องออกจากระบบที่ปลอดภัย และเดินเข้าหาเงินกู้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยสูงผิดกฎหมายแทน.

ภาพสะท้อนที่สวนทางตัวเลขดีขึ้น แต่ชีวิตยากขึ้น

ข้อมูลทางการระบุว่า CPI เดือนมิถุนายน 2568 ติดลบ 0.25% ต่อปี และเดือนกรกฎาคมติดลบต่อเนื่อง 0.7% หลายฝ่ายจึงชี้ว่าไม่มีภาวะ “เงินเฟ้อพุ่ง” ในสถิติ ทว่าในชีวิตจริง ค่าใช้จ่ายจำเป็นกลับไม่ลด ประชาชนยังรู้สึกว่าค่าครองชีพสูงกดดันอย่างต่อเนื่อง.

ผลสำรวจผู้บริโภค Marketbuzzz ชี้ว่า “ค่าครองชีพ” คือความกังวลอันดับหนึ่งของคนไทย 42% สะท้อนความรู้สึกที่ “สวนทาง” กับตัวเลขราคาโดยรวมที่ลดลง ผู้บริหารบริษัทวิจัยชี้ว่าต้องมีมาตรวัดคุณภาพชีวิตที่ครอบคลุมกว่าเดิม จึงจะเห็นภาพจริงของครัวเรือน

ด้านรายจ่ายครัวเรือน สถิติระบุว่า ณ สิ้นปี 2567 ครัวเรือนไทยใช้จ่ายเฉลี่ยราว 18,207 บาทต่อเดือน โดยสัดส่วนสูงสุดยังเป็นอาหารและเครื่องดื่ม สะท้อนแรงกดดันด้านปัจจัยสี่ที่ยังหนักหน่วง.

หนี้นอกระบบพุ่งแตะ “จุดสูงสุดในรอบ 16 ปี”

ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุสัดส่วน “หนี้นอกระบบ” ในภาพรวมเพิ่มขึ้นเป็น 30.1% สูงสุดในรอบ 16 ปี จากเดิม 21.7% ในปีก่อนหน้า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนความเปราะบางและการถูกปิดประตูสินเชื่ออย่างชัดเจน โดยหลายสำนักข่าวเศรษฐกิจรายงานสอดคล้องกัน.

ยังมีสัญญาณเตือนจาก “หนี้รอวันเสีย” หรือ Stage 2 (SML) ที่ปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง ธปท.รายงานอัตราส่วนสินเชื่อจัดชั้นพิเศษของธนาคารพาณิชย์เพิ่มเป็นราว 6.98% สิ้นปี 2567 ขณะที่หนี้เสีย (NPL) อยู่ที่ 532,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย หาก SML ทะลักเป็น NPL มากขึ้น ความเสี่ยงหลุดออกจากระบบย่อมสูงตาม.

ทำไมคนไทย “ต้อง” ไปพึ่งนอกระบบ

หนึ่ง ระบบเข้มงวดขึ้น วงเงินและเงื่อนไขสินเชื่อรัดกุม รายได้ไม่แน่นอนทำให้ผ่านเกณฑ์ยาก แม้ดอกเบี้ยต่ำกว่านอกระบบมาก แต่ “เข้าถึง” ยากกว่า

สอง ค่าครองชีพกดดันต่อเนื่อง แม้อัตราเงินเฟ้อโดยรวมติดลบหลายเดือน แต่ค่าใช้จ่ายจำเป็นยังสูง คนจำนวนมากจึงหมุนเงินไม่ทัน และต้องหาทางออกที่เร็วที่สุด แม้จะมีต้นทุนดอกเบี้ยมหาศาล.

สาม ความรู้สึก “ชักหน้าไม่ถึงหลัง” ปรากฏชัดในผลสำรวจ UTCC ที่พบว่าคนไทย 46.3% อยู่ในภาวะหมุนเงินตึงมือ ขณะหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือนยังอยู่ระดับสูง.

เปิดวงจรกลโกงดอกโหดคิดอย่างไร จึงหลุดไม่พ้น

1) ดอกเบี้ยรายเดือนหลอกตา
ตัวเลข 10–20% ต่อเดือนดูเหมือนไม่มาก แต่เมื่อคิดเป็นรายปี เท่ากับ 120–240% ต่อปี เงินต้นแทบไม่ลด เพราะต้องจ่ายดอกก่อนเสมอ ยิ่งช้า ยิ่งบาน ไม่มีเพดานคุ้มครองตามกฎหมายสำหรับเจ้าหนี้เถื่อน

2) “ดอกลอย” หรือหักดอกล่วงหน้า
เจ้าหนี้หักดอกจากเงินต้นตั้งแต่ต้น เช่น กู้ 10,000 บาท ได้เงินจริง 8,000 บาท แต่ต้องใช้คืน 10,000 บาท พร้อมดอกที่คำนวณจากยอดเต็ม ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงพุ่งสูงผิดปกติทันที.

3) สัญญาอำพราง
บางรายให้ใช้บัตรผ่อนซื้อสินค้าเกินความจำเป็น แล้วนำสินค้าไปแลกเงินสด ยอดหนี้กลับไปผูกกับผู้ให้บริการทางการเงินในระบบแทน แต่ลูกหนี้ได้รับเงินจริงต่ำกว่ายอดหนี้ที่ต้องชำระ วิธีนี้ทำให้ตรวจจับยากและสร้างภาระยืดเยื้อ

4) ทวงหนี้กดดันรายวัน
การโทร ข้อความ หรือเยี่ยมบ้านบ่อยครั้งทำให้เกิดแรงกดดันด้านจิตใจ หลายกรณีมีการข่มขู่หรือประจาน ซึ่งผิดกฎหมายโดยตรงตาม พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 และประกาศกำหนด “ทวงได้ไม่เกินวันละหนึ่งครั้ง” พร้อมกรอบเวลาชัดเจน.

กฎหมายคุ้มครองสิทธิขอบเขตที่ “เจ้าหนี้เถื่อน” ละเมิดอยู่เสมอ

กฎหมายไทยกำหนดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมระหว่างบุคคลไม่เกิน 15% ต่อปี ส่วนผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตมีเพดานเฉพาะ เช่น สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับไม่เกิน 25% ต่อปี และบัตรเครดิตไม่เกิน 16% ต่อปี เกินจากนี้ถือว่าผิดกฎหมาย และมีโทษทั้งจำคุกและปรับตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา.

หากถูกคุกคาม ประจาน หรือใช้ความรุนแรง ลูกหนี้สามารถแจ้งความคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวนทันที และใช้ช่องทางไกล่เกลี่ยของรัฐเพื่อยุติข้อพิพาทโดยสันติ ซึ่งมีหน่วยงานรองรับทั่วประเทศ.

มาตรการรัฐ อุดช่องว่างการเข้าถึงเงินกู้ “ที่เป็นธรรม”

รัฐบาลเดินหน้าช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ ผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของธนาคารรัฐ เช่น ออมสิน และ ธ.ก.ส. ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ได้รับความช่วยเหลือกว่า 77,000 ราย วงเงินรวมกว่า 2,400 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ผลักดัน “พิโกไฟแนนซ์” เพื่อให้รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อถูกกฎหมายมากขึ้น.

ข้อมูล ณ ต้นปี 2567 ระบุว่ามีผู้ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจพิโกไฟแนนซ์สะสมสุทธิราว 1,140 ราย ครอบคลุม 75 จังหวัด เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการปิดหนี้นอกระบบด้วยอัตราที่ตรวจสอบได้.

เสียงสะท้อนจากเศรษฐกิจมหภาคตัวเลขหนี้ลด แต่ความเสี่ยงยังสูง

แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลงต่อเนื่อง แต่ยอดหนี้รวมยังสูงกว่า 16.4 ล้านล้านบาท และไทยยังเป็นหนึ่งในประเทศที่มีหนี้ครัวเรือนสูงในเอเชีย นักวิเคราะห์และ ธปท. ต่างย้ำว่ามาตรการใด ๆ ต้องไม่บิดเบือนวินัยการเงิน และต้องรักษาเสถียรภาพระบบการเงินควบคู่กันไป.

วงจรที่ต้องตัดให้ขาด

เมื่อรายได้โตช้า ค่าครองชีพยังสูง การเข้าถึงเครดิตในระบบยากขึ้น ครัวเรือนจึงเลือก “ทางลัดที่แพง” คือเงินกู้นอกระบบ ดอกเบี้ยรายเดือนทำให้เงินต้นไม่ยอมลด ลูกหนี้ต้องกู้ใหม่มาโปะแทน เกิดการทบต้นทบดอก และความเสี่ยงเชิงสังคมตามมา ทั้งความรุนแรง การประจาน และความเครียดในครอบครัว หากปล่อยให้ “Stage 2” ล้นเป็น “NPL” มากขึ้น ผู้กู้ล็อตใหญ่จะถูกผลักออกจากระบบเพิ่ม วงจรนอกระบบจึงขยายตัวโดยอัตโนมัติ.

ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร…ถ้าแก้ให้ถูกจุด

หนึ่ง เข้าถึงสินเชื่อที่เป็นธรรม
เมื่อพัฒนาช่องทางในระบบให้ไวและยืดหยุ่นขึ้น คนตัวเล็กจะไม่ต้องยอมรับดอกเบี้ยที่เอาเปรียบ

สอง ลดภาระดอกเบี้ยทันที
รีไฟแนนซ์จากนอกระบบเข้าสู่สินเชื่อรัฐ ดอกเบี้ยต่อปีต่ำกว่าดอกนอกระบบหลายสิบเท่า เงินต้นเริ่มลดจริง

สาม คุ้มครองสิทธิอย่างมีพลัง
รู้กฎหมาย รู้ช่องทางร้องเรียน และมีเวทีไกล่เกลี่ยที่เข้าถึงได้ ทำให้ลูกหนี้ไม่ต้องเผชิญหน้าลำพัง.

