Categories
NEWS UPDATE

ค่าเทอมพุ่ง หอการค้าเผย เศรษฐกิจยังไหว แต่การศึกษาเหลื่อมล้ำ

รายจ่ายเปิดเทอมปี 2568 ทะลุ 6.2 หมื่นล้านบาท สูงสุดรอบ 16 ปี สะท้อนภาพเศรษฐกิจยังเคลื่อนไหว แม้ผู้ปกครองกังวลผลกระทบ

เชียงราย, 8 พฤษภาคม 2568 – รองศาสตราจารย์ ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เผยผลสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้ปกครองในช่วงเปิดภาคเรียน พบว่าแม้เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากภาวะการชะลอตัวระดับโลก แต่การใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงเปิดเทอมกลับสูงขึ้นแตะระดับ 62,614 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.80% ซึ่งนับว่าสูงสุดในรอบ 16 ปี นับตั้งแต่เริ่มสำรวจปี 2553

แนวโน้มค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา สูงขึ้น แต่สะท้อนความสำคัญในใจผู้ปกครอง

จากผลสำรวจพบว่า ผู้ปกครองให้ความสำคัญกับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการวางแผนจัดซื้อสินค้าเกี่ยวกับการเรียนและอุปกรณ์การศึกษาก่อนเปิดภาคเรียน โดย

  • ร้อยละ 78.6% วางแผนซื้อหนังสือเรียนใหม่ทั้งหมด
  • ร้อยละ 42.7% ซื้ออุปกรณ์การเรียนใหม่บางส่วน
  • ค่าเทอมเฉลี่ย 21,142 บาท
  • ค่าชุดนักเรียน เพิ่มขึ้น 38.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยรวมต่อคนอยู่ที่ 26,039 บาท

ถึงแม้ว่าผู้ปกครองร้อยละ 45.6% มองว่าค่าใช้จ่ายในปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ยังมีถึงร้อยละ 30.2% ที่รู้สึกว่าเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยสาเหตุหลักคือ ราคาสินค้าแพงขึ้น และ ปริมาณสิ่งของที่ซื้อเพิ่มขึ้น

วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายด้านการศึกษา

รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวว่า แม้จะมีข้อกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่จากการใช้จ่ายในช่วงเปิดภาคเรียนสะท้อนว่า เศรษฐกิจไทย “ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้” โดยไม่มีสัญญาณของภาวะซึมเศร้ารุนแรง การใช้จ่ายของผู้ปกครองไม่ได้ลดลงหรือระมัดระวังจนผิดปกติ ซึ่งอาจตีความได้ว่า

  1. ค่าใช้จ่ายทางการศึกษาเพิ่มขึ้นจริง
  2. ผู้ปกครองยังให้ความสำคัญกับการศึกษา
  3. ภาพรวมการบริโภคไม่ได้ชะลอลงถึงขั้นวิกฤต

นอกจากนี้ ยังระบุว่า ไม่พบสัญญาณชัดเจนของผลกระทบจาก สงครามการค้าโลก หรือการชะลอตัวจากตลาดแรงงานที่รุนแรงแต่อย่างใด

ผู้ปกครองยอมรับภาวะเศรษฐกิจมีผลต่อการศึกษา

แม้ภายนอกดูเหมือนเศรษฐกิจยังทรงตัวได้ แต่ผลสำรวจยังชี้ว่า มากกว่า 90% ของผู้ปกครองยอมรับว่า ภาวะเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อการจัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน โดยเฉพาะในกลุ่มครอบครัวรายได้น้อย ซึ่งต้องวางแผนและจำกัดการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ

ข้อกังวลของผู้ปกครอง นอกเหนือเรื่องเงิน ยังมีเรื่องอนาคตลูก

ผลสำรวจยังเปิดเผยถึงความกังวล 5 อันดับแรกของผู้ปกครองในช่วงเปิดภาคเรียน ได้แก่

  1. ความกังวลเรื่องการคบเพื่อนของลูกหลาน
  2. ความรุนแรงในโรงเรียน
  3. ความเสี่ยงไม่มีงานทำในอนาคต
  4. ความสามารถในการเอาตัวรอดในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน
  5. การสอบแข่งขันเพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น

ข้อกังวลเหล่านี้สะท้อนว่า การศึกษาในยุคใหม่ไม่ใช่แค่เรื่องตำราเรียนหรือคะแนนสอบ แต่เกี่ยวพันกับคุณภาพชีวิต สภาพแวดล้อม และทักษะการใช้ชีวิตของนักเรียน

ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษายังเป็นปัญหาเรื้อรัง

รายงานระบุว่า มี ความเหลื่อมล้ำสูงระหว่างนักเรียนในเมืองและต่างจังหวัด โดยเฉพาะด้านโอกาสในการเข้าถึงสื่อการเรียนรู้ เทคโนโลยี และครูผู้สอนคุณภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เด็กนอกเมืองมีความเสี่ยงตกหล่นทางการศึกษาอย่างถาวร

ความสำคัญของ กยศ. ต่อโอกาสทางการศึกษา

ในการประเมินบทบาทของ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) พบว่า

  • 50.1% ของผู้ปกครองมองว่า กยศ. มีความสำคัญอย่างมาก
  • มากกว่า 90% เห็นว่า กยศ. ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวในระดับปานกลางถึงมาก

นโยบายของรัฐด้านการศึกษา เช่น กยศ. ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ผู้ปกครองอยากให้รัฐบาลปรับปรุงด้านการศึกษา

จากผลสำรวจ พบว่าผู้ปกครองเสนอให้มีการปฏิรูป 6 ประเด็นหลัก ได้แก่

  1. ปรับปรุงระบบประเมินผลให้หลากหลาย ไม่ยึดคะแนนสอบเพียงอย่างเดียว
  2. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ให้โรงเรียนทุกแห่งมีมาตรฐานเท่าเทียม
  3. สนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับเด็กขาดแคลน
  4. ยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากล
  5. ปรับวิธีสอนให้ทันสมัย ดึงดูดนักเรียนมากขึ้น
  6. เพิ่มจำนวนครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เพียงพอ

มุมมองของผู้ประกอบการ เศรษฐกิจการศึกษายังไปต่อได้

ในแง่ของผู้ประกอบการ พบว่า

  • ร้อยละ 38.2% เชื่อว่าบรรยากาศช่วงเปิดเทอมปีนี้ “คึกคักกว่าปีที่แล้ว”
  • ร้อยละ 85% มีความเชื่อมั่นว่าระบบการศึกษาไทยจะสามารถยกระดับให้ทัดเทียมระดับนานาชาติได้ในอีก 10 ปี
  • อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการระบุอุปสรรคสำคัญต่อการปฏิรูปการศึกษา คือ
    1. ความเข้าใจผิดของสังคมเกี่ยวกับแนวทางการปฏิรูป
    2. การเปลี่ยนนโยบายทางการศึกษาบ่อยครั้งตามการเมือง

