Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

โครงการ “ลำไยไปแนวหน้า” ช่วยเกษตรกรเชียงรายระบายผลผลิต 2.3 ตันสู่ทหาร

เชียงราย “ลำไยไปแนวหน้า” ส่ง 2,300 กิโลกรัมเสริมขวัญทหารชายแดน–บรรเทาวิกฤตราคาตก ขับเคลื่อนความร่วมมือรัฐ–เอกชน–ชุมชน

เชียงราย, 14 สิงหาคม 2568 – เช้าตรู่ที่อาคารคลังสินค้า ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย บรรยากาศคึกคักอย่างเป็นระเบียบ รถบรรทุกผลไม้ทยอยเข้าคิว เจ้าหน้าที่สนามบินตรวจเช็คบรรจุภัณฑ์ ขณะที่อาสาสมัครช่วยกันขนลำไยอย่างคล่องแคล่ว ทุกสายตาจับจ้องไปยังเวทีเล็ก ๆ ที่จัดขึ้นตรงกลางลาน เพื่อเปิดภารกิจ “ลำไยไปแนวหน้า” โครงการที่ตั้งใจส่งลำไยคุณภาพจากเชียงรายกว่าสองตันครึ่งสู่กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อเติมแรงใจ และในขณะเดียวกันช่วยบรรเทาผลกระทบจาก “ลำไยล้นตลาด” ที่กำลังกดดันราคาหน้าสวนในภาคเหนืออยู่ในเวลานี้.

เวลา 08.00 น. นาวาอากาศตรี สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ภายใต้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)) เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมตัวแทนหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคมของจังหวัดเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ภารกิจครั้งนี้เป็น “ภาพจำใหม่” ที่ประกอบด้วยความห่วงใย ความร่วมมือ และความหวัง ว่าผลไม้หนึ่งลูกจะส่งต่อพลังใจได้ไกลกว่าที่คาดคิด และยังทำให้ผลผลิตของเกษตรกรถูกใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า.

ภารกิจเชื่อม “แนวหลัง–แนวหน้า” เส้นทางลำไย 2,300 กิโลกรัมจากเชียงรายสู่แนวชายแดน

สาระสำคัญของปฏิบัติการนี้อยู่ที่ “ระบบขนส่งแบบบูรณาการ” ลำไยรวมประมาณ 2,300 กิโลกรัม ถูกบรรทุกขึ้นเครื่องสายการบินนกแอร์ เที่ยวบิน DD 101 เส้นทางเชียงราย–ดอนเมือง เวลา 09.20 น. ก่อนถ่ายต่อสู่เที่ยวบิน DD 324 ดอนเมือง–อุบลราชธานี เวลา 14.30 น. จากนั้นมอบให้ กองพลทหารราบที่ 6 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อนำไปกระจายต่อให้กำลังพลในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาอย่างทั่วถึง รายละเอียดเที่ยวบินและปริมาณผลผลิตได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวท้องถิ่นและสื่อกระแสหลักหลายสำนัก รวมถึงโพสต์ของสนามบินบนโซเชียลมีเดียด้วย.

นอกจากเส้นทางอากาศที่ “ต่อเดียวถึง” จุดหมาย โครงการยังสะท้อนกลไกประสานงานข้ามหน่วยงานที่ลงล็อกพอดี ตั้งแต่ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย, ตำรวจภูธรเมืองเชียงราย, สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเชียงราย, หน่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ 35, ฝูงบิน 416 เชียงราย, สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย, ไปจนถึงผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม และภาคเอกชนในพื้นที่ ที่ช่วยกันสนับสนุนทรัพยากรและโลจิสติกส์เพื่อให้งานเดินหน้าได้จริง ไม่สะดุด

เพื่อความครบถ้วนเชิงข้อเท็จจริง ทีมข่าวได้ตรวจทานตารางเดินทางของเที่ยวบิน DD101 ในวันที่ 14 สิงหาคม พบว่ามีกำหนดออกจากเชียงรายเวลา 09.20 น. ตามฐานข้อมูลติดตามเที่ยวบินจากสนามบิน

บริบท “แนวหน้า” ทำไมกำลังใจจึงสำคัญยิ่งในห้วงเวลาเช่นนี้

คำถามที่หลายคนอาจสงสัยคือ เหตุใดจึงส่งตรงไปยังแนวชายแดนไทย–กัมพูชาในเวลานี้? คำตอบอยู่ในบริบทความตึงเครียดที่ยังอ่อนไหว หลังเกิดเหตุทหารไทยบาดเจ็บจากกับระเบิดหลายครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษและสุรินทร์ แม้สองประเทศจะมีข้อตกลงหยุดยิงเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม แต่สถานการณ์ภาคสนามยังเปราะบาง เหตุการณ์บาดเจ็บล่าสุดในวันที่ 12 สิงหาคม ยิ่งสะท้อนความจำเป็นของการสนับสนุนกำลังพลในพื้นที่ปฏิบัติการต่อเนื่อง

รายงานจากสื่อต่างประเทศระบุว่า วันที่ 9 สิงหาคม มีทหารไทย 3 นายได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดตามแนวชายแดนฝั่งศรีสะเกษ ด้านกัมพูชาปฏิเสธการวางทุ่นระเบิดใหม่ โดยชี้อาจเป็นซากจากความขัดแย้งในอดีต ขณะที่ฝ่ายไทยย้ำการเคารพอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามทุ่นระเบิดบุคคล (Ottawa Convention) สถานการณ์ดังกล่าวจึงต้องอาศัย “สมดุลระหว่างการคลี่คลายทางการทูต” กับ “การดูแลขวัญกำลังใจผู้ปฏิบัติงาน” อย่างเท่าเทียมกัน.

บริบท “แนวหลัง” วิกฤตราคาลำไยและโจทย์ใหญ่ของชาวสวนภาคเหนือ

ขณะเดียวกัน ความเดือนร้อนของเกษตรกรผู้ปลูกลำไยกำลังปะทุ ผลผลิตปี 2568 สูงกว่า 1.06 ล้านตัน เพิ่มจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ กระทรวงพาณิชย์จึงตั้งเป้าระบายผลผลิต 9.5 แสนตัน ผ่าน 8 มาตรการเร่งด่วน ทั้งการกระตุ้นบริโภคในประเทศ การส่งออก และการแปรรูป พร้อมตั้ง “วอร์รูม” ติดตามสถานการณ์แบบใกล้ชิดเพื่อพยุงราคา ไม่ให้ตกต่ำจนกระทบฐานรายได้ครัวเรือนในวงกว้าง.

ภาพราคาหน้าสวนในหลายพื้นที่ยังผันผวนอย่างมาก มีรายงานต่อเนื่องว่าราคาในระดับ AA/A ลดลงรวดเร็ว สวนจำนวนหนึ่งจำเป็นต้องเร่งระบายหรือยอมขาดทุนเพื่อรักษาสภาพเงินสดสำหรับฤดูกาลถัดไป ขณะที่บทวิเคราะห์เชิงสังคมชี้ว่า วิกฤตราคาลำไยปีนี้กระทบครัวเรือนเกษตรกรจำนวนมาก และอาจทำให้รายได้รวมภาคครัวเรือนลดลงจากค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมีนัยสำคัญ หากไม่สามารถเร่งเครื่องมือระบายผลผลิตได้ทัน

ภายใต้แรงกดดันด้านอุปทานและราคา “ลำไยไปแนวหน้า” จึงทำหน้าที่เป็น “วาล์วระบาย” ขนาดย่อมที่จับต้องได้ ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และเชิงปริมาณ เพราะทุกกิโลกรัมที่ถูกซื้อจากชาวสวนและเคลื่อนย้ายอย่างเป็นระบบ คือยอดที่หักออกจากสต็อกส่วนเกิน ขณะเดียวกันยังสร้างเรื่องเล่าบวกต่อผลผลิตภาคเหนือ ซึ่งช่วยหนุนความต้องการบริโภคภายในประเทศในช่วงเวลาสำคัญของฤดูกาล

สามเหลี่ยมความร่วมมือ” ที่ทำให้ของถึงมือผู้รับจริง

ความสำเร็จของการส่งมอบครั้งนี้เกิดจาก “สามเหลี่ยมความร่วมมือ” ที่คล้องจองกันพอดี

  1. กลไกสนามบินและสายการบิน – สนามบินทำหน้าที่เป็น “ตัวคูณประสิทธิภาพ” ให้โลจิสติกส์ระยะไกลเกิดขึ้นจริงในเวลาอันสั้น เที่ยวบินพาณิชย์ที่ประสานกับภารกิจสาธารณะ ช่วยลดต้นทุนและความเสี่ยงด้านเวลาอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลเที่ยวบินที่เชื่อถือได้ช่วยยืนยันความตรงต่อเวลาตามมาตรฐานการบินพาณิชย์
  2. ข้อต่อระหว่างจังหวัด–ชายแดน – เมื่อของถึงอุบลราชธานี การเชื่อมต่อกับ กองพลทหารราบที่ 6 ทำให้การกระจายต่อไปยังแนวชายแดนดำเนินไปอย่างปลอดภัยและมีวินัย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่หลายโครงการสาธารณะมักสะดุด หากขาดผู้รับผิดชอบปลายทางที่ชัดเจนและมีศักยภาพ
  3. ชุมชน–ผู้ประกอบการท้องถิ่น – ร้านอาหาร โรงแรม สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว และภาคประชาชน ทำให้ “คนตัวเล็ก” กลายเป็นกำลังขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในรูปแบบเงินสมทบ แรงงานอาสา และการรณรงค์สื่อสาร ช่วยให้โครงการไม่เป็นเพียงข่าวประชาสัมพันธ์ หากแต่เป็นการลงมือจริงที่มีผลลัพธ์วัดได้

จาก “กิโลกรัม” สู่ “ผลกระทบ”

  • 2,300 กิโลกรัม คือปริมาณลำไยที่เดินทางจากเชียงรายสู่แนวหน้าในรอบนี้ หากประเมินอัตราเฉลี่ยการบริโภคของกำลังพลต่อวัน จะเท่ากับเสบียงผลไม้สดได้หลายพันเสิร์ฟ ซึ่งมีความหมายมากในสภาพแวดล้อมปฏิบัติการ
  • 1.06 ล้านตัน คือผลผลิตลำไยทั้งฤดูกาลปี 2568 (รวม 8 จังหวัดภาคเหนือ) ตัวเลขนี้อธิบายแรงกดดันด้านอุปทานที่ทำให้ราคาตลาดอ่อนแรง
  • 950,000 ตัน คือเป้าระบายผลผลิตของกระทรวงพาณิชย์ผ่าน 8 มาตรการ ซึ่งเป็นเป้าหมายเชิงนโยบายที่ต้องติดตามว่าเดินหน้าได้ตามแผนเพียงใด เมื่อฤดูกาลเข้าสู่ช่วงพีก
  • หลายเหตุการณ์ด้านความมั่นคง บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นบริบทที่อ่อนไหว และความจำเป็นในการดูแลขวัญกำลังใจแนวหน้าอย่างต่อเนื่อง

เสียงจากพื้นที่ เมื่อ “ขวัญกำลังใจ” พบ “ราคาที่ยุติธรรม”

แหล่งข่าวจากฝ่ายจัดกิจกรรมอธิบายตรงกันว่า ภารกิจนี้มีสองเป้าในหนึ่งครั้ง คือ ยกขวัญกำลังใจทหาร และ ช่วยเกษตรกรขายผลผลิตคุณภาพ ในราคาที่เหมาะสม การคัดเกรดและบรรจุภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานช่วยให้ผลไม้ถึงมือผู้รับสภาพดี สอดคล้องกับภารกิจด้านความปลอดภัยของหน่วยทหารที่ต้องคุมคุณภาพเสบียงอย่างเข้มงวด ทั้งนี้ โครงการย้ำ “ความสมัครใจ” ของผู้ร่วมสมทบ และใช้โครงสร้างโลจิสติกส์ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อลดภาระงบประมาณสาธารณะ.