ทางออกเชิงนโยบาย 3 เงื่อนไขที่ต้องทำพร้อมกัน

  1. รายได้และอาชีพ เพิ่มศักยภาพทำมาหากินในท้องถิ่น ลดรายจ่ายจำเป็น และสร้างกันชนเงินออมฉุกเฉิน
  2. เข้าถึงสินเชื่อในระบบ ลดขั้นตอน ตรวจสอบรายได้ไม่เป็นทางการด้วยข้อมูลดิจิทัล เปิดทางให้คนทำอาชีพอิสระเข้าถึงวงเงินเล็กไวขึ้น
  3. กำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมาย ปราบปรามทวงหนี้ผิดกฎหมาย สืบสวนสัญญาอำพราง และทำ “แพลตฟอร์มไกล่เกลี่ย” ให้ประชาชนใช้ได้จริงทุกอำเภอ

เช็กลิสต์เอาตัวรอดสำหรับครัวเรือน (ทำได้ทันที)

  • หยุดเลือด เจรจาขอลดดอก หรือขยายงวด หากถูกข่มขู่ให้รวบรวมหลักฐานทันที
  • ขอความช่วยเหลือ โทร 1567 ศูนย์ดำรงธรรม, 1599 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ, 1359 สายด่วนการเงินนอกระบบ, 1111 กด 77 ศูนย์ไกล่เกลี่ย/คุ้มครองสิทธิ
  • หาช่องทางในระบบ พิจารณาสินเชื่อแก้หนี้นอกระบบของออมสินหรือ ธ.ก.ส. วงเงินตามมูลหนี้จริง กำหนดดอกชัด ตรวจสอบได้
  • รู้สิทธิของตน หากเจ้าหนี้ทวงหนี้เกินวันละหนึ่งครั้ง หรือประจาน ถือว่าผิดกฎหมาย มีโทษปรับสูงสุด 100,000 บาท แจ้งหน่วยงานกำกับได้ทันที.

สรุป

วิกฤตหนี้นอกระบบไม่ได้เกิดจาก “ความฟุ่มเฟือย” แต่จากโครงสร้างรายได้ ค่าครองชีพ และการเข้าถึงสินเชื่อในระบบที่ยังไม่ทั่วถึง แม้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ลดลง แต่ยอดหนี้รวมยังสูงมาก และ “หนี้รอวันเสีย” กำลังก่อตัว หากไม่แก้ที่ต้นตอ วงจรนอกระบบจะยืดเยื้อ และต้นทุนทางสังคมจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ คำตอบจึงไม่ใช่เพียง “ปล่อยวงเงินใหม่” แต่เป็นการทำงานสามด้านพร้อมกัน คือเพิ่มรายได้ ขยายสินเชื่อในระบบที่เป็นธรรม และบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อพาคนไทยกลับเข้าสู่ระบบการเงินที่ปลอดภัย และปิดฉาก “วงจรดอกโหด” ให้เด็ดขาด.

  • หากคุณมีปัญหาเสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำและดำเนินการร้องเรียนได้ฟรี

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้

Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

ติดต่อหน่วยงานช่วยเหลือ (สำหรับผู้อ่าน)

  • ศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย 1567 ตลอด 24 ชั่วโมง
  • สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599
  • ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สศค. กระทรวงการคลัง 1359 / www.1359.go.th
  • กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ/ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 1111 กด 77 และ eMediation ระบบออนไลน์. khlongha.pathumthani.police.go.thinfo.go.th
#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ข้อมูลหนี้ครัวเรือน, SML/NPL และกรอบนโยบายการเงิน). Bot AppMae Fa LuangBot
  • สำนักข่าว Reuters และสื่อเศรษฐกิจไทย (อัตราเงินเฟ้อล่าสุด, สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP). Reuters+2Reuters+2
  • The Standard/NESDC (ยอดหนี้ครัวเรือนรวมและสัดส่วนต่อ GDP). THE STANDARDNESC Development Council
  • Marketbuzzz Consumer Pulse (ความกังวลค่าครองชีพ). DLA Piper
  • มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย/UTCC (สัดส่วนหนี้นอกระบบ 30.1% และภาวะหมุนเงินยาก 46.3%). กองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนX (formerly Twitter)
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ และสื่อเศรษฐกิจ (ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือน). Bangkok Post
  • กฎหมายและการคุ้มครองผู้บริโภคด้านหนี้: กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ธปท., พ.ร.บ.การทวงถามหนี้ พ.ศ.2558 และประกาศ “วันละ 1 ครั้ง”. Trading EconomicsBotreport.dopa.go.th
  • ช่องทางช่วยเหลือและโครงการรัฐ: สายด่วน 1359/เว็บไซต์ กพช., สินเชื่อแก้หนี้นอกระบบของออมสินและ ธ.ก.ส., สรุปผลดำเนินงาน 6 เดือนของรัฐบาล. กองนโยบายพัฒนาระบบการเงินภาคประชาชนgsb.or.thRoyal Thai Government
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

รถไฟฟ้า 20 บาท ความท้าทายของความเท่าเทียมในระบบของผู้บริโภคต่างจังหวัด

รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ความท้าทายของความเท่าเทียมในระบบผู้บริโภค

เชียงราย, 8 สิงหาคม 2568กรณีศึกษา EV Bus เชียงรายที่ต้องหยุดให้บริการแม้ประชาชนต้องการ นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่รัฐบาลนำเสนอเป็นนโยบายเพื่อคนไทยทุกคน แต่ในอีกมุมหนึ่งกลับเผยให้เห็นความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนระหว่างกรุงเทพฯ และจังหวัดต่าง ๆ อย่างชัดเจนขึ้น เมื่อกรณีของรถ EV Bus ในจังหวัดเชียงรายที่ต้องหยุดให้บริการในปี 2567 แม้จะมีผู้โดยสารใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ และได้รับการตอบรับจากประชาชนในจังหวัดเชียงรายเป็นอย่างดี

จุดเริ่มต้นของความหวัง EV Bus เชียงราย เปิดตัว

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566 จังหวัดเชียงรายได้เปิดให้บริการรถประจำทางปรับอากาศ EV Bus เชียงรายเป็นครั้งแรก โดยให้บริการเส้นทางที่ครอบคลุมในสถานที่สำคัญของจังหวัด เริ่มต้นจากท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวง เชียงราย ไปตามถนนเวียงบูรพา ผ่านองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย สนามกีฬากลางจังหวัด อนุสาวรีย์พญามังราย สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย ไนท์บาซาร์ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และสิ้นสุดที่สถานีขนส่งผู้โดยสารเชียงรายแห่งที่ 2

รถ EV Bus นี้ให้บริการวันละ 4 เที่ยว คิดค่าโดยสาร 28 บาทต่อคน และได้รับความนิยมจากผู้โดยสารเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากสนามบิน ด้วยความสะดวกสบายและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ความจริงเบื้องหลังการขาดทุน

แม้จะมีผู้โดยสารเฉลี่ย 78 คนต่อวัน และรายได้ประมาณ 65,520 บาทต่อเดือน แต่ต้นทุนการดำเนินกิจการกลับสูงถึง 320,000 บาทต่อเดือน ทำให้เกิดการขาดทุนสุทธิ 254,480 บาทต่อเดือน รายละเอียดค่าใช้จ่ายประกอบไปด้วย เงินเดือนค่าจ้างพนักงาน 10 คน รวม 150,000 บาท ค่าชาร์จไฟฟ้า 90,000 บาท ค่าเช่าสถานที่ 30,000 บาท และค่าบริหารอื่น ๆ อีก 50,000 บาท

จากการวิเคราะห์พบว่า หากไม่มีการสนับสนุนจากภาครัฐ โครงการนี้จะขาดทุนสะสมกว่า 11 ล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการเอกชนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้

อุปสรรคที่เกินกว่าจะแก้ไขได้

ปัญหาหลักที่ทำให้โครงการ EV Bus เชียงรายล้มเหลว มาจากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายใน และภายนอก

ด้านปัจจัยภายใน ได้แก่ ต้นทุนและข้อจำกัดด้านสัมปทาน เนื่องจากรูปแบบสัมปทานรถโดยสารจากกรมขนส่งฯ ให้ผู้ประกอบการแบกรับต้นทุนการจัดการทั้งหมด ตั้งแต่การจัดหารถยนต์ไฟฟ้า การบริหารจัดการ รวมถึงการที่ทางขนส่งไม่มีสถานีประจำ หรือที่พักรถให้ ส่งผลให้เกิดภาระหนักทั้งด้านการลงทุนและการซ่อมบำรุง

นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ แม้จะมีการเปิดสถานีชาร์จไฟฟ้าเพิ่มในภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย แต่การเข้าถึงสถานีชาร์จที่เพียงพอและมีมาตรฐานสูงยังไม่ครอบคลุมระบบเดินรถ EV ในเมืองอย่างเหมาะสม

ส่วนปัจจัยภายนอก พบว่า ระบบภาครัฐของไทยมีการยื่นขอเอกสารกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องค่อนข้างล่าช้า และไม่ยืดหยุ่น ประกอบกับการต่อต้านจากระบบขนส่งเดิม ๆ ที่เห็นว่า EV Bus เป็นคู่แข่งที่มาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาด จึงมีการยื่นเรื่องขัดขวางกับทางขนส่ง

เสียงจากผู้ประกอบการที่ทำเพื่อสังคมแม้ขาดทุน

ตัวแทนจากทีมงาน EV Bus เชียงรายเปิดเผยว่า “การประมาณงบคร่าว ๆ ทำให้รู้ว่าจะขาดทุน แต่เราก็ทำ เพราะอยากให้นักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและคนจากสนามบินเข้าเมืองได้สะดวก แต่ปัจจัยภายนอกกระทบมาก และแบกรับต้นทุนไม่ไหว จึงต้องหยุด”

จากการสัมภาษณ์พบว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงและนักท่องเที่ยว ซึ่งต้องการระบบขนส่งที่สะดวกและราคาไม่แพง หากมีการสนับสนุนจากภาครัฐ อาจช่วยให้โครงการสามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน

ความเหลื่อมล้ำในนโยบายขนส่งมวลชน

นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ที่ถูกชูว่าเป็นนโยบายเพื่อคนไทยทุกคน ในความเป็นจริงกลับถูกจำกัดอยู่แค่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ขณะที่ประชาชนและผู้บริโภคในต่างจังหวัดยังต้องเสียค่าเดินทางสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งค่ารถเหมา ค่ามอเตอร์ไซค์รับจ้าง หรือค่ารถสองแถว ที่ยังไม่มีโครงข่ายขนส่งมวลชนทันสมัยมารองรับ

การที่นโยบายนี้ใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชนทั้งประเทศ แต่ประโยชน์กลับตกแค่เฉพาะคนในพื้นที่บางพื้นที่เท่านั้น ทำให้เกิดคำถามว่า นี่คือนโยบาย “เพื่อคนไทยทุกคน” หรือ “เพื่อคนบางพื้นที่” กันแน่

แนวทางแก้ไขที่เป็นไปได้

จากการวิเคราะห์กรณี EV Bus เชียงราย พบว่า หากภาครัฐต้องการให้ระบบขนส่งสาธารณะครอบคลุมอย่างแท้จริง ควรมีการสนับสนุนในหลายรูปแบบ อย่างเช่น