บทวิเคราะห์และข้อเสนอเชิงนโยบาย

ผลการสำรวจสะท้อนภาพรวมที่ซับซ้อนของสถานการณ์การศึกษาในไทย กล่าวคือ

  • เศรษฐกิจยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่ก็ยังมีผลกระทบกับกลุ่มเปราะบาง
  • ผู้ปกครองยังเห็นคุณค่าในการลงทุนด้านการศึกษา แม้ต้นทุนสูง
  • ระบบการศึกษาไทยต้องปฏิรูปอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างมาตรฐานเดียวกัน
  • การสนับสนุนจากรัฐ เช่น กยศ. ยังมีบทบาทสำคัญ และควรเพิ่มความยืดหยุ่นในการเข้าถึง
  • ผู้ประกอบการเชื่อในอนาคตของการศึกษาไทย แต่ต้องการความต่อเนื่องในนโยบาย

สถิติสำคัญจากการสำรวจ (มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, พฤษภาคม 2568)

รายการ

ตัวเลขสำคัญ

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเปิดเทอม

26,039 บาท

ค่าเทอมเฉลี่ย

21,142 บาท

เม็ดเงินสะพัดช่วงเปิดเทอม

62,614 ล้านบาท

ผู้ปกครองมองว่ามีผลกระทบจากเศรษฐกิจ

90%

ความสำคัญของ กยศ. (มองว่าสำคัญมาก)

50.1%

ความเชื่อมั่นระบบการศึกษาไทยพัฒนาได้ใน 10 ปี

85% ผู้ประกอบการ

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (สำรวจพฤษภาคม 2568)
  • กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) www.studentloan.or.th
  • สำนักงานสถิติแห่งชาติ
  • สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
  • โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม จังหวัดเชียงราย
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI NEWS UPDATE

โพลชี้! คนไทยเอือมโกงเลือกตั้งท้องถิ่นหวังโปร่งใส

ผลสำรวจเลือกตั้งเทศบาลสะท้อนปัญหาทุจริต ประชาชนต้องการผู้นำโปร่งใส

ผลสำรวจล่าสุดจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

ประเทศไทย,2 พฤษภาคม 2568 – มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เปิดผลสำรวจการเลือกตั้งระดับเทศบาล วันที่ 2 พฤษภาคม 2568 โดยสำรวจประชาชน 1,020 คน ทั่วประเทศ ช่วงวันที่ 16-25 เมษายน 2568 กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 711 คน เยาวชนอายุ 15 ปี จำนวน 309 คน

ประชาชนย้ำชัด “ไม่เลือกคนโกง”

จากผลสำรวจ ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการคอร์รัปชันคือปัญหาใหญ่ ต้องการผู้นำที่โปร่งใส ผลสำรวจระบุชัดเจน หากรู้ว่าผู้สมัครทุจริตหรือมีประวัติไม่ดี ประชาชนจะปฏิเสธทันที แม้ในอดีตมีการซื้อเสียงอย่างหนัก พบการซื้อเสียงขั้นต่ำ 1,100 บาท สูงสุดถึง 2,000 บาทต่อคนในบางพื้นที่

เยาวชนไทยเน้นความโปร่งใสเป็นอันดับหนึ่ง

เยาวชนอายุ 15-17 ปี ยังไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสมากที่สุด กลุ่มนี้ถือเป็นความหวังสำคัญของการเมืองไทยในอนาคต ขณะที่ประชาชนวัยผู้ใหญ่ยังมองความโปร่งใสเป็นเรื่องรอง

ทุจริตท้องถิ่นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชาติ

ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ชี้ว่า ปัญหาคอร์รัปชันในระดับท้องถิ่น ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างมาก ดัชนีการคอร์รัปชันของไทย (CPI) อยู่ที่อันดับ 108 ได้คะแนนเพียง 34 คะแนนเท่านั้น ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไทยไม่เคยทำได้เกิน 40 คะแนนเลย ต่างจากเวียดนามที่คะแนนสูงกว่าอย่างชัดเจน

ประชาชนต้องการร่วมตรวจสอบการทุจริต

นายวิเชียร พงศธร ประธานมูลนิธิเพื่อคนไทย ระบุชัดจากผลสำรวจ ประชาชนไม่ยอมรับการโกง แม้จะมีการซื้อเสียงอยู่ แต่ประชาชนยืนยันว่าจะไม่เลือกคนโกง ส่วนใหญ่แสดงความไม่พอใจต่อการบริหารของผู้นำท้องถิ่นที่ผ่านมา มีประชาชนพอใจผลงานเพียง 10% เท่านั้น

เม็ดเงินสะพัดในการซื้อเสียงสูงถึง 4 หมื่นล้านบาท

ดร.ธนวรรธน์ ระบุว่า เม็ดเงินที่หมุนเวียนในการเลือกตั้งเทศบาลอยู่ที่ประมาณ 2-4 หมื่นล้านบาท เทียบได้กับการเลือกตั้ง อบจ. และใกล้เคียงกับระดับประเทศที่ 3-5 หมื่นล้านบาท หากสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลงหลังเดือนพฤษภาคม เงินสะพัดอาจสูงขึ้นอีก

ท้องถิ่นเข้มข้นขึ้นกับการต่อต้านคอร์รัปชัน

ดร.มานะ นิมิตรมงคล ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน เผยว่า ประชาชนต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่จริง การเลือกตั้งครั้งนี้สำคัญมาก หากประชาชนปฏิเสธเงินซื้อเสียง และตัดสินใจเลือกผู้นำด้วยความโปร่งใส การเมืองระดับท้องถิ่นจะมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างแน่นอน

กกต. ถูกตั้งคำถามกับบทบาทจับทุจริต

การดำเนินคดีจากการซื้อเสียงที่ผ่านมา มีการจับกุมน้อยมาก หน่วยงาน กกต. ไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้มากนัก ประชาชนจึงต้องการให้ กกต. ทำงานเชิงรุกมากขึ้น พร้อมกระตุ้นให้ประชาชนช่วยเฝ้าระวังผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เพื่อเป็นหลักฐานในการจัดการกับปัญหานี้