ในเชิงนโยบาย ภารกิจสอดรับยุทธศาสตร์ “ระบายผลผลิต–สร้างการรับรู้” ที่กระทรวงพาณิชย์ผลักดันอยู่แล้ว การส่งของจริงถึงมือผู้รับช่วยสร้าง “เรื่องเล่าบวก” ต่อผลไม้ภาคเหนือ ควบคู่กับแคมเปญตลาดดิจิทัลและห้างค้าปลีก จึงเกิดอานิสงส์ด้านดีมานด์ในประเทศที่ชัดเจนยิ่งขึ้น.

เชื่อมโยงมาตรการรัฐ จาก “วอร์รูม” ถึง “การแปรรูป”

เมื่อมองภาพรวมระดับชาติ มาตรการ 8 ข้อของกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่การจับคู่ซื้อกับค้าปลีก การขยายตลาดส่งออก ไปจนถึงการหนุนแปรรูปและอบแห้ง รวมทั้งตั้ง “วอร์รูม” เฝ้าระวังรายวัน คือเฟืองหลักของเครื่องยนต์นโยบาย การมีโครงการในพื้นที่อย่าง “ลำไยไปแนวหน้า” จึงทำหน้าที่เป็น ฟันเฟืองหน้างาน ที่ช่วยหมุนเครื่องให้ติดในระดับชุมชน ผลที่ตามมาคือ สต็อกส่วนเกินในจังหวัดต้นทางลดลงทีละก้อน เกษตรกรได้ราคาตามตลาดที่ยุติธรรมขึ้น และเกิดการรับรู้เชิงบวกระหว่างผู้บริโภคกับผลไม้ไทย

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องติดตามคือ ความต่อเนื่อง หากภารกิจเช่นนี้ทำได้สม่ำเสมอและครอบคลุมหลายจังหวัด แรงสะเทือนเชิงบวกต่อราคาและรายได้ครัวเรือนจะชัดเจนขึ้น สอดคล้องกับข้อเสนอเชิงระบบของนักวิชาการที่ชี้ว่า “เครื่องมือระบาย” ต้องวิ่งทันฤดูกาล ไม่ใช่ตามหลังภัยราคา

ตรวจสอบข้อเท็จจริง–ลดข่าวลวงบทเรียนจากสถานการณ์ชายแดน

ท่ามกลางกระแสข้อมูลบนโซเชียลที่เคลื่อนไหวเร็ว ศูนย์ตรวจข้อเท็จจริงภาครัฐเตือนประชาชนแยกแยะข่าวปลอมเกี่ยวกับปฏิบัติการตามแนวชายแดน โดยย้ำให้ติดตามประกาศทางการและสื่อกระแสหลักที่ตรวจสอบแหล่งข่าวได้ ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญของสังคมดิจิทัลในห้วงสถานการณ์อ่อนไหว ความถูกต้องของข้อมูลคือฐานความเชื่อมั่นที่จะช่วยป้องกันความตื่นตระหนก และหนุนความร่วมมือของสังคมให้เดินไปในทิศทางเดียวกัน.

เมื่อ “ผลไม้หนึ่งลูก” เชื่อมคนไทยจากเชียงรายถึงด่านหน้า

ภารกิจ “ลำไยไปแนวหน้า” ของเชียงรายวันนี้แสดงพลังของ การลงมือทำ ในยามที่ประเทศต้องการทั้งความเข้มแข็งและความอ่อนโยน มันคือภาพของระบบราชการที่คล่องตัว เอกชนที่ร่วมแรง และชุมชนที่ไม่ทอดทิ้งกัน ผลไม้หนึ่งลูกจึงเป็นมากกว่าอาหาร แต่เป็นสัญลักษณ์ของสายสัมพันธ์ที่ยาวไกลจากแนวหลังสู่แนวหน้า

คำถามต่อไปคือ เราจะต่อยอดอย่างไรให้เกิด ผลยั่งยืน? คำตอบเบื้องต้นชัดเจน: ทำอย่างสม่ำเสมอ ทำอย่างโปร่งใส ทำให้วัดผลได้ และทำให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง หากทำได้ โครงการขนาดย่อมเช่นนี้จะไม่ใช่เพียง “ข่าวดีประจำวัน” แต่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือบริหารจัดการผลผลิตการเกษตรและการดูแลขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ประเทศต้องพึ่งพาในยามวิกฤต

ท้ายที่สุด แม้สถานการณ์ชายแดนยังต้องอาศัยกระบวนการทางการทูตและความร่วมมือระดับรัฐชาติ แต่การมี “หลังบ้านที่มั่นคง” ก็สำคัญไม่แพ้กัน และวันนี้ เชียงรายได้แสดงให้เห็นแล้วว่า เมืองหนึ่งเมือง เมื่อเชื่อมคนและทรัพยากรเข้าด้วยกัน ก็สามารถส่งพลังใจไปได้ไกลกว่าที่คิด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  •  Mae Fah Luang Chiang Rai International Airport (CEI): โพสต์ประชาสัมพันธ์งานและเวลาเที่ยวบิน DD101 วันที่ 14 ส.ค. 2568.
  • Trip.com Flight Status: สถานะเที่ยวบินนกแอร์ DD101 เชียงราย–ดอนเมือง เวลาออก 09.20 น. วันที่ 14 ส.ค.
  • The Associated Press (AP): ข่าวเหตุกับระเบิดบาดเจ็บทหารไทยบริเวณชายแดน – บริบทความตึงเครียดล่าสุด
  • Reuters: ข่าวเหตุกับระเบิด 12 ส.ค. ใกล้พื้นที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ – สภาวะแนวชายแดนที่ยังเปราะบาง
  • The Guardian: รายงานกรณีบาดเจ็บ 9 ส.ค. และภาพรวมข้อตกลงหยุดยิงปลายก.ค. – เสริมกรอบบริบทระหว่างประเทศ
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

ขุนตาลยืนยัน “จุดรับซื้อลำไยเพียงพอ” รัฐเร่งประสานผู้ประกอบการช่วยปลายฤดู

ขุนตาลยืนยัน “จุดรับซื้อลำไยเพียงพอ” รัฐเร่งประสานผู้ประกอบการรับซื้อต่อเนื่อง ปลายฤดูยังเดินหน้า—ชี้โจทย์ยั่งยืนอยู่ที่ระบบตลาดและคุณภาพผลผลิต

เชียงราย, 12 สิงหาคม 2568 — คณะทำงานจากอำเภอขุนตาล ของชุมชนแห่งหนึ่งริมทางสายรอง ผู้รับซื้อทยอยชั่งผลผลิตจากรถยนต์บรรทุกขนาดเล็ก สลับเสียงเรียกคิวจากเกษตรกรที่ยืนรอขายผลผลิตล็อตสุดท้ายของฤดูกาล สิ่งที่ทุกคนถามเหมือนกันคือ “วันนี้ยังรับอยู่ไหม ราคาจะตกอีกหรือเปล่า” คำยืนยันที่ได้จากนายอดิเรก ไลไธสง นายอำเภอขุนตาล และทีมพาณิชย์จังหวัดเชียงราย คือ “จุดรับซื้อมียังเพียงพอ และมีการประสานผู้ประกอบการเสริมทันที” เพื่อไม่ให้ผลผลิตค้างลาน และเพื่อยืนยันว่ายังมีตลาดรองรับจนจบฤดูกาล

แม้ภาพรวม “รับซื้อได้” ยังเดินต่อ แต่ความกังวลไม่ได้หายไปง่าย ๆ ช่วงปลายฤดู ลำไยมักคุณภาพลดลง น้ำหนักและความหวานผันผวน อีกทั้งเป็นช่วงวันหยุดยาวที่เกษตรกรเก็บผลผลิตพร้อมกัน ทำให้ปลายทางมีข้อจำกัดด้านกำลังการคัดและการแปรรูป ผู้ประกอบการบางส่วนจึงย้ายไปรับซื้อพื้นที่ที่คุณภาพสูงกว่า เกิดแรงกดดันระยะสั้นในระดับหมู่บ้าน อำเภอ และด่านขนส่ง

ภาพรวมฤดูกาล ทำไม “สิงหาคม” จึงเสี่ยงคอขวด

ปีนี้ผลผลิตลำไยใน 8 จังหวัดภาคเหนือถูกประเมินว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศท.1) รายงานว่า ปี 2568 ภาคเหนือคาดมีผลผลิตรวมราว 1.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้นประมาณ 12% โดย “สิงหาคม” คือเดือนที่ผลผลิตออกมากสุดตามฤดูกาล ซึ่งทำให้จุดรับซื้อและโรงงานปลายทางเผชิญแรงกดดันพร้อมกันในช่วงสั้น ๆ ของเวลาเดียวกัน การระบายผลผลิตจึงต้องพึ่งความพร้อมทั้ง “หน้าลาน” และ “ปลายน้ำ” มากกว่าช่วงต้นฤดูที่กำลังการผลิตยังเหลือเฟือ

ด้านวิชาการก็สอดรับกับความจริงในพื้นที่ ลำไยต้องการอากาศเย็นเพื่อกระตุ้นการออกดอก จึงปลูกหนาแน่นในภาคเหนือ โดยรอบเก็บเกี่ยวหลักอยู่ช่วงมิถุนายนถึงสิงหาคม ช่วงปลายฤดู “ดอ” หลายสวนอาจขนาดลดลง เปลือกหนาขึ้น และคละเกรดมากขึ้น ซึ่งกระทบต่อราคาเฉลี่ยหน้าลานและปริมาณที่โรงงานต้องคัดทิ้ง ข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ย้ำว่า “เดือนสิงหา” คือเดือนที่ระบบโลจิสติกส์และตลาดต้องทำงานหนักที่สุดในปี

สิ่งที่อำเภอยืนยัน “จุดรับซื้อมีพอ” แต่ต้องเสริมการจัดคิวและขนส่ง

การลงพื้นที่วันนี้ นายอำเภอขุนตาลทำงานร่วมกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายและเครือข่ายผู้ประกอบการ เพื่อเช็คกำลังรับซื้อจริงหน้างาน ผลคือ “จุดรับซื้อมีพอรองรับ” หากกระจายคิวอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ดี ปัญหาเกิดเฉพาะหน้าในช่วงหยุดยาว เมื่อสวนจำนวนมากเก็บพร้อมกัน รถบรรทุกต่อคิวนาน โรงงานปลายทางรับไม่ทัน ผู้ประกอบการบางรายจึงชะลอรับซื้อ หรือย้ายไปตั้งลานในอำเภอที่ผลผลิตกำลังพีกและคุณภาพดีขึ้น เพื่อบริหารต้นทุนคัดเกรดและตากแห้ง