  • การอุดหนุนการลงทุนเริ่มต้น โดยสนับสนุน 30-50% ของราคารถยนต์ไฟฟ้า หรือให้กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำผ่านกองทุนรัฐ เพื่อลดภาระต้นทุนรถยนต์ไฟฟ้า
  • การอุดหนุนค่าพลังงานไฟฟ้า โดยรัฐช่วยอุดหนุนค่าชาร์จไฟฟ้า เช่น 50% ของค่าไฟใน 3 ปีแรก และส่งเสริมสถานีชาร์จของรัฐร่วมกับเทศบาล
  • การอุดหนุนการเดินรถตามจำนวนเที่ยวหรือคนโดยสาร โดยจ่ายอุดหนุนแบบ “per passenger” เช่น รัฐช่วย 10 บาทต่อคนที่ขึ้นรถ หรือ “per trip” เช่น ช่วย 500-1,000 บาทต่อเที่ยววิ่งที่กำหนด
  • การให้ใช้ทรัพย์สินรัฐฟรี โดยใช้สถานที่ราชการที่ว่าง เช่น สถานีขนส่งเก่า โรงเรียนไม่ใช้ช่วงวันหยุด มาทำจุดจอดหรือสถานีชาร์จ รวมถึงยกเว้นค่าเช่าพื้นที่ 3 ปีแรก
  • การประชาสัมพันธ์และสวัสดิการให้ประชาชนใช้งาน โดยให้เครดิตเดินทางฟรีแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ทำแคมเปญ “ขึ้นฟรี 1 เดือนแรก” หรือลดค่าโดยสารสำหรับนักเรียน นักศึกษา และผู้สูงอายุ

จากการประมาณการ หากมีการสนับสนุนตามแนวทางดังกล่าว รัฐจะต้องใช้งบประมาณประมาณ 5 ล้านบาทต่อปี สำหรับโครงการ EV Bus ขนาด 3 คัน ซึ่งจะลดลงเมื่อจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นและสามารถพึ่งพาตนเองได้

บทเรียนสำคัญจากจังหวัดเชียงราย

ความล้มเหลวของ EV Bus เชียงรายพิสูจน์แล้วว่า แม้จะมีความตั้งใจดี หากไม่มีโครงสร้างสนับสนุนจากภาครัฐ ระบบก็ไม่สามารถไปต่อได้ แม้จะมีประชาชนพร้อมใช้บริการก็ตาม ความล้มเหลวครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของผู้ประกอบการหรือประชาชน แต่อาจจะเป็นความผิดพลาดในการออกแบบนโยบาย โดยที่ไม่ได้เล็งเห็นความจริง และความจำเป็นในพื้นที่

ผลกระทบต่อประชาชน

ในทางปฏิบัติ ผู้ที่ได้ประโยชน์จากนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายอย่างชัดเจน คือ ผู้โดยสารในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงผู้ประกอบการที่ได้รับเงินชดเชยจากรัฐ ส่วนผู้เสียประโยชน์ คือ คนในต่างจังหวัดที่ต้องจ่ายภาษีเท่ากัน แต่กลับไม่มีสิทธิ์ ไม่มีโอกาสได้ใช้บริการใด ๆ จากนโยบายนี้เลย

การขาดแคลนระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัดส่งผลให้ประชาชนต้องพึ่งพายานพาหนะส่วนตัว ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนการครองชีพ เพิ่มมลพิษทางอากาศ และสร้างปัญหาการจราจร โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยวหรือสถานศึกษาขนาดใหญ่

ข้อเสนอแนะจากประชาชน

ประชาชนในต่างจังหวัดต้องการเห็นนโยบายที่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่เฉพาะในเมืองใหญ่ รัฐบาลควรเปิดพื้นที่ให้เอกชนและท้องถิ่นได้พัฒนาโดยมีภาครัฐหนุนหลัง โดยเฉพาะการเชื่อมต่อเส้นทางจากสนามบิน โรงพยาบาล สถานศึกษา และแหล่งท่องเที่ยวภายในจังหวัด

กรณีของจังหวัดเชียงรายอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี หากภาครัฐปรับเปลี่ยนวิธีคิดจากการให้สิทธิพิเศษแก่คนในพื้นที่บางพื้นที่ มาเป็นการสร้างโอกาสให้ในทุก ๆ พื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองรองที่ภาครัฐต้องการจะสนับสนุนให้คนมาท่องเที่ยวเพื่อกระจายรายได้ และกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้มีระบบขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

วิเคราะห์ผลกระทบระยะยาว

หากรัฐบาลยังคงดำเนินการในการจัดทำนโยบายแบบเดิม อาจส่งผลให้เกิดความแตกแยกทางสังคมมากขึ้น เมื่อคนในกรุงเทพฯ มีสิทธิประโยชน์มากกว่า ในขณะที่คนในต่างจังหวัดไม่มี ทั้งที่ทุกคนเป็นผู้เสียภาษีเท่ากัน

ในระยะยาว การขาดระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัด อาจจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น เนื่องจากการเดินทางที่ไม่สะดวก อาจลดการเคลื่อนย้ายของแรงงานและนักท่องเที่ยว ส่งผลให้การกระจายรายได้นั้นไม่ทั่วถึง

ขนส่งมวลชนคือความยุติธรรมเชิงพื้นที่

นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” เป็นเรื่องของความยุติธรรมทางพื้นที่ ไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลขหรืองบประมาณ หากรัฐบาลยังเลือกสนับสนุนเพียงพื้นที่ที่เสียงดัง และปล่อยให้ภูมิภาคหรือพื้นที่อื่นเงียบหาย เท่ากับตอกย้ำความเหลื่อมล้ำของระบบขนส่งสาธารณะของผู้บริโภคคนไทย

กรณีศึกษาของ EV Bus เชียงรายแสดงให้เห็นว่า ความตั้งใจดีและความต้องการของประชาชนเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากไม่มีนโยบายจากภาครัฐมาสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ระบบขนส่งมวลชนในต่างจังหวัดจะยังคงเป็นเพียงความฝัน

คนไทยทุกคนควรมีสิทธิ์เข้าถึงระบบขนส่งที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหน ไม่ใช่แค่ในเมืองหลวง การสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนจึงเป็นภารกิจสำคัญที่ภาครัฐต้องดำเนินการอย่างจริงจัง หากต้องการให้นโยบายขนส่งเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคคนไทยทุกคนอย่างแท้จริง

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้

Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

หากคุณมีปัญหาเสามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำและดำเนินการร้องเรียนได้ฟรี

#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สัมภาษณ์ทีมงาน EV Bus เชียงราย (2568)
  • กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม
  • รายงานสำนักงบประมาณ ปี 2568
  • บทวิเคราะห์เศรษฐกิจจาก TDRI (สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย)
  • คณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

ปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ตพุ่ง 3 เท่า แฟนเพลงเจ็บหนัก-เศรษฐกิจเสียหาย

วงการ K-Pop สะเทือน! “เว็บ Bot” ปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ต BLACKPINK พุ่ง 3 เท่า แฟนเพลงเจ็บหนัก-เศรษฐกิจเสียหาย

กรุงเทพฯ, 5 สิงหาคม 2567 – วงการ K-Pop ในประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ จากปัญหาการปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ตโดยใช้ เว็บ Bot” เพื่อกว้านซื้อบัตรจำนวนมากและนำไปขายต่อในราคาที่สูงเกินจริง ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อทั้งแฟนเพลงและเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะการประกาศเวิลด์ทัวร์ของวง BLACKPINK WORLD TOUR < DEADLINE > IN BANGKOK ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24-26 ตุลาคม 2568 ณ ราชมังคลากีฬาสถาน ซึ่งคาดว่าจะมีความต้องการบัตรที่สูงลิ่ว แต่ก็มาพร้อมกับความกังวลว่าปัญหา “บัตรผี” จะกลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง

ข่าวล่าสุดจาก YG Entertainment ค่ายต้นสังกัดของ BLACKPINK ที่ประกาศความสำเร็จของเพลง “PINK VENOM” ซึ่งทำยอดชมทะลุ 1 พันล้านวิวบน YouTube ตอกย้ำถึงความนิยมที่แข็งแกร่งของวงและอุตสาหกรรม K-Pop ที่ยั่งยืนมาอย่างยาวนาน แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้กลับกลายเป็นดาบสองคมที่เปิดช่องให้กลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์

บัตรผี” ราคาพุ่ง 3 เท่ากรณีศึกษา GOT7

แม้จะมีการประกาศเวิลด์ทัวร์ของ BLACKPINK ที่น่าตื่นเต้น แต่ก็มีความกังวลถึงปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในคอนเสิร์ตอื่นๆ เช่น “2025 GOT7 CONCERT in BANGKOK” ซึ่งจัดแสดง 2 รอบที่สนามราชมังคลากีฬาสถานและบัตรเข้าชมได้ถูกจำหน่ายหมดลงอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลพบว่า ราคาบัตรคอนเสิร์ตของ GOT7 ที่มีราคาหน้าบัตรสูงสุด 9,900 บาท ถูกนำไปขายต่อในเว็บไซต์ของจีนในราคาสูงถึง 40,000 – 50,000 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาหน้าบัตรถึง 3 เท่าตัว!

เงินจำนวนมหาศาลจากการขายบัตรผีเหล่านี้ไหลออกนอกประเทศอย่างไร้หลักฐานการรับรองกำไรที่ชัดเจน และยังส่งผลให้เกิดการโกงบัตรเพิ่มมากขึ้น โดยผู้เสียหายหลายรายถูกหลอกให้ซื้อบัตรราคาแพงโดยอ้างว่าสามารถเลือกที่นั่งได้ก่อนใคร แต่ไม่กล้าออกมาแจ้งความเพราะกลัวความผิดในฐานะผู้ซื้อบัตรผี

โดยเฉลี่ยแล้ว ความเสียหายจากกรณีการโกงบัตรคอนเสิร์ตอยู่ที่หลักหมื่นต่อคน หากมีคอนเสิร์ตใหญ่ 20 งานต่อปี และแต่ละงานมีผู้เสียหายหลักสิบราย มูลค่าความเสียหายรวมอาจสูงถึง 20 ล้านบาทต่อปี เลยทีเดียว แต่ทั้งภาครัฐและเอกชนกลับยังคงนิ่งเฉยกับปัญหานี้ และไม่มีระบบหรือกฎหมายที่เอาจริงเอาจังในการจัดการกับการโกงที่เกิดขึ้น

กลไกการทำงานของ “เว็บ Bot” เหนือมนุษย์และหลบเลี่ยงกฎ

เว็บ Bot” คือซอฟต์แวร์อัตโนมัติที่ถูกออกแบบมาเพื่อซื้อบัตรจำนวนจำกัดด้วยความเร็วที่เหนือกว่ามนุษย์อย่างมาก โดยบอทเหล่านี้จะเลียนแบบพฤติกรรมของมนุษย์แต่ทำงานได้เร็วกว่าและในปริมาณที่มากกว่า ทำให้สามารถกว้านซื้อบัตรได้หลายร้อยใบในทันทีที่การขายเริ่มต้นขึ้น