แนวทางอนาคตของประชาธิปไตยไทย

ผู้ร่วมแถลงข่าวเห็นร่วมกันว่า คนรุ่นใหม่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของประชาธิปไตยไทย เยาวชนอายุ 15-17 ปี จะเป็นกลุ่มที่นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ระบบการเมือง แม้ผลลัพธ์อาจไม่ทันใจ แต่พัฒนาการด้านประชาธิปไตยไทยจะดีขึ้นแน่นอน

ข้อเสนอแนะสำคัญจากผลสำรวจ

ประชาชนเสนอให้ กกต. ปรับปรุงกระบวนการคัดกรองผู้สมัครให้เข้มงวดขึ้น และมีมาตรการติดตามตรวจสอบที่โปร่งใสมากขึ้น เพื่อให้ได้ผู้นำท้องถิ่นที่ดีในอนาคต ประชาชนส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในการไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แม้บางพื้นที่จะไม่มีตัวเลือกที่ถูกใจ แต่ประชาชนยังพร้อมออกไปเลือก “โนโหวต” แทนที่จะสนับสนุนคนโกง

สรุปทิศทางการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น

ผลสำรวจครั้งนี้สะท้อนชัดว่าประชาชนไทยต้องการเปลี่ยนแปลงจริงจังในระดับท้องถิ่น มองการทุจริตเป็นปัญหาสำคัญที่สุด หากแก้ไขปัญหานี้ได้ เศรษฐกิจและการเมืองไทยจะมั่นคงและโปร่งใสมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : 

  • ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

  • องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)

  • Transparency International (Corruption Perception Index – CPI 2024)

  • สถิติการซื้อเสียงจาก กกต. และ ACT Ai (องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน)

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI FEATURED NEWS

อวดเมือง 68 “เชียงราย” เจ๋ง ลุ้น ‘เทศกาลชากาแฟ’ ระดับโลก

โครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching ครั้งที่ 1 จังหวัดเชียงรายคว้าตำแหน่ง 1 ใน 12 จังหวัดสุดท้ายด้วย Chiang Rai BREW Festival

เชียงราย, 2 พฤษภาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์รายงานว่า โครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching ครั้งที่ 1 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 เมษายน 2568 ณ ห้อง Event Lab ชั้น 7 อาคาร 23 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ปิดฉากลงด้วยความสำเร็จ โดยจังหวัดเชียงรายสามารถคว้าตำแหน่ง 1 ใน 12 จังหวัดสุดท้ายจาก 51 จังหวัดทั่วประเทศ ด้วยการนำเสนอ Chiang Rai BREW Festival เทศกาลชากาแฟที่สะท้อนอัตลักษณ์ท้องถิ่นและศักยภาพทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ พร้อมผลักดันเชียงรายให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทย

โครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching เป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้แต่ละจังหวัดนำเสนอแนวคิดเทศกาลที่ตอบโจทย์แนวคิด “น่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย ซึ่งมุ่งเน้นการใช้จุดแข็งทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรในพื้นที่เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล

ความท้าทายของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย

ประเทศไทยได้รับการยอมรับในฐานะหนึ่งในจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ธรรมชาติที่สวยงาม และการต้อนรับที่อบอุ่นเป็นเอกลักษณ์ จังหวัดเชียงราย ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศไทย เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงเกษตร ด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เช่น วัดร่องขุ่น ดอยช้าง ดอยแม่สลอง และชุมชนชาติพันธุ์ที่หลากหลาย นอกจากนี้ เชียงรายยังเป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟที่มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะกาแฟจากดอยช้างและชาอัสสัมจากดอยแม่สลอง ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล

อย่างไรก็ตาม ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของราคาค่าบริการที่พักและการเดินทาง ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าสมัย และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่มีความหมายและยั่งยืนมากขึ้น ปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความสามารถในการแข่งขันของแหล่งท่องเที่ยวในหลายจังหวัด รวมถึงเชียงราย ซึ่งเผชิญกับปัญหาการลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักที่มีกำลังซื้อสูง ความท้าทายเหล่านี้ทำให้หน่วยงานภาครัฐและเอกชนในเชียงรายต้องร่วมมือกันเพื่อหาแนวทางฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและสร้างจุดเด่นที่ยั่งยืนสำหรับจังหวัด

เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายดังกล่าว รัฐบาลไทยได้ริเริ่มโครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่มุ่งส่งเสริมการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นและวัฒนธรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้แต่ละจังหวัดพัฒนาเทศกาลที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน Chiang Rai BREW Festival” เทศกาลชากาแฟที่สะท้อนอัตลักษณ์และศักยภาพทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของจังหวัดไปนำเสนอใน โครงการ “อวดเมือง 2568”

โดย การแข่งนำเสนอผลงานของจังหวัด Pitching ครั้งที่ 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 เมษายน 2568 ณ ห้อง Event Lab ชั้น 7 อาคาร 23 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยมีตัวแทนจาก 51 จังหวัดทั่วประเทศเข้าร่วมนำเสนอแนวคิดเทศกาลที่สอดคล้องกับแนวคิด “น่าอยู่ น่าเที่ยว น่าลงทุน” การนำเสนอในครั้งนี้แบ่งออกเป็นสองวัน โดยวันที่ 29 เมษายน มีตัวแทนจาก 20 จังหวัด และวันที่ 30 เมษายน มีตัวแทนจาก 21 จังหวัด แต่ละจังหวัดมีเวลา 15 นาทีในการนำเสนอสไลด์ 15 หน้า พร้อมตอบคำถามจากคณะกรรมการอีก 5 นาที

จาก 51 จังหวัดที่เข้าร่วม มีเพียง 12 จังหวัดที่ได้รับคัดเลือกให้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย และจังหวัดเชียงรายสามารถคว้าตำแหน่งนี้ด้วยการนำเสนอ Chiang Rai BREW Festival เทศกาลชากาแฟที่ไม่เพียงสะท้อนอัตลักษณ์ของจังหวัด แต่ยังบูรณาการทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้ประกอบการ ไปจนถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างเทศกาลที่ยั่งยืนและมีศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ Chiang Rai BREW Festival มีรากฐานจากวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยแนวคิด “องค์ความรู้ด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ จากความฝันพญามังราย สู่แรงบันดาลใจแม่ฟ้าหลวง” เทศกาลนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานต้นกาแฟต้นแรกให้แก่ชนเผ่าบนพื้นที่สูง ณ ดอยช้าง เพื่อทดแทนการปลูกพืชเสพติด และพัฒนาให้เป็นพืชเศรษฐกิจควบคู่กับชาอัสสัมของล้านนา