คำตอบเชิงนโยบายสั้น ๆ ของทีมพาณิชย์จังหวัดคือ “โทรหาและดึงผู้ประกอบการสำรองเข้าพื้นที่ทันที” พร้อมจับคู่ลานคัด–ลานอบ–รถขนส่ง ให้หมุนเวียนต่อเนื่อง ทั้งหมดทำเพื่อยึดหลัก “ไม่ให้ผลผลิตค้างลาน” และรักษาความเชื่อมั่นในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดู

ราคา “ดีขึ้นบ้าง” ปลายสัปดาห์ ทำไมมีสัญญาณบวก

ราคาเฉลี่ย “ลำไยรูดร่วงเกรด AA” ในพื้นที่เหนือมีแนวโน้มดีขึ้นจากสัปดาห์ก่อน จากช่วง 5–6 บาท/กก. ขยับมา 8–12 บาท/กก. ตามที่เครือข่ายรับซื้อแจ้งในหลายจุด บางลานปรับกำลังตากเพิ่มเพื่อสต็อกก่อนหมดฤดูกาล ความต้องการอบแห้งปลายปีในตลาดส่งออกยังเป็นแรงหนุนสำคัญ ผู้ประกอบการจึงเร่งปิดสต็อกเมื่อเห็นว่าผลผลิตกำลังลดลงเร็วหลังกลางเดือน

สำหรับเกษตรกร ตัวเลขนี้ไม่ใช่ “ราคาดีที่สุดของปี” แต่เป็นสัญญาณว่าตลาดยังทำงานอยู่ ความต่างของราคาเกิดจากคุณภาพ ความชื้น ความหวาน และการจัดส่งทันเวลา เกรดที่มั่นคงย่อมขายได้ดีกว่าเกรดคละ การจัดการหลังเก็บเกี่ยวจึงสำคัญพอ ๆ กับต้นทุนการผลิตทั้งฤดู

ภาครัฐ “อัดฉีดกำลังซื้อล่วงหน้า” ตั้งแต่ต้นฤดูช่วยเชื่อมช่วงคอขวด

มาตรการสำคัญที่กระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าภายในผลักดันในฤดูกาลนี้ คือการ “ดูดซับผลผลิต” ล่วงหน้า เพื่อป้องกันราคาดิ่งช่วงพีก โดยกรมการค้าภายในประกาศเป้ารองรับผลผลิตผลไม้ฤดูปี 2568 รวม 252,000 ตัน ผ่านเครือข่ายผู้ประกอบการ โรงงานอบ และผู้ส่งออกที่เข้าร่วมแผนเชิงรุก ขยับสัญญาณตลาดตั้งแต่ต้นฤดู และกระจายแรงซื้อไปยังจุดผลิตหลักในภาคเหนือและตะวันออกอย่างเป็นระบบ มาตรการนี้ช่วยให้ผู้เล่นปลายน้ำมี “เหตุผล” ในการเร่งรับและสต็อก แม้ต้นทุนคัดเกรดและตากจะแน่นช่วงสั้น ๆ ก็ตาม

ก่อนหน้านี้ กรมการค้าภายในยังได้เดินหน้า “ชุดมาตรการเชิงรุก” ในพื้นที่แหล่งผลิตใหญ่ เช่น เชียงใหม่–ลำพูน ทั้งการเชื่อมโยงตลาด การจับคู่ธุรกิจ และการกำกับดูแลการซื้อขายให้เป็นธรรม เพื่อให้การระบายผลผลิตช่วงพีกเป็นไปตามแผนและลดความเสี่ยงเชิงสัญญาในตลาดล่วงหน้า เอกสารข่าวทางการย้ำแนวทางเดียวกันคือ “ทำให้ตลาดทำงานได้จริง” ในหน้าสวน ไม่ใช่เฉพาะบนกระดาษ

ปลายน้ำ” คือจุดชี้ขาด อบแห้ง–คัดเกรด–ขนส่ง ต้องไหลลื่น

ลำไยสดที่ “รูดร่วง” ส่วนใหญ่ไปต่อที่เตาอบเพื่อผลิตลำไยแห้งคุณภาพส่งออก ความสามารถของโรงอบและการจัดการความชื้นเป็นตัวกำหนด yield และคุณภาพปลายทาง โรงอบที่บริหารวัตถุดิบได้สม่ำเสมอจะกล้ารับหน้าลานมากขึ้นและราคารับซื้อเสถียรกว่า ขณะเดียวกัน ระบบขนส่งจากลานไปโรงอบต้องรวดเร็วเพื่อไม่ให้คุณภาพตก การมีรถเย็นหรือจัดส่งแบบ “หมุนรอบสั้น” จะช่วยให้โรงงานควบคุมคุณภาพได้ดีขึ้น

ในมิติส่งออก ข้อกำหนดกักกันพืชและมาตรฐานปลายทางยังเป็นกรอบที่ผู้ประกอบการต้องเคารพ การส่งออกลำไยสดของไทยถูกควบคุมตามระบบของกรมวิชาการเกษตรเพื่อให้ผ่านเงื่อนไขประเทศคู่ค้า ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนว่า “คุณภาพและมาตรฐาน” เป็นเส้นเลือดใหญ่ของตลาด ไม่ใช่แค่เรื่องราคา ณ จุดซื้อขายวันเดียว

เสียงจากแปลงเกษตรกรอยากได้ “ราคาพยุง” แต่พร้อมปรับตัว

เกษตรกรที่เราพบวันนี้หลายรายยอมรับว่า ราคาปลายฤดู “ไม่สวย” เท่าต้นฤดู แต่ยัง “ขายได้” หากส่งทันและคัดเกรดดีขึ้น หลายสวนเริ่มตัดสินใจ “ทะยอยเก็บ” ไม่กองไว้ทีเดียว เพื่อไม่ให้ชนคิววันหยุด มีบางกลุ่มหันมารวมตัวคัดเกรดเบื้องต้นก่อนเข้าโรงอบ ช่วยให้ได้ราคาเฉลี่ยดีขึ้นในงบประมาณแรงงานที่พอจ่ายได้

คำขอหลัก ๆ ที่สะท้อนต่อจนท.รัฐคือ “อย่าให้คิวขาด” และ “อย่าให้จุดรับซื้อเงียบ” เพราะความต่อเนื่องสร้างความมั่นใจ มาตรการของกรมการค้าภายในที่เร่งดึงผู้ประกอบการเข้าพื้นที่จึงตอบโจทย์ระยะสั้น และตอกย้ำว่ารัฐจะไม่ปล่อยให้ผลผลิตค้างสวน

คำถามใหญ่คือมาตรการเชิงรุก “ดึงผู้ประกอบการเข้าไปซื้อปลายฤดู” แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ไหม

คำตอบสั้น ๆ ช่วยได้มากในระยะสั้น แต่ไม่พอสำหรับความยั่งยืนระยะยาว

เหตุผลข้อที่หนึ่ง มาตรการเชิงรุกทำหน้าที่ “กันชน” ราคาเฉพาะหน้าในเดือนพีก ลดความผันผวน และสร้างแรงจูงใจให้โรงงานเร่งรับสต็อก หากรัฐไม่เข้าจังหวะนี้ ราคาหน้าลานอาจ “หลุดกรอบ” มากกว่านี้ ทว่า กันชนไม่ใช่ “โครงสร้าง” กันชนต้องเติมซ้ำทุกปีเมื่อฤดูมาถึง

เหตุผลข้อที่สอง ความยั่งยืนต้องเกิดจาก “คุณภาพ–มาตรฐาน–สัญญา” ที่ลิงก์สวนกับโรงงานและผู้ส่งออกให้แน่นขึ้น เช่น สัญญาซื้อขายตามเกณฑ์คุณภาพชัดเจน การนัดหมายส่งมอบแบบ “คิวฉลาด” และระบบจ่ายเงินที่โปร่งใส มาตรการรัฐควรเปลี่ยนจาก “รับซื้อพยุงราคา” ไปสู่ “พยุงกติกา” ให้ตลาดยืนได้ด้วยตัวเอง

เหตุผลข้อที่สาม ด้านอุปสงค์ต่างประเทศยังนำเกม ไทยต้องขยับฐานตลาดและรูปแบบสินค้า ทั้งลำไยสดเกรดพรีเมียม ลำไยอบแห้งเกรดสม่ำเสมอ และผลิตภัณฑ์แปรรูปมูลค่าสูงกว่า ความหลากหลายของสินค้าและตลาดจะลดแรงกระแทกราคาในเดือนพีกได้ดีกว่าการอัดฉีดกำลังซื้ออย่างเดียว

แผนยั่งยืนสิ่งที่ควรเริ่ม “ปีนี้เลย” ก่อนถึงฤดูหน้า

  1. ทำ “คิวดิจิทัลหน้าลาน” ระดับอำเภอ รวมคิวจากจุดรับซื้อหลายลาน เชื่อมกับโรงอบและรถขนส่ง ลดรถรอคิว ลดต้นทุนเสียโอกาส เกษตรกรเห็นคิวจริงแบบเรียลไทม์ ช่วยตัดสินใจวันเก็บ
  2. ตั้ง “เกณฑ์คุณภาพมาตรฐานอำเภอ” สำหรับรูดร่วง ประกาศ Brix, ความชื้น, และสัดส่วนคละเกรดขั้นต่ำให้ตรงกันทุกลาน ลดข้อโต้แย้งตอนชั่ง–คัด และทำให้ข้อมูลราคาเปรียบเทียบกันได้
  3. สนับสนุนเครื่องมือหลังเก็บเกี่ยวในกลุ่มเกษตรกร เช่น ถาดตาก–เตาอบชุมชน–โรงคัดเบื้องต้น เพื่อยกระดับเกรดก่อนเข้าลาน ราคาจะสะท้อนคุณภาพได้ดีขึ้น ลดสัดส่วนของเสียปลายน้ำ
  4. ขยายความร่วมมือ “สัญญาซื้อขายก่อนฤดู” ระหว่างกลุ่มเกษตรกร–โรงอบ–ผู้ส่งออก รัฐทำหน้าที่พี่เลี้ยงและเป็นกรรมการกลางดูแลข้อพิพาท เพิ่มทุนหมุนเวียนสำหรับสัญญาที่ตรวจสอบได้
  5. ข้อมูลตลาดที่เข้าถึงง่าย พาณิชย์จังหวัดและ สศก. เผยแพร่ “แดชบอร์ดลำไย” รายอำเภอ ทั้งราคาเฉลี่ย คิวรับซื้อ และสถานะโรงอบ เพื่อให้ทุกฝ่ายวางแผนร่วมกันได้บนข้อมูลเดียวกัน

ประชาชนและชุมชนได้อะไรจาก “การประสานทันใจ” ช่วงปลายฤดู

การประสานผู้ประกอบการเข้าพื้นที่เร็ว ช่วย “หยุดเลือด” ราคาไม่ให้หลุดกรอบมากไปกว่านี้ สวนเล็กขายได้ต่อเนื่อง สวนใหญ่ขนได้เป็นรอบ ไม่ค้างลาน ซึ่งชุมชนเห็น “รัฐอยู่หน้างาน” ความเชื่อมั่นกลับมา แม้ราคาไม่สูง แต่การรับซื้อต่อเนื่องคือสัญญาณสำคัญว่าตลาดยังเดิน ระบบสินเชื่อชุมชนและสหกรณ์ก็วางแผนหมุนเงินได้ พื้นที่ได้บทเรียนร่วมกันว่า “คอขวด” อยู่ตรงไหน ปีหน้าจึงแก้ถูกจุด ทั้งเรื่องคิว การคัดเกรด และการวางแผนเก็บเกี่ยวให้เหลื่อมกัน