นอกจากนี้ บอทยังถูกใช้เพื่อ “Denial of Inventory” โดยการจองบัตรเข้าตะกร้าสินค้าไว้ ทำให้บัตรเหล่านั้นไม่สามารถซื้อได้สำหรับแฟนเพลงตัวจริง ผู้ดำเนินการบอททราบดีว่าความต้องการที่สูงจะทำให้แฟนเพลงยอมจ่ายในราคาที่สูงเกินจริงเพื่อหาบัตรมาครอบครอง

ผลกระทบที่รุนแรง จากความฝันสู่การฉ้อโกง

การแพร่หลายของบอทส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง:

  • การปั่นราคาที่สูงเกินจริง: ความต้องการที่สูงและอุปทานที่ถูกจำกัดโดยบอท ทำให้ราคาบัตรในตลาดรองพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล เปลี่ยนงานอีเวนต์ทางวัฒนธรรมให้กลายเป็นสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร
  • การหลอกลวงที่แพร่หลาย: การกว้านซื้อบัตรโดยบอทนำไปสู่การหลอกลวงที่เพิ่มขึ้น ทั้งการขายบัตรปลอมคุณภาพสูง และการเรียกเก็บเงินเพิ่มจากผู้ซื้อก่อนจะหายตัวไปในที่สุด
  • ความเสียหายทางเศรษฐกิจ: เงินจากการขายบัตรราคาแพงจำนวนมหาศาลไหลออกจากประเทศไปสู่กลุ่มสเกลเปอร์ ซึ่งมักเป็นกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ ทำให้เม็ดเงินเหล่านี้ไม่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของไทย
  • ทำลายความเชื่อมั่น: แฟนเพลงรู้สึกผิดหวังและสิ้นหวังที่ความรักต่อศิลปินถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม

กฎหมายไทยยังเป็นช่องโหว่ ขาดมาตรการเอาผิดการปั่นราคา

ในขณะที่หลายประเทศ เช่น จีนและญี่ปุ่น ได้ออกกฎหมายที่เข้มงวดเพื่อต่อต้านการปั่นราคาบัตรและกำหนดให้มีการจำหน่ายบัตรระบุชื่อจริง ประเทศไทยยังคงไม่มีกฎหมายเฉพาะที่มุ่งเป้าไปที่การปั่นราคาบัตรโดยตรง ทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดรอง

แม้ว่าแพลตฟอร์มจำหน่ายบัตรอย่าง Thaiticketmajor จะมีแนวปฏิบัติที่เข้มงวด เช่น การใช้บัตรแข็งที่พิมพ์ชื่อผู้ซื้อและห้ามการโอน แต่มาตรการเหล่านี้ก็อาจผลักดันให้แฟนเพลงตัวจริงต้องหันไปพึ่งพาช่องทางที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น

ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์แก้ปัญหาวิกฤตอย่างยั่งยืน

เพื่อแก้ไขปัญหาการปั่นราคาบัตรคอนเสิร์ต K-Pop ที่เกิดขึ้นซ้ำซาก และปกป้องแฟนเพลงจากความเสียหายที่รุนแรง ควรมีการดำเนินกลยุทธ์แบบหลายชั้นดังนี้:

  1. เร่งออกกฎหมายต่อต้านการปั่นราคา: ภาครัฐควรพิจารณาออกกฎหมายที่ชัดเจนและมีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับผู้ที่ใช้บอทในการกว้านซื้อบัตรและขายต่อในราคาที่สูงเกินจริง
  2. พัฒนาเทคโนโลยีต่อต้านบอท: ผู้จัดงานและแพลตฟอร์มจำหน่ายบัตรควรลงทุนในระบบต่อต้านบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเทคโนโลยีการวิเคราะห์พฤติกรรมขั้นสูง เพื่อตรวจจับและบล็อกกิจกรรมที่น่าสงสัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. บังคับใช้ระบบบัตรระบุชื่อจริง: พิจารณาการใช้ระบบบัตรระบุชื่อจริงอย่างเข้มงวด พร้อมกับพัฒนากลไกการโอนบัตรที่ปลอดภัยและเป็นทางการในราคาหน้าบัตร เพื่อให้แฟนเพลงตัวจริงยังคงได้รับความยืดหยุ่นในการเดินทาง
  4. เพิ่มความโปร่งใส: ผู้จัดงานควรมีการกำกับดูแลการจัดสรรบัตรอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการสมรู้ร่วมคิดกับสเกลเปอร์ และควรมีช่องทางการสื่อสารที่ชัดเจนกับแฟนเพลง
  5. ให้ความรู้และช่องทางร้องเรียน: แฟนเพลงควรได้รับการให้ความรู้เกี่ยวกับสัญญาณเตือนภัยของการหลอกลวงบัตร และควรมีช่องทางการร้องเรียนที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตนเอง หากมีปัญหาเกิดขึ้น

ในสถานการณ์ที่อุตสาหกรรมบันเทิงกำลังเติบโตและเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ปัญหาการปั่นราคาบัตรไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่สามารถมองข้ามได้อีกต่อไป หากไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ความเสียหายทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของแฟนเพลงจะยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

สภาองค์กรของผู้บริโภคมีช่องทางการร้องเรียนดังนี้
Line: @tccthailand
ใครพบปัญหาผู้บริโภคสามารถร้องเรียนสภาองค์กรของผู้บริโภค
Facebook / X (Twitter): สภาองค์กรของผู้บริโภค
Tiktok: tccthailand 
โทร 1502 และ 022391839
หรือแจ้งเรื่องร้องเรียนออนไลน์ได้ที่ https://complaint.tcc.or.th

และทาง E-mail : complaint@tcc.or.th

หากคุณมีปัญหาเกี่ยวกับการซื้อบัตรคอนเสิร์ต สามารถติดต่อเพื่อขอคำแนะนำและดำเนินการร้องเรียนได้ฟรี 
#สภาผู้บริโภค #เพื่อนผู้บริโภค

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • รายงานจาก YG Entertainment, BLACKPINKOFFICIAL

  • รายงาน GOT7 Concert in Bangkok 2025

  • Thaiticketmajor

  • บทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี Ticketing Systems

  • สภาองค์กรของผู้บริโภค (TCC Thailand): โทร. 1502 / Line: @tccthailand / Facebook และ Tiktok: tccthailand

  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์

  • รายงานตลาด Ticket Resale จาก Deloitte Asia 2023

  • รายงานโดยกันณพงศ์ ก.บัวเกษร ผู้ก่อต้ั้งสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • เรียบเรียงโดย มนรัตน์ ก.บัวเกษร ผู้ร่วมก่อต้ั้งสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

แอปฯ เงินกู้ ละเมิดสิทธิผู้ใช้ ถูดติดตั้งฝังในสมาร์ทโฟน

แอปฯ กู้เงินเถื่อน ‘Fineasy’ ฝังในสมาร์ทโฟน ผู้ใช้ไม่ยินยอม สภาผู้บริโภคเร่งเรียกร้องมาตรการคุ้มครอง

เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2568 สภาองค์กรของผู้บริโภคได้โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียรายงานกรณีพบแอปพลิเคชันกู้เงินเถื่อน เช่น แอปฯ ‘สินเชื่อความสุข’ หรือ ‘Fineasy’ ที่ถูกติดตั้งมาพร้อมระบบปฏิบัติการในสมาร์ทโฟนโดยผู้ใช้ไม่ได้ยินยอม แอปฯ ดังกล่าวฝังตัวในระบบเป็น System App ทำให้ไม่สามารถลบออกได้ ส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนบุคคล เช่น รายชื่อผู้ติดต่อและเบอร์โทรศัพท์ และอาจถูกใช้ในทางที่ผิด เช่น การล่วงละเมิดทางการเงินหรือการหลอกลวง

ความกังวลต่อความปลอดภัยของผู้ใช้

แอปฯ เงินกู้เถื่อนนี้ส่งการแจ้งเตือนเชิญชวนกู้เงินและเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน ซึ่งการแอบติดตั้งแอปฯ โดยไม่ได้รับความยินยอม ถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานและเสี่ยงต่อการก่อปัญหาภัยคุกคามทางการเงิน นอกจากนี้ยังสร้างความเสียหายให้แก่ผู้บริโภคที่ต้องหาวิธีป้องกันตัวเอง

สภาผู้บริโภคเรียกร้องมาตรการจัดการ

สภาองค์กรของผู้บริโภคได้เรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) และ กสทช. เร่งตรวจสอบและแก้ไขปัญหานี้ รวมถึงกำหนดบทลงโทษกับผู้ประกอบการที่กระทำผิดอย่างเข้มงวด

แถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าว พร้อมยืนยันความรับผิดชอบและแนวทางแก้ปัญหา

หลังจากกระแสข่าว ออปโป้ ประเทศไทย และ เรียลมี ประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีดังกล่าว ได้แจ้งลบแอปฯ Fineasy พร้อมยืนยันความรับผิดชอบและแนวทางแก้ปัญหา

ทาง OPPO ชี้แจงดังนี้

“OPPO ขออภัยเป็นอย่างสูงในเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นประเด็นบนหน้าสื่อฯ ออนไลน์ โดย OPPO ตระหนักและให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับประสบการณ์การใช้งานและความปลอดภัยด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานเสมอมา สำหรับประเด็นเกี่ยวกับซอฟต์แวร์จากบุคคลที่สามที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลการกู้ยืมเงินนั้น เรากำลังทำงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดและตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อจัดการกับปัญหานี้อย่างจริงจังและรวดเร็วที่สุด

ล่าสุด แอปพลิเคชัน Fineasy ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคงไว้เฉพาะฟังก์ชันบริการเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันเท่านั้น นอกจากนี้ เรากำลังเร่งดำเนินการเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถถอนการติดตั้งแอปพลิเคชัน Fineasy ได้โดยเร็วที่สุด หากผู้ใช้งานต้องการถอนการติดตั้งแอปฯ ในทันที สามารถติดต่อศูนย์บริการลูกค้า OPPO อย่างเป็นทางการได้ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ OPPO จะหยุดการติดตั้งแอปพลิเคชันประเภทสินเชื่อทั้งหมดที่ติดตั้งไว้ล่วงหน้า รวมถึงการหยุดแนะนำแอปพลิเคชันประเภทนี้ใน APP Market อีกด้วย