เทศกาลนี้ต่อยอดจากความสำเร็จของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง และโครงการพัฒนาดอยตุงฯ ที่ส่งเสริมเกษตรกรในการคัดเลือกและพัฒนาสายพันธุ์ชากาแฟ รวมถึงการสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงที่นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาฯยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ทัดเทียมมาตรฐานสากล Chiang Rai BREW Festival จึงไม่ใช่เพียงงานอีเวนต์ชั่วคราว แต่เป็นเทศกาลที่ครอบคลุมทั้งปี โดยแบ่งออกเป็นช่วงต่างๆ ตามฤดูกาล ดังนี้

  • ฤดูร้อน (มีนาคม-พฤษภาคม)  เน้นการแข่งขันบาริสต้า เวิร์กช็อปการชงกาแฟ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์
  • ฤดูฝน (มิถุนายน-กันยายน)  เน้นการจับคู่ธุรกิจ (business matching) และการจัดงานสัมมนานานาชาติ เช่น International Symposium เพื่อดึงดูดนักลงทุนและผู้ประกอบการ
  • ฤดูหนาว (ตุลาคม-กุมภาพันธ์) เน้นการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เช่น ทัวร์ไร่ชากาแฟ การเก็บเกี่ยว และการเรียนรู้กระบวนการแปรรูป

การดำเนินงานของเทศกาลได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในจังหวัดเชียงราย ได้แก่ สำนักงานจังหวัดเชียงราย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กลุ่ม กกร. จังหวัดเชียงราย กลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) บริษัทเชียงรายพัฒนาเมือง (CRCD) จำกัด มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง โครงการพัฒนาดอยตุง กลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiangrai Coffee Lovers – CCL) และสิงห์ปาร์ค ความร่วมมือนี้ทำให้ Chiang Rai BREW Festival มีศักยภาพในการยกระดับเชียงรายให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศไทย

การนำเสนอและความท้าทาย

จากการสัมภาษณ์ นางสาวนฤมล นิลมานนท์ รองประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) และกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงราย เธอเล่าถึงกระบวนการเตรียมตัวสำหรับการนำเสนอในโครงการนี้ว่า เริ่มจากการประชุมเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2568 ซึ่งเรียกทุกภาคส่วนในจังหวัด ทั้งภาครัฐและเอกชน มาร่วมหารือเพื่อกำหนดแนวคิดเทศกาลที่เหมาะสม ซึ่งภาคเอกชน รวมถึง YEC และ CRCD จึงเสนอให้ใช้ชากาแฟ ซึ่งเป็นจุดแข็งของเชียงราย มาเป็นหัวใจของเทศกาล” การตัดสินใจเลือก Chiang Rai BREW Festival มาจากการวิเคราะห์จุดแข็งของจังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งปลูกชาและกาแฟที่มีชื่อเสียงในระดับโลก โดยเฉพาะกาแฟจากดอยช้างและชาอัสสัมจากดอยแม่สลอง ที่ได้รับรางวัลและการยอมรับในระดับสากล

ไม่ได้ต้องการจัดงานอีเวนต์เพียง 5-10 วัน

นายพงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiangrai Coffee Lovers – CCL) กล่าวเสริมว่า ความสำเร็จของเทศกาลนี้มาจากการ “เชื่อมโยง” ทุกภาคส่วน ตั้งแต่เกษตรกร ผู้แปรรูป บาริสต้า ไปจนถึงผู้บริโภค “เราไม่ได้ต้องการจัดงานอีเวนต์เพียง 5-10 วัน แต่เราต้องการสร้างเทศกาลที่ยั่งยืนตลอดทั้งปี โดยใช้ชากาแฟเป็นสื่อกลางในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุน” เขายังเน้นย้ำว่า เทศกาลนี้จะไม่เพียงมุ่งเน้นการบริโภคชากาแฟ แต่ยังรวมถึงการท่องเที่ยวเชิงเกษตร การจับคู่ธุรกิจ และการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมชากาแฟ

อย่างไรก็ตาม การเลือกชากาแฟเป็นหัวใจของเทศกาลก็เผชิญกับความท้าทาย เนื่องจากจังหวัดอื่น เช่น น่าน หรือเชียงใหม่ ก็มีจุดแข็งด้านกาแฟเช่นกัน นายพงศกร อธิบายว่า “เชียงรายมีความหลากหลายทั้งในแง่ของกาแฟพิเศษ (specialty coffee) และกาแฟคุณภาพทั่วไป รวมถึงชาที่มีชื่อเสียงในระดับสากล จุดแข็งของเราคือความสมดุลและความหลากหลายของแหล่งปลูก ซึ่งทำให้เราสามารถนำเสนอเทศกาลที่ครอบคลุมทุกมิติของชากาแฟ”

นอกจากนี้ การพัฒนาเทศกาลนี้ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในด้านการจัดการภาพลักษณ์ของเชียงราย โดยเฉพาะปัญหาการแพร่กระจายของกัญชาในแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว นางสาวนฤมล กล่าวว่า “เราตระหนักถึงปัญหานี้ และกำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไข โดยการพัฒนา Chiang Rai BREW Festival จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับเชียงรายในฐานะเมืองแห่งการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและวัฒนธรรมที่ยั่งยืน”

ผลลัพธ์และก้าวต่อไป

ผลการประกาศเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2568 ยืนยันว่าเชียงรายเป็น 1 ใน 12 จังหวัดที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายของโครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching จากนี้ไป 12 จังหวัดที่ได้รับคัดเลือกจะเข้าร่วมเวิร์กช็อปกับเมนเทอร์ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 เพื่อพัฒนาแผนธุรกิจให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ก่อนนำเสนอในรอบสุดท้ายระหว่างวันที่ 8-11 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งจะมีการจัดบูธเพื่อแสดงศักยภาพของแต่ละจังหวัด

ในรอบนี้ จะมีการคัดเลือก 3 จังหวัดที่โดดเด่นที่สุดเพื่อไปศึกษาดูงานที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 และจาก 3 จังหวัดนี้ จะมีการคัดเลือก 2 จังหวัดที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนเพื่อจัดเทศกาลอย่างเป็นทางการในปี 2568 นางสาวนฤมล กล่าวว่า “เป้าหมายของเราคือการคว้างบประมาณเพื่อพัฒนา Chiang Rai BREW Festival ให้เป็นเทศกาลระดับชาติ แต่แม้ว่าเราจะไม่ได้รับงบประมาณ การที่เราได้สร้างการรับรู้และแสดงศักยภาพของเชียงรายในเวทีนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว”