มองจากภาพใหญ่ประเทศลำไยคือพืชเศรษฐกิจที่ต้อง “บริหารฤดู” ให้เก่งขึ้น

ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐยืนยันตรงกันว่า ลำไยกระจุกตัวในภาคเหนือ เก็บเกี่ยวมากสุดช่วงมิถุนายน–สิงหาคม และ “สิงหาคม” คือพีกของพีก เมื่อผลผลิตปีนี้เพิ่มขึ้น การบริหารฤดูจึงยากขึ้นตามไปด้วย จุดรับซื้อและโรงอบต้องปรับกำลังผลิตให้สัมพันธ์กับของจริงในพื้นที่ ขณะที่รัฐต้องร่นเวลาตัดสินใจให้เร็วขึ้น ทั้งมาตรการเชิงรุกและเชิงโครงสร้าง

การทำให้ตลาดเดินในเดือนเดียวอาจไม่พอ เป้าหมายที่แท้จริงคือ “ทำให้ตลาดมั่นคงทั้งฤดู” ตั้งแต่ต้นฤดูที่ราคาแรง ไปจนปลายฤดูที่ราคาเปราะบาง ทุกช่วงต้องมีเครื่องมือคู่มือคนละแบบ และทุกแบบต้องเชื่อมข้อมูลเดียวกัน

คำตอบต่อโจทย์ผู้สั่งการ “มาตรการเชิงรุกดึงผู้ประกอบการเข้าซื้อลำไยปลายฤดู” ยั่งยืนไหม

ยั่งยืนได้ หากเปลี่ยนจากมาตรการ “อุ้มราคา” เป็นมาตรการ “อุ้มกติกา” ระยะสั้นต้องไม่ปล่อยให้ผลผลิตค้างสวน ระยะกลางควรยกระดับคุณภาพ–มาตรฐาน–สัญญา และระยะยาวต้องกระจายตลาดและรูปแบบสินค้า รัฐบาลควรลงทุนในโครงสร้างข้อมูล คิวดิจิทัล และเครื่องมือหลังเก็บเกี่ยวระดับชุมชน ควบคู่การกำกับการซื้อขายให้เป็นธรรม หากทำครบวงจร “ฤดูหน้า” เราจะใช้เงินอัดฉีดน้อยลง แต่ได้ราคาที่เสถียรกว่าและเชื่อมโยงมากกว่า

บทสรุป

อำเภอขุนตาลยืนยันจุดรับซื้อลำไย “ยังเพียงพอ” และมีการเสริมกำลังผู้ประกอบการทันที ปัญหาคอขวดช่วงปลายฤดูเกิดขึ้นจริง แต่แก้ได้ด้วยการจัดคิว–คัดเกรด–ขนส่งให้ไหลลื่น พร้อมกันทั้งหน้าลานและปลายน้ำ มาตรการเชิงรุกของกรมการค้าภายในช่วยพยุงราคาและความเชื่อมั่นระยะสั้น ขณะที่ความยั่งยืนต้องพึ่งระบบคุณภาพ สัญญา และข้อมูลกลางที่ใช้ร่วมกันทั้งห่วงโซ่

ในวันที่ลานคัดเงียบลงหลังบ่าย คลื่นไอร้อนยังคงลอยบนผิวถนน รถบรรทุกคันสุดท้ายขยับออกจากคิวชั่ง เกษตรกรยกมือไหว้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ก่อนสตาร์ตรถกลับบ้าน สำหรับพวกเขา “การรับซื้อต่อเนื่อง” ในวันนี้ คือความหวังว่าพรุ่งนี้จะยังขายได้ และปีหน้าจะขายได้ดีกว่าเดิม

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศท.1). “ภาพรวมลำไย 8 จังหวัดภาคเหนือ ปี 68 ผลผลิตรวม 1.06 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 12% …” เผยแพร่ 15 ก.ค. 2568. ใช้ยืนยันปริมาณผลผลิตและช่วงออกตลาดมากสุดในเดือนสิงหาคม. oae.go.th
  • กรมวิชาการเกษตร (กลุ่มพัฒนาระบบควบคุมพืชส่งออก). “ระบบควบคุมการส่งออกลำไยสด” เอกสารอธิบายฤดูกาลเก็บเกี่ยวและพื้นที่ปลูกหลักภาคเหนือ รวมถึงกรอบมาตรฐานส่งออก. doa.go.th
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์. “พาณิชย์เดินหน้ารองรับผลไม้ฤดูกาลปี 68 รวม 252,000 ตัน” ข่าวแจกอย่างเป็นทางการ 21 ก.ค. 2568 ยืนยันเป้ารองรับผลผลิตผลไม้ฤดูปีนี้. dit.go.th
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์. “เดินหน้ามาตรการเชิงรุกฤดูกาลลำไย” ข่าวแจก (ตัวอย่างกรณีเชียงใหม่–ลำพูน) ใช้ประกอบแนวทางเชิงรุกในพื้นที่แหล่งผลิต.
  •  สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

สู้ราคาตกต่ำ! พาณิชย์เชียงรายมอบกล่องไปรษณีย์ฟรี ช่วยเกษตรกรขายผลไม้ตรงสู่ผู้บริโภค

พาณิชย์เชียงรายคิกออฟมอบ “กล่องไปรษณีย์ฟรี” ช่วยเกษตรกรดันลำไยพ้นวิกฤตราคาตก

เชียงราย, 10 สิงหาคม 2568 –  วิกฤตราคาผลไม้ในเชียงรายปี 2568 สะท้อนปัญหาซ้ำซากเรื่องผลผลิตล้นตลาดและต้นทุนขนส่งสูง เกษตรกรรายย่อยเผชิญอำนาจต่อรองจำกัด ขณะเดียวกันพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาซื้อออนไลน์มากขึ้น โอกาสจึงอยู่ที่ “เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง” เพื่อลดชั้นกลางและเพิ่มรายได้สุทธิ กิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกร” และ 6 มาตรการเชิงรุกของจังหวัด มุ่งปลดล็อกประเด็นคอขวดทั้งฝั่งตลาด การรวบรวมผลผลิต และโลจิสติกส์ จุดแข็งคือความร่วมมือรัฐ–เอกชน และเครื่องมือโลจิสติกส์ที่จับต้องได้ อย่างไรก็ดี ความสำเร็จจะยั่งยืนเมื่อมีการสื่อสารคุณภาพสินค้า การติดตามคำสั่งซื้อ และบริหารอุปทานอย่างสมดุล ทั้งหมดนี้ชี้ว่าประชาชนทั่วไปได้ประโยชน์จากราคาที่เป็นธรรมและการเข้าถึงผลไม้คุณภาพถึงหน้าบ้าน

พาณิชย์เชียงราย “คิกออฟกล่องไปรษณีย์ช่วยเกษตรกร” ดันลำไย–ส้มโอพ้นวิกฤตราคาตก

สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายเปิดกิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกรจังหวัดเชียงราย” ณ ลานหน้าศาลากลางจังหวัด โดยมี นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธาน วัตถุประสงค์เพื่อเร่งกระจายผลผลิตจากสวนสู่ผู้บริโภคโดยตรง ท่ามกลางวิกฤตผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ โดยเฉพาะ ลำไย และ ส้มโอ ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของพื้นที่

ฉากหลังวิกฤตเมื่อผลผลิตมากกว่าความต้องการ

8 สิงหาคม 2568 สถานการณ์ราคาผลไม้ในหลายอำเภออ่อนแรงลงจากอุปทานที่พุ่งสูง ขณะที่การรับซื้อของภาคเอกชนไม่สม่ำเสมอ ส่งผลให้เกษตรกรแบกรับต้นทุนเก็บเกี่ยว แพ็กกิ้ง และขนส่ง การแทรกแซงเชิงระบบจึงจำเป็น ทั้งในมิติ “ตลาด” และ “โลจิสติกส์ระยะสุดท้าย” เพื่อพยุงราคาและรักษาคุณภาพผลผลิต

6 มาตรการเชิงรุก: จากสวนถึงมือผู้บริโภค

นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดแผนบริหารจัดการผลผลิตลำไยส่วนเกินปี 2568 จำนวน 6 มาตรการ ดังนี้

  1. เชื่อมโยงตลาดลำไยสดช่อ ผ่านเครือข่ายพาณิชย์จังหวัด สหกรณ์ และสภาเกษตรกรทั่วประเทศ
  2. รณรงค์บริโภคในจังหวัด จัดระบบพรีออเดอร์พร้อมส่งฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย และนัดรับทุกวันพฤหัสบดีที่ศาลากลาง เชื่อมโยงผลผลิตแล้ว 1,329 กก. มูลค่า 57,400 บาท
  3. งานแสดงสินค้า ทั้งใน–นอกจังหวัด เพื่อเปิดหน้าร้านชั่วคราวและฐานลูกค้าใหม่
  4. เพิ่มประสิทธิภาพการรวบรวมรับซื้อ ลดความสูญเสียและจัดคิวตัด–คัด–แพ็กอย่างมีมาตรฐาน
  5. โครงการ “ลำไยบินได้” ส่งลำไยเกรด AA+A จากเชียงรายสู่ภูเก็ตด้วยเที่ยวบินพาณิชย์ เป้าหมาย 24,000 กก. มูลค่า 1,080,000 บาท
  6. ตลาดออนไลน์ สนับสนุนกล่องบรรจุผลไม้ 10 กก. จำนวน 35,000 กล่อง และตะกร้าพลาสติก 3,000 ใบ พร้อมค่าจัดส่งฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย ช่วยลดต้นทุนและขยายการขายทั่วประเทศ

กล่องส่งฟรี” หัวใจโลจิสติกส์ระยะสุดท้าย

มาตรการเด่นคือการมอบกล่องผลไม้ขนาด 10 กก. พร้อม จัดส่งฟรี ผ่านบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ช่วยให้เกษตรกรเข้าสู่ตลาดออนไลน์ได้ทันที ลดค่าแพ็กกิ้งและค่าส่ง ซึ่งเป็นต้นทุนใหญ่ในช่วงผลผลิตออกมาก การจัดสรร 35,000 กล่อง ถูกออกแบบให้รองรับคำสั่งซื้อกระจายทั่วประเทศ สร้างเสถียรภาพด้านการระบายสินค้าในเวลาจำกัด

บทสะท้อนจากพื้นที่เมื่อรัฐ–เอกชนจับมือ

ภาพการทำงานร่วมกันระหว่างพาณิชย์จังหวัด หน่วยงานท้องถิ่น ไปรษณีย์ไทย และเครือข่ายสหกรณ์ ทำให้ “การสั่ง–แพ็ก–ส่ง” เดินหน้าอย่างเป็นระบบ เกษตรกรได้ช่องทางขายโดยตรง ผู้บริโภคได้ผลไม้สดใหม่ในราคายุติธรรม จังหวัดได้เครื่องมือระบายผลผลิตอย่างรวดเร็วในฤดูกาลสำคัญ