OPPO ให้คำมั่นในการพัฒนาและส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นเลิศเพื่อผู้ใช้งานทุกท่าน และขอบคุณที่ไว้วางใจและให้การสนับสนุน OPPO เป็นอย่างดีเสมอมา

realme ได้ออกแถลงการณ์ มีเนื้อหาดังนี้

“เรียน ลูกค้าที่เคารพทุกท่าน

realme ขออภัยในความไม่สะดวกที่เกิดขึ้น

realme ให้ความสำคัญอย่างสูงกับประสบการณ์การใช้งานและความปลอดภัยด้านความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานทุกท่าน ดังนั้น สำหรับกรณีที่เกี่ยวข้องกับบริการสินเชื่อจากแอปพลิเคชันของบุคคลที่สามในช่วงที่ผ่านมา ทางบริษัท realme กำลังดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดและจัดการอย่างจริงจังโดยเร็วที่สุด

โดยแอปฯ Fineasy ได้ทำการลบข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อออกทั้งหมดและคงไว้เพียงฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการบริการในชีวิตประจำวันเท่านั้น และจะเร่งปล่อยอัปเดตสิทธิ์ให้ผู้ใช้งานให้สามารถลบแอป Fineasy และหากผู้ใช้งานต้องการลบแอปพลิเคชันดังกล่าวได้ทันที สามารถติดต่อศูนย์บริการ realme ได้ทั่วประเทศ

นอกจากนี้ realme จะหยุดการติดตั้งแอปพลิเคชันสินเชื่อทุกประเภทในสมาร์ตโฟนรุ่นต่อไป และหยุดการแสดงผลแอปพลิเคชันสินเชื่อเป็นแอปแนะนำใน APP Market

มาตรการป้องกันในอนาคต

สภาผู้บริโภคยังเรียกร้องให้มีการกำหนดมาตรการควบคุมการอัปเดตระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟน เพื่อป้องกันการแอบติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่ได้รับอนุญาต พร้อมทั้งสนับสนุนให้ผู้ใช้งานตระหนักรู้ถึงภัยคุกคามและรายงานปัญหาที่พบ

เสียงจากผู้ใช้และข้อเรียกร้องเพิ่มเติม

ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบเรียกร้องให้ผู้ประกอบการออกมารับผิดชอบและเยียวยาความเสียหาย พร้อมทั้งเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐมีมาตรการที่ชัดเจนและรัดกุมในการปกป้องสิทธิผู้บริโภค เพื่อป้องกันปัญหาลักษณะนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก

สรุป

กรณีแอปฯ Fineasy เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคและความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจำเป็นต้องมีมาตรการแก้ไขและป้องกันอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคและป้องกันการกระทำผิดในอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาองค์กรของผู้บริโภค / ออปโป้ ประเทศไทย / เรียลมี ประเทศไทย 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘บัตรคอนเสิร์ต’ เรื่องร้องทุกข์อันดับ 1 ของผู้บริโภค ในปี 66

 
 

ภาพที่ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รับความเป็นธรรม การได้รับข้อมูลที่ไม่เพียงพอหรือไม่จนไม่สามารถตัดสินใจเลือกใช้หรือเลือกซื้อสินค้าและบริการได้อย่างถูกต้องหรือมีคุณภาพ กลายเป็นภาพสะท้อนที่พบเห็นอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันและอาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต ขณะที่การโฆษณาหรือรีวิวสินค้าของบุคคลมีชื่อเสียงที่ผลิตและเผยแพร่คลิปวิดีโอสินค้าต่าง ๆ เป็นปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้บริโภคอยากได้ อยากมี และตัดสินใจซื้อสินค้า จนทำให้หลาย ๆ ครั้ง ผู้บริโภคอาจไม่ได้สังเกตรายละเอียดของข้อมูลหรือไม่ได้ศึกษาข้อมูลก่อนการซื้อจนทำให้ถูกละเมิดสิทธิผู้บริโภคของตัวเองหรือถูกเอารัดเอาเปรียบ

            ในปีงบประมาณ 2566 (เดือนตุลาคม 2565 – เดือนกันยายน 2566) สภาผู้บริโภคจึงได้รวบรวมข้อมูลและรายงานสถานการณ์ผู้บริโภคจากการรับเรื่องร้องทุกข์ทั่วประเทศ ได้แก่ สำนักงานสภาผู้บริโภค หน่วยงานประจำจังหวัดใน 15 จังหวัด และองค์กรสมาชิกของสภาผู้บริโภค โดยในปีนี้มีผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิผู้บริโภคได้ร้องทุกข์เข้ามาเป็นจำนวน 16,142 เรื่อง ซึ่งสภาผู้บริโภคได้ช่วยเหลือผู้บริโภคให้ได้รับการชดเชยเยียวยาเสร็จสิ้นทั้งหมด 12,837 เรื่อง หรือคิดเป็นร้อยละ 79 และสามารถคิดรวมเป็นมูลค่าความสำเร็จในการคุ้มครองผู้บริโภคได้ถึง 71,703,984.46 บาท ส่วนที่เหลืออีก 3,305 เรื่อง อยู่ระหว่างการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค อย่างไรก็ตามกรณีใดที่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยหรือยุุติปัญหาได้ สภาผู้บริโภคจะเดินหน้าสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือในการฟ้องคดีให้กับผู้บริโภค

 

            เมื่อลงรายละเอียดในภาพรวมเรื่องร้องทุกข์ที่ผู้บริโภคร้องทุกข์เข้ามาในปีงบประมาณ 2566 ปัญหาที่มีผู้ร้องทุกข์เข้ามาที่สภาผู้บริโภคมากที่สุด คือ ปัญหาด้านสินค้าและบริการทั่วไป จำนวน 10,150 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 62.88 เกินครึ่งหนึ่งของเรื่องร้องทุกข์ทั้งหมด ซึ่งมากกว่าเรื่องร้องทุกข์ในปีงบประมาณ 2565 ถึง 7,875 เรื่อง

 

            ในสถานการณ์โควิด19 ที่เริ่มซาลง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริการบันเทิง อาทิ คอนเสิร์ต แฟนมีตตี้ง หรืองานอีเว้นท์ต่าง ๆ ได้เริ่มกลับมาจัดงาน เมื่อผู้บริโภคตัดสินใจซื้อบริการเหล่านี้ก็ได้พบกับปัญหาที่ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับ ‘ข้อสัญญา’ เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงผังคอนเสิร์ต การสมัครสมาชิกแต่ไม่ได้รับสิทธิตามที่ระบุ การจัดงานที่ไม่ตรงตามที่โฆษณาไว้ในครั้งแรก ไม่สามารถคืนบัตรได้ แจ้งราคาบัตรโดยไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าธรรมเนียม การประชาสัมพันธ์ไม่ชัดเจน รวมถึงราคาบัตรที่แพงเกินไป ซึ่งเมื่อคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนได้รับความเดือดร้อนในปัญหาที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันจึงได้ส่งเสียง ส่งต่อช่องทางและร้องทุกข์เข้ามาที่สภาผู้บริโภคถึง 5,906 เรื่อง ในอีกทางนั้นการที่ผู้บริโภคร้องทุกข์เข้ามาในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจคอนเสิร์ตเป็นจำนวนมาก อาจสะท้อนได้ว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่ร้องทุกข์เข้ามาในประเด็นปัญหาข้างต้นอยู่ในวัยที่โตมากับเทคโนโลยีและมีพฤติกรรมการใช้สื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างคล่องแคล่ว จึงเข้าถึงข้อมูลว่าตัวเองกำลังถูกผู้ประกอบการเอารัดเอาเปรียบและต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวเองได้รับความเป็นธรรม จนกระทั่งการเข้าถึงช่องทางการช่วยเหลือและใช้เครื่องมือการสื่อสารเพื่อร้องทุกข์ได้อย่างรวดเร็ว

 

            อย่างไรก็ตาม ปัญหาข้างต้นล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับ ‘ข้อสัญญา’ สภาผู้บริโภคจึงได้ติดต่อและประสานงานกับบริษัทผู้จัดงานหรือบริษัทที่จัดจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตต่าง ๆ ให้ชี้แจงข้อเท็จจริงและแนวทางการชดเชยเยียวยาความเสียหาย รวมถึงการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) หน่วยงานกำกับดูแลให้เข้ามาจัดการปัญหา ผ่านการออกหลักเกณฑ์หรือแนวปฏิบัติเรื่องการทำสัญญาระหว่างภาคธุรกิจกับผู้บริโภค โดยจะกำหนดสิ่งที่ต้องระบุในสัญญาและสิ่งที่ห้ามระบุในสัญญา เช่น การซื้อสินค้าแล้วไม่รับเปลี่ยนหรือคืน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ และหากสัญญาไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้ถือว่าสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะเพื่อให้การใช้สิทธิของผู้บริโภคในทุกประเด็นไม่มีข้อจำกัด นอกจากนี้ธุรกิจที่ต้องควบคุมสัญญาไม่ควรพิจารณาเป็นรายธุรกิจหรือรายกิจการ เพราะการแก้ปัญหาในลักษณะดังกล่าวเสมือนเป็นการไล่ตามปัญหาและต้องแก้ไขกันไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นการแก้ปัญหาเชิงป้องกันด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์กลางด้านสัญญาจึงเป็นผลดีกว่าในหลายมิติ

 

            นอกจากประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสัญญาในด้านสินค้าฯ ข้างต้น ปัญหาการซื้อสินค้าทางออนไลน์และปัญหาที่ผู้บริโภคได้รับความเสียหายจากการเข้าไปใช้บริการเสริมความงามเป็นปัญหาที่ผู้บริโภคร้องทุกข์เข้ามาในจำนวนใกล้เคียงกัน 1,474 เรื่อง และ 1,110 ตามลำดับ สำหรับการซื้อขายสินค้าทางออนไลน์นั้นส่วนใหญ่เป็นกรณีการซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะการซื้อสินค้าในเฟซบุ๊กแฟนเพจ แต่ไม่ได้รับสินค้าและไม่ได้รับเงินคืน หรือการได้รับสินค้าไม่ตรงตามที่สั่งซื้อไป ซึ่งผู้บริโภคมักถูกหลอกหลวงจากการที่มิจฉาชีพซื้อโฆษณาบนเฟซบุ๊กโปรโมทสินค้าหรือเปิดเฟซบุ๊กแฟนเพจขายสินค้า โดยในช่วงแรกทำทีส่งสินค้าให้เพื่อให้มีเครดิตว่าเป็นร้านค้าที่ไม่ได้คิดจะหลอกลวง เพราะมีผู้บริโภคการันตีว่าได้รับสินค้า แต่เมื่อผ่านไปสักพักจนผู้บริโภครายอื่น ๆ หลงเชื่อ จึงจะหลอกให้โอนเงินแต่สุดท้ายกลับไม่ส่งสินค้าให้ ส่วนในกรณีการได้รับความเสียหายจากการเข้าไปใช้บริการเสริมความงามนั้นจะมีความคล้ายคลึงกับกรณีของการจองหรือกดบัตรคอนเสิร์ต แต่คลินิกหรือสถานเสริมความงามกลับผิดสัญญาตามที่ตกลงไว้ตั้งแต่ครั้งแรก โดยผู้บริโภคที่เข้ามาร้องเรียนกรณีสถานเสริมความงามนั้นได้รับความเสียหายจากการที่คลินิกหรือสถานเสริมความงามอ้างว่าปิดปรับปรุงหรือปิดกิจการทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถใช้บริการได้ อาทิ กรณีอาร์ฑิชัยคลินิกที่อ้างปิดปรับปรุงชั่วคราว หรือกรณีคลินิกเอสเตลล่าที่ปิดดำเนินการโดยไม่แจ้งลูกค้าล่วงหน้า จนทำให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อน เป็นต้น