นายพงศกร กล่าวเพิ่มเติมว่า “หากเราคว้างบประมาณได้ เราวางแผนที่จะเริ่ม Chiang Rai BREW Festival ในปี 2568 โดยใช้โครงสร้างที่มีอยู่แล้ว เช่น ไร่ชากาแฟ ศูนย์การเรียนรู้ และเครือข่ายผู้ประกอบการ เพื่อขมวดให้เป็นเทศกาลที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน” เขายังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการหลีกเลี่ยงโครงสร้างที่ซับซ้อน เช่น การจัดตั้งสมาคมหรือชมรม ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการเมืองภายใน “เราต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วมโดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาระภาษีหรือการบริหารจัดการที่ยุ่งยาก”

ความท้าทายและโอกาส

การเข้ารอบ 12 จังหวัดสุดท้ายของเชียงรายในโครงการ “อวดเมือง 2568” The Pitching สะท้อนถึงศักยภาพและความมุ่งมั่นของจังหวัดในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม โครงการนี้ยังเผชิญกับความท้าทายและโอกาสดังต่อไปนี้:

มิติด้านเศรษฐกิจ

Chiang Rai BREW Festival มีศักยภาพในการสร้างรายได้จากทั้งการท่องเที่ยวและการส่งออกชากาแฟ โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับกาแฟพิเศษและชาคุณภาพสูง การจับคู่ธุรกิจระหว่างเกษตรกรและนักลงทุนต่างชาติจะช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตและสร้างโอกาสให้กับชุมชนท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การแข่งขันกับจังหวัดอื่นที่มีจุดแข็งด้านกาแฟ เช่น น่าน หรือเชียงใหม่ อาจเป็นอุปสรรคที่ต้องใช้ความหลากหลายและนวัตกรรมในการเอาชนะ

มิติด้านวัฒนธรรมและซอฟต์พาวเวอร์

การใช้ชากาแฟเป็นสื่อกลางในการนำเสนอซอฟต์พาวเวอร์ของเชียงรายเป็นแนวคิดที่แปลกใหม่และมีรากฐานจากวิถีชีวิตของชุมชนชาติพันธุ์และเกษตรกร การเชื่อมโยงเทศกาลนี้กับพระราชปณิธานของในหลวงรัชกาลที่ 9 และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม การตีความชากาแฟให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์อาจต้องเผชิญกับความท้าทายในบริบทที่นักท่องเที่ยวทั่วไปยังมองว่าซอฟต์พาวเวอร์ของไทยคือศิลปวัฒนธรรมหรือการท่องเที่ยวแบบดั้งเดิม

มิติด้านการท่องเที่ยว

เทศกาลนี้ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่มองหาประสบการณ์เชิงเกษตรและเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวไร่ชากาแฟและเวิร์กช็อปบาริสต้าจะช่วยดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายในปัจจุบัน เช่น ปัญหาการแพร่กระจายของกัญชาในแหล่งท่องเที่ยว หรือราคาค่าบริการที่สูงขึ้น อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเชียงราย ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขควบคู่ไปกับการพัฒนาเทศกาล

โอกาสในการพัฒนา

การที่เชียงรายได้รับเลือกเป็น 1 ใน 12 จังหวัดเป็นโอกาสในการสร้างการรับรู้ในระดับชาติและนานาชาติ การเข้าร่วมงานที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์และการศึกษาดูงานที่โอซาก้าจะช่วยให้ทีมงานได้เรียนรู้แนวปฏิบัติที่ดีจากเมืองอื่นๆ และนำมาปรับใช้กับเทศกาลของเชียงราย นอกจากนี้ การสนับสนุนจากภาคเอกชนและหน่วยงานท้องถิ่นจะเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเทศกาลให้ประสบความสำเร็จ

ทัศนคติเป็นกลางต่อความเห็นทั้งสองฝั่ง

ผู้สนับสนุนเทศกาลชากาแฟ
กลุ่มที่สนับสนุน Chiang Rai BREW Festival รวมถึงภาคเอกชน YEC และ CCL มองว่าเทศกาลนี้เป็นโอกาสในการยกระดับเศรษฐกิจของเชียงราย โดยใช้จุดแข็งด้านชากาแฟที่มีรากฐานจากวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น ความหลากหลายของแหล่งปลูกและการบูรณาการทุกภาคส่วนทำให้เทศกาลนี้มีศักยภาพในการสร้างผลกระทบในระยะยาว

ทัศนคติการเลือก Chiang Rai BREW Festival เป็นแนวคิดที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์สามารถบูรณาการการเกษตร การท่องเที่ยว และนวัตกรรมได้อย่างลงตัว อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเทศกาลนี้จะต้องเผชิญกับความท้าทายในการแข่งขันกับจังหวัดอื่นและการจัดการภาพลักษณ์ของแหล่งท่องเที่ยว การสนับสนุนจากทุกภาคส่วนและการเรียนรู้จากเวทีนานาชาติจะเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้เทศกาลนี้ประสบความสำเร็จ

สถิติที่เกี่ยวข้อง

  1. จำนวนนักท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย ในปี 2567 จังหวัดเชียงรายมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติรวม 2.5 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 20,000 ล้านบาท
    ที่มา: สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดเชียงราย, รายงานประจำปี 2567
  2. มูลค่าตลาดกาแฟและชาในประเทศไทย ตลาดกาแฟในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาทต่อปี โดยกาแฟพิเศษ (specialty coffee) มีสัดส่วนการเติบโต 10% ต่อปี ส่วนตลาดชามีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท
    ที่มา: สมาคมกาแฟและชาไทย, รายงานประจำปี 2567
  3. การส่งออกกาแฟและชา ในปี 2567 ประเทศไทยส่งออกกาแฟมูลค่า 5,000 ล้านบาท และชามูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยจังหวัดเชียงรายเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตหลัก
    ที่มา: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, รายงานการส่งออก 2567
  4. ผลกระทบของซอฟต์พาวเวอร์ต่อการท่องเที่ยว การสำรวจของ World Travel & Tourism Council (WTTC) ในปี 2567 พบว่า 70% ของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและความยั่งยืน
    ที่มา: WTTC Global Tourism Report, 2567
  5. การลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติในเชียงราย จากการสำรวจของสำนักข่าวนครเชียงรายนิวส์ในเดือนเมษายน 2568 พบว่า 88% ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าการแพร่กระจายของกัญชาในแหล่งท่องเที่ยวเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง

เครดิตภาพและข้อมูลจาก :