วิเคราะห์ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

ระยะสั้น มาตรการช่วย พยุงราคา และ เร่งระบายของ ลดความเสี่ยงของผลไม้ค้างสต็อก ระยะกลาง การสร้างฐานลูกค้าออนไลน์และช่องทางขนส่งที่คาดการณ์ได้ จะเพิ่ม รายได้สุทธิ ให้เกษตรกร ขณะที่ภาครัฐได้ข้อมูลดีมานด์จริงเพื่อวางแผนผลิตปีต่อไป หากควบคู่ด้วยมาตรฐานคัดเกรด การติดตามพัสดุ และบริการลูกค้า จะยิ่งสร้าง ความเชื่อมั่นซ้ำซื้อ ซึ่งเป็นกุญแจของความยั่งยืน

ประชาชนได้อะไร

ผู้บริโภคเข้าถึงผลไม้คุณภาพใหม่สด ราคาตรงจากสวน ประหยัดค่าขนส่ง และได้รับความสะดวกในการรับสินค้า ทั้งแบบ ส่งถึงบ้าน และ นัดรับวันพฤหัสบดี ที่ศาลากลาง นอกจากนี้ เศรษฐกิจท้องถิ่นหมุนเวียนเร็วขึ้นจากเม็ดเงินกระจายสู่ชุมชน และลดการสูญเสียอาหารจากการตกค้าง

จังหวัดเตรียมสื่อสารอย่างต่อเนื่องเรื่องคุณภาพลำไย–ส้มโอ มาตรฐานแพ็กกิ้ง และเงื่อนไขส่งฟรี พร้อมขยายจุดรับพรีออเดอร์ในอำเภอหลัก ตลอดจนติดตามตัวชี้วัดการขายและระยะเวลาขนส่ง เพื่อปรับแผนสัปดาห์ต่อสัปดาห์ในช่วงพีกผลผลิต

สรุป

กิจกรรม “Kick off มอบกล่องไปรษณีย์ช่วยเหลือเกษตรกร” คือเครื่องมือเชื่อมสวนกับครัวเรือนทั่วประเทศ ผ่านโลจิสติกส์ที่รัฐสนับสนุนและแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้งานง่าย เมื่อทำงานร่วมกับ 6 มาตรการครบวงจร จึงมีศักยภาพพยุงราคา สร้างรายได้ที่เป็นธรรม และทำให้ผู้บริโภคได้ผลไม้คุณภาพในต้นทุนเหมาะสม โมเดลนี้หากเดินหน้าต่อเนื่องและวัดผลอย่างโปร่งใส จะต่อยอดเป็น “ระบบระบายผลผลิตอัจฉริยะ” ของเชียงรายในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • ศาลากลางจังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

“ลำไยบินได้” เชียงรายจับมือเวียตเจ็ท แก้ปัญหาราคาตก-ผลผลิตล้นตลาด

ลำไยบินได้” เชียงรายผนึกกำลังเวียตเจ็ท แก้ราคาตก-ล้นตลาด ด้วยพลังขนส่งทางอากาศ

เชียงราย, 4 สิงหาคม 2568 – เชียงรายคิกออฟ “ลำไยบินได้” ปั้นโมเดลเชื่อมตลาดใต้ จังหวัดเชียงรายเปิดฉากโครงการ “ลำไยบินได้” อย่างเป็นทางการ โดยร่วมมือกับสายการบินไทยเวียตเจ็ทแอร์ ส่งตรงลำไยเกรดพรีเมียมจากภาคเหนือสู่ภูเก็ต หวังเพิ่มมูลค่าผลผลิต สร้างทางเลือกใหม่ให้เกษตรกร พร้อมแก้ปัญหาผลผลิตล้นตลาดและราคาตกต่ำ

การแถลงข่าว ณ ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงราย นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เผยว่า ความร่วมมือนี้เป็นกลไกเฉพาะหน้าเพื่อระบายผลผลิตลำไยคุณภาพ คัดเกรด AA+A บรรจุขนาด 5 กก./ตะกร้า ผ่านใต้ท้องเครื่องบินผู้โดยสาร มีกำหนดขนส่งระหว่างวันที่ 4-29 สิงหาคม 2568 คาดเป้าหมายรวมกว่า 24 ตัน หรือประมาณสัปดาห์ละ 6 ตัน

สนามบินแม่ฟ้าหลวงหนุนเต็มกำลัง เสริมโลจิสติกส์ผลไม้เชียงราย

น.ต.สมชนก เทียมเทียบรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงราย ยืนยันว่า สนามบินมีศักยภาพรองรับการขนส่งสินค้าเกษตรได้ถึง 5,000 ตันต่อปี พร้อมจัดพื้นที่ ปรับระบบโลจิสติกส์ และเพิ่มความปลอดภัย เพื่อให้ลำไยถึงจุดหมายด้วยความสดใหม่และรวดเร็ว

ในขณะที่นายภาคภูมิ ผลพิสิษฐ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย มองว่า การกระจายสินค้าด้วยระบบขนส่งทางอากาศนี้ ช่วยเปิดตลาดใหม่และลดแรงกดดันจากตลาดเดิม พร้อมระบุว่าการส่งออกภายในประเทศแบบ point-to-point ถือเป็นทางเลือกสำคัญของเกษตรกรยุคใหม่

ลำไยล้นตลาด 1.69 ล้านตัน วิกฤตราคาต่ำสุดในรอบ 11 ปี

ข้อมูลจากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายและศูนย์วิจัยกสิกรไทย สอดคล้องกันว่า ปี 2568 ลำไยในพื้นที่ภาคเหนือมีผลผลิตรวมสูงถึง 1.69 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 19% จากปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเชียงรายที่มีผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 64,419 ตัน เป็น 106,929 ตัน หรือพุ่งขึ้นกว่า 66% ทำให้ราคาตลาดเฉลี่ยตกต่ำเหลือเพียง 14 บาท/กิโลกรัม ต่ำสุดในรอบ 11 ปี

นางณัฐพร มหาไพบูลย์ พาณิชย์จังหวัดเชียงราย กล่าวเสริมว่า ความท้าทายนี้เกิดจากผลผลิตออกสู่ตลาดพร้อมกันในปริมาณมาก แต่ยังขาดระบบกระจายที่รวดเร็วและเชื่อมโยงตลาดได้ทันที

รัฐบาลอัดมาตรการด่วน เสริมทัพโครงการเชียงราย

เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร รัฐบาลโดยนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เปิดเผย 3 มาตรการคู่ขนานที่กำลังดำเนินการในช่วงเดือนสิงหาคม ได้แก่:

  • มาตรการช่วยเหลือด้านการตลาด: กำหนดราคาขั้นต่ำลำไยรูดร่วง (เกรด AA 13 บาท/กก., A 6 บาท/กก.) โดยสมาคมโรงอบลำไยภาคเหนือและกรมการค้าภายใน
  • เตรียมเสนอ ครม. พัฒนาสวนลำไยคุณภาพ: สนับสนุนค่าตัดแต่งและปัจจัยการผลิต รวมสูงสุด 14,000 บาท/ครัวเรือน
  • ปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ย 0% แปรรูปผลผลิต: ร่วมมือกับ อ.ต.ก. และหน่วยงานต่างๆ กระจายผลผลิตลำไยผ่านกระทรวงศึกษาธิการ ยุติธรรม และไปรษณีย์ไทย

โมเดล “ลำไยบินได้” สร้างผลประโยชน์ให้ใคร?

การเปิดตัวโมเดลการขนส่งลำไยทางอากาศครั้งนี้ แม้เป็นมาตรการเฉพาะหน้า แต่สร้างผลกระทบในเชิงบวกอย่างชัดเจนต่อประชาชนหลายกลุ่ม ได้แก่:

  • เกษตรกร: ได้ราคาที่สูงขึ้น และไม่จำเป็นต้องเร่งเก็บเกี่ยวลำไยก่อนถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม
  • ผู้บริโภคในพื้นที่ปลายทาง: ได้รับลำไยสดคุณภาพดีในราคาที่เป็นธรรม
  • ผู้ประกอบการโลจิสติกส์และสนามบิน: มีโอกาสพัฒนาเส้นทางขนส่งเชิงพาณิชย์
  • เศรษฐกิจท้องถิ่น: เกิดการหมุนเวียนรายได้ กระตุ้นการจ้างงานและบริการที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และสายการบิน ยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารจัดการสินค้าเกษตรไทยที่สามารถต่อยอดไปสู่ผลไม้ชนิดอื่นในอนาคต

เชียงรายลุยโมเดลต้นแบบ ผลักดันผลไม้ไทยให้บินไกล

“ลำไยบินได้” คือการผสมผสานระหว่างการบริหารจัดการเชิงนโยบาย การสร้างระบบขนส่งที่คล่องตัว และการพัฒนาตลาดปลายทางอย่างยั่งยืน แม้จะเป็นโครงการทดลองในช่วงวิกฤต แต่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการวางแผนและบูรณาการระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นกับภาคเอกชนอย่างเป็นรูปธรรม

หากสามารถต่อยอดให้ครอบคลุมทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ไม่เพียงแค่ลำไย แต่รวมถึงผลผลิตอื่นของไทย โมเดลนี้อาจกลายเป็นโครงสร้างหลักของการขนส่งสินค้าเกษตรแห่งอนาคต

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
  • สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย
  • ท่าอากาศยานนานาชาติแม่ฟ้าหลวงเชียงราย
  • ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
  • สำนักนายกรัฐมนตรี
  • หอการค้าจังหวัดเชียงราย
  • กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.)
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

ลำไยเชียงรายล้นตลาด ราคาดิ่งหนัก! รองนายกฯ อบจ.ลงพื้นที่ดอยลาน รับฟังปัญหาเกษตรกร

อบจ.เชียงรายเร่งแก้ “ลำไยล้นตลาด”! รองนายกฯ ลงพื้นที่ดอยลาน รับฟังปัญหาเกษตรกร พร้อมประสาน “ผู้ว่าฯ-รมว.เกษตรฯ” ด่วน

เชียงราย, 30 กรกฎาคม 2568 – ลำไยเชียงรายราคาดิ่ง-ผลผลิตล้นตลาดรองนายกฯ อบจ. ลงพื้นที่ดอยลาน ร่วมหาทางออก วิกฤตเกษตรกร

สถานการณ์ราคาลำไยตกต่ำและผลผลิตล้นตลาดในจังหวัดเชียงรายปีนี้ สร้างความเดือดร้อนอย่างหนักให้แก่เกษตรกรในพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตตำบลดอยลาน อำเภอเมืองเชียงราย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแหล่งปลูกลำไยสำคัญของภาคเหนือ เกษตรกรจำนวนมากต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ผลผลิตที่ล้นโรงอบจนไม่สามารถขายได้ กลายเป็นภาระสะสมในชีวิตและหนี้สิน

ในช่วงเช้าวันนี้ (30 กรกฎาคม 2568) นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายก อบจ.เชียงราย ได้มอบหมายให้ นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย และนางสาวอริญชยา กายาไชย สมาชิกสภา อบจ.เชียงราย เขต 6 ลงพื้นที่ตำบลดอยลาน เพื่อพบปะพูดคุยและรับฟังปัญหาโดยตรงจากกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการโรงอบในพื้นที่ รวมถึงรับฟังข้อมูลจากบริษัท ไทย หม่าน อี้ จำกัด ผู้ประกอบการโรงอบรายใหญ่ประจำตำบล เพื่อรวบรวมข้อมูลและหาแนวทางแก้ไขวิกฤตครั้งนี้