 

            ทั้งนี้ ในกรณีของการซื้อขายสินค้าในออนไลน์ สภาผู้บริโภคได้ประสานความร่วมมือทั้งกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อจัดการแก้ไขปัญหา รวมทั้งยังมีการทำสื่อเผยแพร่เพื่อให้ความรู้และเตือนภัยผู้บริโภค อีกทั้งหน่วยงานประจำจังหวัดรวมถึงองค์กรสมาชิกของสภาองค์กรของผู้บริโภคลงพื้นที่ให้ความรู้ทั้งเรื่องสิทธิผู้บริโภค และการรับมือกับกลโกงออนไลน์เพื่อให้ผู้บริโภครู้เท่าทันและมีข้อมูลในการตัดสินใจ นอกจากนี้ยังมีการประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือตำรวจไซเบอร์ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย เป็นต้น เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภค ขณะที่กรณีของเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้บริการที่สถานเสริมความงามนั้น สภาผู้บริโภคได้ติดต่อเพื่อเจรจากับบริษัททั้งสอง โดยที่การเจรจากับคลินิกอาร์ฑิชัยมีผลสรุปออกมาได้ 2 ทาง ได้แก่ คลินิกเสนอให้ผู้บริโภคที่ยังเหลือคอร์สเสริมความงามอยู่สามารถเข้าไปใช้บริการต่อได้ ส่วนผู้บริโภคที่ไม่ต้องการใช้บริการต่อแล้วและต้องการเงินคืนสามารถใช้สิทธิทางศาลต่อสู้และเรียกร้องเงินคืนได้ โดยที่สภาผู้บริโภคจะเป็นตัวแทนผู้บริโภคในการฟ้องร้องเป็นคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ขณะที่กรณีคลินิกเอสเตลล่าที่ปิดดำเนินการโดยไม่แจ้งลูกค้าล่วงหน้านั้น คณะอนุกรรมการด้านคดีผู้บริโภค สภาผู้บริโภคมีมติเดินหน้าฟ้องร้องเป็นคดีแบบกลุ่ม เนื่องจากเห็นว่ามีผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมากและไม่สามารถเจรจาหรือไกล่เกลี่ยกับบริษัทเพื่อให้คลินิกคืนเงินให้ผู้บริโภคได้

 

            ส่วนปัญหาที่มีผู้ร้องเรียนมากเป็นอันดับที่ 2 ได้แก่ ปัญหาด้านการเงินและการธนาคาร จำนวน 2,084 กรณี หรือคิดเป็นร้อยละ 12.91 ซึ่งสัดส่วนการร้องทุกข์เข้ามานั้นน้อยกว่าในปีงบประมาณ 2565 แต่กลับเป็นเรื่องที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงโควิด19 และในปัจจุบันยังคงมีผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากการเคลมประกันโควิดหรือถูกปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน สภาผู้บริโภคจึงได้ช่วยเหลือผู้เอาประกันที่ถูกปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ดังนี้ 1) ติดต่อและประสานงานกับบริษัทประกันภัยซึ่งเป็นเจ้าของกรมธรรม์เพื่อให้จ่ายค่าสินไหมให้กับผู้บริโภค แต่ทั้งนี้จากการเจรจาไกล่เกลี่ยพบว่าบางกรณีมีปัญหาเรื่องการออกใบรับรองแพทย์ สภาผู้บริโภคจึงได้แจ้งผู้เอาประกันเข้าไปแก้ไขใบรับรองแพทย์และยื่นขอเคลมค่าสินไหมอีกครั้ง 2) สภาผู้บริโภคเป็นที่ปรึกษาให้ผู้บริโภคที่ยื่นฟ้องคดีด้วยตนเอง กรณีที่บริษัทฯ ที่ไม่สามารถจ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนได้ และ 3) ฟ้องคดีให้กับผู้บริโภค ในการยื่นฟ้องทิพยประกันภัยที่ขอยื่นเป็นคดีกลุ่มนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างศาลชั้นต้นนัดไต่สวนผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายและตัวแทนจากบริษัททิพยประกันภัย

 

            อันดับที่ 3 เป็นปัญหาด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ จำนวน 918 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 5.69 กรณีการถูกหลอกลวงจากข้อความสั้น (SMS) ที่มิจฉาชีพส่งเข้ามาบนโทรศัพท์ของผู้บริโภคและแนบลิงก์มาให้กด ยังเป็นปัญหาที่ผู้บริโภคพบไม่เว้นแต่ละวัน เมื่อเผลอกดอาจสูญเงินหรือถูกขโมยข้อส่วนตัว และประเด็นปัญหาที่ผู้บริโภคร้องทุกข์เข้ามาในด้านการสื่อสารฯ มากไม่แพ้กันคือ การถูก ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ โทรเข้ามาและอ้างว่ามาจากหน่วยงานหรือองค์กรของภาครัฐ รวมถึงปรับเปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงโดยใช้เทคโนโลยีปลอมเป็นเสียงของบุคคลที่รู้จักและหลอกให้โอนเงิน ทั้งนี้เนื่องจากการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิผู้บริโภคผ่านช่องทางออนไลน์ต้องอาศัยความรวดเร็วเพื่อให้ผู้บริโภคมีโอกาสได้รับเงินคืนหรือได้รับการชดเชยเยียวยา ดังนั้น สภาผู้บริโภคจึงได้ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) บก.ปคบ. บช.สอท. รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้ติดตามและสกัดเส้นทางการเงินที่ผู้บริโภคถูกหลอกให้โอนเงิน

 

            ขณะที่เรื่องร้องทุกข์ที่เหลือนั้นจะเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการพบสิ่งปนเปื้อนในอาหารที่เป็นซากแมลง เศษพลาสติกหนังยาง หรือของแปลกปลอมอื่น ๆ อีกทั้งยังพบประเด็นที่ไม่สามารถใช้สิทธิรักษาสุขภาพได้หรือการถูกเรียกเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งที่โรงพยาบาลไม่มีสิทธิในการเรียกเก็บเพิ่มเติม รวมถึงปัญหาด้านการขนส่งและยานพาหนะที่ผู้บริโภคมักพบกับปัญหาค่าโดยสาร ถูกให้นั่งเบาะเสริม คนขับพูดจาไม่สุภาพ หรือขับรถเร็วเกินกำหนด นอกจากนี้ผู้บริโภคยังพบกับปัญหาในประเด็นความไม่เป็นธรรมในการทำสัญญาซื้อขายบ้านหรืออาคารชุดต่าง ๆ ปัญหาบ้านร้าว หรือแม้แต่ปัญหาการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ในพื้นที่ชุมชน

 

            หากมองภาพรวมของการช่วยเหลือผู้บริโภคของสภาผู้บริโภคในการคุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้บริโภคได้ช่วยเหลือผู้บริโภคเป็นรายบุคคลและกลุ่มเฉพาะที่พบปัญหาในลักษณะเดียวกัน ผ่านการรับเรื่องร้องทุกข์จากผู้บริโภคในทุกช่องทางโดยการให้คำปรึกษา คำแนะนำ การช่วยเจรจาและไกล่เกลี่ย รวมถึงหากไม่สามารถตกลงได้จะเดินหน้าฟ้องร้องคดีแทนและสนับสนุนการฟ้องร้องคดีให้กับผู้บริโภค ทั้งนี้สภาผู้บริโภคเดินหน้าคุ้มครองผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องโดยเน้นว่ากระบวนการเอาเปรียบต้องยุติเร็วที่สุดและผู้บริโภคต้องสูญเสียน้อยที่สุด

 

            นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าสภาผู้บริโภคยังได้ดำเนินการที่ทำให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคที่ครอบคลุมประชาชนทั้งประเทศในหลายกรณี เนื่่องจากการแก้ไขความเสียหาย หรือการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นทำให้ผู้บริโภคทั้งประเทศได้รับการคุ้มครองผ่านการจัดทำข้อเสนอแนะ ข้อเสนอเชิงนโยบาย และมาตรการคุ้มครองผู้บริโภค ในปีงบประมาณ 2566 สภาผู้บริโภคได้จัดทำนโยบายระดับจังหวัดและระดับประเทศ รวม 36 เรื่อง แบ่งเป็นนโยบายระดับประเทศ 25 เรื่อง และนโยบายระดับจังหวัด 9 เรื่อง

 

            เมื่อลงรายละเอียดนโยบายระดับประเทศ 25 ข้อ แบ่งได้เป็นข้อเสนอแนะ 10 ข้อ เช่น เรียกร้องให้สถานพยาบาลแสดงรายละเอียดต้นทุนค่าบริการรักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP) เพื่อนำไปประเมินกลไกการควบคุมราคาค่ารักษาพยาบาลในโรงพยาบาลเอกชน กรณี UCEP ให้มีความเหมาะสมโดยคำนึงถึงภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงการแก้ไขกฎกระทรวงฉบับที่ 65 พ.ศ. 2558 ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เพื่อปรับปรุงกฎหมายเรื่องควบคุมอาคารให้สอดคล้องกับบริบทและลักษณะทางกายภาพของเมืองมากขึ้น เป็นต้น ข้อเสนอเชิงนโยบาย 8 ข้อ เช่น การยกระดับสิทธิประโยชน์ด้านบริการทันตกรรมของผู้ประกันตน โดยเสนอให้ปรับสิทธิประโยชน์ให้ทัดเทียมกับสิทธิบัตรทอง รวมไปถึงการจัดตั้งกองทุนบำนาญพื้นฐานแห่งชาติ ที่เสนอให้รัฐบาลจัดสรรเงินบำนาญถ้วนหน้า เดือนละ 3,000 บาทให้กับผู้ที่อายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นต้น มาตรการคุ้มครองผู้บริโภค 7 มาตรการ เช่น การควบคุมการใช้กัญชา – กัญชงในอาหาร การพัฒนาระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย สินค้าออนไลน์ เป็นต้น