  • ทีมข่าวนครเชียงรายนิวส์
  • THACCA-Thailand Creative Culture Agency
  • TCEB Domestic MICE
  • นางสาวนฤมล นิลมานนท์ รองประธานกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ หอการค้าจังหวัดเชียงราย (YEC) และกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงราย
  •  พงศกร อารีศิริไพศาล ประธานกลุ่มคนรักกาแฟเชียงราย (Chiangrai Coffee Lovers – CCL) 
 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

ลอยกระทงปีนี้คึกคัก เงินสะพัดทั่วประเทศ

ชาวไทยยังคงนิยมประเพณีลอยกระทง แม้ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยสูงขึ้น

เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2567 ผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วงเทศกาลลอยกระทงประจำปี 2567 ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยให้เห็นว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับประเพณีลอยกระทง โดยมีถึง 50.7% ที่วางแผนจะร่วมกิจกรรมนี้ และอีกส่วนหนึ่งเลือกที่จะทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ทานอาหารนอกบ้าน หรือเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ

กระทงย่อยสลายง่ายมาแรง เงินสะพัดกว่าหมื่นล้าน

ที่น่าสนใจคือ พฤติกรรมการเลือกซื้อกระทงของผู้บริโภคในปีนี้ให้ความสำคัญกับกระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติและย่อยสลายง่ายเป็นอันดับหนึ่ง สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังคำนึงถึงความสวยงาม ราคา และความสะดวกในการหาซื้ออีกด้วย

ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้น แต่คนยังคงออกมาใช้จ่าย

แม้ว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวในการเฉลิมฉลองวันลอยกระทงในปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2,449.18 บาท เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวอยู่ที่ 2,075.58 บาท แต่ก็ยังมีมูลค่าการใช้จ่ายรวมสูงถึง 10,355.18 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 9 ปี สะท้อนให้เห็นว่าแม้จะมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่คนไทยก็ยังคงออกมาใช้จ่ายในช่วงเทศกาลนี้

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้จ่าย

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้จ่ายในช่วงเทศกาลลอยกระทง ได้แก่

  • ความต้องการที่จะสืบสานประเพณี: ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทย
  • การผ่อนคลายความเครียด: การออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านและร่วมงานเทศกาล เป็นการช่วยให้ผู้คนได้ผ่อนคลายจากความเครียดในชีวิตประจำวัน
  • การใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนฝูง: การลอยกระทงเป็นโอกาสที่ดีในการใช้เวลากับคนที่รัก
  • การส่งเสริมเศรษฐกิจ: การใช้จ่ายในช่วงเทศกาลช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ

แนวโน้มการใช้จ่าย

จากผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคยังคงนิยมใช้เงินสดในการชำระค่าใช้จ่าย แต่ก็มีการใช้ช่องทางการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น เช่น Mobile Banking, QR Payment, บัตรเดบิต และบัตรเครดิต ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน

สรุป

เทศกาลลอยกระทงปี 2567 ยังคงเป็นที่นิยมของคนไทย แม้ว่าจะมีความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจ แต่ผู้คนก็ยังคงออกมาใช้จ่ายและร่วมกิจกรรมต่างๆ อย่างคึกคัก โดยมีแนวโน้มที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
ECONOMY

สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนรอบใหม่ ทั้งเสี่ยงและโอกาสสำหรับไทย-อาเซียน

 
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2567 รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์ ผลกระทบของสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา และจีนรอบใหม่หลังรัฐบาลโจ ไบเดน ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 25-100% ว่า สงครามการค้ารอบใหม่เป็นทั้งความเสี่ยงและโอกาสต่อไทยและภูมิภาคอาเซียน บางธุรกิจอุตสาหกรรมอาจกระทบรุนแรงถึงขั้นปิดกิจการได้หรือบางธุรกิจอุตสาหกรรมจะเข้าสู่การหดตัวและขาลงอย่างชัดเจน อีกด้านเกิดโอกาสต่อไทยและภูมิภาคอาเซียนในการเปิดรับการลงทุนย้ายฐานการผลิตเลี่ยงภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา พลวัตของผลกระทบทั้งลบและบวกยังไม่ชัดเจน ต้องรอดูว่า จีนจะมีมาตรการตอบโต้ทางเศรษฐกิจและการค้าอย่างไร

 

ที่ผ่านมา ประเทศจีนใช้วิธีการอุดหนุนเพื่อให้ภาคการผลิตมีต้นทุนต่ำและบริหารจัดการค่าเงินหยวนให้อ่อนค่ากว่าปัจจัยพื้นฐานมากๆเพื่อสนับสนุนการส่งออกและดึงให้เศรษฐกิจภายในพ้นจากภาวะเงินฝืดและดูดซับการลงทุนและกำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมาก อีกความเคลื่อนไหวหนึ่งที่ต้องประเมิน จะเกิดการตอบโต้ด้วยการขึ้นกำแพงภาษีหรือการใช้มาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) เพิ่มเติมระหว่างจีนกับอียู และ อียูกับสหรัฐอเมริกา หรือไม่ หากเกิดภาวะดังกล่าวเพิ่มเติมเข้ามาอีก จะทำให้ระบบการค้าเสรีของโลกภายใต้กรอบข้อตกลงขององค์การการค้าโลกและทุนนิยมโลกาภิวัตน์เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมมากยิ่งขึ้น

 

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวต่อว่า การปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 25-100% ของสหรัฐอเมริกานั้นจะเกิดขึ้นใน 3 เดือนข้างหน้า หากพิจารณารายการสินค้าที่ถูกตั้งกำแพงภาษีแล้วจะเห็นได้ไม่ถึง 6% ของรายการนำเข้าสินค้าทั้งหมดที่สหรัฐฯนำเข้าจากจีน การขึ้นกำแพงภาษีจึงไม่มีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ แต่การปรับเพิ่มภาษีนี้มุ่งเป้าไปยังอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ของจีน เป็นการดำเนินการมาตรกีดกันการค้าที่แตกต่างจากสมัยรัฐบาลโดนัล ทรัมป์ มีผลกระทบเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ใหม่ของจีน ไม่ใช่ผลกระทบวงกว้างโดยทั่วไป เป็นการดำเนินการมาตรการกีดกันการค้าอย่างมีกลยุทธ เป็น Strategic Trade Policy อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมและสินค้าที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ ได้แก่ สินค้าที่อัตราการเก็บภาษีสูงและสัดส่วนการนำเข้าจากจีนสูง สินค้าที่เป็นปัจจัยพื้นฐานของการผลิตในอุตสาหกรรมหลากหลาย อย่างสินค้า Lithium-ion batteries สหรัฐฯนำเข้าจากจีนสูงถึง 70% ของนำเข้าทั้งหมดสินค้าประเภทนี้ของสหรัฐฯ มีการขึ้นอัตราภาษีจาก 10.9% เป็น 28.4% Personal Protective Equipment (PPE) สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนมากถึง 67% ของมูลค่านำเข้าทั้งหมด ชิ้นส่วนแบตเตอร์รี่ สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนมากถึง 24-25% มีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจาก 0-7.9% เป็น 25-33%