ภาพรวมปัญหา ผลผลิตล้น-ราคาตก-โรงอบรับไม่ไหว

จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูล พบว่าเกษตรกรส่วนใหญ่ต่างประสบปัญหาลำไยสดล้นตลาด โรงอบไม่สามารถรับซื้อได้หมด เนื่องจากปริมาณผลผลิตปีนี้สูงเกินความต้องการของตลาด โดยราคาลำไยสดคุณภาพดี (เกรด AA) เฉลี่ยอยู่เพียง 8-10 บาท/กก. (ต่ำกว่าต้นทุนเฉลี่ย 15-16 บาท/กก.) ขณะที่ลำไยเกรดรอง (A, B, C) ราคาตกต่ำเหลือ 2-5 บาท/กก. และบางโรงอบถึงกับหยุดรับซื้อลำไยเกรดต่ำ ทำให้เกษตรกรจำนวนมากจำใจต้องปล่อยให้ลำไยเน่าเสียหรือแจกจ่ายฟรีให้ชุมชนโดยไม่ได้รายได้

“ปีนี้ลำไยเต็มสวนแต่ไม่มีที่ขาย โรงอบก็เต็ม บางเจ้ารับซื้อแบบจำกัดปริมาณ โรงร่อนรับได้น้อยมาก เกษตรกรขาดทุนต่อเนื่อง บางคนถึงขั้นต้องกู้เงินนอกระบบมาจุนเจือครอบครัว” ตัวแทนเกษตรกรเผย

ปัญหานี้ไม่เพียงกระทบเกษตรกรเท่านั้น แต่ยังกระทบเศรษฐกิจฐานรากทั้งระบบ เนื่องจากเชียงรายถือเป็นจังหวัดปลูกลำไยรายใหญ่ อันดับ 3 ของประเทศ รองจากเชียงใหม่และลำพูน ผลผลิตที่ล้นตลาดเกินศักยภาพของระบบแปรรูปและตลาดรับซื้อ นำไปสู่ราคาดิ่งลงต่ำต่อเนื่อง

อบจ.เชียงรายเดินหน้าประสานทุกภาคส่วน เร่งช่วยเหลือเฉพาะหน้าและวางแนวทางยั่งยืน

นายสุธีระพงษ์ วันไชยธนวงศ์ รองนายก อบจ.เชียงราย เปิดเผยภายหลังการหารือว่า “อบจ.เชียงรายรับทราบความเดือดร้อนของเกษตรกรทุกคน จะไม่นิ่งนอนใจโดยเด็ดขาด เบื้องต้นได้ประสานโรงอบไทย หม่าน อี้ รับซื้อลำไยเพิ่มขึ้นจากเดิมเพื่อช่วยระบายผลผลิตออกจากสวน ลดแรงกดดันในพื้นที่ พร้อมทั้งจะรวบรวมข้อเสนอแนะและปัญหาจากเกษตรกรทุกกลุ่ม นำไปรายงานผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย และประสานไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเสนอแนวทางแก้ไขทั้งระยะสั้นและระยะยาวโดยเร็วที่สุด”

วิกฤตลำไยเชียงราย บททดสอบใหญ่ “ระบบจัดการผลผลิตไทย”

ปัญหาลำไยล้นตลาดและราคาตกต่ำไม่ได้เกิดขึ้นเพียงปีนี้ แต่เป็นปัญหาซ้ำซากที่สะสมมานาน ข้อมูลกรมวิชาการเกษตร ระบุว่า ปี 2568 ปริมาณผลผลิตลำไยสดในภาคเหนือพุ่งสูงกว่าปีที่แล้วถึง 12% ขณะที่ตลาดส่งออกหลักอย่างจีนและเวียดนามต่างมีข้อจำกัดเรื่องนำเข้าและมีผลผลิตในประเทศเองมากขึ้น ทำให้พึ่งพิงตลาดในประเทศเป็นหลัก โรงอบในพื้นที่ไม่สามารถรับซื้อลำไยได้ทันกับผลผลิตที่หลั่งไหลออกมาพร้อมกัน

ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตา:

  • การรับฟังปัญหาและประสานงานรวดเร็ว: การที่ อบจ.เชียงราย ส่งรองนายกฯ ลงพื้นที่รับฟังเสียงประชาชนอย่างใกล้ชิด แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหาจริงจัง ต่างจากการสื่อสารผ่านระบบราชการปกติที่อาจล่าช้าและห่างไกลข้อเท็จจริง
  • บทบาท “องค์กรปกครองท้องถิ่น” ในวิกฤต: การประสานงานเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่ผู้ว่าราชการจังหวัดและกระทรวงเกษตรฯ สะท้อนการขับเคลื่อนปัญหาขึ้นสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายได้ตรงจุด ไม่ใช่แค่ “ฟังแล้วจบ” ในระดับท้องถิ่น
  • แนวทางบรรเทาฉุกเฉิน: แม้การรับซื้อลำไยเพิ่มของโรงอบจะช่วยได้เพียงบางส่วนและชั่วคราว แต่หากรัฐเร่งสนับสนุนการกระจายตลาด ส่งเสริมการแปรรูป ผลักดันตลาดออนไลน์หรือส่งเสริมการส่งออกนอกฤดู น่าจะช่วยสร้างสมดุลให้กับอุปทานที่ล้นตลาดได้มากขึ้น

ข้อเสนอแนะสู่ความยั่งยืน:

  • ระบบข่าวกรองและบริหารจัดการผลผลิต: ควรวางระบบติดตามผลผลิตและคาดการณ์ปริมาณล่วงหน้าอย่างแม่นยำ เพื่อป้องกันภาวะล้นตลาดซ้ำซาก และผลักดันการวางแผนการผลิตแบบยั่งยืน
  • การเสริมศักยภาพแปรรูปและเพิ่มมูลค่า: ควรเร่งรัดสนับสนุนโรงงานแปรรูปขนาดเล็กในพื้นที่ กระตุ้นการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่จากลำไย เพิ่มโอกาสส่งออก และลดการพึ่งพาตลาดสดเพียงอย่างเดียว
  • ส่งเสริมความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทาน: ต้องสร้างความร่วมมือระหว่างเกษตรกร-โรงอบ-ผู้ส่งออก เพิ่มความเข้มแข็งและยืดหยุ่นให้ระบบรับมือวิกฤตได้ดีขึ้นในอนาคต

สรุป:

สถานการณ์ลำไยล้นตลาดที่เชียงรายในปีนี้ ถือเป็น “สัญญาณเตือน” ระบบเกษตรกรรมไทยทุกระดับ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกันแก้ไขทั้งปัญหาเฉพาะหน้าและเชิงโครงสร้าง เชียงรายจะสามารถเปลี่ยนวิกฤตครั้งนี้ให้เป็นโอกาสสร้างความแข็งแกร่งให้เกษตรกรในระยะยาว

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย
  • บริษัท ไทย หม่าน อี้ จำกัด
  • กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
  • รายงานข่าวสถานการณ์ผลผลิตลำไยภาคเหนือ (2568)
  • สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI ECONOMY

จับตา ลำไยเหนือเจอพิษซัลเฟอร์ฯ ลิ้นจี่-ทุเรียน-มะม่วง วางแผนรับมือ

เชียงรายเข้าร่วมสัมมนาจัดทำข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ ปี 2568 มุ่งพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อการบริหารจัดการแบบยั่งยืน

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย มอบหมายผู้แทนเข้าร่วมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การจัดทำข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ ปี 2568” ณ โรงแรมฮอลิเดย์ การ์เดน จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งจัดโดยสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 (สศท.1) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาระบบข้อมูลไม้ผลสำคัญของภาคเหนือ ได้แก่ ลิ้นจี่ ลำไย ทุเรียน และมะม่วงน้ำดอกไม้ ให้มีความแม่นยำ ครบถ้วน และสามารถสะท้อนสถานการณ์จริงในพื้นที่เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของภาครัฐในการบริหารจัดการผลผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

เป้าหมายการสัมมนาสู่ระบบข้อมูลไม้ผลแบบบูรณาการ

การสัมมนาครั้งนี้อยู่ภายใต้การกำกับของคณะทำงานย่อยพัฒนาระบบข้อมูลและโลจิสติกส์ ภาคเหนือ โดยมีหน่วยงานร่วมดำเนินงานหลากหลาย อาทิ สศท.1, สศท.2, สศท.12, ศูนย์สารสนเทศการเกษตร, สำนักงานเกษตรจังหวัด 17 จังหวัดภาคเหนือ, สำนักงานวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขต 1 และ 2 รวมถึงสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่

การจัดทำข้อมูลเชิงระบบในครั้งนี้เน้นการพยากรณ์ผลผลิตและสถานการณ์การผลิต รวมถึงการเชื่อมโยงกับข้อมูลด้านตลาด เพื่อให้สามารถบริหารจัดการโลจิสติกส์ตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายคือการสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความเป็นเอกภาพ ถูกต้อง และสะท้อนสภาพพื้นที่จริง

ลิ้นจี่ ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศเอื้ออำนวย ตลาดยังคงมั่นคง

สำหรับสถานการณ์ลิ้นจี่ในภาคเหนือปี 2568 แหล่งผลิตสำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา และน่าน ข้อมูลคาดการณ์ระบุว่า

  • พื้นที่ยืนต้นลดลง 6.40% เหลือ 66,260 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลลดลง 6.39% เหลือ 66,173 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่เพิ่มขึ้น 155.49% เป็น 465 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 139.13% เป็น 30,745 ตัน

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นคือสภาพอากาศที่ไม่แห้งแล้งและไม่มีพายุลูกเห็บเหมือนปีที่ผ่านมา ปัจจุบันเก็บเกี่ยวแล้วราว 10% (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พ.ค. 2568) ผลผลิตส่วนใหญ่จำหน่ายให้พ่อค้าในพื้นที่โดยตรง ราคาขายเฉลี่ยของพันธุ์ฮงฮวยเกรด AA ห่อ อยู่ที่ 120 บาท/กิโลกรัม ขณะที่พันธุ์นครพนม 1 เกรด A จำหน่ายที่ 60 บาท/กิโลกรัม

ลำไย ผลผลิตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่เผชิญปัญหาส่งออกจีนจากสารตกค้าง

ลำไยยังคงเป็นไม้ผลเศรษฐกิจที่สำคัญของภาคเหนือ โดยมีแหล่งผลิตใหญ่ในเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน พะเยา และน่าน โดยข้อมูลปี 2568 ระบุว่า

  • พื้นที่ยืนต้นลดลงเล็กน้อย 0.62% อยู่ที่ 1,243,784 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลเพิ่มขึ้น 0.13% อยู่ที่ 1,237,830 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 12.27% อยู่ที่ 860 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 12.36% เป็น 1,064,242 ตัน

แม้ผลผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ในที่ประชุมมีข้อกังวลเกี่ยวกับการส่งออกไปยังประเทศจีน หลังตรวจพบสารซัลเฟอร์ตกค้างในลำไยอบแห้ง ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาที่เกษตรกรจะได้รับ โดยที่ประชุมเสนอให้สำนักงานเกษตรในพื้นที่เร่งจัดทำข้อมูลผลผลิตลำไยที่คาดว่าจะเกินอีก 140,000 ตัน เพื่อเสนอคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) กำหนดมาตรการรองรับ