 

            ส่วนข้อเสนอแนะนโยบายระดับจังหวัด 9 ข้อ แบ่งเป็น ข้อเสนอแนะ 1 ข้อ ได้แก่ เรื่องการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐโดยเฉพาะสิทธิการรักษาพยาบาลเมื่ออยู่ระหว่างการรับรองสถานะชาติไทย ของหน่วยงานประจำจังหวัดร้อยเอ็ด ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 3 ข้อ เช่น การแก้ไขปัญหาตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกอบการ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มาตรการคุ้มครองผู้บริโภค 5 มาตรการ เช่น การแก้ไขปัญหาการเลี่ยงจัดสรรที่ดินของผู้ประกอบการธุรกิจ บ้านจัดสรรในพื้นที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ รณรงค์เรื่องการมีถุงลมนิรภัยที่ปลอดภัย ของหน่วยงานจังหวัดพะเยา เป็นต้น

 

            ปัจจุบันข้อเสนอแนะ ข้อเสนอเชิงนโยบาย และมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคที่ได้เสนอไปในปีงบประมาณ 2566 ได้รับการตอบสนองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 9 ประเด็น ดังนี้ 1) มาตรการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านการนำพืชกัญชา และกัญชงมาเป็นวัตถุดิบในอาหาร 2) การเร่งยุติการจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซีดาฟในแพลตฟอร์มออนไลน์ 3) ข้อเสนอให้ผู้ประกอบการสถานพยาบาลแสดงรายละเอียดต้นทุนค่ารักษาบริการสิทธิ UCEP ในงบการเงิน 4) การออกใบอนุญาตติดตั้งตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญในเขตกรุงเทพมหานคร 5) การแก้ไขปัญหากรณีการขายทุเรียนอ่อนในจังหวัดกาญจนบุรี 6) การจำหน่ายยาในตลาดนัด ร้านค้า และท้องถิ่น จังหวัดสมุทรสงคราม 7) ปัญหาการเลี่ยงขอจัดสรรที่ดินบ้านจัดสรร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 8) การรณรงค์เรื่องถุงลมนิรภัยไม่ปลอดภัย ในจังหวัดพะเยา และ 9) การใช้สารเคมีที่ปลอดภัย ในจังหวัดลำพูน

 

            ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคยังคังเดินหน้าเสนอแนะ ผลักดันนโยบาย และมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการผลักดันเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือและแรงผลักดันจากประชาชนทุกคนในการกระตุ้นและกดดันให้รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค เพื่อนำไปสู่การพัฒนานโยบายและยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทย

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาองค์กรของผู้บริโภค

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
TOP STORIES

สภาผู้บริโภคเอาจริง จ่อยื่น ป.ป.ช. ถอดถอน กสทช. เอื้อผูกขาดอินเทอร์เน็ต

 

18 พฤศจิกายน 2566 สภาผู้บริโภค ร่วมกับเครือข่ายองค์กรของผู้บริโภค จัดงานแถลงข่าว “ความล้มเหลวของ กสทช. ในการคุ้มครองผู้บริโภคกรณีการควบรวมธุรกิจโทรคมนาคม” เพื่อแสดงความผิดหวังและแสดงความเห็นต่อมติของคณะกรรมการ กสทช.  พร้อมออกแถลงการณ์ร่วมกันและเตรียมเสนอคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอให้ถอดถอนคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (คณะกรรมการ กสทช.) ออกจากตำแหน่งทั้งคณะ เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ที่อาจเข้าข่ายบกพร่องและไม่กำกับดูแล ได้สร้างผลกระทบร้ายแรงต่อผู้บริโภค ทั้งกรณีมีมติรับทราบการควบรวมทรู – ดีแทค และการอนุญาตให้ควบรวม AWN – 3BB

 

นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะอนุกรรมการด้านการสื่อสาร โทรคมนาคม และเทคโนโลยีสารสนเทศ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า การทำงานของ กสทช.ชุดปัจจุบัน หากสะท้อนจากมุมมองของคนนอกจะเหมือนเป็นสงครามตัวแทน (proxy war) ระหว่างสองรายใหญ่เพราะคนที่ได้ประโยชน์ชัดเจนคือ ผู้ประกอบการทั้งสองราย ในทางกลับกัน กลับไม่เห็นความพยายามในการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคในกสทช. ที่ชัดเจน แม้แต่กรรมการ กทสช. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค

 

“สิ่งที่น่าเสียใจคือ การปฏิรูปกิจการคลื่นความถี่โทรคมนาคมในประเทศไทยดูเหมือนจะมีความคืบหน้า แต่ในความเป็นจริงกลับถอยหลัง และเป็นการถอยหลังที่มองไม่เห็นอนาคตว่าจะไปอย่างไรกันต่อ โดยเฉพาะเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคที่เหมือนจะไม่มีความหวัง ไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับการเป็นปากเสียงให้ผู้บริโภคในองค์กรอิสระที่มีศักดิ์ศรีและได้รับการคุ้มครองความอิสระตามเจตนารมณ์ในรัฐธรรมนูญ” นางสาวสุภิญญาระบุ

 

นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ ภาวะความขัดแย้งและความเห็นต่างในองค์กรอิสระเป็นเรื่องปกติเนื่องจากกรรมการแต่ละท่านต่างมีจุดยืนของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งของกสทช.ชุดนี้กลับมองไม่เห็นว่าเชื่อมโยงกับประโยชน์สาธารณะอย่างไรและมีผลประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างไร  

 

  “ปัญหาต่าง ๆ ที่รุมเร้าผู้บริโภคในยุค 5G และ 6G และขณะนี้กำลังจะเข้าสู่ยุค AI และ Internet of Things ปัญหารุมเร้าทั้งในเรื่องการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มิจฉาชีพที่มาจากแก๊งคอลเซนเตอร์ สแกมเมอร์และสแปมต่าง ๆ รวมไปถึงคุณภาพในการให้บริการ ผู้บริโภคถึงกับมืดมนว่าจะพึ่งใคร ถ้าองค์กรที่ควรจะเป็นที่พึ่งอย่าง กสทช.กลายเป็นทไวไลท์โซนหรือแดนสนธยาที่แสงอาทิตย์ส่องเข้าไปไม่ถึง เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นความหวังให้กับเราได้อย่างไร นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา”นางสาวสุภิญญากล่าว

 

ด้านนางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ความล้มเหลวของ กสทช.ในการคุ้มครองผู้บริโภคมี 3 ประการ ประการแรกคือ การลงมติ “รับทราบ” การรวมธุรกิจระหว่างทรู – ดีแทค โดยให้เหตุผลว่าไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน แต่ในการประชุมลงมติกรณี AWN – 3BB ที่ประชุมได้มีมติเสียงข้างมาก 5:2 เห็นว่าเป็นการถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกัน สะท้อนให้เห็นถึงการปฏิบัติหน้าที่ที่บกพร่องมีการตัดสินที่ผิดพลาดในเบื้องต้น ยิ่งไปกว่านั้นยังได้อนุญาตให้เกิดการควบรวมระหว่างค่าย AWN – 3BB ที่เป็นความผิดพลาดครั้งที่สอง เพราะเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชนในการรับบริการโทรคมนาคมที่ถูกเอาเปรียบการมีอำนาจเหนือตลาดของธุรกิจเอกชน

 

“ที่ผ่านมาภาคประชาชน รวมทั้งนักวิชาการและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้มีความพยายามอย่างเต็มที่ ในการคัดค้าน กสทช.ไปจนถึงการฟ้องคดีที่ศาลปกครอง เพื่อให้ กสทช.ใช้อำนาจของตัวเอง แต่สุดท้ายกสทช.ก็ทำหน้าที่เพียงรับทราบ และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ กสทช. ไม่สามารถกำกับหรือควบคุมให้เกิดการคุ้มครองผู้บริโภคได้ตามมาตรการที่ตัวเองออกแบบไว้”
สารีกล่าว

 

ความล้มเหลวประการที่สองคือการมีมติอนุญาตให้ AWN – 3BB ควบรวมกิจการได้ โดยไม่คำนึงว่าจะทำให้เกิดการผูกขาดอินเทอร์เน็ตตามมา ซึ่งทำให้บริษัทที่ควบรวมได้รับประโยชน์โดยตรงที่สำคัญ กล่าวคือทำให้ บริษัท AWN มีส่วนแบ่งในตลาดของผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตประจำที่มากถึงร้อยละ 44.44 ในขณะที่ลำดับที่สองและสาม คือ บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต คอร์ปอเรชั่น จำกัด (TICC) และ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 37.47 และ 15.44 ตามลำดับ

 

นอกจากนี้ การควบรวม AWN – 3BB ยังส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์จากการไม่ต้องลงทุนโครงข่ายซ้ำซ้อนคิดเป็นเงินไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาทในเวลา 5 ปี การที่คณะกรรมการ กสทช. ได้กำหนดมาตรการให้นำเงินที่ประหยัดได้นี้ไปลงทุนสร้างโครงข่ายเพิ่มในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งหากพิจารณาอย่างผิวเผินจะเห็นว่าประชาชนได้รับประโยชน์ แต่ทางกลับกันจะทำให้บริษัท AWN ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากถึงเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดทั้งหมด มีโอกาสใช้เงินทุนที่เหนือกว่าคู่แข่งที่เป็นผลพวงจากการได้รับอนุญาตให้ควบรวมกิจการ ทำลายพื้นที่การแข่งขันของผู้ให้บริการเจ้าอื่นได้เช่นกัน โดยเฉพาะ NT

 

“จากเอกสารที่ กสทช. ใช้ชี้แจงต่อองค์กรผู้บริโภคจะว่าการควบรวมครั้งนี้ทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้บริโภคด้านราคาโดยมีงานวิจัยหลายชิ้นที่สะท้อนผลกระทบด้านราคาเพิ่มขึ้นหลังจากควบรวม และตัวเลขที่ถูกคาดการณ์มีทั้งที่บอกว่า ค่าบริการจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 – 13.4 เปอร์เซนต์ หรือบางงานวิจัยบอกว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 – 45 หรืองานวิจัยของ 101 PUB ที่ระบุว่าจะราคาจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 – 22.9  ซึ่ง กสทช.กำลังจะบอกว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นเหล่านี้สามารถจัดการได้ แต่พวกเราไม่มีความมั่นใจเลยและไม่เชื่อว่ากสทช. จะทำได้จริง” สารีกล่าว

 