 

การตั้งกำแพงภาษีสินค้าเหล่านี้จะทำให้มีการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นทดแทน การที่ไทยและอาเซียนจะได้ประโยชน์จากการนำเข้าทดแทนหรือไม่อยู่ที่สินค้าของเรามีคุณภาพ ราคาเหมาะสมหรือแข่งขันได้หรือไม่ในตลาดสหรัฐและตลาดโลก แต่ในอีกด้านหนึ่ง สินค้าเหล่านี้จะถูกทุ่มตลาดกดราคาให้ต่ำมากอาจกระทบต่อภาคผลิตไทยที่แข่งขันไม่ได้ ส่วนรถยนต์อีวีที่มีการขึ้นอัตราภาษีสูงอย่างมากจาก 27% เป็น 102.5% นั้นจะไม่ส่งผลอย่างมีนัยยสำคัญต่อตลาดและอุตสหกรรมการผลิต EV ในไทยและอาเซียนมากนัก เพราะสหรัฐฯนำเข้าจากจีนประมาณ 2% การขึ้นภาษีนำเข้าในส่วนนี้จึงไม่ส่งกระทบต่อเนื่องมายังไทยและอาเซียนอย่างมีนัยยสำคัญแต่อย่างใด แต่จะทำให้รถยนตร์ EV ที่ส่งออกไปจากจีนไม่สามารถขายได้เพราะโดนเก็บภาษีมากกว่า 100% ถือเป็นการเก็บภาษีที่มีลักษณะเป็นการลงโทษ (Punitive Tarriff) และขายในตลาดสหรัฐฯ (Prohibitive Tarriff) ไม่ได้

 

การปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าบางตัวจากจีน จะทำให้สหรัฐอเมริกาหันมาใช้จากการผลิตในประเทศมากขึ้น นำเข้าจาก เกาหลีใต้ ญี่ปุ่นและอาเซียนมากขึ้น อีกด้านหนึ่ง ผู้ประกอบการในการผลิตสินค้าบางประเภทอาจย้ายฐานผลิตมายังไทยและอาเซียนมากขึ้น ทว่าอาจหนีไม่พ้นผลกระทบจากสงครามการค้าเพราะอาจต้องเผชิญกับมาตรการ Anti-Circumvention (มาตรการตอบโต้การค้าไม่เป็นธรรมเพิ่มเติม) เหมือนธุรกิจ ผลิตหรือส่งออก Solar Cells จากไทยหรืออาเซียนเจอตอบโต้ผ่านมาตรการ Anti-Circumvention เนื่องจากมีการย้ายมาผลิต หรือประกอบบางส่วน หรือ ดัดแปลงบางส่วน หรือ ส่งออกผ่านประเทศตัวกลางเพื่อเลี่ยงภาษี

 

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวต่อว่า อุตสาหกรรมรถ EV อุตสาหกรรมก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ในไทยอาจได้รับผลทางบวกจากการปรับขึ้นอัตราภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมมากกว่า เพราะอุตสหกรรมรถ EV อุตสาหกรรมก่อสร้าง จะมีต้นทุนเหล็กถูกลงจากการทุ่มตลาดของจีนมายังไทยและอาเซียน ในอีกด้านหนึ่งสถานการณ์อุตสาหกรรมผลิตเหล็กของไทยซึ่งวิกฤติอยู่แล้ว จะทรุดหนักกว่าเดิม หลายแห่งอาจต้องปิดกิจการไปทำอย่างอื่นแทน ส่วนอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมของไทยได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เมื่อปีที่แล้ว ไทยมีการนำเข้าเหล็กจากจีนเพิ่มขึ้น 22-23% ประมาณ 3.49 ล้านตัน ผู้ประกอบการเหล็กในประเทศไม่สามารถแข่งขันสินค้าเหล็กจากจีนได้เลย การใช้มาตรการปกป้องอุตสาหกรรมภายในโดยห้ามตั้งโรงงานเหล็กเพิ่มจึงไม่ใช่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

 

แต่ควรทำอย่างไรที่จะสามารถยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเหล็กภายในให้ดีขึ้นด้วยการลดต้นทุนการผลิตและการพัฒนาคุณภาพสินค้า การทุ่มตลาดของจีนจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องรุนแรงเพราะจีนมีกำลังการผลิตส่วนเกินจำนวนมาก เศรษฐกิจชะลอและจะเจอผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่ ไทยควรมีมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในหรือไม่ รัฐบาลและภาคเอกชนควรหารือเพื่อจะได้กำหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อประโยชน์โดยรวมของเศรษฐกิจไทย

 

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้วิเคราะห์ ผลของการใช้มาตรา 301 ในการตั้งกำแพงภาษีและสงครามรอบใหม่ ว่า เบื้องหลังของการใช้มาตรา 301 Special 301 Super 301 คือ มาตรการตอบโต้กับประเทศที่สหรัฐอเมริกามองว่าทำการค้าอย่างไม่เป็นธรรม (Unfair Trade Practices) อย่างกรณีของจีน สหรัฐอเมริกามองว่า จีนใช้นโยบายเงินหยวนอ่อนค่าและการอุดหนุนการผลิตเพื่อสามารถทุ่มตลาดได้ เอาเปรียบผู้ประกอบการในสหรัฐอเมริกา

 

นอกจากนี้ยัง ต้องการให้ต่างประเทศเปิดตลาดของตนให้แก่สินค้าส่งออกของสหรัฐฯ (Opening foreign market) ต้องการให้ต่างประเทศยินยอมให้สิทธิประโยชน์ทางการค้าต่อสหรัฐฯ โดยที่สหรัฐฯไม่ต้องให้สิทธิประโยชน์อะไรเป็นการตอบแทน (Unrequited concessions) โดยสหรัฐฯมองว่า ประเทศตัวเองได้ให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร หรือ GSP ให้กับประเทศต่างๆมามากพอแล้ว เมื่อหลายประเทศมีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นแล้ว ก็ควรมีการค้าที่มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม

 