ทุเรียน ศักยภาพเพิ่มขึ้นชัดเจน จำเป็นต้องสร้างแบรนด์ผลผลิตคุณภาพ

ทุเรียนในภาคเหนือ โดยเฉพาะจากจังหวัดอุตรดิตถ์ สุโขทัย แพร่ และพิษณุโลก กำลังเติบโตเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญ มีข้อมูลดังนี้

  • พื้นที่ยืนต้นเพิ่มขึ้น 9.51% เป็น 121,829 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลเพิ่มขึ้น 7.21% เป็น 81,857 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 6.27% เป็น 729 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 13.88% เป็น 59,660 ตัน

ขณะนี้ผลผลิตออกสู่ตลาดแล้ว 9% โดยการบริหารจัดการในที่ประชุมได้เสนอแนวทางหลากหลาย เช่น การอบรมเกษตรกรเรื่องการดูแลสวน การสร้างนักคัดผลมืออาชีพ และการส่งเสริมการตลาดโดยใช้ Influencer รวมถึงการตั้งชื่อแบรนด์ให้กับทุเรียนแต่ละแหล่ง เช่น “ทุเรียนหลงลับแล” และ “หมอนพระร่วง”

มะม่วงน้ำดอกไม้ ผลผลิตสูงขึ้นแต่ราคาน่ากังวล

ข้อมูลมะม่วงน้ำดอกไม้ ปี 2568 แสดงให้เห็นว่า

  • พื้นที่ยืนต้นเพิ่มขึ้น 0.46% เป็น 145,145 ไร่
  • พื้นที่ให้ผลเพิ่มขึ้น 1.93% เป็น 134,686 ไร่
  • ผลผลิตเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13.46% เป็น 809 กิโลกรัม/ไร่
  • ปริมาณผลผลิตรวมเพิ่มขึ้น 15.71% เป็น 108,993 ตัน

แม้ผลผลิตจะเพิ่มขึ้น แต่อัตราราคาจำหน่ายในช่วงต้นฤดูอยู่ในระดับต่ำเพียง 30 บาท/กิโลกรัม ทำให้เกิดความกังวลในกลุ่มเกษตรกร โดยที่ประชุมเสนอให้มีการแจ้งข้อมูลไปยัง คพจ. เพื่อหามาตรการรองรับอย่างเร่งด่วนในระดับจังหวัด

ข้อเสนอเชิงนโยบายและบทวิเคราะห์

  1. สร้างระบบฐานข้อมูลกลาง ที่บูรณาการระหว่าง สศท. สำนักงานเกษตรจังหวัด และหน่วยงานวิจัย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำแบบ Real-Time
  2. พัฒนาช่องทางการตลาดใหม่ เช่น ตลาดออนไลน์ การส่งออกโดยตรง และการจับคู่ธุรกิจ
  3. ปรับกลยุทธ์โลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนการขนส่ง เพิ่มมูลค่าให้กับไม้ผล เช่น การทำโรงคัดบรรจุหรือระบบความเย็นในพื้นที่
  4. ขยายการใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ เพื่อพยากรณ์และติดตามสถานการณ์การผลิตแบบแม่นยำ
  5. เร่งสร้างแบรนด์และมูลค่าผลไม้เฉพาะถิ่น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและตลาดต่างประเทศ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • รายงานสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 ปี 2568
  • สรุปสถานการณ์ผลผลิตไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ จากการสัมมนา 7-8 พฤษภาคม 2568
  • สถาบันคลังสมองของชาติ: รายงานแรงงานเกษตรภาคเหนือ ปี 2567
  • กระทรวงเกษตรและสหกรณ์: ระบบข้อมูลการผลิตไม้ผลเศรษฐกิจ (www.moac.go.th)
  • กรมส่งเสริมการเกษตร: www.doae.go.th
  • สำนักงานเกษตรจังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
NEWS UPDATE
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

เชียงราย ลงตรวจมาตรฐานขนาดลำไย สร้างความเป็นธรรมทางการค้า

 

เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 เวลา 14.00 น. นางอุบลรัตน์ พ่วงภิญโญ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมด้วยคณะทำงานตรวจสอบมาตรฐานเครื่องคัดขนาดลำไยสดตัดขั้ว (รูดร่วง) จังหวัดเชียงราย ร่วมกันตรวจสอบเครื่องคัดขนาดลำไยแบบตะแกรงร่อน เพื่อกำกับดูแลให้ได้ตามมาตรฐานในการคัดขนาดลำไย สร้างความเป็นธรรมทางการค้า ดูแลเกษตรกรผู้ปลูกลำไย ไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ และลดข้อขัดแย้งระหว่าง ผู้ซื้อและผู้ขาย ณ บริษัท ไท้หยวนจินซาน จำกัด ที่ตั้งเลขที่ 194 หมู่ 9 ตำบลห้วยสัก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

โดยคณะทำงานตรวจสอบมาตรฐานเครื่องคัดขนาดลำไยสดตัดขั้ว (รูดร่วง) จังหวัดเชียงราย กำหนดแผนออกตรวจสอบเครื่องคัดขนาดลำไยแบบตะแกรงร่อน ที่อยู่ระหว่างการใช้งาน สำหรับรับซื้อลำไยสดรูดร่วง ในเดือน สิงหาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงที่ลำไยจังหวัดเชียงรายออกสู่ตลาดมาก

ทั้งนี้ เครื่องคัดขนาดลำไยแบบตะแกรงร่อน ปัจจุบันใช้เป็นตัวกลางในการกำหนดราคาซื้อขายลำไยสดรูดร่วง ซึ่งจะต้องผ่านการตรวจสอบให้คำรับรองจากพนักงานเจ้าหน้าที่ชั่งตวงวัด กรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ (ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดลักษณะเครื่องวัดสำหรับคัดขนาดลำไยแบบตะแกรงร่อน รายละเอียดของวัสดุที่ผลิต อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาดและอายุคำรับรอง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2566 และเครื่องคัดฯ ที่มีมาก่อนประกาศฯ บังคับใช้ ให้นำมาตรวจสอบให้คำรับรองก่อนวันที่ 22 ธันวาคม 2567) โดยเจ้าหน้าที่จะดำเนินการตรวจสอบความเที่ยงตรงของรูตะแกรง โดยแต่ละขนาดต้องตรงตามที่มาตรฐานกำหนด และอยู่ในเกณฑ์อัตราเผื่อเหลือเผื่อขาด ทั้งฝ่ายมากและฝ่ายน้อย ไม่เกิน 0.5 มม. และกำหนดให้มีอายุคำรับรอง 2 ปี ซึ่งปัจจุบันเครื่องคัดขนาดลำไยแบบตะแกรงร่อน ในจังหวัดเชียงรายผ่านการตรวจสอบให้คำรับรองแล้ว 684 เครื่อง

สำหรับจุดสังเกตุ เครื่องคัดฯ ที่ได้มาตรฐาน ผ่านการตรวจสอบให้คำรับรองแล้ว เกษตรกร ชาวสวนลำไยและประชาชนทั่วไป ให้สังเกตสติกเกอร์ตราครุฑ “ตรวจสอบแล้ว” จากสำนักงานกลางชั่งตวงวัด กรมการค้าภายใน ซึ่งจะติดอยู่ด้านทางออก (AA,A,B,C)

หากผู้ประกอบการท่านใด มีเจตนากระทำความผิด แก้ไขดัดแปลงเครื่องคัดขนาดลำไยฯ หรือเครื่องชั่ง เพื่อเอาเปรียบประชาชน พนักงานเจ้าหน้าที่จะดำเนินการทางกฎหมายสูงสุด มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และปรับไม่เกินสองแสนแปดหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นอกจากนี้ หากผู้ครอบครองนำเครื่องที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบให้คำรับรอง ไปใช้ในการรับซื้อ จะมีโทษตาม พ.ร.บ. มาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน   ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากเกษตรกรถูกเอารัดเอาเปรียบในการซื้อขาย สามารถแจ้งได้ที่สายด่วนกรมการค้าภายใน 1569

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘สส.โฮม ปิยะรัฐชย์’ หนุนร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ลำไย

 

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานจากที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีสส.โฮม ปิยะรัฐชย์’ หนุนร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ลำไยเชื่อจะช่วยยกระดับและส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แนะต้องสร้างการเพิ่มมูลค่าให้สินค้า ยกในอดีตรัฐบาล “ทักษิณ” เคยเดินหน้าเรื่องนี้แล้ว(31 กค.67)นางสาวปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติลำไย ว่าในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ก็เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีการปลูกลำไยและอยากจะหาทางออกให้กับเกษตรกรผู้ปลูกลำไย

โดยใน อดีตลำไย ถือเป็นพืชเศรษฐกิจของเกษตรกรภาคเหนือ แต่ที่ผ่านมามีพ่อค้าชาวจีนนำเอา พันธุ์ลำไยไปแพร่ขยายและ ปลูกในหลายพื้นที่ของประเทศเมื่อมาดูตัวเลขการส่งออกลำไย สดอันดับ 1 ที่ไทยส่งออกคือ จีน อินโดนีเซีย และ เวียดนาม โดยตัวเลขการส่งออกใน ปี 2565 มี ยอดส่งออกกว่า 12,000 ล้านบาท แต่ในปี 2566 กลับมียอดส่งออกลดลง ซึ่งในปีนี้เพื่อประโยชน์ของประชาชนผู้ปลูกลำไยก็หวังว่าตัวเลขการส่งออกจะพุ่งสูงขึ้น โดยเชื่อมั่น ในการบริหารงานของรัฐบาล

พร้อมกันนี้ขอบคุณรัฐบาลที่ออกมาตรการในการจัดการผลไม้ในปี 2567 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ทั้งการรณรงค์บริโภคผลไม้ การส่งเสริมการแปรรูป การจัดทำเกษตรพันธสัญญา รวมทั้งการหาตลาดการขายผลไม้ในต่างประเทศทั้งนี้ ที่ผ่านมาเรามักจะเน้นย้ำในเรื่องของการรับซื้อ การตลาด การช่วยเหลือด้านราคา แต่ปัญหาใหญ่ก็คือปัญหาล้งที่เกิดขึ้นโดยมีประเทศเพื่อนบ้านอยู่เบื้องหลัง ซึ่งปัญหาเหล่านี้เราพยายามแก้ปัญหา แต่อาจจะไม่มีความยั่งยืนให้กับพี่น้องเกษตรกร

“วันนี้ตนมองว่าเรายังขาดการสร้างการเพิ่มมูลค่าของสินค้า ที่ผ่านมารัฐบาลของอดีตนายกฯทักษิณ ได้มีการส่งเสริมการทำลำไยกระป๋องในน้ำเชื่อม ซึ่งระยะหลังได้เงียบหายไป อาจเป็นเพราะไม่ได้มีการขยายตลาดและไม่มีการสร้างแบรนด์ให้มีความเข้มแข็ง จึงหวังว่าร่างพระราชบัญญัติยุทธศาสตร์ลำไยฉบับนี้ จะออกมาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร”