ความล้มเหลวประการที่สาม คือ ความล้มเหลวในการกำกับหรือสั่งการสำนักงาน กสทช. หลักฐานเชิงประจักษ์คือ ถึงแม้กรรมการเสียงข้างมากจะมีมติให้ดำเนินการกับรักษาการเลขาธิการ แต่ก็ไม่มีผลในการใช้บังคับ หรือกรณีการควบรวมทรู – ดีแทคที่สำนักงาน กสทช. ไม่สามารถกำกับดูแลบริษัทให้ทำตามมาตรการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ได้ นำมาสู่คำถามและข้อกังขาว่ากรณีการควบรวม AWN – 3BB กสทช. จะสามารถควบคุมไม่ให้บริษัทขึ้นราคาได้หรือไม่ และเห็นชัดเจนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างภาระให้กับผู้บริโภคในการตรวจสอบ

 

ความล้มเหลวประการสุดท้ายถูกสะท้อนจากการคัดเลือกเลขาธิการ กสทช. ที่ไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากปัญหาภายใน ดังนั้น ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน กสทช. ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะกรรมการ กสทช. ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค แต่กลับไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคให้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ยกตัวอย่างเช่น มาตรการหลังการควบรวมทรู – ดีแทคที่กำหนดให้บริษัทต้องลดราคาลงร้อยละ 12 ภายใน 90 วันหลังการควบรวม หรือการกำหนดให้แสดงแหล่งที่มาของเอสเอ็มเอสจะต้องบอกเพื่อลดปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถกำกับให้บริษัทปฏิบัติตามมาตรการหรือเงื่อนไขดังกล่าวได้

นางสาวนฤมล เมฆบริสุทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า  ปัจจุบันมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคได้สำรวจความคิดเห็นผู้บริโภคในเรื่องการควบรวมโดยมีข้อมูลการสำรวจตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน ถึงปัจจุบันมีผู้ร่วมตอบแบบสอบถามประมาณ 2,700 คน โดยปัญหาพบปัญหาคุณภาพการใช้บริการลดลง ค่าโปรโมชั่นแพงขึ้น โดยหลังจากนี้จะมีการเปิดเผยผลสำรวจที่ลงลึกมากขึ้น

 

ด้าน นายฉัตร คำแสง ผู้อำนวยการ 101 PUB กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการควบรวมระหว่างกิจการโทรคมนาคม 2 ครั้ง โดยครั้งแรกเป็นการควบรวมระหว่างทรู – ดีแทคซึ่งหลังจากการควบรวมพบว่าตลาดมีความกระจุกตัวสูง ทำให้เหลือผู้แข่งขันหรือผู้ให้บริการหลักเพียง 2 ราย ทั้งนี้ยังพบว่าดัชนีการกระจุกก็เพิ่มขึ้นอย่างมากอยู่ในระดับที่ผู้กำกับดูแลโดยทั่วไปของโลกรับไม่ได้ โดยมีการประเมินว่าอาจมีผลกระทบต่อผู้บริโภค โดยในการกรณีที่มีการแข่งขันตามปกติในตลาดโทรคมนาคมอย่างในปัจจุบัน ค่าบริการอาจจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7 – 10 เปอร์เซ็นต์ แต่หากมีการ “ฮั้วราคา” อาจจะทำให้ค่าบริการเพิ่มขึ้นได้ถึงในร้อยละ 20

 

“การฮั้วราคากันซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นการฮั้วแบบที่มีลายลักษณ์อักษรแต่มานั่งคุยกันก็ได้ แต่ว่าเมื่อมองตาแล้วรู้ใจว่า ถ้าเราขึ้นราคาแล้วเขาจะขึ้นราคาตามก็มีโอกาสเหมือนกันที่จะทำให้ราคาแพงขึ้นซึ่งอาจจะเป็นค่าบริการเฉลี่ยแพงขึ้น แพ็กเกจต่ำอาจถูกตัดออก หรือในอนาคตแม้ต้นทุนถูกลงแต่ราคาลดลงไม่เท่าก็เป็นไปได้ รวมไปถึงการให้บริการคุณภาพก็อาจจะแย่ลง เราคาดการณ์สิ่งเหล่านี้ไว้ตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้เราก็เห็นสิ่งเหล่านี้ค่อนข้างชัดเจน” นายฉัตรกล่าว

 

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาผู้บริโภค

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
FEATURED NEWS

สภาผู้บริโภคออกแถลงการณ์ “ผิดหวัง” มติ กสทช. หลังอนุญาตควบรวม AIS – 3BB

 

เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2566 สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) ได้ออกแถลงการณ์ แสดงความผิดหวังต่อมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (คณะกรรมการ กสทช.) ที่ได้อนุญาตให้บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) บริษัทในเครือเอไอเอส (AIS) และบริษัท ทริปเปิลบี บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือทรีบีบี (3BB) ควบรวมกิจการได้ ด้วยคะแนนเสียง 4 ต่อ 1 ในการประชุมเมื่อวานนี้ (10 พฤศจิกายน 2566)

 

โดยในแถลงการณ์ดังกล่าวนั้น สภาผู้บริโภคระบุว่า การลงมติดังกล่าวเป็นมติที่ไม่รักษาผลประโยชน์ผู้บริโภค กล่าวคือ แทนที่ กสทช. จะป้องกันปัญหาการผูกขาด กลับสร้างภาระให้ผู้บริโภคต้องจ่ายแพงขึ้น ที่แม้คณะกรรมการ กสทช. ได้ใช้อำนาจในฐานะองค์กรกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่มติดังกล่าวจะเพิ่มภาระผู้บริโภคอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งเมื่อตลาดด้านโทรคมนาคมในประเทศกำลังเดินเข้าสู่ภาวะการผูกขาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เกิดจากการที่คณะกรรมการ กสทช. ชุดนี้เปิดทางให้มีการควบรวมกิจการโทรคมนาคมระดับยักษ์ใหญ่ถึง 2 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี 1 เดือน

 

ทั้งนี้จากมติข้างต้น คณะกรรมการ กสทช. ไม่ได้ชี้ให้เห็นว่าการควบรวมครั้งนี้จะทำให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์อย่างไร อีกทั้งยังส่งผลให้สภาพของระบบโทรคมนาคมในประเทศไทยถอยหลังกลับไปหลายทศวรรษ กระทบต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างลึกซึ้งจนยากเกินเยียวยาในอนาคต โดยเฉพาะสังคมไทยที่เปลี่ยนผ่านสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ แต่ผู้บริโภคกลับถูกจำกัดทางเลือก นอกจากนี้ยังทำให้การแข่งขันในระบบตลาดเสรีกลายเป็นตลาดผูกขาดเมื่อเหลือผู้แข่งระดับใหญ่เพียง 2 ราย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะพิจารณาด้านหลักรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือหลักด้านเศรษฐศาสตร์ การปล่อยให้เกิดการผูกขาดของกิจการใด ๆ ในประเทศไทยที่ยึดหลักการค้าเสรีเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะจะก่อให้เกิดการเสียเปรียบของประโยชน์สาธารณะ เป็นการละเลยสิทธิของประชาชนที่จะได้รับทางเลือกในการใช้บริการ ความเป็นธรรม ความเท่าเทียมและการเข้าถึงบริการต่าง ๆ อย่างทั่วถึง

 

นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ข้างต้น ยังระบุว่า ปัจจุบันสังคมโลกและสังคมไทยต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสื่อสารในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าทางด้านการสื่อสารเพื่อความบันเทิงหรือในภาวะวิกฤติ แต่เมื่อกิจการด้านสื่อเทคโนโลยีอยู่ในภาวะผูกขาดจะทำให้ราคาค่าบริการและทางเลือกที่ประชาชนเคยได้รับจะถูกตัดทอนลง ในขณะที่ค่าบริการจะเพิ่มขึ้น โดยการศึกษาวิจัยที่สภาผู้บริโภคได้ดำเนินการ ได้ที่ชี้ถึงผลกระทบต่อผู้บริโภคหากบริษัททั้งสองได้รับว่า “ราคาค่าบริการอินเทอร์เน็ตบ้านจะสูงขึ้นระหว่างร้อยละ 9.5 – 22.9 ซึ่งจะเป็นภาระหนักสำหรับผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่ประเทศมีหนี้ครัวเรือนสูงถึงกว่า 5 แสนบาทต่อครอบครัวซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 15 ปี ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงการถูกบังคับซื้อบริการพ่วง การถูกลดทางเลือกการถูกจำกัดการเข้าถึงบริการของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล”

 

ดังนั้น สภาผู้บริโภคจึงขอให้คณะกรรมการ กสทช. ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลอัตราค่าบริการของ กสทช. อย่างเคร่งครัด เกิดประสิทธิภาพได้จริงที่จะสามารถป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค ทั้งเรื่องอัตราค่าบริการและคุณภาพการให้บริการ อาทิ การห้ามขึ้นราคาและลดคุณภาพการให้บริการ โดยให้คงรายการส่งเสริมการขาย (Package) ซึ่งมีราคาต่ำที่สุดที่มีอยู่ก่อนการรวมธุรกิจ และแจ้งให้ กสทช. ทราบ พร้อมกับต้องคงคุณภาพการให้บริการและราคาสำหรับรายการส่งเสริมการขาย (Package) ดังกล่าวเป็นระยะเวลา 5 ปี รวมถึงการรักษาคุณภาพการให้บริการ (QoS) ตามประกาศของ กสทช. เรื่อง มาตรฐานของคุณภาพการให้บริการโทรคมนาคมอย่างเคร่งครัดและต้องมีความพร้อมเพื่อรองรับจำนวนลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้นจากการรวมธุรกิจ เพื่อให้คุณภาพในการให้บริการต่อผู้ใช้บริการไม่ด้อยไปกว่าเดิม

 

รวมทั้งการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ต่อสาธารณชนว่าจะคงไว้ซึ่งบริการที่มีคุณภาพ และราคาค่าบริการที่เป็นธรรมต่อผู้ใช้บริการ โดยไม่ปล่อยให้เกิดช่องว่างหรือการย่อหย่อนต่อการบังคับใช้มาตรการเฉพาะของ กสทช. ที่เกิดขึ้นแล้วในกรณีการควบรวมระหว่างบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ในเดือนตุลาคม 2565

 

ทั้งนี้ สภาผู้บริโภคจะนำประเด็นมติ กสทช. ในครั้งนี้เดินหน้าปรึกษาและหารือร่วมกับเครือข่ายสมาชิกของสภาผู้บริโภคที่มีอยู่ทั่วประเทศ ในการดำเนินการใด ๆ ที่จะเป็นการรักษาสิทธิผู้บริโภคต่อไป

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สภาองค์กรของผู้บริโภค

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News