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ กล่าวอีกว่า ศาสตราจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ดร. จักดิช ภควาตี (Jagdish Bhagwati) ประเมินว่า Super 301 คือ มาตรการพลการในเชิงรุก (Aggressive Unilateralism) และ สหรัฐอเมริการู้สึกถึงการค้าอย่างไม่เป็นธรรมของประเทศอุตสาหกรรมใหม่และประเทศจีน ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตและแรงงานในสหรัฐอเมริกาได้รับผลกระทบ และไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก

 

การที่รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้ตามวาระสี่ปีและความมีเสถียรภาพทางการเมืองทำให้ “ไทย” รับมือผลกระทบสงครามการค้าจีนและตะวันตกได้ดีขึ้น การดำเนินนโยบายต่างๆจะมีความต่อเนื่อง ไม่เปลี่ยนกลับไปกลับมา การผลักดันให้ประเทศเป็นศูนย์กลาง 8 ด้านตามนโยบาย IGNITE THAILAND ในบางด้านอาจทำได้ง่ายขึ้นเร็วขึ้นหากเราเตรียมพร้อมรับมือต่อความท้าทายจากผลกระทบสงครามการค้ารอบใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบางด้านอาจจะเผชิญอุปสรรคมากขึ้น การประเมินสถานการณ์นโยบายปกป้องทางการค้าแนวใหม่ให้ดีและมีนโยบายภายในที่เหมาะสม จะทำให้อุตสาหกรรมเป้าหมายเดินหน้าต่อไปได้

 

บางอุตสาหกรรมต้องมีการลงทุนในทักษะแรงงานอย่างจริงจัง ยกเครื่องระบบการศึกษา มีการลงทุนทางด้านการวิจัยแปรรูปสร้างมูลค่า ลงทุนและพัฒนานวัตกรรมอย่างเป็นระบบ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตามเป้าหมาย ลำดับความสำคัญในการลงทุนตามความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบและความสามารถในการแข่งขัน พร้อมมีแผนดำเนินการอย่างชัดเจน ความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบายจากเสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยชี้ขาดความสำเร็จ

 

แม้นนโยบายการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย (Target Industries) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นศูนย์กลางทางด้านต่างๆ ในระดับภูมิภาคจะเคยเป็นโมเดลการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว ในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน จีน และสิงคโปร์ ประเทศเหล่านี้ล้วนใช้กลยุทธลอกเลียน พัฒนาต่อยอดและดัดแปลงในภาวะที่การบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาไม่เข้มงวด

 

แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ความสำเร็จจะยากกว่าหลายเท่าตัว โดยเฉพาะในยุคที่สหรัฐอเมริกาอาจหยิบเอา มาตรา 301 Special มาใช้เพื่อปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อไหร่ก็ได้ หรือ อียูจะบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาเข้มงวดเพิ่มขึ้นได้ ประเด็นเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาจะถูกหยิบขึ้นมาใช้เป็นข้ออ้างในการใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับไทยเมื่อไหร่ก็ได้เช่นเดียวกัน

 
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News
Categories
AROUND CHIANG RAI SOCIETY & POLITICS

‘พิชญาพร’ จากโรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ คว้ารางวัลชนะเลิศ ประกวดวาดภาพระดับประเทศ

 

เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 เพจเฟซบุ๊กคณะศิลปะและการออกแบบดิจิทัล มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยด้โพสต์ข้อความระบุว่าคณะศิลปะและการออกแบบดิจิทัล มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับ สมาคมเรือเยาวชนเอเซียอาคเนย์แห่งประเทศไทย ในการสนับสนุนของสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC)

จัดพิธีมอบเกียรติบัตรและโล่รางวัล รอบชิงชนะเลิศ การประกวดวาดภาพระบายสีระดับมัธยมปลายและอาชีวะศึกษาทั่วประเทศ ขึ้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้น้องๆ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทั่วประเทศที่ชื่นชอบและศึกษาทางด้านศิลปะ ได้มีโอกาสมาเรียนรู้ศิลปะและได้แสดงฝีมือผ่านโครงการฯ ภายใต้หัวข้อ“รู้ทันอาชญากรรมข้ามชาติ”
 
 
และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมในการป้องปรามให้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติลดลงและหมดไป
ภายในงานได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย, E. Filipe De La Torre Regional Coordinator (Policy and Outreach),Border Management Programme,UNODC ROSEAP, ครูสังคม ทองมี ตำแหน่งอดีตเยาวชนโครงการเรือเยาวชนฯรุ่น 3 และผู้อำนวยการศูนย์ศิลป์สิรินธร, รองศาสตราจารย์ สรรณรงค์ สิงหเสนี อดีตเยาวชนโครงการเรือเยาวชน รุ่น 7 และอาจารย์ประจำภาควิชาศิลปกรรม สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง มอบรางวัลทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนที่ชนะในประเภทต่าง ๆ
โดยมีน้อง ๆ ที่เข้าร่วมโรงการร่วมแสดงความยินดี ณ ห้องไทรทองฮอลล์ อาคาร 3 ชั้น 4 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2566
รายนามผู้ได้รับรางวัลเงินสดและโล่เกียรติยศ 5 รางวัล
 

ลำดับที่ 1 รางวัลชนะเลิศ รางวัลเงินสด 30,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ จำนวน 1 รางวัล
ได้แก่ นางสาวพิชญาพร เมืองใจ จากโรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์
 
ลำดับที่ 2 รางวัลยอดเยี่ยม รางวัลเงินสด 20,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ จำนวน 1 รางวัล
ได้แก่ นายธราธิป แสงวิเชียร จากโรงเรียนวัดสุทธิวราราม
 
ลำดับที่ 3 รางวัลดีเด่น รางวัลเงินสด 10,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ จำนวน 1 รางวัล
ได้แก่ นางสาวสิริรัช รัตตมณี จากโรงเรียนสภาราชินี
 
ลำดับที่ 4 รางวัลชมเชย รางวัลเงินสด 5,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ จำนวน 1 รางวัล
ได้แก่ นายจินดิต ยางสวย จากโรงเรียนรัตนราษฎร์บำรุง
 
ลำดับที่ 5 รางวัลขวัญใจออนไลน์ รางวัลเงินสด 5,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ จำนวน 1 รางวัล ได้แก่ นายวีระเดช งามสามพราน จากโรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา ขอแสดงความยินดีกับน้องน้องที่ผ่านเข้ารอบและผู้ที่ได้รับรางวัล
 

เครดิตภาพและข้อมูลจาก : คณะศิลปะและการออกแบบดิจิทัล มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

 
NAKORN CHIANG RAI NEWS TEAM
กองบรรณาธิการ นครเชียงรายนิวส์ – Nakorn Chiang Rai News