นางสาวปิยะรัฐชย์ ย้ำว่าการรับฟังเสียงของพี่น้อง ถือเป็นส่วนสำคัญซึ่งตนเองได้ลงพื้นที่ไปรับฟังความคิดเห็น โดยประชาชนสะท้อน โดยเน้นย้ำในเรื่องของ ความเสถียรของราคาลำไย ซึ่งเกษตรกรไม่สามารถรู้ล่วงหน้า โดยเป็นการกำหนดราคาเองจากโรงงาน รวมทั้งเครื่องคัดเกรดที่อาจจะไม่มีมาตรฐานจึงควรมีหน่วยงานกลางในการที่จะเข้ามากำกับดูแล รวมทั้งอยากให้ภาครัฐได้มีการวิจัยและพัฒนาผู้ปลูกลำไยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าร่างกฎหมายดังกล่าวจะทำให้เกษตรได้รับประโยชน์ทั้งจากการส่งเสริมด้านเทคโนโลยี การช่วยเหลือจากภาครัฐหากเกิดภัยธรรมชาติ รวมถึงการเปิดตลาดเส้นทางในต่างประเทศทั้งยุโรปอินเดียหรือตะวันออกกลางซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการอำนวยการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดการบิดเบือนในทุกช่องทางเพื่อให้พี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกลำไยได้รับประโยชน์สูงสุด

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

นายกฯ การันตี ราคา ‘ลำไย’ เกรด AA ไม่ต่ำกว่า กก.ละ 32 บาท

 

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ที่แปลงใหญ่ลําไย ต.ริมปิง อ.เมืองลําพูน จ.ลําพูน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางมาพบปะเกษตรกรชาวสวนลําไย ณ แปลงใหญ่ลําไย ต.ริมปิง อ.เมืองลําพูน จ.ลําพูน เพื่อให้ความมั่นใจถึงราคาผลผลิตในรอบปี ซึ่งการมาครั้งนี้ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธ์ุ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางร่วมคณะด้วย

 

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ลำไยเป็นพืชรอง แต่บังเอิญว่าลำไยเป็นพืชหลักของภาคเหนือ ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกครึ่งหนึ่งของ จ.ลำพูน เป็นลำไยทั้งหมด และในฤดูลำไยที่จะมาถึงรัฐบาลจำเป็นต้องดูแลเรื่องของราคาให้ดี ซึ่งได้พูดคุยกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า การดูแลพืชรอง เช่น ลำไย ต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับการเปิดตลาดใหม่ๆ และการดูดซัพพลายออกไปก่อนเพื่อทำให้ราคาสูงขึ้นอีก และจะทำให้ราคาสูงกว่าปีที่ผ่านมา ส่วนเรื่องของคุณภาพลำไยนั้นไม่ห่วง แต่ห่วงเรื่องต้องมีตลาดใหม่ๆ  เพื่อทำให้รายได้ของประชาชนดีขึ้น

 

“สำหรับเรื่องของต้นทุนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของปุ๋ย หรือการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งขณะนี้ก็มีการแปรรูปทำเป็นกาแฟลำไย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี พร้อมย้ำว่า การลงพื้นที่ไม่ใช่การสร้างภาพ แต่ให้ความสำคัญกับประชาชน วันนี้ต้องการันตีว่าราคาลำไยจะดีขึ้น และมีมาตรการดูแลเกษตรกร” นายกรัฐมนตรีกล่าว

 

ขณะที่ปลัดกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า ลำไยปีนี้การันตีว่าราคาสูงกว่าปีที่แล้วแน่นอน โดยลำไย เกรด AA จะได้ราคาไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 32 บาทแน่นอน ส่วนเกรด A ไม่ต่ำกว่า 27 บาท สำหรับลำไยร่วง เกรด AA ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 23 บาท หวังว่าชาวสวนจะพอใจและราคานี้นายกรัฐมนตรีได้สั่งมาแล้วปีนี้ได้ราคานี้แน่นอนทำให้ชาวสวนลำไยปรบมือส่งเสียงเฮลั่น จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้เดินชมสวนลำไยที่กำลังออกผลิต ซึ่งจะตัดจำหน่ายได้ในช่วงเดือนมิถุนายน

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : ทีมข่าวนครชียงรายนิวส์

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

หวั่นลำไยภาคเหนือราคาตกหลังปีนี้ผลผลิตรวมกว่า 9.7 แสนตัน

 

เมื่อวันจันทร์ ที่  27 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 นายธวัชชัย เดชาเชษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่1เชียงใหม่ (สศท.1) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยถึงการติดตามสถานการณ์ผลิตลำไยของ 8 จังหวัดภาคเหนือ (เชียงใหม่ ลำพูน เชียงราย พะเยา ลำปาง ตาก แพร่ และน่าน) โดย สศก. ร่วมกับคณะทำงานย่อยเพื่อพัฒนาระบบข้อมูลและโลจิสติกภาคเหนือ จัดทำข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคเหนือ ครั้งที่ 2/2567 (ข้อมูล ณ 14 พฤษภาคม 2567) พบว่าปี 2567 ลำไยของ 8 จังหวัดภาคเหนือมีเนื้อที่ยืนต้น จำนวน 1,254,937 ไร่ ลดลงจากปีที่แล้ว ที่มีจำนวน 1,269,344 ไร่ (ลดลง14,407 ไร่ หรือร้อยละ 1.13เนื่องจากเกษตรกรโค่นต้นลำไยที่มีอายุมากและให้ผลผลิตน้อย โดยปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น เช่น ยางพารา ทุเรียน มะม่วง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

 

 ด้านผลผลิตรวม มีจำนวน 978,974 ตันเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มีจำนวน 949,473 ตัน (เพิ่มขึ้น 29,501 ตัน หรือร้อยละ 3) ทั้งนี้ผลผลิตลำไยในฤดู จะออกสู่ตลาดช่วงปลายเดือนมิถุนายน และจะออกต่อเนื่องถึงเดือนกันยายน 2567โดยผลผลิตจะออกมากที่สุดในเดือนสิงหาคม 2567 ประมาณ 366,273 ตัน หรือ ร้อยละ 37 ของผลผลิตทั้งหมด

 

   สถานการณ์การผลิตลำไยของ 8 จังหวัดภาคเหนือ ปี 2567 พบว่าลำไยในฤดู มีจำนวน637,501 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว ที่มีจำนวน 606,900 ตัน (เพิ่มขึ้น 30,601 ตัน หรือ ร้อยละ 5)เนื่องจากราคาลำไยในปีที่แล้วอยู่ในเกณฑ์ดี จูงใจให้เกษตรกรดูแลรักษาต้นลำไยและราดสารโพแทสเซียมคลอเรตเพื่อชักนำการออกดอก แม้ว่าในเดือนมีนาคมและเดือนเมษายน2567สภาพอากาศจะร้อนจัด ส่งผลให้บางพื้นที่ต้นลำไยขาดน้ำและสลัดลูกทิ้งบางส่วน

 

แต่เนื่องจากการออกดอกและติดผลมีมากกว่าปีที่แล้วทำให้ภาพรวมผลผลิตยังคงเพิ่มขึ้นและลำไยนอกฤดู มีจำนวน 341,473 ตัน ลดลงจากปีที่แล้วที่มีจำนวน 342,573 ตัน (ลดลง 1,100 ตัน หรือร้อยละ 0.32) ลดลงเล็กน้อย เนื่องจากสภาพอากาศแห้งแล้งและร้อนจัดทำให้ต้นลำไยในบางพื้นที่ไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถราดสารโพแทสเซียมคลอเรตเพื่อชักนำการออกดอกได้

 

ด้านสถานการณ์ราคาลำไยของ 8 จังหวัดภาคเหนือ ณ เดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงที่ลำไยนอกฤดู ออกสู่ตลาด (ลำไยนอกฤดูออกตลาด ม.ค. – พ.ค. และ ต.ค. – ธ.ค.)แบ่งตามเกรด ได้แก่ลำไยสดช่อ เกรดAAกิโลกรัมละ 25 บาทส่วนลำไยรูดร่วง เกรดAAกิโลกรัมละ 22 บาท,เกรดAกิโลกรัมละ 15 บาท,เกรดBกิโลกรัมละ 10 บาท และเกรดCกิโลกรัมละ 3 บาทด้านลำไยในฤดู เกษตรกรเริ่มเกี่ยวเก็บตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2567 คาดว่าราคาที่เกษตรกรขายได้จะอยู่ ในเกณฑ์ดี จากการที่เกษตรกรเอาใจใส่ดูแลทำให้ลำไยมีคุณภาพดียิ่งขึ้นสำหรับสถานการณ์ตลาดลำไยภาคเหนือ ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ จีน เวียดนาม และอินโดนีเซีย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าตลาดจีนจะเปิดการซื้อขายแล้วแต่ยังมีมาตรการตรวจคัดกรองที่เข้มงวด ทั้งการตรวจโรคแมลงศัตรูพืช ณ ด่านนำเข้าเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว

 

สำหรับแนวทางการบริหารจัดการลำไยในฤดูของภาคเหนือ ซึ่งคณะทำงานได้ร่วมกันวางแนวทางการบริหารสมดุลDemand-Supplyโดยมีการรวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการ สำหรับความต้องการผลผลิตส่วนใหญ่จะเน้นการแปรรูปเป็นลำไยอบแห้งทั้งเปลือก อบแห้งเนื้อสีทอง น้ำลำไยสกัดเข้มข้น และลำไยกระป๋อง จำนวน 480,725 ตัน บริโภคสดในประเทศจำนวน 60,724 ตัน และส่งออกลำไยสด จำนวน 96,053 ตัน

 

 อย่างไรก็ตาม เดือนสิงหาคมเป็นช่วงที่ผลผลิตออกกระจุกตัวอาจส่งผลกระทบต่อราคาลำไย ซึ่งหน่วยงานภาครัฐทั้งที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การตลาด ได้เตรียมแผนบริหารจัดการสินค้าและเชื่อมโยงกับตลาดภายนอกจังหวัด เพื่อบริหารจัดการในช่วงที่ผลผลิตออกกระจุกตัวในช่วงเดือนสิงหาคมนี้เรียบร้อยแล้ว อาทิ การจำหน่ายลำไยเพื่อบริโภคสดในประเทศ โดยมุ่งเน้นกระจายออกนอกแหล่งผลิตผ่านModern Tradeเครือข่ายสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน ธ.ก.ส. ไปรษณีย์ และตลาดออนไลน์

 

 “การผลิตลำไยในปีนี้ยังคงต้องเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากระยะต่อจากนี้เป็นช่วงที่ลำไยเริ่มมีการพัฒนาช่อผล ซึ่งถ้าเกิดภัยแล้งขึ้นช่อผลที่กำลังพัฒนามีการหยุดชะงัก ผลเล็กไม่เจริญเติบโต หรือผลที่เติบโตเต็มที่แล้วจะมีอาการผลแตกในช่อผลได้ เกษตรกรชาวสวนลำไยควรหมั่นสำรวจสวนอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาผลผลิตให้มีคุณภาพ และให้เฝ้าระวังเพลี้ยแป้ง ซึ่งเป็นศัตรูพืชสำคัญในลำไยเพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาด

 

โอกาสนี้ ขอเชิญชวนผู้บริโภคทุกท่านร่วมสนับสนุนผลผลิตลำไยของเกษตรกร ซึ่งพร้อมออกสู่ตลาดมากในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร และเป็นกำลังใจให้พี่น้องเกษตรกรในการผลิตผลไม้ที่มีคุณภาพต่อไป”

 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่1เชียงใหม่ (สศท.1) 

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News